ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    โรงเรียนมหาโจร

    ลำดับตอนที่ #19 : บทเรียนที่ 17 บททดสอบของสายฟ้า

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.52K
      59
      14 มี.ค. 48

                                                        บทเรียนที่ 17  บททดสอบของสายฟ้า





                 เหตุการณ์เมื่อวานผ่านไปราวกับความฝัน      วาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะต้องเจอกับเรื่องวุ่นวายอย่างเช่นเมื่อวานนี้มาก่อน        แต่นั่นก็ทำให้วารู้สึกว่า ตัวเองนั้นจะต้องพัฒนาฝีมือให้มากขึ้นกว่าเดิม

                   คำพูดที่ว่า “ เหนือฟ้าย่อมมีฟ้า “  ไม่ผิดแปลกจริงๆ  

                  อากาศยามเช้าในวันนี้ก็ยังคงสดใสเหมือนเช่นเคย       วันนี้วาตื่นเช้าเป็นพิเศษทั้งๆที่เมื่อวานก็เหนื่อยแทบตายอยู่แล้ว   แต่ที่ทำให้วาตื่นเช้าเป็นพิเศษได้นั่นก็เพราะแรงใจนั่นเอง  เขาคิดว่าตัวเองจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้จงได้      

                 หลังจากวาอาบน้ำและจัดของเรียบร้อยแล้ว  เขาก็ลงไปข้างล่างเพื่อเตรียมตัววิ่งตอนเช้ากับดีว่า     วันนี้วากลับเป็นฝ่ายมายืนคอยดีว่า    ระหว่างที่ยืนคอยอยู่นั้นวาคิดถึงเรื่องต่างๆมากมาย  โดยเฉพาะเรื่องของการดวลปิงปองที่ห้องชมรมเมื่อวานนี้   ผลแพ้ชนะที่แท้จริงยังปรากฎไม่แน่ชัด    ยิ่งคิดยิ่งทำให้วารู้สึกอยากแข่งกับเจ้าซิลเวอร์ให้รู้แพ้รู้ชนะกันไปข้าง      

                 ตั้งแต่วาเข้ามาอยู่ที่โรงเรียนใหม่แห่งนี้ชีวิตของวาก็เริ่มเปลี่ยนไปทีละน้อย  วาคล้ายเป็นคนที่มีความกล้าหาญเพิ่มขึ้น  นั่นอาจเป็นเพราะเขาเจอแต่สิ่งที่ท้าทายความสามารถของเขาก็เป็นได้        

                หากใครสักคนอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีแล้ว  อย่างน้อยชีวิตของเขาก็จะดีขึ้นบ้างเป็นธรรมดา  

                ขณะกำลังคิดอยู่นั้น ลมก็พัดผ่านหน้าวามาวูบหนึ่ง  เผยให้เห็นคนที่กำลังเดินมาเขานั่นก็คือ ดีว่า นั่นเอง  

               “ สวัสดีตอนเช้าครับ “

               “ สวัสดีๆ ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าวันนี้เราจะมาก่อนนายได้ “

               ดีว่ายิ้มเล็กน้อย   ความจริงถ้าคำนวณจากความเหนื่อยของเมื่อวานแล้วละก็  ถึงแม้ว่าวาน่าจะดูเหมือนเป็นคนที่เหนื่อยกว่าก็ตาม  แต่ที่จริงแล้วดีว่าเหนื่อยมากกว่าวาหลายเท่านัก  แค่ตอนที่เขาต่อสู้กับจีดาบคลั่งก็แทบใช้พลังลมปราณไปเกือบครึ่งแล้ว  แถมยังต้องมาเจอเกก้าดีนลอบใช้รีเฟรกชั่นทำร้ายใส่อีก  และสุดท้ายยังช่วยรักษาคนในห้องชมรมปิงปองให้อีก   ความจริงแค่เขาสามารถตื่นไปเรียนวันนี้ให้ทันได้นั่นก็นับว่าเก่งมากแล้ว        แต่ดีว่าคล้ายอยู่เหนือผู้อื่นไปอีกขั้นหนึ่ง  นั่นก็เพราะเขามีแรงใจที่เข้มแข็งนั่นเอง

             หากใครคนหนึ่งคิดจะเก่งกว่าผู้อื่นแล้วละก็  อย่างน้อยเขาต้องเริ่มจากการมีแรงใจที่เข้มแข็งเสียก่อน  

