ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อดีตขุนนางสาวโสดกับชีวิตโลดโผนผจญภัยเพื่อลูกสาวสุดน่ารัก

    ลำดับตอนที่ #15 : พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.56K
      205
      3 ต.ค. 65

    ขณะที่มังกรยังคงฝืนลุกขึ้นหลังจากที่ลงไปนอนกองด้วยอุ้งเท้า Shirley ก็จับดาบไว้ในมือเธออย่างมั่นคง

    สำหรับมังกรที่อยู่ระดับสูงขึ้นไป ความสามารถในการฟื้นฟูตัวเองนั้นไม่ปกติ มันเป็นลักษณะของร่างใหญ่หรือ? มันมีความปรารถนาที่จะสู้รบหรือ? หรือว่าสำหรับมังกรโบราณแล้วมันเป็นความภาคภูมิใจหรือ? โดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น พวกมันไม่อาจเอาไปเปรียบกับมังกรที่อยู่ระดับต่ำกว่าได้เลย

    เพราะฉะนั้น ต่อให้จัดการฟันแบบขั้นร้ายกาจกับมังกรสงครามที่อยู่ต่ำกว่าสองระดับได้ ก็ยังไม่ปกติสำหรับมังกรโบราณที่สามารถฟื้นฟูร่างกายที่บาดเจ็บเช่นนี้ได้

    อย่างไรก็ตาม การฟื้นฟูตัวเองนั้นก็ไม่ใช่ลักษณะตามธรรมชาติของมังกรโบราณสักเท่าไร แต่ก็มีบางอย่างที่ใช้กับเวทมนตร์นั้นได้เช่นกัน หากมีการฆ่าแบบทันที เวทมนตร์เช่นนี้ก็จะไม่มีความหมายเลย

    การฟันที่ Shirley ได้จัดการตรงที่คอของมังกรก่อนที่จะถูกฆ่าไปนั้น เธอไม่ได้แค่ฟันที่หลอดเลือดที่คอ เธอยังตัดผ่านไปถึงกระดูกสันหลังด้วยคลื่นคมดาบด้วย

    การตัดทั้งกระดูกสันหลังและหลอดเลือดที่คอนั้นดีพอๆกับตัดหัวเลย ต่อให้ศัตรูของเธอเป็นมังกรโบราณ มันก็ยังตายโดยที่ไม่น่าจะมีโอกาสแม้แต่จะใช้ฟื้นฟูร่างกายด้วยซ้ำ

    “นี่มัน… ฉันท่าจะเจอของหายากเข้าแล้ว”

    อย่างไรก็ตาม บาดแผลสาหัสที่เธอได้เชือดตรงคอมังกรนั้นก็ได้เริ่มรักษาชนิดที่เกินกว่าเวทฟื้นฟูตัวเองเสียอีก

    มันก็คล้ายๆกับ Shirley ที่เข้าใจเหตุผลเบื้องหลังได้ทันที

    “มังกรกึ่งอมตะ… ฉันท่าจะเข้าไปสู่เรื่องยุ่งยากเข้าแล้ว”

    ถ้าเปรียบเทียบกับมอนสเตอร์ที่อยู่ต่อหน้าเธอกับตัวที่เธอคาดว่าจะต้องสู้ด้วยแล้ว ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นสถานการณ์ที่ยุ่งยากเข้าให้แล้ว

    สิ่งมีชีวิตใดๆที่อาศัยอยู่ยาวนานพอจะเริ่มไม่ธรรมดาไม่่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง นั่นทำไมสามัญชนถึงมองเผ่าพันธุ์ที่อายุยืนอย่างมังกรเริ่มกลายเป็นกึ่งอมตะเมื่อเปรียบเทียบกับมนุษย์ แต่ก็ยังมองหาได้ยากอยู่ดี

    ยิ่งกว่านั้น มันก็ง่ายที่เข้าใจที่ความฉุนของ Shirley เมื่อพิจารณาว่ามังกรกึ่งอมตะนั้นมันน่าจะฟื้นฟูตัวเองต่อเนื่องได้มากกว่ามนุษย์กึ่งอมตะอีก

    ถ้าหากปะทะด้วยกำลังรุนแรงสักสี่ครั้งใส่มนุษย์กึ่งอมตะ มันก็อาจจะขยับไปไม่ได้เพราะจะต้องใช้พลังงานมากแค่ไหนในการฟื้นฟูกลับมา แต่พลังเวทของมังกรที่หมดไปนั้นสามารถรักษาได้อย่างน้อยสิบเท่าของอาการบาดเจ็บอย่างรุนแรงเลยล่ะ

    “คุๆๆ อะไรหรือ? ทำสีหน้าไร้แววเลยนะ”

    มังกรพูดจาดูถูกใส่ Shirley ที่เพิ่งจะจัดการมันให้เกิดบาดแผลสาหัสไป เดาว่าเธอน่าจะไม่เหลือความหวังแล้ว

    “เจ้าอาจจะตีนไว แต่มันก็แค่อุบายตื้นๆเอง มันไม่มีความหมายกับผู้ยิ่งใหญ่อย่างตัวข้-”

    Shirley ฟันใส่คอมังกรก่อนที่มันจะพูดจบ

    “แก…! ไม่เพียงจะขัดคำพูดของข้าเพียงครั้งเดียว แต่ถึงสองครั้งเลย…!”

