ลำดับตอนที่ #13
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : บทเรียนที่ 12 อัศวินเพลิง
                                        บทเรียนที่ 12    อัศวินเพลิง
     
            หลังจากวาได้แยกย้ายกับพวกมิวแล้ว    เขาก็ตรงไปยังห้องชมรมของเขาทันที  ซึ่งดูเหมือนว่าจะไปก่อนเวลาตามเคย          วาเริ่มเป็นคนตรงต่อเวลามากขึ้นคงเป็นเพราะสภาพแวดล้อมของโรงเรียนอับดุล  อินเตอร์ ทำให้เขาหรือแม้แต่นักเรียนทุกคนรู้สึกกระฉับกระเฉงขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์    โดยเฉพาะอย่างยิ่งประการสำคัญที่ทำให้วาตรงเวลามากขึ้นก็คือ  โซเฟียนั่นเอง      เธอมักจะชอบแอบว่าวาทางอ้อมเสมอเมื่อเขาไปสาย
                ประตูใหญ่ห้องชมรมนักมายากลค่อยๆ เปิดออก    วาเดินเข้าไปหาซาซาไรเหมือนเช่นเคย
                “ สวัสดีครับมาสเตอร์ ”
                “ อืม สวัสดีครับ ”
                “ วันนี้มาสเตอร์รู้เรื่องการประลองอาวุธที่โรงเรียนเกเบรียลมาประลองกับเราหรือเปล่าครับ ”
                “ ต้องรู้สิ  ถ้าไม่รู้ก็แย่แล้วละครับ ”           
                ซาซาไรยิ้ม กล่าวต่อ
                “ แถมยังคิดว่าหลังจากเลิกสอนชั่งโมงชมรมนี้แล้ว  อาจจะแวะไปดูด้วย    ที่จริงก็อยากจะลองลงไปประลองเล่นๆ ดูเหมือนกันนะครับ  แต่ดูเหมือนว่าคงจะไม่มีใครมาสู้ด้วยน่ะสิครับ ”
                “ มันก็แน่นี่ครับ  ใครจะไปกล้าสู้กับมาสเตอร์ละ  เก่งออกถึงขนาดนี้ ”
                “ ไม่จริงหรอกครับ  แต่ถ้ามีคนจะสู้ด้วยก็กะว่าจะลองดูเหมือนกัน ”
                “ แล้วมาสเตอร์เคยลงไปประลองกับเค้าด้วยหรือครับเนี่ย ”
                “ ก็มีบ้างนะ  ”
                “ มาสเตอร์ใช้แค่ไพ่สู้หรอครับ ”
                “ มันก็ไม่เชิงหรอกนะ ”
                ซาซาไรกล่าวต่อ
                “ ไพ่ก็จัดว่าเป็นอาวุธได้เหมือนกัน  สิ่งที่ทำอันตรายคนได้มันก็คืออาวุธทั้งนั้นแหละครับ  ”
                “ อยากให้ถึงเวลานั้นเร็วๆ จังเลยท่าทางคงจะสู้กันสนุกน่าดูเลยนะครับ ”
              “ ก็อีกไม่นานหรอกครับ  แล้วว่าแต่คุณจะลองลงประลองเล่นๆ ดูบ้างไหมละครับ ”
              “ ผมลงไปจะสู้ใครได้ละครับ ”
              “ ไม่ลองแล้วจะรู้ได้ยังไงจริงไหม ”
              “ ผมไม่ค่อยอยากจะลองสักเท่าไหร่หรอกครับ ”           
              “ ที่จริงอาวุธที่ผมใช้จริงๆ มันก็ไม่ได้มีแค่ไพ่เพียงอย่างเดียวหรอกครับ ”        ระหว่างที่ซาซาไรพูดอยู่นั้นเขาก็ส่ายมือข้างขวาไปมาอยู่ดีๆ ก็ปรากฎคทาสีดำอันไม่ยาวเท่าไหร่นักขึ้นบนมือข้างนั้น
              “ อาวุธอีกอย่างหนึ่งก็คือคทา ”
              “ คทาหรอครับ ? ”
                “ ใช่แล้ว อีกหน่อยคุณก็ต้องเรียนวิธีการใช้คทาเหมือนกันนะครับ  แต่ไพ่เป็นพื้นฐานแรกก่อนที่จะไปสู่การเรียนคทาดังนั้นต้องนี้คุณจึงต้องฝึกการใช้ไพ่ให่เก่งเสียก่อน ”         
              วาคิดว่าไพ่ก็ยากพออยู่แล้ว  ถ้าเขาต้องเรียนคทาอีกจะไหวไหมหน๋อ  แต่ก็ยังดีที่วาเป็นคนที่สามารถเรียนรู้อะไรได้เร็วจึงไม่เป็นปัญหาในการเรียนมายากลสักเท่าไหร่        แต่ที่วายังคงสงสัยอยู่ก็คือ คทาจะเอาไปสู้อะไรได้ หรือจะเอาไว้ฟาดหัวคู่ต่อสู้กันแน่  ถึงกระนั้นวาก็ไม่ได้ถามอะไรซาซาไรเกี่ยวกับเรื่องคทาเลย
           
               
                ในชั่วโมงชมรมวันนี้วาได้เรียนมายากลเพิ่มอีกหนึ่งอย่างซึ่งก็ไม่ยากและไม่ง่ายจนเกินไปนัก  และเมื่อจบชั่วโมงซาซาไรก็เดินไปกับวาด้วย  เพราะซาซาไรเองก็อยากจะไปดูการประลองยุทธ์เหมือนกัน     
             
                ในตึกอาคารชมรมมีนักเรียนเดินอยู่ไปมาจำนวนมากมายคงเป็นเพราะต้องการที่จะไปดูการประลองที่ห้องชมรมอัศวินก็เป็นได้      วาเดินตามซาซาไรไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่ได้พูดอะไร 
                วาและซาซาไรเดินขึ้นบันไดวนที่ดูหรูหรา  ระหว่างทางมีรูปภาพต่างๆ มากมายประดับไว้ข้างๆ กำแพง โดยรูปส่วนใหญ่จะเป็นรูปเกี่ยวกับพวกศาสนาเสียส่วนใหญ่    ทำให้เข้ากับบรรยากาศของบันไดวนนี้เป็นอย่างมาก                วาเองก็เพิ่งรู้ว่ามีทางขึ้นทางนี้อยู่ด้วย  ที่วาไม่รู้ก็คงเป็นเพราะว่าตึกอาคารชมรมคิ่อนข้างที่จะใหญ่โตและวาเองก็ไม่ใคร่จะอยากเดินสำรวจสักเท่าไหร่นัก 
                  ในที่สุดวาก็เดินตามซาซาไรมาจนถึงชั้นบนสุดของบันไดวน  เมื่อวาเหลือบมองลงไปข้างล่างก็เห็นนักเรียนจำนวนมากมายกำลังเดินขึ้นมา  นักเรียนบางคนถึงกับแบกอาวุธขึ้นมาด้วย  คงจะอยากจะมาลองประลองกับเพื่อนๆ หรือคนอื่นๆ ดูหลังจากที่พิธีการประลองระหว่างโรงเรียนในวันนี้เสร็จสิ้นแล้ว      เพราะจะมีการเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจสามารถลงประลองได้เช่นกัน             
                  ซาซาไรบอกกับวาว่าสนามประลองไม่ได้เปิดให้นักเรียนไปประลองกันได้ทุกวัน  เขาจะเปิดเฉพาะวันอาทิตย์เท่านั้น และดูเหมือนว่าวันนี้ก็จะเป็นโอกาสทองสำหรับนักเรียนที่บ้าการประลองทั้งหลายที่จะสามารถได้โชว์ความสามารถให้นักเรียนหลายๆ คนได้เห็นด้วย จึงไม่แปลกที่ทำไมวันนี้ถึงมีนักเรียนบางคนหอบอาวุธประจำตัวเองขึ้นมาด้วย     
                  ที่ทำให้วาอดขำไม่ได้ก็คือ นักเรียนตัวอ้วนใส่แว่นคนหนึ่งที่กำลังพยายามแบกขวานเล่มใหญ่บนหลังเขาขึ้นมาตามทางบันได    วาคิดว่าแค่น้ำหนักตัวที่จะต้องแบกตัวเองขึ้นมาก็ลำบากพอควรอยู่แล้วแต่นี่ถึงกลับต้องแบกขวานด้ามใหญ่ขึ้นมาด้วยยิ่งลำบากเข้าไปใหญ่  แถมดูท่าทางเด็กชายตัวอ้วนคนนั้นทำท่าเกือบจะหกล้มหลายทีแล้วด้วย     
                  หลังจากมองเด็กนักเรียนที่กำลังเดินขึ้นมาตามทางบันไดวนอยู่สักพักหนึ่งซาซาไรก็เดินต่อ    บนสุดของบันไดวนมีรูปปั้นรูปผู้ชายใส่หมวกนักรบครึ่งตัวประดับอยู่บนราวบันได      ดูเหมือนว่านี่จะเป็นชั้นบนสุดของตึกอาคารชมรมซึ่งกว่าจะขึ้นมาถึงก็เหนื่ยพอสมควร  แต่รูปภาพที่สวยงามหรือลักษณะทางเดินต่างๆ ที่ประดับอยู่ข้างทางทำให้วาเพลิดเพลินจนลืมความเหนื่อยไปเลย     
                    พื้นชั้นบนสุดปูด้วยพรมสีแดงสวยหรูเหมือนกำลังอยู่ในพระราชวังอย่างใดอย่างนั้น    ที่ชั้นบนสุดนี้ดูเหมือนจะแตกแต่งจากชั้นต่างๆ ลิบลับเพราะดุหรูหราเป็นพิเศษ  ข้างทางยังคงประดับไปด้วยรูปภาพที่สวยงามเหมือนที่บันไดวนเช่นเคย        มองตรงจากปลายบันไดวนไม่ไกลนักก็จะเห็นว่าทางเดินชั้นบนสุดไม่ได้ยาวสักเท่าไหร่นัก    เพราะเบื้องหน้ามีประตูบานใหญ่กั้นอยู่        ประตูบานนั้นเป็นไม้ที่สักด้วยรูปลายสวยหรูพร้อมกับกลอนประตูที่มีสีทองเช่นเดียวกับขอบประตู     
                  ตอนนี้ประตูบานใหญ่ทั้งสองบานกำลีงเปิดอยู่เหมือนกับกำลังเชิญชวนให้ทุกคนเข้าไปในห้องนั้นราวกับมีเวทมนต์    วารู้สึกว่าชั้นนี้มันช่างสวยงามเสียจริงๆ  และเมื่อวากับซาซาไรเดินไปถึงหน้าประตูทางเข้านั้น  มองเข้าไปในห้องที่อยู่ตรงหน้าซึ่งก็คือ ห้องชมรมอัศวินนั่นเอง  ภายในห้องถึงกับมีสภาพไม่ต่างไปจากภายนอกสักเท่าไหร่นัก  แต่ทว่ามันช่างใหญ่โตเสียจริงๆ
                    ตรงกลางห้องถึงกับมีลานทรงลมขนาดใหญ่อยู่  นั่นก็คงเป็นลานประลองยุทธ์สินะ  ห่างออกไปนั้นมีที่นั่งคล้ายอัฒจันทร์ครึ่งวงกลมอยู่    ซึ่งดูๆ แล้วก็มีนักเรียนจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวที่กำลังนั่งอยู่
           
                  นักเรียนค่อยๆ ทยอยกันเข้ามาให้ห้องเรื่อยๆ ซึ่งวาก็กำลังเดินมองหาพวกเพื่อนๆ ของเขาว่านั่งอยู่ที่ตรงไหนแต่ก็หาไม่เจอเพราะแสงในห้องไม่สู้จะสว่างนัก  คงเป็นเพราะโคมไฟทรงกลมที่ทำจากแก้วบนเพดานห้องนั้นใช้แสงไฟแบบสีนวลนั่นเอง      ดูไปดูมาบรรยากาศในห้องนี้ไม่ต่างจากโรงหนังหรือเวทีฮาโมเนีย ( ห้องชมรมนักมายากล ) สักเท่าไหร่นัก
                    ในเมื่อวามองหาพวกเพื่อนๆ ของเขาไม่เจอเขาจึงตัดสินใจไปหาที่นั่งเองเสียก่อน  ซึ่งอย่างน้อยเขาก็ยังมีซาซาไรนั่งอยู่ข้างๆ   
 
                  มิคาดขณะที่วากำลังจะเดินเพื่อไปนั่งบนอัฒจันทร์ที่มีที่นั่งเป็นเบาะสีแดงเหมือนในโรงหนังนั้น  เขาก็พบกับดีว่าพอดี
                  “ นายก็มาด้วยเหมือนกันหรอเนี่ย ”   
                  “ แน่นอน นานๆ มีอย่างนี้ทีนึงจะพลาดได้ยังไงกันครับ ”           
                  ดีว่ายิ้มเหมือนกับชอบชมการประลองเป็นพิเศษ และเมื่อเขาสังเกตเห็นซาซาไร  ดีว่าก็กล่าวสวัสดีซาซาไรอย่างนอบน้อม
                  “ สวัสดีครับมาสเตอร์ซาซาไร  ”    ดีว่าพุดพร้อมกับก้มหัวทำความเคารพ
                  “ อืม สวัสดีครับ คุณคงจะเป็นนักเรียนดีว่าใช่ไหมครับ ”       
                  “ ใช่แล้วครับ ”
                  วาไม่รู้มาก่อนว่าทั้งสองคนนี้รู้จักกันมาก่อน  ซึ่งก็เป็นที่น่าแปลกอยู่เหมือนกัน 
                  “ แล้วมาสเตอร์จะลองลงประลองไหมครับ”
                “ ถ้ามีคนจะสู้ด้วยก็อาจจะลงนะครับ  แต่ดูเหมือนจะไม่มีเลยนะสิ ”
                “ ผมก็คิดว่าจะลองลงเหมือนกันนะครับ  แต่คงไม่คิดจะประลองกับมาสเตอร์หรอกครับ  ขืนประลองผมก็แพ้ยับแน่เลย ”       
                ดีว่าเมื่อพูดจบซาซาไรก็หัวเราะคงเพราะชอบในความถ่อมตนของดีว่ากระมัง    ทั้งสามคนเดินตามทางขึ้นไปยังที่นั่ง    เมื่อมองหาที่ว่างเจอแล้วทั้งสามคนก็นั่งลงโดยที่มีวานั่งอยู่ทางซ้ายสุดของที่นั่งใกล้ๆ ทางเดินส่วนทางขวาของวาเป็นดีว่าแล้วถัดไปก็คือซาซาไร 
                นักเรียนค่อยๆ ทยอยกันเข้ามาเรื่อยๆ จนที่นั่งบางแถวถูกนักเรียนนั่งกันจนเต็มแล้ว    วาต้องคอยยกขาเพื่อหลบให้นักเรียนที่เพิ่งมาผ่านเข้าไปนั่งข้างในได้  ซึ่งก็เยอะพอสมควรกว่าแถวของวาจะเต็ม 
 
