ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    โรงเรียนมหาโจร

    ลำดับตอนที่ #31 : บทเรียนที่ 26 น้ำตาของโซเฟีย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.21K
      54
      15 ม.ค. 50

                                   บทเรียนที่ 26  น้ำตาของโซเฟีย                   

     

     



                           วาตื่นแต่เช้าจากนั้นเมื่อเขาพบว่าจัดการทุกอย่างในห้องของเขาเรียบร้อยแล้ว             ก็ก้าวออกไปจากห้องทันทีโดยที่นีโอนั้นยังคงหลับอยู่วาค่อยๆปิดประตูห้องอย่างเบาๆ จากนั้นก็ก้าวตรงไปยังลิฟท์

    วันนี้ที่วารีบตื่นแต่เช้านั่นก็เพราะว่าวันนี้เป็นวันหยุดนั่นเอง และแน่นอนวันนี้จะต้องไม่ใช่วันหยุดธรรมดาด้วย  ที่เป็นเช่นนั้นอาจเป็นเพราะวันนี้เป็นวันที่เขาจะกลับเอาไปไม้ปิงปองคู่ใจของเขาที่บ้านนั่นเอง  แต่นั่นก็ยังไม่ใช่เหตุผลเพียงอย่างเดียว ที่สำคัญก็เพราะว่าวันนี้วาได้นัดกับโซเฟียว่าจะออกไปเที่ยวด้วยกันหลังจากเขากลับไปเอาไม้ปิงปองที่บ้าน เสร็จแล้ว    ดังนั้นวาจึงรีบตื่นแต่เช้าเพื่อที่จะได้กลับมายังโรงเรียนทันก่อนที่จะถึงเวลานัด

                                                                

    วาก้าวเท้าด้วยความรวดเร็วก่อนที่จะแสดงเข็มตราโรงเรียนให้กับกัปตันอดุสยามเฝ้าประตูหน้าโรงเรียนดู 

    จากนั้นวาก็เรียกแท๊กซี่ และไม่นานแท๊กซี่ก็นำเขามาส่งยังบ้านของเขา  

    วาดูนาฬิกาที่ข้อมือของเขาก็ยิ้มขึ้น   จากนั้นก็ล้วงกุญแจบ้านจากเป้ของเขาพร้อมกับไขประตูบ้านเข้าไปอย่างไม่รีบร้อนนัก    เวลาขณะนี้เป็นเวลาหกนาฬิกาพอดี  นั่นก็หมายความว่าเขายังมีเวลาเหลืออีกสองชั่วโมงก่อนที่จะกลับไปหาโซเฟียที่โรงเรียน     

    เมื่อวาก้าวเข้าบ้านของเขานั้น   เขาก็สัมผัสได้ถือบรรยากาศอบอุ่นที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี   

    ‘ ไม่ได้กลับมานานเหมือนกันนะเนี่ยเรา ’

    วาคิดพร้อมกับค่อยๆ เดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง  จากนั้นไขประตูห้องของเขาออก   เมื่อประตูห้องถูกเปิดออกนั้น   คล้ายมีกระแสลมโชยผ่านมาใส่เขาวูบหนึ่ง   เป็นกระแสลมแห่งความทรงจำนั่นเอง      นั่นทำให้เขารู้สึกถึงความอบอุ่น  ความสุข หรือความเศร้ามากมาย  และที่เขาไม่อาจลืมได้เลยก็คือ  ความทรงจำถึงใครบางคน……….

    วาเดินไปวางเป้ลงบนเตียงของเขาก่อนที่จะเอนตัวนอนลงบนเตียง    ห้องของวานั้นไม่ต่างจากห้องของเด็กผู้ชายทั่วๆ ไปสักเท่าไหร่  เป็นห้องที่ไม่ใหญ่ไป และก็ไม่เล็กไป     วากวาดสายตาไปยังโต๊ะหนังสือของเขา  ทุกอย่างยังคงเดิม  เหมือนวันก่อนที่เขาจะออกเดินทางไปที่โรงเรียนอับดุล อินเตอร์ไม่มีผิดเพี้ยน    จากนั้นวาสูดหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกันยันตัวขึ้นเดินไปยังโต๊ะหนังสือของเขา  พร้อมกับค่อยๆ เปิดลิ้นชักออกมา

    ลิ้นชักที่เก็บความทรงจำไว้มากมาย  และหนึ่งในนั้นก็คือ สิ่งที่เขากำลังตามหาอยู่    หากเปรียบเป็นนิยายแฟนตาซีแล้วละก็  ขณะที่จะกล่าวได้ว่าในลิ้นชักของวานั้นมีสิ่งหนึ่งกำลังทอแสงเปร่งประกายออกมาก็คงจะไม่เกินเลยไป   เพราะสิ่งๆนั้นก็คือ  ไม้ปิงปองคู่ใจของเขานั่นเอง      ไม้ปิปองคู่ใจของวาหากเป็นคนอื่นคนคิดว่าต้องเป็นไม้ที่ทำอย่างดี   ไม่ก็มีราคาแพงเป็นพิเศษอย่างแน่นอน   แต่หากมาเห็นจริงๆแล้วจะพบว่า  มันไม่ได้ต่างจากไม้ปิงปองธรรมดาทั่วๆไปเลย  หน่ำซ้ำยังดูเก่าอีกด้วย   แต่ถึงกระนั้นก็ได้รับการทำความสะอาดและเก็บรักษาเป็นอย่างดี  

    ที่ทำให้มันมีค่าไม่ใช่เพราะว่ามันมีราคา  หรือเพราะว่ารูปลักษณ์ภายนอกที่พิเศษแต่อย่างใด   แต่เป็นเพราะการให้ความเอาใจใส่  ความเชื่อมั่นที่มีวามีต่อมันต่างหาก  มันถึงได้เป็นไม้ปิงปองที่พิเศษสำหรับเขา   เช่นเดียวกันกับคน    หากในใจของเราใส่ใจใครคนหนึ่งเป็นพิเศษแล้วละก็   แม้ว่าคนๆนั้นจะเป็นคนธรรมดาทั่วๆไปเหมือนกันกับคนอื่น  แต่ก็จะกลายเป็นดังแสงสว่างหรือคนพิเศษเราสำหรับเลยทีเดียว   นี่อาจเป็นเพราะคำว่า  ‘ ความรัก และความเอาใจใส่ ’  ก็เป็นได้

     

                     

    วาหยิบไม้ปิงปองคู่ใจของเขาขึ้นมาช้าๆ   จากนั้นก็ลูบคลำไม้พร้อมกับลองจับมันหวดไปมาอย่างช้าๆ คล้ายเป็นการซ้อมมือให้หายคิดถึงอย่างไรอย่างนั้น     ขณะที่เขากำลังหวดไม้ปิงปองของเขาไปมาอยู่นั้น  สายตาของเขาก็บังเอิญหันไปเห็นสิ่งหนึ่งในลิ้นชักของเขา       นั่นทำให้เขาต้องหยุดมือของเขาลงในทันที   ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าไหร่    เขาเองคล้ายเพิ่งรู้สึกตัวขึ้น   ในหัวใจไม่ทราบมีรสชาติเป็นเช่นไรในตอนนี้

    สิ่งที่สายตาของเขากำลังจดจ่ออยู่นั้นก็คือ ‘รูปภาพธรรมดารูปหนึ่ง’ เท่านั้นเอง    แต่รุปภาพรูปนี้ใช่รูปภาพธรรมดาจริงๆหรือ    ถ้าใช่อย่างนั้นทำให้ในใจของเขารู้สึกเจ็บปวดได้ถึงเพียงนี้

