Super Singha Action ภาคนำเรื่อง - Super Singha Action ภาคนำเรื่อง นิยาย Super Singha Action ภาคนำเรื่อง : Dek-D.com - Writer

    Super Singha Action ภาคนำเรื่อง

    โดย Samer

    นิยายรถสปอร์ตหนึ่งเดียวที่ไม่มีใครเหมือน

    ผู้เข้าชมรวม

    3,020

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    7

    ผู้เข้าชมรวม


    3.02K

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  13 ธ.ค. 50 / 19:47 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ



      นายสิงห์ (Singha) เป็นคนที่เคยมีนิสัยเลวๆ เอาแต่บ๊องๆ วันๆ ได้แต่ซิ่งรถไปวันๆ จนนักเรียนชักสงสัย มันมาเพื่อเรียน หรือมันมาเพื่อก่อกวนกันแน่!!!
      นายสิงห์ได้อาศัยอยู่ในบ้านเดี่ยว ชั้นเดียว มีพ่อเลี้ยงจอมโหด เขามักจะถูกกักขัง และถูกทำงานหนักเสมอ
      สภาพของเขาจึงดูโทรมลง และรมบ่จอยขึ้นเรื่อยๆ
      วันหนึ่ง คงจะเป็นวันที่พ่อเลี้ยงเหลืออด ไล่นายสิงห์ออกจากบ้านจนได้

      “เฮ้ย! อย่ากลับมานะโว้ย ที่นี่ไม่มีใครต้อนรับคนอย่างแก!!!” พ่อเลี้ยงจอมโหดตะคอก

      นายสิงห์ได้พยายามวิ่งหนีไป และห่างไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้

      จนกระทั่ง...
      เมื่อเขาอยู่ในที่อีกแห่งหนึ่ง บริเวณรอบๆ ตัวเขาเต็มไปด้วยย่านดาวน์ทาวน์ การจราจรติดขัด ผู้คนพลุกพล่าน เขาไม่รู้ว่าเขาอยู่ไหน เสมือนว่าเขากำลังหลงทาง เขากำลังเดินผ่านใจกลางเมืองนั้น

      เขาได้ยินเสียงคนนินทาเขา ประกอบด้วยเด็กที่ชอบขว้างปาข้าวของใส่เขามาตลอดเส้นทาง

      จนนายสิงห์เดินทางมาถึงที่เปลี่ยวแห่งหนึ่ง ในเวลาตีหนึ่งอันเป็นเวลาที่ผู้คนหลับใหลอยู่กับบ้านอย่างร่มเย็นเป็นสุข เวลานั้นสภาพอากาศก็แปรปรวน นายสิงห์ที่ตอนนี้มีสภาพเหมือนขอทานกลางสายฝน เขาเดินพบของอะไรบางอย่างกลางพงหญ้า มันมีแสงด้วย

      พอเขาเดินเข้าไปหยิบมัน
      ทันใดนั้น ก็มีลมพายุอย่างแรงกำลังพัดเข้ามา เขาพยายามหนีมันให้ได้ แต่พายุนั้นก็เร็วมากเกินกว่าที่เขาจะหนีได้

      “ว้ากกกกกกกกกกกกกกก์!!!!!!!!!!!!!!!!.................”

      เขาลอยตัวเคว้งคว้างกลางลมพายุ เขาตะโกนดังลั่น แต่เนื่องจากลมแรงจัด และอยู่ที่เปลี่ยว จึงไม่มีทางที่จะมีใครได้ยินเสียงของนายสิงห์ได้ เขาได้ภาวนาขอให้ตัวเองรอดจากพายุนี้ด้วย

      ........................................................................................................................

      ลืมตาขึ้นมา...ค่อยๆ เริ่มเห็นได้ชัด

      พอมองซ้ายมองขวาก็พบว่า สถานที่ตรงนี้ไม่ใช่สถานที่ๆ เขาคุ้นเคย และก็ไม่ใช่สภาพแวดล้อมที่คนทั่วไปคุ้นเคยด้วย
      เขาจึงลองขยี้ตาอีกครั้งหนึ่ง
      แต่คุณพระช่วย!!! อะไรกันนี่ ที่ๆ เขามองไปมองมาเหมือนภาพเขียน Anime รอบๆ แม้แต่สัมผัสเขาก็สัมผัสได้ ขนาดชกกำแพงที่เป็นภาพเขียน เขาก็ยังรู้สึกว่าเจ็บ เหมือนกำแพงภาพเขียนนี้เป็นกำแพงจริงๆ เขามองดูผู้คนที่เดินผ่านไปมาก็พบว่า
      ทุกคนที่เดินผ่านไปมานั้น ต่างคนต่างก็มีสีผมแตกต่างกัน ผู้ชายทรงผมคล้ายรองทรงยาว ผู้หญิงทรงผมค่อนข้างเหมือนตามแบบฉบับการ์ตูนญี่ปุ่น (ตัวเอกคือเด็กผู้หญิง) ในปัจจุบัน ตาโต ปากค่อนข้างเล็ก ดวงตาที่กลมกลืนกับสีผม
      ทำให้ตอนนี้เขารู้ตัวแล้วว่า...

      นายสิงห์โดนพายุพาไปยัง Anime World เสียแล้ว

      กับการปรับตัวที่ค่อนยากลำบากของเขา เขาจะต้องพยายามพูดกับคนให้ได้ (แม้ว่าจะพูดไม่รู้เรื่องก็ตามที)
      เนื่องจากไม่มีข้าวกิน ก็เลยต้องเป็นเด็กเร่ร่อนขโมยของกินในร้านอาหารแล้วหนีไป จนพ่อครัวหลายร้านเลยทีเดียวที่ไม่ยอมให้เขาเข้าร้านอีก
      ตอนนอนเองก็จะต้องนอนที่สวนสาธารณะ ซึ่งเป็นจุดที่เสี่ยงต่อแก๊งอันธพาล ตำรวจ หรือความหนาวเหน็บ
      เวลาอาบน้ำนั้น เขาก็ต้องเข้าห้องน้ำในสวนสาธารณะแล้วก็ต้องปิดประตูห้องส้วม เพื่อที่จะอาบน้ำ
      การพูดคุยกันนั้น จะต้องพูดเป็นภาษาอังกฤษ เพราะคนพวกนั้นเป็นชาวญี่ปุ่น (งงแฮะ) ซึ่งคุยกันรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง

      การดำเนินชีวิตในสายมืดของนายสิงห์เป็นไปอย่างยากลำบาก หลายๆครั้งที่เขาถูกพวกนักเลงโตอัดหรือรุมหมาหมู่ เขาเจ็บใจมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะถึงแจ้งความไปก็คงไม่รู้เรื่อง

      สภาพของเขาจึงดูโทรมกว่าทุกวันที่ผ่านมา

      จนกระทั่งประมาณ 3 เดือนต่อมา และในวันหนึ่ง
      เขาเข้าไปซื้อขนมถุงหนึ่งแล้วก็เดินออกหลังร้าน ขณะที่เขากิน เขาก็รู้สึกว่า
      “อืม...รสชาติชักจะแปลกๆ” นายสิงห์อุทานในใจ