    “ฉันไม่มีเวลามายืนฟังคำพูดที่น่าเบื่อของแกหรอกนะ”

    ขณะที่มังกรกระอักเลือดออกมาอีกครั้งและก็เริ่มฟื้นฟูบาดแผล Shirley ก็หยิบเอานาฬิกาพกมาดูเวลาอีกครั้ง

    “ฉันจะฆ่าแกให้ได้ก่อนเที่ยงนี้ และจะปิดงานหลักอีกไม่นานหลังจากนั้น ฉันน่าจะได้ทานข้าวเย็นกับลูกสาวในวันพรุ่งนี้ เพื่อการนั้น ฉันต้องทำให้แกรีบๆตายไปซะ”

    สำหรับ Shirley มังกรนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ ต่อให้เป็นมังกรโบราณมาอยู่ต่อหน้า เป้าหมายหลักของเธอก็คือหาวัสดุที่สวยงามให้กับลูกสาวมาเป็นของขวัญในอายุที่ย่างถึงที่อยู่ที่ไหนสักแห่งในเหมือง

    “ยัยผู้หญิงสามหาวที่ชั่วช้า…! ตลอดชีวิตนี้ ข้าไม่เคยเจอกับคนที่อาจหาญอย่างเจ้า…!!”

    สำหรับมังกรโบราณแล้ว การถูกยุด้วยการหมิ่นนั้นแย่ยิ่งกว่าบาดแผลที่ถูกฟันผ่าถึงข้างใน ไปถึงความภาคภูมิใจของมันเลย

    “ความโอหัง! ความอวดดี! จงสำนึกผิดในโลกหน้าเถอะ!”

    ที่พูดมานั่นน่าจะเป็นเวทมนตร์ที่เกี่ยวข้องกับการบินของมังกร ปีกนั้นดูเหมือนว่าจะเล็กเกินไปสำหรับร่างของมัน

    ขณะที่ปีกทั้งสี่ได้กระพือออกมา มันก็ทำให้เกิดฝุ่นคลุ้งกรจายด้วยขาขณะที่มันขึ้นสู่ท้องฟ้า

    ทำไมมังกรถึงได้รับพิจารณาว่าเป็นมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งที่สุด? ในขณะที่มีความแข็งแกร่งทางกายภาพแล้ว พลังเวทมนตร์กับขนาดรูปร่างก็น่ากลัว มันอันตรายจริงๆก็ตรงที่มันขยับร่างกายขนาดใหญ่ได้อย่างไร ด้วยการโจมตีที่ยากจะคาดเดาได้และก็ยังสวนกลับได้ยากด้วย

    ที่แตกต่างจากมังกรน้ำที่ว่ายน้ำในทะเลและมังกรดินที่เจาะทะลุผ่านดินและหิน มังกรประเภทอื่นๆทั้งหมดก็สามารถบินขึ้นบนท้องฟ้าได้อย่างง่ายดาย แล้วถ้าเกิดว่ามันใช้ลมหายใจเพลิงจากความสูงเช่นนั้นได้ด้วยล่ะ?

    คนธรรมดาแค่โดนพลังโจมตีทางกายภาพของมังกรก็แย่เอาแล้ว แล้วจะมีใครที่ไหนบ้างทำได้เมื่อต้องอยู่บนพื้นดินแล้วมาต่อกรกับมอนสเตอร์ที่ลอยกลางอากาศได้แบบนี้ล่ะ?

    “…”

    “อะไ-!?”

    ด้วยเหตุบางอย่าง มังกรถึงกับเซอร์ไพรเมื่อ Shirley พยายามยกระดับความสูงมาให้ถึงในระดับเดียวกับมัน

    เธอไม่ได้ใช้เวทบิน ดาบใหญ่นั้นก็น่าจะเป็นของเผ่ายักษ์ที่ถูกปักอยู่บนพื้นด้วยมุมนั้นอยู่แล้ว และ Shirley ก็ได้วิ่งไปบนความยาวของดาบนั้นเพื่อที่จะขึ้นไปยังหลังมังกร แล้วเอาดาบเรเปียร์แทงบนจุดอ่อนของปีก

    “GWAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAOOOOOOOOOOOOOOO!!”

    พอมันสูญเสียความสามารถที่จะอยู่กลางอากาศได้เนื่องจากถูกดาบแทง เจ้ามังกรแก่นั่นก็ร่วงตกลงใส่กองหินด้วยความเจ็บปวดทรมาน แต่การโจมตีของ Shirley ยังไม่หยุดแค่นั้น

    เธอปล่อยดาบเรเปียร์ไว้ตรงนั้น แล้วก็จับดาบสองมือเล่มใหม่แล้วก็วิ่งไปยังที่ด้านข้างของร่างใหญ่ของมังกร พามันลงมาจากท้องฟ้า แล้วที่เหลือก็ฟันเข้าจุดอ่อนข้างกึ่งอมตะอย่างรวดเร็ว นั่นคือสมอง

    กระทำการได้ฉับไวมาก เธอได้อยู่ในตำแหน่งที่ตัดผ่าเข้าไปยังกะโหลกมังกรจากหลังหัว จู่ๆดาบของเธอก็ถูกหยุดโดยม่านบาเรียแสงขาว

    “…ชิบ”

    มันแตกต่างจากเทคนิคของ Asterios แต่ก็ยังคงเป็นเวทบาเรียเหมือนกัน มันไม่ปกติสำหรับมังกรระดับเช่นนี้ที่สามารถใช้เวทบาเรียได้ และ Shirley ก็น่าจะจัดการฉีกทะลวงผ่านไปได้เช่นกัน แต่เวทมนตร์นั้นก็พอที่จะซื้อเวลาให้มังกรยกหัวหลบดาบของ Shirley ไปได้

    “คิดที่จะเอาแต่เก็บหัวไว้เลยหรือไง?”

