ลำดับตอนที่ #15
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง
ขณะที่มังกรยังคงฝืนลุกขึ้นหลังจากที่ลงไปนอนกองด้วยอุ้งเท้า Shirley ก็จับดาบไว้ในมือเธออย่างมั่นคง
สำหรับมังกรที่อยู่ระดับสูงขึ้นไป ความสามารถในการฟื้นฟูตัวเองนั้นไม่ปกติ มันเป็นลักษณะของร่างใหญ่หรือ? มันมีความปรารถนาที่จะสู้รบหรือ? หรือว่าสำหรับมังกรโบราณแล้วมันเป็นความภาคภูมิใจหรือ? โดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น พวกมันไม่อาจเอาไปเปรียบกับมังกรที่อยู่ระดับต่ำกว่าได้เลย
เพราะฉะนั้น ต่อให้จัดการฟันแบบขั้นร้ายกาจกับมังกรสงครามที่อยู่ต่ำกว่าสองระดับได้ ก็ยังไม่ปกติสำหรับมังกรโบราณที่สามารถฟื้นฟูร่างกายที่บาดเจ็บเช่นนี้ได้
อย่างไรก็ตาม การฟื้นฟูตัวเองนั้นก็ไม่ใช่ลักษณะตามธรรมชาติของมังกรโบราณสักเท่าไร แต่ก็มีบางอย่างที่ใช้กับเวทมนตร์นั้นได้เช่นกัน หากมีการฆ่าแบบทันที เวทมนตร์เช่นนี้ก็จะไม่มีความหมายเลย
การฟันที่ Shirley ได้จัดการตรงที่คอของมังกรก่อนที่จะถูกฆ่าไปนั้น เธอไม่ได้แค่ฟันที่หลอดเลือดที่คอ เธอยังตัดผ่านไปถึงกระดูกสันหลังด้วยคลื่นคมดาบด้วย
การตัดทั้งกระดูกสันหลังและหลอดเลือดที่คอนั้นดีพอๆกับตัดหัวเลย ต่อให้ศัตรูของเธอเป็นมังกรโบราณ มันก็ยังตายโดยที่ไม่น่าจะมีโอกาสแม้แต่จะใช้ฟื้นฟูร่างกายด้วยซ้ำ
“นี่มัน… ฉันท่าจะเจอของหายากเข้าแล้ว”
อย่างไรก็ตาม บาดแผลสาหัสที่เธอได้เชือดตรงคอมังกรนั้นก็ได้เริ่มรักษาชนิดที่เกินกว่าเวทฟื้นฟูตัวเองเสียอีก
มันก็คล้ายๆกับ Shirley ที่เข้าใจเหตุผลเบื้องหลังได้ทันที
“มังกรกึ่งอมตะ… ฉันท่าจะเข้าไปสู่เรื่องยุ่งยากเข้าแล้ว”
ถ้าเปรียบเทียบกับมอนสเตอร์ที่อยู่ต่อหน้าเธอกับตัวที่เธอคาดว่าจะต้องสู้ด้วยแล้ว ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นสถานการณ์ที่ยุ่งยากเข้าให้แล้ว
สิ่งมีชีวิตใดๆที่อาศัยอยู่ยาวนานพอจะเริ่มไม่ธรรมดาไม่่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง นั่นทำไมสามัญชนถึงมองเผ่าพันธุ์ที่อายุยืนอย่างมังกรเริ่มกลายเป็นกึ่งอมตะเมื่อเปรียบเทียบกับมนุษย์ แต่ก็ยังมองหาได้ยากอยู่ดี
ยิ่งกว่านั้น มันก็ง่ายที่เข้าใจที่ความฉุนของ Shirley เมื่อพิจารณาว่ามังกรกึ่งอมตะนั้นมันน่าจะฟื้นฟูตัวเองต่อเนื่องได้มากกว่ามนุษย์กึ่งอมตะอีก
ถ้าหากปะทะด้วยกำลังรุนแรงสักสี่ครั้งใส่มนุษย์กึ่งอมตะ มันก็อาจจะขยับไปไม่ได้เพราะจะต้องใช้พลังงานมากแค่ไหนในการฟื้นฟูกลับมา แต่พลังเวทของมังกรที่หมดไปนั้นสามารถรักษาได้อย่างน้อยสิบเท่าของอาการบาดเจ็บอย่างรุนแรงเลยล่ะ
“คุๆๆ อะไรหรือ? ทำสีหน้าไร้แววเลยนะ”
มังกรพูดจาดูถูกใส่ Shirley ที่เพิ่งจะจัดการมันให้เกิดบาดแผลสาหัสไป เดาว่าเธอน่าจะไม่เหลือความหวังแล้ว
“เจ้าอาจจะตีนไว แต่มันก็แค่อุบายตื้นๆเอง มันไม่มีความหมายกับผู้ยิ่งใหญ่อย่างตัวข้-”
Shirley ฟันใส่คอมังกรก่อนที่มันจะพูดจบ
“แก…! ไม่เพียงจะขัดคำพูดของข้าเพียงครั้งเดียว แต่ถึงสองครั้งเลย…!”
“ฉันไม่มีเวลามายืนฟังคำพูดที่น่าเบื่อของแกหรอกนะ”
ขณะที่มังกรกระอักเลือดออกมาอีกครั้งและก็เริ่มฟื้นฟูบาดแผล Shirley ก็หยิบเอานาฬิกาพกมาดูเวลาอีกครั้ง
“ฉันจะฆ่าแกให้ได้ก่อนเที่ยงนี้ และจะปิดงานหลักอีกไม่นานหลังจากนั้น ฉันน่าจะได้ทานข้าวเย็นกับลูกสาวในวันพรุ่งนี้ เพื่อการนั้น ฉันต้องทำให้แกรีบๆตายไปซะ”
สำหรับ Shirley มังกรนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ ต่อให้เป็นมังกรโบราณมาอยู่ต่อหน้า เป้าหมายหลักของเธอก็คือหาวัสดุที่สวยงามให้กับลูกสาวมาเป็นของขวัญในอายุที่ย่างถึงที่อยู่ที่ไหนสักแห่งในเหมือง
“ยัยผู้หญิงสามหาวที่ชั่วช้า…! ตลอดชีวิตนี้ ข้าไม่เคยเจอกับคนที่อาจหาญอย่างเจ้า…!!”
สำหรับมังกรโบราณแล้ว การถูกยุด้วยการหมิ่นนั้นแย่ยิ่งกว่าบาดแผลที่ถูกฟันผ่าถึงข้างใน ไปถึงความภาคภูมิใจของมันเลย
“ความโอหัง! ความอวดดี! จงสำนึกผิดในโลกหน้าเถอะ!”
ที่พูดมานั่นน่าจะเป็นเวทมนตร์ที่เกี่ยวข้องกับการบินของมังกร ปีกนั้นดูเหมือนว่าจะเล็กเกินไปสำหรับร่างของมัน
ขณะที่ปีกทั้งสี่ได้กระพือออกมา มันก็ทำให้เกิดฝุ่นคลุ้งกรจายด้วยขาขณะที่มันขึ้นสู่ท้องฟ้า
ทำไมมังกรถึงได้รับพิจารณาว่าเป็นมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งที่สุด? ในขณะที่มีความแข็งแกร่งทางกายภาพแล้ว พลังเวทมนตร์กับขนาดรูปร่างก็น่ากลัว มันอันตรายจริงๆก็ตรงที่มันขยับร่างกายขนาดใหญ่ได้อย่างไร ด้วยการโจมตีที่ยากจะคาดเดาได้และก็ยังสวนกลับได้ยากด้วย
ที่แตกต่างจากมังกรน้ำที่ว่ายน้ำในทะเลและมังกรดินที่เจาะทะลุผ่านดินและหิน มังกรประเภทอื่นๆทั้งหมดก็สามารถบินขึ้นบนท้องฟ้าได้อย่างง่ายดาย แล้วถ้าเกิดว่ามันใช้ลมหายใจเพลิงจากความสูงเช่นนั้นได้ด้วยล่ะ?
คนธรรมดาแค่โดนพลังโจมตีทางกายภาพของมังกรก็แย่เอาแล้ว แล้วจะมีใครที่ไหนบ้างทำได้เมื่อต้องอยู่บนพื้นดินแล้วมาต่อกรกับมอนสเตอร์ที่ลอยกลางอากาศได้แบบนี้ล่ะ?
“…”
“อะไ-!?”
ด้วยเหตุบางอย่าง มังกรถึงกับเซอร์ไพรเมื่อ Shirley พยายามยกระดับความสูงมาให้ถึงในระดับเดียวกับมัน
เธอไม่ได้ใช้เวทบิน ดาบใหญ่นั้นก็น่าจะเป็นของเผ่ายักษ์ที่ถูกปักอยู่บนพื้นด้วยมุมนั้นอยู่แล้ว และ Shirley ก็ได้วิ่งไปบนความยาวของดาบนั้นเพื่อที่จะขึ้นไปยังหลังมังกร แล้วเอาดาบเรเปียร์แทงบนจุดอ่อนของปีก
“GWAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAOOOOOOOOOOOOOOO!!”
พอมันสูญเสียความสามารถที่จะอยู่กลางอากาศได้เนื่องจากถูกดาบแทง เจ้ามังกรแก่นั่นก็ร่วงตกลงใส่กองหินด้วยความเจ็บปวดทรมาน แต่การโจมตีของ Shirley ยังไม่หยุดแค่นั้น
เธอปล่อยดาบเรเปียร์ไว้ตรงนั้น แล้วก็จับดาบสองมือเล่มใหม่แล้วก็วิ่งไปยังที่ด้านข้างของร่างใหญ่ของมังกร พามันลงมาจากท้องฟ้า แล้วที่เหลือก็ฟันเข้าจุดอ่อนข้างกึ่งอมตะอย่างรวดเร็ว นั่นคือสมอง
กระทำการได้ฉับไวมาก เธอได้อยู่ในตำแหน่งที่ตัดผ่าเข้าไปยังกะโหลกมังกรจากหลังหัว จู่ๆดาบของเธอก็ถูกหยุดโดยม่านบาเรียแสงขาว
“…ชิบ”
มันแตกต่างจากเทคนิคของ Asterios แต่ก็ยังคงเป็นเวทบาเรียเหมือนกัน มันไม่ปกติสำหรับมังกรระดับเช่นนี้ที่สามารถใช้เวทบาเรียได้ และ Shirley ก็น่าจะจัดการฉีกทะลวงผ่านไปได้เช่นกัน แต่เวทมนตร์นั้นก็พอที่จะซื้อเวลาให้มังกรยกหัวหลบดาบของ Shirley ไปได้
“คิดที่จะเอาแต่เก็บหัวไว้เลยหรือไง?”
