ลำดับตอนที่ #20
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #20 : วันในชีวิตของราชามังกร
ขาที่แข็งแรงและมั่นคงได้ฉีกบนพื้นขณะที่มันวิ่งผ่านที่ราบ
มังกรที่ขี่ได้นั้นได้วิ่งบนพื้นและกระโดดออกมาโดยคนหนึ่งคน ซึ่งเป็นตัวที่ธรรมดาที่สุดของบรรดามังกรทั้งหมดโดยมนุษย์
ขณะที่ Shirley ได้ลงจากมังกรนั้น เธอก็ใช้สายตาที่เหลือเชื่อมองไปยังมังกรกลุ่มใหญ่ที่บินอยู่บนเส้นขอบฟ้า แม้ว่าเธอจะมองดูพวกนั้นโดยที่ไม่มีเศษเสี้ยวของความกลัวเลย
เป็นกลางคืนที่สว่างไสวที่มาจากแสงของดวงดาวและดวงจันทร์ ผมขาวของเธอดูเหมือนกับดอกไม้ในพื้นหญ้า เปล่งประกายราวกับจะให้ศัตรูเห็นตัวสวรรค์
“ไอ้กิ้งก่า… ฉันจะทำให้แกต้องเสียใจที่มายังตรงนี้…”
ดอกไม้หนึ่งเดียวที่เบ่งบานในสนามที่พร้อมรบ ยืนอยู่เพียงลำพังกลางสหรภูมิ เธอถมึงตาใส่มังกรและพรรคพวกของมันจากระยะไกลด้วยตาสีแดงและสีน้ำเงิน กล้าดียังไงถึงได้มาขัดขวางในวันที่เธอจะวางแผนอยู่กับลูกสาวของเธอ?
สิ่งเดียวที่เธอเป็นห่วงก็คือ การสนับสนุนของ Canary ที่บอกว่าจะจัดการให้ เธอไม่ได้กังวลถึงเรื่องขาดกำลังเสริมหรือเวทสนับสนุนหรอก แต่กระนั้นถึงเธอจะตัดสินว่า Canary เป็นคนน่ารังเกียจก็ตาม เธอก็ไม่อาจที่จะปฏิเสธคนที่ทำสัญญาข้อตกลงได้เลย
คำถามก็คือ แล้วเธอจะได้รับการช่วยเหลือแบบไหนกันล่ะ? ไม่ว่าแม่มดจะแข็งแรงยังไง มันก็ยากที่จะนึกภาพว่าเธอน่าจะออกไปช่วยขณะที่เตรียมม่านมิติในเวลาเดียวกันเพื่อปกป้องประชาชนของราชอาณาจักรได้
(บางที ก็แค่เสริมกำลังมาแค่นั้นแหละ แต่ใครจะมาล่ะ?)
นักผจญภัยที่อยู่เหนือกว่าแรงค์ A ก็ถูกสั่งให้ปกป้องในแต่ละพื้นที่ ขณะที่จำนวนของนักผจญภัยแรงค์ B และที่ต่ำกว่านั้นที่อาสามาเข้าร่วมการต่อสู้ที่อันตรายเช่นนี้ จำนวนมันก็น่าจะต่ำสุดขีดเลยล่ะ
แน่นอนว่า มีนักผจญภัยบางคนที่จะเข้าร่วมศึกด้วยถ้า Canary ชวนมา แต่สำหรับศึกแบบนี้ เธอไม่ค่อยมั่นใจว่า Canary จะหาใครมาได้
การที่ Canary ทำการเคลื่อนไหวผู้คนก็คือเงิน เธอได้ขอร้องพวกที่ติดหนี้มา โดยต้องการเงินเพื่อที่จะเก็บกับตัวเอาไว้หรือไม่ก็คนที่เขารักหรือไม่ก็แค่ชอบตัวทองคำแค่นั้น
แต่เมื่อใดที่มาด้วยเงินแล้ว พวกนักผจญภัยแรงค์ B ที่มีความเป็นอิสระส่วนตัวจะไม่เคลื่อนไหวเพียงแค่เงิน ส่วนนักผจญภัยแรงค์ C ก็น่าจะจัดการกับมอนสเตอร์ลูกน้องได้ โดยที่ไม่รวมถึงมังกร
และยิ่งกว่านั้น ความคิดแบบนี้มันบ้าบอสิ้นดี ให้ออกไปแล้วก็สู้กันในสนามรบที่แม้แต่อสูรดาบสีขาวก็ยังต้องลำบากด้วยเรื่องที่ไม่น่าขำสำหรับพวกนักผจญภัยนั้น… จะไปบอกพวกเขาว่าให้ผ่านประตูนรกด้วยตัวพวกเขาเองหรือ ใครที่ไหนในโลกเขาจะยอมกัน?
(ถ้ามีเพียงกำลังเสริมมาอย่างน้อยก็พอจะจัดการกับพวกแมลงวันได้ มันน่าจะช่วยประหยัดเวลาได้มาก… ถ้ามีสักคนโผล่มานะ… คงจะไม่มีใครมาหรอกนะ”
เธอมองและก็หัวเราะขณะที่เธอต้องสู้อยู่คนเดียว… บางทีนั่นน่าจะเพียงพอที่จะมีสักคนมาล่ะมั้ง
…ไม่สิ Canary บอกไว้โดยเฉพาะว่าเธอน่าจะทำเธอได้กลับไปเพื่อวันเยี่ยมโรงเรียนได้ เธอยังเชื่อในคำพูดของเธอต่อให้พฤติกรรมของเธอที่ทำทุกวันจะทำให้เธอคิดอยู่หลายอย่างแต่
“…พวกเขามาแล้ว?”
ขณะที่เธอพยายามที่จะหยุดความกังวลนั้น เธอก็จับการไหลของพลังเวทด้วยตาเธอ
เสียงแปลกๆ อากาศเริ่มแหวกและบิดเบี้ยวไป เป็นเวทวาร์ปมิติของ Canary นั่นเอง ถ้าเธอใช้เวทแบบนี้มันก็น่าจะเป็นกำลังเสริมล่ะนะ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ถึงเธอก็ตาม
“………..เอ๋?”
“สีหน้าแบบนั้นมันอะไร เธอดูเหมือนกับนกพิราบที่เพิ่งจะถูกยิงด้วยลูกพีชพ่นถั่วเลยนะ รู้ป่าว?”
จากรอยแหวกของช่องว่าง ก็มีคนจำนวนนับไม่ถ้วนมาพร้อมกับเครื่องมือวูบวาบโผล่ออกมา เจอแบบนี้ไม่เพียงแต่สีหน้าเย็นชาปกติอย่าง Shirley จะเก็บความเซอร์ไพรออกหน้าได้อย่างเดียว คนที่พูดออกมาเป็นคนแรกในหมู่พวกนั้นก็มาด้วย
เธอจำหน้าคนนั้นได้ และก็ดาบยักษ์ที่สะพายบนหลังของเขาด้วย มันคือนักผจญภัยแรงค์ B ที่ทำให้ Yumina ต้องเหนื่อยมาก่อนหน้านั้น
“…เปล่า ฉัน… ฉันก็แค่แปลกใจนิดหน่อย ฉันนึกว่าเธอน่าจะส่งกำลังเสริมมาซะอีก ฉันคงไม่ได้คาดว่ามันจะมากและก็คุณภาพสูงแบบนั้น…”
นักผจญภัยต่างก็เริ่มจัดขบวนแถวหน้า Shirley ประกอบไปด้วยนักผจญภัยแรงค์ B จากเมืองชายแดนที่เธออาศัยอยู่ พอๆกับนักผจญภัยแรงค์ C ถึง E ที่ตามหลังมา ในหมู่พวกนั้น เธอเห็นพวกนักผจญภัยมือใหม่สามคนที่เธอเคยเข้าร่วมเมื่อไม่นานก่อนหน้านั้นด้วย
พวกเขาทั้งหมดต่างก็หลงใหลในดวงตาและก็พร้อมที่จะต่อสู้ขณะที่พวกเขาเผชิญหน้า Shirley แต่มันอุกอาจเกินไป มันคือความกล้าหาญอันโง่เขลาดีๆนี่เอง ส่วนใหญ่ที่มาก็แบบฝีมือไม่ดียันไปถึงระดับมือเก๋า
“ทำไมพวกนายถึงมาล่ะ? นี่ Canary ไปข่มขู่ด้วยอะไรมาหรือไง?”
ถ้าเป็นในกรณีนั้น เธอน่าจะบอกให้พวกเขาว่าให้กลับไปซะน่าจะดีกว่า
“ก็ไม่ได้มีอะไรกับกิลด์นักหรอก แค่ร้อยเหรียญทองต่อหัวเอง บวกอีกสองเหรียญทองในการนำมอนสเตอร์กลับมา และอีกหลายร้อยสำหรับมังกร ไม่ดีเกินกว่าที่จะปล่อยผ่านไปหรือไง?”
นักผจญภัยตอบไปงั้นๆ พูดอย่างกับว่านั่นจะเป็นรางวัลของนักผจญภัยที่จะต่อสู้ตลอด พวกนั้นก็เลยตั้งใจจะอยู่นี่แหละ
แทบจะไม่เชื่อสายตาเลย ยัย Canary นั่นไม่ได้ไปขู่เข็ญใคร และก็ยังตั้งรางวัลเพื่อปลุกจิตวิญญาณของนักผจญภัยแทนหรือ?
“แน่นอน ไม่ได้มีแค่รางวัลอย่างเดียวนะ รู้ปะ?”
“…?”
พวกนั้นยิ้มและหัวเราะชอบใจกันเองในขณะที่ Shirley ดูท่าสับสน แต่เธอก็หรี่ตาและก็ถามพวกนั้นอย่างเย็นชา
“…นายอาจตายได้นะ รู้มั้ย?”