    บาเรียที่อยู่รอบกะโหลกมังกรนั้นมีจุดประสงค์ในการป้องกันจุดอ่อนที่แท้จริงของกึ่งอมตะ เธอจึงโดดให้ออกห่างจากหัว Shirley เริ่มที่จะฉีกร่างมังกรขณะที่เธอวิ่งผ่านด้านข้าง

    เธอเฉือนผ่านร่างที่ใหญ่และแข็งพอๆกับเหล็กอย่างชำนาญ Shirley เริ่มที่จะฟันเส้นเอนและหลอดเลือดมังกรที่ต้องขยับแขนขาให้เร็วกว่าที่มันจะฟื้นฟูร่างกายได้

    “ก-แก…! ไอ้ตัวจองหอ-!”

    Shirley เชือดเข้าที่คอมันอีกครั้ง ตัดคำพูดสั้นๆของมันเป็นครั้งที่สาม มังกรถูกฟันไปรอบตัวจนเลือดไหลนองไปหมด ทั้งๆที่ผ่านไปเพียงแค่สิบวินาทีนับตั้งแต่ร่วงตกลงพื้นโลก

    กระดูกหักไปหลายซี่และก็ยังร้าวไปถึงอวัยวะภายในตอนที่มันตกพื้น แต่ขณะที่ Shirley เพิ่งจะจับดาบใหม่ในมือ เธอก็ถูกผลักด้วยคลื่นของพลังเวทมนตร์ที่ดูเหมือนจะแผ่ออกมาจากร่าง

    “หืม”

    Shirley ทำหน้านิ่ว ขนาดเธอได้จัดการกับมังกรจนมีบาดแผลสาหัสไปแล้วถึงสิบแห่งเป็นอย่างน้อย แต่พลังเวทนั้นมันกลับไปใช้รักษาบาดแผลที่ไม่เหมือนว่ามันจะหมดลง

    (ถ้าเป็นอะไรก็ตาม มันก็ไม่เพิ่มขึ้นหรือ?)

    บาดแผลที่เธอทำเอาไว้ถูกรักษาเพียงแค่ไม่กี่วินาที รวมทั้งความแข็งแกร่งด้านกายภาพก็กลับมาครบถ้วนด้วย นี่มันไร้เหตุผลเลยล่ะ

    พลังเวทน่าจะเอาไปใช้เสริมสร้างกำลังขึ้นมาใหม่ราวกับยาหรือไม่ก็เครื่องมือเวท แต่มังกรกลับไม่ได้ใช้เทคนิคทั้งสามอย่างที่ Shirley นั้นรู้จักเลย พลังเวทที่เยอะแยะมากมายนั้นมันปั๊มเข้าร่างของมัน

    “เข้าใจล่ะ… งั้นนี่ก็คือทักษะเฉพาะด้านสินะ หืม?”

    พลังเหนือธรรมชาติที่สถิตอยู่ในร่างอมตะ เป็นพลังเวทโดยอิสระ เธอไม่รู้รายละเอียดเต็มๆสักเท่าไร แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นรากฐานสำหรับพลังเวทมนตร์การฟื้นฟูของมังกร

    “คุฮ่าๆๆ! เจ้ายอมจำนนต่อความสิ้นหวังกับพลังเวทมนตร์ที่ไร้ขีดจำกัดของข้าแล้วหรือ? เจ้ารู้ช่องว่างระหว่างเราหรือยัง?”

    จำนวนของแผลบนกึ่งอมตะสามารถฟื้นฟูได้โดยตรงกับจำนวนของพลังเวทที่ใช้ พอๆกับหัวที่ถูกปกป้องอยู่ กึ่งอมตะสามารถใช้พลังที่ไม่จำกัดฟื้นฟูแผลได้อย่างไม่จำกัดราวกับว่ามันจะเป็นอมตะอย่างแท้จริง

    Shirley ไม่ได้ดูถูกมังกรโบราณที่อยู่ต่อหน้าเธอ เธอมาเพื่อที่จะจบชีวิตมันดีๆก่อนหน้านี้ เพียงแต่ถูกหยุดโดยบาเรียที่คลุมหัวมันเท่านั้นแหละ

    มันเป็นการกระทำอันขี้ขลาดสำหรบมังกรที่หยิ่งผยองเช่นนี้ แต่มันก็เป็นวิธีที่มั่นใจที่สุดที่มันจะชนะในศึกนี้

    “นอกจากแผลของข้าจะรักษาได้ไม่มีสิ้นสุดแล้ว เจ้าก็ยังเอาพลังไปใช้สูญเปล่าด้วย ถึงเจ้าจะโอ้อวดว่าจัดการข้าได้ก่อนเที่ยงก็ตาม แล้วความอาจหาญนั่นมันคืออะไรถ้าเจ้าทำด้วยตัวเองเพื่อนิ่งอยู่เฉยๆในขณะที่ข้ายังอยู่ล่ะ?”

