คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #31 : บทเรียนที่ 26 น้ำตาของโซเฟีย
บทเรียนที่ 26 น้ำตาของโซเฟีย
วาตื่นแต่เช้าจากนั้นเมื่อเขาพบว่าจัดการทุกอย่างในห้องของเขาเรียบร้อยแล้ว ก็ก้าวออกไปจากห้องทันทีโดยที่นีโอนั้นยังคงหลับอยู่วาค่อยๆปิดประตูห้องอย่างเบาๆ จากนั้นก็ก้าวตรงไปยังลิฟท์
วันนี้ที่วารีบตื่นแต่เช้านั่นก็เพราะว่าวันนี้เป็นวันหยุดนั่นเอง และแน่นอนวันนี้จะต้องไม่ใช่วันหยุดธรรมดาด้วย ที่เป็นเช่นนั้นอาจเป็นเพราะวันนี้เป็นวันที่เขาจะกลับเอาไปไม้ปิงปองคู่ใจของเขาที่บ้านนั่นเอง แต่นั่นก็ยังไม่ใช่เหตุผลเพียงอย่างเดียว ที่สำคัญก็เพราะว่าวันนี้วาได้นัดกับโซเฟียว่าจะออกไปเที่ยวด้วยกันหลังจากเขากลับไปเอาไม้ปิงปองที่บ้าน เสร็จแล้ว ดังนั้นวาจึงรีบตื่นแต่เช้าเพื่อที่จะได้กลับมายังโรงเรียนทันก่อนที่จะถึงเวลานัด
วาก้าวเท้าด้วยความรวดเร็วก่อนที่จะแสดงเข็มตราโรงเรียนให้กับกัปตันอดุสยามเฝ้าประตูหน้าโรงเรียนดู
จากนั้นวาก็เรียกแท๊กซี่ และไม่นานแท๊กซี่ก็นำเขามาส่งยังบ้านของเขา
วาดูนาฬิกาที่ข้อมือของเขาก็ยิ้มขึ้น จากนั้นก็ล้วงกุญแจบ้านจากเป้ของเขาพร้อมกับไขประตูบ้านเข้าไปอย่างไม่รีบร้อนนัก เวลาขณะนี้เป็นเวลาหกนาฬิกาพอดี นั่นก็หมายความว่าเขายังมีเวลาเหลืออีกสองชั่วโมงก่อนที่จะกลับไปหาโซเฟียที่โรงเรียน
เมื่อวาก้าวเข้าบ้านของเขานั้น เขาก็สัมผัสได้ถือบรรยากาศอบอุ่นที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี
‘ ไม่ได้กลับมานานเหมือนกันนะเนี่ยเรา ’
วาคิดพร้อมกับค่อยๆ เดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง จากนั้นไขประตูห้องของเขาออก เมื่อประตูห้องถูกเปิดออกนั้น คล้ายมีกระแสลมโชยผ่านมาใส่เขาวูบหนึ่ง เป็นกระแสลมแห่งความทรงจำนั่นเอง นั่นทำให้เขารู้สึกถึงความอบอุ่น ความสุข หรือความเศร้ามากมาย และที่เขาไม่อาจลืมได้เลยก็คือ ความทรงจำถึงใครบางคน
.
วาเดินไปวางเป้ลงบนเตียงของเขาก่อนที่จะเอนตัวนอนลงบนเตียง ห้องของวานั้นไม่ต่างจากห้องของเด็กผู้ชายทั่วๆ ไปสักเท่าไหร่ เป็นห้องที่ไม่ใหญ่ไป และก็ไม่เล็กไป วากวาดสายตาไปยังโต๊ะหนังสือของเขา ทุกอย่างยังคงเดิม เหมือนวันก่อนที่เขาจะออกเดินทางไปที่โรงเรียนอับดุล อินเตอร์ไม่มีผิดเพี้ยน จากนั้นวาสูดหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกันยันตัวขึ้นเดินไปยังโต๊ะหนังสือของเขา พร้อมกับค่อยๆ เปิดลิ้นชักออกมา
ลิ้นชักที่เก็บความทรงจำไว้มากมาย และหนึ่งในนั้นก็คือ สิ่งที่เขากำลังตามหาอยู่ หากเปรียบเป็นนิยายแฟนตาซีแล้วละก็ ขณะที่จะกล่าวได้ว่าในลิ้นชักของวานั้นมีสิ่งหนึ่งกำลังทอแสงเปร่งประกายออกมาก็คงจะไม่เกินเลยไป เพราะสิ่งๆนั้นก็คือ ไม้ปิงปองคู่ใจของเขานั่นเอง ไม้ปิปองคู่ใจของวาหากเป็นคนอื่นคนคิดว่าต้องเป็นไม้ที่ทำอย่างดี ไม่ก็มีราคาแพงเป็นพิเศษอย่างแน่นอน แต่หากมาเห็นจริงๆแล้วจะพบว่า มันไม่ได้ต่างจากไม้ปิงปองธรรมดาทั่วๆไปเลย หน่ำซ้ำยังดูเก่าอีกด้วย แต่ถึงกระนั้นก็ได้รับการทำความสะอาดและเก็บรักษาเป็นอย่างดี
ที่ทำให้มันมีค่าไม่ใช่เพราะว่ามันมีราคา หรือเพราะว่ารูปลักษณ์ภายนอกที่พิเศษแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะการให้ความเอาใจใส่ ความเชื่อมั่นที่มีวามีต่อมันต่างหาก มันถึงได้เป็นไม้ปิงปองที่พิเศษสำหรับเขา เช่นเดียวกันกับคน หากในใจของเราใส่ใจใครคนหนึ่งเป็นพิเศษแล้วละก็ แม้ว่าคนๆนั้นจะเป็นคนธรรมดาทั่วๆไปเหมือนกันกับคนอื่น แต่ก็จะกลายเป็นดังแสงสว่างหรือคนพิเศษเราสำหรับเลยทีเดียว นี่อาจเป็นเพราะคำว่า ‘ ความรัก และความเอาใจใส่ ’ ก็เป็นได้
วาหยิบไม้ปิงปองคู่ใจของเขาขึ้นมาช้าๆ จากนั้นก็ลูบคลำไม้พร้อมกับลองจับมันหวดไปมาอย่างช้าๆ คล้ายเป็นการซ้อมมือให้หายคิดถึงอย่างไรอย่างนั้น ขณะที่เขากำลังหวดไม้ปิงปองของเขาไปมาอยู่นั้น สายตาของเขาก็บังเอิญหันไปเห็นสิ่งหนึ่งในลิ้นชักของเขา นั่นทำให้เขาต้องหยุดมือของเขาลงในทันที ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เขาเองคล้ายเพิ่งรู้สึกตัวขึ้น ในหัวใจไม่ทราบมีรสชาติเป็นเช่นไรในตอนนี้
สิ่งที่สายตาของเขากำลังจดจ่ออยู่นั้นก็คือ ‘รูปภาพธรรมดารูปหนึ่ง’ เท่านั้นเอง แต่รุปภาพรูปนี้ใช่รูปภาพธรรมดาจริงๆหรือ ถ้าใช่อย่างนั้นทำให้ในใจของเขารู้สึกเจ็บปวดได้ถึงเพียงนี้
วาอยากที่จะหยิบรูปภาพนั้นขึ้นมาดูชัดๆ ความทรงจำของเขาในตอนนี้คล้ายพรั่งพรูเข้ามาใส่ตัวของเขา แต่เขากลับไม่กล้าแม้แต่จะยื่นมือของไปหยิบ แม้จะมองต่อไปยังไม่อาจฝืนใจทนดูต่อไปได้ ทำไมเขาเองถึงรู้สึกเช่นนี้ก็ตอบตัวเองไม่ได้เช่นกัน