      แต่หลังจากเดินออกไปนอกร้าน เขาก็เจอกับพวกนักเลงอันธพาลอีกครั้ง หัวหน้าแก๊งของพวกมันหน้าตาโหดเหี้ยมพอๆ กับลูกน้องของมัน
      “พวกเรา รุมมัน” หัวหน้าสั่งให้ลูกน้องวิ่งเข้าไปอัด
      แต่จู่ๆ พออัดแล้ว พวกมันก็ทรุดลงกับพื้นทั้งหมด
      “อะไรกัน” หัวหน้าตะโกน

      ด้วยความโกรธ จึงได้พยายามเล่นงานนายสิงห์ นายสิงห์ตั้งสติแล้วก็สวนกลับมาด้วยหมัด เพียงหมัดเดียวเท่านั้นก็ต่อยโดนที่คาง นายสิงห์งงและสงสัย ทำไมถูกตีเขาไม่เจ็บ แผลก็ไม่มี

      จนกระทั่งพอเขาเดินออกมาตรงสี่แยกกลางซอยก็ไปเจอพวกอันธพาลกลุ่มใหญ่ มีประมาณ 30 กว่าคน สาเหตุที่พวกมันมาก็เพราะว่า หัวหน้าแก๊งกลุ่มย่อยแอบโทรศัพท์เรียกกำลังเสริมโดยที่นายสิงห์ไม่รู้ แต่เมื่อเจอคนมากขนาดนี้ 1 ต่อ 30 ก็คงสู้ไม่ไหว เขาก็เลยต้อง...

      เผ่นลูกเดียว!!!

      “เฮ้ย! มันหนีไปโน่นแล้ว” นักเลงคนที่ 1 ตะโกน
      “แล้วจะยืนตะโกนทำเซ่ออะไรเล่า ก็ตามมันไปเซ่!” นักเลงคนที่ 2 ด่าด้วยความน่ารำคาญ
      แล้วพรรคพวกก็วิ่งไล่ตามนายสิงห์ทันที

      นายสิงห์ได้หนีพวกนักเลง 30 คน ผ่านตลาด ประตู หรือกระโดดข้ามรั้วมากมาย ในปกติเขาจะวิ่งช้ากว่าเพื่อนในวิชาพละ แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่าวิ่งเร็วผิดปกติ พวกนักเลงที่ตามมานั้นเห็นว่าตามไม่ทัน จึงได้แบ่งกลุ่มแล้วแยกกันไล่ พอนายสิงห์ไปถึงแยกไหนก็เป็นอันต้องเจอกับพวกมันทุกที แต่ก็วิ่งหนีทิ้งห่างพวกมันได้ทุกทีไม่มีเหนื่อย จนกระทั่ง...

      เมื่อนายสิงห์หนีไปเจอทางตันเข้า พกมันที่ตอนนี้วิ่งมาสัก 4-5 คนก็ได้ใจ จึงโพล่งปากออกไปเลยว่า
      “หึหึหึหึหึ ทางตันละสิ เสร็จข้าแน่ แกเอ๋ย”
      พูดจบแค่นั้น พวกมันก็ค่อยๆ เดินเข้ามาเรื่อยๆ หวังจะปิดทางหนีของนายสิงห์ให้จนมุม

      ทว่านายสิงห์ได้พยายามวิ่งเข้าหาพวกมันอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เข้าใกล้พวกมัน เขาก็ยกแขนขึ้นมาแล้วกางแขนออกอย่างรวดเร็ว ทำให้ลูกน้อง 3-4 คนถูกแขนนายสิงห์กระแทกเข้าที่ใบหน้าอย่างจัง จนทำให้พวกมันหงายหลังกระแทกพื้นอย่างแรงจนสลบ นายสิงห์จึงหนีไปได้แล้วพยายามหนีออกมาที่ถนนใหญ่จนได้

      แต่แล้วจู่ๆ ก็มีรถสปอร์ตสีเงินคันหนึ่ง วิ่งมาตัดหน้าเขาอย่างรวดเร็ว แต่หยุดอยู่ตรงนั้น แล้วก็เปิดประตูลงมาจะชกนายสิงห์เข้าให้ แต่เสี้ยววินาทีเท่านั้น เขาก็จับแขนไว้ได้ แล้วก็หมุนแขนของมันจนแขนข้างนั้นติดหลัง แล้วเจอด้วยหมัดที่นายสิงห์ซัดมาที่ท้ายทอยของมันพอดี ทำให้มันล้มคว่ำกับพื้นทันที

      ไม่นานนักพวกนักเลงที่เหลือก็ตามนายสิงห์ด้วยรถมอเตอร์ไซค์ Harley ทั้งกลุ่มเลย นายสิงห์จึงชิงรถสปอร์ตของพวกมันแล้วจะขับหนีไป

      นายสิงห์พยายามเหยียบคันเร่งสุดมิด เพื่อที่จะเร่งหนี แต่เนื่องจากความที่เขาไม่เคยขับรถ เขาลืมปลดเบรกมือ ทำให้รถไม่ยอมวิ่งไปไหน ในขณะที่พวกนักเลงขับรถใกล้เข้ามา
      “ฮ่าฮ่าฮ่า มันขับรถไม่เป็นละสิ เสร็จกูแน่มึง” นักเลงคันที่นำหน้าที่สุดหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ขณะที่ขับเข้าใกล้ท้ายรถ ในขณะที่นายสิงห์กำลังแก้ปัญหาอย่างวุ่นวาย

      แต่เสี้ยววินาทีที่พวกมันเข้าใกล้นิดเดียวเท่านั้น เขาก็ได้ปลดเบรกมือแล้ว ทำให้รถสปอร์ตพุ่งตัวอย่างแรงจนมอเตอร์ไซค์คันที่อยู่หน้าสุดเสียหลักแล้วก็หกล้มไป
      “เฮ้อ!...กว่าจะไปได้ ยากกว่าที่คิดแฮะ” นายสิงห์ถอนหายใจหลังจากที่พยายามควบคุมพวงมาลัยรถให้คงอยู่

      “เฮ้ย!!!! อะไรฟ่ะ” นักเลงคนที่รถล้มตะคอกใส่ แล้วก็ตั้งรถขึ้นมาอีกครั้ง แล้วก็ไล่ตามกันทั้งกลุ่ม

      นายสิงห์ซึ่งกำลังขับรถสปอร์ตหนี กับพวกอันธพาลซึ่งกำลังขี่รถ Harley ไล่ล่า ขณะที่นายสิงห์ขับขึ้นทางด่วนหนีไปแล้ว พวกมันก็ตามขึ้นไปด้วย แต่เนื่องจากเป็นโค้งแคบ มอเตอร์ไซค์ที่เข้าโค้ง ต่างคนต่างก็เบียดกันเอง ทำให้หลายคันชนกันเองแล้วล้มระเนระนาด บางคันก็ชนกับรถสิบล้อ บางคันก็ล้มแล้วโดนรถทับตาย กลุ่มรถ Harley ที่เหลือประมาณ 10 คันเท่านั้นที่ยังไล่ล่าเขาอยู่