    ถ้าหากวงจรยังวนซ้ำต่อไป มันก็ย่อมจะนำไปสู่ความพ่ายแพ้ของ Shirley ได้ มังกรเจ้าเล่ห์นี้กำลังมองดูฉากเช่นนั้นอยู่

    “มิหนำซ้ำ ข้าก็ยังมองเห็นทริคของเจ้าทั้งหมดแล้ว! ดาบนั้นที่ปรากฏในมือไม่มีค่าอะไรนอกจากเป็นผลผลิตของจินตนาการแปรธาตุไม่ใช่หรือไง?”

    จากความรู้ที่สั่งสมมา มันถึงกับรู้ความลับของเบื้องหลังเทคนิคของเธอที่แม้แต่นักผจญภัยที่อยู่ในกิลด์ก็ไม่อาจเข้าใจได้เต็มที่

    การแปรธาตุจะทำให้สามารถเลียนแบบสิ่งของที่มีอยู่ เป็นศาสตร์ลับที่สามารถสร้างอะไรก็ได้จากที่ไม่มี จินตนาการแปรธาตุที่เธอใช้ในการย่อยดาบใดๆที่เธอถือแล้วก็กลับมาเลียนแบบด้วยเวทมนตร์

    เนื่องจากการสร้างเลียนแบบนั้นใช้เวทมนตร์ ถ้าหากหลุดมือไปมันก็จะหายหลังจากผ่านไปสักพัก ยิ่งกว่านั้น เนื่องจากเทคนิคนี้ใช้ได้กับดาบธรรมดาที่ไม่ย้อมด้วยพลังเวท ส่วนที่เป็นประโยชน์นั้นจะต้องอาศัยทักษะของนักดาบที่เคยใช้มัน ดังนั้นจึงมีไม่มากที่คนจะใช้มันได้

    ราวกับว่าตั้งใจสาธิตให้ดู เรเปียร์ที่เธอแทงปีกมังกรกับดาบยักษ์ที่เธอใช้ในการโดดขึ้นไปกลางอากาศต่างก็จางหายไปทั้งคู่

    “เจ้าไม่ได้ครอบครองอาวุธคู่กายใดๆเลย ใช้เพียงแค่เครื่องประดับเล็กๆมาดึงอาวุธจากเวทพิ-”

    “แกก็ได้เห็นมันมาได้สักพักแล้วนี่”

    สำหรับผู้ที่มีความภาคภูมิใจในความรู้ของตัวเอง มันดูเหมือนจะเข้าใจเทคนิคและความสามารถของศัตรู ดังนั้นมันก็รู้ได้ว่าจะเคลื่อนไหวต่อไปยังไง

    และแน่นอน นอกจากจะใช้เวทมนตร์ฟื้นฟูอย่างไร้ขีดจำกัดแล้ว  ศัตรูของเธอก็ยังเปิดเผยเวทของเธอที่เป็นข้อเสียเปรียบอย่างชัดเจนด้วย

    แต่ถึงกระนั้น Shirley ก็ไม่ได้แสดงความกลัวเลยแม้แต่น้อย ขณะที่เธอตัดคอหอยของมังกรและจบการสาธยายของมันเป็นครั้งที่สี่

    “ในหมู่นักผจญภัย ถือว่าโชคร้ายที่มัวแต่เอาเวลาไปพูดถึงความสามารถของศัตรูนะ… ‘เดธแฟล็ก’ คือสิ่งที่พวกเขาใช้ รู้หรือเปล่าล่ะ?”

    ด้วยแรงที่เธอมีทั้งหมด เธอเริ่มเชือดร่างกายมังกรไปทั้งร่างจากหัวที่ป้องกันด้วยเวทบาเรีย

    สำหรับผลในชั่วระยะหนึ่ง การตัดร่างไปเรื่อยๆจนกว่ามันจะขยับตัวไม่ได้อีก ต้องขอบคุณมังกรที่พยายามเริ่มพูดทุกครั้งที่มันรักษาร่างกายแทนที่จะรีบโจมตี ในที่สุด Shirley ก็เห็นส่วนที่เธอต้องการจะตัดที่สุด

    “…ตรงนั้น!”

    ในที่สุดเธอก็ใช้กำลังรุนแรงเป็นครั้งแรกในศึกนี้ ดาบโค้งที่ถือในมือได้ผ่ากลางช่วงท้องของมังกรที่เอื้อมไม่ถึงต่อหน้า แล้วมังกรก็เริ่มฟื้นฟูเต็มที่… ร่างของมังกรโบราณที่ต้องอาศัยพลังเวทที่ไร้ขีดจำกัดเริ่มรู้สึกถึงความล้าที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน

    “แกกกกกกกกกก…! แกทำอะไรกันนนนนน!!!???”

