ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อดีตขุนนางสาวโสดกับชีวิตโลดโผนผจญภัยเพื่อลูกสาวสุดน่ารัก

    ลำดับตอนที่ #12 : ครั้งแรกของการเข้าแคมป์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.02K
      228
      1 ต.ค. 65

    “ฮัดเช้ย!”

    จามได้น่ารักมาก

    โบราณเขากล่าวว่าการจามเป็นสัญญาณของคนที่อยู่ห่างไกลนั้นพูดถึงตนอยู่ แต่สำหรับ Shirley แล้ว เธอไม่เชื่อในเรื่องนั้นหรอก

    ถึงแม้ว่าด้วยเหตุผลบางอย่าง เธอจะรู้สึกไม่ดีมาครึ่งชั่วโมงที่แล้ว ก็ไม่มีมูลฐานอะไร แต่เหมือนว่าลูกสาวที่อยู่ในบ้านกำลังติวเข้มก่อนสอบอย่างหนักโดยที่ไม่มีแม่มาช่วย… ก็เลยทำให้รู้สึกไม่ดีเท่าไรนัก

    (คุ… ฉันต้องกลับบ้านแล้ว… ไม่สิ เดี๋ยวนะ มันอาจจะแค่รู้สึกผิดก็ได้ อา จะทำไงดีเนี่ย!?)

    Shirley เหม่อมองด้วยสีหน้ากระวนกระวายขณะที่เธอเติมน้ำในถุงที่แม่น้ำ

    (Shirley ทำท่าจะเจ็บปวดแบบนี้… ดูเหมือนจะมีอะไรที่น่าเป็นห่วงลึกๆที่ฉันเองก็ยังไม่เข้าใจเลย)

    มองดู Shirley ที่ดูท่าจะจมไปกับความทุกข์ที่ไม่มีใครทราบ Kyle เข้าใจผิดไปเต็มๆขณะที่เขาเดินมาด้วยอาการหอบ

    “ทั้งสอง เราพร้อมแล้วนะ”

    Asterios ได้วางก้อนหินเท่ากำปั้นเอาไว้รอบวงแล้ว

    “เฮ้! มันดีพอสำหรับอาหารตากแห้งหรือ!?”

    เอาผักแห้ง มันฝรั่ง และก็ถั่วผสมเข้าด้วยกัน Leia ถามเกี่ยวกับเครื่องปรุง

    “อู… รู้สึกไม่ดีเลย… มึนหัวไปหมดแล้ว…”

    Cudd ถึงกับนอนบนพื้นด้วยสีหน้าเขียวไปหมด เขาวางหัวไว้บนของๆเขา

    “อันนั้นก็จะต้องทำด้วย มาเริ่มทำอาหารกันเถอะ”

    พวกเขาเดินทางตลอดทั้งวันโดยไม่หยุดพัก แต่ตอนนี้พวกเขาได้ตั้งแคมป์กลางพื้นที่รกร้าง Jewelsaad ยังอยู่ในสายตา

    กลางคืนเป็นศัตรูตัวฉกาจ ดังนั้นจึงต้องตั้งแคมป์ตรงนี้ในตอนกลางคืน ขณะที่การบุกเข้าไปในเหมืองท่ามกลางความมืดถือเป็นเรื่องที่โง่เขลาสิ้นดี

    ที่นั่งข้างๆนั้นคือ Rangitz มังกรที่พาพวกเขามาไกลถึงขนาดนี้ตอนนี้กำลังเคี้ยวเนื้อกับหญ้าที่ผสมเข้ากันอยู่ Kyle ก็เริ่มจุดไฟโดยใช้หินไฟตามที่ Asterios เคยสอนเขาไว้

    แม้แต่นักเวทระดับสามก็สามารถสร้างไฟด้วยเวทมนตร์ได้ แต่ในป่าดงดิบที่มอนสเตอร์สามารถบุกเข้าโจมตีได้ทุกเมื่อ เวทมนตร์จะต้องสงวนเอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

    “นี่นายรู้สึกไม่ดีตอนสะดุดเนินหรือหลุมระหว่างที่นั่งมาหรือเปล่า Kyle?”