ในที่สุดวาตัดสินใจผลักลิ้นชักนั้นลง และค่อยๆนำไม้ปิงปองของเขาเก็บใส่ซอง พร้อมกับเก็บใส่เป้ เตรียมพร้อมที่จะกลับไปยังโรงเรียน
วาค่อยๆ ล็อคกุญแจประตูรั้วก่อนที่จะถอนหายใจครั้งหนึ่ง จากนั้นยืนรอแท๊กซี่ ทิ้งให้เจ้ารูปภาพที่อยู่ในลิ้นชักให้คงอยู่อย่างนั้น ‘ รูปภาพของเธอคนนั้น
’
ไม่นานนักวาก็กลับมาถึงโรงเรียน เวลาที่มาถึงก็เกือบจะถึงเวลานัดพอดี ระหว่างเดินทางนั้นทำให้วาลืมเรื่องรูปภาพที่อยู่ในลิ้นชักไปได้สักพัก และตอนนี้เขาเองก็ไม่ได้นึกถึงมันแล้ว เพราะเขารู้เพียงแค่ว่าตอนนีเต้องไปรอโซเฟียที่ลานม้านั่งหินอ่อนทางด้านซ้ายแถวหน้าประตูโรงเรียน
วันนี้วาใส่กางเกงยีนส์สีน้ำเงิน เสื้อยืดแขนสามส่วนสีขาวดูแล้วสบายตา แต่ก็มีสไตล์เข้ากับตัวของเขาเป็นอย่างดี แถมยังดูเหมาะสำหรับหน้าหนาวแบบนี้เสียด้วย
เมื่อเขาเดินไปยังลานม้านั่งหินอ่อนก็ต้องพบว่า มีคนเพียงคนเดียวที่นั่งอยู่ในบริเวณนั้น อาจะเป็นเพราะวันนี้เป็นวันหยุด และบริเวณนี้ก็ไม่ค่อยจะมีคนสักเท่าไหร่ แต่ถึงแม้จะมีคนมากมายคนที่นั่งอยู่ในตอนนี้ก็คงจะโดดเด่นกว่าทุกคนเป็นแน่ คนๆนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นหัวหน้าห้องจอมกวนของเขา ‘โซเฟีย ’ นั่นเอง
โซเฟียเองก็เหมือนจะรู้ถึงการมาของวา หันไปพบวาพอดี วันนี้เธอก็แต่งตัวตามสบายคล้ายๆกับวาเช่นกัน แต่เธอใส่เสื้อแจ๊คเก็ตสีดำ ข้างในสวมด้วยเสื้อยืดสีขาว กับกระโปรงผ้ายาวถึงหัวเข่า ลายตารางสลับสีขาวกับดำ รองเท้าผ้าใบสีดำ ดูแล้วเข้าชุดกันเป็นอย่างดี
แต่ที่ทำให้เธอโดดเด่นนั้นหาใช่เครื่องแต่งกายเพียงอย่างเดียว แต่เป็นท่าทางที่ร่าเริง สดใสอยู่ตลอดเวลาของเธอ ซึ่งแม้กระทั่งวาที่เห็นวาเอเป็นยัยจอมกวนยังอดที่จะเขินไม่ได้เมื่อสบสายตา
แต่วาก็คล้ายปรับตัวได้ด้วยความรวดเร็ว เมื่อสบตากับเธอได้ไม่นานก็รีบยิ้มพร้อมกับกล่าวทักทาย
“ สวัสดิ์ดีตอนเช้า ตกใจจริงๆ ตอนแรกนึกว่าผีที่ไหนมานั่งเฝ้าลานม้านั่งเสียอีกนะเนี่ย ”
มาถึงวาก็ล้อเล่นกับเธอในทันที อาจจะเป็นเพราะเขาเห็นว่าเธอดูน่ารักกว่าทุกวัน แต่ไม่กล้าชม เลยได้แต่กล่าวแกล้งไปอย่างนั้น ซึ่งโซเฟียก็คือโซเฟีย เธอก็ทำหน้าดุจากนั้นก็กล่าว
“ หึ งั้นก็รีบไปๆซะสิ มาคุยกับผีทำไมมิทราบ ”
วาเห็นท่าทีงอนของโซเฟียก็ยิ้มพร้อมกับหัวเราะ
“ ตอนแรกก็กะจะหนีแล้วละ พอดีผีตัวนี้น่ารักเลยเปลี่ยนใจละ ”
โซเฟียได้ยินก็อดยิ้มไม่ได้ พร้อมกับทำหน้าเชิดใส่ ‘ หึ ’
จากนั้นวาก็ก้มลงดูนาฬิกาของตัวเองก็พบว่า เหลืออีกประมาณสิบนาทีถึงจะเป็นเวลาที่นัด ก็ต้องกล่าวชมโซเฟียอีกครั้ง
“ แหม มาก่อนเวลานัดแบบนี้นี่ ถือว่าผิดเวลานัดนะเนี่ย กลับไปก่อนแล้วค่อยมาใหม่ดีกว่ามั้ง ”
“ อ่อหรอ แล้วนายไม่ได้มาก่อนเวลาเหมือนกันหรอ ”
“ นั่นสินะ ”
จากนั้นทั้งคู่ก็หัวเราะ บรรยากาศยามเช้าในตอนนี้ช่างเต็มไปด้วยความสุขเสียจริงๆ
“ ว่าแต่กลับไปเอาไม้ปิงปองมาแล้วหรอ เร็วใช้ได้เลยนะเนี่ย ” โซเฟียถาม
“ ไม่เท่าไหร่หรอก ” วายิ้ม แต่พอนึกถึงรูปภาพใต้ลิ้นชักขึ้นมาสีหน้าก็เปลี่ยนไปนิดนึง แต่โซเฟียไม่ทันสังเกตเห็น
“ แล้วเราจะไปกันเลยไหม ” วาถาม ไม่อยากให้โซเฟียสังเกตความไม่สบายใจของเขาได้
“ พร้อมจะลุยกันมานานแล้วละ !!! ”
โซเฟียกล่าวจากนั้นก็ลุกขึ้นด้วยความสดชื่น พร้อมกับเดินนำหน้าวาไป
ที่ๆทั้งสองคนวางแผนกันไว้ว่าจะไปเที่ยวนั่นก็คือ รีโน่ ย่านที่เป็นศูนย์กลางที่รวมสินค้า และห้างสรรพสินค้า โรงหนัง และอะไรต่างๆ มากมาย
ในตอนแรกนั้นวาบอกว่านั่งแท๊กซี่ไปจะสะดวกกว่า แต่โซเฟียบอกว่านั่งรถประจำทางไปจะดีได้บรรยากาศดีกว่า ซึ่งวาเองก็ไม่ขัดอยู่แล้ว เพราะเขาก็ชอบนั่งรถประจำทางอยู่แล้ว
ทั้งสองทั้งนั่งรถประจำทางไม่นานนักก็มาถึงที่หมาย หากมองออกไปนอกรถตอนนี้แล้วจะพบว่าผู้คนเริ่มทยอยกันมาแล้ว แม้จะไม่เยอะแต่ก็ถือได้ว่าไม่น้อยเลยทีเดียว
ซึ่งปกติที่นี่ก็มักจะมีผู้คนมากมายอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่เด็กนักเรียน วัยรุ่น จนถึงคนทำงาน วาเองแม้จะมาที่นี่ไม่บ่อยนัก แต่ก็ไม่ถึงกับไม่เคย
“ คนเยอะใช้ได้เลยนะเนี่ย ” วากล่าวขณะเดินไปเรื่อยๆ
ทั้งคู่เดินไปเรื่อยๆ จนเมื่อถึงบริเวณหน้าโดมใหญ่แห่งหนึ่ง โซเฟียก็หยุดเดิน ทำให้วาต้องหยุดตามไปด้วย เห็นเธอมองขึ้นไปยังจอยักษ์ข้างบนโดมใหญ่ เป็นจอยักษ์ซึ่งกำลังแสดงหนังตัวอย่างเรื่อง ‘ ปลายปากกาที่ไร้ซึ้งความฝัน ’ ซึ่งเป็นหนังรักแนวใหม่ที่กำลังมาแรง และน่าจับตามองในช่วงนี้ โดยตัวเรื่องจะเป็นการบรรยายถึงชีวิตของนักเขียนที่เกิดไปตกหลุมรักผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ไม่สามารถที่จะรักเธอได้ จนทำให้ความฝันที่จะเป็นนักเขียนของตนต้องพังลง ไม่สามารถเขียนงานอะไรได้อีก ตัวเรื่องนี้มีเอกลักษณ์อยู่ที่เป็นหนังที่มีแต่ความเศร้า ทรมาน และไม่สมหวัง ซึ่งถือได้ว่าเป็นการทวนกระแสหนังรัก จนใครๆก็ต่างให้ความสนใจเป็นพิเศษเลยทีเดียว