    “ฉันว่าแกน่าจะรู้นี่ว่าฉันทำอะไร”

    เสียงที่ผลุนผลันตามปกติ อสูรดาบสีขาวพูดราวกับเธอไม่ได้มีอะไรพิเศษ

    “พลังเวทที่ไม่รู้จักเหนื่อยที่แกดึงมาจากโลกนั่น… ฉันก็แค่ตัดการเชื่อมออกไป แค่นั้นแหละ”

    มังกรโบราณไม่รู้ตัวมาตั้งแต่มันไม่ได้เฟี้ยงใส่ Shirley เลยแม้แต่ครั้งเดียว ว่าตัวเธอเองก็เป็นกึ่งอมตะด้วย

    และมันก็ไม่รู้ว่าพลังที่ได้มานั้นอยู่ในเบื้องลึกของดวงตา จากวันที่เธอหนีออกจากที่คุมขังและถูกทรมานจากชายที่เธอรักที่สุด ดวงตาคู่นั้นก็เห็นทั้งหมด

    ทั้งการเคลื่อนไหวด้วยความเร็วที่ไม่อาจมองเห็น

    ทั้งการหมอบตัวที่มองไม่เห็นภายใต้บาเรียหรือโล่

    แนวคิดและคำสาป นามธรรมและรูปธรรม ‘อำนาจ’…

    แม้แต่คำโกหกในอีกไม่กี่วินาทีในอนาคตด้วย

    อย่างไรก็ตาม ตานั้นก็แค่มองเห็นได้เอง มันก็ไม่มีผลใดๆต่อตัวผู้ใช้เอง นั่นคือธรรมชาติของพลังของผู้หญิง

    “น-นึกไม่ถึงเลย! เพื่อที่จะตัดพลังโดยไม่ให้มีร่างกายภาพเพียงแค่แกว่งดาบนั่น ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้เลยนี่…!”

    “จะกายภาพหรือไม่ มันก็ไม่เปลี่ยนความจริงที่ว่ามันยังอยู่ตรงนั้น ฉะนั้นฉันจึงได้ตัดสินใจทำลายมัน… ก็มีอยู่แค่นั้นแหละ”

    ครั้งนี้มังกรโบราณถึงกับพูดไม่ออก มันไม่รู้ว่าจะหาคำพูดมาตอบโต้ยังไง

    เธอมองเห็นทุกอย่าง แม้แต่ความสามารถเฉพาะตัวของมังกรนั้นก็ไม่มีข้อยกเว้น เธอจึงมองเห็นได้ถึงตัวตนของมัน

    และถ้ามันมีตัวตน เธอก็สามารถตัดมันได้ ต่อให้มันเป็น ‘พลัง’ ที่ไม่มีรูปธรรมก็ตาม อะไรที่เธอมองเห็นก็สามารถตัดได้ ดาบนั้นอยู่นอกเหนือจากกฎธรรมชาติ ฉายาของ Shirley ที่ว่าอสูรดาบสีขาวมาจากทุกอย่างถูกฟาดฟันต่อหน้าดาบของเธอ

    “เอาล่ะ… ด้วยสิ่งนั้น ฉันก็จะไม่มามัวฟังเรื่องโม้เกี่ยวกับพลังของแกอีกแล้ว สิ่งที่เหลือก็คือจบชีวิตแกซะ”

    ขณะที่เธอฟาดดาบไปยังตรงนั้น มังกรโบราณก็ได้เห็นเงาของเทพสงคราม

    ก่อนหน้านั้นเล็กน้อย

    “จ่าฝูงหรือ?”

    Kyle เอียงหัวด้วยความสงสัยต่อ Asterios ขณะที่พวกเขายืนต่อหน้ากองไหม้ของพวกแบดโบโนโบ

    “ใช่ ด้วยจำนวนที่ใหญ่อย่างนี้ มันก็น่าจะมีมอนสเตอร์สักตัวที่ทำตัวเป็นจ่าฝูงที่รู้จักกันใน ‘ซิลเวอร์แบก’ พวกเจ้าทั้งสามไม่เห็นมันเลยหรือ? มันน่าจะใหญ่กว่ารังและปกปิดด้วยขนสีขาวนะ”

    เหมือนอย่างกับก็อบลินควีน ฝูงใหญ่ใดๆน่าจะมีตัวจ่าฝูงอยู่ ถ้าไม่มีจ่าฝูงในฝูงที่ใหญ่แบบนี้มันก็น่าจะผิดปกติอย่างมากแล้ว

    ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขารู้สึกไม่ดี หลังจากที่ลูบคางด้วยเสียงพึมพำ Asterios ก็เอาลูกบอลคริสตัลกับตาก้อนหินติดปีกออกจากกระเป๋า

    “นี่มันอะไรนี่?”

    “นี่คืออุปกรณ์เวทมนตร์ที่ใช้ในการส่องตาทิพย์ มันมักจะเอาไปใช้สำหรับการลาดตระเวน แต่อันที่ข้าเอามานี้เราจะสามารถดูการต่อสู้ของ Shirley ที่อยู่บนยอดได้ ด้วยสิ่งนี้เราก็สามารถมองเห็นได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนยอดภูเขานะ”

    เมื่อปล่อยออกไป ตาก้อนหินก็บินมุ่งหน้าไปยังภูเขาโดยปราศจากเสียง และหลังจากที่ Asterios ร่ายเวทสั้นๆ ก็มีภาพจากมุมมองของดวงตาฉายมายังลูกบอลคริสตัล

    “หวา! นั่นมันสะดวกจริงๆเลย!”