บาเรียที่อยู่รอบกะโหลกมังกรนั้นมีจุดประสงค์ในการป้องกันจุดอ่อนที่แท้จริงของกึ่งอมตะ เธอจึงโดดให้ออกห่างจากหัว Shirley เริ่มที่จะฉีกร่างมังกรขณะที่เธอวิ่งผ่านด้านข้าง
เธอเฉือนผ่านร่างที่ใหญ่และแข็งพอๆกับเหล็กอย่างชำนาญ Shirley เริ่มที่จะฟันเส้นเอนและหลอดเลือดมังกรที่ต้องขยับแขนขาให้เร็วกว่าที่มันจะฟื้นฟูร่างกายได้
“ก-แก…! ไอ้ตัวจองหอ-!”
Shirley เชือดเข้าที่คอมันอีกครั้ง ตัดคำพูดสั้นๆของมันเป็นครั้งที่สาม มังกรถูกฟันไปรอบตัวจนเลือดไหลนองไปหมด ทั้งๆที่ผ่านไปเพียงแค่สิบวินาทีนับตั้งแต่ร่วงตกลงพื้นโลก
กระดูกหักไปหลายซี่และก็ยังร้าวไปถึงอวัยวะภายในตอนที่มันตกพื้น แต่ขณะที่ Shirley เพิ่งจะจับดาบใหม่ในมือ เธอก็ถูกผลักด้วยคลื่นของพลังเวทมนตร์ที่ดูเหมือนจะแผ่ออกมาจากร่าง
“หืม”
Shirley ทำหน้านิ่ว ขนาดเธอได้จัดการกับมังกรจนมีบาดแผลสาหัสไปแล้วถึงสิบแห่งเป็นอย่างน้อย แต่พลังเวทนั้นมันกลับไปใช้รักษาบาดแผลที่ไม่เหมือนว่ามันจะหมดลง
(ถ้าเป็นอะไรก็ตาม มันก็ไม่เพิ่มขึ้นหรือ?)
บาดแผลที่เธอทำเอาไว้ถูกรักษาเพียงแค่ไม่กี่วินาที รวมทั้งความแข็งแกร่งด้านกายภาพก็กลับมาครบถ้วนด้วย นี่มันไร้เหตุผลเลยล่ะ
พลังเวทน่าจะเอาไปใช้เสริมสร้างกำลังขึ้นมาใหม่ราวกับยาหรือไม่ก็เครื่องมือเวท แต่มังกรกลับไม่ได้ใช้เทคนิคทั้งสามอย่างที่ Shirley นั้นรู้จักเลย พลังเวทที่เยอะแยะมากมายนั้นมันปั๊มเข้าร่างของมัน
“เข้าใจล่ะ… งั้นนี่ก็คือทักษะเฉพาะด้านสินะ หืม?”
พลังเหนือธรรมชาติที่สถิตอยู่ในร่างอมตะ เป็นพลังเวทโดยอิสระ เธอไม่รู้รายละเอียดเต็มๆสักเท่าไร แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นรากฐานสำหรับพลังเวทมนตร์การฟื้นฟูของมังกร
“คุฮ่าๆๆ! เจ้ายอมจำนนต่อความสิ้นหวังกับพลังเวทมนตร์ที่ไร้ขีดจำกัดของข้าแล้วหรือ? เจ้ารู้ช่องว่างระหว่างเราหรือยัง?”
จำนวนของแผลบนกึ่งอมตะสามารถฟื้นฟูได้โดยตรงกับจำนวนของพลังเวทที่ใช้ พอๆกับหัวที่ถูกปกป้องอยู่ กึ่งอมตะสามารถใช้พลังที่ไม่จำกัดฟื้นฟูแผลได้อย่างไม่จำกัดราวกับว่ามันจะเป็นอมตะอย่างแท้จริง
Shirley ไม่ได้ดูถูกมังกรโบราณที่อยู่ต่อหน้าเธอ เธอมาเพื่อที่จะจบชีวิตมันดีๆก่อนหน้านี้ เพียงแต่ถูกหยุดโดยบาเรียที่คลุมหัวมันเท่านั้นแหละ
มันเป็นการกระทำอันขี้ขลาดสำหรบมังกรที่หยิ่งผยองเช่นนี้ แต่มันก็เป็นวิธีที่มั่นใจที่สุดที่มันจะชนะในศึกนี้
“นอกจากแผลของข้าจะรักษาได้ไม่มีสิ้นสุดแล้ว เจ้าก็ยังเอาพลังไปใช้สูญเปล่าด้วย ถึงเจ้าจะโอ้อวดว่าจัดการข้าได้ก่อนเที่ยงก็ตาม แล้วความอาจหาญนั่นมันคืออะไรถ้าเจ้าทำด้วยตัวเองเพื่อนิ่งอยู่เฉยๆในขณะที่ข้ายังอยู่ล่ะ?”
ถ้าหากวงจรยังวนซ้ำต่อไป มันก็ย่อมจะนำไปสู่ความพ่ายแพ้ของ Shirley ได้ มังกรเจ้าเล่ห์นี้กำลังมองดูฉากเช่นนั้นอยู่
“มิหนำซ้ำ ข้าก็ยังมองเห็นทริคของเจ้าทั้งหมดแล้ว! ดาบนั้นที่ปรากฏในมือไม่มีค่าอะไรนอกจากเป็นผลผลิตของจินตนาการแปรธาตุไม่ใช่หรือไง?”
จากความรู้ที่สั่งสมมา มันถึงกับรู้ความลับของเบื้องหลังเทคนิคของเธอที่แม้แต่นักผจญภัยที่อยู่ในกิลด์ก็ไม่อาจเข้าใจได้เต็มที่
การแปรธาตุจะทำให้สามารถเลียนแบบสิ่งของที่มีอยู่ เป็นศาสตร์ลับที่สามารถสร้างอะไรก็ได้จากที่ไม่มี จินตนาการแปรธาตุที่เธอใช้ในการย่อยดาบใดๆที่เธอถือแล้วก็กลับมาเลียนแบบด้วยเวทมนตร์
เนื่องจากการสร้างเลียนแบบนั้นใช้เวทมนตร์ ถ้าหากหลุดมือไปมันก็จะหายหลังจากผ่านไปสักพัก ยิ่งกว่านั้น เนื่องจากเทคนิคนี้ใช้ได้กับดาบธรรมดาที่ไม่ย้อมด้วยพลังเวท ส่วนที่เป็นประโยชน์นั้นจะต้องอาศัยทักษะของนักดาบที่เคยใช้มัน ดังนั้นจึงมีไม่มากที่คนจะใช้มันได้
ราวกับว่าตั้งใจสาธิตให้ดู เรเปียร์ที่เธอแทงปีกมังกรกับดาบยักษ์ที่เธอใช้ในการโดดขึ้นไปกลางอากาศต่างก็จางหายไปทั้งคู่
“เจ้าไม่ได้ครอบครองอาวุธคู่กายใดๆเลย ใช้เพียงแค่เครื่องประดับเล็กๆมาดึงอาวุธจากเวทพิ-”
“แกก็ได้เห็นมันมาได้สักพักแล้วนี่”
สำหรับผู้ที่มีความภาคภูมิใจในความรู้ของตัวเอง มันดูเหมือนจะเข้าใจเทคนิคและความสามารถของศัตรู ดังนั้นมันก็รู้ได้ว่าจะเคลื่อนไหวต่อไปยังไง
และแน่นอน นอกจากจะใช้เวทมนตร์ฟื้นฟูอย่างไร้ขีดจำกัดแล้ว ศัตรูของเธอก็ยังเปิดเผยเวทของเธอที่เป็นข้อเสียเปรียบอย่างชัดเจนด้วย
แต่ถึงกระนั้น Shirley ก็ไม่ได้แสดงความกลัวเลยแม้แต่น้อย ขณะที่เธอตัดคอหอยของมังกรและจบการสาธยายของมันเป็นครั้งที่สี่
“ในหมู่นักผจญภัย ถือว่าโชคร้ายที่มัวแต่เอาเวลาไปพูดถึงความสามารถของศัตรูนะ… ‘เดธแฟล็ก’ คือสิ่งที่พวกเขาใช้ รู้หรือเปล่าล่ะ?”
ด้วยแรงที่เธอมีทั้งหมด เธอเริ่มเชือดร่างกายมังกรไปทั้งร่างจากหัวที่ป้องกันด้วยเวทบาเรีย
สำหรับผลในชั่วระยะหนึ่ง การตัดร่างไปเรื่อยๆจนกว่ามันจะขยับตัวไม่ได้อีก ต้องขอบคุณมังกรที่พยายามเริ่มพูดทุกครั้งที่มันรักษาร่างกายแทนที่จะรีบโจมตี ในที่สุด Shirley ก็เห็นส่วนที่เธอต้องการจะตัดที่สุด
“…ตรงนั้น!”
ในที่สุดเธอก็ใช้กำลังรุนแรงเป็นครั้งแรกในศึกนี้ ดาบโค้งที่ถือในมือได้ผ่ากลางช่วงท้องของมังกรที่เอื้อมไม่ถึงต่อหน้า แล้วมังกรก็เริ่มฟื้นฟูเต็มที่… ร่างของมังกรโบราณที่ต้องอาศัยพลังเวทที่ไร้ขีดจำกัดเริ่มรู้สึกถึงความล้าที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน
“แกกกกกกกกกก…! แกทำอะไรกันนนนนน!!!???”