เธอพูดกับทุกคนด้วยคำพูดตรงๆ นักผจญภัยแรงค์ B นั่นก็ยังพออยู่ได้บ้าง ถึงแม้ว่า Shirley จะรู้ว่ามีนักผจญภัยแรงค์ A ถึง S บางคนปะปนอยู่บ้าง มังกรนั้นก็ยังคงเป็นคู่แข็งที่อำมหิตอย่างเหลือเชื่ออยู่ดี
แล้ว อะไรที่จะมาเป็นนักผจญภัยวัยเยาว์ในแนวหลังกันล่ะ? ไม่มีทางที่พวกนั้นจะยืนหยัดกับมังกรได้เลย เธอไม่ได้บอกพวกนั้นไป แต่เธอก็ไม่เห็นตอนจบในทางอื่นใดๆนอกจากจะตายเหมือนซากหมา
ชีวิตน่าจะเป็นสิ่งที่ต้องมาก่อนเสมอ ต่อให้พวกเขาไม่ได้ร่วมมือก็ควรที่จะอพยพก่อนที่มอนสเตอร์จะเข้ามา และถ้าพวกนั้นตายไปแล้วตรงไหนกันที่จะเป็นรางวัลได้ล่ะ?
“เธอไม่เข้าใจหรือยังไง?”
“?”
“ออกไปสู้กับพวกมังกรทั้งอย่างนั้นเอาเอง ไม่ใช่ว่ามันจะไม่แฟร์หรือไงถ้าเธอเป็นคนเดียวที่จะทำแบบนั้นได้น่ะ?”
ไม่มีใครหรอกที่จะถูกบังคับหรือกดดันให้มายังตรงนี้
ไม่มีใครอยากตาย นั่นก็ชัดเจนอยู่แล้ว แต่ถ้ายอมปล่อยให้โอกาสที่จะได้ล่าเกมดีๆไปเช่นนี้ แล้วจะเรียกตัวเองว่าเป็นนักผจญภัยตรงไหนกันล่ะ?
“…ฉันเข้าใจ ถ้าพวกนายมาไกลขนาดนี้แล้ว ฉันก็ไม่หยุดนายแล้วล่ะ”
แล้วก็ถอนหายใจออกมา Shirley ยอมแพ้ในการเกลี้ยกล่อมพวกเขา
ถ้าพวกเขามาที่นี่เพื่อรางวัลและเกียรติยศล่ะก็ แล้ว Shirley ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะพยายามให้พวกเขากลับไป
ต่อให้พวกเขาต้องเผชิญกับศัตรูสุดโหด หรือแม้แต่เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นมา พวกผจญภัยพวกนี้ก็ต้องรับผิดชอบต่อตัวพวกเขาเองแล้วล่ะ
“นั่นสินะ เราก็มีเหตุผลอื่นพอๆกัน เราไม่อาจปล่อยให้นักดาบสาวป้องกันทั้งเมืองเพื่อพวกเราตามลำพังได้หรอก ใช่มั้ยล่ะ?”
ชายที่ควงหอกด้วยป้ายสีทองแดงพูด ขณะที่มองไปยังที่กองทัพบนเส้นขอบฟ้าที่ดูเหมือนกับกลุ่มหมอกดำ
มองไปยังสายตาเดียวกันแล้ว นักผจญภัยหลายคนต่างก็กลื่นน้ำลาย พวกเขาไม่มีเวลาเหลือมากนักก่อนที่จะเริ่มศึก และตรงโน้นก็มีมอนสเตอร์ที่จำนวนมากกว่าที่พวกนั้นคาดเอาไว้
“เธอไม่ได้บอกเราเลยหรือ เราน่ะมั่นใจอยู่แล้ว นี่ มีอยู่ใช่มั้ย? เทคนิคลับสุดยอดของอสูรดาบสีขาวที่เลื่องลือนะ?”
ราชามังกรแห่งประจิม Beowulf มีลักษณะที่แข็งแกร่งสุดโหด มันอยู่ห่างไกลอันเนื่องจากคำพูดที่ขาดๆหายๆและเหตุผลด้วยความปรารถนาเพื่อพลังกายภาพ และความคิดที่คุ้มคลั่งในตอนนี้ก็จ้องไปยังที่ศัตรูที่น่าจะไม่มีอะไรนอกจากเหยื่อ
สำหรับคู่แข็งที่ดูจิ๊บจ้อยและไร้ค่าอย่างมนุษย์ที่อาจหาญขวางหน้านั้น เป้าหมายของมันก็คือมังกรไฝ่ต่ำที่โยนความภาคภูมิใจทิ้งไป เทพมังกรที่เลือกเป็นมิตรกับมนุษย์แม้ว่าจะอยู่จุดที่สูงที่สุดก็ตาม
ถึงแม้ Níðhöggr กับ Vritra ได้วางแผนที่จะโจมตีเมืองหลวงในเวลาเดียวกันจากสามด้านก็ตาม Beowulf ก็หาสนใจไม่
สำหรับมันแล้ว นี่คือโอกาสสมบูรณ์แบบที่จะกำจัด Aion และขึ้นมาเป็นเทพมังกรแทนซะ ไม่ว่าจะบ้าเลือดอย่างไร ราชามังกรแห่งประจิมก็ไม่ยอมพลาดโอกาสนี้แน่
มันคงจะทำลายเมืองหรือหมู่บ้านที่อยู่ในเส้นทางของมันได้แล้ว และขณะที่ราชาที่กำลังบินอยู่หน้ากองทัพกะจะมุ่งไปยังเมืองหลวงที่ศัตรูกำลังหลับจากระยะไกลนั้น มันก็เห็นคนกลุ่มหนึ่ง
ตัดสินจากอาวุธและชุดเกราะแล้ว พวกเขาต้องเป็นนักผจญภัยแน่ บางทีพวกนั้นมันโง่เขลาที่พยายามจะปกป้องเมืองพวกเขาหรือไง?
ต่อให้บางคนมีทักษะความสามารถ พวกอ่อนแอกระจ้อยร่อยที่มีน้อยกว่าร้อยจะไปต่อกรอะไรกับศัตรูที่สุดยอดทั้งจำนวนและความสามารถได้ล่ะ?
ขณะที่ Beowulf เร่งความเร็วเพื่อหวังที่จะกระชากสิ่งที่อยู่ตรงข้ามนั้น สายตาที่สุดยอดแหลมคมของมันก็ไปเห็นผู้หญิงผมขาวที่อยู่หน้ากลุ่ม
“จงตื่นขึ้น… 《ฐานที่มั่นสีน้ำเงินแห่งชาติ》, 《ป้อมปราการแดงแห่งความศรัทธา》”
ผลของสัมผัสการได้ยินที่เฉียบคมพอๆกับสายตาของมัน มันได้ยินคำร่ายของผู้หญิงขณะที่ดาบสองเล่มปรากฏในมือของเธอ
ดาบเรียวยาวสีน้ำเงินกับแดงที่เหมือนกับเจ้าของสีดวงตา บนดาบสีน้ำเงินมีลายของราชาสัตว์ป่าส่วนสีแดงนั้นเป็นราชานก ถึงอย่างนั้น Beowulf สุดบ้าคลั่งยังต้องระวังเวทมนตร์ที่ไม่รู้จักนี้
“《ภูเขาลมสะท้านดอกไม้แห่งนรก・บทเพลงดับทุกข์บนคลื่น》”
เสียงที่ดังก้องชัดเจนและพลังเริ่มหมุนรอบตัวผู้หญิง ทั้งคนที่อยู่ใกล้เธอและมอนสเตอร์บนท้องฟ้าต่างก็รู้สึกถึงลมทะเลที่พัดแรงที่ไม่ควรจะรู้สึกได้ในผืนดินที่ห่างไกลนี้
“《หัตถ์แห่งการทำลายล้างผลาญทั้งสวรรค์และผืนโลก・ม่านแดงต่อต้านคลื่น》”
เสียงดังก้องเหมือนระฆัง เป็นเพลง บทร่ายหรือว่าเสียงคร่ำครวญกันแน่? ดาบที่ถืออยู่ในมือเริ่มค่อยๆสว่างขึ้นและก็สว่างมากขึ้น ทำให้พื้นมีสีเหมือนกับลากเส้นในท่ามกลางคืน
“《ยัง เราจะร่ายมันแบบกินดิบ・มือนั้นจะหยุดลงในระหว่างการสวดภาวนา》”
Beowulf เร่งความเร็วเพิ่มขึ้นอีก สัญชาตญาณของราชามังกรบอกมันว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มันก็จะไม่ปล่อยให้เวทมนตร์นั้นได้ทำงานเด็ดขาด
ทว่ามันก็สายเกินไป ขณะที่ปีศาจยักษ์เกือบจะพุ่งลงไปโฉบผู้หญิงแล้ว โลกก็ถูกกลืนไปด้วยแสงบริสุทธิ์ – แล้วก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“《ชั่วโมงของจุดจบของแกที่ใกล้จะเข้ามา・เราคือผู้ที่จะฝังแก》”
มันคือราวกับตำนานที่มีชีวิต
เมื่อคำร่ายสุดท้ายได้ร้องออกมา มันก็ถึงกับตาพร่าด้วยแสงที่สว่างสุดขีดที่ส่องไปทั่ว ความรู้สึกของสมดุลและทิศทางยังไม่เข้าที่เข้าทางขณะที่มันลอยอยู่ในช่องว่างนั้น และเมื่อมันลืมตาขึ้นมา ภาพที่มีกลางวันกลางคืนก็กลายเป็นอย่างอื่น และปลายเส้นขอบฟ้าก็ยืดไปสุดสายตารอบๆตัวมัน
ราชามังกร ขุนพลของมัน และก็มอนสเตอร์อีกสามร้อยกว่าตัวถูกเคลื่อนย้ายไปยังโซ่ของสามเกาะที่ล่มสลายกลางท้องฟ้า