                และเมื่อถึงกำหนดเวลาที่การประลองจะเริ่มขึ้น ไฟในห้องก็ค่อยๆ หรี่ลง  แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงพอมองอะไรเห็นบ้าง  บรรยากาศในตอนนี้ทำให้ชวนนึกถึงตอนอยู่ในโรงหนังไม่มีผิดเพี้ยน          ประตูบานใหญ่คิ่อยๆ ถูกปิดลง  นักเรียนในห้องทุกคนต่างหยุดพูดคุยกันหันมาสนใจที่กลางเวทีลานประลอง
                กลางเวทีลานประลองบัดนี้ปรากฎคนผู้หนึ่งยืนอยู่  และเมื่อมีไฟส่องไปยังคนๆ นั้นก็ทำให้มองเห็นคนๆ นั้นได้อย่างชัดเจน          คนๆ นั้นถึงกับเป็นเด็กผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่อยู่ในชุดสูทอย่างดูเป็นพิธีการ
                “ ฮะ แฮ่ม ”
                เด็กคนนั้นลองเสียงผ่านไมค์ที่ถืออยู่   
                “ ขอกล่าวสวัสดีท่านผู้มีเกรียติและท่านผู้ถูกเกลียดทุกท่าน .”        ดูเหมือนว่าเด็กชายคนนี้จะชอบปล่อยมุขเสียด้วย  ซึ่งการปล่อยมุขครั้งแรกของเขาก็ทำให้ห้องทั้งห้องเงียบไปกว่าเดิมเสียอีก
                “ ฮะ แฮ่ม มุขน่ะครับ”   
                “ ในวันนี้อย่างที่ทุกท่านได้ทราบกันไปแล้วนะครับ ว่าจะมีการประลองระหว่างโรงเรียนเราและโรงเรียนที่มาเยี่ยมเยี่ยนโรงเรียนเราซึ่งก็คือ โรงเรียนเกเบรียลนั่นเอง      ในโอกาสนี้ขอเริ่มเปิดพิธีการประลองอาวุธขึ้น ณ บัดนี้ครับ ”          หลังการนักเรียนคนนั้นพูดจบนักเรียนที่นั่งอยู่ในห้องทุกคนต่างปรบมือพร้อมกัน
                “ และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลากระผมก็ขออธิบายกฎการประลองคร่าวๆ ก่อนเลยนะครับ  โดยปีนี้เราได้มีการเปลี่ยนแปลงกฎในการประลองเล็กน้อย          จากเดิมที่เรามีการตัดสินผลแพ้ชนะด้วยการนับคะแนนที่ผู้เข้าแข่งขันสามารถตีโดนจุดต่างๆ ของฝ่ายตรงข้ามได้      ตอนนี้ได้มีการยกเลิกการนับแต้มเป็นการใช้กฎไลท์พอต์ย (พลังชีวิต) แทนแล้ว  ซึ่งผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนจะมีไลท์พอต์ยคนละ 3000 หน่วย    เมื่อผู้เข้าแข่งขันถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตีใส่จะถูกหักลบไลท์พอต์ยไปเรื่อยๆ ซึ่งเมื่อไลท์พอต์ยของผู้เข้าแข่งขันเหลือ 0 ก็จะแพ้ทันที        ส่วนด้านการคำนวณไลท์พอต์ยนั้นไม่ใช่ปัญหาเนื่องจากทางเราได้มีการพัฒนาชุดเกราะที่สวมใส่ให้สามารถหักลบไลท์พอต์ยได้เองโดยอัตโมนัติ      ส่วนทางด้านกติกาอื่นๆ นั้นยังคงเหมือนเดิม  ในเมื่อกระผมได้อธิบายการเปลี่ยนแปลงกติกาใหม่แล้วก็ขอให้ทุกท่านสนุกกับการชมการประลองได้เลยครับ ”
              หลังจากเด็กชายคนนั้นพูดจบเสียงปรบมือก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง  แสงไฟที่ฉายเด็กชายคนนั้นค่อยๆ หรี่ลงจนหมดไป    ห้องทั้งห้องมืดลงกว่าเดิมจนแทบจะมองอะไรไม่เห็น
              “ การประลองในวันนี้มีด้วยกัน 5 คู่  กระผมขอแน่ะนำให้ทุกท่านรู้จักกันเลยนะครับ    ทีมแรกทีมจากโรงเรียนเกเบรียลครับ !!  ”    เสียงของเด็กชายคนนั้นพูดถึงจะมองไม่เห็นตัวก็ตามที่  และก็ตามมาด้วยเสียงปรบมือของนักเรียนทั้งห้อง        ทันใดนั้นเองแสงไฟก็ฉายขึ้นทางด้านซ้ายของห้องมีนักเรียนโรงเรียนเกเบรียลในเครื่องแบบประจำโรงเรียนอยู่อยู่ด้วยกัน 5 คน  ซึ่งถ้าสังเกตดีๆ บนอัฒจันทร์ด้านหน้าสุดยังมีนักเรียนเกเบรียลอีกประมาณ 6-7 คนที่ไม่ได้ลงไปยืนอยู่ด้วย  คงมาเพื่อดูการแข่งอย่างเดียวกระมัง        เสียงปรบมือค่อยๆ เงียบลงไปเมื่อเด็กชายคนนั้นกล่าวต่อ 
              “ และทีมที่สองทีมจากโรงเรียนของเราเอง ทีมโรงเรียนอับดุล อินเตอร์ครับ !! ” เสียงปรบมือดูเหมือนจะดังกว่าตอนที่ไฟส่องไปทางโรงเรียนเกเบรียลเสียอีก  ก็เป็นที่แน่นอนอยู่แล้วเพราะที่นั่งดูอยู่ส่วนใหญ่ก็เป็นวกนักเรียนโรงเรียนอับดุล อินเตอร์ทั้งนั้น   
                เมื่อไฟส่องไปที่ตัวแทนนักเรียนโรงเรียนอับดุล อินเตอร์  วาก็พอจะสังเกตได้ว่ามีใครอยู่บ้าง  สองคนในนั้นเป็นคนที่วารู้จักดี  ซึ่งก็คือ  โซเฟีย และรุ่นพี่ซาโต้นั่นเอง      ส่วนอีกสามคนที่เหลือนั้นนั้นวาไม่รู้จัก คงจะเป็นพวกกรรมการนักเรียนกกระมัง    แต่เมื่อวามองไปที่สามคนที่เหลือนั้นเขาก็ต้องประกลาดใจเพราะหนึ่งในสามคนนั้นก็คือ  เด็กชายตัวอ้วนใส่แว่นที่แบกขวาขึ้นมาตรงทางบันไดวนที่วาแอบขำนั่นเอง        ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะประลองด้วยแถมยังเป็นตัวแทนโรงเรียนอีกเสียด้วย 
                “ ห้าคนนั้นเป็นพวกกรรมการนักเรียนทุกคนเลยหรือเปล่าอะ ”      วากระซิบถามดีว่าที่อยู่ข้างๆ
              “ ใช่แล้วละครับ  ห้าคนที่เห็นก็คือ พวกกรรมการนักเรียนของโรงเรียนเรา    ส่วนอีกโรงเรียนอาจจะไม่ใช่นะครับ ”
                 
                    “ ขอความกรุณารอสักครู่ให้ผู้เข้าแข่งขันของเราสวมชุดเกราะกันก่อนนะครับ  แล้วเราก็จะเริ่มการแข่งขันกันในทันที ”            เด็กชายคนนั้นกล่าว      ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง      วาสังเกตไปที่โซเฟียและรุ่นพี่ซาโต้ที่กำลังใส่ชุดเกราะป้องกันส่วนต่างๆ อยู่      โดยเริ่มจากส่วนตัวเป็นชุดเกราะสีเงินรูปร่างคล้ายชุดเกราะอัศวิน ท่าทางจะมีความทนทานต่ออาวุธต่างๆ สูง        จากนั้นก็เป็นชุดเกราะแขนสีเงินคลุมตั้งแต่หัวไหล่ไปถึงปลายนิ้วมือ  ตรงส่วนแขนนั้นมีแทบพลังติดอยู่ตั้งแต่ข้อมือยาวไปจนเกือบจะถึงข้อศอก  ซึ่งนั่นคงจะเป็นเครื่องนับไลท์พอต์ยนั่นเอง  ต่อจากนั้นก็เป็นชุดเกราะป้องกันขา    เมื่อใส่ทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วแทบจะมองไม่เห็นช่องโห่วที่จะทำให้คนที่อยู่ภายใต้ชุดนั้นบาดเจ็บได้เลยแม้แต่น้อย       
                  รุ่นพี่ซาโต้ค่อยๆ หยิบหมวกป้องกันซึ่งก็คือเกราะป้องกันอันสุดท้ายมาสวมใส่  เกราะป้องกันส่วนหัวนั้นดูคล้ายๆ หมวกเหล็กของพวกอัศวินผสมกับหมวกกันน็อคยังไงก็บอกไม่ถูก  โดยมีกระจกสีใสอยู่พอให้ผู้ใส่มองเห็นอะไรได้บ้าง      เมื่อล็อคส่วนหัวเข้ากับส่วนลำตัวเรียบร้อยรุ่นพี่ซาโต้ก็ค่อยๆ เดินขึ้นไปบนเวทีการประลอง  ซึ่งก็ดูเหมือนว่าทางฝั่งโรงเรียนเกเบรียลอีกคนก็จะพร้อมแล้วเหมือนกัน    นักเรียนเกเบรียลใส่ชุดเกราะสีดำ  ทำให้สามารถแยกฝั่งได้ไม่ยากนัก     
                นักเรียนเกเบรียลคนที่เดินมานั้นถูกหมวกป้องกันปิดหน้าไว้ทำให้มองเห็นหน้าได้ไม่ค่อยชัดนัก  ยิ่งถ้ามองจากตรงที่วานั่งอยู่แล้วละก็ยิ่งไม่สามารถมองเห็นได้เลย    นักเรียนเกเบรียลคนนั้นเดินมาพร้อมกับลูกตุ้มเหล็กอันใหญ่ดูน่าเกรงขาม    และก็เป็นที่น่าแปลกที่รุ่นพี่ซาโต้ไม่ได้ถืออาวุธอะไรอยู่ในมือเลย        นอกจากถุงมือสีดำที่ใส่อยู่ทั้งสองข้าง 
                  “ ผู้เข้าแข่งขันประจำที่ ”
                  เด็กชายคนนั้นกล่าวต่อ
                  “ เมื่อพร้อมแล้วเริ่มการประลองคู่แรกได้ ! ”              สิ้นเสียงเด็กชายคนนั้นก็มีเสียงอ็อดดังไปทั่วห้องเป็นสัญญาณเริ่มการประลองคู่ที่หนึ่ง 
                  “ คู่ที่หนึ่งฝั่งโรงเรียนเกเบรียลมูเร็น และฝั่งโรงเรียนอับดุล อินเตอร์ประธานนักเรียนซาโต้      มูเร็นผู้ใช้อาวุธลูกตุ้มเหล็กฟังว่า  ใครที่โดนเข้าไปไม่เกินสองครั้งเป็นต้องแพ้ทุกราย        ส่วนทางด้านซาโต้ . ”     
                  เด็กชายคนนั้นหยุดพูด ดูเหมือนว่าเขายังไม่รู้ข้อมูลว่าซาโต้ใช้อาวุธอะไรเลย      ทั้งคู่ค่อยเดินเข้ามาหากันอย่างช้าๆ  มูเร็นเริ่มถือลุกตุ้มแก่วงไปแกว่งมา  จากนั้นก็เริ่มหมุนมันขึ้นให้เร็วขึ้น          ส่วนทางด้านซาโต้นั้นกลับยืนอยู่เฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น
                  มูเร็นค่อยๆ เดินเข้าใกล้ซาโต้ไปเรื่อยๆ แต่ซาโต้ก็ยังไม่ยอมขยับไปไหน หรือเป็นเพราะว่ากลัวจนไม่กล้าขยับกันแน่      ลูกตุ้มที่ค่อนข้างใหญ่ขนาดนั้นถ้าผู้ที่ใช้รู้จักขวางออกมาอย่งชำนาญแล้วละก็ย่อมเร็วเป็นพิเศษและยากที่จะหลบได้อย่างยิ่ง  ความเร็วของมันนั้นเรียกได้ว่า แทบจะไม่มีใครหลบได้เลยก็ว่าได้ 
                 
                    ซาโต้แย้มยิ้มซึ่งมูเร็นก็พอจะสังเกตได้   
                    “ ได้ยินชื่อมานานว่า ลูกตุ้มของนายไม่มีใครโดนแล้วรอดมาได้เลยสักคนจริงหรือไม่ ”     
                    “ ย่อมต้องใช่ ”        มูเร็นตอบซาโต้  ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะใส่ชุดเกราะอยู่แต่ก้สามารถพูดได้ยินถึงกันได้    เนื่องเพราะชุดเกราะได้รับการออกแบบมาอย่างพิเศษสามารถให้ผู้ที่สวมใส่อยู่สามารถพูดให้อีกฝ่ายหนึ่งหรือแม้แต่คนที่อยู่รอบข้างได้ยินได้แถมเสียงีท่พุดออกมายังดังมากกว่าที่ไม่ใส่ชุดเกราะเสียอีก    หรือจะเป็นเพราะในชุดเกราะมีไมค์ตัวๆ เล็กๆ อยู่ก็เป็นได้       
                  ซาโต้ยิ้มอีกครั้ง ขณะที่มูเร็นอยู่ในระยะที่พร้อมจะลงมือแล้ว
                  “ ขอเตือนอะไรไว้สักอย่างหนึ่งนะ  ถ้านายเดินเข้ามาอีกก้าวละก็  นายไม่รอดแน่ ”     
                  “ ใครกันแน่ที่จะไม่รอด  อย่ามาทำเป็นขู่กันไปหน่อยเลย ”
                  เมื่อสิ้นคำพูดมูเร็นก็ทำท่าจะวิ่งตรงเข้ามาเหวี่ยงลูกตุ้มเหล็กนั้นใส่ซาโต้    แต่ทว่ามูเร็นไม่สามารถทำเช่นนั้นได้  แม้แต่ขยับก็ทำไม่ได้ 
                    “ โอ้ววววว !!!  เกิดอะไรขึ้นครับเนี่ย  มูเร็นไม่สมารถขยับได้หรือว่าจะเป็นเพราะอาวุธของซาโต้ครับเนี่ย ”        เด็กชายกล่าวด้วยความตื่นเต้น  ทำให้ผู้ฟังต้องพลอยตื่นเต้นและสงสัยตามไปด้วย
                 
                  ภายใต้หมวกป้องกันนั้นซาโต้ยิ้มอย่างมีชัย  มูเร็นตอนนี้ได้แต่อยู่ในอาการตื่นตระหนกจ้องมองไปที่ยังซาโต้       
                  “ นายแพ้แล้วละ ”         
                  สิ้นคำพูดนั้นเองซาโต้ก็ทำท่าเหมือนกับกำลังดึงอะไรบางอย่างอยู่  ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าซาโต้ทำอะไร      ดีว่าและซาซาไรต่างยิ้มเล็กน้อย เหมือนกับว่ารู้ว่าที่ซาโต้กำลังทำอยู่มันคืออะไร  ส่วนวานั้นได้แต่นั่งงงอยู่อย่างนั้น    โดยที่วาพยายามจ้องไปเพื่อจะมองให้เห็นว่าที่ซาโต้กำลังทำมันคืออะไรกันแน่
                  ซาโต้วิ่งเลยไปข้างหลังห่างจากมูเร็นพอสมควร  จากนั้นก็ย่อเข่าลงข้างหนึ่ด้วยความเร็วงพร้อมกับทำท่าเหมือนกับกอดอกแต่ที่จึงมันคือ การดึงอะไรบางอย่างอยู่นั่นเอง        จากนั้นซาโต้ก็กำมือทั้งสองข้างพร้อมกับกระตุกมันอย่างแรง
                    ทันใดนั้นเองร่างของมูเร็นลอยขึ้นจากพื้นเล็กน้อยราวกับกับโดนสลิงยกขึ้นยังไงยังงั้น  พร้อมกับเสียงอ็อดดังขึ้นเป็นสัญญาณว่ามีผู้เข้าแข่งขันคนนึงไลท์พอต์ยหมด  ซึ่งก็หมายความว่ามูเร็นแพ้แล้วนั่นเอง     
                 