    วาอยากที่จะหยิบรูปภาพนั้นขึ้นมาดูชัดๆ ความทรงจำของเขาในตอนนี้คล้ายพรั่งพรูเข้ามาใส่ตัวของเขา   แต่เขากลับไม่กล้าแม้แต่จะยื่นมือของไปหยิบ  แม้จะมองต่อไปยังไม่อาจฝืนใจทนดูต่อไปได้      ทำไมเขาเองถึงรู้สึกเช่นนี้ก็ตอบตัวเองไม่ได้เช่นกัน

    ในที่สุดวาตัดสินใจผลักลิ้นชักนั้นลง  และค่อยๆนำไม้ปิงปองของเขาเก็บใส่ซอง พร้อมกับเก็บใส่เป้  เตรียมพร้อมที่จะกลับไปยังโรงเรียน

    วาค่อยๆ ล็อคกุญแจประตูรั้วก่อนที่จะถอนหายใจครั้งหนึ่ง   จากนั้นยืนรอแท๊กซี่    ทิ้งให้เจ้ารูปภาพที่อยู่ในลิ้นชักให้คงอยู่อย่างนั้น   ‘ รูปภาพของเธอคนนั้น……… ’ 

     

     

    ไม่นานนักวาก็กลับมาถึงโรงเรียน  เวลาที่มาถึงก็เกือบจะถึงเวลานัดพอดี   ระหว่างเดินทางนั้นทำให้วาลืมเรื่องรูปภาพที่อยู่ในลิ้นชักไปได้สักพัก    และตอนนี้เขาเองก็ไม่ได้นึกถึงมันแล้ว   เพราะเขารู้เพียงแค่ว่าตอนนีเต้องไปรอโซเฟียที่ลานม้านั่งหินอ่อนทางด้านซ้ายแถวหน้าประตูโรงเรียน  

    วันนี้วาใส่กางเกงยีนส์สีน้ำเงิน  เสื้อยืดแขนสามส่วนสีขาวดูแล้วสบายตา  แต่ก็มีสไตล์เข้ากับตัวของเขาเป็นอย่างดี   แถมยังดูเหมาะสำหรับหน้าหนาวแบบนี้เสียด้วย    

    เมื่อเขาเดินไปยังลานม้านั่งหินอ่อนก็ต้องพบว่า  มีคนเพียงคนเดียวที่นั่งอยู่ในบริเวณนั้น  อาจะเป็นเพราะวันนี้เป็นวันหยุด  และบริเวณนี้ก็ไม่ค่อยจะมีคนสักเท่าไหร่    แต่ถึงแม้จะมีคนมากมายคนที่นั่งอยู่ในตอนนี้ก็คงจะโดดเด่นกว่าทุกคนเป็นแน่    คนๆนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น  แต่เป็นหัวหน้าห้องจอมกวนของเขา  ‘โซเฟีย ’ นั่นเอง

    โซเฟียเองก็เหมือนจะรู้ถึงการมาของวา หันไปพบวาพอดี    วันนี้เธอก็แต่งตัวตามสบายคล้ายๆกับวาเช่นกัน   แต่เธอใส่เสื้อแจ๊คเก็ตสีดำ  ข้างในสวมด้วยเสื้อยืดสีขาว กับกระโปรงผ้ายาวถึงหัวเข่า ลายตารางสลับสีขาวกับดำ  รองเท้าผ้าใบสีดำ   ดูแล้วเข้าชุดกันเป็นอย่างดี

    แต่ที่ทำให้เธอโดดเด่นนั้นหาใช่เครื่องแต่งกายเพียงอย่างเดียว   แต่เป็นท่าทางที่ร่าเริง สดใสอยู่ตลอดเวลาของเธอ   ซึ่งแม้กระทั่งวาที่เห็นวาเอเป็นยัยจอมกวนยังอดที่จะเขินไม่ได้เมื่อสบสายตา

    แต่วาก็คล้ายปรับตัวได้ด้วยความรวดเร็ว  เมื่อสบตากับเธอได้ไม่นานก็รีบยิ้มพร้อมกับกล่าวทักทาย

    “ สวัสดิ์ดีตอนเช้า  ตกใจจริงๆ  ตอนแรกนึกว่าผีที่ไหนมานั่งเฝ้าลานม้านั่งเสียอีกนะเนี่ย ”

    มาถึงวาก็ล้อเล่นกับเธอในทันที  อาจจะเป็นเพราะเขาเห็นว่าเธอดูน่ารักกว่าทุกวัน  แต่ไม่กล้าชม เลยได้แต่กล่าวแกล้งไปอย่างนั้น     ซึ่งโซเฟียก็คือโซเฟีย   เธอก็ทำหน้าดุจากนั้นก็กล่าว

    “ หึ งั้นก็รีบไปๆซะสิ  มาคุยกับผีทำไมมิทราบ ”

    วาเห็นท่าทีงอนของโซเฟียก็ยิ้มพร้อมกับหัวเราะ

    “ ตอนแรกก็กะจะหนีแล้วละ  พอดีผีตัวนี้น่ารักเลยเปลี่ยนใจละ ”

    โซเฟียได้ยินก็อดยิ้มไม่ได้  พร้อมกับทำหน้าเชิดใส่ ‘ หึ ’

                     

     

    จากนั้นวาก็ก้มลงดูนาฬิกาของตัวเองก็พบว่า เหลืออีกประมาณสิบนาทีถึงจะเป็นเวลาที่นัด  ก็ต้องกล่าวชมโซเฟียอีกครั้ง

    “ แหม มาก่อนเวลานัดแบบนี้นี่  ถือว่าผิดเวลานัดนะเนี่ย   กลับไปก่อนแล้วค่อยมาใหม่ดีกว่ามั้ง ”

    “ อ่อหรอ  แล้วนายไม่ได้มาก่อนเวลาเหมือนกันหรอ ”

    “ นั่นสินะ ”

    จากนั้นทั้งคู่ก็หัวเราะ  บรรยากาศยามเช้าในตอนนี้ช่างเต็มไปด้วยความสุขเสียจริงๆ

    “ ว่าแต่กลับไปเอาไม้ปิงปองมาแล้วหรอ  เร็วใช้ได้เลยนะเนี่ย ”  โซเฟียถาม

    “ ไม่เท่าไหร่หรอก ”   วายิ้ม  แต่พอนึกถึงรูปภาพใต้ลิ้นชักขึ้นมาสีหน้าก็เปลี่ยนไปนิดนึง   แต่โซเฟียไม่ทันสังเกตเห็น 

    “ แล้วเราจะไปกันเลยไหม ”   วาถาม  ไม่อยากให้โซเฟียสังเกตความไม่สบายใจของเขาได้

    “ พร้อมจะลุยกันมานานแล้วละ !!! ”

    โซเฟียกล่าวจากนั้นก็ลุกขึ้นด้วยความสดชื่น  พร้อมกับเดินนำหน้าวาไป 

     

     

    ที่ๆทั้งสองคนวางแผนกันไว้ว่าจะไปเที่ยวนั่นก็คือ รีโน่  ย่านที่เป็นศูนย์กลางที่รวมสินค้า  และห้างสรรพสินค้า  โรงหนัง  และอะไรต่างๆ มากมาย

    ในตอนแรกนั้นวาบอกว่านั่งแท๊กซี่ไปจะสะดวกกว่า  แต่โซเฟียบอกว่านั่งรถประจำทางไปจะดีได้บรรยากาศดีกว่า  ซึ่งวาเองก็ไม่ขัดอยู่แล้ว   เพราะเขาก็ชอบนั่งรถประจำทางอยู่แล้ว  

    ทั้งสองทั้งนั่งรถประจำทางไม่นานนักก็มาถึงที่หมาย หากมองออกไปนอกรถตอนนี้แล้วจะพบว่าผู้คนเริ่มทยอยกันมาแล้ว  แม้จะไม่เยอะแต่ก็ถือได้ว่าไม่น้อยเลยทีเดียว             

    ซึ่งปกติที่นี่ก็มักจะมีผู้คนมากมายอยู่แล้ว  ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่เด็กนักเรียน วัยรุ่น จนถึงคนทำงาน     วาเองแม้จะมาที่นี่ไม่บ่อยนัก  แต่ก็ไม่ถึงกับไม่เคย  