“ยินดีต้อนรับสู่โลกของฉัน เพื่อเป็นการตอบแทนที่เข้าไปขัดขวางการเยี่ยมชั้นเรียนของฉัน… ฉันจะให้พวกแกชดใช้ด้วยชีวิตของพวกแกซะ”
Beowulf หันไปประจันหน้ากับผู้หญิงผมขาวขณะที่ยืนตามลำพังทั้งคู่ และก็แยกเขี้ยวใส่เธอ
บนผืนดินของเกาะลอยที่ล่มสลายนี้ อสูรดาบที่มีสีแดงและน้ำเงินกับราชามังกรบ้าคลั่งที่ละทิ้งเหตุผลเพื่อพลังที่จะตัดสินชัยชนะหรือไม่ก็ถูกกำจัด
มังกรเป็นปราการของความแข็งแกร่งและพลังเวทมนตร์ บินกลางท้องฟ้าได้อย่างอิสระด้วยร่างกายที่ใหญ่
นอกจากในหมู่สิบขุนพลของราชามังกรไม่ได้เป็นมังกรโบราณแล้ว นักผจญภัยที่คาดว่าจะได้เข้าไปสู้อย่างสุดเหวี่ยงต่างก็ช็อคที่หักหลังความคาดหวังของพวกเขาไป
ในช่วงขณะที่โลกใหม่ได้ถูกสร้างขึ้นมานั้น พวกมันก็ถูกย้ายเข้ามาในนี้ มังกรที่พยายามบินในท้องฟ้าก่อนหน้านั้นได้ถูกลากลงมาบนพื้นโลก
บางที ถ้าหากมีมังกรน้ำอยู่ในหมู่นั้นด้วย มันก็น่าจะถูกลากขึ้นจากทะเลก็เป็นได้ ต่อให้พวกมันพยายามที่จะบินขึ้นท้องฟ้าอีกครั้ง มันก็ราวกับว่าพวกมันจะถูกตรึงไว้กับพื้น กงเล็บของพวกมันไม่สามารถกระแทกพื้นที่อยู่ใต้เท้าพวกมันได้ และปีกก็ไร้พลังที่จะพาพวกมันขึ้นกลางอากาศ
มันเป็นกฎของโลกอื่นอย่างสิ้นเชิง ดาบลับของอสูรดาบสีขาว Ig-Alima และ Sul-Sagana ถึงแม้ว่ามันจะดูดซับความสามารถอยู่หลายอย่าง ที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดก็คือโลกที่สร้างด้วยเวทมนตร์ -《สวนของผู้เผด็จการ》
เวทมนตร์ที่ได้สร้างโลกชั่วคราวขึ้นมา ความสามารถในการกักของพวกอื่นๆในอีกโลกเพื่อเวลานั้นก็เป็นความสามารถที่แข็งแรงมากพอในตัวของมันเอง แต่ที่มันส่องแสงอย่างแท้จริงนั้นก็คือกฏอย่างเบ็ดเสร็จที่สร้างไว้ในโลกนั้นต่างหาก
เปรียบเปรยได้ว่า มันเปลี่ยนให้ผู้ร่ายไปเป็นผู้มีอำนาจเด็ดขาดในขอบเขตที่สร้างขึ้นมานั่นแหละ และในสมรภูมินั้น มันก็สามารถควบคุมกฎ ไม่เว้นแม้แต่เวทมนตร์ที่จะใช้หนีหากพวกมันตัดสินใจที่จะใช้ด้วย
“ข้าได้ยินข่าวลือมา แต่จริงๆแล้วผู้หญิงนั่น… เป็นนักผจญภัยฉายเดี่ยวแต่มีอาวุธที่สมบูรณ์แบบที่มีขนาดใหญ่แบบนี้เนี่ยนะ มันอะไรกันวะ!?”
มันเป็นสหรภูมิที่สมบูรณ์แบบสำหรับนักผจญภัยพันธมิตร ซากเกาะนี้สร้างความได้เปรียบต่อนักเวทและนักธนูได้อย่างสมบูรณ์แบบ พอๆกับให้โจรและนักฆ่าหาที่ซ่อนตัวได้นั่นแหละ
นักผจญภัยที่จะจัดการกับมังกรก็มีแต่แรงค์ B อย่างเดียว แต่ด้วยการเคลื่อนไหวของพวกมันที่ถูกจำกัดโดยไม่ให้บินหรือทำลายภูมิประเทศนี้ได้
นักผจญภัยรู้ดีว่าภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดยังคงเป็นลมหายใจของมังกร พวกเขาจึงต้องทำให้แน่ใจที่จะโจมตีพวกมันจากด้านข้างและคอยป้องกันพวกมันจากการหันไปรอบตัวๆด้วย
พลังนี้เป็นอะไรที่ Shirley ได้วางแผนที่จะใช้ต่อสู้กับพวกมอนสเตอร์หลายร้อยตัวที่เข้ามารวมตัวกันในเมืองเพียงลำพัง ไม่ใช่เพียงแค่นักดาบที่อยู่ในแถวหน้าเท่านั้น พวกนักสู้ประเภทอื่นๆของกองทัพต่างก็ช่วยด้วย ขณะที่ปาร์ตี้ก็สามารถส่งแนวหน้าเพื่อเก็บระดับพลังเอาไว้ ตามปกติแล้วน่าจะเป็นห่วงเรื่องมังกรที่จะบินเหนือหัวเมินแถวหน้าไป แต่นั่นก็ไม่ต้องเป็นห่วงในโลกคู่ขนานนี้
มันวิเคราะห์ว่ามนุษย์นั้นก็แค่จิ๊บๆ ถึงแม้มังกรน่าจะขยี้มนุษย์พวกนี้ที่อยู่ใต้เท้าได้อย่างง่ายดายเหมือนมด กว่าพวกมันจะรู้ตัวว่าติดกับดักก็สายเกินไป และก่อนที่พวกมันจะรู้ว่าไปติดหล่มในการต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดไปซะแล้ว
“เฮ้ ฉันกะจะนึกภาพของศึกที่ยอดเยี่ยมกว่านี้อีกสักหน่อยนะ”
“ความบังเอิญนั่นมันอะไรกันเนี่ย”
อีกด้านหนึ่ง นักผจญภัยแรงค์ C และอยู่ด้านล่างอีกเกาะหนึ่งต่างก็จัดกำลังต้านมอนสเตอร์ลูกน้องอย่างเช่นก็อบลินหรือแบดโบโนโบที่มากับพวกมังกรโดยที่ไม่ปล่อยการ์ดลง
เปรียบเทียบกับนักผจญภัยที่ดูเหมือนจะคุยกันเล่นๆแล้ว มอนสเตอร์พวกนั้นก็คงจะได้เห็นนรกเข้าแล้ว
เคลื่อนย้ายไปยังอีกโลกแล้วก็โยนมันลงไปในปล่องใหญ่บนเกาะ พวกมันถูกเปิดเผยยังลูกธนูและเวทมนตร์ของนักผจญภัยที่อยู่ข้างบน
จู่ๆก็ถูกจับโยนเข้าสู่สถานการณ์เข้าตาจนอย่างกะทันหันแบบนี้ แม้แต่พวกมอนเตอร์ที่มีความฉลาดก็อาจจะตกเป็นเหยื่อจนสัญชาตญาณดุร้ายที่ทำให้ลดลงเหลือเป็นเพียงสัตว์เดรัจฉานเท่านั้น
ยิ่งกว่านั้น ปล่องนั้นก็เริ่มร้อนเป็นภูเขาไฟหลังจากที่หม้อน้ำมันที่ถูกโยนโดยนักผจญภัยแล้วจุดด้วยเวทไฟ
สิ่งที่นักสู้หมาหมู่ทำได้ก็คือโยนมอนสเตอร์ใดๆที่โชคดีพอที่จะหนีขึ้นจากไฟนรกนี้ได้ ก็แค่จัดการมอนสเตอร์ที่อ่อนแอได้สักตัว พวกเขาก็ได้มาสองเหรียญทองแล้ว ช่างเป็นการหาเงินที่ง่ายชะมัดยาด
ตั้งแต่ที่พวกเขาเริ่มสู้กันมา มันก็น่าจะผ่านไปอย่างน้อยสักยี่สิบชั่วโมงแล้ว
ขณะที่สหรภูมิอีกเกาะหนึ่งที่อยู่ในสภาวะได้เปรียบอยู่นั้น ศึกการต้านทานราชามังกรที่โหมกระหน่ำบนสายฟ้าที่ผ่าลงมาราวกับฝน
นอกจากควบคุมพวกมังกรแรงค์ที่อยู่ต่ำกว่าได้แล้ว การควบคุมสายฟ้าก็เป็นอีกกุญแจที่สำคัญของราชามังกร
ถึงแม้ว่ามนุษย์จะสร้างเวทมนตร์จากพื้นฐานของธาตุทั้งสี่จากดิน ไฟ ลมและน้ำ พวกเขาก็ไม่น่าจะร่ายสายฟ้าที่สามารถฆ่าคนได้เพียงทีเดียวเหมือนการลงโทษจากพระเจ้าที่ฟาดลงมาจากข้างบนได้
แต่ ถึงแม้ว่าความลับของเวทมนตร์ที่เหลือนี้จะยังไม่รู้ก็ตาม ก็ยังมีนักเวทอีกหลายคนที่อ้างว่ามันแกร่งกว่าธาตุเวทมนตร์ทั้งหมดที่รู้จักแน่นอน
ว่ากันว่าความเร็วของแสงนั้นเร็วกว่าความเร็วของเสียงร้อยเท่า ถ้ามันสามารถลดจำนวนคนให้กลายเป็นขี้เถ้าด้วยการฟาดทีเดียวที่เร็วยิ่งกว่าเสียงล่ะก็ มันก็จะย่อยยับแน่ๆถ้าใช้ร่วมกับเวทดินด้วย
“GRAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAH!!!!”
“ชิ…!”