“ นี่ นายรู้จักหนังเรื่องนี้ไหม ” โซเฟียชี้นิ้วไปยังจอยักษ์ ที่แท้โดมขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าของพวกเขาก็คือ โรงหนังขนาดใหญ่ที่มีชื่อแห่งหนึ่งของรีโน่ที่ชื่อว่า ‘ สกาย ’ นั่นเอง
วามองตามที่โซเฟียบอก
“ อ๋อ เรื่องนี้น่ะหรอ รู้จักสิ เราว่ามันก็น่าดูดีนะ ”
“ ใช่ไหมละ ”
“ คนเขียนเรื่องนี้ได้นี่ก็ช่างคิดเนอะ เขียนให้ทั้งเรื่องมีแต่เรื่องเศร้าขนาดนั้นได้ ”
โซเฟียพยักหน้า เห็นด้วยกับวา
“ แหะๆ เราว่าคนเขียนท่าทางจะเอาชีวิตจริงมาเขียนนะ ”
“ เราก็ว่างั้นแหละ ”
ขณะที่วากำลังมองตัวอย่างหนังอยู่นั้น โซเฟียก็สะกิดเข้าพร้อมกับเดินเข้าไปยังโดมใหญ่
“ นี่เธอจะไปไหนน่ะ ”
“ ก็ไปดูรอบหนังน่ะสิ ”
“ แต่
” ไม่ทันที่วาจะกล่าวอะไร โซเฟียก็เดินนำหน้าเขาไปเสียแล้ว วาเองไม่ได้คิดว่าวันนี้เขาจะออกมาดูหนังเลยแม้แต่น้อย แต่หนังเรื่องนี้ก็น่าดูอยู่เหมือนกัน ดังนั้นวาจึงไม่ขัดเดินตามโซเฟียไป
ภายนอกของโดมนั้นแม้จะดูใหญ่มากๆแล้ว ที่น่าตกใจก็คือ ภายในยังดูกว้างใหญ่ยิ่งกว่าภายนอกเสียอีก ขณะนี้แม้จะเป็นเวลาไม่เช้านัก แต่ก็มีผู้คนอยู่ข้างในมากพอสมควรเลยทีเดียว (ขนาดคนไม่ค่อยเยอะของที่นี่ ยังเรียกได้ว่าถ้าเดินแบบเหม่อลอยละก็ อาจจะหลงกับคนที่เดินด้วยเอาง่ายๆเลยทีเดียว) ดังนั้นวาพยายามเดินตามโซเฟียให้ใกล้ที่สุด
ภายในโดมแห่งนี้นั้นหลายคนอาจจะคิดว่าจะต้องมีร้านค้าอะไรต่างๆ มากมาย นั่นเพราะขนาดที่กว้างใหญ่อย่างมากของมัน แต่ที่น่าแปลกก็คือ ภายในกลับมีร้านค่าน้อยมาก เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่นั้นหมดไปกับโรงหนังมากมาย ซึ่งทำให้โดมนี้นั้นสามารถรองรับผู้คนเอาแค่เฉพาะที่มาดูหนังได้มากกว่าห้าพันคนเลยทีเดียว พูดง่ายๆว่ารายได้ที่ได้มานั้น มาจากคนที่มาดูหนังที่นี่เป็นส่วนใหญ่ และก็ไม่น่าแปลกที่จะมีคนดูหลงโรงบ่อยๆ เพราะว่าโรงในโดมแหงนี้นั้นเยอะมาก ถึงกับว่าถ้าไม่ดูเส้นทางเดินให้ดีๆละก็ โอกาสที่จะเข้าดูหนังสายก็จะเกิดขึ้นเอาได้ง่ายๆเลยทีเดียว
วาเดินตามโซเฟียจนถึงหน้าเคาเตอร์จองตั๋วหนัง ที่บริเวณหน้าเค้าเตอรืก็มีหน้าจอขนาดยักษ์ชนิดที่ว่าต่อให้เป็นคนสายตาสั้นก็ยังอ่านรอบตั๋วหนังได้โดยไม่ต้องใส่แว่นตาเลยทีเดียว
โซเฟียไม่ว่ากล่าวอะไร แต่สายตากวาดผ่านรอบหนังไปเรื่อยๆ ซึ่งรอบหนังที่นี่มีเยอะมาก
“ นี่ ถ้ามีให้เลือกระหว่างรอบบ่ายโมงครึ่ง กับบ่ายสามจะเลือกรอบไหน ” โซเฟียถามวาโดยที่ยังมองเจ้าจอยักษ์นั่นอยู่
“ เราว่ารอบบ่ายสี่ไม่ดีกว่าหรอ ” วาชี้ไปยังรอบบ่ายสี่
“ ตอบไม่ตรงประเด็นเลยนะนายนี่ ถ้าจะดูรอบบ่ายสี่แล้วเวลาอีกตั้งเยอะแย่ะจะไปทำอะไรดีละ ”
ขณะวากำลังครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่ง สายตาของเขาก็กวาดผ่านไปยังแผ่นป้ายใหญ่ที่ตั้งอยู่ทางด้านขวาห่างออกไปไม่มากนัก
“ คิดออกแล้ว ดูนั่นสิ ” วาชี้ไปยังแผ่นป้าย
แผ่นป้ายยักษ์นั้นเขียนว่า ‘ ขอเชิญร่วมงานเปิดตัวหนังเศร้าฟอร์มยักษ์ ปลายปากกาที่ไร้ซึ่งความฝันที่โดมสกายแห่งนี้เวลาตั้งแต่ 13.00 น. - 15.30 น. ’ และมันยังเขียนไว้ว่าผู้ที่เข้าร่วมงานนี้ซึ่งมาดูกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปสามารถเอาตั๋วมาแลกของรางวัลต่างๆมากมาย และสามารถสอบถามความคิดเห็นจากนักเขียนเรื่องนี้ได้อีกด้วย
“ เราก็ว่าอยู่แล้วเชียว ที่แท้หนังเรื่องนี้เพิ่งจะเข้าโรง แล้ววันนี้ก็น่าจะเป็นวันเปิดตัวหนังเรื่องนี้ด้วยละ ”
“ ถ้าอย่างนั้นจะบอกว่า จะอยู่รอดูงานเปิดตัวของหนังเรื่องนี้อะหรอ ” โซเฟียถาม เธอเองไม่ค่อยจะสนใจเรื่องงานเปิดตัว หรืองานอะไรที่เกี่ยวกับงานเขียนสักเท่าไหร่นัก
“ อืม เราว่าเป็นโอกาสที่ดีออก ได้รับฟังความคิดเห็นของคนที่สร้างผลงานว่ามีแรงบันดาลใจยังไงกว่าที่จะเขียนออกมาได้อะไรทำนองนี้ละ แถมเรายังเอาตั๋วไปแลกของรางวัลได้อีกนะ ”
วาทำท่าดีใจเป็นพิเศษ โซเฟียเมื่อเห็นดังนั้นก็ไม่อยากขัดใจ จึงตอบตกลงไป
“ แต่ก็น่าแปลกเนอะ ที่มาเปิดตัวหนัง แต่ว่ามีรอบของหนังให้ดูก่อนที่จะเปิดตัวเนี่ย ”
“ ถ้าเป็นคนอื่นก็คงจะแปลกแหละ แต่สำหรับนักเขียนเรื่องนี้ถ้าไม่ทำอย่างนี้สิ ถึงเรียกว่าแปลก ถึงเราจะไม่เคยอ่านเรื่องที่เขาเขียนก็เถอะ แต่ฟังจากสไตล์การเขียนของเขาแล้วก็เป็นแบบนี้ละ ”
“ นายนี่รู้เรื่องเยอะกว่าที่เราคิดไว้นะเนี่ย ”