                  เพียงแค่การกระตุกมือของซาโต้เพียงครั้งก็ทำให้ไลท์พอต์ยจาก 3000 หน่วยเหลือ 0 ภายในพริบตาเดียว      มูเร็นไม่อาจเชื่อมันต้องไม่ยอมเชื่อแน่ๆ แต่มันก็ได้แพ้แล้ว     
                  ร่างของมูเร็นหล่นลงสู่พื้นทันที  วาสังเกตเห็นอะไรเป็นเส้นๆ สะท้อนแสงค่อยๆ ลอยกลับไปสู่ถุงมือทั้งสองข้างของซาโต้    มันคืออะไรกันแน่
                  “ การประลองคู่ที่หนึ่งผู้ชนะคือ ประธานนักเรียนซาโต้ครับ !!!! ”
                  เด็กชายตะโกนดังลั่น  พร้อมกับเสียงปรบมือของนักเรียนทั้งห้อง และยังมีเด็กนักเรียนผู้หญิงบางกลุ่มซึ่งกับกรี๊ดออกมาเสียงดังเลยทีเดียวคงจะเป็นพวกที่ชื่นชอบซาโต้อยู่ก็ได้    แต่ว่าฝีมือของซาโต้ก็นับว่าสุดยอดจริงๆ  ที่สามารถล้มคู่ต่อสู้ได้ในเวลายังไม่ถึง 5 นาที          วายังคงสงสัยไม่หายว่าไอ้เส้นๆ ที่เขาเห็นเมื่อสักครู่นั้นมันตืออะไรกันแน่จึงหันไปถามดีว่าที่นั่งอยู่ข้างๆ
                  “ นายรู้หรือเปล่าว่ารุ่นพี่ซาโต้เขาทำอะไรเมื่อสักครู่นี้น่ะ ”
                  ดีว่าหันมายิ้มพร้อมกับกล่าว
                  “ ก็พอจะรู้บ้างละครับ  คุณเห็นเส้นลวดใส่บ้างหรือเปล่าละครับ ”
                  “ คิดว่าเห็นนะ    ไอ้เส้นๆ ที่มันสะท้อนแสงเมื่อสักครู่นี้ใช่รึเปล่า  ”
                  “ ใช่แล้วละครับ  นั่นคืออาวุธของรุ่นพี่ซาโต้เขาละ ”
                  “ ไม่เห็นจะเคยเห็นอาวุธแบบนี้มาก่อนเลย  มันคืออะไรกันแน่ ”
                  “ เห็นถุงมือสีดำคู่นั้นที่รุ่นพี่ซาโต้ใส่อยู่รึเปล่าละครับ  ภายในถุงมือนั้นมีเส้นลวดสีใสซ่อนอยู่  มันก็คล้ายๆ ลวดที่เขาเอาผูกไว้กับพวกระเบิดนั่นแหละครับ  เพียงแต่ว่ามันจะมีความทนทานสูงมากไม่ขาดเอาง่ายๆ  แถมยังคมอีกต่างหากไม่แน่ว่าอาจจะสามารถโค่นต้นไม้ทั้งต้นให้หักลงมาต่อหน้าเลยก็ได้นะครับ .  ”
                  ได้ยินแค่นี้วาก็เกิดอาการอึ้งขึ้นอีกแล้ว แต่ดีว่าก็กล่าวต่อ
                  “ แต่ว่าอาวุธชนิดนี้หาคนใช้ได้น้อยมาก  เพราะยากต่อการควบคุม    และเส้นลวดก็ไม่ใช่แค่สั้นๆ นะครับความยาวของมันนั้นผมก็ไม่ทราบว่าเท่าไหร่แต่ก็รู้ว่ามันยาวมากๆ เลยหละครับ          และคนที่จะใช้มันได้นั้นต้องรู้จักควบคุมทิศทางของเส้นลวดนั้นได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ    และมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย  ซึ่งแม้แต่ผมเองก็ยังไม่คิดว่าจะใช้มันได้    มันเหมือนกับเวลาแมงมุมชักใยนั่นแหละครับ        สรุปแล้วก็คือ  อาวุธอันนี้ก็มีลักษณะเช่นเดียวกันกับการชักใยของแมงมุมนั่นเองแหละครับ ”
                  เมื่อวาคิดตามที่ดีว่าพูดมาแล้ว  เขาก็รู้สึกว่าไพ่ที่เขากำลังเรียนอยู่คงจะเทียบความยากไม่ติดกับอาวุธที่รุ่นพี่ซาโต้นั้นใช้อยู่เป็นแน่        ส่วนซาซาไรนั้นแย้มยิ้มเล็กน้อยเหมือนกับพึงพอใจในฝีมือของซาโต้มาก
                  เสียงพูดคุยของนักเรียนในห้องยังคงพึมพำอยู่บ้าง  คงเป็นเพราะว่าได้เห็นฝีมือการล้มคู่ต่อสู้อย่างรวดเร็วของซาโต้นั่นเอง    ทางด้านทีมโรงเรียนเกเบรียลนั้นถึงกับหน้าเสียไปตามๆ กัน    และที่ดูเหมือนจะเจ็บปวดที่สุดก็คือ มูเร็นนั่นเอง
                  ไม่นานนักหลังจากการแข่งขันคู่ที่หนึ่งเสร็จสิ้นลงการแข่งขันคู่ที่สองก็ทำท่าจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว    เด็กนักเรียนทางฝั่งโรงเรียนเกเบรียลที่รูปร่างใหญ่  แต่ได้สัดส่วนก็สวมหมวกป้องกันเข้าในทันที  ดูจากลักษณะของท่าทางแล้วออกจะเป็นพวกไฮโซสักนิดหน่อย    และวาก็สังเกตเห็นว่า ทางด้านฝั่งโรงเรียนเขาเอง  คนที่กำลังจะสวมหมวกป้องกันก็คือ  โซเฟีย !!! นั่นเอง
                  ในที่สุดอีกไม่กี่วินาทีที่จะถึงนี้วาก็จะได้เห็นความสามารถของโซเฟียเสียที    เขาเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า จะเก่งสมดังที่ดีว่าหรือเพื่อนๆ พูดกันไว้หรือไม่   
                    ดีว่าหันมาพูดกับวาก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มขึ้น
                    “ ผมว่าคู่นี้ท่าทางจะสนุกกว่าคู่เมื่อสักครู่เสียอีกนะครับ ”
                    “ นั่นสินะ  แต่ยังมีคนที่เหนือกว่ารุ่นพี่ซาโต้อีกหรอเนี่ย ”
                    “ แน่นอนครับ เหนือฟ้าย่อมต้องมีฟ้าครับ  แต่ที่บอกว่าน่าสนใจไม่ใช่คนที่ฝีมือที่เหนือกว่ารุ่นพี่ซาโต้นะครับ    ที่น่าสนใจก็คือ คู่ต่อสู้ของคุณโซเฟียต่างหากละครับ ”
                    “ ทำไมหรอ ”
                    “ คู่ต่อสู้ของคุณโซเฟียไม่ง่ายเหมือนกับของรุ่นพี่ซาโต้น่ะสิครับ    เพราะผู้ชายคนนั้นเคยลงแข่งประลองอาวุธจนได้เข้ารอบคัดเลือกรอบที่ 1 ด้วยละครับ    ฝีมือจึงต้องไม่ธรรมดาแน่นอน ”
                    เมื่อดีว่าพูดมาเช่นนั้นทำให้วายิ่งสนใจการประลองคู่นี้มากขึ้น  และรู้สึกเป็นห่วงโซเฟียอยู่ลึกๆ ว่าเธอจะแพ้ไหม จะบาดเจ็บหรือเปล่า 
                    “ แล้วนายว่าสองคนนี้ใครจะเป็นฝ่ายชนะละครับ ”
                    “ เรื่องนี้ผมก็พอจะรู้อยู่แล้วละครับว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ  แต่ขอเก็บไว้ไม่บอกก็แล้วกันนะครับ    ดูเอาเองก็แล้วกันครับระหว่างคุณโซเฟียผู้ที่ได้รับฉายาว่า  “ อัศวินเพลิง “  หรือ  นักเรียนเกเบรียลที่เคยผ่านเข้าไปถึงรอบคัดเลือกรอบที่ 1 ในการประลองปีที่แล้ว ที่มีฉายาว่า  “  นักรบเกราะเหล็ก “ ”
                    “ นักรบเกราะเหล็ก เราก็พอจะเข้าใจนะว่าเขาคงมีความสามารถในการป้องกันสูง  แต่อัศวินเพลิงนี่สิ  คิดยังไงก็คิดไม่ออกเลย ”
                    ดีว่าไม่ตอบเพียงแต่แย้มยิ้มและกล่าวต่อ
                    “ เดี๋ยวก็จะรู้เองแหละครับ ว่าอัศวินเพลิงน่ะมันเป็นยังไง ”
               
                  วาหันมาสนใจที่เวทีลานประลองอีกครั้ง  ปรากฎว่าทั้งสองฝ่ายต่างสวมชุดเกราะป้องกันพร้อมแล้วทั้งคู่       
                  “ การประลองคู่ที่สองกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วละครับท่านผู้ชม ”
                  เมื่อเห็นว่าทั้งสองฝ่ายต่างขึ้นมาบนเวทีลานประลองทั้งคู่แล้ว เด็กชายก็กล่าวต่อ
                  “ การประลองคู่ที่สองระหว่างฝั่งโรงเรียนเกเบรียล ไอร่อน นักรบเกราะเหล็ก ฟังว่า  ชุดเกราะของเขานั้นมีความทนทานสูงมาก  ไม่ว่าจะเป็นอาวุธที่รุนแรนขนาดไหนเขาก็สามารถป้องกันได้หมด  แถมยังเป็นผู้เข้ารอบคัดเลือกรอบที่ 1 ในการประลองระหว่างสถาบันคราวที่แล้วเสียด้วย    และอีกด้านหนึ่งฝั่งโรงเรียนอับดุล อินเตอร์  โซเฟีย .. ”
                  ยังไม่ทันที่เด็กชายคนนั้นจะกล่าวจบก็มีเสียงเชียร์ดังไปทั่วห้อง      ส่วนใหญ่จะเป็นเสียงที่เกิดจากนักเรียนชายเสียมากกว่า              วาเองก็เพิ่งจะทราบว่า โซเฟียนั้นก็เป็นขวัญใจชาวโรงเรียนอับดุล อินเตอร์เหมือนกัน      แต่ที่วาสนใจที่สุดตอนนี้ก็ คือ โซเฟียจะเอาชนะไอร่อนเกราะเหล็กได้หรือไม่
                    “ ฮะ แฮ่ม .. ”
                    เด็กชายทำเสียงเมื่อเขาต้องการที่จะกล่าวต่อ
                    “ ฝั่งโรงเรียนอับดุล อินเดอร์  โซเฟีย อัศวินเพลิง  ฟังว่ามีไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้เห็นท่าไม้ตายของเธอ    เนื่องจากเธอไม่เคยลงแข่งประลองอาวุธมาก่อน  แต่ว่าเธอเองก็ไม่เคยแพ้ให้แก่ใครมาก่อนเหมือนกัน    ท่าไม้ตายของเธอจะเป็นอย่างไร  หวังว่าเราทุกคนคงจะได้เห็นกันในวันนี้แล้วละครับท่านผู้ชม  ”
                    เสียงเฮดังมาอีกหลังจากเด็กชายพูดจบประโยค
                    “ และในเมื่อทั้งสองฝ่ายพร้อมแล้วละก็  ขอเริ่มการประลองคู่ที่สองได้ ณ บัดนี้ !!! ”
                 
                    เมื่อสิ้นเสียงเด็กชายประกาศจบเสียงร้องเชียร์ก็หายไปในทันที    ทั้งห้องในตอนนี้ตกอยู่ในความเงียบชนิดที่เรียกได้ว่า  แม้แต่ใครทำเข็มตกลงพื้นก็ยังสามารถได้ยิน
           
                    โซเฟียชักดาบเล่มบางยาวของเธอออกมาจากฝักดาบ  ซึ่งดาบเล่มนั้นเป็นเล่มเดียวกันกับที่วาได้เห็นในตอนเช้านั่นเอง    เสียงดาบขณะที่กำลังจะออกมาจากฝักดัง  “ ชิ้ง ! “        ดูแล้วช่างสง่ามงามและน่าเกรงขามนัก       
             
                    เมื่อดาบออกมาจากฝักแล้ว  โซเฟียก็ตั้งท่าเตรียมจู่โจมของเธอทันที  โดยการใช้มือข้างขวาซึ่งกำลังถือดาบอยู่ชี้ตรงไปยังคู่ต่อสู้พร้อมกับย่อตัวลงเล็กน้อย     
                   
                    ทางด้านไอร่อนเกราะเหล็กนั้นก็ชักดาบซึ่งเป็นอาวุธของตนออกมาเช่นเดียวกับโซเฟีย    ดาบของไอร่อนมีลักษณะหนาและใหญ่แต่ดูไร้ซึ่งพิษสงค์  ดูแล้วไม่น่าเกรงขามเหมือนกับดาบของโซเฟีย          ท่าจะเทียบความสง่างามของดาบแล้วละก็เรียกได้ว่าเทียบไม่ติดเลยทีเดียว
                    “ ยินดีที่ได้เจอนะ อัศวินเพลิง  ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว  ไม่รู้ว่าจะเก่งสมคำล่ำลือหรือเปล่า”
                    ไอร่อนยิ้มอย่างท้าทาย  ซึ่งทุกคนในห้องต่างก็ได้ยินคำพูดของเขา  เพราะว่าห้องในตอนนี้ตกอยู่มในความเงียบอย่างแรง       
                      “ ยินดีที่ได้เจอเหมือนกัน ไอร่อน นักรบเกราะเหล็ก  “
                      โซเฟียยิ้มท้าทายกลับไป พร้อมกับกล่าวต่อ
                    “ ส่วนไอ้เรื่องเก่งไม่เก่งก็ไม่รู้เหมือนกันนะค่ะ  ถ้าอยากรู้ก็คงต้องพิสูจน์เองแล้วละ”
                      สิ้นคำพูดของโซเฟียทั้งคู่ต่างก็วิ่งเข้าหากันด้วยความเร็วอย่างยิ่ง  เหมือนกับการดวลดาบของพวกอัศวินในสมัยก่อน  หากแต่ในที่นี้ไม่มีม้าให้ขี่ก็เท่านั้น
                        ไอร่อนเมื่อถึงระยะที่จะลงมือแล้วก็ตวัดดาบของเขาออกไป  แต่ทว่าความเร็วระดับนั้นโซเฟียก็สามารถหลบได้อย่างไม่ยากนัก        เธอเอียงตัวหลบดาบของไอร่อนได้อย่างง่ายดายพร้อมกับอ้อมไปทางด้านหลังของไอร่อนอย่างรวดเร็ว     
                        ดาบของโซเฟียแทงเข้าไปเต็มๆ หลังของไอร่อนเลยทีเดียว  ซึ่งก็นับว่าเป็นจุดสำคัญอย่างยิ่ง  แต่ทว่าไลท์พอต์ยของไอร่อนกลับถูกหักลบไปเพียงแค่  200 เท่านั้น ซึ่งนับว่าน้อยมากเลยทีเดียว
       