สายฟ้าผ่าลงเหมือนห่าฝน ส่วน Shirley ก็ยังคงหลบเลี่ยงการโดนด้วยการใช้ดาบป้องกันการโจมตีอยู่
ตามปกติแล้ว อะไรที่มาด้วยความเร็วแบบสายฟ้าแลบ ไม่น่าจะจับด้วยสายตาของมนุษย์ได้ แต่ความสามารถของ Shirley ทำให้เธอเห็นสายฟ้ากำลังจะผ่าในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้
แม้แต่บางอย่างที่เร็วพอๆกับฟ้าแลบก็ยังไม่อาจพ้นสายตาเธอได้ มันคือสไตล์การต่อสู้พื้นฐานของอสูรดาบสีขาวที่รวมทั้งสองอย่าง คือทักษะดาบที่เป็นเลิศและความสามารถเหนือมนุษย์
ความสามารถในการมองเห็นทุกอย่างทำให้เธอต้อนคู่แข่งให้จนมุมเท่าที่เธอทำ ถ้ามองด้วยตัวมันเองแล้ว มันไม่ได้ดูเหมือนจะเป็นความสามารถที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกเลย แต่เมื่อจับคู่กับนักดาบสาวที่ชื่อ Shirley มันก็จะกลายเป็นการสาธิตทักษะสังหารทันที
“ตรงนั้น…!”
“GWAAAAGH!?”
สายฟ้าที่ถูกกั้นจนทำให้ผิวและผมไหม้ แต่เธอก็ยังคงขยับตัวได้อยู่
ผมขาวเธอหมุนเป็นเส้นโค้งเหมือนกับล้อมชุดของเธอราวกับลมกรด แล้ว Shirley ก็ทะลวงผ่านแนวของสายฟ้าที่พุ่งเข้าหาเธอยังตาขวาของ Beowulf
มันใช้กงเล็บฟาดใส่เธอ แต่เธอก็ใช้สายตามองไกลเพื่อที่จะหลบ แล้วก็เอาดาบสองมือที่ Shirley ถือไปเชือดใส่ราชาจากกรามล่างผ่านลำตัว
“GAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAH!!”
มันร้องออกมา แต่มันไม่ใช่เสียงร้องของความเจ็บปวด มันเป็นเสียงโกรธต่างหาก
จากจุดเริ่มต้น ราชามังกรที่หมางเมินตัวเองจากอีกเจ็ดตัวและทิ้งเหตุผลและตรรกะ เพื่อแลกเปลี่ยนเอาความแข็งแกร่งอันมหาศาล และความสามารถที่เมินความเจ็บปวดอย่างสิ้นเชิงเพื่อใช้ในศึก
ขณะที่อุ้งเท้าของมันฟาดลงพื้นจนทั้งเกาะสั่นไปหมด Shirley ก็ใช้สายตามองไกลหนีจากการฟาด ต่อให้อุ้งเท้ากรีดเธอไปก็อาจจะทำให้ตายได้ทันที
ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นกึ่งอมตะก็ตาม เธอก็ไม่ได้มีพลังเวทมากพอที่จะฟื้นฟูความเสียหายจากการฟาดครั้งเดียวจากราชามังกรได้อย่างเบ็ดเสร็จ
แต่ เพียงแค่เหลือบเห็นการฟาดครั้งเดียวก็รู้ถึงความแตกต่างระหว่างความเป็นและความตายที่เก็บไว้ในหัว Shirley แล้ว
(รอยไหม้จากก่อนหน้านั้นมันเริ่มรักษาแล้ว… ฉันต้องก้าวเข้าไป… ฮ่า!)
แต่ทว่า อสูรดาบสีขาวได้ปล่อยการโจมตีสวนกลับเข้าไปตรงๆ
หลังจากที่หลบการโจมตีที่สั่นสะเทือนจนน่าจะทำให้อยู่เหนือกว่านักผจญภัยแรงค์ S ใดๆอย่างสิ้นเชิงได้แล้ว เธอก็พุ่งเข้าหามังกรแล้วจัดการฟันใส่เข้าไปทั้งหมดจนเกิดบาดแผลในร่างโดยถากเข้าไปอย่างช้าๆ
“GUOOOOOOOOOOOOOO!!”
Beowulf ได้รับบาดเจ็บก็ยังคงเร็วกว่าเธอ Shirley ใช้ปลายแขนมังกรเป็นฐานกระโดดขึ้นกลางอากาศแล้วก็หลบการตบจากอุ้งตีนอีกข้างด้วยการหมุนตัวกลางอากาศแล้วก็วิ่งเข้าไปหาใบหน้าของราชาเลย
“ฟูว…!”
Shirley หายใจสั้นๆ ขณะที่เธอขยับหมุนตัวกลางอากาศ แล้วก็ฟันเข้าไปยังตาขวาของ Beowulf
“GRAAAAAAAAAAAAAGH!?”
“เสร็จล่ะ…!”
ราชามังกรแห่งประจิมถูกชิงสายตาข้างขวาไปแล้ว เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสนี้ อสูรดาบสีขาวแทงเข้าไปยังปีกขวาที่กางออกมา
ดาบเวทมนตร์ได้เชือดตัดผ่านสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งมังกรและก็ยังตัดเส้นเอนด้วยรอยคมที่ไกลเกินกว่าที่ดาบของเธอจะเรียกใช้แปรธาตุได้
มอนสเตอร์ร่างยักษ์เอียงไปทางขวาขณะที่เริ่มสูญเสียพลังไป ความโกรธเคืองได้แผดเผา ราชามังกรแห่งประจิมก็ได้รู้ความจริงผ่านหมอกแห่งความคลั่ง
นักดาบหญิงคนนี้มีพลังก้าวข้ามราชามังกร
แต่ พลังก็ไม่ใช่ตัวตัดสินชัยชนะหรือความพ่ายแพ้เสมอไป Beowulf ยังคงชนะได้ถ้าหากมือของฟันฟาดตบลงไปอีกครั้ง และมันก็ได้เดิมพันเอาไว้
ขณะที่มันป้องกันอวัยวะสำคัญจากการฟันของ Shirley ราชานั่นก็ปลดปล่อยพลังเวทออกมาทั้งร่าง
สายฟ้าได้ผ่าลงมาที่ไม่ใช่แค่บนเกาะนี้ แต่เป็นอีกสองด้าน ด้วยความเร็วพริบตาของทั้งสองอย่าง ทั้งเข้มข้นสูงและฆ่าได้ในพริบตา มันไปปลดปล่อยการโจมตีสุดท้ายนี้ไปทำลายนักดาบหญิงที่อยู่ต่อหน้ามัน
Shirley ไม่มีพลังที่จากหยุดมันได้ เธอเป็นนักดาบขนานแท้ๆ ไม่มีปาฏิหาริย์ใดๆที่จะยกเลิกสายฟ้าที่มีพลังนับไม่ถ้วนจากสวรรค์เพียงแค่ดาบนี้ได้
“กลืนกินความกริ้วของสวรรค์, 《วัดปราสาทแดง》”
ใช่แล้ว Shirley ไม่มีพลังของตัวเธอที่จะหยุดมันได้
สายฟ้าที่ผ่าลงมาถูกกลืนกินโดยแสงที่มาจากดาบที่เรียกว่า Sul-Sagana… เวทมนตร์ที่จะทำงานราวกับมีคำพูดปรากฏในอากาศ และก็มีแสงโผล่ออกมาเป็นปีกบนหลัง Shirley
“โชคไม่ดี นี่เป็นเขตของฉัน ฉันไม่ยอมให้ทำตามอำเภอใจอย่างการโจมตีโลกนะ กรุณาเข้าใจซะ”
ความสามารถของ Sul-Sagana… คือดูดซับเวทพลังโจมตีที่สร้างขึ้นมา และก็แตกกระจายโดยไม่เป็นอันตรายต่อด้านหลังผู้ใช้
เกาะที่ลอยได้พวกนี้ก็เป็นแขนแดนส่วนตัวของนักดาบหญิง และดาบแดงก็เป็นหนึ่งในกุญแจในการปลดล็อคมัน
ต่อหน้าอสูรดาบสีขาว เวทมนตร์กากๆแบบนั้นไร้ผล
“เอาล่ะ… มาปิดฉากกัน”
การเดิมพันสุดท้ายของมันนั้นถูกลบล้างอย่างสิ้นเชิง และปีศาจนักดาบหญิงก็วิ่งเข้าไปยังที่คอของ Beowulf ที่หมดเรี่ยวแรงอย่างสิ้นเชิง
ดาบทั้งสองตัดผ่านกระดูกสันหลังและทำให้ชีวิตของมันดับสิ้นในทันที
“ทำให้ฉันต้องมาล่าช้าทั้งวัน… ตามที่ราชามังกรคาดไว้เลย ถึงกับบังคับให้ใช้ความสามารถของ Sul-Sagana ซะได้…”
ขณะที่เธอได้รับคำชมจากศัตรูที่ร่วงหล่นไปแล้ว เธอก็เดินโซเซไปบ้างหลังจากที่ต้องมาฝึกใช้ความสามารถของดาบ แต่สีหน้าเธอยังคงสดชื่นอยู่
ถ้ากำลังเสริมไม่มาล่ะก็ คงจะไม่มีทางที่เธอจะสามารถจบการต่อสู้ในเวลาสั้นๆนี้ได้ โดยเฉพาะพวกมอนสเตอร์ลูกน้องนั่น… มันอาจจะทำให้ยุ่งยากได้ หากมันโจมตีทั้งฝูงเต็มที่ยิ่งกว่าเป็นรายตัว
ต่อให้เธอพาพวกมันมายังเกาะเดียวกัน มันก็ยังยากอยู่ มังกรพวกนั้นน่าจะยังตามราวีเธอจากที่ไกลได้
แต่ นั่นมันก็แค่สมมุติฐาน เธอเองก็ไม่ได้เข้าใจรายละเอียดนี้สักเท่าไร แต่บางที Canary น่าจะกระตุ้นพวกนักผจญภัยด้วยคำพูดหวานๆและเงินมาหาเธอก็เป็นได้
ขณะที่เธอไม่ได้รู้เลยว่าจะมีอะไรรอเธออยู่ที่บ้าน Shirley ก็ได้คิดถึงเรื่องวันเยี่ยมโรงเรียนขณะที่เธอได้ไปช่วยสู้บนเกาะอื่นต่ออย่างมีความสุข
มังกรที่ขี่ได้นั้นได้วิ่งบนพื้นและกระโดดออกมาโดยคนหนึ่งคน ซึ่งเป็นตัวที่ธรรมดาที่สุดของบรรดามังกรทั้งหมดโดยมนุษย์
ขณะที่ Shirley ได้ลงจากมังกรนั้น เธอก็ใช้สายตาที่เหลือเชื่อมองไปยังมังกรกลุ่มใหญ่ที่บินอยู่บนเส้นขอบฟ้า แม้ว่าเธอจะมองดูพวกนั้นโดยที่ไม่มีเศษเสี้ยวของความกลัวเลย
เป็นกลางคืนที่สว่างไสวที่มาจากแสงของดวงดาวและดวงจันทร์ ผมขาวของเธอดูเหมือนกับดอกไม้ในพื้นหญ้า เปล่งประกายราวกับจะให้ศัตรูเห็นตัวสวรรค์
“ไอ้กิ้งก่า… ฉันจะทำให้แกต้องเสียใจที่มายังตรงนี้…”
ดอกไม้หนึ่งเดียวที่เบ่งบานในสนามที่พร้อมรบ ยืนอยู่เพียงลำพังกลางสหรภูมิ เธอถมึงตาใส่มังกรและพรรคพวกของมันจากระยะไกลด้วยตาสีแดงและสีน้ำเงิน กล้าดียังไงถึงได้มาขัดขวางในวันที่เธอจะวางแผนอยู่กับลูกสาวของเธอ?