    “ คนเยอะใช้ได้เลยนะเนี่ย ”    วากล่าวขณะเดินไปเรื่อยๆ

    ทั้งคู่เดินไปเรื่อยๆ จนเมื่อถึงบริเวณหน้าโดมใหญ่แห่งหนึ่ง  โซเฟียก็หยุดเดิน  ทำให้วาต้องหยุดตามไปด้วย    เห็นเธอมองขึ้นไปยังจอยักษ์ข้างบนโดมใหญ่  เป็นจอยักษ์ซึ่งกำลังแสดงหนังตัวอย่างเรื่อง ‘ ปลายปากกาที่ไร้ซึ้งความฝัน ’  ซึ่งเป็นหนังรักแนวใหม่ที่กำลังมาแรง และน่าจับตามองในช่วงนี้   โดยตัวเรื่องจะเป็นการบรรยายถึงชีวิตของนักเขียนที่เกิดไปตกหลุมรักผู้หญิงคนหนึ่ง  แต่ไม่สามารถที่จะรักเธอได้  จนทำให้ความฝันที่จะเป็นนักเขียนของตนต้องพังลง  ไม่สามารถเขียนงานอะไรได้อีก    ตัวเรื่องนี้มีเอกลักษณ์อยู่ที่เป็นหนังที่มีแต่ความเศร้า ทรมาน และไม่สมหวัง  ซึ่งถือได้ว่าเป็นการทวนกระแสหนังรัก  จนใครๆก็ต่างให้ความสนใจเป็นพิเศษเลยทีเดียว

    “ นี่ นายรู้จักหนังเรื่องนี้ไหม ”   โซเฟียชี้นิ้วไปยังจอยักษ์   ที่แท้โดมขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าของพวกเขาก็คือ  โรงหนังขนาดใหญ่ที่มีชื่อแห่งหนึ่งของรีโน่ที่ชื่อว่า ‘ สกาย ’ นั่นเอง    

    วามองตามที่โซเฟียบอก

    “ อ๋อ เรื่องนี้น่ะหรอ  รู้จักสิ  เราว่ามันก็น่าดูดีนะ ”

    “ ใช่ไหมละ ”

    “ คนเขียนเรื่องนี้ได้นี่ก็ช่างคิดเนอะ  เขียนให้ทั้งเรื่องมีแต่เรื่องเศร้าขนาดนั้นได้ ”

    โซเฟียพยักหน้า เห็นด้วยกับวา

    “ แหะๆ เราว่าคนเขียนท่าทางจะเอาชีวิตจริงมาเขียนนะ ”

    “ เราก็ว่างั้นแหละ ”

    ขณะที่วากำลังมองตัวอย่างหนังอยู่นั้น   โซเฟียก็สะกิดเข้าพร้อมกับเดินเข้าไปยังโดมใหญ่  

    “ นี่เธอจะไปไหนน่ะ ”

    “ ก็ไปดูรอบหนังน่ะสิ ” 

    “ แต่…… ” ไม่ทันที่วาจะกล่าวอะไร  โซเฟียก็เดินนำหน้าเขาไปเสียแล้ว   วาเองไม่ได้คิดว่าวันนี้เขาจะออกมาดูหนังเลยแม้แต่น้อย   แต่หนังเรื่องนี้ก็น่าดูอยู่เหมือนกัน   ดังนั้นวาจึงไม่ขัดเดินตามโซเฟียไป 

     

     

               

    ภายนอกของโดมนั้นแม้จะดูใหญ่มากๆแล้ว   ที่น่าตกใจก็คือ  ภายในยังดูกว้างใหญ่ยิ่งกว่าภายนอกเสียอีก     ขณะนี้แม้จะเป็นเวลาไม่เช้านัก  แต่ก็มีผู้คนอยู่ข้างในมากพอสมควรเลยทีเดียว    (ขนาดคนไม่ค่อยเยอะของที่นี่  ยังเรียกได้ว่าถ้าเดินแบบเหม่อลอยละก็  อาจจะหลงกับคนที่เดินด้วยเอาง่ายๆเลยทีเดียว) ดังนั้นวาพยายามเดินตามโซเฟียให้ใกล้ที่สุด   

    ภายในโดมแห่งนี้นั้นหลายคนอาจจะคิดว่าจะต้องมีร้านค้าอะไรต่างๆ มากมาย  นั่นเพราะขนาดที่กว้างใหญ่อย่างมากของมัน   แต่ที่น่าแปลกก็คือ  ภายในกลับมีร้านค่าน้อยมาก   เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่นั้นหมดไปกับโรงหนังมากมาย  ซึ่งทำให้โดมนี้นั้นสามารถรองรับผู้คนเอาแค่เฉพาะที่มาดูหนังได้มากกว่าห้าพันคนเลยทีเดียว  พูดง่ายๆว่ารายได้ที่ได้มานั้น   มาจากคนที่มาดูหนังที่นี่เป็นส่วนใหญ่    และก็ไม่น่าแปลกที่จะมีคนดูหลงโรงบ่อยๆ เพราะว่าโรงในโดมแหงนี้นั้นเยอะมาก   ถึงกับว่าถ้าไม่ดูเส้นทางเดินให้ดีๆละก็  โอกาสที่จะเข้าดูหนังสายก็จะเกิดขึ้นเอาได้ง่ายๆเลยทีเดียว

    วาเดินตามโซเฟียจนถึงหน้าเคาเตอร์จองตั๋วหนัง   ที่บริเวณหน้าเค้าเตอรืก็มีหน้าจอขนาดยักษ์ชนิดที่ว่าต่อให้เป็นคนสายตาสั้นก็ยังอ่านรอบตั๋วหนังได้โดยไม่ต้องใส่แว่นตาเลยทีเดียว    

    โซเฟียไม่ว่ากล่าวอะไร   แต่สายตากวาดผ่านรอบหนังไปเรื่อยๆ   ซึ่งรอบหนังที่นี่มีเยอะมาก  

    “ นี่ ถ้ามีให้เลือกระหว่างรอบบ่ายโมงครึ่ง กับบ่ายสามจะเลือกรอบไหน ”   โซเฟียถามวาโดยที่ยังมองเจ้าจอยักษ์นั่นอยู่

    “ เราว่ารอบบ่ายสี่ไม่ดีกว่าหรอ ”  วาชี้ไปยังรอบบ่ายสี่

    “ ตอบไม่ตรงประเด็นเลยนะนายนี่  ถ้าจะดูรอบบ่ายสี่แล้วเวลาอีกตั้งเยอะแย่ะจะไปทำอะไรดีละ ”

    ขณะวากำลังครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่ง   สายตาของเขาก็กวาดผ่านไปยังแผ่นป้ายใหญ่ที่ตั้งอยู่ทางด้านขวาห่างออกไปไม่มากนัก

    “ คิดออกแล้ว ดูนั่นสิ ”    วาชี้ไปยังแผ่นป้าย

    แผ่นป้ายยักษ์นั้นเขียนว่า   ‘ ขอเชิญร่วมงานเปิดตัวหนังเศร้าฟอร์มยักษ์  ปลายปากกาที่ไร้ซึ่งความฝันที่โดมสกายแห่งนี้เวลาตั้งแต่ 13.00 น. -  15.30 น. ’  และมันยังเขียนไว้ว่าผู้ที่เข้าร่วมงานนี้ซึ่งมาดูกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปสามารถเอาตั๋วมาแลกของรางวัลต่างๆมากมาย  และสามารถสอบถามความคิดเห็นจากนักเขียนเรื่องนี้ได้อีกด้วย

    “ เราก็ว่าอยู่แล้วเชียว  ที่แท้หนังเรื่องนี้เพิ่งจะเข้าโรง แล้ววันนี้ก็น่าจะเป็นวันเปิดตัวหนังเรื่องนี้ด้วยละ ”   