    พูดถึงหน่วยสอดแนมแล้ว Cudd อุทานที่เห็นพ้องด้วย ภาพที่ปรากฏออกมาจากมุมกล้างความสูงที่มนุษย์ไม่อาจมองเห็นได้ กำลังมองไปยังยอดเขา พวกเขาเห็นภาพที่ดูเหมือนกับเป็นศึกจากตำนาน



    “…สุดยอด”

    นั่นคือคำพูดที่เหมาะสม

    นักดาบร่วมสมัยที่มีพลังล้นหลามกับมังกรโบราณ ทั้งความสามารถและเทคนิค ไม่มีอะไรที่พวกเขาสามารถจับการเคลื่อนไหวของเธอที่แท้จริงได้

    Kyle จ้องไปยังคริสตัลด้วยความอิจฉา ปฏิธานของเขามาถึงความสูงพอๆกับเธอที่ไม่ได้มีกระดูกส่วนไหนแตกหัก เขาอยากจะเป็นนักผจญภัยมากๆที่วันหนึ่งจะได้ไปต่อกรกับมังกรดั่งเช่นนี้

    “หืม? เดี๋ยวนะ… ดูนั่นสิ!”

    Leia ชี้ตรงลูกบอลคริสตัล ตรงขอบของพื้นที่ต่อสู้นั้น มีโบโนโบผมขาวที่กำลังมองดูอยู่ ซิลเวอร์แบกนั่นเอง

    “ข้ารู้สึกไม่ดีอย่างนี้เลย… ข้าไม่เข้าใจเหตุผลว่าทำไม แต่ดูเหมือนจะหนีรอดจากผลของเวทข้าไปได้”

    “Asterios-san พอที่จะมีเครื่องมีเวทมนตร์ที่สามารถส่งข้อความไปยังอีกฝั่งหนึ่งได้มั้ย?”

    Asterios สายหัวไปมาเงียบๆ

    เขาไม่รู้ว่าโบโนโบจ่าฝูงนั้นคิดอะไรหรือทำไมถึงอยู่ตรงนั้น แต่แบดโบโนโบทั้งหมดที่อยู่ในเหมืองต่างก็อยู่ใต้การปกครองของมังกรนั้น

    ถ้าเป็นแผนการแทรกแซงศึกระหว่างคนเก่งกับศัตรูตัวฉกาจล่ะก็ มันยากที่จะนึกภาพออกว่าจะเป็นยังไง

    เขาหมดหนทางที่อยากจะเตือนเธอ แต่ด้วยเวลาที่เขาจะไปยังตรงนั้นมันก็น่าจะสายไปแล้ว และไม่เหมือนกับ Asterios ถ้าเขาไปยังตรงนั้นเขาก็เป็นได้แค่เพียงตัวภาระ

    Kyle ถึงกับหัวร้อน แล้วก็เงยหัวขึ้นแล้วพูดในขณะที่มองไปที่ดวงตา Asterios

    “Asterios-san ผมน่าจะหาทางใช้อุปกรณ์เวทมนต์ในการส่งเสียงผมไป มันน่าจะได้ถ้าผมลองและส่งด้วยมัน?”

    “ไม่ได้ ข้าไม่ได้คิดอะไร แต่… มันจะเป็นไปได้กับเจ้าหรือ? มันยากที่จะดัดแปลงอุปกรณ์เวทมนตร์ที่คนอื่นเค้าทำมานะ”

    “ผมเรียนรู้การใช้อุปกรณ์เวทมนตร์ระหว่างที่ศึกษามาด้วย ผมไม่อาจพูดได้อย่างแน่นอนว่าผมใช้มันได้…”

    เขาจำคำร้องแรกของเขาได้ และความรู้สึกผิดนั้นก็ไม่เคยจางหายไปเลย

    “แต่ผมไม่อยากอยู่ด้วยความรู้สึกผิดเพราะผมตัดสินใจที่จะไม่ทำอะไร”

    จากนั้น Shirley นั่นก็ปล่อยการโจมตีที่พิเศษแบบใหม่ออกไป

    พายุของเหล็กนั่นน่าจะจบชีวิตมอนสเตอร์ธรรมดาใดๆที่โดนเข้าไปได้ มังกรนั้นไม่อาจที่จะปกป้องหัวของมันได้

    ตอนแรก มันพยายามจะยับยั้ง Shirley ด้วยไฟและเขี้ยว แต่ด้วยการโจมตีเช่นนี้ ทั้งหมดที่มันทำได้ก็คือหดหน้าและหลัง

    พลังเวทมนตร์ที่ไม่รู้จักก็ถูกฟันทิ้ง และตอนนี้ร่างมันก็เริ่มเหนื่อยล้าจากการฟื้นฟูบาดแผลทั้งหมดเป็นจำนวนมาก

    มันเป็นความอัปยศที่สุด มังกรโบราณที่ภาคภูมิใจถูกต้อนจนมุมโดยมนุษย์ตัวเล็กคนเดียวจ้องไปยัง Shirley ที่เกือบจะมองไม่เห็นแล้วก็หัวเราะให้กับตัวเองจากใจ

    (แต่ นี่ก็เป็นพลังทั้งหมดที่เจ้ามีอยู่…! ด้วยการโจมตีครั้งเดียว ข้าก็จะหยุดเจ้าให้ดู…!)