สิ่งเดียวที่เธอเป็นห่วงก็คือ การสนับสนุนของ Canary ที่บอกว่าจะจัดการให้ เธอไม่ได้กังวลถึงเรื่องขาดกำลังเสริมหรือเวทสนับสนุนหรอก แต่กระนั้นถึงเธอจะตัดสินว่า Canary เป็นคนน่ารังเกียจก็ตาม เธอก็ไม่อาจที่จะปฏิเสธคนที่ทำสัญญาข้อตกลงได้เลย
คำถามก็คือ แล้วเธอจะได้รับการช่วยเหลือแบบไหนกันล่ะ? ไม่ว่าแม่มดจะแข็งแรงยังไง มันก็ยากที่จะนึกภาพว่าเธอน่าจะออกไปช่วยขณะที่เตรียมม่านมิติในเวลาเดียวกันเพื่อปกป้องประชาชนของราชอาณาจักรได้
(บางที ก็แค่เสริมกำลังมาแค่นั้นแหละ แต่ใครจะมาล่ะ?)
นักผจญภัยที่อยู่เหนือกว่าแรงค์ A ก็ถูกสั่งให้ปกป้องในแต่ละพื้นที่ ขณะที่จำนวนของนักผจญภัยแรงค์ B และที่ต่ำกว่านั้นที่อาสามาเข้าร่วมการต่อสู้ที่อันตรายเช่นนี้ จำนวนมันก็น่าจะต่ำสุดขีดเลยล่ะ
แน่นอนว่า มีนักผจญภัยบางคนที่จะเข้าร่วมศึกด้วยถ้า Canary ชวนมา แต่สำหรับศึกแบบนี้ เธอไม่ค่อยมั่นใจว่า Canary จะหาใครมาได้
การที่ Canary ทำการเคลื่อนไหวผู้คนก็คือเงิน เธอได้ขอร้องพวกที่ติดหนี้มา โดยต้องการเงินเพื่อที่จะเก็บกับตัวเอาไว้หรือไม่ก็คนที่เขารักหรือไม่ก็แค่ชอบตัวทองคำแค่นั้น
แต่เมื่อใดที่มาด้วยเงินแล้ว พวกนักผจญภัยแรงค์ B ที่มีความเป็นอิสระส่วนตัวจะไม่เคลื่อนไหวเพียงแค่เงิน ส่วนนักผจญภัยแรงค์ C ก็น่าจะจัดการกับมอนสเตอร์ลูกน้องได้ โดยที่ไม่รวมถึงมังกร
และยิ่งกว่านั้น ความคิดแบบนี้มันบ้าบอสิ้นดี ให้ออกไปแล้วก็สู้กันในสนามรบที่แม้แต่อสูรดาบสีขาวก็ยังต้องลำบากด้วยเรื่องที่ไม่น่าขำสำหรับพวกนักผจญภัยนั้น… จะไปบอกพวกเขาว่าให้ผ่านประตูนรกด้วยตัวพวกเขาเองหรือ ใครที่ไหนในโลกเขาจะยอมกัน?
(ถ้ามีเพียงกำลังเสริมมาอย่างน้อยก็พอจะจัดการกับพวกแมลงวันได้ มันน่าจะช่วยประหยัดเวลาได้มาก… ถ้ามีสักคนโผล่มานะ… คงจะไม่มีใครมาหรอกนะ”
เธอมองและก็หัวเราะขณะที่เธอต้องสู้อยู่คนเดียว… บางทีนั่นน่าจะเพียงพอที่จะมีสักคนมาล่ะมั้ง
…ไม่สิ Canary บอกไว้โดยเฉพาะว่าเธอน่าจะทำเธอได้กลับไปเพื่อวันเยี่ยมโรงเรียนได้ เธอยังเชื่อในคำพูดของเธอต่อให้พฤติกรรมของเธอที่ทำทุกวันจะทำให้เธอคิดอยู่หลายอย่างแต่
“…พวกเขามาแล้ว?”
ขณะที่เธอพยายามที่จะหยุดความกังวลนั้น เธอก็จับการไหลของพลังเวทด้วยตาเธอ
เสียงแปลกๆ อากาศเริ่มแหวกและบิดเบี้ยวไป เป็นเวทวาร์ปมิติของ Canary นั่นเอง ถ้าเธอใช้เวทแบบนี้มันก็น่าจะเป็นกำลังเสริมล่ะนะ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ถึงเธอก็ตาม
“………..เอ๋?”
“สีหน้าแบบนั้นมันอะไร เธอดูเหมือนกับนกพิราบที่เพิ่งจะถูกยิงด้วยลูกพีชพ่นถั่วเลยนะ รู้ป่าว?”
จากรอยแหวกของช่องว่าง ก็มีคนจำนวนนับไม่ถ้วนมาพร้อมกับเครื่องมือวูบวาบโผล่ออกมา เจอแบบนี้ไม่เพียงแต่สีหน้าเย็นชาปกติอย่าง Shirley จะเก็บความเซอร์ไพรออกหน้าได้อย่างเดียว คนที่พูดออกมาเป็นคนแรกในหมู่พวกนั้นก็มาด้วย
เธอจำหน้าคนนั้นได้ และก็ดาบยักษ์ที่สะพายบนหลังของเขาด้วย มันคือนักผจญภัยแรงค์ B ที่ทำให้ Yumina ต้องเหนื่อยมาก่อนหน้านั้น
“…เปล่า ฉัน… ฉันก็แค่แปลกใจนิดหน่อย ฉันนึกว่าเธอน่าจะส่งกำลังเสริมมาซะอีก ฉันคงไม่ได้คาดว่ามันจะมากและก็คุณภาพสูงแบบนั้น…”
นักผจญภัยต่างก็เริ่มจัดขบวนแถวหน้า Shirley ประกอบไปด้วยนักผจญภัยแรงค์ B จากเมืองชายแดนที่เธออาศัยอยู่ พอๆกับนักผจญภัยแรงค์ C ถึง E ที่ตามหลังมา ในหมู่พวกนั้น เธอเห็นพวกนักผจญภัยมือใหม่สามคนที่เธอเคยเข้าร่วมเมื่อไม่นานก่อนหน้านั้นด้วย
พวกเขาทั้งหมดต่างก็หลงใหลในดวงตาและก็พร้อมที่จะต่อสู้ขณะที่พวกเขาเผชิญหน้า Shirley แต่มันอุกอาจเกินไป มันคือความกล้าหาญอันโง่เขลาดีๆนี่เอง ส่วนใหญ่ที่มาก็แบบฝีมือไม่ดียันไปถึงระดับมือเก๋า
“ทำไมพวกนายถึงมาล่ะ? นี่ Canary ไปข่มขู่ด้วยอะไรมาหรือไง?”
ถ้าเป็นในกรณีนั้น เธอน่าจะบอกให้พวกเขาว่าให้กลับไปซะน่าจะดีกว่า
“ก็ไม่ได้มีอะไรกับกิลด์นักหรอก แค่ร้อยเหรียญทองต่อหัวเอง บวกอีกสองเหรียญทองในการนำมอนสเตอร์กลับมา และอีกหลายร้อยสำหรับมังกร ไม่ดีเกินกว่าที่จะปล่อยผ่านไปหรือไง?”
นักผจญภัยตอบไปงั้นๆ พูดอย่างกับว่านั่นจะเป็นรางวัลของนักผจญภัยที่จะต่อสู้ตลอด พวกนั้นก็เลยตั้งใจจะอยู่นี่แหละ
แทบจะไม่เชื่อสายตาเลย ยัย Canary นั่นไม่ได้ไปขู่เข็ญใคร และก็ยังตั้งรางวัลเพื่อปลุกจิตวิญญาณของนักผจญภัยแทนหรือ?
“แน่นอน ไม่ได้มีแค่รางวัลอย่างเดียวนะ รู้ปะ?”
“…?”
พวกนั้นยิ้มและหัวเราะชอบใจกันเองในขณะที่ Shirley ดูท่าสับสน แต่เธอก็หรี่ตาและก็ถามพวกนั้นอย่างเย็นชา
“…นายอาจตายได้นะ รู้มั้ย?”