“ จะถือว่าเป็นคำชมก็แล้วกันนะ ” วายิ้มเจือนๆ
หลังจากนั้นทั้งสองคนก้ทำการจองตั๋วหนังรอบบ่ายสี่ ซึ่งหาที่นั่งได้ไม่ยากนัก เนื่องจากโรงเยอะมาก วามองดูนาฬิกาของตัวเองแล้วปรากฎว่าเป็นเวลาสิบโมงครึ่งเท่านั้น ซึ่งก็หมายความว่าเขามีเวลาที่จะทำอะไรก็ได้อีกสองชั่วโมงครึ่งก่อนที่จะถึงงานเปิดตัวหนัง
“ เหลือเวลาอีกสองชั่วโมงครึ่งแน่ะ กว่าจะถึงเวาเปิดตัว จะทำอะไรกันดีละ ”
“ แล้วปกติคุณเด๋อชอบทำอะไรละ ”
“ อืม ก็คงเดินเล่นไปเรื่อยๆ ละมั้ง ”
“ อ่านะ งั้นก็ไปเดินเล่นเรื่อยๆ ละกัน แหะๆ ”
จากนั้นทั้งสองคนก็เริ่มเดินเล่นไปเรื่อยเปื่อย โดยที่วานั้นไม่ทันได้สังเกตว่าวันนี้โซเฟียดูอารมณ์ดีกว่าทุกๆวัน อาจเป็นเพราะว่าปกติเธอก็ดูเป็นคนที่อารมณ์ดีอยู่แล้วก็เป็นได้ และวาเองก็ไม่ทันได้สังเกตกว่ามีสายตาอิจฉาจากคนรอบข้างมองมาที่เขา นั่นเพราะว่าปกติโซเฟียก็เป็นคนที่น่ารักอยู่แล้ว (ขนาดตอนที่วาเจอตอนแรกๆยังอดเขินไม่ได้เลย ) และวันนี้เธอก็แต่งตัวดีกว่าปกติ ไม่เหมือนตอนที่อยู่โรงเรียนจะแต่งตัวธรรมดา จึงไม่แปลกที่จะมีสาตาอิจฉามองมาที่เขา หรือแม้กระทั่งผู้หญิงบางคนยังอดอิจฉาไม่ได้ที่อยากจะน่ารักแบบนี้บ้าง แต่วาเองกลับไม่รู้สึกอะไรสักเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะว่าเขาเริ่มสนิทกับเธอ หรือเจอกันอยู่ทุกวันจนชินแล้วก็เป็นได้
หรือว่าที่วาไม่รู้สึกอะไรนั้น อาจจะเป็นเพราะเขาไม่กล้าที่จะชอบเธอก็เป็นได้ เพราะอะไรนั้นไม่มีใครสามารถตอบได้
จิตใจของคนเรานั้น ใครเล่าที่จะทราบได้ดีกว่าตัวเราเอง หรือแม้แต่บางครั้งตัวเราเองก็ยังไม่เข้าใจจิตใจของตัวเราเองเลย ดังนั้นเรื่องเศร้าที่เกิดขึ้นจากความไม่เข้าใจกันนั้นจึงเกิดขึ้นอยู่เสมอ
ไม่ทราบว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร เมื่อวามาดูเวลาอีกทีก็ใกล้จะถึงเวลาที่งานเปิดตัวหนังจะมาถึงแล้ว วาจึงชวนโซเฟียไปยังบริเวณที่เขาจัดงานเปิดตัวกัน วาเองก็ต้องพบว่าบริเวณรอบๆนั้นมีผู้คนมากมายกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก ซึ่งที่เบื้องหน้าของเขาเป็นเวทีขนาดกลาง และก็มีเก้านวมสีขาวตั้งอยู่ ที่เบื้อหลังฉากของเวทีเขียนตัวอักษรตัวมหญ่ๆไว้ข้างบนว่า ‘ งานเปิดตัว ปลายปากกาที่ไร้ซึ่งความฝัน ’ ไว้ จากนั้นวาจึงรีบชวนโซเฟียไปหาที่นั่งก่อนที่คนจะแห่กันมาจนไม่มีที่นั่ง ซึ่งขณะที่วากำลังจะฝ่าฝูงชมไปเพื่อหาที่นั่งนั้นเขาก็พบว่ามีเด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุไม่น่าจะพอๆกับเขายืนขวางทาง เขาอยู่ ตอนแรกวาก็ไม่ได้เอะใจอะไร แต่เมื่อยืนอยู่นานเขาก็ยังไม่ยอมเดินหลบ วาเลยมองหน้าคนๆนั้นอย่างช้า ซึ่งเมื่อวามองไปก็ต้องพบว่าคนๆนั้นยืนยิ้มให้กับเขาอยู่ก่อนหน้าแล้ว แต่ที่น่าแปลกก็คือ วาไม่รู้จักคนๆนี้เลยแม้แต่น้อย
“ เออ ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่ามาร่วมงานเปิดตัวหนังเรื่องนี้รึเปล่าครับ ” คนๆนั้นยิ้มมาให้กับวา ราวกับรู้จักกันมาเป็นเวลานาน วาไม่ทราบจะทำอย่างไรดีจึงตอบกลับไป
“ อ่อครับ ”
คนๆนั้นกวาดสายตาผ่านวาไปพบกับโซเฟีย ก็ทำท่าแปลกใจแต่ก็ยังยิ้มอยู่
“ มากับแฟนด้วยหรอครับเนี่ย ”
“ ไม่ใช่ครับ แค่เพื่อนน่ะครับ ” วารีบตอบอย่างทันควัน
“ ไม่ทราบว่าจองตั๋วหนังไว้หรือยังครับเนี่ย ” คนๆนั้นถามต่อ
“ ครับ ทำไมหรอครับ ”
“ ก็แค่จะบอกว่า ลองเก็บตั๋วไว้ดีๆนะครับ เดี๋ยวพอถึงงานเปิดตัวจะมีเกมให้เล่นพิเศษบนเวที ซึ่งคนส่วนใหญ่จะใช้ตั๋วเล่นเกม หรือเอาไปแลกของรอบๆนี้ก่อนแล้ว ”
ได้ยินคนๆนั้นกล่าวมาเช่นนี้วา และโซเฟียก็ต้องมองหน้ากันด้วยความงุนงง ไม่ทราบว่าเขาต้องการจะมาไม้ไหนกัน
“ แล้วทำไมคุณถึงรู้ละค่ะ ” โซเฟียชิงถามก่อน เธอเป็นคนที่เวลามีอะไรที่เธอไม่เข้าใจ เธอจะอยากรู้และรีบถามทันที
“ เอาเป็นว่าผมรู้ก็แล้วกัน ไปก่อนนะครับ ” คนๆนั้นตอบพร้อมกับเดินจากไป ทิ้งให้ความสงสัยของโซเฟีย และวายังคงไม่ถูกตอบออกมาอย่างนั้น
“ ท่าทางจะบ้าน่ะหมอนี่ ” โซเฟียกล่าวพร้อมกับทำหน้างงๆ
“ อืม แต่เราไม่คิดอย่างนั้นนะ เราว่าลักษณะการพูดของเขามันทำให้เราคิดอะไรขึ้นมาอย่างหนึ่ง ”
“ อะไรงั้นหรอ ”
“ ไม่รู้สิ เราเองก็คิดไม่ออกเหมือนกัน แต่มันติดใจๆ ยังไงพิกล ” วายิ้ม “ เอาละเราไปหาที่นั่งกันก่อนเถอะ คนเริ่มเยอะแล้ว ”
วาเลือกที่จะนั่งที่นั่งแถวๆ หน้าเวที เพราะเขาอยากจะรู้เหมือนกันว่าเกมที่คนๆนั้นบอกว่ามีจะมีจริงหรือเปล่า ซึ่งแม้แต่โซเฟียเองก็อยากจะรู้ด้วยเช่นกัน
ไม่น่าเชื่อว่าแค่การเข้ามาคุยเพียงไม่กี่ประโยคของคนๆเดียวจะทำให้ทั้งสองคนสนใจถึงเพียงนี้ได้ คนๆนั้นที่แท้เป็นกันใครแน่ ?