“ฉันว่าแกน่าจะรู้นี่ว่าฉันทำอะไร”
เสียงที่ผลุนผลันตามปกติ อสูรดาบสีขาวพูดราวกับเธอไม่ได้มีอะไรพิเศษ
“พลังเวทที่ไม่รู้จักเหนื่อยที่แกดึงมาจากโลกนั่น… ฉันก็แค่ตัดการเชื่อมออกไป แค่นั้นแหละ”
มังกรโบราณไม่รู้ตัวมาตั้งแต่มันไม่ได้เฟี้ยงใส่ Shirley เลยแม้แต่ครั้งเดียว ว่าตัวเธอเองก็เป็นกึ่งอมตะด้วย
และมันก็ไม่รู้ว่าพลังที่ได้มานั้นอยู่ในเบื้องลึกของดวงตา จากวันที่เธอหนีออกจากที่คุมขังและถูกทรมานจากชายที่เธอรักที่สุด ดวงตาคู่นั้นก็เห็นทั้งหมด
ทั้งการเคลื่อนไหวด้วยความเร็วที่ไม่อาจมองเห็น
ทั้งการหมอบตัวที่มองไม่เห็นภายใต้บาเรียหรือโล่
แนวคิดและคำสาป นามธรรมและรูปธรรม ‘อำนาจ’…
แม้แต่คำโกหกในอีกไม่กี่วินาทีในอนาคตด้วย
อย่างไรก็ตาม ตานั้นก็แค่มองเห็นได้เอง มันก็ไม่มีผลใดๆต่อตัวผู้ใช้เอง นั่นคือธรรมชาติของพลังของผู้หญิง
“น-นึกไม่ถึงเลย! เพื่อที่จะตัดพลังโดยไม่ให้มีร่างกายภาพเพียงแค่แกว่งดาบนั่น ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้เลยนี่…!”
“จะกายภาพหรือไม่ มันก็ไม่เปลี่ยนความจริงที่ว่ามันยังอยู่ตรงนั้น ฉะนั้นฉันจึงได้ตัดสินใจทำลายมัน… ก็มีอยู่แค่นั้นแหละ”
ครั้งนี้มังกรโบราณถึงกับพูดไม่ออก มันไม่รู้ว่าจะหาคำพูดมาตอบโต้ยังไง
เธอมองเห็นทุกอย่าง แม้แต่ความสามารถเฉพาะตัวของมังกรนั้นก็ไม่มีข้อยกเว้น เธอจึงมองเห็นได้ถึงตัวตนของมัน
และถ้ามันมีตัวตน เธอก็สามารถตัดมันได้ ต่อให้มันเป็น ‘พลัง’ ที่ไม่มีรูปธรรมก็ตาม อะไรที่เธอมองเห็นก็สามารถตัดได้ ดาบนั้นอยู่นอกเหนือจากกฎธรรมชาติ ฉายาของ Shirley ที่ว่าอสูรดาบสีขาวมาจากทุกอย่างถูกฟาดฟันต่อหน้าดาบของเธอ
“เอาล่ะ… ด้วยสิ่งนั้น ฉันก็จะไม่มามัวฟังเรื่องโม้เกี่ยวกับพลังของแกอีกแล้ว สิ่งที่เหลือก็คือจบชีวิตแกซะ”
ขณะที่เธอฟาดดาบไปยังตรงนั้น มังกรโบราณก็ได้เห็นเงาของเทพสงคราม
ก่อนหน้านั้นเล็กน้อย
“จ่าฝูงหรือ?”
Kyle เอียงหัวด้วยความสงสัยต่อ Asterios ขณะที่พวกเขายืนต่อหน้ากองไหม้ของพวกแบดโบโนโบ
“ใช่ ด้วยจำนวนที่ใหญ่อย่างนี้ มันก็น่าจะมีมอนสเตอร์สักตัวที่ทำตัวเป็นจ่าฝูงที่รู้จักกันใน ‘ซิลเวอร์แบก’ พวกเจ้าทั้งสามไม่เห็นมันเลยหรือ? มันน่าจะใหญ่กว่ารังและปกปิดด้วยขนสีขาวนะ”
เหมือนอย่างกับก็อบลินควีน ฝูงใหญ่ใดๆน่าจะมีตัวจ่าฝูงอยู่ ถ้าไม่มีจ่าฝูงในฝูงที่ใหญ่แบบนี้มันก็น่าจะผิดปกติอย่างมากแล้ว
ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขารู้สึกไม่ดี หลังจากที่ลูบคางด้วยเสียงพึมพำ Asterios ก็เอาลูกบอลคริสตัลกับตาก้อนหินติดปีกออกจากกระเป๋า
“นี่มันอะไรนี่?”
“นี่คืออุปกรณ์เวทมนตร์ที่ใช้ในการส่องตาทิพย์ มันมักจะเอาไปใช้สำหรับการลาดตระเวน แต่อันที่ข้าเอามานี้เราจะสามารถดูการต่อสู้ของ Shirley ที่อยู่บนยอดได้ ด้วยสิ่งนี้เราก็สามารถมองเห็นได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนยอดภูเขานะ”
เมื่อปล่อยออกไป ตาก้อนหินก็บินมุ่งหน้าไปยังภูเขาโดยปราศจากเสียง และหลังจากที่ Asterios ร่ายเวทสั้นๆ ก็มีภาพจากมุมมองของดวงตาฉายมายังลูกบอลคริสตัล
“หวา! นั่นมันสะดวกจริงๆเลย!”
พูดถึงหน่วยสอดแนมแล้ว Cudd อุทานที่เห็นพ้องด้วย ภาพที่ปรากฏออกมาจากมุมกล้างความสูงที่มนุษย์ไม่อาจมองเห็นได้ กำลังมองไปยังยอดเขา พวกเขาเห็นภาพที่ดูเหมือนกับเป็นศึกจากตำนาน
“…สุดยอด”
นั่นคือคำพูดที่เหมาะสม
นักดาบร่วมสมัยที่มีพลังล้นหลามกับมังกรโบราณ ทั้งความสามารถและเทคนิค ไม่มีอะไรที่พวกเขาสามารถจับการเคลื่อนไหวของเธอที่แท้จริงได้
Kyle จ้องไปยังคริสตัลด้วยความอิจฉา ปฏิธานของเขามาถึงความสูงพอๆกับเธอที่ไม่ได้มีกระดูกส่วนไหนแตกหัก เขาอยากจะเป็นนักผจญภัยมากๆที่วันหนึ่งจะได้ไปต่อกรกับมังกรดั่งเช่นนี้
“หืม? เดี๋ยวนะ… ดูนั่นสิ!”
Leia ชี้ตรงลูกบอลคริสตัล ตรงขอบของพื้นที่ต่อสู้นั้น มีโบโนโบผมขาวที่กำลังมองดูอยู่ ซิลเวอร์แบกนั่นเอง
“ข้ารู้สึกไม่ดีอย่างนี้เลย… ข้าไม่เข้าใจเหตุผลว่าทำไม แต่ดูเหมือนจะหนีรอดจากผลของเวทข้าไปได้”
“Asterios-san พอที่จะมีเครื่องมีเวทมนตร์ที่สามารถส่งข้อความไปยังอีกฝั่งหนึ่งได้มั้ย?”
Asterios สายหัวไปมาเงียบๆ
เขาไม่รู้ว่าโบโนโบจ่าฝูงนั้นคิดอะไรหรือทำไมถึงอยู่ตรงนั้น แต่แบดโบโนโบทั้งหมดที่อยู่ในเหมืองต่างก็อยู่ใต้การปกครองของมังกรนั้น
ถ้าเป็นแผนการแทรกแซงศึกระหว่างคนเก่งกับศัตรูตัวฉกาจล่ะก็ มันยากที่จะนึกภาพออกว่าจะเป็นยังไง
เขาหมดหนทางที่อยากจะเตือนเธอ แต่ด้วยเวลาที่เขาจะไปยังตรงนั้นมันก็น่าจะสายไปแล้ว และไม่เหมือนกับ Asterios ถ้าเขาไปยังตรงนั้นเขาก็เป็นได้แค่เพียงตัวภาระ
Kyle ถึงกับหัวร้อน แล้วก็เงยหัวขึ้นแล้วพูดในขณะที่มองไปที่ดวงตา Asterios
“Asterios-san ผมน่าจะหาทางใช้อุปกรณ์เวทมนต์ในการส่งเสียงผมไป มันน่าจะได้ถ้าผมลองและส่งด้วยมัน?”
“ไม่ได้ ข้าไม่ได้คิดอะไร แต่… มันจะเป็นไปได้กับเจ้าหรือ? มันยากที่จะดัดแปลงอุปกรณ์เวทมนตร์ที่คนอื่นเค้าทำมานะ”
“ผมเรียนรู้การใช้อุปกรณ์เวทมนตร์ระหว่างที่ศึกษามาด้วย ผมไม่อาจพูดได้อย่างแน่นอนว่าผมใช้มันได้…”
เขาจำคำร้องแรกของเขาได้ และความรู้สึกผิดนั้นก็ไม่เคยจางหายไปเลย
“แต่ผมไม่อยากอยู่ด้วยความรู้สึกผิดเพราะผมตัดสินใจที่จะไม่ทำอะไร”
จากนั้น Shirley นั่นก็ปล่อยการโจมตีที่พิเศษแบบใหม่ออกไป
พายุของเหล็กนั่นน่าจะจบชีวิตมอนสเตอร์ธรรมดาใดๆที่โดนเข้าไปได้ มังกรนั้นไม่อาจที่จะปกป้องหัวของมันได้
ตอนแรก มันพยายามจะยับยั้ง Shirley ด้วยไฟและเขี้ยว แต่ด้วยการโจมตีเช่นนี้ ทั้งหมดที่มันทำได้ก็คือหดหน้าและหลัง
พลังเวทมนตร์ที่ไม่รู้จักก็ถูกฟันทิ้ง และตอนนี้ร่างมันก็เริ่มเหนื่อยล้าจากการฟื้นฟูบาดแผลทั้งหมดเป็นจำนวนมาก
มันเป็นความอัปยศที่สุด มังกรโบราณที่ภาคภูมิใจถูกต้อนจนมุมโดยมนุษย์ตัวเล็กคนเดียวจ้องไปยัง Shirley ที่เกือบจะมองไม่เห็นแล้วก็หัวเราะให้กับตัวเองจากใจ
(แต่ นี่ก็เป็นพลังทั้งหมดที่เจ้ามีอยู่…! ด้วยการโจมตีครั้งเดียว ข้าก็จะหยุดเจ้าให้ดู…!)