    “ก็ไม่นี่… อย่างน้อยก็ไม่ได้มากเกินจนทำให้ช้าลงหรอก”

    เขาบอกมายังไหว แต่หลังเขามันกระแทกกับเกวียนซะจนต้องหาอะไรสักอย่างมาใช้เป็นหมอนหนุนในคราวต่อไปแล้ว

    “อา… ยาฟื้นสตินั่นในที่สุดก็เห็นผลสักที…”

    “ฮะๆๆๆ อยู่ตรงนั้นแหละะะะ! นายนี่ดูอย่างกับคนเมาเลยไม่ใช่หรืองาย?”

    “หนวกหูเฟ้ย ยัยเด็กบ้านี่…!”

    หลังจากบรรเทาอาการเจ็บก้นแล้ว Cudd เองก็ยังแก้อาการเมารถไปด้วย หลักฐานก็คือเขาพอที่จะพูดออกมาในขณะที่เขากำลังตอบโต้ Leia ได้บ้าง

    ยานั่นสุดท้ายก็ออกฤทธิ์พอหลังจากที่เขาได้กินไป แต่มันก็อาจจะต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะทำให้เขาฟื้นกลับมาเต็มที่

    “แต่ มันไม่แปลกหรือ…? ทำไมถึงมีแค่ Kyle กับฉันถึงเละกระจุยแต่คนอื่นกลับอยู่สบายๆแบบนี้…?”

    “นั่นสิ… หมายถึง ฉันเข้าใจว่า Asterios นะสบายอยู่แล้ว แต่กับ Leia และ Shirley สิ?”

    “ฉันเอาตัวนอนไปกับหมอนรองนะ”

    “ฉันก็ลอยตัวขึ้นไปบ้าง ไม่มีทางที่จะนั่งธรรมดาไปได้ตลอดขณะที่มันสั่นแบบนั้นหรอกนะ”

    ดูเหมือนว่าสองคนนี่จะเตรียมรับมือมาเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้สถานการณ์จะรุนแรงแค่ไหนก็ตาม

    สำหรับทั้งสองที่ได้แต่แหกปากร้องตะโกนตลอดทางอย่างนี้ พวกเขาไม่อาจจะพูดอะไรกับตัวเองได้เลย

    “ทั้งนี้ พวกนายควรที่จะเข้าใจว่านี่คือการฝึก นี่ถือว่าเป็นการฝึกของพวกหน้าใหม่ก็เท่านั้นแหละ”

    Shirley พูดแล้วก็เงียบขณะที่เธอจ้องไปยังหม้อที่กำลังเดือดที่อยู่เหนือไฟ

    อาหารแห้งกับเนื้อย่างในหม้อ กลิ่นโช้ยของส่วนผสมที่ละลายอย่างช้าๆอย่างน่าพอใจเป็นอย่างมาก

    “ในการที่จะไต่แรงค์ขึ้นมา นี่ถือว่าเป็นมากยิ่งกว่าโอกาสที่เดินทางมาด้วยมังกรนะ พวกมันสำคัญต่อการเดินทาง แต่พวกนายรู้หรือไม่ว่าการขี่หลังมังกรนั้นเสี่ยงยิ่งกว่านั่งบนเกวียนอีก?”