             “  ไม่น่าแปลกใจหรอกครับ  เพราะว่าคุณมีกำลังใจที่เข้มแข็งยังไงละ  ถึงสามารถตื่นเช้าขนาดนี้ได้ ทั้งๆที่เมื่อวานก็เหนื่อยออกขนาดนั้น “

             “ ไม่หรอก ก็แค่รู้สึก.............. อยากแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมให้ได้ก็เท่านั้นแหละ “

             “ ดีแล้วละครับ  ความรู้สึกอยากแข็งแกร่งขึ้นที่ไม่ใช่ความอยากเอาชนะผู้อื่นเพียงอย่างเดียวนี่แหละครับ ความรู้สึกนี้แหละครับ ที่จะทำให้คุณเอาชนะคู่ต่อสู้ได้    แต่ถ้าหากคนผู้หนึ่งคิดแต่จะเอาชนะอย่างเดียวคนๆนั้นก็ไม่มีทางเอาชนะได้หรอกครับ “

             “ ฟังดูเหมือนปรัชญายังไงก็ไม่รู้แฮะ  แต่ก็ได้ข้อคิดเหมือนกันนะ “

             “ พร้อมจะวิ่งกันหรือยังครับ “

             “ แน่นอน ไปกันเลย “

             และแล้วทั้งสองก็ออกวิ่งกันเหมือนเช่นเคย   นับวันวายิ่งสามารถวิ่งได้เร็วและนานขึ้นเรื่อยๆ  

             คนผู้หนึ่งหากทำอะไรทุกวันซ้ำกันนานๆก็จะเกิดความเคยชิน  เมื่อความเคยชินพัฒนาขึ้นก็จะกลายมาเป็นความสามารถเฉพาะตัว  

            เช่นกันกับการหยอดกระปุกออมสิน หากคุณหยอดมันลงทุกวันไม่ว่ามันจะน้อยหรือมากก็ตาม สักวันหนึ่งมันก็จะต้องเต็ม   แต่หากหยอดบ้างไม่หยอดบ้าง จนกระทั่งความเคยชินหายไปมันก็จะไม่มีทางเต็มได้  

           ดังนั้นหากคนผู้หนึ่งคิดอยากเก่งเรื่องใดเรื่องหนึ่ง  สิ่งแรกที่เขาจะต้องทำก็คือ หมั่นฝึกฝนให้เป็นนิสัย โดยไม่ต้องใส่ใจว่ามันจะพัฒนาได้ช้าหรือเร็ว เพราะคนทุกคนมีความสามารถไม่เหมือนกัน  ถ้าฝึกฝนไปเรื่อยสักวันอย่างไรมันก็จะต้องถึงจึดหมายเข้าสักวัน  ไม่ต่างกับการหยอดกระปุกออมสินแม้แต่น้อย

            

             ระหว่างที่วาวิ่งอยู่ก็คิดถามดีว่าขึ้นมาเรื่องการประลองอาวุธ

             “ เราขอถามเรื่องการประลองอาวุธหน่อยได้ไหม “

             “ ได้สิครับว่ามาเลย “

             “ ทุกปีนี่มีคนลงแข่งเยอะไหม “

             “ แน่นอครับ ทุกปีมีคนลงแข่งเยอะมากๆเลยทีเดียวละครับ  จนกรคัดตัวคนในโรงเรียนเพื่อจะไปแข่งระหว่างสถาบันนี่แทบจะตัดสินกันไม่ทันเลยก็ว่าได้ละครับ  แต่รู้สึกว่าปีนี้จะมีการแก้ปัญหาเรื่องนั้นแล้วละครับ    ผมก็ยังไม่ค่อยแน่ใจในเรื่องข้อมูลสักเท่าไหร่นัก   คาดว่าวันนี้กติกาใหม่ของการประลองอาวุธน่าจะออกมาให้ได้เห้นกันแล้วละครับ    

              ที่ผมได้ยินมาก็คือว่า แต่ละปีจะมีคนเข้าแข่งขันเยอะมากจนคัดเลือกกันแทบไม่ทัน  คราวนี้เขาก็เลยตัดปัญหาข้อนั้น  โดยการให้นักเรียนจับทีมกัน ทีมละน่าจะสามคนนะคับถ้าจำไม่ผิด   ทีมไหนชนะสองในสามก็จะเป็นฝ่ายได้เข้ารอบไป  โดยสุดท้ายจะคัดเหลือโรงเรียนละประมาณสองถึงสามทีมเท่านั้นแหละครับ “