เธอพูดกับทุกคนด้วยคำพูดตรงๆ นักผจญภัยแรงค์ B นั่นก็ยังพออยู่ได้บ้าง ถึงแม้ว่า Shirley จะรู้ว่ามีนักผจญภัยแรงค์ A ถึง S บางคนปะปนอยู่บ้าง มังกรนั้นก็ยังคงเป็นคู่แข็งที่อำมหิตอย่างเหลือเชื่ออยู่ดี
แล้ว อะไรที่จะมาเป็นนักผจญภัยวัยเยาว์ในแนวหลังกันล่ะ? ไม่มีทางที่พวกนั้นจะยืนหยัดกับมังกรได้เลย เธอไม่ได้บอกพวกนั้นไป แต่เธอก็ไม่เห็นตอนจบในทางอื่นใดๆนอกจากจะตายเหมือนซากหมา
ชีวิตน่าจะเป็นสิ่งที่ต้องมาก่อนเสมอ ต่อให้พวกเขาไม่ได้ร่วมมือก็ควรที่จะอพยพก่อนที่มอนสเตอร์จะเข้ามา และถ้าพวกนั้นตายไปแล้วตรงไหนกันที่จะเป็นรางวัลได้ล่ะ?
“เธอไม่เข้าใจหรือยังไง?”
“?”
“ออกไปสู้กับพวกมังกรทั้งอย่างนั้นเอาเอง ไม่ใช่ว่ามันจะไม่แฟร์หรือไงถ้าเธอเป็นคนเดียวที่จะทำแบบนั้นได้น่ะ?”
ไม่มีใครหรอกที่จะถูกบังคับหรือกดดันให้มายังตรงนี้
ไม่มีใครอยากตาย นั่นก็ชัดเจนอยู่แล้ว แต่ถ้ายอมปล่อยให้โอกาสที่จะได้ล่าเกมดีๆไปเช่นนี้ แล้วจะเรียกตัวเองว่าเป็นนักผจญภัยตรงไหนกันล่ะ?
“…ฉันเข้าใจ ถ้าพวกนายมาไกลขนาดนี้แล้ว ฉันก็ไม่หยุดนายแล้วล่ะ”
แล้วก็ถอนหายใจออกมา Shirley ยอมแพ้ในการเกลี้ยกล่อมพวกเขา
ถ้าพวกเขามาที่นี่เพื่อรางวัลและเกียรติยศล่ะก็ แล้ว Shirley ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะพยายามให้พวกเขากลับไป
ต่อให้พวกเขาต้องเผชิญกับศัตรูสุดโหด หรือแม้แต่เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นมา พวกผจญภัยพวกนี้ก็ต้องรับผิดชอบต่อตัวพวกเขาเองแล้วล่ะ
“นั่นสินะ เราก็มีเหตุผลอื่นพอๆกัน เราไม่อาจปล่อยให้นักดาบสาวป้องกันทั้งเมืองเพื่อพวกเราตามลำพังได้หรอก ใช่มั้ยล่ะ?”
ชายที่ควงหอกด้วยป้ายสีทองแดงพูด ขณะที่มองไปยังที่กองทัพบนเส้นขอบฟ้าที่ดูเหมือนกับกลุ่มหมอกดำ
มองไปยังสายตาเดียวกันแล้ว นักผจญภัยหลายคนต่างก็กลื่นน้ำลาย พวกเขาไม่มีเวลาเหลือมากนักก่อนที่จะเริ่มศึก และตรงโน้นก็มีมอนสเตอร์ที่จำนวนมากกว่าที่พวกนั้นคาดเอาไว้
“เธอไม่ได้บอกเราเลยหรือ เราน่ะมั่นใจอยู่แล้ว นี่ มีอยู่ใช่มั้ย? เทคนิคลับสุดยอดของอสูรดาบสีขาวที่เลื่องลือนะ?”
ราชามังกรแห่งประจิม Beowulf มีลักษณะที่แข็งแกร่งสุดโหด มันอยู่ห่างไกลอันเนื่องจากคำพูดที่ขาดๆหายๆและเหตุผลด้วยความปรารถนาเพื่อพลังกายภาพ และความคิดที่คุ้มคลั่งในตอนนี้ก็จ้องไปยังที่ศัตรูที่น่าจะไม่มีอะไรนอกจากเหยื่อ
สำหรับคู่แข็งที่ดูจิ๊บจ้อยและไร้ค่าอย่างมนุษย์ที่อาจหาญขวางหน้านั้น เป้าหมายของมันก็คือมังกรไฝ่ต่ำที่โยนความภาคภูมิใจทิ้งไป เทพมังกรที่เลือกเป็นมิตรกับมนุษย์แม้ว่าจะอยู่จุดที่สูงที่สุดก็ตาม
ถึงแม้ Níðhöggr กับ Vritra ได้วางแผนที่จะโจมตีเมืองหลวงในเวลาเดียวกันจากสามด้านก็ตาม Beowulf ก็หาสนใจไม่
สำหรับมันแล้ว นี่คือโอกาสสมบูรณ์แบบที่จะกำจัด Aion และขึ้นมาเป็นเทพมังกรแทนซะ ไม่ว่าจะบ้าเลือดอย่างไร ราชามังกรแห่งประจิมก็ไม่ยอมพลาดโอกาสนี้แน่
มันคงจะทำลายเมืองหรือหมู่บ้านที่อยู่ในเส้นทางของมันได้แล้ว และขณะที่ราชาที่กำลังบินอยู่หน้ากองทัพกะจะมุ่งไปยังเมืองหลวงที่ศัตรูกำลังหลับจากระยะไกลนั้น มันก็เห็นคนกลุ่มหนึ่ง
ตัดสินจากอาวุธและชุดเกราะแล้ว พวกเขาต้องเป็นนักผจญภัยแน่ บางทีพวกนั้นมันโง่เขลาที่พยายามจะปกป้องเมืองพวกเขาหรือไง?
ต่อให้บางคนมีทักษะความสามารถ พวกอ่อนแอกระจ้อยร่อยที่มีน้อยกว่าร้อยจะไปต่อกรอะไรกับศัตรูที่สุดยอดทั้งจำนวนและความสามารถได้ล่ะ?
ขณะที่ Beowulf เร่งความเร็วเพื่อหวังที่จะกระชากสิ่งที่อยู่ตรงข้ามนั้น สายตาที่สุดยอดแหลมคมของมันก็ไปเห็นผู้หญิงผมขาวที่อยู่หน้ากลุ่ม
“จงตื่นขึ้น… 《ฐานที่มั่นสีน้ำเงินแห่งชาติ》, 《ป้อมปราการแดงแห่งความศรัทธา》”
ผลของสัมผัสการได้ยินที่เฉียบคมพอๆกับสายตาของมัน มันได้ยินคำร่ายของผู้หญิงขณะที่ดาบสองเล่มปรากฏในมือของเธอ
ดาบเรียวยาวสีน้ำเงินกับแดงที่เหมือนกับเจ้าของสีดวงตา บนดาบสีน้ำเงินมีลายของราชาสัตว์ป่าส่วนสีแดงนั้นเป็นราชานก ถึงอย่างนั้น Beowulf สุดบ้าคลั่งยังต้องระวังเวทมนตร์ที่ไม่รู้จักนี้
“《ภูเขาลมสะท้านดอกไม้แห่งนรก・บทเพลงดับทุกข์บนคลื่น》”
เสียงที่ดังก้องชัดเจนและพลังเริ่มหมุนรอบตัวผู้หญิง ทั้งคนที่อยู่ใกล้เธอและมอนสเตอร์บนท้องฟ้าต่างก็รู้สึกถึงลมทะเลที่พัดแรงที่ไม่ควรจะรู้สึกได้ในผืนดินที่ห่างไกลนี้
“《หัตถ์แห่งการทำลายล้างผลาญทั้งสวรรค์และผืนโลก・ม่านแดงต่อต้านคลื่น》”
เสียงดังก้องเหมือนระฆัง เป็นเพลง บทร่ายหรือว่าเสียงคร่ำครวญกันแน่? ดาบที่ถืออยู่ในมือเริ่มค่อยๆสว่างขึ้นและก็สว่างมากขึ้น ทำให้พื้นมีสีเหมือนกับลากเส้นในท่ามกลางคืน
“《ยัง เราจะร่ายมันแบบกินดิบ・มือนั้นจะหยุดลงในระหว่างการสวดภาวนา》”
Beowulf เร่งความเร็วเพิ่มขึ้นอีก สัญชาตญาณของราชามังกรบอกมันว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มันก็จะไม่ปล่อยให้เวทมนตร์นั้นได้ทำงานเด็ดขาด
ทว่ามันก็สายเกินไป ขณะที่ปีศาจยักษ์เกือบจะพุ่งลงไปโฉบผู้หญิงแล้ว โลกก็ถูกกลืนไปด้วยแสงบริสุทธิ์ – แล้วก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“《ชั่วโมงของจุดจบของแกที่ใกล้จะเข้ามา・เราคือผู้ที่จะฝังแก》”
มันคือราวกับตำนานที่มีชีวิต
เมื่อคำร่ายสุดท้ายได้ร้องออกมา มันก็ถึงกับตาพร่าด้วยแสงที่สว่างสุดขีดที่ส่องไปทั่ว ความรู้สึกของสมดุลและทิศทางยังไม่เข้าที่เข้าทางขณะที่มันลอยอยู่ในช่องว่างนั้น และเมื่อมันลืมตาขึ้นมา ภาพที่มีกลางวันกลางคืนก็กลายเป็นอย่างอื่น และปลายเส้นขอบฟ้าก็ยืดไปสุดสายตารอบๆตัวมัน
ราชามังกร ขุนพลของมัน และก็มอนสเตอร์อีกสามร้อยกว่าตัวถูกเคลื่อนย้ายไปยังโซ่ของสามเกาะที่ล่มสลายกลางท้องฟ้า