มังกรโบราณนั้นเจ้าเล่ห์เหมือนงู มันเชี่ยวชาญในการจัดการเวทมนตร์ในหัว มันได้คุ้มกันซิลเวอร์แบกจากคำร่ายและทำให้มันซ่อนตัวอยู่ในก้อนหินรอโอกาสอยู่
(ไม่ได้ยินความอัปยศที่ต้องมายืมพลังจากผู้ที่ต่ำต้อยมาแล้ว… แต่มันน่าจะดีกว่าที่ต้องมาพบกับจุดจบละกัน…!)
ถึงแม้มันต้องใช้เวลาสักพักในการพูดคำร่ายออกมา จ่าฝูงก็สามารถร่ายเวทสื่อการที่เรียกว่า 《Burn Wall》 ได้
มันเป็นกำแพงเปลวเพลิงที่น่าจะออกมาถึงรัง แม้แต่นักดาบที่มีความเร็วเหนือมนุษย์ ก็ยังยากที่จะนึกภาพออกว่าเธอจะจัดการกับเวทมนตร์แบบนั้นและรอดมาได้
มังกรโบราณยังไม่แก่พอที่จะพลาดโอกาสนี้ได้ ถ้ามันกลืนเธอเข้าไปได้ ทั้งร่างกายและจิตใจของเธอก็อาจจะกลายเป็นข้าวต้มบดคาพื้น
(ใช่ โฟกัสที่ข้าต่อไปอย่างนั้นแหละ ข้าจะได้ทำลายเจ้าให้มันเต็มที่เลย…!)
ในจังหวะก่อนที่ซิลเวอร์แบกจะร่ายเวทไฟเสร็จนั่นเอง…
“คุณ Shirley ข้างหลังเธอ! ซิลเวอร์แบก!”
เสียงของเด็กหนุ่มที่ดังไปทั่วทั้งพื้นที่ ทำให้พวกนั้นมองตาขึ้นไป พวกนั้นเห็นของที่มีเสียงออกมา นั่นคือตาหินบินได้ที่มองไปยัง Shirley จากด้านบน
“ชิ!”
Shirley กระโดดขึ้นกลางอากาศโดยใช้มังกรเป็นสปริงบอร์ด แล้วก็บิดงออากาศเหมือนพระจันทร์เสี้ยว เธอขว้างดาบเล่มหนึ่งผ่ากะโหลกของซิลเวอร์แบกที่ซ่อนตัวอยู่
การลอบโจมตีทีเผลอที่มังกรยอมทิ้งความภาคภูมิใจเอาไว้เป็นเดิมพันนั้นถึงกับถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์
“ก-แกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!”
ตาของมันถึงกับโกรธจัด มันอ้าปากเพื่อที่จะพ่นไฟออกมาอีกครั้ง แต่ ไม่มีอะไรที่ต้องกลัว Shirley ได้ฟันผ่านเส้นเอนของมังกรแล้วก็ส่งมันกลับลงพื้น
การฟื้นฟูที่สม่ำเสมอก่อนหน้านั้น ตอนนี้มันไม่มีแล้ว และเลือดก็ยังคงไหลออกมาจากร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรง
มังกรนั้นได้รับบาดแผลสาหัสไปเป็นชุดจนในที่สุดมันก็หมดพลังเวทลง
“ม-ไม่มีทาง…! ข-ข้าเป็นมังกรตะวันตก…”
“ฉันไม่สนหรอก”
Shirley ตัดคอมังกร ด้วยสิ่งนั้น สติที่จางและความอัปยศของมังกรที่ชอบพูดคำสาธยายที่ไร้สาระก็ได้ดำดิ่งไปกับความมืด
หลังจากนั้น Shirley ก็ได้ลงมาจากภูเขาแล้วก็ต้อนรับปาร์ตี้ด้วยอีเต้อที่เธอถืออยู่บนบ่า ชวนให้ดูน่าสงสัยจาก Cudd
“อีเต้อนั่นมันอะไร?”
“มีบางอย่างที่ฉันอยากได้จากเหมือง ฉันจึงได้เอาอีเต้อมาด้วย”
“แล้วสมบัติที่มังกรเก็บไว้ล่ะ?”
“ก็ พวกนายมีส่วนร่วมในคำร้องโดยการฆ่าลูกน้องมังกรนี่ เพราะงั้นพวกนายก็เอาไปให้มากเท่าที่ต้องการได้เลย”
เอาจริงสิ!? ถึงแม้ว่า Shirley จะเทน้ำเย็นใส่ความฝันของ Cudd จนหายวับไปก่อนหน้านั้นทันทีก็ตาม
“ก็อย่างที่บอกไป พวกนายสามารถเอาไปให้มากเท่าที่เราจะเก็บไว้ในเกวียนได้”
“…อย่าทำให้มันกร่อยเร็วพอๆกับที่พูดสิ”
ขณะที่ Cudd เริ่มมุ่งหน้าไปยังภูเขาด้วยสีหน้าท่าทางสับสน Shirley ก็เดินเข้าไปหา Kyle
“นายเป็นคนบอกฉันเรื่องซิลเวอร์แบกในตอนนั้นใช่มั้ย? ฉันอยากจะพูดขอบคุณสักหน่อย”
“ม-ไม่ต้องหรอก! คุณ Shirley คุณน่าจะจัดการเอาเองเถอะ ผมก็แค่ทำอะไรที่ไม่จำเป็นเอง…”
“นั่นสิ นายอาจจะถูกก็ได้”
แต่ขณะที่เธอพูด Shirley ก็เดินไป
“ไม่มีอะไรที่แน่นอนในศึก ไม่ว่านายจะเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือผู้กล้า มันก็จะมีเวลาตอนที่เข้าสู่ยามคับขัน ดังนั้นฉันจึงไม่คิดว่าสิ่งที่นายทำนั้นไม่มีค่าหรอก”
Shirley วางมือขวาบนอกและพูดขณะที่ยิ้มเล็กๆบอกที่จะทำให้คิดว่าเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา
“ดังนั้นก็ขอบคุณ ขอบคุณนายด้วย ฉันจึงรอดมาได้”
“ป-เปล่า… มันก็ไม่ได้ใหญ่อะไรอย่างนั้น…”
เขาเกาหลังหัวอย่างอาย ขณะที่มือสั่นและความคิดเริ่มยุ่งเหยิงนั้น สุดท้าย Kyle ก็พุ่งไปยังจุดที่ Cudd ที่กำลังมุ่งหน้าไปยังขุมทรัพย์ที่รอเขาอยู่
“ผ-ผมจะไปคว้าสมบัติด้วย รอผมด้วยสิ!”
ขณะที่ Kyle วิ่งไปด้วยเสียงตะโกนที่ฟังไม่เป็นภาษา Shirley ก็เอียงหัว
“…อะไรหรือ?”
“…หือ Shirley-san นี่ช้าไปหน่อย”
“ช้าหรือ? หมายความว่ายังไง? มีอะไรบางอย่างกับการเคลื่อนไหวของฉันหรือ?”
“ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น… ก็ บางทีน่าจะดีกว่านี้ถ้าคุณไม่รู้นะ”
Leia เกาหลังหัวแล้วก็มองไปยังภูเขาที่เต็มไปด้วยสมบัติ
“ใช่แล้ว ฉันว่าถึงเวลาที่จะมองหาอัญมณีล่ะ หือ~?”
“…ศึกในรังนี้มันรุนแรงนะ อัญมณีคงจะแตกกระจายไปหมดแล้ว แล้วเธอยังโอเคที่จะมองหาอยู่หรือ?”
“ไม่ต้องห่วง ฉันใช้เวทมนตร์ค้นหาระบุตำแหน่งไว้นะ”
เธอพูดแบบนั้น แต่ Leia ก็ไม่ได้ขยับไปไหนเลย พูดอะไรกันเนี่ย… อ๊า… เธอเกาหัวแล้ว ในที่สุดเธอก็พูดออกมาแล้ว
“ฉันอยากจะบอกว่า ขอบคุณนะ ที่ช่วยในส่วนที่เห็นแก่ตัวของฉันด้วย”
“เธอไม่ต้องขอบคุณฉันเป็นการเฉพาะก็ได้ มันก็แค่เดินทางร่วมกันและก็ก้าวข้ามเป้าหมายไปแล้ว… คำร้องของเธอก็เพิ่งจะเสร็จไปแล้วล่ะ”
“ถึงอย่างนั้น การขับรถลากและการจัดการมังกร ไม่มีทางที่ฉันจะทำแบบนั้นได้ด้วยตัวเองได้ หากไม่มีคุณฉันก็คงไม่อาจเอาสมบัติของครอบครัวกลับมาได้หรอก”
Leia มองดู Shirley ด้วยนัยน์ตาสีสองที่ประกายวับส่องแสงเหมือนดวงอาทิตย์
“ขอบคุณมากนะคะ! Shirley-san ดีใจที่ได้พบกับคุณค่ะ!”
“…”
หลังจากที่พูดแบบนั้นไป Leia ก็วิ่งตามเด็กหนุ่มทั้งสองไป ทันทีที่ตามทันเธอก็เริ่มทะเลาะกับ Cudd แล้ว Kyle ที่พยายามจะหยุดทะเลาะก็โดนศอกของทั้งคู่เข้าที่หน้าเต็มๆ มองดูภาพที่สงบสุขในความเงียบแล้ว มันยากสำหรับ Shirley ที่จินตนาการว่าเธอกำลังสู้กับความเป็นความตายก่อนหน้านั้นไม่นาน
“มีอะไรหรือ ท่าน Shirley?”
“เปล่านี่ ก็แค่รู้สึกค่อนข้างสดชื่นนะ”
“โห? มือเก๋าที่ผจญภัยมากว่าสิบปียังอุตส่าห์หาความสดชื่นด้วยหรือ?”