    มังกรโบราณนั้นเจ้าเล่ห์เหมือนงู มันเชี่ยวชาญในการจัดการเวทมนตร์ในหัว มันได้คุ้มกันซิลเวอร์แบกจากคำร่ายและทำให้มันซ่อนตัวอยู่ในก้อนหินรอโอกาสอยู่

    (ไม่ได้ยินความอัปยศที่ต้องมายืมพลังจากผู้ที่ต่ำต้อยมาแล้ว… แต่มันน่าจะดีกว่าที่ต้องมาพบกับจุดจบละกัน…!)

    ถึงแม้มันต้องใช้เวลาสักพักในการพูดคำร่ายออกมา จ่าฝูงก็สามารถร่ายเวทสื่อการที่เรียกว่า 《Burn Wall》 ได้

    มันเป็นกำแพงเปลวเพลิงที่น่าจะออกมาถึงรัง แม้แต่นักดาบที่มีความเร็วเหนือมนุษย์ ก็ยังยากที่จะนึกภาพออกว่าเธอจะจัดการกับเวทมนตร์แบบนั้นและรอดมาได้

    มังกรโบราณยังไม่แก่พอที่จะพลาดโอกาสนี้ได้ ถ้ามันกลืนเธอเข้าไปได้ ทั้งร่างกายและจิตใจของเธอก็อาจจะกลายเป็นข้าวต้มบดคาพื้น

    (ใช่ โฟกัสที่ข้าต่อไปอย่างนั้นแหละ ข้าจะได้ทำลายเจ้าให้มันเต็มที่เลย…!)

    ในจังหวะก่อนที่ซิลเวอร์แบกจะร่ายเวทไฟเสร็จนั่นเอง…

    “คุณ Shirley ข้างหลังเธอ! ซิลเวอร์แบก!”

    เสียงของเด็กหนุ่มที่ดังไปทั่วทั้งพื้นที่ ทำให้พวกนั้นมองตาขึ้นไป พวกนั้นเห็นของที่มีเสียงออกมา นั่นคือตาหินบินได้ที่มองไปยัง Shirley จากด้านบน

    “ชิ!”

    Shirley กระโดดขึ้นกลางอากาศโดยใช้มังกรเป็นสปริงบอร์ด แล้วก็บิดงออากาศเหมือนพระจันทร์เสี้ยว เธอขว้างดาบเล่มหนึ่งผ่ากะโหลกของซิลเวอร์แบกที่ซ่อนตัวอยู่

    การลอบโจมตีทีเผลอที่มังกรยอมทิ้งความภาคภูมิใจเอาไว้เป็นเดิมพันนั้นถึงกับถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์

    “ก-แกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!”

    ตาของมันถึงกับโกรธจัด มันอ้าปากเพื่อที่จะพ่นไฟออกมาอีกครั้ง แต่ ไม่มีอะไรที่ต้องกลัว Shirley ได้ฟันผ่านเส้นเอนของมังกรแล้วก็ส่งมันกลับลงพื้น

    การฟื้นฟูที่สม่ำเสมอก่อนหน้านั้น ตอนนี้มันไม่มีแล้ว และเลือดก็ยังคงไหลออกมาจากร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรง

    มังกรนั้นได้รับบาดแผลสาหัสไปเป็นชุดจนในที่สุดมันก็หมดพลังเวทลง

    “ม-ไม่มีทาง…! ข-ข้าเป็นมังกรตะวันตก…”

    “ฉันไม่สนหรอก”

    Shirley ตัดคอมังกร ด้วยสิ่งนั้น สติที่จางและความอัปยศของมังกรที่ชอบพูดคำสาธยายที่ไร้สาระก็ได้ดำดิ่งไปกับความมืด

    หลังจากนั้น Shirley ก็ได้ลงมาจากภูเขาแล้วก็ต้อนรับปาร์ตี้ด้วยอีเต้อที่เธอถืออยู่บนบ่า ชวนให้ดูน่าสงสัยจาก Cudd

    “อีเต้อนั่นมันอะไร?”

    “มีบางอย่างที่ฉันอยากได้จากเหมือง ฉันจึงได้เอาอีเต้อมาด้วย”

    “แล้วสมบัติที่มังกรเก็บไว้ล่ะ?”

    “ก็ พวกนายมีส่วนร่วมในคำร้องโดยการฆ่าลูกน้องมังกรนี่ เพราะงั้นพวกนายก็เอาไปให้มากเท่าที่ต้องการได้เลย”

    เอาจริงสิ!? ถึงแม้ว่า Shirley จะเทน้ำเย็นใส่ความฝันของ Cudd จนหายวับไปก่อนหน้านั้นทันทีก็ตาม

    “ก็อย่างที่บอกไป พวกนายสามารถเอาไปให้มากเท่าที่เราจะเก็บไว้ในเกวียนได้”

    “…อย่าทำให้มันกร่อยเร็วพอๆกับที่พูดสิ”

    ขณะที่ Cudd เริ่มมุ่งหน้าไปยังภูเขาด้วยสีหน้าท่าทางสับสน Shirley ก็เดินเข้าไปหา Kyle

    “นายเป็นคนบอกฉันเรื่องซิลเวอร์แบกในตอนนั้นใช่มั้ย? ฉันอยากจะพูดขอบคุณสักหน่อย”