              “ ถ้าเป็นอย่างนี้นายก็ต้องหาคนมาเข้าทีมละสิเนี่ย “

              “ ใช่แล้วละครับ แต่ผมยังคิดไม่ออกเลยว่าจะเลือกใครดีอีกตั้งสองคน “

              “ นายก็เลือกคนในชมรมนายดูสิ  น่าจะมีคนเก่งเยอะนะ “

              “ ชมรมจ้าวกระบี่ของผมนะหรอครับ  คนเก่งมีแน่นอนครับ  แต่ส่วนใหญ่ผมคิดว่าเขาน่าจะจับทีมกันได้หมดแล้ว  อีกอย่างเขาคงไม่คิดจะจับทีมกับผมหรอกครับ  “

             กล่างถึงตรงนี้แววตาของดีว่าคล้ายเปลี่ยนไปเป็นคิดมากเล็กน้อยแล้ว

             “ ทำไมละ นายเก่งออกจะตายไป “

             “ ไม่รู้สิครับ  คนในชมรมผมส่วนใหญ่ไม่ค่อยชอบผมเท่าไหร่  คงเป็นเพราะผม........... “

             “ ทำไมหรอ อืม แต่ถ้าพุดแล้วมันไม่สบายใจก็ไม่ต้องพูดก้ได้นะ “

             ดีว่ายิ้มให้วา พร้อมกับสั่นศีรษะ

             “ ไม่หรอกครับ ก็เพราะว่าในชมรมจ้าวกระบี่นั้นผมเป็นคนเดียวก็สามารถฝึกปราณกระบี่จนถึงขั้นที่สิบสองสายได้ยังไงละครับ   และอีกเหตุผลที่สำคัญก็คือ ผมเป็นหนึ่งในคนที่มีสิทิจะได้ครอบครอง “ เทพกระบี่ประกายแสง “    ด้วย “

            “ อย่างนี้แสดงว่า คนในชมรมนายนี่ขี้อิจฉากันจังเลยนะ  เห็นคนอื่นเขาได้ดีเป็นไม่ได้    คนที่มีนิสัยขี้อิจฉาก็คงไม่แปลกหรอกที่จะฝึกกระบี่ไม่ได้ดีเท่านายจริงไหม  “

            วาพูดอย่างนี้ ดีว่าก็ได้แต่ยิ้มแล้ว  เขารู้สึกว่า ความคิดของวาดูไม่คล้ายเด้กและไม่คล้ายเป็นผู้ใหญ่เกินไป  แต่เป็นคำพูดที่ฟังดูมีเหตุผลยิ่ง  ตรงที่ว่า คนที่ขี้อิจฉาคนอื่นนั้นไม่มีทางฝึกกระบี่ได้ดี

            หากคิดจะฝึกกระบี่ที่ดีให้ได้  ต้องเริ่มจากทำจิตใจให้ว่างเปล่าเสียก่อนค่อยขึ้นขั้นรวมเป็นหนึ่งเดียวกับกระบี่   ดังนั้นหากมีจิตใจที่ขี้อิจฉาแล้วก็ไม่สมารถฝึกกระบี่ที่ดีได้แน่นอน

            วาเห็นดีว่าเงียบไปเลยถามต่อ

            “ ว่าแต่ในเมื่อคนในชมรมนายไม่มีใครจับทีมกันนาย  เราหมายถึงเขาจับทีมกันเองหมดแล้ว  ทำไมนายไม่ลองชวนคนนอกชมรมดูบ้างละ “

            “ คนนอกชมรมเก่งๆ ผมก็คิดว่าเขาน่าจะมีทีมกันหมดแล้วละครับ  ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ......... “

            ดีว่าครุ่นคิดสักพักก่อนที่จะกล่าวต่อ

            “ อย่าหาว่าผมอวดดีเลยนะครับ  คุณก็เห็นฝีมือของพวกนั้นมาแล้วใช่ไหมละครับเมื่อวานนี้   มีไม่กี่คนในโรงเรียนหรอกครับที่จะสามารถจัดการกับเจ้าพวกนั้นได้   แถมที่เจอมาเมื่อวานนี้ก็ยังเป็นแค่ระดับปานกลางเท่านั้นนะครับ   ที่จะต้องเข้าไปเจอในการประลองระหว่างสถาบันมีแต่ยอดฝีมือที่โหดๆกว่านั้นเยอะเลยละครับ “