“จนถึงตอนนี้ ฉันก็ได้ทำคำร้องเพื่อเก็บเงินเพื่อลูกสาว ฉันไม่เคยสนใจถึงเรื่องสถานการณ์และความรู้สึกของคนว่าจ้างเลย ดังนั้นจึงเป็นครั้งแรกที่ฉันน่าจะขอบคุณต่อหน้านี้แหละ”
“น่าๆ”
Asterios หัวเราะอย่างพอใจ
สำหรับมังกรที่อยู่ระดับสูงขึ้นไป ความสามารถในการฟื้นฟูตัวเองนั้นไม่ปกติ มันเป็นลักษณะของร่างใหญ่หรือ? มันมีความปรารถนาที่จะสู้รบหรือ? หรือว่าสำหรับมังกรโบราณแล้วมันเป็นความภาคภูมิใจหรือ? โดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น พวกมันไม่อาจเอาไปเปรียบกับมังกรที่อยู่ระดับต่ำกว่าได้เลย
เพราะฉะนั้น ต่อให้จัดการฟันแบบขั้นร้ายกาจกับมังกรสงครามที่อยู่ต่ำกว่าสองระดับได้ ก็ยังไม่ปกติสำหรับมังกรโบราณที่สามารถฟื้นฟูร่างกายที่บาดเจ็บเช่นนี้ได้
อย่างไรก็ตาม การฟื้นฟูตัวเองนั้นก็ไม่ใช่ลักษณะตามธรรมชาติของมังกรโบราณสักเท่าไร แต่ก็มีบางอย่างที่ใช้กับเวทมนตร์นั้นได้เช่นกัน หากมีการฆ่าแบบทันที เวทมนตร์เช่นนี้ก็จะไม่มีความหมายเลย
การฟันที่ Shirley ได้จัดการตรงที่คอของมังกรก่อนที่จะถูกฆ่าไปนั้น เธอไม่ได้แค่ฟันที่หลอดเลือดที่คอ เธอยังตัดผ่านไปถึงกระดูกสันหลังด้วยคลื่นคมดาบด้วย
การตัดทั้งกระดูกสันหลังและหลอดเลือดที่คอนั้นดีพอๆกับตัดหัวเลย ต่อให้ศัตรูของเธอเป็นมังกรโบราณ มันก็ยังตายโดยที่ไม่น่าจะมีโอกาสแม้แต่จะใช้ฟื้นฟูร่างกายด้วยซ้ำ
“นี่มัน… ฉันท่าจะเจอของหายากเข้าแล้ว”
อย่างไรก็ตาม บาดแผลสาหัสที่เธอได้เชือดตรงคอมังกรนั้นก็ได้เริ่มรักษาชนิดที่เกินกว่าเวทฟื้นฟูตัวเองเสียอีก
มันก็คล้ายๆกับ Shirley ที่เข้าใจเหตุผลเบื้องหลังได้ทันที
“มังกรกึ่งอมตะ… ฉันท่าจะเข้าไปสู่เรื่องยุ่งยากเข้าแล้ว”
ถ้าเปรียบเทียบกับมอนสเตอร์ที่อยู่ต่อหน้าเธอกับตัวที่เธอคาดว่าจะต้องสู้ด้วยแล้ว ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นสถานการณ์ที่ยุ่งยากเข้าให้แล้ว
สิ่งมีชีวิตใดๆที่อาศัยอยู่ยาวนานพอจะเริ่มไม่ธรรมดาไม่่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง นั่นทำไมสามัญชนถึงมองเผ่าพันธุ์ที่อายุยืนอย่างมังกรเริ่มกลายเป็นกึ่งอมตะเมื่อเปรียบเทียบกับมนุษย์ แต่ก็ยังมองหาได้ยากอยู่ดี
ยิ่งกว่านั้น มันก็ง่ายที่เข้าใจที่ความฉุนของ Shirley เมื่อพิจารณาว่ามังกรกึ่งอมตะนั้นมันน่าจะฟื้นฟูตัวเองต่อเนื่องได้มากกว่ามนุษย์กึ่งอมตะอีก
ถ้าหากปะทะด้วยกำลังรุนแรงสักสี่ครั้งใส่มนุษย์กึ่งอมตะ มันก็อาจจะขยับไปไม่ได้เพราะจะต้องใช้พลังงานมากแค่ไหนในการฟื้นฟูกลับมา แต่พลังเวทของมังกรที่หมดไปนั้นสามารถรักษาได้อย่างน้อยสิบเท่าของอาการบาดเจ็บอย่างรุนแรงเลยล่ะ
“คุๆๆ อะไรหรือ? ทำสีหน้าไร้แววเลยนะ”
มังกรพูดจาดูถูกใส่ Shirley ที่เพิ่งจะจัดการมันให้เกิดบาดแผลสาหัสไป เดาว่าเธอน่าจะไม่เหลือความหวังแล้ว
“เจ้าอาจจะตีนไว แต่มันก็แค่อุบายตื้นๆเอง มันไม่มีความหมายกับผู้ยิ่งใหญ่อย่างตัวข้-”
Shirley ฟันใส่คอมังกรก่อนที่มันจะพูดจบ
“แก…! ไม่เพียงจะขัดคำพูดของข้าเพียงครั้งเดียว แต่ถึงสองครั้งเลย…!”
“ฉันไม่มีเวลามายืนฟังคำพูดที่น่าเบื่อของแกหรอกนะ”
ขณะที่มังกรกระอักเลือดออกมาอีกครั้งและก็เริ่มฟื้นฟูบาดแผล Shirley ก็หยิบเอานาฬิกาพกมาดูเวลาอีกครั้ง
“ฉันจะฆ่าแกให้ได้ก่อนเที่ยงนี้ และจะปิดงานหลักอีกไม่นานหลังจากนั้น ฉันน่าจะได้ทานข้าวเย็นกับลูกสาวในวันพรุ่งนี้ เพื่อการนั้น ฉันต้องทำให้แกรีบๆตายไปซะ”
สำหรับ Shirley มังกรนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ ต่อให้เป็นมังกรโบราณมาอยู่ต่อหน้า เป้าหมายหลักของเธอก็คือหาวัสดุที่สวยงามให้กับลูกสาวมาเป็นของขวัญในอายุที่ย่างถึงที่อยู่ที่ไหนสักแห่งในเหมือง
“ยัยผู้หญิงสามหาวที่ชั่วช้า…! ตลอดชีวิตนี้ ข้าไม่เคยเจอกับคนที่อาจหาญอย่างเจ้า…!!”
สำหรับมังกรโบราณแล้ว การถูกยุด้วยการหมิ่นนั้นแย่ยิ่งกว่าบาดแผลที่ถูกฟันผ่าถึงข้างใน ไปถึงความภาคภูมิใจของมันเลย
“ความโอหัง! ความอวดดี! จงสำนึกผิดในโลกหน้าเถอะ!”
ที่พูดมานั่นน่าจะเป็นเวทมนตร์ที่เกี่ยวข้องกับการบินของมังกร ปีกนั้นดูเหมือนว่าจะเล็กเกินไปสำหรับร่างของมัน
ขณะที่ปีกทั้งสี่ได้กระพือออกมา มันก็ทำให้เกิดฝุ่นคลุ้งกรจายด้วยขาขณะที่มันขึ้นสู่ท้องฟ้า
ทำไมมังกรถึงได้รับพิจารณาว่าเป็นมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งที่สุด? ในขณะที่มีความแข็งแกร่งทางกายภาพแล้ว พลังเวทมนตร์กับขนาดรูปร่างก็น่ากลัว มันอันตรายจริงๆก็ตรงที่มันขยับร่างกายขนาดใหญ่ได้อย่างไร ด้วยการโจมตีที่ยากจะคาดเดาได้และก็ยังสวนกลับได้ยากด้วย
ที่แตกต่างจากมังกรน้ำที่ว่ายน้ำในทะเลและมังกรดินที่เจาะทะลุผ่านดินและหิน มังกรประเภทอื่นๆทั้งหมดก็สามารถบินขึ้นบนท้องฟ้าได้อย่างง่ายดาย แล้วถ้าเกิดว่ามันใช้ลมหายใจเพลิงจากความสูงเช่นนั้นได้ด้วยล่ะ?
คนธรรมดาแค่โดนพลังโจมตีทางกายภาพของมังกรก็แย่เอาแล้ว แล้วจะมีใครที่ไหนบ้างทำได้เมื่อต้องอยู่บนพื้นดินแล้วมาต่อกรกับมอนสเตอร์ที่ลอยกลางอากาศได้แบบนี้ล่ะ?
“…”
“อะไ-!?”
ด้วยเหตุบางอย่าง มังกรถึงกับเซอร์ไพรเมื่อ Shirley พยายามยกระดับความสูงมาให้ถึงในระดับเดียวกับมัน
เธอไม่ได้ใช้เวทบิน ดาบใหญ่นั้นก็น่าจะเป็นของเผ่ายักษ์ที่ถูกปักอยู่บนพื้นด้วยมุมนั้นอยู่แล้ว และ Shirley ก็ได้วิ่งไปบนความยาวของดาบนั้นเพื่อที่จะขึ้นไปยังหลังมังกร แล้วเอาดาบเรเปียร์แทงบนจุดอ่อนของปีก
“GWAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAOOOOOOOOOOOOOOO!!”
พอมันสูญเสียความสามารถที่จะอยู่กลางอากาศได้เนื่องจากถูกดาบแทง เจ้ามังกรแก่นั่นก็ร่วงตกลงใส่กองหินด้วยความเจ็บปวดทรมาน แต่การโจมตีของ Shirley ยังไม่หยุดแค่นั้น
เธอปล่อยดาบเรเปียร์ไว้ตรงนั้น แล้วก็จับดาบสองมือเล่มใหม่แล้วก็วิ่งไปยังที่ด้านข้างของร่างใหญ่ของมังกร พามันลงมาจากท้องฟ้า แล้วที่เหลือก็ฟันเข้าจุดอ่อนข้างกึ่งอมตะอย่างรวดเร็ว นั่นคือสมอง
กระทำการได้ฉับไวมาก เธอได้อยู่ในตำแหน่งที่ตัดผ่าเข้าไปยังกะโหลกมังกรจากหลังหัว จู่ๆดาบของเธอก็ถูกหยุดโดยม่านบาเรียแสงขาว
“…ชิบ”
มันแตกต่างจากเทคนิคของ Asterios แต่ก็ยังคงเป็นเวทบาเรียเหมือนกัน มันไม่ปกติสำหรับมังกรระดับเช่นนี้ที่สามารถใช้เวทบาเรียได้ และ Shirley ก็น่าจะจัดการฉีกทะลวงผ่านไปได้เช่นกัน แต่เวทมนตร์นั้นก็พอที่จะซื้อเวลาให้มังกรยกหัวหลบดาบของ Shirley ไปได้
“คิดที่จะเอาแต่เก็บหัวไว้เลยหรือไง?”