“ยินดีต้อนรับสู่โลกของฉัน เพื่อเป็นการตอบแทนที่เข้าไปขัดขวางการเยี่ยมชั้นเรียนของฉัน… ฉันจะให้พวกแกชดใช้ด้วยชีวิตของพวกแกซะ”
Beowulf หันไปประจันหน้ากับผู้หญิงผมขาวขณะที่ยืนตามลำพังทั้งคู่ และก็แยกเขี้ยวใส่เธอ
บนผืนดินของเกาะลอยที่ล่มสลายนี้ อสูรดาบที่มีสีแดงและน้ำเงินกับราชามังกรบ้าคลั่งที่ละทิ้งเหตุผลเพื่อพลังที่จะตัดสินชัยชนะหรือไม่ก็ถูกกำจัด
มังกรเป็นปราการของความแข็งแกร่งและพลังเวทมนตร์ บินกลางท้องฟ้าได้อย่างอิสระด้วยร่างกายที่ใหญ่
นอกจากในหมู่สิบขุนพลของราชามังกรไม่ได้เป็นมังกรโบราณแล้ว นักผจญภัยที่คาดว่าจะได้เข้าไปสู้อย่างสุดเหวี่ยงต่างก็ช็อคที่หักหลังความคาดหวังของพวกเขาไป
ในช่วงขณะที่โลกใหม่ได้ถูกสร้างขึ้นมานั้น พวกมันก็ถูกย้ายเข้ามาในนี้ มังกรที่พยายามบินในท้องฟ้าก่อนหน้านั้นได้ถูกลากลงมาบนพื้นโลก
บางที ถ้าหากมีมังกรน้ำอยู่ในหมู่นั้นด้วย มันก็น่าจะถูกลากขึ้นจากทะเลก็เป็นได้ ต่อให้พวกมันพยายามที่จะบินขึ้นท้องฟ้าอีกครั้ง มันก็ราวกับว่าพวกมันจะถูกตรึงไว้กับพื้น กงเล็บของพวกมันไม่สามารถกระแทกพื้นที่อยู่ใต้เท้าพวกมันได้ และปีกก็ไร้พลังที่จะพาพวกมันขึ้นกลางอากาศ
มันเป็นกฎของโลกอื่นอย่างสิ้นเชิง ดาบลับของอสูรดาบสีขาว Ig-Alima และ Sul-Sagana ถึงแม้ว่ามันจะดูดซับความสามารถอยู่หลายอย่าง ที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดก็คือโลกที่สร้างด้วยเวทมนตร์ -《สวนของผู้เผด็จการ》
เวทมนตร์ที่ได้สร้างโลกชั่วคราวขึ้นมา ความสามารถในการกักของพวกอื่นๆในอีกโลกเพื่อเวลานั้นก็เป็นความสามารถที่แข็งแรงมากพอในตัวของมันเอง แต่ที่มันส่องแสงอย่างแท้จริงนั้นก็คือกฏอย่างเบ็ดเสร็จที่สร้างไว้ในโลกนั้นต่างหาก
เปรียบเปรยได้ว่า มันเปลี่ยนให้ผู้ร่ายไปเป็นผู้มีอำนาจเด็ดขาดในขอบเขตที่สร้างขึ้นมานั่นแหละ และในสมรภูมินั้น มันก็สามารถควบคุมกฎ ไม่เว้นแม้แต่เวทมนตร์ที่จะใช้หนีหากพวกมันตัดสินใจที่จะใช้ด้วย
“ข้าได้ยินข่าวลือมา แต่จริงๆแล้วผู้หญิงนั่น… เป็นนักผจญภัยฉายเดี่ยวแต่มีอาวุธที่สมบูรณ์แบบที่มีขนาดใหญ่แบบนี้เนี่ยนะ มันอะไรกันวะ!?”
มันเป็นสหรภูมิที่สมบูรณ์แบบสำหรับนักผจญภัยพันธมิตร ซากเกาะนี้สร้างความได้เปรียบต่อนักเวทและนักธนูได้อย่างสมบูรณ์แบบ พอๆกับให้โจรและนักฆ่าหาที่ซ่อนตัวได้นั่นแหละ
นักผจญภัยที่จะจัดการกับมังกรก็มีแต่แรงค์ B อย่างเดียว แต่ด้วยการเคลื่อนไหวของพวกมันที่ถูกจำกัดโดยไม่ให้บินหรือทำลายภูมิประเทศนี้ได้
นักผจญภัยรู้ดีว่าภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดยังคงเป็นลมหายใจของมังกร พวกเขาจึงต้องทำให้แน่ใจที่จะโจมตีพวกมันจากด้านข้างและคอยป้องกันพวกมันจากการหันไปรอบตัวๆด้วย
พลังนี้เป็นอะไรที่ Shirley ได้วางแผนที่จะใช้ต่อสู้กับพวกมอนสเตอร์หลายร้อยตัวที่เข้ามารวมตัวกันในเมืองเพียงลำพัง ไม่ใช่เพียงแค่นักดาบที่อยู่ในแถวหน้าเท่านั้น พวกนักสู้ประเภทอื่นๆของกองทัพต่างก็ช่วยด้วย ขณะที่ปาร์ตี้ก็สามารถส่งแนวหน้าเพื่อเก็บระดับพลังเอาไว้ ตามปกติแล้วน่าจะเป็นห่วงเรื่องมังกรที่จะบินเหนือหัวเมินแถวหน้าไป แต่นั่นก็ไม่ต้องเป็นห่วงในโลกคู่ขนานนี้
มันวิเคราะห์ว่ามนุษย์นั้นก็แค่จิ๊บๆ ถึงแม้มังกรน่าจะขยี้มนุษย์พวกนี้ที่อยู่ใต้เท้าได้อย่างง่ายดายเหมือนมด กว่าพวกมันจะรู้ตัวว่าติดกับดักก็สายเกินไป และก่อนที่พวกมันจะรู้ว่าไปติดหล่มในการต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดไปซะแล้ว
“เฮ้ ฉันกะจะนึกภาพของศึกที่ยอดเยี่ยมกว่านี้อีกสักหน่อยนะ”
“ความบังเอิญนั่นมันอะไรกันเนี่ย”
อีกด้านหนึ่ง นักผจญภัยแรงค์ C และอยู่ด้านล่างอีกเกาะหนึ่งต่างก็จัดกำลังต้านมอนสเตอร์ลูกน้องอย่างเช่นก็อบลินหรือแบดโบโนโบที่มากับพวกมังกรโดยที่ไม่ปล่อยการ์ดลง
เปรียบเทียบกับนักผจญภัยที่ดูเหมือนจะคุยกันเล่นๆแล้ว มอนสเตอร์พวกนั้นก็คงจะได้เห็นนรกเข้าแล้ว
เคลื่อนย้ายไปยังอีกโลกแล้วก็โยนมันลงไปในปล่องใหญ่บนเกาะ พวกมันถูกเปิดเผยยังลูกธนูและเวทมนตร์ของนักผจญภัยที่อยู่ข้างบน
จู่ๆก็ถูกจับโยนเข้าสู่สถานการณ์เข้าตาจนอย่างกะทันหันแบบนี้ แม้แต่พวกมอนเตอร์ที่มีความฉลาดก็อาจจะตกเป็นเหยื่อจนสัญชาตญาณดุร้ายที่ทำให้ลดลงเหลือเป็นเพียงสัตว์เดรัจฉานเท่านั้น
ยิ่งกว่านั้น ปล่องนั้นก็เริ่มร้อนเป็นภูเขาไฟหลังจากที่หม้อน้ำมันที่ถูกโยนโดยนักผจญภัยแล้วจุดด้วยเวทไฟ
สิ่งที่นักสู้หมาหมู่ทำได้ก็คือโยนมอนสเตอร์ใดๆที่โชคดีพอที่จะหนีขึ้นจากไฟนรกนี้ได้ ก็แค่จัดการมอนสเตอร์ที่อ่อนแอได้สักตัว พวกเขาก็ได้มาสองเหรียญทองแล้ว ช่างเป็นการหาเงินที่ง่ายชะมัดยาด
ตั้งแต่ที่พวกเขาเริ่มสู้กันมา มันก็น่าจะผ่านไปอย่างน้อยสักยี่สิบชั่วโมงแล้ว
ขณะที่สหรภูมิอีกเกาะหนึ่งที่อยู่ในสภาวะได้เปรียบอยู่นั้น ศึกการต้านทานราชามังกรที่โหมกระหน่ำบนสายฟ้าที่ผ่าลงมาราวกับฝน
นอกจากควบคุมพวกมังกรแรงค์ที่อยู่ต่ำกว่าได้แล้ว การควบคุมสายฟ้าก็เป็นอีกกุญแจที่สำคัญของราชามังกร
ถึงแม้ว่ามนุษย์จะสร้างเวทมนตร์จากพื้นฐานของธาตุทั้งสี่จากดิน ไฟ ลมและน้ำ พวกเขาก็ไม่น่าจะร่ายสายฟ้าที่สามารถฆ่าคนได้เพียงทีเดียวเหมือนการลงโทษจากพระเจ้าที่ฟาดลงมาจากข้างบนได้
แต่ ถึงแม้ว่าความลับของเวทมนตร์ที่เหลือนี้จะยังไม่รู้ก็ตาม ก็ยังมีนักเวทอีกหลายคนที่อ้างว่ามันแกร่งกว่าธาตุเวทมนตร์ทั้งหมดที่รู้จักแน่นอน
ว่ากันว่าความเร็วของแสงนั้นเร็วกว่าความเร็วของเสียงร้อยเท่า ถ้ามันสามารถลดจำนวนคนให้กลายเป็นขี้เถ้าด้วยการฟาดทีเดียวที่เร็วยิ่งกว่าเสียงล่ะก็ มันก็จะย่อยยับแน่ๆถ้าใช้ร่วมกับเวทดินด้วย
“GRAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAH!!!!”
“ชิ…!”