    นักผจญภัยมือเก่าดูท่าจะขู่พวกเขาด้วยแสงที่เธอเติมน้ำเข้าไปในหม้อขณะที่มันเดือดปุดๆแล้วปกคลุมไปทั้งฝา

    ขณะที่ Kyle กับ Cudd มองเธอในเชิงปฏิเสธ และสายตา Leia กลับเต็มไปด้วยความอยากรู้ Asterios ก็หัวเราะราวกับเขาเห็นด้วยกับ Shirley

    “ใช่แล้วล่ะ นั่นคือสิ่งที่นักผจญภัยกับอัศวินจะต้องมี แต่ถ้าผู้ขี่ที่ไร้ประสบการณ์ร่วงตกจากมังกรขณะที่วิ่งผ่านป่าหรือบินกลางอากาศล่ะก็ พวกเขาจะตกที่นั่งลำบากของจริงเลยล่ะ”

    “อย่าเอาความโชคร้ายมาหาพวกเราสิ…”

    Kyle กับ Cudd ถึงกับตัวสั่นเทาไปเลย

    “เอาล่ะ เสร็จแล้ว”

    “อ๊ะ ดูน่ากินจัง!”

    หลังจากที่ถึงเวลาอันเหมาะสม Shirley ก็เปิดฝาหม้อแล้วก็ปรุงรสขั้นสุดท้ายอีกหน่อยก่อนที่จะออกมาเสิร์ฟ

    “จะว่าไป นี่มันเนื้อนี่นา มันดีต่อ Asterios กับ Leia หรือ?”

    “ใช่ มันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรหรอก”

    “ฉันยังไงก็ได้ เนื่องจากฉันไม่ใช่เอล์ฟสายเลือดแท้นะ”

    ไม่เหมือนกับเอล์ฟสายเลือดแท้ที่กินแต่พืชราวกับมันจะเป็นทุ่งหญ้า กึ่งสัตว์บางพวกกับกึ่งเอล์ฟนั้นก็ไม่ได้โวยวายอะไรเกี่ยวกับการกินเนื้อเหมือนอย่างมนุษย์

    แม้ว่าส่วนใหญ่ที่พวกเขากินนั้นเป็นผักราวกับเป็นการไดเอท แต่กึ่งสัตว์กับกึ่งเอล์ฟหลายๆตัวก็ชอบกินเนื้อด้วย

    “อ๊ะ ก็ดีนี่นา ฉันไม่รู้เลยว่าหิวมากแค่ไหนแล้ว”

    เธอเอาอาหารมาด้วยที่คีบและขนมปังระหว่างการผจญภัยด้วย เป็นการดูแลที่ดีจริงๆ

    ซุปนั้นมีรสชาตินุ่มนวลจากผักที่ใช้ คั่นด้วยเกลือที่ปรุงแต่งบนเนื้อบางๆ

    แม้ว่าฤดูใบไม้ผลิจะเริ่ม แต่กลางคืนก็ยังคงหนาว และนักผจญภัยวัยน้อยก็มักจะขอเติมซุปเพื่ออุ่นร่างกายจนกระทั่งหมดหม้อ

    “อะไรที่ทำให้เธออยากมาเป็นผจญภัยตั้งแต่แรกล่ะ Shirley?”

    เมื่อท้องของพวกเขาเต็มอิ่มแล้วพวกเขาก็เริ่มเข้านอน Leia จึงได้ถาม Shirley ด้วยความอยากรู้

    “…มีบางอย่างที่ฉันจะต้องตอบจริงๆหรือ?”

    “ก็ไม่จริงๆหรอก แต่มันน่าจะมีอะไรบางอย่างมารบกวนเธออยู่ใช่มั้ย? ฉันก็แค่อยากรู้เรื่องเธอให้มากกว่านี้นะ เนื่องจากเราก็เป็นปาร์ตี้ด้วยกันแล้วล่ะ”

    ถึงแม้ Shirley จะจ้องเธอไป สีหน้าร่าเริงของกึ่งเอล์ฟก็ดูท่าจะไม่เปลี่ยนไป

    มันคงง่ายที่จะอยู่อย่างเงียบๆตรงนี้ แต่อาจจะทำให้เกิดความแตกแยกในปาร์ตี้ระหว่างสองคน

    ราวกับโดนพิษจากดวงตาสอดรู้สีทอง อสูรดาบสีขาวที่ดูท่าทางโดดเดี่ยวที่ไม่เป็นมิตรจึงตัดสินใจพูดออกมา

    “มันก็ไม่ได้มีเหตุผลอะไรพิเศษหรอกนะ ฉันทำเพื่อลูกสาวสองคนของฉันนะ”

    “ลูก…ลูกสาวหรือ!? Shirley แต่งงานแล้วหรือ!?”