                        ไอร่อนยิ้มอย่างมีชัยจากนั้นก็รีบหันกลับมาตวัดดาบใส่โซเฟียด้วยความเร็วกว่าครั้งแรก      โซเฟียนั้นถึงแม้ว่ายังตะลึงกับไลท์พอต์ยที่ลดลงไปน้อยว่าที่ควรของไอร่อนก็ไม่ได้เสียสมาธิไปสักเท่าไหร่        เมื่อทราบว่าไอร่อนหันหลังกลับมาตวัดดาบใส่ก็รีบเอียงตัวหลบทันที        แต่ว่าถึงจะรู้ตัวอยู่ก่อนแล้วก็ยังไม่สามารถหลบคมดาบของไอร่อนได้พ้นทั้งตัว       
                          ดาบของไอร่อนเฉี่ยวถูกส่วนคอของโซเฟียไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น  ไลท์พอต์ยของโซเฟียจึงถูกลบลงไปถึง 320 หน่วยเนื่องจากบริเวณส่วนคอนั้นเป็นจุดสำคัญ      ซึ่งเมื่อเทียบกับความเสียหายที่ไอร่อนได้รับไปแล้วนับว่าต่างกันมากเลยทีเดียว       
                          โซเฟียตีลังกาห่างออกไปจากไอร่อนพอสมควรพร้อมกับหอบเล็กน้อย  ดูท่าทางมันจะไม่ง่ายอย่างที่เธอได้คิดไว้เสียแล้ว      เสียงพึมพำของนักเรียนในห้องเริ่มดังขึ้น คงจะกำลังพูดถึงการลบไลท์พอต์ที่แตกต่างกันอย่างมากเป็นแน่     
                    “ ฝีมือไม่เลวนี่ อัศวินเพลิง  แต่เสียดายนะที่ดาบของเธอนั้นคงไม่สมารถทำอะไรเราได้ ฮ่าๆ “  ไอร่อนหัวเราะด้วยความสะใจ 
                      “ ทำไมไลท์พอต์ยที่ถูกหักถึงแตกต่างกันอย่างนั้นละ  โซเฟียแทงเข้าไปใส่กลางหลังของมันเต็มๆ แต่กลับลบไปแค่ 200 หน่วยเท่านั้นเอง ”             
                        “ ที่เป็นอย่างนั้นก็ถูกต้องแล้วละครับ      ไม่อย่างนั้นเขาจะเรียกว่า ไอร่อนนักรบเกราะเหล็กหรอครับ        ความน่ากลัวของไอร่อนไม่ได้อยู่ที่ความเร็วหรือพลังในการโมตีหรอกครับ      แต่มันอยู่ที่พลังในการป้องกันอาวุธของเขานั่นเอง            เขาจะค่อยๆ กำจัดคู่ต่อสู้ไปอย่างช้าๆ หรือเรียกได้อีกอย่างว่า  แลกกันคนละทีนั่นเอง    เมื่อคู่ต่อสู้ฟันโดนเขาหนึ่งดาบ เขาก็จะอาศัยจังหวะที่คู่ต่อสู้กำลังฟันมาสวนกลับไปในทันทีโดยที่ไม่คิดจะหลบการโจมตีเลยแม้แต่น้อย  อาศัยชุดเกราะของเขามีพลังในการป้องกันสูงกว่าอยู่มาก  ทำให้สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างไม่ยากเย็นเลยละครับ  ”
                      ดีว่าหันมาตอบวาอย่างเชี่ยวชาญ  วาถึงกับไม่เชื่อ  ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปแล้วละก็โซเฟียก็คงจะต้องแพ้แน่นอน  หรือว่าคนที่ดีว่าคิดเอาไว้ว่าจะเป็นฝ่ายชนะจะเป็นไอร่อนกันแน่
                        “ โอ้วววว !!!    อะไรกันครับเนี่ย  การโจมตีของอัศวินเพลิงโซเฟีย ไม่สามารถทำอะไรไอร่อนได้เลยหรือครัยบเนี่ย  สมแล้วจริงๆ ครับที่ได้ฉายาว่า นักรบเกราะเหล็ก    และถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปละก็อัศวินเพลิงคงไม่มีทางเอาชนะได้อย่างแน่นอนเลยละครับท่านผู้ชม ”
                        เด็กชายประกาศออกไมค์ด้วยท่าทีลุ้นสุดขีด  ซึ่งก็คงเหมือนนักเรียนส่วนใหญ่ที่กำลังลุ้นคอยเอาใจช่วยโซเฟียอยู่เป็นแน่แท้     
                        ไอร่อนยิ้มอย่างผู้มีชัยเหนือกว่าพร้อมกับค่อยๆ เดินลากดาบกับพื้นเข้าไปใกล้โซเฟียเรื่อยๆ      โซเฟียยังคงหอบหายใจอยู่ แต่เธอก็ไม่ได้ขยับถอยหลังหนีแม้แต่น้อย  แต่ยังคงตั้งสติยืนอยู่กับที่เหมือนกับว่ากำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
                      “ อัศวินเพลิงที่แท้ก็เท่านั้น  สุดท้ายก็กลัวจนไม่กล้าขยับไปไหนเลยสินะ ”
                        ไอร่อนพูดเหยียดหยามโซเฟียพร้อมกับหัวเราะอีกครั้ง      แต่โซเฟียกลับตอบด้วยความร่าเริงเหมือนกับว่าไม่ได้ยินสิ่งที่ไอร่อนพูดออกมา  แถมยังยิ้มให้อีกต่างหาก
                      “ ไลท์พอต์ยของเรายังไม่ได้หมด  ก็อย่าเพิ่งด่วนดีใจไปสิจ๊ะ ”   
                      “ อีกไม่นานหรอก  เธอก็จะต้องผ่ายแพ้ให้แก่เรา    ยอมแพ้เสียเถิด ถึงต่อให้เธอจะเอาอาวุธที่ดีขนาดไหนมาสู้กับเราก็ไม่สามารถทำอะไรเราได้หรอก ”     
                      “ ที่แท้นายก็กลัวขนาดต้องให้เรายอมแพ้ก่อนเลยหรือเนี่ย    ที่จริงคนที่สมควรจะยอมแพ้น่าจะเป็นายเสียมากกว่านะ    ก่อนที่เราจะใช้มัน ”
                      “ ฮ่าๆๆ  น่าขันนักยังมีการมาขู่กันอีก  คิดหรือว่าเธอจะเอาชนะเราได้ ”
                      “ ใช่  เราคิดและก็ไม่ได้เพียงคิดอย่างเดียวเท่านั้นนะ ”
                      โซเฟียพูดพร้อมกับนำปลายดาบของเธอแตะลงสู่พื้นเวทีลานประลอง  พร้อมกับกล่าวต่อ
                  “ ข้าแด่อัคคีแห่งความมืดเอ๋ย !    จงทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับข้า!    จงเผาพลาญศัตรูของข้าชั่วกัป์ชั่วกัลป์ !!!  ” 
                  ทันใดนั้นเองเธอก็ตวัดดาบของเธอลากกับพื้นเวทีด้วยความเร็วสูง  ส่งเสียง ชิ้ง !!!  ดังไปทั่วห้อง  พร้อมกับเสียงที่ตามมาอีกเสียงหนึ่งก็คือ  ฟู้ววววว!!!     
                      ดาบที่ถูกลากลงกับพื้นด้วยความเร็วสูงทำให้เห็นประกายไฟที่ปรากฎขึ้นบนดาบได้อย่างชัดเจน    และในเวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้นหลังจากที่เกิดประกายไฟขึ้น          ไฟก็ลุกขึ้นไปทั่วดาบของโซเฟีย !!!
                    นักเรียนทั้งห้องต่างตกตะลึงไปตามๆ กันไม่เว้นแม้แต่ไอร่อนก็กำลังค่อยๆ เดินเข้ามาถึงกับต้องหยุดชะงักลงกลางคัน      หรือว่านี่จะเป็นที่มาของฉายา อัศวินเพลิงกันแน่
                      ไฟที่ปรากฎบนดาบนั้นส่งผลทำให้ดาบธรรมดาเล่มนั้น กลายเป็นดาบไฟที่สง่ามงามและสูงส่งทันที        ไฟที่สามารถเผาพลาญทุกสิ่งให้ดับสูญๆด้ภายในเวลาไม่กี่วินาที    และขณะนี้มันกำลังลุกลามอยู่บนดาบของโซเฟีย      เป็นที่น่าแปลกที่ดาบเล่มนั้นสามารถทำให้ไฟลุกขึ้นได้  ถ้าเป็นดาบธรรมดาทั่วๆ ไปแล้วละก็คงไม่สามารถทำให้ไฟลุกขึ้นมาบนดาบได้เช่นนี้แน่นอน     
                      วาถึงกับอึ้งสุดๆ เขาแทบไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเองว่าดาบจะสามารถติดไฟได้  และที่ยิ่งไม่น่าเชื่อก็คือคนที่ทำให้ดาบนั้นติดไฟได้ก็คือ โซเฟีย เด็กผู้หญิงจอมกวนประสาทคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เขานั่นเอง       
                      ทางด้านดีว่าและซาซาไรนั้นต่างก็ยิ้มขึ้นมาพร้อมกันเหมือนกับว่ารอเวลานี้มานานแล้วก็ว่าได้  ซึ่งดูเหมือนว่าคนที่รู้สึกอย่างทั้งสองคนนี้จะมีอยู่ไม่มากนักในห้องนี้    และวาก็ไม่ใช่หนึ่งในนั้นแน่นอน
                      ไอร่อนถึงกับไม่กล้าขยับไปไหน  ถึงแม้เขาจะรู้ว่าชุดเกราะของเขามีพลังในการป้องกันอาวุธทุกชนิดสูงก้ตาม  แต่ที่ปรากฎอยู่ต่อหน้านับว่าไม่ใช่อาวุธธรรมดาเสียแล้ว        ถ้าจะเปรียบให้อาวุธมีชีวิตแล้วละก้  อาวุธที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้คงจะเรียกได้ว่า  “ อาวุธเทพเจ้า “ เลยทีเดียว
                        หลังจากที่ทุกคนในห้องเริ่มได้สติกลับคืนมา  โซเฟียก็แย้มยิ้มพร้อมกับควงดาบไฟมา  ดูแล้วไม่ต่างกับการควงคบเพลิงสักเท่าไหร่นัก    และยิ่งในห้องนั้นไม่ค่อยมีความสว่างสักเท่าไหร่นัก  จึงทำให้มองเห็นไฟบนดาบได้อย่างชัดเจนที่สุด         
                        โซเฟียควงดาบไปเรื่อยๆ และก็ค่อยๆ เร่งความเร็วขึ้นทีละนิด      ทำให้มองเห็นเหมือนกับว่าเธอกำลังถือไฟรูปวงกลมอยู่ก็ไม่ปาน    การควงดาบไฟของเธอนั้นดูงดงามอย่างยิ่ง  แต่ในความงดงามอันนั้นเองกลับซ่อนไปด้วยพลังทำลายที่สูงส่งเกินตัวของมันเองนัก       
                        ไอร่อนเมื่อตั้งสติได้แล้วก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง
                        “ ฮ่าๆ นึกว่าจะมีอะไรที่แท้ก็แค่ดาบไฟของเล่นของเด็กก็เท่านั้นเอง  ของแบบนั้นไม่ระค่ายชุดเกราะเหล็กของเราหรอก ”           
                      ไอร่อนพูดไปอย่างนั้นถึงแม้ว่าในใจจะไม่ได้คิดเช่นนั้นเลย
                      “ เราก็อยากลองดูเหมือนกันว่าเกราะของนายจะสามารถทนทาน “ ดาบเพลิงอัคคี “ ของเราได้สักกี่กระบวนท่า ”
                    ที่แท้ดาบของโซเฟียนั้นก็มีชื่อว่า ดาบเพลิงอัคคีนั่นเอง  ดูแล้วช่างเหมาะสมที่จะเป็นอาวุธของผู้ที่มีฉายาว่าอัศวินเพลิงอย่างโซเฟียจริงๆ 
                      ไอร่อนวิ่งเข้ามาด้วยความเร็วเหมือนกับจะท้าทายโซเฟีย  แต่ก็ดูเหมือนว่าห้องทั้งห้องมืดลงในทันตา    ที่จริงไม่ใช่เพราะสาเหตุใดเพียงแต่ว่า    ในตอนนี้สิ่งที่สว่างโชติช่วงที่สุดก็คือ ดาบเพลิงอัคคีของโซเฟียนั่นเอง         
                      โซเฟียไม่ได้ขยับไปไหนหากแต่ยังคงควงดาบของเธออยู่อย่างนั้น  และเมื่อความเร็วถึงขึ้นสุดยอดแล้ว    เธอก็เปลี่ยนท่าทางเป็นการเตรียมจู่โมทันที     
   
                      ไอร่อนวิ่งเข้ามาในระยะเกือบจะถึงตัวของโซเฟียแล้ว แต่ในทันใดนั้นเองแสงไฟบนดาบของเธอก็ดับวูบลง    ไอร่อนถึงกับมองอะไรแทบไม่เห็นเลยทีเดียว      เนื่องจากเมื่อสายตาจ้องแสงสว่างมากๆ  จะทำให้เกิดอาการตาพร่าได้     
                    รอบๆ เวทีสำหรับไอร่อนในตอนนี้กลับกลายเป็นมืดสนิทไปหมด  แต่สำหรับวาแล้วเขายังสามารถมองเห็นโซเฟียได้ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยชัดเจนนก      เนื่องจากเขาอยู่ห่างจากเวทีมากทำให้แสงไฟจากดาบเพลิงอัคคีไม่ทำให้เขาตาพร่าได้     
                    ไอร่อนในขณะนี้ตาพร่ามัวไม่หมดแล้วไม่สมารถเห็นอะไรได้เลย    เขาหันไปหันมาพร้อมกับยกดาบข้นเตรียมการป้องกัน
                    “ อยู่ไหนนะ ออกมาเดี๋ยวนี้  กลัวเราหรือไงถึงไม่กล้าปรากฎตัวออกมา ”         
                    “ เรากลัวที่ไหนเล่า  เราก็อยู่ข้างๆ นายนี่ไง ”
                    ทันใดนั้นเองเมื่อโซเฟียพูดจบ เสียง ชิ้ง ! พร้อมกับวูบก็ดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง    ประกายไฟลุกขึ้นพร้อมกับไฟที่ลุกลามขึ้นไปบนดาบเพลิงอัคคีอีกครั้งหนึ่ง    และไอร่อนก็เหมือนกับสังเกตเห็นได้อีกครั้งหนึ่งแต่คราวนี้    เขาเห็นเพียงแคไฟที่อยู่บนดาบเท่านั้น    นอกจากนั้นแล้วเขาไม่สามารถมองอะไรเห็นได้อีกเลย 
                    ดาบเพลิงอัคคีค่อยๆ ถูกควงขึ้นอีกครั้ง  คราวนี้เร็วกว่าครั้งก่อนนัก ดูเหมือนว่าไอร่อนจะรู้สึกตัวช้าไปเสียแล้ว    ดาบเพลิงอัคคีกำลังควงเริงระบำอยู่ต่อหน้าแล้วนั่นเอง    และทันใดนั้นเอง
                      “ กระบวนท่าที่หนึ่ง เพลิงอัคคีเริงระบำ !!! ”   
                  เสียงนี้เป็นเสียงของโซเฟียนั่นเอง  ภาพที่นักเรียนในห้องเห็นตอนนี้ก็คือ  ไฟที่กำลังหมุนไปหมุนมารอบตัวของไอร่อนเหมือนกันกรงจักร    มันหมุนเร็วอย่างยิ่งและงดงามอย่างยิ่ง        ดาบเพลิงอัคคีที่กำลังลุกโชติช่วงอยู่นั้นเมื่อกระทบโดนชุดเกราะของไอร่อนก็เกิดประกายไฟขึ้น  และทุกครั้งเมื่อเกิดประกายไฟขึ้นดาบเพลิงอัคคีก็จะลุกโชติช่วงขึ้นอีกเท่าตัว     
                      กระบวนท่าเพลิงอัคคีเริงระบำหมุนควงรอบไอร่อนอยู่ไม่นาน  มันก็เริ่มเร็วขึ้นจนไฟที่ลุกอยู่บนดาบเริ่มน้อยลง  เนื่องจากต้องปะทะกับลม      มันหมุนเร็วขึ้นจนถึงที่สุด  และเมื่อประกายไฟบนดาบเพลิงอัคคีดับวูบลงห้องทั้งห้องก็เหมือนกลับคืนสู่ความมืดอีกครั้งหนึ่ง     
                    วาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย    และก็ไม่น่าเชื่อว่าโซเฟียจะมีความสามรถถึงขนาดนี้      กระบวนท่านั้นช่างงดงามและมีแสงยานุภาพในการทำลายสูงส่งยิ่ง     
                    ไม่นานนักห้องทั้งห้องก็เมื่อสว่างขึ้นอีกครั้ง    ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้มีใครเปิดหรือปิดไฟเลย    เมื่อมองเห็นอะไรได้ชัดขึ้นแล้ว        คนทั้งห้องก็พบว่ามีคนๆ หนึ่งกำลังนอนคว่ำอยู่บนเวทีลานประลองซึ่งคนๆ นั้นก็คือ ไอร่อนั่นเอง   
                    ไลท์พอต์ยที่ปรากฎอยู่บนแขนของไอร่อนถึงกับเป็นตัวเลขติดลบ 619 หน่วยเลยทีเดียว    แสดงให้เห็นถึงพลังทำลายอันสูงส่งของดาบเพลิงอัคคีได้อย่างเต็มภาคภูมิ      ส่วนโซเฟียนั้นยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับถอดหมวกป้องกันออกและสะบัดผมอย่างสบายใจ       
                    โซเฟียนั่งยองๆ ลงไปเบื้องหน้าไอร่อนพร้อมกับลองนำมือไปแตะที่ไหล่ที่สวมด้วยชุดเกราะป้องกันของไอร่อน      มีควันลอยออกมาจากชุดเกราะของไอร่อนนิดหน่อย 
                “ สงสัยคงจะร้อนน่าดู  ท่าทางชุดเกราะของนายคงจะกันได้แต่พวกอาวุธเท่านั้นแหละมั้งนะ  แหะๆ ”
             
                  จบพูดก็โซเฟียเสียบดาบกลับเข้าฝักดาบตามเดิม  จากนั้นก็ถือหมวกป้องกันกลับไปยังฝั่งของตัวเอง    เด็กชายนักประกาศเมื่อตั้งสติได้แล้วก็รีบประกาศเสียงดังออกไปว่า
                  “ กะ การ ประลองคู่ที่สองผู้ชนะก็คือ อัศวินเพลิง โซเฟีย แห่งโรงเรียนอับดุล อินเตอร์ครับผม !!!”
                  เสียงเฮ ดังลั่นห้องพร้อมด้วยเสียงปรบมือจากนักเรียนอีกนับไม่ถ้วน    ซึ่งก็มีนักเรียนชายบางคนถึงกับตะโกนไปดังๆ ว่า  “ ผมรักคุณ ” 
                  ส่วนวานั้นได้แต่ปรบมืออยู่อย่างเดียวโดยที่ยังคงตะลึงอยู่ไม่หาย    ดีว่าและซาซาไรต่างก็ทำเช่นเดียวกันเพียงแต่ว่าทั้งสองคนนั้นไม่ได้มีท่าทางตื่นเต้นเหมือนกับวาสักเท่าไหร่นัก   
                  “ เล่นเสียแรงเชียวนะ  ไม่ออมมือบ้างเลยนะเรา ”        รุ่นพี่ซาโต้ยิ้มอย่างภูมิใจให้กับโซเฟียเมื่อเธอเดินมาถึง   
                “ แหะๆ หนูว่ามันก็ไม่ได้รุนแรงอะไรมากนี่ค่ะ  แค่กระบวนท่าแรกเอง ของรุ่นพี่ยังยิ่งกว่าหนูเสียอีก ”   
                ทั้งคู่ต่างหัวเราะกันโดยไม่ได้นัดกันไว้  แต่ทั้งคู่ก็หัวเราะอยู่ได้ไม่นานนักก็ต้องหยุดหัวเราะในทันทีเนื่องจากเสียงเด็กนักเรียนชายทางฝั่งโรงเรียนเกเบียลที่ตะโกนดังออกมา
              “ ชิ !  อย่าเพิ่งดีใจกันไปนัก  ที่ผ่านมามันมีแต่พวกกระจอกเท่านั้น    คู่ต่อจากนี้เราต่อให้พวกแกสามคนที่เหลือเข้ามาพร้อมๆ กันได้เลย  หรือจะมากันหมดทั้งห้าคนนั่นเลยก็ได้นะ  เราขอแค่คนเดียวก็พอแล้ว
              ผู้ที่ตะโกนออกมานั้นถึงกับเป็นจีดาบคลั่งนั่นเอง !!!   
                                    _________________________________________
                   
       
                   
                                 
           
         
                     
                   
                   
 
                   
                 
       