      ท่ามกลางทางด่วนซึ่งเต็มไปด้วยรถยนต์เต็มไปหมด นายสิงห์ได้อาศัยจังหวะหลบรถ แซง ได้เป็นอย่างดี (ไม่ชนด้วย) พวกมันก็ตามมาติดๆ ด้วยเช่นกัน

      ขณะที่นายสิงห์ขับรถไปนั้น ก็เจอรถพ่วงคอนเทนเนอร์ 2 คันข้างหน้า นายสิงห์พยายามหาช่องว่างในการผ่ากลางเข้าไป ทันทีที่พวกมันใกล้จะมาถึง เหมือนปาฏิหาริย์ รถพ่วงได้เปิดช่องทางให้เขาขับรถผ่าไปได้
      แต่ทันทีที่แซงพ้นแล้ว รถพ่วง 2 คันก็ค่อยๆ เบียดกัน
      แก๊งอันธพาลที่ขี่มอเตอร์ไซค์ผ่ากลางเข้าไป ถูกรถบีบเสียหลักแล้วล้มลงถูกรถทับตาย Harley พังยับเยินไม่มีชิ้นดีสักคัน

      เหลือเพียงแต่เอคโด (Ecdo) กับทาร์จิสถาน (Takistan) ที่ยังคงพยายามควบคุมรถ Harley สุดเจ๋งของพวกมันไล่แซงรถพ่วงได้ แล้วตามรถของนายสิงห์ไป

      “เอคโด เราเสียกองกำลังมากแล้วนะ จะทำไงดี”
      “อย่าห่วง ข้าจะใช้แผนจัดการกับเจ้าหนูนั่น”

      ขณะนั้นเอง นายสิงห์ซึ่งกำลังขับรถจะแซงขึ้นหน้า แต่ระหว่างที่กำลังจะแซงถึงรถคันหน้าสุด เขาก็ต้องเจอกับตำรวจทางหลวงที่เขากำลังแซงอยู่ รถตำรวจคันนั้นเปิดหวอทันที พร้อมทั้งไล่ล่ารถสปอร์ตคันนั้น
      “ไอ้หยา!! ตำรวจนี่หว่า” นายสิงห์มองเห็นรถตำรวจขณะที่เขากำลังขับหนี ซึ่งมองเห็นจากกระจกหลังชัดเจน
      “เฮ้ย! ตำรวจ” ทาร์จิสถานพูดกับเอคโด
      “หึหึหึ...ไม่เป็นไร รีบลงทางด่วนแล้วตามข้ามา ข้ารู้ทางลัดแถวนี้ดี” แล้วพวกเอคโดก็ขี่รถลงทางด่วนไป เพื่อเตรียมแผน
      ขณะที่นายสิงห์กำลังถูกไล่ตาม
      “สายตรวจ 472 พบรถสปอร์ตคันสีเงิน ป้ายทะเบียน C72NGA วิ่งด้วยความเร็ว 277 km/h ช่วยสกัดปิดทางด่วนหมายเลข 710 และช่วยเตรียมเฮลิคอปเตอร์มาด้วย เปลี่ยน”
      “ทราบแล้วสายตรวจ 472 เราได้ปิดทางเรียบร้อยแล้ว เปลี่ยน”

      และเพียงชั่วอึดใจเท่านั้น ทางด่วนที่นายสิงห์ขับก็ถูกรถตำรวจ 3 คันปิดกั้นเรียบร้อย และเฮลิคอปเตอร์ก็ได้บินตามรถนายสิงห์ไปติดๆ
      นายสิงห์ได้พยายามขับหนีตำรวจอย่างสุดขีด แต่ก็เจอตำรวจอยู่ข้างหน้า
      แต่เรื่องอะไรเขาจะหยุดรถง่ายๆ เขาจึงได้ขับอ้อมรถตำรวจที่ปิดอยู่แล้วก็ผ่านไปได้ ส่วนตำรวจก็ชนกันเองจนเสียหลัก แต่เฮลิคอปเตอร์ก็ยังตามเขาไปติดๆ

      “มันวิ่งฝ่าด่านไปได้” เฮลิคอปเตอร์ที่กำลังไล่ตามแจ้ง
      นายสิงห์หลักจากขับฝ่าด่านไปได้แล้วหนีเข้าอุโมงค์ยาว
      “ปิดทางออกอุโมงค์ด่วน เปลี่ยน” เฮลิคอปเตอร์เรียก
      “กำลังพลของเราติดอยู่กับด่านที่เราสกัดเอาไว้ รถเสียทุกคัน ช่วยมารับด้วย เปลี่ยน”
      เฮลิคอปเตอร์ได้ฟังก็รำคาญใจ แต่เนื่องจากไม่มีทางเลือกอื่น คำสั่งการไล่ล่าครั้งนี้เป็นอันต้องยกเลิกไป

      หลังจากนายสิงห์ขับรถออกจากอุโมงค์ได้แล้วนั่นเอง
      จู่ๆ ก็มีมอเตอร์ไซค์ Harley 2 คัน โผล่ออกมาจากทางซ้าย คันหนึ่งตัดหน้า อีกคันตามหลัง
      พวกเอคโดมันตามมาอีกแล้ว

      ขณะที่ทาร์จิสถานกำลังขับรถเคียงคู่ประกบ้านขวา และเอคโดประกบด้านซ้าย
      ทาร์จิสถานก็ใช้ไม้เบสบอลจะตีกระจกด้านที่นายสิงห์ขับให้แตก
      แต่นายสิงห์กลับขับรถเบียดไปทางขวากะทันหัน แล้วกระแทก Harley ของทาร์จิสถานจนเสียหลักแล้วล้มลงไปด้วยความเร็วกว่า 252 km/h แถมใบหน้ายังลากถูไปกับพื้นไกลกว่า 180 เมตรเลยทีเดียว ทาร์จิสถานถึงแก่ความตายอย่างทรมาน ด้วยใบหน้าที่หายใบและแผลใหญ่อีกหลายแผล

      เอคโดเมื่อเห็นทาร์จิสถานตายก็เลือดร้อนทันที มันพยายามจะเบียดรถนายสิงห์ จะเปิดประตูรถให้ได้ แต่นายสิงห์ก็ได้เร่งเครื่องหนี ทำให้เอคโดถูกทิ้งท้าย
      “หนอย! คิดว่าจะยอมนักเหรอ” เอคโด ตะคอกจนเสียงแหบแล้วมันก็บิดเครื่องไล่ตามไป