บาเรียที่อยู่รอบกะโหลกมังกรนั้นมีจุดประสงค์ในการป้องกันจุดอ่อนที่แท้จริงของกึ่งอมตะ เธอจึงโดดให้ออกห่างจากหัว Shirley เริ่มที่จะฉีกร่างมังกรขณะที่เธอวิ่งผ่านด้านข้าง
เธอเฉือนผ่านร่างที่ใหญ่และแข็งพอๆกับเหล็กอย่างชำนาญ Shirley เริ่มที่จะฟันเส้นเอนและหลอดเลือดมังกรที่ต้องขยับแขนขาให้เร็วกว่าที่มันจะฟื้นฟูร่างกายได้
“ก-แก…! ไอ้ตัวจองหอ-!”
Shirley เชือดเข้าที่คอมันอีกครั้ง ตัดคำพูดสั้นๆของมันเป็นครั้งที่สาม มังกรถูกฟันไปรอบตัวจนเลือดไหลนองไปหมด ทั้งๆที่ผ่านไปเพียงแค่สิบวินาทีนับตั้งแต่ร่วงตกลงพื้นโลก
กระดูกหักไปหลายซี่และก็ยังร้าวไปถึงอวัยวะภายในตอนที่มันตกพื้น แต่ขณะที่ Shirley เพิ่งจะจับดาบใหม่ในมือ เธอก็ถูกผลักด้วยคลื่นของพลังเวทมนตร์ที่ดูเหมือนจะแผ่ออกมาจากร่าง
“หืม”
Shirley ทำหน้านิ่ว ขนาดเธอได้จัดการกับมังกรจนมีบาดแผลสาหัสไปแล้วถึงสิบแห่งเป็นอย่างน้อย แต่พลังเวทนั้นมันกลับไปใช้รักษาบาดแผลที่ไม่เหมือนว่ามันจะหมดลง
(ถ้าเป็นอะไรก็ตาม มันก็ไม่เพิ่มขึ้นหรือ?)
บาดแผลที่เธอทำเอาไว้ถูกรักษาเพียงแค่ไม่กี่วินาที รวมทั้งความแข็งแกร่งด้านกายภาพก็กลับมาครบถ้วนด้วย นี่มันไร้เหตุผลเลยล่ะ
พลังเวทน่าจะเอาไปใช้เสริมสร้างกำลังขึ้นมาใหม่ราวกับยาหรือไม่ก็เครื่องมือเวท แต่มังกรกลับไม่ได้ใช้เทคนิคทั้งสามอย่างที่ Shirley นั้นรู้จักเลย พลังเวทที่เยอะแยะมากมายนั้นมันปั๊มเข้าร่างของมัน
“เข้าใจล่ะ… งั้นนี่ก็คือทักษะเฉพาะด้านสินะ หืม?”
พลังเหนือธรรมชาติที่สถิตอยู่ในร่างอมตะ เป็นพลังเวทโดยอิสระ เธอไม่รู้รายละเอียดเต็มๆสักเท่าไร แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นรากฐานสำหรับพลังเวทมนตร์การฟื้นฟูของมังกร
“คุฮ่าๆๆ! เจ้ายอมจำนนต่อความสิ้นหวังกับพลังเวทมนตร์ที่ไร้ขีดจำกัดของข้าแล้วหรือ? เจ้ารู้ช่องว่างระหว่างเราหรือยัง?”
จำนวนของแผลบนกึ่งอมตะสามารถฟื้นฟูได้โดยตรงกับจำนวนของพลังเวทที่ใช้ พอๆกับหัวที่ถูกปกป้องอยู่ กึ่งอมตะสามารถใช้พลังที่ไม่จำกัดฟื้นฟูแผลได้อย่างไม่จำกัดราวกับว่ามันจะเป็นอมตะอย่างแท้จริง
Shirley ไม่ได้ดูถูกมังกรโบราณที่อยู่ต่อหน้าเธอ เธอมาเพื่อที่จะจบชีวิตมันดีๆก่อนหน้านี้ เพียงแต่ถูกหยุดโดยบาเรียที่คลุมหัวมันเท่านั้นแหละ
มันเป็นการกระทำอันขี้ขลาดสำหรบมังกรที่หยิ่งผยองเช่นนี้ แต่มันก็เป็นวิธีที่มั่นใจที่สุดที่มันจะชนะในศึกนี้
“นอกจากแผลของข้าจะรักษาได้ไม่มีสิ้นสุดแล้ว เจ้าก็ยังเอาพลังไปใช้สูญเปล่าด้วย ถึงเจ้าจะโอ้อวดว่าจัดการข้าได้ก่อนเที่ยงก็ตาม แล้วความอาจหาญนั่นมันคืออะไรถ้าเจ้าทำด้วยตัวเองเพื่อนิ่งอยู่เฉยๆในขณะที่ข้ายังอยู่ล่ะ?”
ถ้าหากวงจรยังวนซ้ำต่อไป มันก็ย่อมจะนำไปสู่ความพ่ายแพ้ของ Shirley ได้ มังกรเจ้าเล่ห์นี้กำลังมองดูฉากเช่นนั้นอยู่
“มิหนำซ้ำ ข้าก็ยังมองเห็นทริคของเจ้าทั้งหมดแล้ว! ดาบนั้นที่ปรากฏในมือไม่มีค่าอะไรนอกจากเป็นผลผลิตของจินตนาการแปรธาตุไม่ใช่หรือไง?”
จากความรู้ที่สั่งสมมา มันถึงกับรู้ความลับของเบื้องหลังเทคนิคของเธอที่แม้แต่นักผจญภัยที่อยู่ในกิลด์ก็ไม่อาจเข้าใจได้เต็มที่
การแปรธาตุจะทำให้สามารถเลียนแบบสิ่งของที่มีอยู่ เป็นศาสตร์ลับที่สามารถสร้างอะไรก็ได้จากที่ไม่มี จินตนาการแปรธาตุที่เธอใช้ในการย่อยดาบใดๆที่เธอถือแล้วก็กลับมาเลียนแบบด้วยเวทมนตร์
เนื่องจากการสร้างเลียนแบบนั้นใช้เวทมนตร์ ถ้าหากหลุดมือไปมันก็จะหายหลังจากผ่านไปสักพัก ยิ่งกว่านั้น เนื่องจากเทคนิคนี้ใช้ได้กับดาบธรรมดาที่ไม่ย้อมด้วยพลังเวท ส่วนที่เป็นประโยชน์นั้นจะต้องอาศัยทักษะของนักดาบที่เคยใช้มัน ดังนั้นจึงมีไม่มากที่คนจะใช้มันได้
ราวกับว่าตั้งใจสาธิตให้ดู เรเปียร์ที่เธอแทงปีกมังกรกับดาบยักษ์ที่เธอใช้ในการโดดขึ้นไปกลางอากาศต่างก็จางหายไปทั้งคู่
“เจ้าไม่ได้ครอบครองอาวุธคู่กายใดๆเลย ใช้เพียงแค่เครื่องประดับเล็กๆมาดึงอาวุธจากเวทพิ-”
“แกก็ได้เห็นมันมาได้สักพักแล้วนี่”
สำหรับผู้ที่มีความภาคภูมิใจในความรู้ของตัวเอง มันดูเหมือนจะเข้าใจเทคนิคและความสามารถของศัตรู ดังนั้นมันก็รู้ได้ว่าจะเคลื่อนไหวต่อไปยังไง
และแน่นอน นอกจากจะใช้เวทมนตร์ฟื้นฟูอย่างไร้ขีดจำกัดแล้ว ศัตรูของเธอก็ยังเปิดเผยเวทของเธอที่เป็นข้อเสียเปรียบอย่างชัดเจนด้วย
แต่ถึงกระนั้น Shirley ก็ไม่ได้แสดงความกลัวเลยแม้แต่น้อย ขณะที่เธอตัดคอหอยของมังกรและจบการสาธยายของมันเป็นครั้งที่สี่
“ในหมู่นักผจญภัย ถือว่าโชคร้ายที่มัวแต่เอาเวลาไปพูดถึงความสามารถของศัตรูนะ… ‘เดธแฟล็ก’ คือสิ่งที่พวกเขาใช้ รู้หรือเปล่าล่ะ?”
ด้วยแรงที่เธอมีทั้งหมด เธอเริ่มเชือดร่างกายมังกรไปทั้งร่างจากหัวที่ป้องกันด้วยเวทบาเรีย
สำหรับผลในชั่วระยะหนึ่ง การตัดร่างไปเรื่อยๆจนกว่ามันจะขยับตัวไม่ได้อีก ต้องขอบคุณมังกรที่พยายามเริ่มพูดทุกครั้งที่มันรักษาร่างกายแทนที่จะรีบโจมตี ในที่สุด Shirley ก็เห็นส่วนที่เธอต้องการจะตัดที่สุด
“…ตรงนั้น!”
ในที่สุดเธอก็ใช้กำลังรุนแรงเป็นครั้งแรกในศึกนี้ ดาบโค้งที่ถือในมือได้ผ่ากลางช่วงท้องของมังกรที่เอื้อมไม่ถึงต่อหน้า แล้วมังกรก็เริ่มฟื้นฟูเต็มที่… ร่างของมังกรโบราณที่ต้องอาศัยพลังเวทที่ไร้ขีดจำกัดเริ่มรู้สึกถึงความล้าที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน
“แกกกกกกกกกก…! แกทำอะไรกันนนนนน!!!???”