            “ มีคนที่โหดกว่าเจ้าหมวกนั่นด้วยหรอ “

            “ มีแน่นอนครับ  แต่ว่าคนที่ใส่หมวกเมื่อวานนี้ไม่ใช่คนที่มีฝีมือระดับเดียวกันกับจีดาบคลั่ง  ต้อง

    เป็นผู้ที่มีความสามารถระดับสูงแน่นอนครับ “

           “ อืม พูดถึงเมื่อวานนี้แล้ว   ทำไมนายไม่ลองชวนโซเฟีย หรือรุ่นพี่ซาโต้เข้าทีมดูละ “

           “คงไม่ได้หรอกครับ  พวกนั้นแค่เป็นคณะกรรมการนักเรียนผมก็ว่าเขาน่าจะเหนื่อยพอแล้วละครับ  อีกอย่างรุ่นพี่ซาโต้เขาก็ไม่ใช่คนที่ชอบการประลองาวุธสักเท่าไหร่หรอกครับ “

           วาสะเหยะยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้ยินดีว่าพูดว่า พวกกรรมการนักเรียนน่าจะเหนื่อยพอแล้ว  เพราะมันทำให้เขาคิดถึงโซเฟียขึ้นมาทันที   เห็นเธอเป็นทั้งหัวหน้าห้อง ทั้งมาเป็นมือกีต้าร์ให้วงของเขา  ทั้งจับคู่กับเขาแข่งขันตอบปัญหาคณิตศาสตร์ระหว่างสถาบัน  และที่สำคัญยังมีแรงกวนประสาทเขาอีก    นี่นะหรือเหนื่อยพอแล้วสำหรับการเป็นคณะกรรมการนักเรียน   วาคิดว่าถ้าจะทำให้เป็นการเหนื่อพอสำหรับโซเฟียอย่างน้อยคงต้องให้เธอเก็บขยะทั่วโรงเรียนสักหนึ่งรอบ    

           คิดถึงตอนนี้วาเองก็อดขำไม่ได้แล้ว  

           “ น่าเสียดายเนอะ ที่คนอย่างรุ่นพี่ซาโต้ไม่สนใจการลงแข่งประลองอาวุธน่ะ  ถ้าลงแข่งคงจะน่ากลัวเลยทีเดียว   แล้วว่าแต่ไม่ลองชวนโซเฟียดูละ  ถึงเขาจะเป็นกรรมการนักเรียนแต่เราว่าเขาไม่น่าจะเหนื่อยสักเท่าไหร่หรอกนะ   อีกอย่างเรารู้สึกว่าเขาน่าจะชอบด้วยซ้ำ “

           “ ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมค่อนข้างจะเกรงใจเขาน่ะครับ  และที่สำคัญคุณโซเฟียเขาเป็นผู้หญิงด้วย  ถึงแม้ว่าจะมีฝีมือมากถึงขนาดนั้นก็ตาม  แต่พวกที่อยู่ในรอบการแข่งจริง  มันอาจจะทำให้คุณโซเฟียเป็นอันตรายก็ได้นะครับ  ซึ่งถ้าถึงตอนนั้นผมคงจะต้องรู้สึกผิดเอามากๆเลยละครับ “

           “ พูดสมกับเป็นดีว่าจริงๆ ฮ่าๆ “

           วาหายใจเข้าลึกๆก่อนที่จะกล่าวต่อ

          “ งั้นทำไมนายไม่ลองชวนรุ่นพี่ไซโคร แนชดูละ  เมื่อวานเขาก็เป็นคนช่วยนายนะ  แถมดูเหมือนเขาน่าจะยังไม่มีทีมด้วย “

           “ คงไม่ได้หรอกครับ ยิ่งเมื่อวานนี้เขาเป็นคนช่วยผม ผมยิ่งไม่กล้าชวนเข้าไปใหญ่  เพราะแค่นั้นก็เป็นหนี้น้ำใจเขามากแล้วละครับ “