                     
     
                   
                 
               
                 
             
           
               
                     
     
                     
     
            หลังจากวาได้แยกย้ายกับพวกมิวแล้ว    เขาก็ตรงไปยังห้องชมรมของเขาทันที  ซึ่งดูเหมือนว่าจะไปก่อนเวลาตามเคย          วาเริ่มเป็นคนตรงต่อเวลามากขึ้นคงเป็นเพราะสภาพแวดล้อมของโรงเรียนอับดุล  อินเตอร์ ทำให้เขาหรือแม้แต่นักเรียนทุกคนรู้สึกกระฉับกระเฉงขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์    โดยเฉพาะอย่างยิ่งประการสำคัญที่ทำให้วาตรงเวลามากขึ้นก็คือ  โซเฟียนั่นเอง      เธอมักจะชอบแอบว่าวาทางอ้อมเสมอเมื่อเขาไปสาย
                ประตูใหญ่ห้องชมรมนักมายากลค่อยๆ เปิดออก    วาเดินเข้าไปหาซาซาไรเหมือนเช่นเคย
                “ สวัสดีครับมาสเตอร์ ”
                “ อืม สวัสดีครับ ”
                “ วันนี้มาสเตอร์รู้เรื่องการประลองอาวุธที่โรงเรียนเกเบรียลมาประลองกับเราหรือเปล่าครับ ”
                “ ต้องรู้สิ  ถ้าไม่รู้ก็แย่แล้วละครับ ”           
                ซาซาไรยิ้ม กล่าวต่อ
                “ แถมยังคิดว่าหลังจากเลิกสอนชั่งโมงชมรมนี้แล้ว  อาจจะแวะไปดูด้วย    ที่จริงก็อยากจะลองลงไปประลองเล่นๆ ดูเหมือนกันนะครับ  แต่ดูเหมือนว่าคงจะไม่มีใครมาสู้ด้วยน่ะสิครับ ”
                “ มันก็แน่นี่ครับ  ใครจะไปกล้าสู้กับมาสเตอร์ละ  เก่งออกถึงขนาดนี้ ”
                “ ไม่จริงหรอกครับ  แต่ถ้ามีคนจะสู้ด้วยก็กะว่าจะลองดูเหมือนกัน ”
                “ แล้วมาสเตอร์เคยลงไปประลองกับเค้าด้วยหรือครับเนี่ย ”
                “ ก็มีบ้างนะ  ”
                “ มาสเตอร์ใช้แค่ไพ่สู้หรอครับ ”
                “ มันก็ไม่เชิงหรอกนะ ”
                ซาซาไรกล่าวต่อ
                “ ไพ่ก็จัดว่าเป็นอาวุธได้เหมือนกัน  สิ่งที่ทำอันตรายคนได้มันก็คืออาวุธทั้งนั้นแหละครับ  ”
                “ อยากให้ถึงเวลานั้นเร็วๆ จังเลยท่าทางคงจะสู้กันสนุกน่าดูเลยนะครับ ”
              “ ก็อีกไม่นานหรอกครับ  แล้วว่าแต่คุณจะลองลงประลองเล่นๆ ดูบ้างไหมละครับ ”
              “ ผมลงไปจะสู้ใครได้ละครับ ”
              “ ไม่ลองแล้วจะรู้ได้ยังไงจริงไหม ”
              “ ผมไม่ค่อยอยากจะลองสักเท่าไหร่หรอกครับ ”           
              “ ที่จริงอาวุธที่ผมใช้จริงๆ มันก็ไม่ได้มีแค่ไพ่เพียงอย่างเดียวหรอกครับ ”        ระหว่างที่ซาซาไรพูดอยู่นั้นเขาก็ส่ายมือข้างขวาไปมาอยู่ดีๆ ก็ปรากฎคทาสีดำอันไม่ยาวเท่าไหร่นักขึ้นบนมือข้างนั้น
              “ อาวุธอีกอย่างหนึ่งก็คือคทา ”
              “ คทาหรอครับ ? ”
                “ ใช่แล้ว อีกหน่อยคุณก็ต้องเรียนวิธีการใช้คทาเหมือนกันนะครับ  แต่ไพ่เป็นพื้นฐานแรกก่อนที่จะไปสู่การเรียนคทาดังนั้นต้องนี้คุณจึงต้องฝึกการใช้ไพ่ให่เก่งเสียก่อน ”         
              วาคิดว่าไพ่ก็ยากพออยู่แล้ว  ถ้าเขาต้องเรียนคทาอีกจะไหวไหมหน๋อ  แต่ก็ยังดีที่วาเป็นคนที่สามารถเรียนรู้อะไรได้เร็วจึงไม่เป็นปัญหาในการเรียนมายากลสักเท่าไหร่        แต่ที่วายังคงสงสัยอยู่ก็คือ คทาจะเอาไปสู้อะไรได้ หรือจะเอาไว้ฟาดหัวคู่ต่อสู้กันแน่  ถึงกระนั้นวาก็ไม่ได้ถามอะไรซาซาไรเกี่ยวกับเรื่องคทาเลย
           
               
                ในชั่วโมงชมรมวันนี้วาได้เรียนมายากลเพิ่มอีกหนึ่งอย่างซึ่งก็ไม่ยากและไม่ง่ายจนเกินไปนัก  และเมื่อจบชั่วโมงซาซาไรก็เดินไปกับวาด้วย  เพราะซาซาไรเองก็อยากจะไปดูการประลองยุทธ์เหมือนกัน     
             
                ในตึกอาคารชมรมมีนักเรียนเดินอยู่ไปมาจำนวนมากมายคงเป็นเพราะต้องการที่จะไปดูการประลองที่ห้องชมรมอัศวินก็เป็นได้      วาเดินตามซาซาไรไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่ได้พูดอะไร 
                วาและซาซาไรเดินขึ้นบันไดวนที่ดูหรูหรา  ระหว่างทางมีรูปภาพต่างๆ มากมายประดับไว้ข้างๆ กำแพง โดยรูปส่วนใหญ่จะเป็นรูปเกี่ยวกับพวกศาสนาเสียส่วนใหญ่    ทำให้เข้ากับบรรยากาศของบันไดวนนี้เป็นอย่างมาก                วาเองก็เพิ่งรู้ว่ามีทางขึ้นทางนี้อยู่ด้วย  ที่วาไม่รู้ก็คงเป็นเพราะว่าตึกอาคารชมรมคิ่อนข้างที่จะใหญ่โตและวาเองก็ไม่ใคร่จะอยากเดินสำรวจสักเท่าไหร่นัก 
                  ในที่สุดวาก็เดินตามซาซาไรมาจนถึงชั้นบนสุดของบันไดวน  เมื่อวาเหลือบมองลงไปข้างล่างก็เห็นนักเรียนจำนวนมากมายกำลังเดินขึ้นมา  นักเรียนบางคนถึงกับแบกอาวุธขึ้นมาด้วย  คงจะอยากจะมาลองประลองกับเพื่อนๆ หรือคนอื่นๆ ดูหลังจากที่พิธีการประลองระหว่างโรงเรียนในวันนี้เสร็จสิ้นแล้ว      เพราะจะมีการเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจสามารถลงประลองได้เช่นกัน             
                  ซาซาไรบอกกับวาว่าสนามประลองไม่ได้เปิดให้นักเรียนไปประลองกันได้ทุกวัน  เขาจะเปิดเฉพาะวันอาทิตย์เท่านั้น และดูเหมือนว่าวันนี้ก็จะเป็นโอกาสทองสำหรับนักเรียนที่บ้าการประลองทั้งหลายที่จะสามารถได้โชว์ความสามารถให้นักเรียนหลายๆ คนได้เห็นด้วย จึงไม่แปลกที่ทำไมวันนี้ถึงมีนักเรียนบางคนหอบอาวุธประจำตัวเองขึ้นมาด้วย     
                  ที่ทำให้วาอดขำไม่ได้ก็คือ นักเรียนตัวอ้วนใส่แว่นคนหนึ่งที่กำลังพยายามแบกขวานเล่มใหญ่บนหลังเขาขึ้นมาตามทางบันได    วาคิดว่าแค่น้ำหนักตัวที่จะต้องแบกตัวเองขึ้นมาก็ลำบากพอควรอยู่แล้วแต่นี่ถึงกลับต้องแบกขวานด้ามใหญ่ขึ้นมาด้วยยิ่งลำบากเข้าไปใหญ่  แถมดูท่าทางเด็กชายตัวอ้วนคนนั้นทำท่าเกือบจะหกล้มหลายทีแล้วด้วย     
                  หลังจากมองเด็กนักเรียนที่กำลังเดินขึ้นมาตามทางบันไดวนอยู่สักพักหนึ่งซาซาไรก็เดินต่อ    บนสุดของบันไดวนมีรูปปั้นรูปผู้ชายใส่หมวกนักรบครึ่งตัวประดับอยู่บนราวบันได      ดูเหมือนว่านี่จะเป็นชั้นบนสุดของตึกอาคารชมรมซึ่งกว่าจะขึ้นมาถึงก็เหนื่ยพอสมควร  แต่รูปภาพที่สวยงามหรือลักษณะทางเดินต่างๆ ที่ประดับอยู่ข้างทางทำให้วาเพลิดเพลินจนลืมความเหนื่อยไปเลย     
                    พื้นชั้นบนสุดปูด้วยพรมสีแดงสวยหรูเหมือนกำลังอยู่ในพระราชวังอย่างใดอย่างนั้น    ที่ชั้นบนสุดนี้ดูเหมือนจะแตกแต่งจากชั้นต่างๆ ลิบลับเพราะดุหรูหราเป็นพิเศษ  ข้างทางยังคงประดับไปด้วยรูปภาพที่สวยงามเหมือนที่บันไดวนเช่นเคย        มองตรงจากปลายบันไดวนไม่ไกลนักก็จะเห็นว่าทางเดินชั้นบนสุดไม่ได้ยาวสักเท่าไหร่นัก    เพราะเบื้องหน้ามีประตูบานใหญ่กั้นอยู่        ประตูบานนั้นเป็นไม้ที่สักด้วยรูปลายสวยหรูพร้อมกับกลอนประตูที่มีสีทองเช่นเดียวกับขอบประตู     
                  ตอนนี้ประตูบานใหญ่ทั้งสองบานกำลีงเปิดอยู่เหมือนกับกำลังเชิญชวนให้ทุกคนเข้าไปในห้องนั้นราวกับมีเวทมนต์    วารู้สึกว่าชั้นนี้มันช่างสวยงามเสียจริงๆ  และเมื่อวากับซาซาไรเดินไปถึงหน้าประตูทางเข้านั้น  มองเข้าไปในห้องที่อยู่ตรงหน้าซึ่งก็คือ ห้องชมรมอัศวินนั่นเอง  ภายในห้องถึงกับมีสภาพไม่ต่างไปจากภายนอกสักเท่าไหร่นัก  แต่ทว่ามันช่างใหญ่โตเสียจริงๆ
                    ตรงกลางห้องถึงกับมีลานทรงลมขนาดใหญ่อยู่  นั่นก็คงเป็นลานประลองยุทธ์สินะ  ห่างออกไปนั้นมีที่นั่งคล้ายอัฒจันทร์ครึ่งวงกลมอยู่    ซึ่งดูๆ แล้วก็มีนักเรียนจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวที่กำลังนั่งอยู่
           
                  นักเรียนค่อยๆ ทยอยกันเข้ามาให้ห้องเรื่อยๆ ซึ่งวาก็กำลังเดินมองหาพวกเพื่อนๆ ของเขาว่านั่งอยู่ที่ตรงไหนแต่ก็หาไม่เจอเพราะแสงในห้องไม่สู้จะสว่างนัก  คงเป็นเพราะโคมไฟทรงกลมที่ทำจากแก้วบนเพดานห้องนั้นใช้แสงไฟแบบสีนวลนั่นเอง      ดูไปดูมาบรรยากาศในห้องนี้ไม่ต่างจากโรงหนังหรือเวทีฮาโมเนีย ( ห้องชมรมนักมายากล ) สักเท่าไหร่นัก
                    ในเมื่อวามองหาพวกเพื่อนๆ ของเขาไม่เจอเขาจึงตัดสินใจไปหาที่นั่งเองเสียก่อน  ซึ่งอย่างน้อยเขาก็ยังมีซาซาไรนั่งอยู่ข้างๆ   
 
                  มิคาดขณะที่วากำลังจะเดินเพื่อไปนั่งบนอัฒจันทร์ที่มีที่นั่งเป็นเบาะสีแดงเหมือนในโรงหนังนั้น  เขาก็พบกับดีว่าพอดี
                  “ นายก็มาด้วยเหมือนกันหรอเนี่ย ”   
                  “ แน่นอน นานๆ มีอย่างนี้ทีนึงจะพลาดได้ยังไงกันครับ ”           
                  ดีว่ายิ้มเหมือนกับชอบชมการประลองเป็นพิเศษ และเมื่อเขาสังเกตเห็นซาซาไร  ดีว่าก็กล่าวสวัสดีซาซาไรอย่างนอบน้อม
                  “ สวัสดีครับมาสเตอร์ซาซาไร  ”    ดีว่าพุดพร้อมกับก้มหัวทำความเคารพ
                  “ อืม สวัสดีครับ คุณคงจะเป็นนักเรียนดีว่าใช่ไหมครับ ”       
                  “ ใช่แล้วครับ ”
                  วาไม่รู้มาก่อนว่าทั้งสองคนนี้รู้จักกันมาก่อน  ซึ่งก็เป็นที่น่าแปลกอยู่เหมือนกัน 
                  “ แล้วมาสเตอร์จะลองลงประลองไหมครับ”
                “ ถ้ามีคนจะสู้ด้วยก็อาจจะลงนะครับ  แต่ดูเหมือนจะไม่มีเลยนะสิ ”
                “ ผมก็คิดว่าจะลองลงเหมือนกันนะครับ  แต่คงไม่คิดจะประลองกับมาสเตอร์หรอกครับ  ขืนประลองผมก็แพ้ยับแน่เลย ”       
                ดีว่าเมื่อพูดจบซาซาไรก็หัวเราะคงเพราะชอบในความถ่อมตนของดีว่ากระมัง    ทั้งสามคนเดินตามทางขึ้นไปยังที่นั่ง    เมื่อมองหาที่ว่างเจอแล้วทั้งสามคนก็นั่งลงโดยที่มีวานั่งอยู่ทางซ้ายสุดของที่นั่งใกล้ๆ ทางเดินส่วนทางขวาของวาเป็นดีว่าแล้วถัดไปก็คือซาซาไร 
                นักเรียนค่อยๆ ทยอยกันเข้ามาเรื่อยๆ จนที่นั่งบางแถวถูกนักเรียนนั่งกันจนเต็มแล้ว    วาต้องคอยยกขาเพื่อหลบให้นักเรียนที่เพิ่งมาผ่านเข้าไปนั่งข้างในได้  ซึ่งก็เยอะพอสมควรกว่าแถวของวาจะเต็ม 
 