      นายสิงห์ขับรถข้ามสะพานแขวนแล้วมองเห็นท่อระบายน้ำขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง แล้วเขาก็ขับรถลงท่อระบายน้ำไปเลย
      เอคโดก็ควบ Harley ลงไปด้วยเช่นกัน
      ระหว่างนั้นนายสิงห์มองเห็นแอ่งน้ำเป็นหย่อมๆ จึงได้ขับฝ่าแอ่งน้ำนั้นไป ทำให้น้ำกระเด็นใส่เอคโดเต็มๆ หน้า
      “ฮึ่ม!...แกเล่นแบบนี้เหรอ” มันตะโกนแล้วเอามือเลื่อนแว่นตากันลมมาสวมที่ตา แล้วพยายามไล่ต่อไป

      จนกระทั่งเมื่อใกล้ถึงถนนอีกฟากหนึ่ง นายสิงห์ได้พยายามเข้าโค้งขวาแบบ Drift เขาเจอเนินกระโดด ทำให้ขณะเข้าโค้งรถเหาะแล้วหมุนขวาไปเล็กน้อย แต่ก็สามารถลงด้วยท่าที่สวยงามได้ด้วยดี

      ส่วนเอคโดพยายามที่จะควบคุมรถ Harley แล้วจะกระโดดพร้อมๆ กับเลี้ยวขวา ดันเล่นความเร็วสูงกว่าที่จะเข้าโค้งได้ ทำให้รถของมันเหาะก็จริง แต่ก็ขับเลยถนนออกไปก็เลยตกข้างทาง แต่ไม่ล้ม มันพยายามขี่กลับเข้าเส้นทางต่อไปพร้อมกับด่าชนิดไม่เป็นภาษา

      นายสิงห์เห็นว่ามันยังตามอีกจึงได้ขับหนีเข้าไปในทางแยกที่มีการปิดถนน ซึ่งทางนั้นคนงานกำลังสร้างถนนอยู่
      พวกคนงานต่างตกอกตกใจ เห็นรถยนต์กับมอเตอร์ไซค์วิ่งฝ่าเข้ามาอย่างรวดเร็ว คนงานต่างคนต่างหลบหนีรถพวกนั้น

      นายสิงห์พยายามขับฝ่าไปให้ได้จนถนนโล่งอีกครั้ง คิดว่าน่าจะหนีพ้นแล้วแบบสบายๆ แต่แล้ว...
      ข้างหน้าที่นายสิงห์กำลังขับไปนั้น

      ทางด่วนยังสร้างไม่เสร็จ มีลักษณะเป็นทางขาดกัน!!!

      นายสิงห์จะตัดสินใจเบรกรถก็คงไม่ได้ เพราะเอคโดมันก็ตามข้างหลังมา ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขับต่อไปเรื่อยๆ
      ในอีกระยะแค่ไม่กี่ร้อยเมตรเท่านั้น ถ้าพลาดหมายถึง “ความตาย”

      เขาจึงได้เร่งเครื่องจนกระทั่งความเร็วรถเพิ่มขึ้นถึง 300 km/h แต่ขณะเดียวกันเอคโดมันก็พยายามบิดไล่ตามมาด้วยเช่นกัน
      เพียงเส้นยาแดงผ่าแปดเท่านั้น นายสิงห์ก็สามารถทำความเร็วให้ถึง ตามที่เขาได้คาดการณ์เอาไว้ แล้วก็วิ่งข้ามทางด่วนด้วยระยะที่หวังว่าน่าจะข้ามพ้น
      ในที่สุดก็ทำได้สำเร็จ เขาสามารถขับรถเหาะข้ามทางด่วนที่ขาดกันได้
      “เฮ้อ!...เกือบไปแล้ว” นายสิงห์พูดหลังจากโล่งอกโล่งใจชั่วครู่

      ขณะที่เอคโดขี่มอเตอร์ไซค์ข้ามทางด่วน
      “ฮ่าฮ่าฮ่า แค่นี้ข้าก็ทำได้ สอบอมอ”
      พอใกล้จะถึงอีกฝั่งหนึ่ง
      ล้อหน้าของรถ Harley ชนขอบอย่างแรง ทำให้เอคโดกระเด็นออกจากรถแล้วหัวทิ่มอย่างแรง ส่วนรถ Harley คันนั้นก็ร่วงลงจากทางด่วน สภาพคอหักยับเยิน ล้อหลุด กลายเป็นเศษเหล็กไปในพริบตา

      “อ้ากกกกกกกกกกกกกกกก์.......................”

      เอคโดร้องออกมาเป็นพยางค์สุดท้าย ก่อนที่จะสิ้นลมหายใจกลางกองเลือด

      นายสิงห์หลังจากที่เหลียวมองด้านหลังว่า ไม่มีใครไล่ตามเขาแล้ว เขาก็ค่อยๆ ลดความเร็วลงจนกระทั่งใกล้เคียงกับรถคันอื่น จากนั้นก็ขับลงทางด่วนเลี้ยวกลับเข้าเมืองตามเดิม
      “มันยังไงกันนี่” นายสิงห์สงสัยตัวเอง

      หลังจากเขาขับรถสปอร์ตไปจอดในที่จอดรถสาธารณะแห่งหนึ่ง ลงจากรถแล้วปิดประตู
      “หรือว่าขนมนั่น” นายสิงห์หยิบถุงขนมจากตัวขึ้นมาดู เขาสังเกตว่าขนมถุงนั้นไม่มีอะไรผิดปกติ เขาได้หยิบขึ้นมากินต่อ
      “เอ๊ะ...ก็ไม่เห็นผิดปกตินี่ แล้วที่รสชาติแปลกๆ มันคืออะไรล่ะ”
      “มันคือยาชนิดพิเศษอย่างหนึ่งไงล่ะ”

      เสียงผู้ชายคนหนึ่งจากด้านหลังของเขา เขารีบหันไปมองทันที
      ผู้ชายใส่เสื้อคลุมดำปิดหน้าค่อยๆ เดินเข้ามา นายสิงห์พยายามเอาศอกกั้น
      “อย่าเพิ่งสิ ไม่ต้องกลัวหรอก”

      ชายลึกลับพูดขึ้นมาพร้อมกับถอดเสื้อคลุมออก นายสิงห์ก็ต้องแปลกใจ
      เมื่อเขาเห็นชายที่คุ้นๆ หน้าเหมือนเคยเจอที่โรงเรียนมาก่อน
      “จำได้ป่าว...ฉันเอง” ชายที่ถอดเสื้อคลุมออกพูด