           “ มันก็ไม่แน่หรอกนะ  ของอย่างนี้ไม่ลองไม่รู้นะ “

           “ มันก็จริงนะครับ ความจริงผมก็อยากให้รุ่นพี่เขาอยู่ทีมเดียวกับผมเหมือนกัน แต่ว่า........ “

           “ แต่ว่าอะไรละ  บอกแล้วไงว่าไม่ลองไม่รู้  เอาอย่างนี้นะถ้านายไม่กล้าชวนเดียวเราชวนให้นายเอง  แล้วถ้าชวนได้อีกคนที่เหลือนายว่าควรจะชวนใครดีละ “

           “ ผมเองก็ยังคิดไม่ออกเหมือนกันละครับ  แล้วคุณสนใจบ้างไหมละครับ

           “ หาาาาาา  !!!  เราเนี่ยนะ “

           “ ใช่แล้วละครับ ความจริงเมื่อวานตอนที่ผมคุยกับน้องระรินเขาก็ถามผมว่าทำไมไม่ลองชวนพี่วาดูละค่ะ   แต่ผมบอกน้องเขาไปว่า ผมเกรงใจอีกอย่างหนึ่งคุณเองก็ลงแข่งไปตั้งเยอะตั้งแย่ะแล้ว  คงไม่มีเวลามาลงประลองอาวุธอีก “

            “ ไอ้เรื่องเวลามันก็ใช่อยู่หรอก  แต่ว่านายเองก็บอกไม่ใช่หรอว่าในโรงเรียนนี้มีไม่กี่คนที่สามารถเอาชนะเจ้าพวกนั้นได้  นายเองก็เห็นแล้วไม่ใช่หรอที่เราลงไปเมื่อวานน่ะมันเป็นยังไง “

           “ ถ้าเป็นคนอื่น ผมคงไม่ชวนหรอกครับ  อีกอย่างผมไม่ได้เลือกคนที่ฝีมือ แต่ผมเลือกตรงที่เขาจริงใจต่างหากละครับ “

           “ ไม่เป็นไรหรอก  เราไม่อยากเป็นตัวถ่วงของทีมหรอก “

           “ ทีมจะมีความหมายอะไรละครับ  ถ้ามุ่งแต่จะเอาชนะอย่างเดียวจนลืมถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน  อย่างที่เพิ่งบอกไปไม่ใช่หรอครับ  คนที่มุ่งแต่จะเอาชนะอย่างเดียวผลสุดท้ายเขาก้จะไม่มีวันชนะ “

           “ อืมนะ อย่างนั้นก้ต้องขอเวลาเราคิดก่อนละกัน  เพราะถ้าเราลงหลายรายการมากเกินไปอาจจะกลายเป็นผลเสียมากกว่าผลดีจริงไหม “

           “ ได้ครับ “

           “ ก่อนที่เราจะตัดสินใจ ยังไงเราจะลองชวนรุ่นพี่ไซโคร แนชให้ก็แล้วกัน “

           ดีว่าไม่พูดอะไรต่อ เพียงแต่ยิ้มให้วาเท่านั้น   จริงอย่างที่วาพูด  ถ้าหากเขาลงหลายรายการมากเกินไปอาจจะเป็นผลเสียไปเลยก็ได้   เพราะคนเราหากทำอะไรหลายๆอย่างพร้อมกันมากเกินไป ร่างกายอาจจะรับไม่ไหว  ถึงต่อให้รับไหวก็คงไม่สามารถต่อสู้ได้อย่างเต็มที่

             แต่ดีว่าอาจะลืมคิดไปว่า ถ้าคนเราคิดที่จะสู้แล้วละก็ไม่ว่ามันจะยากเย็นแค่ไหน  สักวันเราก็จะต้องทำมันได้แน่นอน  เพราะชีวิตคนเราลิขิตตัวเองเท่านั้น

              



              ที่ล็อบบี้ชั้นล่างตอนนี้มีนักเรียนเริ่มลงมาบ้างแล้ว  และพวกของวาก็เป็นหนึ่งในนั้น  ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดพวกของวาดูคล้ายกับว่า กระตือรือร้นกว่านักเรียนกลุ่มอื่นอยู่บ้าง  