และแล้วเมื่อเห็นว่าผู้คนที่มาร่วมงานเริ่มนั่งที่นั่งที่ได้จัดไว้จนเกือบจะเต็มแล้ว ส่วนคนที่หาที่นั่งไม่ได้ก็ยืนกันอยู่จนเต็มไปหมดแล้ว พิธีกรสาวคนหนึ่งก็เดินขึ้นมาบนเวที พร้อมกับประกาศเปิดงานเปิดตัวหนังเรื่องนี้ขึ้น โดยตอนแรกก็กล่าวเชิญผู้กำกับหนัง และทีมดาราแสดงขึ้นมาทีละคน โดยเมื่อนางเอกที่แสดงในเรื่องเดินขึ่นมาบนเวทีก้ได้รับเสียงเฮเป็นการใหญ่ แต่ในความคิดของวานั้นแม้นางเอกจะดูน่ารัก แต่โซเฟียังดูน่ารักกว่า ถึงแม้จะชอบกวนประสาทเขาก็ตามที
“ และเราก็ได้เห็นโฉมหน้าของตัวแสดง กับผู้กำกับกันไปเรียบร้อยแล้วนะค่ะ ต่อไปเราจะมาสัมภาษณ์สดความรู้สึกที่มีต่อการเขียนหนังเรื่องนี้ออกมากับนักเขียนหน้าเด็กที่กำลังมาแรง เจ้าของผลงาน ‘ ปลายปากกาที่ไร้ซึ่งความฝัน ’ ที่หลายๆคนอาจจะรู้จักกันในนาม เงาจันทร์ กัน ขอเชิญพบกับเขาได้เลยค่ะ ”
จากนั้นได้ยินเสียงปรบมือจากคนรอบข้างมากมาย พร้อมกันนั้นก็เห็นเด็กผู้ชายรุ่นๆเดียวกันกับวา ลักษณะเป็นคนอารมณ์ดี ตัวไม่สูงไม่เตี้ย ผมทรงตั้งๆ จะดุว่าน่ารักก็น่ารัก จะดูว่าไม่น่ารักก็ไม่น่ารัก ดูแล้วเหมือนเป็นคนที่ไม่มีความมั่นใจ และก็เหมือนจะมีความมั่นใจก้าวขึ้นมาบนเวที
ที่น่าแปลกก็คือ หน้าตาของคนๆนี้ คล้ายกับคนที่เดินเข้ามาคุยกับวาไม่มีผิดเพี้ยน นั่นทำให้วา กับโซเฟียต้องอึ้งไปตามๆกัน
ที่แท้คนที่เข้ามาคุยกับวา และโซเฟียกลับเป็น ‘ เงาจันทร์ ’ นักเขียนคนนี้นั่นเอง
อาชีพนักเขียนแม้จะเป็นหนึ่งในอาชีพสายบังเทิง แต่กลับต่างจากอาชีพดาราลิบลับ แม้จะเป็นที่รู้จักของคนอื่น แต่ก็เป็นเพียงแค่ในนามเท่านั้น หากจะบอกว่าเราเดินสวนกับนักเขียนคนหนึ่ง บางครั้งเรากลับไม่รู้เลยว่าเขาเป็นนักเขียน ซึ่งต่างกันกับดาราที่เราจะรู้ได้ในทันทีว่าคนๆนั้นคือ ดารา
“ สวสดีครับ ” เงาจันทร์กล่าวพร้อมกับยิ้มให้กับทุกคน ไม่ทราบว่าวา กับโซเฟียคิดไปเองหรือเปล่า แต่ขณะที่สายของเขากวาดผ่านผู้คนไป คล้ายหันมายิ้มให้กับทั้งคู่แวบหนึ่ง
จากนั้นเงาจันทร์ก็นั่งลงพร้อมกับรับคำสัมภาษณ์
“ ก่อนอื่นก็อยากจะถามว่า ทำไมถึงใช้นามปากกาว่า เงาจันทร์ค่ะ ” พิธีกรสาวถาม
“ อืม ก่อนอื่นก็ต้องขอบอกก่อนนะครับว่า เงาจันทร์นี่ไม่ใช่มาจาก ถึงน้ำเน่าแต่ก็เห็นเงาจันทร์นะครับ ” จากนั้นเว้นระยะให้คนที่ฟังได้หัวเราะกันสักพักก็กล่าวต่อ “ แต่เป็นเพราะเวลาผมจะคิดหรือเขียนอะไรสักอย่างขึ้นมา ผมจะต้องคิดตอนกลางคืนถึงจะเขียนได้ดีที่สุดนะครับ แล้วที่ใช้ชื่อว่า เงาจันทร์ ก็ประมาณว่าเขียนใต้แสงจันทร์อะไรประมาณนี้นะครับ ”
คนๆนี้เวลากล่าวอะไรตลกก็ตลก แต่พอเข้าโหมดเศร้ากลับให้ความรู้สึกเศร้าได้อย่างประหลาดจริงๆ
“ แล้วคิดยังไงถึงมาเป็นนักเขียนค่ะ หรือว่ามีอะไรดลใจ ”
“ ผมก็ไม่ได้คิดว่าจะมาเป็นนักเขียนหรอกครับ แต่พอดีที่มาเขียนก็เพราะมาแค่อยากเขียนก็เท่านั้นเองครับ และผมก็คิดว่าคนเราจะเป็นในสิ่งที่ตัวเองอยากเป็นได้ มันต้องไม่ใช่เพียงแค่การคิดเท่านั้นครับ มันต้องทำด้วย เพราะการที่จะฝันต่อไปได้นั้นมีแต่จะต้องต่อสู้กับตัวเองเท่านั้นครับ ”
โซเฟียเมื่อได้ยินถึงกับอดกล่าวว่า ‘ มีเหตุผล ’ ออกมาไม่ได้ วาเองก็คิดเช่นนั้น
“ แล้วพอมาเป็นนักเขียนแล้วเนี่ย อยากจะทราบว่าคิดยังไงกับงานเขียนในสมัยนี้ค่ะ ”
“ ผมก็ไม่อยากจะว่าใครหรอกนะครับ เพราะแต่ละคนก็มีความคิด มีจินตนาการของแต่ละคนต่างกัน แต่สำหรับผมเองแล้ว การเขียนที่ต้องตามแนว หรือตามสมัยของคนอื่น มันดูเหมือนไม่ค่อยมีความคิดสักเท่าไหร่ ( แล้วอย่างนี้มันไม่ใช่การว่าคนอื่นหรอไง แหะๆ โซเฟียคิด ) แล้วผมก็คิดว่าช่วงนี้นักเขียนส่วนใหญ่กำลังทำตามกระสมากเกินไป จนลืมนึกถึงความเป็นตัวของตัวเองไปครับ การที่เราจะเขียนอะไรสักอย่างขึ้นมานั้น ไม่เห็นจำเป็นว่าคนรอบข้างจะต้องยอมรับ หรือต้องเป็นแบบที่ตามสมัยเขาถึงจะชอบกัน ผมคิดว่าการเป็นตัวของตัวเองคือสิ่งที่ดีที่สุดครับ ” กล่าวไปสักพักก็หยิบน้ำมาดื่มหน้าตาเฉย “ อะ แฮ่ม ถ้าจะเปรียบกับความรักมันก็เหมือนเวลาเราไปชอบใครสักคนเข้า แล้วเราต้องเปลี่ยนตัวเองไปจนไม่ใช่ตัวของตัวเองอะไรทำนองนี้ละครับ มันก็เป็นการฝืนตัวเอง และก็ทำให้คนที่เรารักชอบในสิ่งที่ไม่ได้เป็นเรา ก็ลองคิดดูสิครับ ว่าเราทำให้เขาชอบในสิ่งที่ไม่เป็นตัวเรา มันเป็นความารู้สึกที่แย่ขนาดไหนละครับ ต้องโกหกคนอื่น อย่าว่าแต่อะไรเลยครับ ยังโกหกตัวเองอีกต่างหาก ” พูดถึงต้องนี้ก้ได้ยินเสียงปรบมือ คล้ายเป็นที่ถูกใจของคนรอบข้างมากมาย