      นายสิงห์จำเขาได้ เพราะเคยเจอกันมาก่อน เขาชื่อ กิตติศักดิ์ ทองประเสริฐ (Kittisak Tongprasert)
      “เป็นไง นายสิงห์ ไม่ได้เจอกันมานาน”
      “ก็สบายดีนะ...เอ! แล้วนายมาที่นี่ได้ยังไง”
      “เราโดนพายุบางอย่างพัดเข้ามานะ”
      “เหมือนกันเลยนะ”
      “หา! เหมือนกันเลยเหรอ” กิตติศักดิ์ถามด้วยความสงสัย
      “ใช่นะสิ เออ...นายรู้ได้ยังไงว่าที่ฉันกินเข้าไปนะเป็นยาชนิดนี้”
      “ฮิฮิฮิ...ฉันกำลังประดิษฐ์ยาชนิดนี้อยู่ แต่มันหล่นหายไปเม็ดนึงนะสิ รู้อีกทีมันก็อยู่ในขนมถุงแล้วนะ...”
      “หา!!!...ขนมถุง!? หมายถึงขนมถุงนี้เหรอ?” นายสิงห์ตกใจ แล้วชูขนมถุงนี้ขึ้นมาให้กิตติศักดิ์ดู
      “ก็คงงั้นละมั้ง นายกินเข้าไปเหรอ”
      “หา!!!?”
      “กินแล้วเป็นไงบ้างล่ะเนี่ย”
      “ฉันรู้สึกว่าไม่เจ็บเลย แล้วยังไม่มีแผลเลยสักนิด พวกอันธพาลที่มาตีเราแล้วพวกมันกลับเจ็บเอง อ้อ แล้วก็ยังรู้สึกว่าวิ่งเร็วอีกด้วยนะ”
      “แสดงว่ายานี้พิเศษจริงๆ”
      “มันหมายความว่าไงกัน”
      “ยาชนิดนี้ไม่ใช่ยากระตุ้นประสาทหรอกนะ แต่มันทำให้ร่างกายนายเป็นอมตะไปได้สักพัก แต่เราไม่รู้ว่ามันออกฤทธิ์นานแค่ไหน และจะมีผลข้างเคียงอย่างไรบ้างนะ”
      “งั้น...ฉันก็เป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนกัน” นายสิงห์ถาม
      “นายก็คงต้องเป็นแบบนี้ไปสักพักนะ” กิตติศักดิ์พูด
      แล้วกิตติศักดิ์ก็เหลือบมองเห็นรถสปอร์ตของนายสิงห์เข้า จึงพูดต่อว่า

      “รถนายสวยจัง”

      “เหรอ” นายสิงห์ตอบขณะที่ยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้าง
      “รถสปอร์ตรุ่นนี้ ยี่ห้อ Porsche 911 Turbo ปี 2000 เลยนะเนี่ย นายได้มาจากไหน” กิตติศักดิ์ถาม
      “ก็...ก็...ก็...แย่งมาจากแก๊งอันธพาลนะ” นายสิงห์ตอบเหมือนคนติดอ่าง

      กลัวว่าหากตอบไปแบบนี้เกรงว่า กิตติศักดิ์จะว่าเรา

      แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น

      เขาเดินมาตบหลังนายสิงห์เบาะๆ แล้วพูดว่า
      “หึหึหึ...นายแน่มากนะที่ทำแบบนี้ ฉันเองยังทำไม่ได้เลยนะ”

      นายสิงห์ผงะไปชั่วครู่แล้วพูดว่า “นายคือ...”

      “เราก็คือนักขโมยรถมืออาชีพไงล่ะ” กิตติศักดิ์ตอบ

      นายสิงห์ได้ฟังแล้วเขาก็โล่งใจที่มีเพื่อนเป็นขโมยด้วยกัน

      กิตติศักดิ์พูดกับนายสิงห์ “เดี๋ยวเราจะพานายไปนะ” แล้วเขาก็ขึ้นรถ Porsche ของนายสิงห์ แล้วก็เรียกให้นายสิงห์ขึ้นรถ จากนั้นนายสิงห์ก็ขับไปตามเส้นทางที่กิตติศักดิ์บอก

      จนกระทั่งถึงที่แห่งหนึ่ง

      หลังจากที่จอดรถในโรงจอดแล้วลงมาด้วยกัน

      “ที่นี่ไงล่ะ” กิตติศักดิ์พานายสิงห์มาดู แล้วก็ต้องแปลกใจ เมื่อเขาพามายังที่คฤหาสน์หลังใหญ่แห่งหนึ่ง
      “เนี่ยแหละ ที่ซ่อนของเรา”
      เมื่อเขาพานายสิงห์เข้าไปในบ้านก็เจอคำทักทายทันที

      “ฮาย...หวัดดี” เด็กหนุ่มคนที่อยู่ข้างในทักทาย
      “เฮ้! อภิดุลย์ คนนี้นะนายสิงห์ นายสิงห์คนนั้นนะอภิดุลย์”
      “ยินดีที่ได้รู้จัก”
      “ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน”

      หลังจากที่ทักทายกันแล้ว เด็กหนุ่มอภิดุลย์ ชุ่มมงคล (Apidul Chummongkon) ก็พูดกับกิตติศักดิ์ต่อว่า
      “กิตติศักดิ์ ฉันเพิ่งได้ของขวัญชิ้นใหม่นะ มาดูเร็วเข้า”

      กิตติศักดิ์พานายสิงห์เข้ามาที่ห้อง Showroom แล้วกิตติศักดิ์ก็ต้องประหลาดใจ

      “ว๊าว! ช่างสวยงามอะไรเช่นนี้ Honda City คันงาม” กิตติศักดิ์ชมด้วยความประทับใจ
      “เป็นไงล่ะ คันใหม่เอี่ยมเชียวนะเนี่ย” อภิดุลย์กล่าว
      “แต่...อภิดุลย์ รถของนายสิงห์ก็มีเหมือนกันนะ” กิตติศักดิ์พูด
      “พาไปดูหน่อยสิ” อภิดุลย์ตอบหลังจากที่เก๊กหล่อ
      “ได้เลย”

      แล้วกิตติศักดิ์ก็พาอภิดุลย์และนายสิงห์ไปที่จอดรถ แล้วโชว์รถให้อภิดุลย์ดู

      “อืม...ไม่เลวเลยนี่” อภิดุลย์ชม “Porsche คันใหม่สินะ ยอดเยี่ยมเลยนะ”
      “ก็แหม...” นายสิงห์เขินเล็กน้อย

      เป็นอันว่าเย็นวันนั้น ทั้งสามก็เริ่มมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี แล้วอาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่ด้วยกัน

      วันรุ่งขึ้น
      นายสิงห์ออกจากบ้านแล้วกล่าวลาเพื่อนทั้งสอง “ขอบใจนะที่ให้พักผ่อน เราจะไปละนะ”
      กิตติศักดิ์เห็นท่าเป็นห่วงจึง...
      “เอานี่ไป มันเป็นแค่เครื่องประดับก็จริง แต่มันจะช่วยให้นายไม่ให้ลำบากได้นะ”
      นายสิงห์รับของนี้แล้วกล่าวขอบคุณ แล้วขับรถสปอร์ต Porsche จากไป

      “หวังว่าคงไม่เป็นอะไรนะ” กิตติศักดิ์พูดด้วยความหวัง

      นายสิงห์เดินทางออกจากเมือง ข้ามป่า ข้ามภูเขา ผ่านชนบท เป็นระยะทางไกลพอสมควร มีหยุดแวะข้างทางบ้าง
      จนกระทั่งมาถึงเมืองอีกแห่งหนึ่ง นายสิงห์มองป้ายก็พบว่า
      เขาเดินทางมาถึงเมืองฟูจิวะ (Fujiwa) แล้ว