    “ ถ้าอย่างนั้นจะบอกว่า จะอยู่รอดูงานเปิดตัวของหนังเรื่องนี้อะหรอ ”  โซเฟียถาม  เธอเองไม่ค่อยจะสนใจเรื่องงานเปิดตัว  หรืองานอะไรที่เกี่ยวกับงานเขียนสักเท่าไหร่นัก                                

    “ อืม  เราว่าเป็นโอกาสที่ดีออก  ได้รับฟังความคิดเห็นของคนที่สร้างผลงานว่ามีแรงบันดาลใจยังไงกว่าที่จะเขียนออกมาได้อะไรทำนองนี้ละ  แถมเรายังเอาตั๋วไปแลกของรางวัลได้อีกนะ ”    

    วาทำท่าดีใจเป็นพิเศษ   โซเฟียเมื่อเห็นดังนั้นก็ไม่อยากขัดใจ   จึงตอบตกลงไป

    “ แต่ก็น่าแปลกเนอะ  ที่มาเปิดตัวหนัง  แต่ว่ามีรอบของหนังให้ดูก่อนที่จะเปิดตัวเนี่ย ”

    “ ถ้าเป็นคนอื่นก็คงจะแปลกแหละ  แต่สำหรับนักเขียนเรื่องนี้ถ้าไม่ทำอย่างนี้สิ ถึงเรียกว่าแปลก ถึงเราจะไม่เคยอ่านเรื่องที่เขาเขียนก็เถอะ  แต่ฟังจากสไตล์การเขียนของเขาแล้วก็เป็นแบบนี้ละ ”

    “ นายนี่รู้เรื่องเยอะกว่าที่เราคิดไว้นะเนี่ย ”

     “ จะถือว่าเป็นคำชมก็แล้วกันนะ ”   วายิ้มเจือนๆ

                      

     

    หลังจากนั้นทั้งสองคนก้ทำการจองตั๋วหนังรอบบ่ายสี่   ซึ่งหาที่นั่งได้ไม่ยากนัก   เนื่องจากโรงเยอะมาก     วามองดูนาฬิกาของตัวเองแล้วปรากฎว่าเป็นเวลาสิบโมงครึ่งเท่านั้น  ซึ่งก็หมายความว่าเขามีเวลาที่จะทำอะไรก็ได้อีกสองชั่วโมงครึ่งก่อนที่จะถึงงานเปิดตัวหนัง  

    “ เหลือเวลาอีกสองชั่วโมงครึ่งแน่ะ  กว่าจะถึงเวาเปิดตัว   จะทำอะไรกันดีละ ”

    “ แล้วปกติคุณเด๋อชอบทำอะไรละ ”

    “ อืม  ก็คงเดินเล่นไปเรื่อยๆ ละมั้ง ”

    “ อ่านะ  งั้นก็ไปเดินเล่นเรื่อยๆ ละกัน แหะๆ ”

    จากนั้นทั้งสองคนก็เริ่มเดินเล่นไปเรื่อยเปื่อย   โดยที่วานั้นไม่ทันได้สังเกตว่าวันนี้โซเฟียดูอารมณ์ดีกว่าทุกๆวัน  อาจเป็นเพราะว่าปกติเธอก็ดูเป็นคนที่อารมณ์ดีอยู่แล้วก็เป็นได้  และวาเองก็ไม่ทันได้สังเกตกว่ามีสายตาอิจฉาจากคนรอบข้างมองมาที่เขา    นั่นเพราะว่าปกติโซเฟียก็เป็นคนที่น่ารักอยู่แล้ว  (ขนาดตอนที่วาเจอตอนแรกๆยังอดเขินไม่ได้เลย ) และวันนี้เธอก็แต่งตัวดีกว่าปกติ  ไม่เหมือนตอนที่อยู่โรงเรียนจะแต่งตัวธรรมดา จึงไม่แปลกที่จะมีสาตาอิจฉามองมาที่เขา   หรือแม้กระทั่งผู้หญิงบางคนยังอดอิจฉาไม่ได้ที่อยากจะน่ารักแบบนี้บ้าง    แต่วาเองกลับไม่รู้สึกอะไรสักเท่าไหร่  อาจเป็นเพราะว่าเขาเริ่มสนิทกับเธอ  หรือเจอกันอยู่ทุกวันจนชินแล้วก็เป็นได้  

    หรือว่าที่วาไม่รู้สึกอะไรนั้น  อาจจะเป็นเพราะเขาไม่กล้าที่จะชอบเธอก็เป็นได้   เพราะอะไรนั้นไม่มีใครสามารถตอบได้  

    จิตใจของคนเรานั้น  ใครเล่าที่จะทราบได้ดีกว่าตัวเราเอง  หรือแม้แต่บางครั้งตัวเราเองก็ยังไม่เข้าใจจิตใจของตัวเราเองเลย   ดังนั้นเรื่องเศร้าที่เกิดขึ้นจากความไม่เข้าใจกันนั้นจึงเกิดขึ้นอยู่เสมอ 

     

     

    ไม่ทราบว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร   เมื่อวามาดูเวลาอีกทีก็ใกล้จะถึงเวลาที่งานเปิดตัวหนังจะมาถึงแล้ว    วาจึงชวนโซเฟียไปยังบริเวณที่เขาจัดงานเปิดตัวกัน   วาเองก็ต้องพบว่าบริเวณรอบๆนั้นมีผู้คนมากมายกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก   ซึ่งที่เบื้องหน้าของเขาเป็นเวทีขนาดกลาง  และก็มีเก้านวมสีขาวตั้งอยู่   ที่เบื้อหลังฉากของเวทีเขียนตัวอักษรตัวมหญ่ๆไว้ข้างบนว่า   ‘ งานเปิดตัว  ปลายปากกาที่ไร้ซึ่งความฝัน ’  ไว้   จากนั้นวาจึงรีบชวนโซเฟียไปหาที่นั่งก่อนที่คนจะแห่กันมาจนไม่มีที่นั่ง    ซึ่งขณะที่วากำลังจะฝ่าฝูงชมไปเพื่อหาที่นั่งนั้นเขาก็พบว่ามีเด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุไม่น่าจะพอๆกับเขายืนขวางทาง เขาอยู่     ตอนแรกวาก็ไม่ได้เอะใจอะไร    แต่เมื่อยืนอยู่นานเขาก็ยังไม่ยอมเดินหลบ   วาเลยมองหน้าคนๆนั้นอย่างช้า    ซึ่งเมื่อวามองไปก็ต้องพบว่าคนๆนั้นยืนยิ้มให้กับเขาอยู่ก่อนหน้าแล้ว   แต่ที่น่าแปลกก็คือ วาไม่รู้จักคนๆนี้เลยแม้แต่น้อย

    “ เออ ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่ามาร่วมงานเปิดตัวหนังเรื่องนี้รึเปล่าครับ ”   คนๆนั้นยิ้มมาให้กับวา  ราวกับรู้จักกันมาเป็นเวลานาน    วาไม่ทราบจะทำอย่างไรดีจึงตอบกลับไป

    “ อ่อครับ ”   

    คนๆนั้นกวาดสายตาผ่านวาไปพบกับโซเฟีย  ก็ทำท่าแปลกใจแต่ก็ยังยิ้มอยู่     

    “ มากับแฟนด้วยหรอครับเนี่ย ”

    “ ไม่ใช่ครับ แค่เพื่อนน่ะครับ ”    วารีบตอบอย่างทันควัน

    “ ไม่ทราบว่าจองตั๋วหนังไว้หรือยังครับเนี่ย ”     คนๆนั้นถามต่อ 

    “ ครับ ทำไมหรอครับ ”