สายฟ้าผ่าลงเหมือนห่าฝน ส่วน Shirley ก็ยังคงหลบเลี่ยงการโดนด้วยการใช้ดาบป้องกันการโจมตีอยู่
ตามปกติแล้ว อะไรที่มาด้วยความเร็วแบบสายฟ้าแลบ ไม่น่าจะจับด้วยสายตาของมนุษย์ได้ แต่ความสามารถของ Shirley ทำให้เธอเห็นสายฟ้ากำลังจะผ่าในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้
แม้แต่บางอย่างที่เร็วพอๆกับฟ้าแลบก็ยังไม่อาจพ้นสายตาเธอได้ มันคือสไตล์การต่อสู้พื้นฐานของอสูรดาบสีขาวที่รวมทั้งสองอย่าง คือทักษะดาบที่เป็นเลิศและความสามารถเหนือมนุษย์
ความสามารถในการมองเห็นทุกอย่างทำให้เธอต้อนคู่แข่งให้จนมุมเท่าที่เธอทำ ถ้ามองด้วยตัวมันเองแล้ว มันไม่ได้ดูเหมือนจะเป็นความสามารถที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกเลย แต่เมื่อจับคู่กับนักดาบสาวที่ชื่อ Shirley มันก็จะกลายเป็นการสาธิตทักษะสังหารทันที
“ตรงนั้น…!”
“GWAAAAGH!?”
สายฟ้าที่ถูกกั้นจนทำให้ผิวและผมไหม้ แต่เธอก็ยังคงขยับตัวได้อยู่
ผมขาวเธอหมุนเป็นเส้นโค้งเหมือนกับล้อมชุดของเธอราวกับลมกรด แล้ว Shirley ก็ทะลวงผ่านแนวของสายฟ้าที่พุ่งเข้าหาเธอยังตาขวาของ Beowulf
มันใช้กงเล็บฟาดใส่เธอ แต่เธอก็ใช้สายตามองไกลเพื่อที่จะหลบ แล้วก็เอาดาบสองมือที่ Shirley ถือไปเชือดใส่ราชาจากกรามล่างผ่านลำตัว
“GAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAH!!”
มันร้องออกมา แต่มันไม่ใช่เสียงร้องของความเจ็บปวด มันเป็นเสียงโกรธต่างหาก
จากจุดเริ่มต้น ราชามังกรที่หมางเมินตัวเองจากอีกเจ็ดตัวและทิ้งเหตุผลและตรรกะ เพื่อแลกเปลี่ยนเอาความแข็งแกร่งอันมหาศาล และความสามารถที่เมินความเจ็บปวดอย่างสิ้นเชิงเพื่อใช้ในศึก
ขณะที่อุ้งเท้าของมันฟาดลงพื้นจนทั้งเกาะสั่นไปหมด Shirley ก็ใช้สายตามองไกลหนีจากการฟาด ต่อให้อุ้งเท้ากรีดเธอไปก็อาจจะทำให้ตายได้ทันที
ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นกึ่งอมตะก็ตาม เธอก็ไม่ได้มีพลังเวทมากพอที่จะฟื้นฟูความเสียหายจากการฟาดครั้งเดียวจากราชามังกรได้อย่างเบ็ดเสร็จ
แต่ เพียงแค่เหลือบเห็นการฟาดครั้งเดียวก็รู้ถึงความแตกต่างระหว่างความเป็นและความตายที่เก็บไว้ในหัว Shirley แล้ว
(รอยไหม้จากก่อนหน้านั้นมันเริ่มรักษาแล้ว… ฉันต้องก้าวเข้าไป… ฮ่า!)
แต่ทว่า อสูรดาบสีขาวได้ปล่อยการโจมตีสวนกลับเข้าไปตรงๆ
หลังจากที่หลบการโจมตีที่สั่นสะเทือนจนน่าจะทำให้อยู่เหนือกว่านักผจญภัยแรงค์ S ใดๆอย่างสิ้นเชิงได้แล้ว เธอก็พุ่งเข้าหามังกรแล้วจัดการฟันใส่เข้าไปทั้งหมดจนเกิดบาดแผลในร่างโดยถากเข้าไปอย่างช้าๆ
“GUOOOOOOOOOOOOOO!!”
Beowulf ได้รับบาดเจ็บก็ยังคงเร็วกว่าเธอ Shirley ใช้ปลายแขนมังกรเป็นฐานกระโดดขึ้นกลางอากาศแล้วก็หลบการตบจากอุ้งตีนอีกข้างด้วยการหมุนตัวกลางอากาศแล้วก็วิ่งเข้าไปหาใบหน้าของราชาเลย
“ฟูว…!”
Shirley หายใจสั้นๆ ขณะที่เธอขยับหมุนตัวกลางอากาศ แล้วก็ฟันเข้าไปยังตาขวาของ Beowulf
“GRAAAAAAAAAAAAAGH!?”
“เสร็จล่ะ…!”
ราชามังกรแห่งประจิมถูกชิงสายตาข้างขวาไปแล้ว เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสนี้ อสูรดาบสีขาวแทงเข้าไปยังปีกขวาที่กางออกมา
ดาบเวทมนตร์ได้เชือดตัดผ่านสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งมังกรและก็ยังตัดเส้นเอนด้วยรอยคมที่ไกลเกินกว่าที่ดาบของเธอจะเรียกใช้แปรธาตุได้
มอนสเตอร์ร่างยักษ์เอียงไปทางขวาขณะที่เริ่มสูญเสียพลังไป ความโกรธเคืองได้แผดเผา ราชามังกรแห่งประจิมก็ได้รู้ความจริงผ่านหมอกแห่งความคลั่ง
นักดาบหญิงคนนี้มีพลังก้าวข้ามราชามังกร
แต่ พลังก็ไม่ใช่ตัวตัดสินชัยชนะหรือความพ่ายแพ้เสมอไป Beowulf ยังคงชนะได้ถ้าหากมือของฟันฟาดตบลงไปอีกครั้ง และมันก็ได้เดิมพันเอาไว้
ขณะที่มันป้องกันอวัยวะสำคัญจากการฟันของ Shirley ราชานั่นก็ปลดปล่อยพลังเวทออกมาทั้งร่าง
สายฟ้าได้ผ่าลงมาที่ไม่ใช่แค่บนเกาะนี้ แต่เป็นอีกสองด้าน ด้วยความเร็วพริบตาของทั้งสองอย่าง ทั้งเข้มข้นสูงและฆ่าได้ในพริบตา มันไปปลดปล่อยการโจมตีสุดท้ายนี้ไปทำลายนักดาบหญิงที่อยู่ต่อหน้ามัน
Shirley ไม่มีพลังที่จากหยุดมันได้ เธอเป็นนักดาบขนานแท้ๆ ไม่มีปาฏิหาริย์ใดๆที่จะยกเลิกสายฟ้าที่มีพลังนับไม่ถ้วนจากสวรรค์เพียงแค่ดาบนี้ได้
“กลืนกินความกริ้วของสวรรค์, 《วัดปราสาทแดง》”
ใช่แล้ว Shirley ไม่มีพลังของตัวเธอที่จะหยุดมันได้
สายฟ้าที่ผ่าลงมาถูกกลืนกินโดยแสงที่มาจากดาบที่เรียกว่า Sul-Sagana… เวทมนตร์ที่จะทำงานราวกับมีคำพูดปรากฏในอากาศ และก็มีแสงโผล่ออกมาเป็นปีกบนหลัง Shirley
“โชคไม่ดี นี่เป็นเขตของฉัน ฉันไม่ยอมให้ทำตามอำเภอใจอย่างการโจมตีโลกนะ กรุณาเข้าใจซะ”
ความสามารถของ Sul-Sagana… คือดูดซับเวทพลังโจมตีที่สร้างขึ้นมา และก็แตกกระจายโดยไม่เป็นอันตรายต่อด้านหลังผู้ใช้
เกาะที่ลอยได้พวกนี้ก็เป็นแขนแดนส่วนตัวของนักดาบหญิง และดาบแดงก็เป็นหนึ่งในกุญแจในการปลดล็อคมัน
ต่อหน้าอสูรดาบสีขาว เวทมนตร์กากๆแบบนั้นไร้ผล
“เอาล่ะ… มาปิดฉากกัน”
การเดิมพันสุดท้ายของมันนั้นถูกลบล้างอย่างสิ้นเชิง และปีศาจนักดาบหญิงก็วิ่งเข้าไปยังที่คอของ Beowulf ที่หมดเรี่ยวแรงอย่างสิ้นเชิง
ดาบทั้งสองตัดผ่านกระดูกสันหลังและทำให้ชีวิตของมันดับสิ้นในทันที
“ทำให้ฉันต้องมาล่าช้าทั้งวัน… ตามที่ราชามังกรคาดไว้เลย ถึงกับบังคับให้ใช้ความสามารถของ Sul-Sagana ซะได้…”
ขณะที่เธอได้รับคำชมจากศัตรูที่ร่วงหล่นไปแล้ว เธอก็เดินโซเซไปบ้างหลังจากที่ต้องมาฝึกใช้ความสามารถของดาบ แต่สีหน้าเธอยังคงสดชื่นอยู่
ถ้ากำลังเสริมไม่มาล่ะก็ คงจะไม่มีทางที่เธอจะสามารถจบการต่อสู้ในเวลาสั้นๆนี้ได้ โดยเฉพาะพวกมอนสเตอร์ลูกน้องนั่น… มันอาจจะทำให้ยุ่งยากได้ หากมันโจมตีทั้งฝูงเต็มที่ยิ่งกว่าเป็นรายตัว
ต่อให้เธอพาพวกมันมายังเกาะเดียวกัน มันก็ยังยากอยู่ มังกรพวกนั้นน่าจะยังตามราวีเธอจากที่ไกลได้
แต่ นั่นมันก็แค่สมมุติฐาน เธอเองก็ไม่ได้เข้าใจรายละเอียดนี้สักเท่าไร แต่บางที Canary น่าจะกระตุ้นพวกนักผจญภัยด้วยคำพูดหวานๆและเงินมาหาเธอก็เป็นได้
ขณะที่เธอไม่ได้รู้เลยว่าจะมีอะไรรอเธออยู่ที่บ้าน Shirley ก็ได้คิดถึงเรื่องวันเยี่ยมโรงเรียนขณะที่เธอได้ไปช่วยสู้บนเกาะอื่นต่ออย่างมีความสุข
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น