วาหันไปกระซิบบอกโซเฟีย “ ไม่แปลกใจเลยจริงๆ ทำไมเจ้านี่ถึงเป็นนักเขียนได้ ” ซึ่งโซเฟียก็ผยักหน้าเห็นด้วย
“ แหม มีคำคมจริงๆเลยนะค่ะ ถ้าอย่างนั้นอะไรเป็นแรงบันดาลให้เขียนเรื่องนี้ขึ้นมาค่ะ ” ไม่ทราบว่า วาคิดไปเองรึเปล่า แต่ในแววตาวูบหนึ่งของเงาจันทร์ทอแววเศร้าสอย ก่อนที่จะยิ้มและตอบไป
“ ผมคิดว่าโลกนี้มีความสุขมากเกินไป ” พิธีกรสาวทำหน้างง แต่ไม่ต้องรอให้เธอถามเขาก็กล่าวต่อ “ ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ แต่เรื่องราว หรือหนังรักมีเรื่องสมหวังมาเกินไป หรือต่อให้เป็นหนังรักที่ซึ้งเพียงใด มีปัญหาเพียงใดสุดท้ายก็จะจบดีเสียส่วนใหญ่ ซึ่งในความเห็นของผมชีวิตจริงมันไม่เหมือนกับในนิยายทีเดียว ดังนั้นผมถึงเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา เผื่อจะมีใครที่ชอบความเจ็บช้ำ และไม่สมหวังเหมือนกันกับผมบ้าง ”
“ หมอนี่พูดยังกับว่าตัวเองเป็นคนอกหักเลยเนอะ ” โซเฟียกระซิบกับวา
พิธีกรสาวทำหน้างงเล็กน้อย แต่ก็กล่าวถามต่อ
“ แล้วคิดว่าแนวโน้มของคนที่จะมาชอบเรื่องนี้เป็นยังไงบ้างค่ะ ”
“ พูดตรงๆนะครับ ก็คือไม่ได้คิดละครับ เพราะอย่างที่ผมบอกแต่แรกแล้วว่า ผมเพียงแค่อยากจะเขียนสิ่งที่ผมอยากเขียนเท่านั้น มันเหมือนกับนี่คือตัวของผม ถ้าใครรับได้ก็รับใครรับไม่ได้ก็ไม่เป็นไรครับ ”
“ แหม เป็นคนตรงไปตรงมาจังเลยนะค่ะ ”
“ ก็ไม่ตรงไปไม่อ้อมไปละครับ ” เงาจันทร์ยิ้ม “ เพราะตรงไปตรงมาจริงๆ ผมก็คงไม่ต้องเสียใจจนถึงทุกวันนี้ ”
พิธีกรสาวทำหน้างงอีกครั้ง ซึ่งคนฟังหลายคนก็งงไปด้วย คนๆนี้คล้ายเข้าใจง่าย แต่พอจะทำความเข้าใจจริงๆ กับคล้ายไม่มีวันเข้าใจได้
“ อะไรหรอค่ะ ท่าบอกว่าเสียใจจนถึงทุกวันนี้ ”
“ อ่า นั่นต้องลองไปดูกันในหนังแล้วละครับ ฮ่าๆ ” กล่าวพลางหัวเราะ ช่างเปลี่ยนอารมณ์ได้รวดเร็วเสียจริงๆ
“ ถ้าอย่างนั้นมาถึงคำถามที่หลายๆ คนอาจจะอยากรู้กันนะค่ะ อยากถามว่าเงาจันทร์เนี่ยมีแฟนหรือยังค่ะ ”
เงาจันทร์ได้ยินก็ถึงกับหัวเราะ
“ อย่าหาว่าผมหลงตัวเองเลยนะครับ มันก็ต้องมีอยู่แล้วละครับ แต่มากหรือน้อยผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน ” ก่อนที่หลายคนจะงงไปมากกว่านี้ก็กล่าวต่อ “ แต่แฟนในที่นี้คือ แฟนนยายนะครับ แฟนเป็นตัวเป็นตนน่ะยังไม่มีหรอกครับ ฮ่าๆๆๆ ”
“ อ่า ถ้าอย่างนั้นก็มาถึงคำถามสุดท้ายแล้วนะค่ะ ก่อนที่เราจะทำการเล่นเกมพิเศษกัน อยากจะฝากอะไรถึงนักเขียน นักอ่าน หรือคนที่มาดูหนังเรื่องนี้ค่ะ ”
“ ผมก็แค่อยากจะบอกว่า หนังเรื่องนี้นะครับ ทุกคนตั้งใจทำกันเต็มที่ ส่วนตัวผมเองก็เขียนไปตามความรู้สึกของผม แล้วมันก็เป็นตัวของผมเองมาก แต่ก็ไม่ใช่ตัวของผมทั้งหมดนะครับ เพราะผมชอบเขียนหลายๆแนว โดยหากใครดูเรื่องนี้แล้วติดใจนะครับ เราก็จะทำการวางขายหนังเรื่องนี้ในรูปแบบหนังสือเร็วๆนี้ละครับ ยังไงก็ขอฝากหนังสือที่กำลังจะตามมา และก็เรื่องต่อๆไปด้วยนะครับ และสุดท้ายที่อยากจะฝากถึงทุกๆคนที่มีความฝัน ทุกคนที่กำลังท้อแท้กับการพยายามทำตามความฝัน ผมอยากจะขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนนะครับ ความฝันแม้มันจะเหนื่อยยากมากก็จริง แต่ถ้าเราหยุดที่จะสู้กับตัวเองเมื่อนั้นความฝันมันก็ยังคงจะเป็นแค่ความฝันอยู่อย่างนั้นละครับ ขอบคุณครับ ”
เสียงปรบมือดังจากรอบข้าง หลังตากที่กล่าวจบเริ่มมีหลายคนเลยทีเดียวที่จะเข้าไปขอลายเซ็น หรือถามอะไรกับเงาจันทร์ จนพิธีกรสาวต้องกล่าวห้ามไว้ก่อน