              มิว นีโอ เบต้า หรือแม้แต่เสือใบ้นิคต่างก็ลงมาพร้อมหน้ากันแล้ว  ทุกคนต่างซื้ออาหารของตัวเองมานั่งรวมกันที่โต๊ะประจำโดยเป็นโต๊ะตัวที่อยู่ใกล้ริมกระจก และอยู่ด้านในสุดของล็อบบี้   วาเองก็รู้สึกว่ามุมโต๊ะที่เลือกนี้ช่างสบายตาดีเหลือเกิน มองออกไปข้างนอกแล้วทำให้รู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก

              “ เมื่อวานเป็นไงบ้างละ สนุกไหม ”

               มิวเป็นคนเริ่มถามวา

               “ ก็สนุกดีนะ แต่รู้สึกว่าจะโหดไปหน่อยนะ ”

                “ เมื่อวานเรานี่ยากจะอัดเจ้าเซตสักสองสามหมัดจริงๆเลยให้ตายสิ  ทำไมมันทำตัวได้น่าหมั่นไส้ขนาดนี้นะ  สมน้ำหน้าที่โดนสายฟ้าฟาดใส่ ”

               วาไม่พูดอะไรต่อนอกจากเริ่มรับประทานข้าวหน้าเป็ด และน้ำชาเขียวที่อยู่ด้านหน้าของเขา

                “ อืม  วานายเป็นคนชอบอ่านหนังสือนิยายใช่มไหม ”

                “ อะฮะ ทำไมหรอ ”

                “ นายเคยอ่านหนังสือเล่มนี้ไหม รวมประวัติเพี้ยนที่คุณไม่เคยรู้ ”

                “ อ๋อ  หนังสือเล่มนั้นน่ะหรอ  เคยสิที่เขียนโดย จ๋อกับชูใช่ไหมละ ”

                “ ใช่แล้วละเล่มนั้นเลยละ ”

                “ ว่าแต่มีอะไรหรอ ”

                “ ป่าวหรอก  เราแค่อยากจะบอกว่ามันสนุกดีนะ  แต่เราเพิ่งอ่านไปได้ไม่กี่เรื่องเอง  แล้วพอดีเรื่องที่เราอ่านเรื่องแรกก็เป็นเรื่อง ที่มาของข้าวเช้า และตอนเช้า น่ะ”

                เบต้าซึ่งแอบฟังอยู่รู้สึกสนใจเลยถามมิว คล้ายกับหุ่นยนต์ที่ต้องการข้อมูเพิ่มเติม

               “ แล้วมันมีที่มายังไงหรอ ”

               “ ที่มาของข้าวเช้านะหรอ ในหนังสือเล่มนั้นบอกว่า  ที่จริงแต่ก่อนเขาไม่ได้เรียกข้าวเช้าหรอก เขาเรียกกันว่า ข้าวช้า !!  ซึ่งมาจากตอนเช้า ที่จริงแต่ก่อนเขาไม่เรียกกันว่าตอนเช้าหรอกนะ  เขาเรียกกันว่าตอนช้า !! ”

              “ ทำไมเป็นงั้นไปละ ”

              “ ก็เพราะว่าตอนเช้าเป็นช่วงที่คนเราเพิ่งจะตื่นใช่ไหมละ  แล้วเวลาที่คนเราเพื่งตื่นก็จะทำอะไรได้ช้าใช่ไหม  เขาเลยเรียกกันว่าตอนช้า  แต่ตอนหลังเรียกกันจนเพี้ยนเป็นตอนเช้ายังไงละ ”

              “ อ๋อ ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง แล้วเรื่องข้าวเช้าละ ”

              “ ก็เหมือนกับตอนเช้าน่ะแหละ  คนเราพอตื่นแล้วทำอะไรช้า พอจะทำข้าวกินก็เลยช้าไปด้วย เลยกลายเป็นข้าวช้าไง  แล้วตอนหลังถึงกลายเป็นข้าวเช้า ”

             นีโอซึ่งฟังอยู่ก็อดขำด้วยไม่ได้  เขารู้สึกว่าคนที่แต่งเรื่องนี้ออกจะเพี้ยนอยู่บ้าง  แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้หายเครียดได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว

             “ ที่จริงยังมีเรื่องประวัติที่มาของอะไรหลายๆอย่างอีกเยอะเลยละ  ไว้เราจะมาเล่าให้ฟังเป็นระยะๆก็แล้วกัน ”