                และเมื่อถึงกำหนดเวลาที่การประลองจะเริ่มขึ้น ไฟในห้องก็ค่อยๆ หรี่ลง  แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงพอมองอะไรเห็นบ้าง  บรรยากาศในตอนนี้ทำให้ชวนนึกถึงตอนอยู่ในโรงหนังไม่มีผิดเพี้ยน          ประตูบานใหญ่คิ่อยๆ ถูกปิดลง  นักเรียนในห้องทุกคนต่างหยุดพูดคุยกันหันมาสนใจที่กลางเวทีลานประลอง
                กลางเวทีลานประลองบัดนี้ปรากฎคนผู้หนึ่งยืนอยู่  และเมื่อมีไฟส่องไปยังคนๆ นั้นก็ทำให้มองเห็นคนๆ นั้นได้อย่างชัดเจน          คนๆ นั้นถึงกับเป็นเด็กผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่อยู่ในชุดสูทอย่างดูเป็นพิธีการ
                “ ฮะ แฮ่ม ”
                เด็กคนนั้นลองเสียงผ่านไมค์ที่ถืออยู่   
                “ ขอกล่าวสวัสดีท่านผู้มีเกรียติและท่านผู้ถูกเกลียดทุกท่าน .”        ดูเหมือนว่าเด็กชายคนนี้จะชอบปล่อยมุขเสียด้วย  ซึ่งการปล่อยมุขครั้งแรกของเขาก็ทำให้ห้องทั้งห้องเงียบไปกว่าเดิมเสียอีก
                “ ฮะ แฮ่ม มุขน่ะครับ”   
                “ ในวันนี้อย่างที่ทุกท่านได้ทราบกันไปแล้วนะครับ ว่าจะมีการประลองระหว่างโรงเรียนเราและโรงเรียนที่มาเยี่ยมเยี่ยนโรงเรียนเราซึ่งก็คือ โรงเรียนเกเบรียลนั่นเอง      ในโอกาสนี้ขอเริ่มเปิดพิธีการประลองอาวุธขึ้น ณ บัดนี้ครับ ”          หลังการนักเรียนคนนั้นพูดจบนักเรียนที่นั่งอยู่ในห้องทุกคนต่างปรบมือพร้อมกัน
                “ และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลากระผมก็ขออธิบายกฎการประลองคร่าวๆ ก่อนเลยนะครับ  โดยปีนี้เราได้มีการเปลี่ยนแปลงกฎในการประลองเล็กน้อย          จากเดิมที่เรามีการตัดสินผลแพ้ชนะด้วยการนับคะแนนที่ผู้เข้าแข่งขันสามารถตีโดนจุดต่างๆ ของฝ่ายตรงข้ามได้      ตอนนี้ได้มีการยกเลิกการนับแต้มเป็นการใช้กฎไลท์พอต์ย (พลังชีวิต) แทนแล้ว  ซึ่งผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนจะมีไลท์พอต์ยคนละ 3000 หน่วย    เมื่อผู้เข้าแข่งขันถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตีใส่จะถูกหักลบไลท์พอต์ยไปเรื่อยๆ ซึ่งเมื่อไลท์พอต์ยของผู้เข้าแข่งขันเหลือ 0 ก็จะแพ้ทันที        ส่วนด้านการคำนวณไลท์พอต์ยนั้นไม่ใช่ปัญหาเนื่องจากทางเราได้มีการพัฒนาชุดเกราะที่สวมใส่ให้สามารถหักลบไลท์พอต์ยได้เองโดยอัตโมนัติ      ส่วนทางด้านกติกาอื่นๆ นั้นยังคงเหมือนเดิม  ในเมื่อกระผมได้อธิบายการเปลี่ยนแปลงกติกาใหม่แล้วก็ขอให้ทุกท่านสนุกกับการชมการประลองได้เลยครับ ”
              หลังจากเด็กชายคนนั้นพูดจบเสียงปรบมือก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง  แสงไฟที่ฉายเด็กชายคนนั้นค่อยๆ หรี่ลงจนหมดไป    ห้องทั้งห้องมืดลงกว่าเดิมจนแทบจะมองอะไรไม่เห็น
              “ การประลองในวันนี้มีด้วยกัน 5 คู่  กระผมขอแน่ะนำให้ทุกท่านรู้จักกันเลยนะครับ    ทีมแรกทีมจากโรงเรียนเกเบรียลครับ !!  ”    เสียงของเด็กชายคนนั้นพูดถึงจะมองไม่เห็นตัวก็ตามที่  และก็ตามมาด้วยเสียงปรบมือของนักเรียนทั้งห้อง        ทันใดนั้นเองแสงไฟก็ฉายขึ้นทางด้านซ้ายของห้องมีนักเรียนโรงเรียนเกเบรียลในเครื่องแบบประจำโรงเรียนอยู่อยู่ด้วยกัน 5 คน  ซึ่งถ้าสังเกตดีๆ บนอัฒจันทร์ด้านหน้าสุดยังมีนักเรียนเกเบรียลอีกประมาณ 6-7 คนที่ไม่ได้ลงไปยืนอยู่ด้วย  คงมาเพื่อดูการแข่งอย่างเดียวกระมัง        เสียงปรบมือค่อยๆ เงียบลงไปเมื่อเด็กชายคนนั้นกล่าวต่อ 
              “ และทีมที่สองทีมจากโรงเรียนของเราเอง ทีมโรงเรียนอับดุล อินเตอร์ครับ !! ” เสียงปรบมือดูเหมือนจะดังกว่าตอนที่ไฟส่องไปทางโรงเรียนเกเบรียลเสียอีก  ก็เป็นที่แน่นอนอยู่แล้วเพราะที่นั่งดูอยู่ส่วนใหญ่ก็เป็นวกนักเรียนโรงเรียนอับดุล อินเตอร์ทั้งนั้น   
                เมื่อไฟส่องไปที่ตัวแทนนักเรียนโรงเรียนอับดุล อินเตอร์  วาก็พอจะสังเกตได้ว่ามีใครอยู่บ้าง  สองคนในนั้นเป็นคนที่วารู้จักดี  ซึ่งก็คือ  โซเฟีย และรุ่นพี่ซาโต้นั่นเอง      ส่วนอีกสามคนที่เหลือนั้นนั้นวาไม่รู้จัก คงจะเป็นพวกกรรมการนักเรียนกกระมัง    แต่เมื่อวามองไปที่สามคนที่เหลือนั้นเขาก็ต้องประกลาดใจเพราะหนึ่งในสามคนนั้นก็คือ  เด็กชายตัวอ้วนใส่แว่นที่แบกขวาขึ้นมาตรงทางบันไดวนที่วาแอบขำนั่นเอง        ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะประลองด้วยแถมยังเป็นตัวแทนโรงเรียนอีกเสียด้วย 
                “ ห้าคนนั้นเป็นพวกกรรมการนักเรียนทุกคนเลยหรือเปล่าอะ ”      วากระซิบถามดีว่าที่อยู่ข้างๆ
              “ ใช่แล้วละครับ  ห้าคนที่เห็นก็คือ พวกกรรมการนักเรียนของโรงเรียนเรา    ส่วนอีกโรงเรียนอาจจะไม่ใช่นะครับ ”
                 
                    “ ขอความกรุณารอสักครู่ให้ผู้เข้าแข่งขันของเราสวมชุดเกราะกันก่อนนะครับ  แล้วเราก็จะเริ่มการแข่งขันกันในทันที ”            เด็กชายคนนั้นกล่าว      ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง      วาสังเกตไปที่โซเฟียและรุ่นพี่ซาโต้ที่กำลังใส่ชุดเกราะป้องกันส่วนต่างๆ อยู่      โดยเริ่มจากส่วนตัวเป็นชุดเกราะสีเงินรูปร่างคล้ายชุดเกราะอัศวิน ท่าทางจะมีความทนทานต่ออาวุธต่างๆ สูง        จากนั้นก็เป็นชุดเกราะแขนสีเงินคลุมตั้งแต่หัวไหล่ไปถึงปลายนิ้วมือ  ตรงส่วนแขนนั้นมีแทบพลังติดอยู่ตั้งแต่ข้อมือยาวไปจนเกือบจะถึงข้อศอก  ซึ่งนั่นคงจะเป็นเครื่องนับไลท์พอต์ยนั่นเอง  ต่อจากนั้นก็เป็นชุดเกราะป้องกันขา    เมื่อใส่ทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วแทบจะมองไม่เห็นช่องโห่วที่จะทำให้คนที่อยู่ภายใต้ชุดนั้นบาดเจ็บได้เลยแม้แต่น้อย       
                  รุ่นพี่ซาโต้ค่อยๆ หยิบหมวกป้องกันซึ่งก็คือเกราะป้องกันอันสุดท้ายมาสวมใส่  เกราะป้องกันส่วนหัวนั้นดูคล้ายๆ หมวกเหล็กของพวกอัศวินผสมกับหมวกกันน็อคยังไงก็บอกไม่ถูก  โดยมีกระจกสีใสอยู่พอให้ผู้ใส่มองเห็นอะไรได้บ้าง      เมื่อล็อคส่วนหัวเข้ากับส่วนลำตัวเรียบร้อยรุ่นพี่ซาโต้ก็ค่อยๆ เดินขึ้นไปบนเวทีการประลอง  ซึ่งก็ดูเหมือนว่าทางฝั่งโรงเรียนเกเบรียลอีกคนก็จะพร้อมแล้วเหมือนกัน    นักเรียนเกเบรียลใส่ชุดเกราะสีดำ  ทำให้สามารถแยกฝั่งได้ไม่ยากนัก     
                นักเรียนเกเบรียลคนที่เดินมานั้นถูกหมวกป้องกันปิดหน้าไว้ทำให้มองเห็นหน้าได้ไม่ค่อยชัดนัก  ยิ่งถ้ามองจากตรงที่วานั่งอยู่แล้วละก็ยิ่งไม่สามารถมองเห็นได้เลย    นักเรียนเกเบรียลคนนั้นเดินมาพร้อมกับลูกตุ้มเหล็กอันใหญ่ดูน่าเกรงขาม    และก็เป็นที่น่าแปลกที่รุ่นพี่ซาโต้ไม่ได้ถืออาวุธอะไรอยู่ในมือเลย        นอกจากถุงมือสีดำที่ใส่อยู่ทั้งสองข้าง 
                  “ ผู้เข้าแข่งขันประจำที่ ”
                  เด็กชายคนนั้นกล่าวต่อ
                  “ เมื่อพร้อมแล้วเริ่มการประลองคู่แรกได้ ! ”              สิ้นเสียงเด็กชายคนนั้นก็มีเสียงอ็อดดังไปทั่วห้องเป็นสัญญาณเริ่มการประลองคู่ที่หนึ่ง 
                  “ คู่ที่หนึ่งฝั่งโรงเรียนเกเบรียลมูเร็น และฝั่งโรงเรียนอับดุล อินเตอร์ประธานนักเรียนซาโต้      มูเร็นผู้ใช้อาวุธลูกตุ้มเหล็กฟังว่า  ใครที่โดนเข้าไปไม่เกินสองครั้งเป็นต้องแพ้ทุกราย        ส่วนทางด้านซาโต้ . ”     
                  เด็กชายคนนั้นหยุดพูด ดูเหมือนว่าเขายังไม่รู้ข้อมูลว่าซาโต้ใช้อาวุธอะไรเลย      ทั้งคู่ค่อยเดินเข้ามาหากันอย่างช้าๆ  มูเร็นเริ่มถือลุกตุ้มแก่วงไปแกว่งมา  จากนั้นก็เริ่มหมุนมันขึ้นให้เร็วขึ้น          ส่วนทางด้านซาโต้นั้นกลับยืนอยู่เฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น
                  มูเร็นค่อยๆ เดินเข้าใกล้ซาโต้ไปเรื่อยๆ แต่ซาโต้ก็ยังไม่ยอมขยับไปไหน หรือเป็นเพราะว่ากลัวจนไม่กล้าขยับกันแน่      ลูกตุ้มที่ค่อนข้างใหญ่ขนาดนั้นถ้าผู้ที่ใช้รู้จักขวางออกมาอย่งชำนาญแล้วละก็ย่อมเร็วเป็นพิเศษและยากที่จะหลบได้อย่างยิ่ง  ความเร็วของมันนั้นเรียกได้ว่า แทบจะไม่มีใครหลบได้เลยก็ว่าได้ 
                 
                    ซาโต้แย้มยิ้มซึ่งมูเร็นก็พอจะสังเกตได้   
                    “ ได้ยินชื่อมานานว่า ลูกตุ้มของนายไม่มีใครโดนแล้วรอดมาได้เลยสักคนจริงหรือไม่ ”     
                    “ ย่อมต้องใช่ ”        มูเร็นตอบซาโต้  ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะใส่ชุดเกราะอยู่แต่ก้สามารถพูดได้ยินถึงกันได้    เนื่องเพราะชุดเกราะได้รับการออกแบบมาอย่างพิเศษสามารถให้ผู้ที่สวมใส่อยู่สามารถพูดให้อีกฝ่ายหนึ่งหรือแม้แต่คนที่อยู่รอบข้างได้ยินได้แถมเสียงีท่พุดออกมายังดังมากกว่าที่ไม่ใส่ชุดเกราะเสียอีก    หรือจะเป็นเพราะในชุดเกราะมีไมค์ตัวๆ เล็กๆ อยู่ก็เป็นได้       
                  ซาโต้ยิ้มอีกครั้ง ขณะที่มูเร็นอยู่ในระยะที่พร้อมจะลงมือแล้ว
                  “ ขอเตือนอะไรไว้สักอย่างหนึ่งนะ  ถ้านายเดินเข้ามาอีกก้าวละก็  นายไม่รอดแน่ ”     
                  “ ใครกันแน่ที่จะไม่รอด  อย่ามาทำเป็นขู่กันไปหน่อยเลย ”
                  เมื่อสิ้นคำพูดมูเร็นก็ทำท่าจะวิ่งตรงเข้ามาเหวี่ยงลูกตุ้มเหล็กนั้นใส่ซาโต้    แต่ทว่ามูเร็นไม่สามารถทำเช่นนั้นได้  แม้แต่ขยับก็ทำไม่ได้ 
                    “ โอ้ววววว !!!  เกิดอะไรขึ้นครับเนี่ย  มูเร็นไม่สมารถขยับได้หรือว่าจะเป็นเพราะอาวุธของซาโต้ครับเนี่ย ”        เด็กชายกล่าวด้วยความตื่นเต้น  ทำให้ผู้ฟังต้องพลอยตื่นเต้นและสงสัยตามไปด้วย
                 
                  ภายใต้หมวกป้องกันนั้นซาโต้ยิ้มอย่างมีชัย  มูเร็นตอนนี้ได้แต่อยู่ในอาการตื่นตระหนกจ้องมองไปที่ยังซาโต้       
                  “ นายแพ้แล้วละ ”         
                  สิ้นคำพูดนั้นเองซาโต้ก็ทำท่าเหมือนกับกำลังดึงอะไรบางอย่างอยู่  ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าซาโต้ทำอะไร      ดีว่าและซาซาไรต่างยิ้มเล็กน้อย เหมือนกับว่ารู้ว่าที่ซาโต้กำลังทำอยู่มันคืออะไร  ส่วนวานั้นได้แต่นั่งงงอยู่อย่างนั้น    โดยที่วาพยายามจ้องไปเพื่อจะมองให้เห็นว่าที่ซาโต้กำลังทำมันคืออะไรกันแน่
                  ซาโต้วิ่งเลยไปข้างหลังห่างจากมูเร็นพอสมควร  จากนั้นก็ย่อเข่าลงข้างหนึ่ด้วยความเร็วงพร้อมกับทำท่าเหมือนกับกอดอกแต่ที่จึงมันคือ การดึงอะไรบางอย่างอยู่นั่นเอง        จากนั้นซาโต้ก็กำมือทั้งสองข้างพร้อมกับกระตุกมันอย่างแรง
                    ทันใดนั้นเองร่างของมูเร็นลอยขึ้นจากพื้นเล็กน้อยราวกับกับโดนสลิงยกขึ้นยังไงยังงั้น  พร้อมกับเสียงอ็อดดังขึ้นเป็นสัญญาณว่ามีผู้เข้าแข่งขันคนนึงไลท์พอต์ยหมด  ซึ่งก็หมายความว่ามูเร็นแพ้แล้วนั่นเอง     
                 