    “เอาจริงสิ!? อายุน้อยแค่นี้นะ!?”

    “น้อยหรือ… ฉันเป็นผู้หญิงวัยกลางคนที่เพิ่งจะ 30 เองนะรู้มั้ย มีลูกสาวตอนอายุเท่านี้มันก็ไม่แปลกอะไรหรอก”

    “จริงด้วย Shirley เป็นพวกอมตะนี่…”

    Kyle เกือบจะลืมความจริงเรื่องนั้นและก็ยังนึกว่า Shirley เป็นแค่วัยรุ่น จริงๆแล้วการมีลูกสาวอายุเท่านี้ก็ไม่ได้แปลกอะไร แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจในอกของ Kyle

    “เอ่อ… คือว่า งั้นหมายความว่าคุณมีสามีใช่มั้ย คุณ Shirley…?”

    “ไม่นี่ ฉันพาพวกเค้ามาเองโดยที่ไม่แต่งงานเพราะ… ก็… มันมีอะไรหลายๆอย่างนะ”

    จะบอกว่า Shirley ปฏิเสธที่จะพูดอะไรต่อแล้วก็ลุกขึ้นมา

    ความรู้สึกแปลกๆในหน้าอกนี้แค่คิดไปเองหรือ? มันเหมือนกับว่าไม่เคยรู้มาก่อนตอนที่เธอพูดแบบนั้น

    “ดึกแล้วล่ะ ฉันจะดูลาดเลาก่อน แต่ก่อนอื่นฉันจะไปและกางกับดักเอาไว้รอบๆแคมป์นะ”

    “โอเค ฝากเธอด้วยล่ะกัน”

    ขณะที่ Shirley ออกไปพร้อมกับขวดที่มีกลิ่นหอมที่ออกแบบมาให้ขับไล่มอนสเตอร์นั่น Leia ก็มองเธอเดินออกไปแล้วก็พูดมาเบาๆ

    “ตอนที่เธอเป็นกึ่งอมตะนั้นแผลของเธอก็ฟื้นฟูกลับมาไวมาก ใช่มั้ยล่ะ? นั่นหมายความว่าคุณ Shirley ไม่ได้เป็นห่วงเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บหรือตายระหว่างการต่อสู้เลย จึงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมเธอถึงโด่งดัง จะทำแบบนี้เพื่อให้มีร่างกายที่ดูละไมบ้างดีมั้ยเนี่ย”

    “ยัยบ้าาา ไม่ใช่ว่าพลังนั่นมันจะสบายตรงไหน กึ่งอมตะนั่นก็แค่ไม่ใช่อมตะโดยสมบูรณ์สักหน่อย เธอไม่ได้แค่ตัวเตี้ยอย่างเดียวแต่รวมไปถึงสมองนกด้วย หือ?”

    “หาาาา!? นายเรียกใครว่าเตี้ยกันย่ะ ไอ้จอมอ้วก!?”

    “อวั้ก!? ธ-เธอ!? บังอาจเตะหน้าฉันนี่มันเกินไปแล้วนะโว้ย!!”

    Kyle อยากจะเข้าไปหยุด แต่ Asterios เข้ามาจับบ่าจากข้างหลังแล้วก็เขย่าหัวเสีย

    ตรงนี้เอง จึงน่าจะดีกว่าที่จะปล่อยให้พวกนั้นไปแล้วก็กลับไปนอนเสีย เหมือนกับว่าเขาพูดอะไรมา ถึงแม้ว่า Kyle จะยังเป็นห่วงว่า Cudd นั้นได้พูดอะไรออกมาก่อนที่จะถาม Asterios ถึงเรื่องนั้น

    “เอ่อ ก่อนหน้านั้นที่ Cudd บอกว่ากึ่งอมตะนั้นเป็น ‘อมตะที่ไม่สมบูรณ์แบบ’ นั้นหมายความว่ายังไงครับ?”