    “ ก็แค่จะบอกว่า  ลองเก็บตั๋วไว้ดีๆนะครับ   เดี๋ยวพอถึงงานเปิดตัวจะมีเกมให้เล่นพิเศษบนเวที  ซึ่งคนส่วนใหญ่จะใช้ตั๋วเล่นเกม  หรือเอาไปแลกของรอบๆนี้ก่อนแล้ว ”

    ได้ยินคนๆนั้นกล่าวมาเช่นนี้วา และโซเฟียก็ต้องมองหน้ากันด้วยความงุนงง    ไม่ทราบว่าเขาต้องการจะมาไม้ไหนกัน

    “ แล้วทำไมคุณถึงรู้ละค่ะ ”    โซเฟียชิงถามก่อน  เธอเป็นคนที่เวลามีอะไรที่เธอไม่เข้าใจ  เธอจะอยากรู้และรีบถามทันที

    “ เอาเป็นว่าผมรู้ก็แล้วกัน ไปก่อนนะครับ ”   คนๆนั้นตอบพร้อมกับเดินจากไป    ทิ้งให้ความสงสัยของโซเฟีย และวายังคงไม่ถูกตอบออกมาอย่างนั้น

    “ ท่าทางจะบ้าน่ะหมอนี่ ”  โซเฟียกล่าวพร้อมกับทำหน้างงๆ

    “ อืม แต่เราไม่คิดอย่างนั้นนะ   เราว่าลักษณะการพูดของเขามันทำให้เราคิดอะไรขึ้นมาอย่างหนึ่ง ”

    “ อะไรงั้นหรอ ”

    “ ไม่รู้สิ เราเองก็คิดไม่ออกเหมือนกัน  แต่มันติดใจๆ ยังไงพิกล ”  วายิ้ม “ เอาละเราไปหาที่นั่งกันก่อนเถอะ  คนเริ่มเยอะแล้ว ”

    วาเลือกที่จะนั่งที่นั่งแถวๆ หน้าเวที   เพราะเขาอยากจะรู้เหมือนกันว่าเกมที่คนๆนั้นบอกว่ามีจะมีจริงหรือเปล่า   ซึ่งแม้แต่โซเฟียเองก็อยากจะรู้ด้วยเช่นกัน

    ไม่น่าเชื่อว่าแค่การเข้ามาคุยเพียงไม่กี่ประโยคของคนๆเดียวจะทำให้ทั้งสองคนสนใจถึงเพียงนี้ได้   คนๆนั้นที่แท้เป็นกันใครแน่ ?

     

     

    และแล้วเมื่อเห็นว่าผู้คนที่มาร่วมงานเริ่มนั่งที่นั่งที่ได้จัดไว้จนเกือบจะเต็มแล้ว  ส่วนคนที่หาที่นั่งไม่ได้ก็ยืนกันอยู่จนเต็มไปหมดแล้ว   พิธีกรสาวคนหนึ่งก็เดินขึ้นมาบนเวที   พร้อมกับประกาศเปิดงานเปิดตัวหนังเรื่องนี้ขึ้น  โดยตอนแรกก็กล่าวเชิญผู้กำกับหนัง  และทีมดาราแสดงขึ้นมาทีละคน  โดยเมื่อนางเอกที่แสดงในเรื่องเดินขึ่นมาบนเวทีก้ได้รับเสียงเฮเป็นการใหญ่   แต่ในความคิดของวานั้นแม้นางเอกจะดูน่ารัก  แต่โซเฟียังดูน่ารักกว่า  ถึงแม้จะชอบกวนประสาทเขาก็ตามที 

    “ และเราก็ได้เห็นโฉมหน้าของตัวแสดง กับผู้กำกับกันไปเรียบร้อยแล้วนะค่ะ   ต่อไปเราจะมาสัมภาษณ์สดความรู้สึกที่มีต่อการเขียนหนังเรื่องนี้ออกมากับนักเขียนหน้าเด็กที่กำลังมาแรง  เจ้าของผลงาน ‘ ปลายปากกาที่ไร้ซึ่งความฝัน ’ ที่หลายๆคนอาจจะรู้จักกันในนาม เงาจันทร์ กัน      ขอเชิญพบกับเขาได้เลยค่ะ ”

    จากนั้นได้ยินเสียงปรบมือจากคนรอบข้างมากมาย   พร้อมกันนั้นก็เห็นเด็กผู้ชายรุ่นๆเดียวกันกับวา  ลักษณะเป็นคนอารมณ์ดี  ตัวไม่สูงไม่เตี้ย ผมทรงตั้งๆ  จะดุว่าน่ารักก็น่ารัก จะดูว่าไม่น่ารักก็ไม่น่ารัก  ดูแล้วเหมือนเป็นคนที่ไม่มีความมั่นใจ และก็เหมือนจะมีความมั่นใจก้าวขึ้นมาบนเวที

    ที่น่าแปลกก็คือ หน้าตาของคนๆนี้   คล้ายกับคนที่เดินเข้ามาคุยกับวาไม่มีผิดเพี้ยน   นั่นทำให้วา กับโซเฟียต้องอึ้งไปตามๆกัน   

    ที่แท้คนที่เข้ามาคุยกับวา และโซเฟียกลับเป็น ‘ เงาจันทร์ ’ นักเขียนคนนี้นั่นเอง 

    อาชีพนักเขียนแม้จะเป็นหนึ่งในอาชีพสายบังเทิง  แต่กลับต่างจากอาชีพดาราลิบลับ  แม้จะเป็นที่รู้จักของคนอื่น  แต่ก็เป็นเพียงแค่ในนามเท่านั้น   หากจะบอกว่าเราเดินสวนกับนักเขียนคนหนึ่ง  บางครั้งเรากลับไม่รู้เลยว่าเขาเป็นนักเขียน  ซึ่งต่างกันกับดาราที่เราจะรู้ได้ในทันทีว่าคนๆนั้นคือ ดารา

     

                   

    “ สวสดีครับ ”  เงาจันทร์กล่าวพร้อมกับยิ้มให้กับทุกคน   ไม่ทราบว่าวา กับโซเฟียคิดไปเองหรือเปล่า  แต่ขณะที่สายของเขากวาดผ่านผู้คนไป  คล้ายหันมายิ้มให้กับทั้งคู่แวบหนึ่ง 

    จากนั้นเงาจันทร์ก็นั่งลงพร้อมกับรับคำสัมภาษณ์

    “ ก่อนอื่นก็อยากจะถามว่า ทำไมถึงใช้นามปากกาว่า เงาจันทร์ค่ะ ”  พิธีกรสาวถาม

    “ อืม ก่อนอื่นก็ต้องขอบอกก่อนนะครับว่า  เงาจันทร์นี่ไม่ใช่มาจาก  ถึงน้ำเน่าแต่ก็เห็นเงาจันทร์นะครับ ”  จากนั้นเว้นระยะให้คนที่ฟังได้หัวเราะกันสักพักก็กล่าวต่อ  “ แต่เป็นเพราะเวลาผมจะคิดหรือเขียนอะไรสักอย่างขึ้นมา  ผมจะต้องคิดตอนกลางคืนถึงจะเขียนได้ดีที่สุดนะครับ  แล้วที่ใช้ชื่อว่า เงาจันทร์  ก็ประมาณว่าเขียนใต้แสงจันทร์อะไรประมาณนี้นะครับ ”

    คนๆนี้เวลากล่าวอะไรตลกก็ตลก  แต่พอเข้าโหมดเศร้ากลับให้ความรู้สึกเศร้าได้อย่างประหลาดจริงๆ

    “ แล้วคิดยังไงถึงมาเป็นนักเขียนค่ะ  หรือว่ามีอะไรดลใจ ”