      นายสิงห์ขับรถเข้าไปจอดในที่อาคารแถวภัตตาคารแห่งหนึ่ง แล้วลงจากรถเพื่อยืดเส้นยืดสาย
      “ฮ้าวววว์!!!...เมื่อยชะมัดยาดเลย” นายสิงห์ยืนหาว กางแขนแกว่งไปมา
      “แล้วที่กิตติศักดิ์ให้เรามันคืออะไรกันแน่เนี่ย” นายสิงห์หยิบของออกมาดู

      หลังจากที่เขานั่งกินข้าวเที่ยงเสร็จ
      “เก็บตังค์ครับ” นายสิงห์เรียกบ๋อย
      “3000 เยนครับ”
      นายสิงห์ตกใจที่เห็นราคาแพงขนาดนี้ เขาได้หยิบของออกมาแล้วเปิดออก
      นายสิงห์ตกใจ ไม่เคยเห็นแบงก์หมื่นเยนเป็นปึกขนาดนี้มาก่อน
      “เพ่ครับ...รวยจังเลยนะเพ่”
      แล้วก็ทอนเงินให้นายสิงห์เฉยเลย 7000 เยน
      นายสิงห์สงสัยของนี้ จึงออกจากร้านแล้วได้พยายามตรวจสอบ แต่แล้วก็ไม่พบอะไรที่เป็นพิเศษเลย

      คืนนั้นตอนประมาณ 20:03 น.
      ขณะที่นายสิงห์ขับ Porsche เข้าไปในที่เปลี่ยวนั้น
      จู่ๆ พวกมาเฟียลึกลับกลุ่มหนึ่ง ขับรถเก๋งสีดำมาปิดหน้าปิดหลัง แล้วลงมาเปิดประตูรถกระชากนายสิงห์ลงมาจากรถ จากนั้นพวกมันก็ใช้ปืนจี้หัว จับแขนคนละข้าง
      “เอาตัวมันไป”
      ชายชุดดำสั่ง แล้วโปะยาสลบใส่หน้านายสิงห์เข้าเต็มหน้า

      .............................................................

      เมื่อนายสิงห์รู้สึกตัวอีกที นายสิงห์ก็ถูกล่ามโซ่และกักขังในห้องพิเศษเสียแล้ว
      นายสิงห์ใช้มือข้างตรงกันข้าม ดึงโซ่ออกคนละข้าง และก็สามารถปลดโซ่ออกได้
      จากนั้นก็พยายามถีบประตูให้พัง แต่ถีบอย่างไรก็ไม่พังเสียที
      จะกระแทกผนังก็ไม่ร้าวอีก
      จนกระทั่งยามที่เฝ้ารำคาญ ยามจึงเปิดประตูออกมา
      “เฮ้ย! เงียบๆ หน่อยได้มั้ย” ยามดุใส่นายสิงห์
      แต่แค่ทีเผลอของยามเท่านั้น
      นายสิงห์ก็ชกกำปั้นเข้าที่จมูกของยามเต็มๆ ทำให้ยามล้มลงไป
      แล้วนายสิงห์ก็วิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว
      แต่มีมาเฟียคนหนึ่งมองเห็นนายสิงห์ จึงได้ใช้ปืนไล่ยิงเขา
      นายสิงห์พยายามวิ่งหนีไปแต่ไม่รู้เส้นทาง เขาจึงลองหยิบของออกมาดู

      ปรากฏว่าของนั้นกลายเป็นเรดาห์แทนที่ตอนแรกจะเป็นกระเป๋าสตางค์เสียอีก

      เขาจึงสามารถหนีออกไปได้ เพราะมีเรดาห์นำทาง แถมใช้เส้นทางลับของอาคารอีก
      เมื่อนายสิงห์ออกทางท่อระบายด้านข้างได้

      เขาก็สังเกตเห็นสปอร์ตเปิดประทุนสีแดง ยี่ห้อ Ferrari F50 วิ่งตามเข้ามาหาเขา
      เขาเห็นคนขับที่คุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี
      ก็อภิดุลย์นั่นแหละ

      เขาขับรถมาช่วยนายสิงห์ไว้
      “เร็วเข้า ขึ้นรถเร็ว”
      อภิดุลย์เรียกนายสิงห์ให้ขึ้นรถก่อนที่พวกมาเฟียจะไล่ตามมา

      แต่หลังจากนั้นเอง
      พอมาเฟียรู้ตัวว่านายสิงห์หนีออกมาแล้ว
      พวกมันก็รีบขึ้นรถเก๋งสีดำขับไล่ตาม
      มาเฟียคนหนึ่งใช้กล้องรังสีเอ็กซ์ส่องไปส่องมาจนกระทั่งเจอตัวนายสิงห์ในรถ Ferrari สีแดง
      “ไล่ตามรถ Ferrari คันนั้นเร็ว” มันบอกให้พรรคพวกขับตามไป

      นายสิงห์มองข้างหลังก็ไปเห็นรถมาเฟียกำลังไล่ตามอยู่
      “มันตามมาแล้ว” นายสิงห์บอกอภิดุลย์
      “แบบนี้ก็สนุกละสิ” อภิดุลย์พูด “แน่จริงตามมาเลย เจ้าพวกมาเฟีย”
      สิ้นคำท้าของอภิดุลย์ มาเฟียก็ค่อยๆ ตามเขาแบบติดๆ ไปเรื่อยๆ

      อภิดุลย์ได้ขับรถแบบเส้นทางวิบาก
      เขาเริ่มขับเข้าไปในอาคารที่จอดรถ ขับวนทางขึ้นไปเรื่อยๆ
      จนกระทั่งถึงชั้น 5
      เมื่อเขาสามารถขับไปจนถึงประตูของห้างที่เปิดอยู่ได้
      ปรากฏว่ามันเป็นชั้น 3 ของห้าง บวกกับผู้คนที่แตกตื่นวิ่งหนีตะเลิดเปิดเปิง และเขาก็ยังขับชนโต๊ะ ราวแขวนเสื้อผ้า ตู้คอมฯ กระเด็นไปมา
      นายสิงห์กับอภิดุลย์ต่างก็ไม่รู้สึกว่าเสียวเลย แต่มาเฟีย 2-3 คันที่ไล่ตามรถอภิดุลย์อยู่นั้น รู้สึกเสียวไส้เล็กน้อย เพราะวิ่งในทางแคบ
      อภิดุลย์หาทางลงบันไดให้ได้ จนกระทั่งเจอบันไดจนได้
      บันไดเลื่อนที่ค่อนข้างกว้างและไม่ชันมากนัก เสมือนเป็นบันไดเลื่อนหลักๆ ของห้างเลยก็ว่าได้
      “ห้างนี้ดีจริงๆ มีบันไดเลื่อนแบบนี้ด้วย” อภิดุลย์พูดหลังจากที่เขาถอนหายใจสักพัก แล้วขับลงบันไดเลื่อนเลย

      “ย๊าฮู้!!!!.....”