    โดยทางเทคนิคแล้ว สิ่งมีชีวิตใดๆที่มีความฉลาดสูงมากพอที่จะรู้วิธีบรรลุกึ่งอมตะได้ แต่เทียบกับจำนวนมนุษย์แล้วมีน้อยยิ่งกว่าอะไรอีก

    ด้วยเหตุผลนั้น จึงมีน้อยคนมากที่รู้ถึงรายละเอียดเกี่ยวกับสภาวะแบบนั้น และ Kyle เองก็ยังกระตือรือร้นที่จะค้นหาเกี่ยวกับประเภทของอมตะนี้ให้ได้

    “อมตะที่ไม่สมบูรณ์แบบนั้น… มันก็ถูกต้องจริงๆนั่นแหละ ข้าไม่เคยได้ยินว่าพวก ‘อมตะ’ ใดๆจะเป็นอมตะได้จริงๆหรอก และกึ่งอมตะนั้นก็เหมือนกัน ข้าเองก็เคยสู้กับพวกกึ่งอมตะนั้นมาก่อน และข้าก็สรุปได้ว่าถ้าเจ้อทำลายสมองนั้น มันก็จะตายเหมือนกับกรณีใดๆนั่นแหละ”

    Asterios ตบหน้าผากเขาไปสองครั้ง

    กึ่งอมตะนั้นเกิดจากการหล่อรวมของจิตใจ ร่างกายและวิญญาณที่ไม่อาจฟื้นฟูได้ถ้าหากทั้งจิตใจและร่างกายได้รับความเสียหายจากการโจมตีที่สมอง

    ทฤษฎีที่โดดเด่นก็คือจำนวนการฟื้นฟูที่เสียไปถ้าสมองได้รับความเสียหาย

    “ไม่ต้องกล่าวเลยว่า ความสามารถในการฟื้นฟูนั้นก็สามารถเป็นจุดอ่อนในตัวมันด้วย”

    “เอ๋? หมายความว่ายังไง? สิ่งที่ผมเห็นมา ไม่มีทางที่ร่างกายที่ฟื้นฟูกลับมานั้นจะมีอะไรนอกจากความแข็งแกร่งนี่”

    “ก็อย่างที่ Cudd บอกกับตัวเองก่อนหน้า ไม่มีความสามารถที่สะดวกสบายใดๆจะสามารถฟื้นฟูร่างกายและรักษาแผลได้อย่างไม่จำกัด การรักษาทั้งหมดจะต้องใช้พลังงานเยอะมากเลยนะ”

    ทั้งกายภาพและพลังเวท ทั้งร่างกายและวิญญาณต่างก็ถูกดูดซับไปใช้ในการฟื้นฟู… ต่อให้คนธรรมดาจะรู้ความลับของความอมตะนั้น พวกเขาก็จะไม่อาจจะฟื้นฟูได้แม้แต่ปลายนิ้ว อย่างน้อยสุดจะฟื้นฟูร่างกายได้ตั้งแต่คอลงมาเท่านั้น

    “การบังคับให้ฟื้นฟูนั้นคือจุดอ่อน แน่นอนว่ามันก็ดีจะหากเจ้าสามารถจัดการมันได้ในเพียงคราวเดียว แต่ความอ่อนล้าจะเกิดเร็วมากถ้าโจมตีแบบนั้นไปยังจุดที่ไม่จำเป็นก่อนโดยบังคับให้มันฟื้นฟูร่างขึ้นมานะ”