    “ ผมก็ไม่ได้คิดว่าจะมาเป็นนักเขียนหรอกครับ   แต่พอดีที่มาเขียนก็เพราะมาแค่อยากเขียนก็เท่านั้นเองครับ   และผมก็คิดว่าคนเราจะเป็นในสิ่งที่ตัวเองอยากเป็นได้ มันต้องไม่ใช่เพียงแค่การคิดเท่านั้นครับ มันต้องทำด้วย    เพราะการที่จะฝันต่อไปได้นั้นมีแต่จะต้องต่อสู้กับตัวเองเท่านั้นครับ ”

    โซเฟียเมื่อได้ยินถึงกับอดกล่าวว่า ‘ มีเหตุผล ’ ออกมาไม่ได้  วาเองก็คิดเช่นนั้น

    “ แล้วพอมาเป็นนักเขียนแล้วเนี่ย  อยากจะทราบว่าคิดยังไงกับงานเขียนในสมัยนี้ค่ะ ”

    “ ผมก็ไม่อยากจะว่าใครหรอกนะครับ  เพราะแต่ละคนก็มีความคิด  มีจินตนาการของแต่ละคนต่างกัน  แต่สำหรับผมเองแล้ว  การเขียนที่ต้องตามแนว หรือตามสมัยของคนอื่น   มันดูเหมือนไม่ค่อยมีความคิดสักเท่าไหร่ ( แล้วอย่างนี้มันไม่ใช่การว่าคนอื่นหรอไง แหะๆ – โซเฟียคิด )  แล้วผมก็คิดว่าช่วงนี้นักเขียนส่วนใหญ่กำลังทำตามกระสมากเกินไป  จนลืมนึกถึงความเป็นตัวของตัวเองไปครับ   การที่เราจะเขียนอะไรสักอย่างขึ้นมานั้น  ไม่เห็นจำเป็นว่าคนรอบข้างจะต้องยอมรับ  หรือต้องเป็นแบบที่ตามสมัยเขาถึงจะชอบกัน   ผมคิดว่าการเป็นตัวของตัวเองคือสิ่งที่ดีที่สุดครับ ”   กล่าวไปสักพักก็หยิบน้ำมาดื่มหน้าตาเฉย  “ อะ แฮ่ม  ถ้าจะเปรียบกับความรักมันก็เหมือนเวลาเราไปชอบใครสักคนเข้า  แล้วเราต้องเปลี่ยนตัวเองไปจนไม่ใช่ตัวของตัวเองอะไรทำนองนี้ละครับ   มันก็เป็นการฝืนตัวเอง  และก็ทำให้คนที่เรารักชอบในสิ่งที่ไม่ได้เป็นเรา   ก็ลองคิดดูสิครับ  ว่าเราทำให้เขาชอบในสิ่งที่ไม่เป็นตัวเรา  มันเป็นความารู้สึกที่แย่ขนาดไหนละครับ  ต้องโกหกคนอื่น อย่าว่าแต่อะไรเลยครับ ยังโกหกตัวเองอีกต่างหาก    พูดถึงต้องนี้ก้ได้ยินเสียงปรบมือ  คล้ายเป็นที่ถูกใจของคนรอบข้างมากมาย      

    วาหันไปกระซิบบอกโซเฟีย “ ไม่แปลกใจเลยจริงๆ ทำไมเจ้านี่ถึงเป็นนักเขียนได้ ” ซึ่งโซเฟียก็ผยักหน้าเห็นด้วย

    “ แหม มีคำคมจริงๆเลยนะค่ะ  ถ้าอย่างนั้นอะไรเป็นแรงบันดาลให้เขียนเรื่องนี้ขึ้นมาค่ะ ”  ไม่ทราบว่า วาคิดไปเองรึเปล่า  แต่ในแววตาวูบหนึ่งของเงาจันทร์ทอแววเศร้าสอย   ก่อนที่จะยิ้มและตอบไป

    “ ผมคิดว่าโลกนี้มีความสุขมากเกินไป ”  พิธีกรสาวทำหน้างง  แต่ไม่ต้องรอให้เธอถามเขาก็กล่าวต่อ “ ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ  แต่เรื่องราว หรือหนังรักมีเรื่องสมหวังมาเกินไป  หรือต่อให้เป็นหนังรักที่ซึ้งเพียงใด  มีปัญหาเพียงใดสุดท้ายก็จะจบดีเสียส่วนใหญ่   ซึ่งในความเห็นของผมชีวิตจริงมันไม่เหมือนกับในนิยายทีเดียว ดังนั้นผมถึงเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา  เผื่อจะมีใครที่ชอบความเจ็บช้ำ  และไม่สมหวังเหมือนกันกับผมบ้าง ”

    “ หมอนี่พูดยังกับว่าตัวเองเป็นคนอกหักเลยเนอะ ”  โซเฟียกระซิบกับวา

    พิธีกรสาวทำหน้างงเล็กน้อย  แต่ก็กล่าวถามต่อ

    “ แล้วคิดว่าแนวโน้มของคนที่จะมาชอบเรื่องนี้เป็นยังไงบ้างค่ะ ”

    “ พูดตรงๆนะครับ  ก็คือไม่ได้คิดละครับ  เพราะอย่างที่ผมบอกแต่แรกแล้วว่า  ผมเพียงแค่อยากจะเขียนสิ่งที่ผมอยากเขียนเท่านั้น  มันเหมือนกับนี่คือตัวของผม  ถ้าใครรับได้ก็รับใครรับไม่ได้ก็ไม่เป็นไรครับ ”

    “ แหม เป็นคนตรงไปตรงมาจังเลยนะค่ะ ”

    “ ก็ไม่ตรงไปไม่อ้อมไปละครับ ”   เงาจันทร์ยิ้ม   “ เพราะตรงไปตรงมาจริงๆ ผมก็คงไม่ต้องเสียใจจนถึงทุกวันนี้ ”

    พิธีกรสาวทำหน้างงอีกครั้ง  ซึ่งคนฟังหลายคนก็งงไปด้วย  คนๆนี้คล้ายเข้าใจง่าย  แต่พอจะทำความเข้าใจจริงๆ กับคล้ายไม่มีวันเข้าใจได้

    “ อะไรหรอค่ะ ท่าบอกว่าเสียใจจนถึงทุกวันนี้ ”

    “ อ่า นั่นต้องลองไปดูกันในหนังแล้วละครับ ฮ่าๆ    กล่าวพลางหัวเราะ  ช่างเปลี่ยนอารมณ์ได้รวดเร็วเสียจริงๆ 

    “ ถ้าอย่างนั้นมาถึงคำถามที่หลายๆ คนอาจจะอยากรู้กันนะค่ะ  อยากถามว่าเงาจันทร์เนี่ยมีแฟนหรือยังค่ะ ”

    เงาจันทร์ได้ยินก็ถึงกับหัวเราะ  

    “ อย่าหาว่าผมหลงตัวเองเลยนะครับ  มันก็ต้องมีอยู่แล้วละครับ แต่มากหรือน้อยผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน ”  ก่อนที่หลายคนจะงงไปมากกว่านี้ก็กล่าวต่อ “ แต่แฟนในที่นี้คือ แฟนนยายนะครับ แฟนเป็นตัวเป็นตนน่ะยังไม่มีหรอกครับ ฮ่าๆๆๆ ”

    “ อ่า ถ้าอย่างนั้นก็มาถึงคำถามสุดท้ายแล้วนะค่ะ  ก่อนที่เราจะทำการเล่นเกมพิเศษกัน   อยากจะฝากอะไรถึงนักเขียน  นักอ่าน หรือคนที่มาดูหนังเรื่องนี้ค่ะ ”