      นายสิงห์กับอภิดุลย์ร้องพร้อมกัน
      แล้วรถ Ferrari ของเขาก็ลงสู่ชั้น 1 อย่างปลอดภัย
      ขณะที่พวกมาเฟียก็ขับรถตามลงบันไดเลื่อนเหมือนกัน แต่เหาะกลางอากาศ ทำให้รถพลิกหงายท้องตอนที่พุ่งลงมา
      “วันนี้วันเกิดอาโนลด์ ชวากสเนกเกอร์ เอ้าฉ...” สองนักเลงสุราที่กำลังเมาได้ที่ พอเห็นรถพุ่งลงมากะทันหัน ต่างก็ตกใจ ไม่เคยเห็นรถคว่ำในห้างนี้เลย

      ส่วนอภิดุลย์พอขับออกจากร้านมาได้ เลี้ยวขวาออกถนนใหญ่
      ก็เจอรถของพวกมาเฟียอีกครั้ง
      คราวนี้อภิดุลย์ขับขึ้นบันไดจนถึงชั้นดาดฟ้าเลย พวกมาเฟียก็ขับรถตามทางนั้นเช่นกัน
      พออภิดุลย์เห็นแผ่นไม้กระโดดบนขอบระเบียง ซึ่งวางในลักษณะเอียงพอที่จะวิ่งข้ามได้ เขาก็รีบเหยียบคันเร่งทันที

      ทันทีที่กระโดดข้าม

      “เหินฟ้า!!!”

      อภิดุลย์ร้อง
      แลวรถก็สามารถข้ามหลังคาผ่านไปได้
      ขณะที่มาเฟียก็กระโดดตามเช่นกัน แต่โดดไม่ถึงทำให้ร่วงจากหลังคาพังระเนระนาด

      ขณะที่รถ Ferrari ของอภิดุลย์ขับขึ้นเนินกระโดดแล้วเหินลงสู่ถนนอีกครั้งหนึ่ง

      แต่ว่าข้างหน้านั้น เจ้ารถมาเฟีย 2-3 คันมันมาวิ่งปิดเส้นทางพอดี

      บังเอิญมีรถขนส่งยานยนตันหนึ่งกำลังจอดพออยู่ โดยที่เปิดท้าย (ทางขึ้นของรถเล็ก) และทางลาดเอียง (สำหรับนำรถขึ้นไปจอดชั้นบน) อยู่ และไม่มีรถวางไว้เลยสักคันอยู่ใกล้ๆ รถมาเฟียพอดี
      อภิดุลย์ก็เลยเล่นขับรถให้ตรงพอดีกับท้ายรถบรรทุกคันนั้น แล้วก็วิ่งขึ้นไปด้วยความเร็วที่ไม่ต่ำกว่า 180 km/h

      “ฮูเร่!!!...”

      ทั้งสองตะโกนพร้อมกัน ในขณะที่รถกำลังเหาะลอยข้ามรถมาเฟียไป แล้วก็ขับรถไปต่อ
      แต่ยังไม่พ้นใจกลางเมือง

      ขณะที่ขับไปนั้น ทางข้างหน้าที่เขาเห็นนั้นเป็นทางที่รถติดไฟแดงที่ค่อนข้างยาว
      แต่อภิดุลย์สังเกตเห็นว่า ทางขวามือของอภิดุลย์เป็นบันไดลงไปสู่พลาซา (จุดนัดพบในย่านใจกลางเมือง) พอที่สามารถเลี่ยงการจราจนที่ติดขัดได้
      อภิดุลย์ก็เลยเลี้ยวขวาเข้าไปทางนั้น (ทางซ้ายเป็นทางเข้าตึก) แล้วก็ลงบันไดด้วยความเร็ว 130 km/h ทำให้รถไม่เหาะเลย
      แต่ทำให้รถสั่นเพราะทางไม่เรียบเสียมากกว่า

      หลังจากนั้นเขาก็ขับตรงไปเลย ไม่หักหลบจนกระทั่งเจอน้ำพุข้างหน้า
      แต่โชคดีที่มีแผ่นไม้ 2 แผ่นยาวๆ วางบนถังในลักษณะตั้งฉากกัน
      แผ่นไม้ห่างพอที่รถสามารถวิ่งไปได้
      อภิดุลย์เลยเร่งเครื่องเต็มที่เท่าที่จะทำได้ แล้ววิ่งขึ้นแผ่นไม้แล้วเหาะข้ามน้ำพุไปได้

      “ฮู่!...เสียวจัง” อภิดุลย์พูดอย่างโล่งอก

      หลังจากนั้นก็สามารถออกจากพลาซาได้ แล้วเลี้ยวกลับเข้าสู่ถนนใหญ่อีกครั้ง ซึ่งเป็นทางออกของเมืองฟูจิวะทางด้านตะวันตก

      พออภิดุลย์เร่งความเร็วไปได้สักพัก

      พวกมาเฟียที่เหลือก็ตามมาอีกแล้ว
      แต่เนื่องจากเป็นทางเส้นตรงยาว จึงสามารถขับได้ถึง 320 km/h เลยทีเดียว
      อภิดุลย์เลยพยายามเร่งสปีดขึ้น มาเฟียก็พยายามเร่งตามเช่นกัน

      แต่พอเหยียบไปได้สัก 240 km/h รถของพวกมันก็เสียหลักหมุนไปหลายคัน แต่รถ Ferrari คงวิ่งทรงตัวอยู่ แล้วก็วิ่งต่อไปเรื่อยๆ

      จนกระทั่งเจอทางรถไฟฟ้าข้างหน้า ซึ่งมันปิดเส้นทางแล้ว รถไฟชินกันเซนซึ่งวิ่งผ่านมาด้วยความเร็วสูงมาก และขบวนก็ยาวมากด้วย

      แต่อภิดุลย์ไม่ยอดหยุดรถแล้วขับต่อไปเรื่อยๆ
      พอใกล้จะถึงราง อภิดุลย์กับนายสิงห์รู้สึกว่าหน้ารถมันจะเชิด
      พอใกล้ระยะ 10 เมตรจากทางรถไฟ รถ Ferrari ก็ลอยตัวขึ้นแล้วเหาะข้ามรถไฟชินกันเซนไปเลย

      “เย้!!!!”