“ อ่า ใครที่อยากจะได้ลายเซ็นนะค่ะ ประเดี๋ยวเงาจันทร์จะลงไปแจกให้นะค่ะไม่ต้องห่วง แต่ช่วงนี้เป็นช่วงพิเศษที่เงาจันทร์แอบมากระซิบให้ดิฉันฟังเมื่อสักครู่นี้เองนะค่ะ โดยใครนะค่ะที่ตอนนี้ยังมีตั๋วหนังเรื่อง ปลายปากกาที่ไร้ซึ่งความฝันอยู่ ตั้งแต่สองใบขึ้นไปนะค่ะ เตรียมใช้ได้เลยนะค่ะ เพราะเราจะเปิดโอกาสให้ได้ถามอะไรกับเงาจันทร์เป็นการพิเศษ และก็จะได้ของรางวัลพิเศษนั่นก็คือ
”
พิธีกรสาวดึงผ้าที่คลุมอะไรบางอย่างอยู่บนโต๊ะนั้นออกมา ก็ปรากฎว่าเป็นหนังสือนิยายจำนวนหกเล่ม
“ และที่เห็นก็คือ หนังสือนวนิยายเรื่องปลายปากกาที่ไร้ซึ่งความฝัน ฉบับพิเศษนะค่ะ เรามีกันแค่จำนวนหกเล่มเท่านั้นนะค่ะ โดยหากใครที่ยังมีตั๋วหนังอยู่นั้นให้ก้าวขึ้นมาบนเวทีเลยค่ะ ”
ได้ยินเสียงพึมพำจากผู้คนรอบข้างเป็นจำนวนมาก ผู้ที่ใช้ตั๋วหนังแลกของไปแล้วก็มีไม่น้อย บางคนใช้ไปแค่ใบเดียวแต่ก็เหลือไม่ถึงสองใบ บางคนมีตั๋วแต่ก็ไม่กล้าก้าวขึ้นไปบนเวที ซึ่งพิธีกรสาวก็กล่าวซ้ำอีกครั้งหนึ่ง
“ ใครที่มีตั๋วสองใบนะค่ะ รีบก้าวขึ้นมาเลยค่ะ เราจะรับเพียงแค่หกคนแรกเท่านั้นนะค่ะ ”
วาหันไปมองโซเฟีย พร้อมกับถาม
“ ว่าไงสนใจจะขึ้นไปไหม ”
“ อ่า จะดีหรอ ”
“ ก็ดีสิ เขาอุส่าห์บอกให้เราเก็บตั๋วไว้ตั้งแต่แรก แสดงว่าต้องการให้เราได้ของรางวัลนะ ไปกันเถอะป่ะ !!! ”
วาลุกขึ้นพร้อมกับสะกิดโซเฟียให้ลุกขึ้นตาม โซเฟียความจริงไม่ใช่คนที่ไม่กล้าแสดงออกเพียงแต่ ครั้งนี้วาดูมั่นใจมากเกินไป ทำให้เธอรู้สึกเขินอายขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ก้าวตามวาไป
“ อ่า เราได้คู่แรกที่ขึ้นมารับของรางวัลแล้วละค่ะ ”
เมื่อวาขึ้นมาบนเวที เขาก็รู้สึกได้ว่าเงาจันทร์มองมาพร้อมกับยิ้มให้กับราวกับจะบอกกับเขาว่า
‘ ชั้นกะไว้แล้วว่านายจะต้องมา ’จากนั้นไม่ทันไรก็ได้ยินพิธีกรสาวกล่าวขึ้นมาอีกว่า มีคนขึ้นมาบนเวทีอีกคู่หนึ่งแล้ว จนกระทั่งเหลืออีกเพียงแค่คู่เดียวเท่านั้นที่จะมีโอกาสขึ้นมารับรางวัล
“ เหลืออีกกี่คู่เดียวเท่านั้นน่ะค่ะ ถ้าหากช้าละก็
..” ไม่ทันที่จะกล่าวต่อก็เห็นผู้ชายสูงหน้าตาดีคนหนึ่ง จูงมือผู้หญิงชุดขาวหน้าตาน่ารักคนหนึ่งดูแล้วรุ่นราวคราวเดียวกันกับวาขึ้นมาบนเวที
“ โอ้ และในที่สุดเราก็ได้ผู้ที่จะมารับรางวัลคู่สุดท้ายแล้วนะค่ะ ” เสียงปรบมือดังจากรอบข้างของเวที แต่สำหรับวานั้นเมื่อมองไปตรงผู้หญิงที่ขึ้นมาคนสุดท้ายนั้น เสียงรอบข้างของเขาคล้ายเงียบสงัดไปในทันที สติของเขาคล้ายไม่อยู่กับตัวเสียแล้ว แต่ไม่ทันที่วาจะคิดอะไรต่อไปนั้น ก็ได้ยินพิธีกรสาวกล่าวอะไรขึ้นมา
“ มิทราบว่ามีอะไรจะถามนักเขียนของเขาไหมค่ะ ” พิธีกรสาวถามพร้อมกับยื่นไมค์ให้วา โดยที่เขาไม่ทันจะตั้งตัว วาเองคล้ายได้สติกลับมาอีกครั้งก็ฝืนใจถามไปว่า
“ ก็อยากจะถามว่า ที่บอกว่าชีวิตมันไม่เหมือนในนิยายนี่จริงหรอครับ ”
“ จริงครับ เพราะในนิยายมักมีแต่เรื่องดีๆ เกิดขึ้น ” เงาจันทร์ตอบอย่างปลอดโปร่ง ไม่ทันสังเกตสีหน้าที่ไม่ค่อยสบายใจนักของวา
“ แต่ผมคิดว่า ชีวิตมันก็คือนิยายแหละครับ แต่นิยายที่เราอ่านๆกันนั้นมันมักจะจบดี นั่นก็เพราะมันเป็นตอนที่ชีวิตเรามีความสุขไงละครับ ส่วนตัวที่ชีวิตไม่มีความสุขหรือผิดหวังเนี่ย ไม่มีใครเขามาเขียนกันยังไงละครับ ”
วาไม่ทราบว่าตัวเองกล่าวอย่างนี้ออกไปได้เช่นไร แต่เขารู้เพียงแต่ว่าตอนนี้หัวใจเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ คล้ายจะระเบิดออกมาให้ได้เลยทีเดียว
เงาจันทร์ได้ยินคำพูดของวาก็ถึงกับยิ้มขึ่นมา
“ ถูกต้องแล้วละครับ ช่างรู้ใจผมเสียจริงๆ ใช่แล้วละครับ นี่ละคือ แรงบันดาลให้ผมเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา ฮ่าๆๆ ” ที่แท้เงาจันทร์เขียนเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพราะต้องการจะบอกให้ทุกคนรู้ว่า ชีวิตมันก็เหมือนนิยายนั่นแหละ และตอนที่เขาจะเขียนก็คือ ตอนที่ไม่ใช่ตอนจบที่แท้จริง เหมือนนิยายทั่วๆไป
“ แล้วรู้ไหมครับว่าทำไม ผมถึงบอกให้คุณเก็บ
ไว้ ” เงาจันทร์กล่าวต่อ โดยเว้นวรรคคำว่าตั๋วไว้ เพราะกลัวจะทำให้บางคนไม่พอใจ
วา กับโซเฟียส่ายหน้าพร้อมๆ กัน