                  เพียงแค่การกระตุกมือของซาโต้เพียงครั้งก็ทำให้ไลท์พอต์ยจาก 3000 หน่วยเหลือ 0 ภายในพริบตาเดียว      มูเร็นไม่อาจเชื่อมันต้องไม่ยอมเชื่อแน่ๆ แต่มันก็ได้แพ้แล้ว     
                  ร่างของมูเร็นหล่นลงสู่พื้นทันที  วาสังเกตเห็นอะไรเป็นเส้นๆ สะท้อนแสงค่อยๆ ลอยกลับไปสู่ถุงมือทั้งสองข้างของซาโต้    มันคืออะไรกันแน่
                  “ การประลองคู่ที่หนึ่งผู้ชนะคือ ประธานนักเรียนซาโต้ครับ !!!! ”
                  เด็กชายตะโกนดังลั่น  พร้อมกับเสียงปรบมือของนักเรียนทั้งห้อง และยังมีเด็กนักเรียนผู้หญิงบางกลุ่มซึ่งกับกรี๊ดออกมาเสียงดังเลยทีเดียวคงจะเป็นพวกที่ชื่นชอบซาโต้อยู่ก็ได้    แต่ว่าฝีมือของซาโต้ก็นับว่าสุดยอดจริงๆ  ที่สามารถล้มคู่ต่อสู้ได้ในเวลายังไม่ถึง 5 นาที          วายังคงสงสัยไม่หายว่าไอ้เส้นๆ ที่เขาเห็นเมื่อสักครู่นั้นมันตืออะไรกันแน่จึงหันไปถามดีว่าที่นั่งอยู่ข้างๆ
                  “ นายรู้หรือเปล่าว่ารุ่นพี่ซาโต้เขาทำอะไรเมื่อสักครู่นี้น่ะ ”
                  ดีว่าหันมายิ้มพร้อมกับกล่าว
                  “ ก็พอจะรู้บ้างละครับ  คุณเห็นเส้นลวดใส่บ้างหรือเปล่าละครับ ”
                  “ คิดว่าเห็นนะ    ไอ้เส้นๆ ที่มันสะท้อนแสงเมื่อสักครู่นี้ใช่รึเปล่า  ”
                  “ ใช่แล้วละครับ  นั่นคืออาวุธของรุ่นพี่ซาโต้เขาละ ”
                  “ ไม่เห็นจะเคยเห็นอาวุธแบบนี้มาก่อนเลย  มันคืออะไรกันแน่ ”
                  “ เห็นถุงมือสีดำคู่นั้นที่รุ่นพี่ซาโต้ใส่อยู่รึเปล่าละครับ  ภายในถุงมือนั้นมีเส้นลวดสีใสซ่อนอยู่  มันก็คล้ายๆ ลวดที่เขาเอาผูกไว้กับพวกระเบิดนั่นแหละครับ  เพียงแต่ว่ามันจะมีความทนทานสูงมากไม่ขาดเอาง่ายๆ  แถมยังคมอีกต่างหากไม่แน่ว่าอาจจะสามารถโค่นต้นไม้ทั้งต้นให้หักลงมาต่อหน้าเลยก็ได้นะครับ .  ”
                  ได้ยินแค่นี้วาก็เกิดอาการอึ้งขึ้นอีกแล้ว แต่ดีว่าก็กล่าวต่อ
                  “ แต่ว่าอาวุธชนิดนี้หาคนใช้ได้น้อยมาก  เพราะยากต่อการควบคุม    และเส้นลวดก็ไม่ใช่แค่สั้นๆ นะครับความยาวของมันนั้นผมก็ไม่ทราบว่าเท่าไหร่แต่ก็รู้ว่ามันยาวมากๆ เลยหละครับ          และคนที่จะใช้มันได้นั้นต้องรู้จักควบคุมทิศทางของเส้นลวดนั้นได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ    และมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย  ซึ่งแม้แต่ผมเองก็ยังไม่คิดว่าจะใช้มันได้    มันเหมือนกับเวลาแมงมุมชักใยนั่นแหละครับ        สรุปแล้วก็คือ  อาวุธอันนี้ก็มีลักษณะเช่นเดียวกันกับการชักใยของแมงมุมนั่นเองแหละครับ ”
                  เมื่อวาคิดตามที่ดีว่าพูดมาแล้ว  เขาก็รู้สึกว่าไพ่ที่เขากำลังเรียนอยู่คงจะเทียบความยากไม่ติดกับอาวุธที่รุ่นพี่ซาโต้นั้นใช้อยู่เป็นแน่        ส่วนซาซาไรนั้นแย้มยิ้มเล็กน้อยเหมือนกับพึงพอใจในฝีมือของซาโต้มาก
                  เสียงพูดคุยของนักเรียนในห้องยังคงพึมพำอยู่บ้าง  คงเป็นเพราะว่าได้เห็นฝีมือการล้มคู่ต่อสู้อย่างรวดเร็วของซาโต้นั่นเอง    ทางด้านทีมโรงเรียนเกเบรียลนั้นถึงกับหน้าเสียไปตามๆ กัน    และที่ดูเหมือนจะเจ็บปวดที่สุดก็คือ มูเร็นนั่นเอง
                  ไม่นานนักหลังจากการแข่งขันคู่ที่หนึ่งเสร็จสิ้นลงการแข่งขันคู่ที่สองก็ทำท่าจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว    เด็กนักเรียนทางฝั่งโรงเรียนเกเบรียลที่รูปร่างใหญ่  แต่ได้สัดส่วนก็สวมหมวกป้องกันเข้าในทันที  ดูจากลักษณะของท่าทางแล้วออกจะเป็นพวกไฮโซสักนิดหน่อย    และวาก็สังเกตเห็นว่า ทางด้านฝั่งโรงเรียนเขาเอง  คนที่กำลังจะสวมหมวกป้องกันก็คือ  โซเฟีย !!! นั่นเอง
                  ในที่สุดอีกไม่กี่วินาทีที่จะถึงนี้วาก็จะได้เห็นความสามารถของโซเฟียเสียที    เขาเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า จะเก่งสมดังที่ดีว่าหรือเพื่อนๆ พูดกันไว้หรือไม่   
                    ดีว่าหันมาพูดกับวาก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มขึ้น
                    “ ผมว่าคู่นี้ท่าทางจะสนุกกว่าคู่เมื่อสักครู่เสียอีกนะครับ ”
                    “ นั่นสินะ  แต่ยังมีคนที่เหนือกว่ารุ่นพี่ซาโต้อีกหรอเนี่ย ”
                    “ แน่นอนครับ เหนือฟ้าย่อมต้องมีฟ้าครับ  แต่ที่บอกว่าน่าสนใจไม่ใช่คนที่ฝีมือที่เหนือกว่ารุ่นพี่ซาโต้นะครับ    ที่น่าสนใจก็คือ คู่ต่อสู้ของคุณโซเฟียต่างหากละครับ ”
                    “ ทำไมหรอ ”
                    “ คู่ต่อสู้ของคุณโซเฟียไม่ง่ายเหมือนกับของรุ่นพี่ซาโต้น่ะสิครับ    เพราะผู้ชายคนนั้นเคยลงแข่งประลองอาวุธจนได้เข้ารอบคัดเลือกรอบที่ 1 ด้วยละครับ    ฝีมือจึงต้องไม่ธรรมดาแน่นอน ”
                    เมื่อดีว่าพูดมาเช่นนั้นทำให้วายิ่งสนใจการประลองคู่นี้มากขึ้น  และรู้สึกเป็นห่วงโซเฟียอยู่ลึกๆ ว่าเธอจะแพ้ไหม จะบาดเจ็บหรือเปล่า 
                    “ แล้วนายว่าสองคนนี้ใครจะเป็นฝ่ายชนะละครับ ”
                    “ เรื่องนี้ผมก็พอจะรู้อยู่แล้วละครับว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ  แต่ขอเก็บไว้ไม่บอกก็แล้วกันนะครับ    ดูเอาเองก็แล้วกันครับระหว่างคุณโซเฟียผู้ที่ได้รับฉายาว่า  “ อัศวินเพลิง “  หรือ  นักเรียนเกเบรียลที่เคยผ่านเข้าไปถึงรอบคัดเลือกรอบที่ 1 ในการประลองปีที่แล้ว ที่มีฉายาว่า  “  นักรบเกราะเหล็ก “ ”
                    “ นักรบเกราะเหล็ก เราก็พอจะเข้าใจนะว่าเขาคงมีความสามารถในการป้องกันสูง  แต่อัศวินเพลิงนี่สิ  คิดยังไงก็คิดไม่ออกเลย ”
                    ดีว่าไม่ตอบเพียงแต่แย้มยิ้มและกล่าวต่อ
                    “ เดี๋ยวก็จะรู้เองแหละครับ ว่าอัศวินเพลิงน่ะมันเป็นยังไง ”
               
                  วาหันมาสนใจที่เวทีลานประลองอีกครั้ง  ปรากฎว่าทั้งสองฝ่ายต่างสวมชุดเกราะป้องกันพร้อมแล้วทั้งคู่       
                  “ การประลองคู่ที่สองกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วละครับท่านผู้ชม ”
                  เมื่อเห็นว่าทั้งสองฝ่ายต่างขึ้นมาบนเวทีลานประลองทั้งคู่แล้ว เด็กชายก็กล่าวต่อ
                  “ การประลองคู่ที่สองระหว่างฝั่งโรงเรียนเกเบรียล ไอร่อน นักรบเกราะเหล็ก ฟังว่า  ชุดเกราะของเขานั้นมีความทนทานสูงมาก  ไม่ว่าจะเป็นอาวุธที่รุนแรนขนาดไหนเขาก็สามารถป้องกันได้หมด  แถมยังเป็นผู้เข้ารอบคัดเลือกรอบที่ 1 ในการประลองระหว่างสถาบันคราวที่แล้วเสียด้วย    และอีกด้านหนึ่งฝั่งโรงเรียนอับดุล อินเตอร์  โซเฟีย .. ”
                  ยังไม่ทันที่เด็กชายคนนั้นจะกล่าวจบก็มีเสียงเชียร์ดังไปทั่วห้อง      ส่วนใหญ่จะเป็นเสียงที่เกิดจากนักเรียนชายเสียมากกว่า              วาเองก็เพิ่งจะทราบว่า โซเฟียนั้นก็เป็นขวัญใจชาวโรงเรียนอับดุล อินเตอร์เหมือนกัน      แต่ที่วาสนใจที่สุดตอนนี้ก็ คือ โซเฟียจะเอาชนะไอร่อนเกราะเหล็กได้หรือไม่
                    “ ฮะ แฮ่ม .. ”
                    เด็กชายทำเสียงเมื่อเขาต้องการที่จะกล่าวต่อ
                    “ ฝั่งโรงเรียนอับดุล อินเดอร์  โซเฟีย อัศวินเพลิง  ฟังว่ามีไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้เห็นท่าไม้ตายของเธอ    เนื่องจากเธอไม่เคยลงแข่งประลองอาวุธมาก่อน  แต่ว่าเธอเองก็ไม่เคยแพ้ให้แก่ใครมาก่อนเหมือนกัน    ท่าไม้ตายของเธอจะเป็นอย่างไร  หวังว่าเราทุกคนคงจะได้เห็นกันในวันนี้แล้วละครับท่านผู้ชม  ”
                    เสียงเฮดังมาอีกหลังจากเด็กชายพูดจบประโยค
                    “ และในเมื่อทั้งสองฝ่ายพร้อมแล้วละก็  ขอเริ่มการประลองคู่ที่สองได้ ณ บัดนี้ !!! ”
                 
                    เมื่อสิ้นเสียงเด็กชายประกาศจบเสียงร้องเชียร์ก็หายไปในทันที    ทั้งห้องในตอนนี้ตกอยู่ในความเงียบชนิดที่เรียกได้ว่า  แม้แต่ใครทำเข็มตกลงพื้นก็ยังสามารถได้ยิน
           
                    โซเฟียชักดาบเล่มบางยาวของเธอออกมาจากฝักดาบ  ซึ่งดาบเล่มนั้นเป็นเล่มเดียวกันกับที่วาได้เห็นในตอนเช้านั่นเอง    เสียงดาบขณะที่กำลังจะออกมาจากฝักดัง  “ ชิ้ง ! “        ดูแล้วช่างสง่ามงามและน่าเกรงขามนัก       
             
                    เมื่อดาบออกมาจากฝักแล้ว  โซเฟียก็ตั้งท่าเตรียมจู่โจมของเธอทันที  โดยการใช้มือข้างขวาซึ่งกำลังถือดาบอยู่ชี้ตรงไปยังคู่ต่อสู้พร้อมกับย่อตัวลงเล็กน้อย     
                   
                    ทางด้านไอร่อนเกราะเหล็กนั้นก็ชักดาบซึ่งเป็นอาวุธของตนออกมาเช่นเดียวกับโซเฟีย    ดาบของไอร่อนมีลักษณะหนาและใหญ่แต่ดูไร้ซึ่งพิษสงค์  ดูแล้วไม่น่าเกรงขามเหมือนกับดาบของโซเฟีย          ท่าจะเทียบความสง่างามของดาบแล้วละก็เรียกได้ว่าเทียบไม่ติดเลยทีเดียว
                    “ ยินดีที่ได้เจอนะ อัศวินเพลิง  ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว  ไม่รู้ว่าจะเก่งสมคำล่ำลือหรือเปล่า”
                    ไอร่อนยิ้มอย่างท้าทาย  ซึ่งทุกคนในห้องต่างก็ได้ยินคำพูดของเขา  เพราะว่าห้องในตอนนี้ตกอยู่มในความเงียบอย่างแรง       
                      “ ยินดีที่ได้เจอเหมือนกัน ไอร่อน นักรบเกราะเหล็ก  “
                      โซเฟียยิ้มท้าทายกลับไป พร้อมกับกล่าวต่อ
                    “ ส่วนไอ้เรื่องเก่งไม่เก่งก็ไม่รู้เหมือนกันนะค่ะ  ถ้าอยากรู้ก็คงต้องพิสูจน์เองแล้วละ”
                      สิ้นคำพูดของโซเฟียทั้งคู่ต่างก็วิ่งเข้าหากันด้วยความเร็วอย่างยิ่ง  เหมือนกับการดวลดาบของพวกอัศวินในสมัยก่อน  หากแต่ในที่นี้ไม่มีม้าให้ขี่ก็เท่านั้น
                        ไอร่อนเมื่อถึงระยะที่จะลงมือแล้วก็ตวัดดาบของเขาออกไป  แต่ทว่าความเร็วระดับนั้นโซเฟียก็สามารถหลบได้อย่างไม่ยากนัก        เธอเอียงตัวหลบดาบของไอร่อนได้อย่างง่ายดายพร้อมกับอ้อมไปทางด้านหลังของไอร่อนอย่างรวดเร็ว     
                        ดาบของโซเฟียแทงเข้าไปเต็มๆ หลังของไอร่อนเลยทีเดียว  ซึ่งก็นับว่าเป็นจุดสำคัญอย่างยิ่ง  แต่ทว่าไลท์พอต์ยของไอร่อนกลับถูกหักลบไปเพียงแค่  200 เท่านั้น ซึ่งนับว่าน้อยมากเลยทีเดียว
       