“ฉันว่าแกน่าจะรู้นี่ว่าฉันทำอะไร”
เสียงที่ผลุนผลันตามปกติ อสูรดาบสีขาวพูดราวกับเธอไม่ได้มีอะไรพิเศษ
“พลังเวทที่ไม่รู้จักเหนื่อยที่แกดึงมาจากโลกนั่น… ฉันก็แค่ตัดการเชื่อมออกไป แค่นั้นแหละ”
มังกรโบราณไม่รู้ตัวมาตั้งแต่มันไม่ได้เฟี้ยงใส่ Shirley เลยแม้แต่ครั้งเดียว ว่าตัวเธอเองก็เป็นกึ่งอมตะด้วย
และมันก็ไม่รู้ว่าพลังที่ได้มานั้นอยู่ในเบื้องลึกของดวงตา จากวันที่เธอหนีออกจากที่คุมขังและถูกทรมานจากชายที่เธอรักที่สุด ดวงตาคู่นั้นก็เห็นทั้งหมด
ทั้งการเคลื่อนไหวด้วยความเร็วที่ไม่อาจมองเห็น
ทั้งการหมอบตัวที่มองไม่เห็นภายใต้บาเรียหรือโล่
แนวคิดและคำสาป นามธรรมและรูปธรรม ‘อำนาจ’…
แม้แต่คำโกหกในอีกไม่กี่วินาทีในอนาคตด้วย
อย่างไรก็ตาม ตานั้นก็แค่มองเห็นได้เอง มันก็ไม่มีผลใดๆต่อตัวผู้ใช้เอง นั่นคือธรรมชาติของพลังของผู้หญิง
“น-นึกไม่ถึงเลย! เพื่อที่จะตัดพลังโดยไม่ให้มีร่างกายภาพเพียงแค่แกว่งดาบนั่น ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้เลยนี่…!”
“จะกายภาพหรือไม่ มันก็ไม่เปลี่ยนความจริงที่ว่ามันยังอยู่ตรงนั้น ฉะนั้นฉันจึงได้ตัดสินใจทำลายมัน… ก็มีอยู่แค่นั้นแหละ”
ครั้งนี้มังกรโบราณถึงกับพูดไม่ออก มันไม่รู้ว่าจะหาคำพูดมาตอบโต้ยังไง
เธอมองเห็นทุกอย่าง แม้แต่ความสามารถเฉพาะตัวของมังกรนั้นก็ไม่มีข้อยกเว้น เธอจึงมองเห็นได้ถึงตัวตนของมัน
และถ้ามันมีตัวตน เธอก็สามารถตัดมันได้ ต่อให้มันเป็น ‘พลัง’ ที่ไม่มีรูปธรรมก็ตาม อะไรที่เธอมองเห็นก็สามารถตัดได้ ดาบนั้นอยู่นอกเหนือจากกฎธรรมชาติ ฉายาของ Shirley ที่ว่าอสูรดาบสีขาวมาจากทุกอย่างถูกฟาดฟันต่อหน้าดาบของเธอ
“เอาล่ะ… ด้วยสิ่งนั้น ฉันก็จะไม่มามัวฟังเรื่องโม้เกี่ยวกับพลังของแกอีกแล้ว สิ่งที่เหลือก็คือจบชีวิตแกซะ”
ขณะที่เธอฟาดดาบไปยังตรงนั้น มังกรโบราณก็ได้เห็นเงาของเทพสงคราม
ก่อนหน้านั้นเล็กน้อย
“จ่าฝูงหรือ?”
Kyle เอียงหัวด้วยความสงสัยต่อ Asterios ขณะที่พวกเขายืนต่อหน้ากองไหม้ของพวกแบดโบโนโบ
“ใช่ ด้วยจำนวนที่ใหญ่อย่างนี้ มันก็น่าจะมีมอนสเตอร์สักตัวที่ทำตัวเป็นจ่าฝูงที่รู้จักกันใน ‘ซิลเวอร์แบก’ พวกเจ้าทั้งสามไม่เห็นมันเลยหรือ? มันน่าจะใหญ่กว่ารังและปกปิดด้วยขนสีขาวนะ”
เหมือนอย่างกับก็อบลินควีน ฝูงใหญ่ใดๆน่าจะมีตัวจ่าฝูงอยู่ ถ้าไม่มีจ่าฝูงในฝูงที่ใหญ่แบบนี้มันก็น่าจะผิดปกติอย่างมากแล้ว
ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขารู้สึกไม่ดี หลังจากที่ลูบคางด้วยเสียงพึมพำ Asterios ก็เอาลูกบอลคริสตัลกับตาก้อนหินติดปีกออกจากกระเป๋า
“นี่มันอะไรนี่?”
“นี่คืออุปกรณ์เวทมนตร์ที่ใช้ในการส่องตาทิพย์ มันมักจะเอาไปใช้สำหรับการลาดตระเวน แต่อันที่ข้าเอามานี้เราจะสามารถดูการต่อสู้ของ Shirley ที่อยู่บนยอดได้ ด้วยสิ่งนี้เราก็สามารถมองเห็นได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนยอดภูเขานะ”
เมื่อปล่อยออกไป ตาก้อนหินก็บินมุ่งหน้าไปยังภูเขาโดยปราศจากเสียง และหลังจากที่ Asterios ร่ายเวทสั้นๆ ก็มีภาพจากมุมมองของดวงตาฉายมายังลูกบอลคริสตัล
“หวา! นั่นมันสะดวกจริงๆเลย!”
พูดถึงหน่วยสอดแนมแล้ว Cudd อุทานที่เห็นพ้องด้วย ภาพที่ปรากฏออกมาจากมุมกล้างความสูงที่มนุษย์ไม่อาจมองเห็นได้ กำลังมองไปยังยอดเขา พวกเขาเห็นภาพที่ดูเหมือนกับเป็นศึกจากตำนาน
“…สุดยอด”
นั่นคือคำพูดที่เหมาะสม
นักดาบร่วมสมัยที่มีพลังล้นหลามกับมังกรโบราณ ทั้งความสามารถและเทคนิค ไม่มีอะไรที่พวกเขาสามารถจับการเคลื่อนไหวของเธอที่แท้จริงได้
Kyle จ้องไปยังคริสตัลด้วยความอิจฉา ปฏิธานของเขามาถึงความสูงพอๆกับเธอที่ไม่ได้มีกระดูกส่วนไหนแตกหัก เขาอยากจะเป็นนักผจญภัยมากๆที่วันหนึ่งจะได้ไปต่อกรกับมังกรดั่งเช่นนี้
“หืม? เดี๋ยวนะ… ดูนั่นสิ!”
Leia ชี้ตรงลูกบอลคริสตัล ตรงขอบของพื้นที่ต่อสู้นั้น มีโบโนโบผมขาวที่กำลังมองดูอยู่ ซิลเวอร์แบกนั่นเอง
“ข้ารู้สึกไม่ดีอย่างนี้เลย… ข้าไม่เข้าใจเหตุผลว่าทำไม แต่ดูเหมือนจะหนีรอดจากผลของเวทข้าไปได้”
“Asterios-san พอที่จะมีเครื่องมีเวทมนตร์ที่สามารถส่งข้อความไปยังอีกฝั่งหนึ่งได้มั้ย?”
Asterios สายหัวไปมาเงียบๆ
เขาไม่รู้ว่าโบโนโบจ่าฝูงนั้นคิดอะไรหรือทำไมถึงอยู่ตรงนั้น แต่แบดโบโนโบทั้งหมดที่อยู่ในเหมืองต่างก็อยู่ใต้การปกครองของมังกรนั้น
ถ้าเป็นแผนการแทรกแซงศึกระหว่างคนเก่งกับศัตรูตัวฉกาจล่ะก็ มันยากที่จะนึกภาพออกว่าจะเป็นยังไง
เขาหมดหนทางที่อยากจะเตือนเธอ แต่ด้วยเวลาที่เขาจะไปยังตรงนั้นมันก็น่าจะสายไปแล้ว และไม่เหมือนกับ Asterios ถ้าเขาไปยังตรงนั้นเขาก็เป็นได้แค่เพียงตัวภาระ
Kyle ถึงกับหัวร้อน แล้วก็เงยหัวขึ้นแล้วพูดในขณะที่มองไปที่ดวงตา Asterios
“Asterios-san ผมน่าจะหาทางใช้อุปกรณ์เวทมนต์ในการส่งเสียงผมไป มันน่าจะได้ถ้าผมลองและส่งด้วยมัน?”
“ไม่ได้ ข้าไม่ได้คิดอะไร แต่… มันจะเป็นไปได้กับเจ้าหรือ? มันยากที่จะดัดแปลงอุปกรณ์เวทมนตร์ที่คนอื่นเค้าทำมานะ”
“ผมเรียนรู้การใช้อุปกรณ์เวทมนตร์ระหว่างที่ศึกษามาด้วย ผมไม่อาจพูดได้อย่างแน่นอนว่าผมใช้มันได้…”
เขาจำคำร้องแรกของเขาได้ และความรู้สึกผิดนั้นก็ไม่เคยจางหายไปเลย
“แต่ผมไม่อยากอยู่ด้วยความรู้สึกผิดเพราะผมตัดสินใจที่จะไม่ทำอะไร”
จากนั้น Shirley นั่นก็ปล่อยการโจมตีที่พิเศษแบบใหม่ออกไป
พายุของเหล็กนั่นน่าจะจบชีวิตมอนสเตอร์ธรรมดาใดๆที่โดนเข้าไปได้ มังกรนั้นไม่อาจที่จะปกป้องหัวของมันได้
ตอนแรก มันพยายามจะยับยั้ง Shirley ด้วยไฟและเขี้ยว แต่ด้วยการโจมตีเช่นนี้ ทั้งหมดที่มันทำได้ก็คือหดหน้าและหลัง
พลังเวทมนตร์ที่ไม่รู้จักก็ถูกฟันทิ้ง และตอนนี้ร่างมันก็เริ่มเหนื่อยล้าจากการฟื้นฟูบาดแผลทั้งหมดเป็นจำนวนมาก
มันเป็นความอัปยศที่สุด มังกรโบราณที่ภาคภูมิใจถูกต้อนจนมุมโดยมนุษย์ตัวเล็กคนเดียวจ้องไปยัง Shirley ที่เกือบจะมองไม่เห็นแล้วก็หัวเราะให้กับตัวเองจากใจ
(แต่ นี่ก็เป็นพลังทั้งหมดที่เจ้ามีอยู่…! ด้วยการโจมตีครั้งเดียว ข้าก็จะหยุดเจ้าให้ดู…!)