    “ ผมก็แค่อยากจะบอกว่า หนังเรื่องนี้นะครับ  ทุกคนตั้งใจทำกันเต็มที่  ส่วนตัวผมเองก็เขียนไปตามความรู้สึกของผม  แล้วมันก็เป็นตัวของผมเองมาก  แต่ก็ไม่ใช่ตัวของผมทั้งหมดนะครับ  เพราะผมชอบเขียนหลายๆแนว  โดยหากใครดูเรื่องนี้แล้วติดใจนะครับ   เราก็จะทำการวางขายหนังเรื่องนี้ในรูปแบบหนังสือเร็วๆนี้ละครับ   ยังไงก็ขอฝากหนังสือที่กำลังจะตามมา  และก็เรื่องต่อๆไปด้วยนะครับ    และสุดท้ายที่อยากจะฝากถึงทุกๆคนที่มีความฝัน  ทุกคนที่กำลังท้อแท้กับการพยายามทำตามความฝัน  ผมอยากจะขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนนะครับ   ความฝันแม้มันจะเหนื่อยยากมากก็จริง  แต่ถ้าเราหยุดที่จะสู้กับตัวเองเมื่อนั้นความฝันมันก็ยังคงจะเป็นแค่ความฝันอยู่อย่างนั้นละครับ  ขอบคุณครับ  

    เสียงปรบมือดังจากรอบข้าง  หลังตากที่กล่าวจบเริ่มมีหลายคนเลยทีเดียวที่จะเข้าไปขอลายเซ็น  หรือถามอะไรกับเงาจันทร์   จนพิธีกรสาวต้องกล่าวห้ามไว้ก่อน

    “ อ่า ใครที่อยากจะได้ลายเซ็นนะค่ะ  ประเดี๋ยวเงาจันทร์จะลงไปแจกให้นะค่ะไม่ต้องห่วง  แต่ช่วงนี้เป็นช่วงพิเศษที่เงาจันทร์แอบมากระซิบให้ดิฉันฟังเมื่อสักครู่นี้เองนะค่ะ   โดยใครนะค่ะที่ตอนนี้ยังมีตั๋วหนังเรื่อง ปลายปากกาที่ไร้ซึ่งความฝันอยู่  ตั้งแต่สองใบขึ้นไปนะค่ะ  เตรียมใช้ได้เลยนะค่ะ   เพราะเราจะเปิดโอกาสให้ได้ถามอะไรกับเงาจันทร์เป็นการพิเศษ  และก็จะได้ของรางวัลพิเศษนั่นก็คือ………”

    พิธีกรสาวดึงผ้าที่คลุมอะไรบางอย่างอยู่บนโต๊ะนั้นออกมา   ก็ปรากฎว่าเป็นหนังสือนิยายจำนวนหกเล่ม

    “ และที่เห็นก็คือ  หนังสือนวนิยายเรื่องปลายปากกาที่ไร้ซึ่งความฝัน ฉบับพิเศษนะค่ะ  เรามีกันแค่จำนวนหกเล่มเท่านั้นนะค่ะ  โดยหากใครที่ยังมีตั๋วหนังอยู่นั้นให้ก้าวขึ้นมาบนเวทีเลยค่ะ   

    ได้ยินเสียงพึมพำจากผู้คนรอบข้างเป็นจำนวนมาก    ผู้ที่ใช้ตั๋วหนังแลกของไปแล้วก็มีไม่น้อย  บางคนใช้ไปแค่ใบเดียวแต่ก็เหลือไม่ถึงสองใบ    บางคนมีตั๋วแต่ก็ไม่กล้าก้าวขึ้นไปบนเวที    ซึ่งพิธีกรสาวก็กล่าวซ้ำอีกครั้งหนึ่ง

    “ ใครที่มีตั๋วสองใบนะค่ะ  รีบก้าวขึ้นมาเลยค่ะ   เราจะรับเพียงแค่หกคนแรกเท่านั้นนะค่ะ ”

    วาหันไปมองโซเฟีย  พร้อมกับถาม

    “ ว่าไงสนใจจะขึ้นไปไหม 

    “ อ่า จะดีหรอ ”

    “ ก็ดีสิ  เขาอุส่าห์บอกให้เราเก็บตั๋วไว้ตั้งแต่แรก   แสดงว่าต้องการให้เราได้ของรางวัลนะ  ไปกันเถอะป่ะ !!! ”

    วาลุกขึ้นพร้อมกับสะกิดโซเฟียให้ลุกขึ้นตาม   โซเฟียความจริงไม่ใช่คนที่ไม่กล้าแสดงออกเพียงแต่  ครั้งนี้วาดูมั่นใจมากเกินไป    ทำให้เธอรู้สึกเขินอายขึ้นมาเล็กน้อย   แต่ก็ก้าวตามวาไป 

     

     

     

    “ อ่า  เราได้คู่แรกที่ขึ้นมารับของรางวัลแล้วละค่ะ ”    

    เมื่อวาขึ้นมาบนเวที   เขาก็รู้สึกได้ว่าเงาจันทร์มองมาพร้อมกับยิ้มให้กับราวกับจะบอกกับเขาว่า

    ‘ ชั้นกะไว้แล้วว่านายจะต้องมา ’จากนั้นไม่ทันไรก็ได้ยินพิธีกรสาวกล่าวขึ้นมาอีกว่า  มีคนขึ้นมาบนเวทีอีกคู่หนึ่งแล้ว   จนกระทั่งเหลืออีกเพียงแค่คู่เดียวเท่านั้นที่จะมีโอกาสขึ้นมารับรางวัล                 

    “ เหลืออีกกี่คู่เดียวเท่านั้นน่ะค่ะ  ถ้าหากช้าละก็……..” ไม่ทันที่จะกล่าวต่อก็เห็นผู้ชายสูงหน้าตาดีคนหนึ่ง   จูงมือผู้หญิงชุดขาวหน้าตาน่ารักคนหนึ่งดูแล้วรุ่นราวคราวเดียวกันกับวาขึ้นมาบนเวที 

    “ โอ้  และในที่สุดเราก็ได้ผู้ที่จะมารับรางวัลคู่สุดท้ายแล้วนะค่ะ ”    เสียงปรบมือดังจากรอบข้างของเวที    แต่สำหรับวานั้นเมื่อมองไปตรงผู้หญิงที่ขึ้นมาคนสุดท้ายนั้น   เสียงรอบข้างของเขาคล้ายเงียบสงัดไปในทันที     สติของเขาคล้ายไม่อยู่กับตัวเสียแล้ว   แต่ไม่ทันที่วาจะคิดอะไรต่อไปนั้น   ก็ได้ยินพิธีกรสาวกล่าวอะไรขึ้นมา

    “ มิทราบว่ามีอะไรจะถามนักเขียนของเขาไหมค่ะ ”   พิธีกรสาวถามพร้อมกับยื่นไมค์ให้วา  โดยที่เขาไม่ทันจะตั้งตัว   วาเองคล้ายได้สติกลับมาอีกครั้งก็ฝืนใจถามไปว่า

    “ ก็อยากจะถามว่า ที่บอกว่าชีวิตมันไม่เหมือนในนิยายนี่จริงหรอครับ ”

    “ จริงครับ   เพราะในนิยายมักมีแต่เรื่องดีๆ เกิดขึ้น ”   เงาจันทร์ตอบอย่างปลอดโปร่ง  ไม่ทันสังเกตสีหน้าที่ไม่ค่อยสบายใจนักของวา

    “ แต่ผมคิดว่า  ชีวิตมันก็คือนิยายแหละครับ  แต่นิยายที่เราอ่านๆกันนั้นมันมักจะจบดี   นั่นก็เพราะมันเป็นตอนที่ชีวิตเรามีความสุขไงละครับ   ส่วนตัวที่ชีวิตไม่มีความสุขหรือผิดหวังเนี่ย  ไม่มีใครเขามาเขียนกันยังไงละครับ ”

    วาไม่ทราบว่าตัวเองกล่าวอย่างนี้ออกไปได้เช่นไร   แต่เขารู้เพียงแต่ว่าตอนนี้หัวใจเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ  คล้ายจะระเบิดออกมาให้ได้เลยทีเดียว      