                        ไอร่อนยิ้มอย่างมีชัยจากนั้นก็รีบหันกลับมาตวัดดาบใส่โซเฟียด้วยความเร็วกว่าครั้งแรก      โซเฟียนั้นถึงแม้ว่ายังตะลึงกับไลท์พอต์ยที่ลดลงไปน้อยว่าที่ควรของไอร่อนก็ไม่ได้เสียสมาธิไปสักเท่าไหร่        เมื่อทราบว่าไอร่อนหันหลังกลับมาตวัดดาบใส่ก็รีบเอียงตัวหลบทันที        แต่ว่าถึงจะรู้ตัวอยู่ก่อนแล้วก็ยังไม่สามารถหลบคมดาบของไอร่อนได้พ้นทั้งตัว       
                          ดาบของไอร่อนเฉี่ยวถูกส่วนคอของโซเฟียไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น  ไลท์พอต์ยของโซเฟียจึงถูกลบลงไปถึง 320 หน่วยเนื่องจากบริเวณส่วนคอนั้นเป็นจุดสำคัญ      ซึ่งเมื่อเทียบกับความเสียหายที่ไอร่อนได้รับไปแล้วนับว่าต่างกันมากเลยทีเดียว       
                          โซเฟียตีลังกาห่างออกไปจากไอร่อนพอสมควรพร้อมกับหอบเล็กน้อย  ดูท่าทางมันจะไม่ง่ายอย่างที่เธอได้คิดไว้เสียแล้ว      เสียงพึมพำของนักเรียนในห้องเริ่มดังขึ้น คงจะกำลังพูดถึงการลบไลท์พอต์ที่แตกต่างกันอย่างมากเป็นแน่     
                    “ ฝีมือไม่เลวนี่ อัศวินเพลิง  แต่เสียดายนะที่ดาบของเธอนั้นคงไม่สมารถทำอะไรเราได้ ฮ่าๆ “  ไอร่อนหัวเราะด้วยความสะใจ 
                      “ ทำไมไลท์พอต์ยที่ถูกหักถึงแตกต่างกันอย่างนั้นละ  โซเฟียแทงเข้าไปใส่กลางหลังของมันเต็มๆ แต่กลับลบไปแค่ 200 หน่วยเท่านั้นเอง ”             
                        “ ที่เป็นอย่างนั้นก็ถูกต้องแล้วละครับ      ไม่อย่างนั้นเขาจะเรียกว่า ไอร่อนนักรบเกราะเหล็กหรอครับ        ความน่ากลัวของไอร่อนไม่ได้อยู่ที่ความเร็วหรือพลังในการโมตีหรอกครับ      แต่มันอยู่ที่พลังในการป้องกันอาวุธของเขานั่นเอง            เขาจะค่อยๆ กำจัดคู่ต่อสู้ไปอย่างช้าๆ หรือเรียกได้อีกอย่างว่า  แลกกันคนละทีนั่นเอง    เมื่อคู่ต่อสู้ฟันโดนเขาหนึ่งดาบ เขาก็จะอาศัยจังหวะที่คู่ต่อสู้กำลังฟันมาสวนกลับไปในทันทีโดยที่ไม่คิดจะหลบการโจมตีเลยแม้แต่น้อย  อาศัยชุดเกราะของเขามีพลังในการป้องกันสูงกว่าอยู่มาก  ทำให้สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างไม่ยากเย็นเลยละครับ  ”
                      ดีว่าหันมาตอบวาอย่างเชี่ยวชาญ  วาถึงกับไม่เชื่อ  ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปแล้วละก็โซเฟียก็คงจะต้องแพ้แน่นอน  หรือว่าคนที่ดีว่าคิดเอาไว้ว่าจะเป็นฝ่ายชนะจะเป็นไอร่อนกันแน่
                        “ โอ้วววว !!!    อะไรกันครับเนี่ย  การโจมตีของอัศวินเพลิงโซเฟีย ไม่สามารถทำอะไรไอร่อนได้เลยหรือครัยบเนี่ย  สมแล้วจริงๆ ครับที่ได้ฉายาว่า นักรบเกราะเหล็ก    และถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปละก็อัศวินเพลิงคงไม่มีทางเอาชนะได้อย่างแน่นอนเลยละครับท่านผู้ชม ”
                        เด็กชายประกาศออกไมค์ด้วยท่าทีลุ้นสุดขีด  ซึ่งก็คงเหมือนนักเรียนส่วนใหญ่ที่กำลังลุ้นคอยเอาใจช่วยโซเฟียอยู่เป็นแน่แท้     
                        ไอร่อนยิ้มอย่างผู้มีชัยเหนือกว่าพร้อมกับค่อยๆ เดินลากดาบกับพื้นเข้าไปใกล้โซเฟียเรื่อยๆ      โซเฟียยังคงหอบหายใจอยู่ แต่เธอก็ไม่ได้ขยับถอยหลังหนีแม้แต่น้อย  แต่ยังคงตั้งสติยืนอยู่กับที่เหมือนกับว่ากำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
                      “ อัศวินเพลิงที่แท้ก็เท่านั้น  สุดท้ายก็กลัวจนไม่กล้าขยับไปไหนเลยสินะ ”
                        ไอร่อนพูดเหยียดหยามโซเฟียพร้อมกับหัวเราะอีกครั้ง      แต่โซเฟียกลับตอบด้วยความร่าเริงเหมือนกับว่าไม่ได้ยินสิ่งที่ไอร่อนพูดออกมา  แถมยังยิ้มให้อีกต่างหาก
                      “ ไลท์พอต์ยของเรายังไม่ได้หมด  ก็อย่าเพิ่งด่วนดีใจไปสิจ๊ะ ”   
                      “ อีกไม่นานหรอก  เธอก็จะต้องผ่ายแพ้ให้แก่เรา    ยอมแพ้เสียเถิด ถึงต่อให้เธอจะเอาอาวุธที่ดีขนาดไหนมาสู้กับเราก็ไม่สามารถทำอะไรเราได้หรอก ”     
                      “ ที่แท้นายก็กลัวขนาดต้องให้เรายอมแพ้ก่อนเลยหรือเนี่ย    ที่จริงคนที่สมควรจะยอมแพ้น่าจะเป็นายเสียมากกว่านะ    ก่อนที่เราจะใช้มัน ”
                      “ ฮ่าๆๆ  น่าขันนักยังมีการมาขู่กันอีก  คิดหรือว่าเธอจะเอาชนะเราได้ ”
                      “ ใช่  เราคิดและก็ไม่ได้เพียงคิดอย่างเดียวเท่านั้นนะ ”
                      โซเฟียพูดพร้อมกับนำปลายดาบของเธอแตะลงสู่พื้นเวทีลานประลอง  พร้อมกับกล่าวต่อ
                  “ ข้าแด่อัคคีแห่งความมืดเอ๋ย !    จงทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับข้า!    จงเผาพลาญศัตรูของข้าชั่วกัป์ชั่วกัลป์ !!!  ” 
                  ทันใดนั้นเองเธอก็ตวัดดาบของเธอลากกับพื้นเวทีด้วยความเร็วสูง  ส่งเสียง ชิ้ง !!!  ดังไปทั่วห้อง  พร้อมกับเสียงที่ตามมาอีกเสียงหนึ่งก็คือ  ฟู้ววววว!!!     
                      ดาบที่ถูกลากลงกับพื้นด้วยความเร็วสูงทำให้เห็นประกายไฟที่ปรากฎขึ้นบนดาบได้อย่างชัดเจน    และในเวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้นหลังจากที่เกิดประกายไฟขึ้น          ไฟก็ลุกขึ้นไปทั่วดาบของโซเฟีย !!!
                    นักเรียนทั้งห้องต่างตกตะลึงไปตามๆ กันไม่เว้นแม้แต่ไอร่อนก็กำลังค่อยๆ เดินเข้ามาถึงกับต้องหยุดชะงักลงกลางคัน      หรือว่านี่จะเป็นที่มาของฉายา อัศวินเพลิงกันแน่
                      ไฟที่ปรากฎบนดาบนั้นส่งผลทำให้ดาบธรรมดาเล่มนั้น กลายเป็นดาบไฟที่สง่ามงามและสูงส่งทันที        ไฟที่สามารถเผาพลาญทุกสิ่งให้ดับสูญๆด้ภายในเวลาไม่กี่วินาที    และขณะนี้มันกำลังลุกลามอยู่บนดาบของโซเฟีย      เป็นที่น่าแปลกที่ดาบเล่มนั้นสามารถทำให้ไฟลุกขึ้นได้  ถ้าเป็นดาบธรรมดาทั่วๆ ไปแล้วละก็คงไม่สามารถทำให้ไฟลุกขึ้นมาบนดาบได้เช่นนี้แน่นอน     
                      วาถึงกับอึ้งสุดๆ เขาแทบไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเองว่าดาบจะสามารถติดไฟได้  และที่ยิ่งไม่น่าเชื่อก็คือคนที่ทำให้ดาบนั้นติดไฟได้ก็คือ โซเฟีย เด็กผู้หญิงจอมกวนประสาทคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เขานั่นเอง       
                      ทางด้านดีว่าและซาซาไรนั้นต่างก็ยิ้มขึ้นมาพร้อมกันเหมือนกับว่ารอเวลานี้มานานแล้วก็ว่าได้  ซึ่งดูเหมือนว่าคนที่รู้สึกอย่างทั้งสองคนนี้จะมีอยู่ไม่มากนักในห้องนี้    และวาก็ไม่ใช่หนึ่งในนั้นแน่นอน
                      ไอร่อนถึงกับไม่กล้าขยับไปไหน  ถึงแม้เขาจะรู้ว่าชุดเกราะของเขามีพลังในการป้องกันอาวุธทุกชนิดสูงก้ตาม  แต่ที่ปรากฎอยู่ต่อหน้านับว่าไม่ใช่อาวุธธรรมดาเสียแล้ว        ถ้าจะเปรียบให้อาวุธมีชีวิตแล้วละก้  อาวุธที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้คงจะเรียกได้ว่า  “ อาวุธเทพเจ้า “ เลยทีเดียว
                        หลังจากที่ทุกคนในห้องเริ่มได้สติกลับคืนมา  โซเฟียก็แย้มยิ้มพร้อมกับควงดาบไฟมา  ดูแล้วไม่ต่างกับการควงคบเพลิงสักเท่าไหร่นัก    และยิ่งในห้องนั้นไม่ค่อยมีความสว่างสักเท่าไหร่นัก  จึงทำให้มองเห็นไฟบนดาบได้อย่างชัดเจนที่สุด         
                        โซเฟียควงดาบไปเรื่อยๆ และก็ค่อยๆ เร่งความเร็วขึ้นทีละนิด      ทำให้มองเห็นเหมือนกับว่าเธอกำลังถือไฟรูปวงกลมอยู่ก็ไม่ปาน    การควงดาบไฟของเธอนั้นดูงดงามอย่างยิ่ง  แต่ในความงดงามอันนั้นเองกลับซ่อนไปด้วยพลังทำลายที่สูงส่งเกินตัวของมันเองนัก       
                        ไอร่อนเมื่อตั้งสติได้แล้วก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง
                        “ ฮ่าๆ นึกว่าจะมีอะไรที่แท้ก็แค่ดาบไฟของเล่นของเด็กก็เท่านั้นเอง  ของแบบนั้นไม่ระค่ายชุดเกราะเหล็กของเราหรอก ”           
                      ไอร่อนพูดไปอย่างนั้นถึงแม้ว่าในใจจะไม่ได้คิดเช่นนั้นเลย
                      “ เราก็อยากลองดูเหมือนกันว่าเกราะของนายจะสามารถทนทาน “ ดาบเพลิงอัคคี “ ของเราได้สักกี่กระบวนท่า ”
                    ที่แท้ดาบของโซเฟียนั้นก็มีชื่อว่า ดาบเพลิงอัคคีนั่นเอง  ดูแล้วช่างเหมาะสมที่จะเป็นอาวุธของผู้ที่มีฉายาว่าอัศวินเพลิงอย่างโซเฟียจริงๆ 
                      ไอร่อนวิ่งเข้ามาด้วยความเร็วเหมือนกับจะท้าทายโซเฟีย  แต่ก็ดูเหมือนว่าห้องทั้งห้องมืดลงในทันตา    ที่จริงไม่ใช่เพราะสาเหตุใดเพียงแต่ว่า    ในตอนนี้สิ่งที่สว่างโชติช่วงที่สุดก็คือ ดาบเพลิงอัคคีของโซเฟียนั่นเอง         
                      โซเฟียไม่ได้ขยับไปไหนหากแต่ยังคงควงดาบของเธออยู่อย่างนั้น  และเมื่อความเร็วถึงขึ้นสุดยอดแล้ว    เธอก็เปลี่ยนท่าทางเป็นการเตรียมจู่โมทันที     
   
                      ไอร่อนวิ่งเข้ามาในระยะเกือบจะถึงตัวของโซเฟียแล้ว แต่ในทันใดนั้นเองแสงไฟบนดาบของเธอก็ดับวูบลง    ไอร่อนถึงกับมองอะไรแทบไม่เห็นเลยทีเดียว      เนื่องจากเมื่อสายตาจ้องแสงสว่างมากๆ  จะทำให้เกิดอาการตาพร่าได้     
                    รอบๆ เวทีสำหรับไอร่อนในตอนนี้กลับกลายเป็นมืดสนิทไปหมด  แต่สำหรับวาแล้วเขายังสามารถมองเห็นโซเฟียได้ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยชัดเจนนก      เนื่องจากเขาอยู่ห่างจากเวทีมากทำให้แสงไฟจากดาบเพลิงอัคคีไม่ทำให้เขาตาพร่าได้     
                    ไอร่อนในขณะนี้ตาพร่ามัวไม่หมดแล้วไม่สมารถเห็นอะไรได้เลย    เขาหันไปหันมาพร้อมกับยกดาบข้นเตรียมการป้องกัน
                    “ อยู่ไหนนะ ออกมาเดี๋ยวนี้  กลัวเราหรือไงถึงไม่กล้าปรากฎตัวออกมา ”         
                    “ เรากลัวที่ไหนเล่า  เราก็อยู่ข้างๆ นายนี่ไง ”
                    ทันใดนั้นเองเมื่อโซเฟียพูดจบ เสียง ชิ้ง ! พร้อมกับวูบก็ดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง    ประกายไฟลุกขึ้นพร้อมกับไฟที่ลุกลามขึ้นไปบนดาบเพลิงอัคคีอีกครั้งหนึ่ง    และไอร่อนก็เหมือนกับสังเกตเห็นได้อีกครั้งหนึ่งแต่คราวนี้    เขาเห็นเพียงแคไฟที่อยู่บนดาบเท่านั้น    นอกจากนั้นแล้วเขาไม่สามารถมองอะไรเห็นได้อีกเลย 
                    ดาบเพลิงอัคคีค่อยๆ ถูกควงขึ้นอีกครั้ง  คราวนี้เร็วกว่าครั้งก่อนนัก ดูเหมือนว่าไอร่อนจะรู้สึกตัวช้าไปเสียแล้ว    ดาบเพลิงอัคคีกำลังควงเริงระบำอยู่ต่อหน้าแล้วนั่นเอง    และทันใดนั้นเอง
                      “ กระบวนท่าที่หนึ่ง เพลิงอัคคีเริงระบำ !!! ”   
                  เสียงนี้เป็นเสียงของโซเฟียนั่นเอง  ภาพที่นักเรียนในห้องเห็นตอนนี้ก็คือ  ไฟที่กำลังหมุนไปหมุนมารอบตัวของไอร่อนเหมือนกันกรงจักร    มันหมุนเร็วอย่างยิ่งและงดงามอย่างยิ่ง        ดาบเพลิงอัคคีที่กำลังลุกโชติช่วงอยู่นั้นเมื่อกระทบโดนชุดเกราะของไอร่อนก็เกิดประกายไฟขึ้น  และทุกครั้งเมื่อเกิดประกายไฟขึ้นดาบเพลิงอัคคีก็จะลุกโชติช่วงขึ้นอีกเท่าตัว     
                      กระบวนท่าเพลิงอัคคีเริงระบำหมุนควงรอบไอร่อนอยู่ไม่นาน  มันก็เริ่มเร็วขึ้นจนไฟที่ลุกอยู่บนดาบเริ่มน้อยลง  เนื่องจากต้องปะทะกับลม      มันหมุนเร็วขึ้นจนถึงที่สุด  และเมื่อประกายไฟบนดาบเพลิงอัคคีดับวูบลงห้องทั้งห้องก็เหมือนกลับคืนสู่ความมืดอีกครั้งหนึ่ง     
                    วาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย    และก็ไม่น่าเชื่อว่าโซเฟียจะมีความสามรถถึงขนาดนี้      กระบวนท่านั้นช่างงดงามและมีแสงยานุภาพในการทำลายสูงส่งยิ่ง     
                    ไม่นานนักห้องทั้งห้องก็เมื่อสว่างขึ้นอีกครั้ง    ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้มีใครเปิดหรือปิดไฟเลย    เมื่อมองเห็นอะไรได้ชัดขึ้นแล้ว        คนทั้งห้องก็พบว่ามีคนๆ หนึ่งกำลังนอนคว่ำอยู่บนเวทีลานประลองซึ่งคนๆ นั้นก็คือ ไอร่อนั่นเอง   
                    ไลท์พอต์ยที่ปรากฎอยู่บนแขนของไอร่อนถึงกับเป็นตัวเลขติดลบ 619 หน่วยเลยทีเดียว    แสดงให้เห็นถึงพลังทำลายอันสูงส่งของดาบเพลิงอัคคีได้อย่างเต็มภาคภูมิ      ส่วนโซเฟียนั้นยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับถอดหมวกป้องกันออกและสะบัดผมอย่างสบายใจ       
                    โซเฟียนั่งยองๆ ลงไปเบื้องหน้าไอร่อนพร้อมกับลองนำมือไปแตะที่ไหล่ที่สวมด้วยชุดเกราะป้องกันของไอร่อน      มีควันลอยออกมาจากชุดเกราะของไอร่อนนิดหน่อย 
                “ สงสัยคงจะร้อนน่าดู  ท่าทางชุดเกราะของนายคงจะกันได้แต่พวกอาวุธเท่านั้นแหละมั้งนะ  แหะๆ ”
             
                  จบพูดก็โซเฟียเสียบดาบกลับเข้าฝักดาบตามเดิม  จากนั้นก็ถือหมวกป้องกันกลับไปยังฝั่งของตัวเอง    เด็กชายนักประกาศเมื่อตั้งสติได้แล้วก็รีบประกาศเสียงดังออกไปว่า
                  “ กะ การ ประลองคู่ที่สองผู้ชนะก็คือ อัศวินเพลิง โซเฟีย แห่งโรงเรียนอับดุล อินเตอร์ครับผม !!!”
                  เสียงเฮ ดังลั่นห้องพร้อมด้วยเสียงปรบมือจากนักเรียนอีกนับไม่ถ้วน    ซึ่งก็มีนักเรียนชายบางคนถึงกับตะโกนไปดังๆ ว่า  “ ผมรักคุณ ” 
                  ส่วนวานั้นได้แต่ปรบมืออยู่อย่างเดียวโดยที่ยังคงตะลึงอยู่ไม่หาย    ดีว่าและซาซาไรต่างก็ทำเช่นเดียวกันเพียงแต่ว่าทั้งสองคนนั้นไม่ได้มีท่าทางตื่นเต้นเหมือนกับวาสักเท่าไหร่นัก   
                  “ เล่นเสียแรงเชียวนะ  ไม่ออมมือบ้างเลยนะเรา ”        รุ่นพี่ซาโต้ยิ้มอย่างภูมิใจให้กับโซเฟียเมื่อเธอเดินมาถึง   
                “ แหะๆ หนูว่ามันก็ไม่ได้รุนแรงอะไรมากนี่ค่ะ  แค่กระบวนท่าแรกเอง ของรุ่นพี่ยังยิ่งกว่าหนูเสียอีก ”   
                ทั้งคู่ต่างหัวเราะกันโดยไม่ได้นัดกันไว้  แต่ทั้งคู่ก็หัวเราะอยู่ได้ไม่นานนักก็ต้องหยุดหัวเราะในทันทีเนื่องจากเสียงเด็กนักเรียนชายทางฝั่งโรงเรียนเกเบียลที่ตะโกนดังออกมา
              “ ชิ !  อย่าเพิ่งดีใจกันไปนัก  ที่ผ่านมามันมีแต่พวกกระจอกเท่านั้น    คู่ต่อจากนี้เราต่อให้พวกแกสามคนที่เหลือเข้ามาพร้อมๆ กันได้เลย  หรือจะมากันหมดทั้งห้าคนนั่นเลยก็ได้นะ  เราขอแค่คนเดียวก็พอแล้ว
              ผู้ที่ตะโกนออกมานั้นถึงกับเป็นจีดาบคลั่งนั่นเอง !!!   
                                    _________________________________________
                   
       
                   
                                 
           
         
                     
                   
                   
 
                   
                 
       
                     
     
                   
                 
               
                 
             
           
               
                     
     
                     
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น