    สัตว์ประหลาดที่รู้จักนั้นต่างก็มีจุดอ่อนทั้งนั้น เหมือนกับสลับขนาดของมังกรหรือไม่ก็ผลกระทบของแสงอาทิตย์ที่เกิดขึ้นกับแวมไพรนั่นแหละ แต่มันก็ยากสำหรับพวกที่แกร่งที่สุดและอ่อนที่สุดจะเป็นอย่างเดียวกันเหมือนกับกึ่งอมตะได้

    “แน่นอนว่า นั่นก็ไม่ได้บอกว่ากึ่งอมตะนั้นอ่อนแอหรอก พวกนั้นได้รับความสามารถพิเศษที่ตื่นขึ้นมานะ”

    ความสามารถพิเศษนั้นเป็นความสามารถเหนือธรรมชาติที่มิอาจมีศาสตร์เวทใดๆรู้ถึงได้ แต่เดิมกึ่งอมตะนี้ก็ตื่นได้ด้วยดวงตาที่แข็งกร้าวเหมือนกับของบาซิลิสก์ แต่สุดท้ายพลังเฉพาะตัวก็เริ่มปรากฏขึ้นมา

    เพราะความแข็งแกร่งของพวกนั้น บางครั้งพวกมันก็ถูกล่าด้วยมอนสเตอร์ด้วยกันเอง ยิ่งกว่านั้นเพราะพลังนั้นอยู่เหนือกว่าเวทมนตร์สามัญสำนึกใดๆที่จะบอกได้แล้ว

    “พูดอีกอย่างก็คือ สำหรับกึ่งอมตะแล้ว ความสามารถในการฟื้นฟูร่างกายนั้นมันก็ได้มางั้นๆแหละ คุณค่าที่แท้จริงนั้นมันยิ่งกว่าร่างกายที่ไม่มีอายุนั้นอีกสินะ”

    “ข้าเองก็สู้กับพวกกึ่งอมตะมาที่น่าจะใช้เวทและควบคุมเพลิงได้ ข้าเองก็สงสัยเหมือนกันว่าความสามารถของตัว Shirley นั้นคืออะไร แต่ไม่ว่ายังไงเธอก็ไม่บอกเราแน่นอน”

    Kyle หันไปมองยังที่ๆ Shirley ออกไป

    ในใจของนักดาบเดี่ยวนั่นมันอะไรกัน ใครที่ไหนที่พยายามต่อสู้บนเส้นแบ่งระหว่างมนุษย์กับมอนสเตอร์ในขณะที่เธอต้องมาเลี้ยงดูลูกสาวบ้างเนี่ย?

    เขามองด้วยความรู้สึกเศร้าใจ ขณะที่เขานึกหน้าอกก็เริ่มอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกที่คุ้นเคยเหล่านั้น

    (ผมอยากจะตอบแทนเธอสักทาง… แต่ผมพอที่จะทำอะไรให้เธอได้บ้างล่ะ…?)

    เพื่อที่จะบอกความรู้สึกของเขาให้กับเธอ เขาต้องแกร่งพอที่จะมีใครคอยยืนอยู่เคียงข้างเธอได้ แต่ความฝันนั้นมันสูงพอๆกับสวรรค์และก็หายวับเป็นดาวตกไป

    ขณะเดียวกัน Shirley ก็ยังมีเรื่องลำบากใจอยู่

    “ฟูววว… ฉันต้องกลับไปเติมกำลังด้วยพลังของลูกสาวแล้ว……อาา… ฟื้นชีพแล้ว…”

    ขณะที่เธอกำลังวางล้อมแคมป์ด้วยกลิ่นที่เย้ายวนอยู่นั้น แม่คนนั้นก็เอาแต่จ้องดูรูปลูกสาวที่เธอซ่อนไว้ในนาฬิกาพกที่อยู่ในระหว่างหน้าอก และก็หายใจเข้าออกด้วยความสดชื่นราวกับเธอจะฟื้นฟูสภาพกลับมาเต็มเปี่ยม
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนเปิดให้แสดงความคิดเห็น “เฉพาะสมาชิก” เท่านั้น
    ×