             วาเองก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงหนังสือเล่มนี้บ้าง

              “ งั้นว่าแต่นายอ่านถึงนี่หรือยังละ  ทำไมเขาถึงเรียกคนที่กินข้าวแล้วไม่ยอมจ่ายว่า ชักดาบ ละ”

              “ ยังไม่ถึงเลย  ว่าแต่ทำไมละ  เราอยากรู้ตอนนี้เลย ”

              “ ในหนังสือเขาบอกว่า  ช่วงนั้นเป็นยุคสมัยท่ะพวกซามูไรเป็นใหญ่ มีทั้งซามูไรที่ดีแล้วก็ไม่ดี  แล้วอยู่มาวันหนึ่งมีซามูไรพวกหนึ่งไปกินข้าวที่ร้านข้าวแห่งหนึ่ง  

            พอกินกันจนเสร็จก็ไม่คิดที่จะจ่ายเงิน  คนที่นำกลุ่มซามูไรเถื่อนนั่นก็เลยตะโกนขึ้น ตอนที่เจ้าของร้านจะมาเก็บเงินว่า  เฮ้ย !! พวกเราชักดาบ  ซามูไรเถื่อนก็ชักดาบออกมาขู่เจ้าของร้านทำให้เจ้าของร้านไม่กล้าเก็บเงิน   ตั้งแต่นั้นมาเขาเลยเรียกไอ้พวกกินแล้วไม่จ่ายว่า ไอ้พวกกินแล้วชักดาบ ซึ่งหลายๆคนเข้าใจผิดว่าเป็นการกินแล้วหนีแต่จริงๆแล้วไม่ใช่  แต่เป็นอย่างที่เล่ามาเนี่ยแหละ ”

             เบต้าอดทึ่งไม่ได้

             “ คิดได้ยังไงเนี่ย อย่างกับเรื่องจริงแน่ะ ”

             “ แต่เขาเขียนไว้ท้ายเล่มว่า โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน  เพราะเขาบอกว่าที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเขาแต่งขึ้นมากันเองสองคนเพื่อคลายความเครียด ”

             “ เห็นทีเราคงต้องไปหาซื้อมาอ่านบ้างแล้วละ  ท่าทางจะคลายเครียดได้เยอะเลย ”

             “ วันนี้ได้ข่าวว่ากติกาการประลองอาวุธจะออกด้วยนิ  สนใจจะตั้งทีมแข่งกับเขากันบ้างไหม ”

             มิวพูดอย่างทีเล่นทีจริง

             “ ไม่ละแค่ซ้อมวงดนตรีกับเรียนชมรมแฮคเกอร์เราก็เหนื่อยแทบตายอยู่แล้ว ”

             เบต้าตอบอย่างหุ่นยนต์หมดพลังงาน      

             “ แล้วนายละนิค ”

             เสือใบ้นิคสั่นศีรษะ  ถ้าเป็นคนที่ไม่รู้จักคงคิดว่านิคเป็นคนที่หยิ่งไม่ยอมพูด แต่ถ้าได้รู้จักแล้วละก็คุณจะไม่มีวันหวังว่าเขาจะพูดเลย  

              

            

               หลังจากรับประทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว  ทั้งหมดก็เดินทางไปยังตึกอาคารเรียน     ระหว่างมิวพบกับพิชากิจึงแวะเข้าไปคุยด้วย   วาคาดว่าน่าจะเป็นเรื่องการซ้อมวงดนตรีเสียเก้าสิบเปร์เซนต์        

              ที่หน้าห้องเรียนตรงข้างกระดานวันนี้มีประกาศติดเพิ่มมาด้วยหนึ่งแผ่น  ซึ่งประกาศจากโปสเตอร์มีติดไว้อยู่ในทุกห้องเรียนเลยทีเดียว    มีเด็กนักเรียนมากมายเข้าไปมุงดูกันอย่างสนอกสนใจ  

              คนที่ดูสนใจเป็นพิเศษก็คือ วานั่นเอง   เขาพอจะเดาออกว่าที่ติดไว้ก็คือ   กติกาและกำหนดการประลองอาวุธนั่นเอง            วารอจนมีที่ให้เขาสามารถอ่านประกาศนั้นได้อย่างสบายๆ จากนั้นเขาก็เริ่มอ่านกติกา

              

      

              