      อภิดุลย์กับนายสิงห์ร้องพร้อมกัน

      แล้วรถ Ferrari ก็ร่อนลงพื้นพอดีแล้วขับต่อไป
      มาเฟียที่ตามไปนั้น พอเห็นรถไฟวิ่งตัดหน้าก็รีบหยุด แต่เบรกไม่ทันทำให้รถชนกับรถไฟชินกันเซนเหวี่ยงออกนอกทางไปคันนึง ที่เหลือเบรกกันหมด
      “มันหนีไปจนได้ พวกเรา ถอยทัพ!!” หัวหน้าสั่งการแล้วก็ขับรถกลับไป

      ทางด้านนายสิงห์หลังจากที่หนีมาเฟียได้
      “ขอบใจมากเลย อภิดุลย์”
      “ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราจะพานายไปส่งยังที่ปลอดภัยให้นะ”

      แล้วอภิดุลย์ก็พานายสิงห์ไปยังอาคารร้างแห่งหนึ่งในย่านด้านนอกเมืองฟูจิวะ ซึ่งห่างจากตัวเมืองถึง 25 km

      “ตรงเนี๊ยะ???”
      “ใช่แล้ว ตรงนี้แหละ เหมาะแล้วที่จะเป็นที่พักของนายนะ”
      “ในอาคารโกโรโกโสเก่าๆ เนี่ยนะ”
      “เข้าไปดูข้างในก่อน แล้วนายจะแปลกใจ”

      แล้วอภิดุลย์ก็พานายสิงห์เข้าไป แล้วนายสิงห์ก็ต้องแปลกใจ

      ภายนอกที่ดูเก่าๆ แต่ภายในที่ดูสะอาด สะดวกสบาย มีห้องนั่งเล่น ห้องน้ำสะอาด เตียงนอนขนาดใหญ่ ห้องเก็บของขนาดใหญ่ และที่น่าแปลกใจที่สุดคือ ทางเดินลงชั้นใต้ดินเป็นโรงเก็บรถขนาดใหญ่ สร้างความเซอร์ไพรให้กับนายสิงห์มาก

      “เป็นไงบ้าง”
      “ยอดไปเลย”
      “เมื่อเช้านี้ เรากับกิตติศักดิ์ช่วยกันกวาดห้องใหม่ แล้วจัดเตรียมห้องเอาไว้ ใช้เวลาทั้งวันเลยนะ เรื่องทรัพย์สินที่ยกมานะ ของใหม่ทั้งนั้นเลย เราไม่มีปัญหาเรื่องเงินของเราหรอก มีใช้ตลอดชั่วนิรันดร์เลยละ นายสามารถนอนได้ตรงนี้ รับรองปลอดภัยแน่นอน”
      “ขอบคุณมาก อภิดุลย์”

      แล้วอภิดุลย์ก็จากลานายสิงห์ไป

      จากวิถีชีวิตเดิม ที่นายสิงห์ต้องเคยนอนกลางแจ้ง เคยขโมยข้าวกิน บัดนี้ไม่ต้องแล้ว เขาได้นอนกลางเตียง และได้กินข้าวที่ร้าน (มีเงินจ่ายตลอด) พอที่จะช่วยทำให้เขาดำรงชีวิตแนวทางใหม่ไปได้อีกนานในโลก Anime แห่งนี้

      ส่วนทางด้านมาเฟีย เมื่อนายสิงห์หนีไปได้ หัวหน้าแก๊งมาเฟีย ข่าน (Khan) ได้ใช้มาตรการอย่างหนึ่ง
      “ไอ้เด็กหนุ่มที่เราต้องการ คือคนเนี๊ยะ!!” ข่านพูดอย่างไม่สุภาพ
      “พวกแกไม่ยอมเฝ้าให้ดี เป็นไงล่ะ...บ้าชะมัด!” ข่านเอามือทุบโต๊ะอย่างแรงพร้อมกับสีหน้าที่โมโหจัด
      “ใจเย็นก่อนลูกพี่” ลูกน้องคนหนึ่งพูด “เราว่าก่อนที่จะไปจับไอ้หนุ่มนั้นมา น่าจะส่งสปายให้ไปดูก่อนมั้ย”
      “ทำไมต้องส่งสปาย” ข่านตะคอกถามลูกน้อง
      “ก็เพื่อที่จะหาข้อมูลของมันไงล่ะ” ลูกน้องตอบอย่างมีเหตุผล
      “ก็ดี” ข่านตะคอกเล็กน้อย “แกสองคน ไปสืบหาเจ้าหนุ่มนั่น” ข่านสั่งให้สายลับ 2 คนไป เพื่อที่จะสืบ

      จนกระทั่งได้ข้อมูลมา

      “ชื่อ นายสิงห์ อายุ 2X ปี ไม่มีญาติพี่น้อง ปัจจุบันไม่มีงานทำ ลักษณะใบหน้า คิ้วดำ ผมดำ ผิวคลำเล็กน้อย มีไฝกลางจมูก ผมยาวเล็กน้อย สูงประมาณ 182 cm”

      “เจ้าคนนี้นะเหรอที่เราต้องการตัวมา” ข่านถาม
      “ลูกพี่สั่งเองขอรับ” สปายตอบ

      แล้วข่านก็หันมาถามลูกน้องต่อว่า
      “พวกแก! เราได้ข้อมูลมาแล้ว เราจะจัดการกับมันยังไง หา!!!”
      “เดี๋ยวพวกเราขอปรึกษากันก่อนครับ ลูกพี่” ลูกน้องพูด

      ระหว่างที่กำลังปรึกษาอยู่นั้น
      “เฮ้ย! พวกเราจะจัดการกับมันยังไงดีว่ะ” ลูกน้องคนที่ 1 ถาม
      “ข้าก็กำลังคิดอยู่โว้ย!” ลูกน้องคนที่ 2 พูด
      “แต่ข้าคิดออกแล้วล่ะ” ลูกน้องคนที่ 3 พูดอวดดี
      “ทำยังไงว่ะ” ลูกน้องคนที่ 4 ถาม
      “สปายเราอุตส่าห์ได้ภาพมาแล้วนี่ ก็ต้องใช้ให้เป็นประโยชน์หน่อย” ลูกน้องคนที่ 3 ตอบ

      หลังจากที่ปรึกษากันแล้ว

      “ตกลงจะให้ทำอะไรกัน” ข่านถาม
      “พวกเราว่าจะทำป้ายประกาศจับเลยนะสิ” ลูกน้องตอบ
      “มันจะได้ผลหรือเปล่าว่ะ”
      “ต้องได้ผลนะ”

      และแล้ว ป้ายประกาศจับนายสิงห์ก็พิมพ์ออกมาหลายฉบับ แล้วให้ลูกน้องติดไปทั่ว
      ไม่ใช่ทั่วเมืองอย่างเดียว แต่เป็นทั่วประเทศญี่ปุ่นเลย
      แถมยังตั้งค่าหัวเริ่มต้นที่ 1 ล้านเยน ทำให้มีนักล่าค่าหัวบางคน พยายามที่จะจัดการนายสิงห์ให้ได้ แต่ก็ถูกนายสิงห์จัดการได้ เลยทำให้ยิ่งถูกล่าหนักกว่าเดิม

      แม้ว่านายสิงห์จะพยายามริบป้ายประกาศจับไว้เป็นจำนวนมากแล้วก็ตาม

      แต่การผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ของนายสิงห์และเพื่อนของเขาจะเป็นอย่างไร จะมีใครมาช่วยมั้ย และจะมีเพื่อนใหม่อย่างไร

      ติดตามอ่านชุดต่อไปนี้ตามด้านล่าง

      
      		Super Singha Action Season 1 - Card Captor Sakura
      		Super Singha Action Season 2 - Pita-ten
      		Super Singha Action - The Mix friend

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×