“ ก็เพราะคุณสองคนดูแล้วเหมือนตัวละครในนิยายอีกเรื่องที่ผมกำลังเขียนอยู่น่ะสิครับ ถ้าหากยังไงก็หวังว่าเราจะได้พบกันอีกนะครับ เผื่อว่าคุณสนใจจะแสดงเป็นบทพระเอกกับนางเอก ส่วนจะเป็นเรื่องอะไรนั้น ก็ต้องขออุบไว้ก่อนละครับ แต่พระเอกต้องหัดเล่นไพ่ให้เก่งๆหน่อยนะครับ ฮ่าๆๆ ”
กล่าวจบก็ส่งมอบหนังสือนิยายเล่มพิเศษให้กับวา และโซเฟีย พร้อมกับส่งสายตาประมาณว่า ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ
แต่วากลับไม่รู้สึกยินดีเลยแม้แต่น้อย สายตาของเขากลับจ้องมองไปยังผู้หญิงชุดขาวคนสุดท้ายที่ก้าวขึ้นมาบนเวที วาไม่ทราบว่าจะร้องไห้ หรือหัวเราะดี เรียกได้ว่า หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกเลยในทีเดียว ซึ่งโซเฟียก็สังเกตถึงสีหน้าที่มาสบายใจของวาได้เป็นอย่างดี แต่ก็ยังขบคิดไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะอะไรผู้หญิงชุดขาวคนนั้น ใช่คนในฝันที่วามักจะฝันเห็นอยู่เสมอหรือไม่ ใช่คนที่อยู่ในรูปใต้ลิ้นชักของเขาหรือไม่ ?
ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ วามารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่พิธีกรสาวประกาศขอบคุณผู้ที่อุส่าห์มาร่วมงานทุกคน ก่อนที่โซเฟียจะสะกิดให้วาลงจากเวทีได้แล้ว สายตาของวายังคงจับจ้องไปยังผู้ชาย และผู้หญิงคู่นั้นอยู่ และผู้ชายนั้นไม่ได่สังเกตว่าวามองดูเขาอยู่ ส่วนผู้หญิงชุดขาวนั้นจะบอกว่าทำเป็นไม่เห็นก็เป็นได้
โซเฟียมองตามวาไปจากนั้นก็ยิ้มออกมา
“ แหมๆ ไปถูกใจเขาเข้าหรือไง ท่าทางเขาจะมีแฟนแล้วนะ แหะๆ ไม่ดีหรอกม้าง คุณเด๋อ ”
คำพูดของเธอไม่ได้ทำให้วารู้สึกอยากหัวเราะเลย ซึ่งโซเฟียก็ถึงกีบเงียบไปเลยในทันที เธอไม่กล่าวอะไรอีกแต่ก็มองไปยังผู้หญิงชุดขาวพร้อมกัยครุ่นคิด ‘ ผู้หญิงคนนี้ก็น่ารักมากเลยนะเนี่ย แต่ทำไมวาถึงเปลี่ยนเป็นเศร้าอย่างนี้น่ะ ’
วาก้มมองดูนาฬิกาของตัวเองก็เป็นเวลาอีกห้านาทีจะถึงเวลาที่หนังจะเข้าแล้ว ก็หยิบตั๋วหนังขึ้นพร้อมกับฉีกส่วนหนึ่งยื่นให้แก่โซเฟีย
“ อะนี่ หนังจะเข้าแล้วนะ ”
โซเฟียรับตั๋วนั้นมาด้วยท่าทางงงๆ
“ แล้วทำไมต้แงฉีกแบ่งเป็นสองส่วนด้วยละ ”
“ ก็ ” วาหลบสายตาโซเฟีย ท่าทางไม่สบายใจ “ เดี๋ยวเราขอไปทำธุระก่อน แล้วเดี๋ยวเราจะตามไป ”
“ ไม่เป็นไรหรอก เป็นอะไรหรือเปล่า จะทำอะไรเดี๋ยวเราไปเป็นเพื่อนก็ได้นะ ”
ไม่ทันที่โซเฟียจะกล่าวอะไรต่อ เมื่อวาเห็นว่าผู้หญิงชุดขาวนั้นเริ่มเดินลับไปจากสายตาของเขานั้นก็ทำท่าวิ่งออกไปทันที พร้อมกับหันหลังกล่าวกับโซเฟียเพียงแค่ว่า
“ ไม่เป็นไร เธอเข้าไปดูก่อนเลยนะ แล้วเราจะตามไป หรือถ้าเราไม่ได้ตามไปแล้วหากันไม่เจอจริงๆ เธอก็กลับไปก่อนได้เลยนะ ”
โซเฟียไม่ทันจะกล่าวอะไรวาก็วิ่งไปไกลเสียแล้ว ความจริงเธอต้องการที่จะวิ่งตามวาไปเหมือนกัน เพียงแต่เธอเองก็ไม่ทราบว่าทำไมถึงไม่ได้วิ่งตามเข้าไป คล้ายกับว่ามกำแพงสูงใหญ่มาบังกั้นเธอไว้ไม่ให้ตามเขาไป เธอเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเกิดเรื่องอะไรกันขึ้น และเธอเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมในใจเธอถึงเกิดความรู้สึกแปลกๆแบบนี้ขึ้นมา
แต่สิ่งหนึ่งที่โซเฟียรู้สึกได้อย่างแน่นอนก็คือ หนังเรื่องนี้มันช่างเศร้าเสียจริงๆ เศร้าจนเธอเกือบอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา และอีกสิ่งหนึ่งที่เธอรู้ก็คือ วา ไม่ได้กลับมาหาเธอ จนหนังจบ เธอนั่งรอ มองหาวาอยู่หน้าโรงหนังเป็นเวลากว่าชั่วโมงเธอก็ยังไม่เห็นแม้แต่วี่แววของเขา เธอความจริงอยากจะโทรไปถามว่าที่แท้เขาอยู่ไหนกันแน่ แต่เธอก็ไม่ได้โทรไป เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเธอถึงไม่โทรไป เธอรู้เพียงแค่ว่าวันนี้เธอนั่งรถประจำทางกลับโรงเรียนคนเดียว และฝนตกก็ลงมาแล้ว ไม่ทราบว่าเป็นเพราะหนังเรื่องที่เธอเพิ่งดูไปนั้นเศร้า หรือเพราะว่าอะไรกันแน่ แต่น้ำตานั้นได้ไหลซึมออกมาจากดวงตาของเธอแล้ว เพียงแต่ไหลออกมาเพียงนิดเดียวเท่านั้น เพียงนิดเดียวเท่านั้นจริงๆ
..
_______________________________________________
ความคิดเห็น