มังกรโบราณนั้นเจ้าเล่ห์เหมือนงู มันเชี่ยวชาญในการจัดการเวทมนตร์ในหัว มันได้คุ้มกันซิลเวอร์แบกจากคำร่ายและทำให้มันซ่อนตัวอยู่ในก้อนหินรอโอกาสอยู่
(ไม่ได้ยินความอัปยศที่ต้องมายืมพลังจากผู้ที่ต่ำต้อยมาแล้ว… แต่มันน่าจะดีกว่าที่ต้องมาพบกับจุดจบละกัน…!)
ถึงแม้มันต้องใช้เวลาสักพักในการพูดคำร่ายออกมา จ่าฝูงก็สามารถร่ายเวทสื่อการที่เรียกว่า 《Burn Wall》 ได้
มันเป็นกำแพงเปลวเพลิงที่น่าจะออกมาถึงรัง แม้แต่นักดาบที่มีความเร็วเหนือมนุษย์ ก็ยังยากที่จะนึกภาพออกว่าเธอจะจัดการกับเวทมนตร์แบบนั้นและรอดมาได้
มังกรโบราณยังไม่แก่พอที่จะพลาดโอกาสนี้ได้ ถ้ามันกลืนเธอเข้าไปได้ ทั้งร่างกายและจิตใจของเธอก็อาจจะกลายเป็นข้าวต้มบดคาพื้น
(ใช่ โฟกัสที่ข้าต่อไปอย่างนั้นแหละ ข้าจะได้ทำลายเจ้าให้มันเต็มที่เลย…!)
ในจังหวะก่อนที่ซิลเวอร์แบกจะร่ายเวทไฟเสร็จนั่นเอง…
“คุณ Shirley ข้างหลังเธอ! ซิลเวอร์แบก!”
เสียงของเด็กหนุ่มที่ดังไปทั่วทั้งพื้นที่ ทำให้พวกนั้นมองตาขึ้นไป พวกนั้นเห็นของที่มีเสียงออกมา นั่นคือตาหินบินได้ที่มองไปยัง Shirley จากด้านบน
“ชิ!”
Shirley กระโดดขึ้นกลางอากาศโดยใช้มังกรเป็นสปริงบอร์ด แล้วก็บิดงออากาศเหมือนพระจันทร์เสี้ยว เธอขว้างดาบเล่มหนึ่งผ่ากะโหลกของซิลเวอร์แบกที่ซ่อนตัวอยู่
การลอบโจมตีทีเผลอที่มังกรยอมทิ้งความภาคภูมิใจเอาไว้เป็นเดิมพันนั้นถึงกับถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์
“ก-แกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!”
ตาของมันถึงกับโกรธจัด มันอ้าปากเพื่อที่จะพ่นไฟออกมาอีกครั้ง แต่ ไม่มีอะไรที่ต้องกลัว Shirley ได้ฟันผ่านเส้นเอนของมังกรแล้วก็ส่งมันกลับลงพื้น
การฟื้นฟูที่สม่ำเสมอก่อนหน้านั้น ตอนนี้มันไม่มีแล้ว และเลือดก็ยังคงไหลออกมาจากร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรง
มังกรนั้นได้รับบาดแผลสาหัสไปเป็นชุดจนในที่สุดมันก็หมดพลังเวทลง
“ม-ไม่มีทาง…! ข-ข้าเป็นมังกรตะวันตก…”
“ฉันไม่สนหรอก”
Shirley ตัดคอมังกร ด้วยสิ่งนั้น สติที่จางและความอัปยศของมังกรที่ชอบพูดคำสาธยายที่ไร้สาระก็ได้ดำดิ่งไปกับความมืด
หลังจากนั้น Shirley ก็ได้ลงมาจากภูเขาแล้วก็ต้อนรับปาร์ตี้ด้วยอีเต้อที่เธอถืออยู่บนบ่า ชวนให้ดูน่าสงสัยจาก Cudd
“อีเต้อนั่นมันอะไร?”
“มีบางอย่างที่ฉันอยากได้จากเหมือง ฉันจึงได้เอาอีเต้อมาด้วย”
“แล้วสมบัติที่มังกรเก็บไว้ล่ะ?”
“ก็ พวกนายมีส่วนร่วมในคำร้องโดยการฆ่าลูกน้องมังกรนี่ เพราะงั้นพวกนายก็เอาไปให้มากเท่าที่ต้องการได้เลย”
เอาจริงสิ!? ถึงแม้ว่า Shirley จะเทน้ำเย็นใส่ความฝันของ Cudd จนหายวับไปก่อนหน้านั้นทันทีก็ตาม
“ก็อย่างที่บอกไป พวกนายสามารถเอาไปให้มากเท่าที่เราจะเก็บไว้ในเกวียนได้”
“…อย่าทำให้มันกร่อยเร็วพอๆกับที่พูดสิ”
ขณะที่ Cudd เริ่มมุ่งหน้าไปยังภูเขาด้วยสีหน้าท่าทางสับสน Shirley ก็เดินเข้าไปหา Kyle
“นายเป็นคนบอกฉันเรื่องซิลเวอร์แบกในตอนนั้นใช่มั้ย? ฉันอยากจะพูดขอบคุณสักหน่อย”
“ม-ไม่ต้องหรอก! คุณ Shirley คุณน่าจะจัดการเอาเองเถอะ ผมก็แค่ทำอะไรที่ไม่จำเป็นเอง…”
“นั่นสิ นายอาจจะถูกก็ได้”
แต่ขณะที่เธอพูด Shirley ก็เดินไป
“ไม่มีอะไรที่แน่นอนในศึก ไม่ว่านายจะเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือผู้กล้า มันก็จะมีเวลาตอนที่เข้าสู่ยามคับขัน ดังนั้นฉันจึงไม่คิดว่าสิ่งที่นายทำนั้นไม่มีค่าหรอก”
Shirley วางมือขวาบนอกและพูดขณะที่ยิ้มเล็กๆบอกที่จะทำให้คิดว่าเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา
“ดังนั้นก็ขอบคุณ ขอบคุณนายด้วย ฉันจึงรอดมาได้”
“ป-เปล่า… มันก็ไม่ได้ใหญ่อะไรอย่างนั้น…”
เขาเกาหลังหัวอย่างอาย ขณะที่มือสั่นและความคิดเริ่มยุ่งเหยิงนั้น สุดท้าย Kyle ก็พุ่งไปยังจุดที่ Cudd ที่กำลังมุ่งหน้าไปยังขุมทรัพย์ที่รอเขาอยู่
“ผ-ผมจะไปคว้าสมบัติด้วย รอผมด้วยสิ!”
ขณะที่ Kyle วิ่งไปด้วยเสียงตะโกนที่ฟังไม่เป็นภาษา Shirley ก็เอียงหัว
“…อะไรหรือ?”
“…หือ Shirley-san นี่ช้าไปหน่อย”
“ช้าหรือ? หมายความว่ายังไง? มีอะไรบางอย่างกับการเคลื่อนไหวของฉันหรือ?”
“ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น… ก็ บางทีน่าจะดีกว่านี้ถ้าคุณไม่รู้นะ”
Leia เกาหลังหัวแล้วก็มองไปยังภูเขาที่เต็มไปด้วยสมบัติ
“ใช่แล้ว ฉันว่าถึงเวลาที่จะมองหาอัญมณีล่ะ หือ~?”
“…ศึกในรังนี้มันรุนแรงนะ อัญมณีคงจะแตกกระจายไปหมดแล้ว แล้วเธอยังโอเคที่จะมองหาอยู่หรือ?”
“ไม่ต้องห่วง ฉันใช้เวทมนตร์ค้นหาระบุตำแหน่งไว้นะ”
เธอพูดแบบนั้น แต่ Leia ก็ไม่ได้ขยับไปไหนเลย พูดอะไรกันเนี่ย… อ๊า… เธอเกาหัวแล้ว ในที่สุดเธอก็พูดออกมาแล้ว
“ฉันอยากจะบอกว่า ขอบคุณนะ ที่ช่วยในส่วนที่เห็นแก่ตัวของฉันด้วย”
“เธอไม่ต้องขอบคุณฉันเป็นการเฉพาะก็ได้ มันก็แค่เดินทางร่วมกันและก็ก้าวข้ามเป้าหมายไปแล้ว… คำร้องของเธอก็เพิ่งจะเสร็จไปแล้วล่ะ”
“ถึงอย่างนั้น การขับรถลากและการจัดการมังกร ไม่มีทางที่ฉันจะทำแบบนั้นได้ด้วยตัวเองได้ หากไม่มีคุณฉันก็คงไม่อาจเอาสมบัติของครอบครัวกลับมาได้หรอก”
Leia มองดู Shirley ด้วยนัยน์ตาสีสองที่ประกายวับส่องแสงเหมือนดวงอาทิตย์
“ขอบคุณมากนะคะ! Shirley-san ดีใจที่ได้พบกับคุณค่ะ!”
“…”
หลังจากที่พูดแบบนั้นไป Leia ก็วิ่งตามเด็กหนุ่มทั้งสองไป ทันทีที่ตามทันเธอก็เริ่มทะเลาะกับ Cudd แล้ว Kyle ที่พยายามจะหยุดทะเลาะก็โดนศอกของทั้งคู่เข้าที่หน้าเต็มๆ มองดูภาพที่สงบสุขในความเงียบแล้ว มันยากสำหรับ Shirley ที่จินตนาการว่าเธอกำลังสู้กับความเป็นความตายก่อนหน้านั้นไม่นาน
“มีอะไรหรือ ท่าน Shirley?”
“เปล่านี่ ก็แค่รู้สึกค่อนข้างสดชื่นนะ”
“โห? มือเก๋าที่ผจญภัยมากว่าสิบปียังอุตส่าห์หาความสดชื่นด้วยหรือ?”
“จนถึงตอนนี้ ฉันก็ได้ทำคำร้องเพื่อเก็บเงินเพื่อลูกสาว ฉันไม่เคยสนใจถึงเรื่องสถานการณ์และความรู้สึกของคนว่าจ้างเลย ดังนั้นจึงเป็นครั้งแรกที่ฉันน่าจะขอบคุณต่อหน้านี้แหละ”
“น่าๆ”
Asterios หัวเราะอย่างพอใจ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น