    “ม-ไม่ต้องหรอก! คุณ Shirley คุณน่าจะจัดการเอาเองเถอะ ผมก็แค่ทำอะไรที่ไม่จำเป็นเอง…”

    “นั่นสิ นายอาจจะถูกก็ได้”

    แต่ขณะที่เธอพูด Shirley ก็เดินไป

    “ไม่มีอะไรที่แน่นอนในศึก ไม่ว่านายจะเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือผู้กล้า มันก็จะมีเวลาตอนที่เข้าสู่ยามคับขัน ดังนั้นฉันจึงไม่คิดว่าสิ่งที่นายทำนั้นไม่มีค่าหรอก”

    Shirley วางมือขวาบนอกและพูดขณะที่ยิ้มเล็กๆบอกที่จะทำให้คิดว่าเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา

    “ดังนั้นก็ขอบคุณ ขอบคุณนายด้วย ฉันจึงรอดมาได้”

    “ป-เปล่า… มันก็ไม่ได้ใหญ่อะไรอย่างนั้น…”

    เขาเกาหลังหัวอย่างอาย ขณะที่มือสั่นและความคิดเริ่มยุ่งเหยิงนั้น สุดท้าย Kyle ก็พุ่งไปยังจุดที่ Cudd ที่กำลังมุ่งหน้าไปยังขุมทรัพย์ที่รอเขาอยู่

    “ผ-ผมจะไปคว้าสมบัติด้วย รอผมด้วยสิ!”

    ขณะที่ Kyle วิ่งไปด้วยเสียงตะโกนที่ฟังไม่เป็นภาษา Shirley ก็เอียงหัว

    “…อะไรหรือ?”

    “…หือ Shirley-san นี่ช้าไปหน่อย”

    “ช้าหรือ? หมายความว่ายังไง? มีอะไรบางอย่างกับการเคลื่อนไหวของฉันหรือ?”

    “ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น… ก็ บางทีน่าจะดีกว่านี้ถ้าคุณไม่รู้นะ”

    Leia เกาหลังหัวแล้วก็มองไปยังภูเขาที่เต็มไปด้วยสมบัติ

    “ใช่แล้ว ฉันว่าถึงเวลาที่จะมองหาอัญมณีล่ะ หือ~?”

    “…ศึกในรังนี้มันรุนแรงนะ อัญมณีคงจะแตกกระจายไปหมดแล้ว แล้วเธอยังโอเคที่จะมองหาอยู่หรือ?”

    “ไม่ต้องห่วง ฉันใช้เวทมนตร์ค้นหาระบุตำแหน่งไว้นะ”

    เธอพูดแบบนั้น แต่ Leia ก็ไม่ได้ขยับไปไหนเลย พูดอะไรกันเนี่ย… อ๊า… เธอเกาหัวแล้ว ในที่สุดเธอก็พูดออกมาแล้ว

    “ฉันอยากจะบอกว่า ขอบคุณนะ ที่ช่วยในส่วนที่เห็นแก่ตัวของฉันด้วย”

    “เธอไม่ต้องขอบคุณฉันเป็นการเฉพาะก็ได้ มันก็แค่เดินทางร่วมกันและก็ก้าวข้ามเป้าหมายไปแล้ว… คำร้องของเธอก็เพิ่งจะเสร็จไปแล้วล่ะ”

    “ถึงอย่างนั้น การขับรถลากและการจัดการมังกร ไม่มีทางที่ฉันจะทำแบบนั้นได้ด้วยตัวเองได้ หากไม่มีคุณฉันก็คงไม่อาจเอาสมบัติของครอบครัวกลับมาได้หรอก”

    Leia มองดู Shirley ด้วยนัยน์ตาสีสองที่ประกายวับส่องแสงเหมือนดวงอาทิตย์

    “ขอบคุณมากนะคะ! Shirley-san ดีใจที่ได้พบกับคุณค่ะ!”

    “…”

    หลังจากที่พูดแบบนั้นไป Leia ก็วิ่งตามเด็กหนุ่มทั้งสองไป ทันทีที่ตามทันเธอก็เริ่มทะเลาะกับ Cudd แล้ว Kyle ที่พยายามจะหยุดทะเลาะก็โดนศอกของทั้งคู่เข้าที่หน้าเต็มๆ มองดูภาพที่สงบสุขในความเงียบแล้ว มันยากสำหรับ Shirley ที่จินตนาการว่าเธอกำลังสู้กับความเป็นความตายก่อนหน้านั้นไม่นาน

    “มีอะไรหรือ ท่าน Shirley?”

    “เปล่านี่ ก็แค่รู้สึกค่อนข้างสดชื่นนะ”

    “โห? มือเก๋าที่ผจญภัยมากว่าสิบปียังอุตส่าห์หาความสดชื่นด้วยหรือ?”

    “จนถึงตอนนี้ ฉันก็ได้ทำคำร้องเพื่อเก็บเงินเพื่อลูกสาว ฉันไม่เคยสนใจถึงเรื่องสถานการณ์และความรู้สึกของคนว่าจ้างเลย ดังนั้นจึงเป็นครั้งแรกที่ฉันน่าจะขอบคุณต่อหน้านี้แหละ”

    “น่าๆ”

    Asterios หัวเราะอย่างพอใจ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนเปิดให้แสดงความคิดเห็น “เฉพาะสมาชิก” เท่านั้น
    ×