    เงาจันทร์ได้ยินคำพูดของวาก็ถึงกับยิ้มขึ่นมา

    “ ถูกต้องแล้วละครับ  ช่างรู้ใจผมเสียจริงๆ   ใช่แล้วละครับ  นี่ละคือ แรงบันดาลให้ผมเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา  ฮ่าๆๆ ”   ที่แท้เงาจันทร์เขียนเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพราะต้องการจะบอกให้ทุกคนรู้ว่า ชีวิตมันก็เหมือนนิยายนั่นแหละ  และตอนที่เขาจะเขียนก็คือ  ตอนที่ไม่ใช่ตอนจบที่แท้จริง  เหมือนนิยายทั่วๆไป    

    “ แล้วรู้ไหมครับว่าทำไม  ผมถึงบอกให้คุณเก็บ……… ไว้ ”  เงาจันทร์กล่าวต่อ  โดยเว้นวรรคคำว่าตั๋วไว้  เพราะกลัวจะทำให้บางคนไม่พอใจ

    วา กับโซเฟียส่ายหน้าพร้อมๆ กัน

    “ ก็เพราะคุณสองคนดูแล้วเหมือนตัวละครในนิยายอีกเรื่องที่ผมกำลังเขียนอยู่น่ะสิครับ  ถ้าหากยังไงก็หวังว่าเราจะได้พบกันอีกนะครับ   เผื่อว่าคุณสนใจจะแสดงเป็นบทพระเอกกับนางเอก   ส่วนจะเป็นเรื่องอะไรนั้น  ก็ต้องขออุบไว้ก่อนละครับ   แต่พระเอกต้องหัดเล่นไพ่ให้เก่งๆหน่อยนะครับ ฮ่าๆๆ ”

    กล่าวจบก็ส่งมอบหนังสือนิยายเล่มพิเศษให้กับวา และโซเฟีย      พร้อมกับส่งสายตาประมาณว่า ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ       

    แต่วากลับไม่รู้สึกยินดีเลยแม้แต่น้อย   สายตาของเขากลับจ้องมองไปยังผู้หญิงชุดขาวคนสุดท้ายที่ก้าวขึ้นมาบนเวที    วาไม่ทราบว่าจะร้องไห้ หรือหัวเราะดี   เรียกได้ว่า  หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกเลยในทีเดียว   ซึ่งโซเฟียก็สังเกตถึงสีหน้าที่มาสบายใจของวาได้เป็นอย่างดี    แต่ก็ยังขบคิดไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะอะไรผู้หญิงชุดขาวคนนั้น  ใช่คนในฝันที่วามักจะฝันเห็นอยู่เสมอหรือไม่    ใช่คนที่อยู่ในรูปใต้ลิ้นชักของเขาหรือไม่ ?

    ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าไหร่   วามารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่พิธีกรสาวประกาศขอบคุณผู้ที่อุส่าห์มาร่วมงานทุกคน   ก่อนที่โซเฟียจะสะกิดให้วาลงจากเวทีได้แล้ว    สายตาของวายังคงจับจ้องไปยังผู้ชาย และผู้หญิงคู่นั้นอยู่   และผู้ชายนั้นไม่ได่สังเกตว่าวามองดูเขาอยู่   ส่วนผู้หญิงชุดขาวนั้นจะบอกว่าทำเป็นไม่เห็นก็เป็นได้

    โซเฟียมองตามวาไปจากนั้นก็ยิ้มออกมา

    “ แหมๆ  ไปถูกใจเขาเข้าหรือไง  ท่าทางเขาจะมีแฟนแล้วนะ แหะๆ  ไม่ดีหรอกม้าง คุณเด๋อ ”

    คำพูดของเธอไม่ได้ทำให้วารู้สึกอยากหัวเราะเลย   ซึ่งโซเฟียก็ถึงกีบเงียบไปเลยในทันที    เธอไม่กล่าวอะไรอีกแต่ก็มองไปยังผู้หญิงชุดขาวพร้อมกัยครุ่นคิด   ‘ ผู้หญิงคนนี้ก็น่ารักมากเลยนะเนี่ย  แต่ทำไมวาถึงเปลี่ยนเป็นเศร้าอย่างนี้น่ะ  

    วาก้มมองดูนาฬิกาของตัวเองก็เป็นเวลาอีกห้านาทีจะถึงเวลาที่หนังจะเข้าแล้ว   ก็หยิบตั๋วหนังขึ้นพร้อมกับฉีกส่วนหนึ่งยื่นให้แก่โซเฟีย

    “ อะนี่ หนังจะเข้าแล้วนะ ”

    โซเฟียรับตั๋วนั้นมาด้วยท่าทางงงๆ

    “ แล้วทำไมต้แงฉีกแบ่งเป็นสองส่วนด้วยละ ”

    “ ก็ ”  วาหลบสายตาโซเฟีย   ท่าทางไม่สบายใจ  “ เดี๋ยวเราขอไปทำธุระก่อน  แล้วเดี๋ยวเราจะตามไป ”

    “ ไม่เป็นไรหรอก   เป็นอะไรหรือเปล่า  จะทำอะไรเดี๋ยวเราไปเป็นเพื่อนก็ได้นะ ”

    ไม่ทันที่โซเฟียจะกล่าวอะไรต่อ   เมื่อวาเห็นว่าผู้หญิงชุดขาวนั้นเริ่มเดินลับไปจากสายตาของเขานั้นก็ทำท่าวิ่งออกไปทันที  พร้อมกับหันหลังกล่าวกับโซเฟียเพียงแค่ว่า

    “ ไม่เป็นไร  เธอเข้าไปดูก่อนเลยนะ  แล้วเราจะตามไป   หรือถ้าเราไม่ได้ตามไปแล้วหากันไม่เจอจริงๆ  เธอก็กลับไปก่อนได้เลยนะ ”

    โซเฟียไม่ทันจะกล่าวอะไรวาก็วิ่งไปไกลเสียแล้ว    ความจริงเธอต้องการที่จะวิ่งตามวาไปเหมือนกัน   เพียงแต่เธอเองก็ไม่ทราบว่าทำไมถึงไม่ได้วิ่งตามเข้าไป   คล้ายกับว่ามกำแพงสูงใหญ่มาบังกั้นเธอไว้ไม่ให้ตามเขาไป      เธอเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเกิดเรื่องอะไรกันขึ้น   และเธอเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า  ทำไมในใจเธอถึงเกิดความรู้สึกแปลกๆแบบนี้ขึ้นมา

     

    แต่สิ่งหนึ่งที่โซเฟียรู้สึกได้อย่างแน่นอนก็คือ  หนังเรื่องนี้มันช่างเศร้าเสียจริงๆ   เศร้าจนเธอเกือบอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา    และอีกสิ่งหนึ่งที่เธอรู้ก็คือ  วา ไม่ได้กลับมาหาเธอ  จนหนังจบ  เธอนั่งรอ  มองหาวาอยู่หน้าโรงหนังเป็นเวลากว่าชั่วโมงเธอก็ยังไม่เห็นแม้แต่วี่แววของเขา     เธอความจริงอยากจะโทรไปถามว่าที่แท้เขาอยู่ไหนกันแน่   แต่เธอก็ไม่ได้โทรไป  เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเธอถึงไม่โทรไป       เธอรู้เพียงแค่ว่าวันนี้เธอนั่งรถประจำทางกลับโรงเรียนคนเดียว     และฝนตกก็ลงมาแล้ว   ไม่ทราบว่าเป็นเพราะหนังเรื่องที่เธอเพิ่งดูไปนั้นเศร้า  หรือเพราะว่าอะไรกันแน่   แต่น้ำตานั้นได้ไหลซึมออกมาจากดวงตาของเธอแล้ว   เพียงแต่ไหลออกมาเพียงนิดเดียวเท่านั้น   เพียงนิดเดียวเท่านั้นจริงๆ……………..

     

     

                                        

     

                 _______________________________________________

                               

                        

         

                               

                              

                       

                            

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×