                                            กติกาการเข้าร่วมแข่งขันประลองอาวุธประจำปี





    1.    ผู้เข้าแข่งขันจะต้องศึกษาอยู่ในโรงเรียนที่มีรายชื่อร่วมในการแข่งขันครั้งนี้เท่านั้น  โดยไม่สามารถเข้าร่วมกับโรงเรียนอื่น

    2.    ผู้เข้าแข่งขันจะต้องกำลังศึกษาอยู่ในช่วงชั้นเรียน มัธยมศึกษาตอนปลายเท่านั้น

    3.     ผู้เข้าแข่งขันจะต้องมีทีมเป็นของตัวเอง  โดยผู้เข้าแข่งขันหนึ่งคนมีสิทธิอยู่ได้ทีมเดียวเท่านั้น  โดยแบ่งเป็นทีมละ 4 คน    ตัวจริงในการลงแข่งขัน 3 คน  และตัวสำรองอีก 1 คน ( ตัวสำรองนั้นจะมีก็ได้ไม่มีก็ได้ )

    4.    การแข่งขันจะเป็นการแข่งขันแบบตัวต่อตัว  โดยทีมไหนชนะครบ 2 ใน 3 รอบก่อนจะเป็นทีมที่เข้ารอบ

    5.     ผู้เข้าแข่งขันจะต้องได้รับการตรวจสุขภาพก่อนการแข่ง  และไม่เป็นโรคซึ่งจะก่อให้เกิดอันตรายในการแข่งขัน

    6.    จะทำการคัดเลือกทีมที่จะเข้าไปสู่การประลองอาวุธระหว่างสถาบันเหลือเพียงแค่ 2 ทีมเท่านั้นจากทีมทั้งหมด

    7.    ห้ามผู้เข้าแข่งขันทะเลาะกันก่อน หรือหลังแข่งขันเด็ดขาด

    8.    หากจับได้ภายหลังว่าผู้เข้าแข่งขันละเมิดกฎข้อใดข้อหนึ่งจะถูกตัดสิทธิแข่ง และปรับแพ้ทันที



    -    ส่งรายชื่อสมาชิกในทีม และชื่อทีมก่อนวันที่  10 ตุลาคมนี้

    -    การจัดตารางการแข่งจะประกาศให้ทราบภายในวันที่  14 ตุลาคมนี้

    -    หากมีข้อสงสัยใดๆ โปรดติดต่อคณะกรรมการนักเรียน หรือคุณครูประจำชั้น



              

                                          __________________________________





              

                “ น่าสนใจไหมละ ”

                วาตกใจเมื่อโซเฟียพูดขึ้นระหว่างที่เขากำลังอ่านปรากศนี้อยู่  ไม่ทราบว่าเธอมายืนอยู่ข้างเขาตั้งแต่เมื่อไหร่  

                “ ก็น่าสนใจนะ  แต่เราคงไม่เข้าร่วมด้วยหรอก   เพราะอย่างเราคงจะสู้ใครไม่ได้ ”

                “ อย่างนายสู้ไม่ได้ แต่ก็วิ่งหนีได้นี่  แบบเมื่อวานยังไงกันละ อิอิ ”

                วาแทบจะชินกับการกวนประสาทของโซเฟียแล้วก็ว่าได้  จึงพูดกลับไปว่า

               “ แหม  ใครจะเก่งเหมือนคนที่นั่งข้างเราละ  ใช้ดาบเพลิงอัคคีชนะเขาแล้ว  แถมยังมีน้ำใจนักกีฬาไปเป็นห่วงเขาอีกว่าเป็นอะไรรึเปล่า ”

               “ แน่นอน  แต่ก็ไม่แน่นะ  ถ้าเป็นคุณเด๋ออาจจะวิ่งหนีดาบเพลิงอัคคีของเราทันก็ได้นะ อิอิ ”

               วาคล้ายกับไม่มีทางโต้คารมชนะโซเฟียได้เลยจริงๆ  

               “ แล้วว่าแต่เธอเองไม่สนใจบ้างหรอ  อย่างเธอนี่น่าจะเอาชนะคนได้เยอะเลย ”

               “ เอาชนะคนได้เยอะก็เท่านั้นแหละ  ถ้าไม่มีทีมอยู่อ่านะ  ว่าแต่คุณเด๋อสนใจจะตั้งทีมกันกับเราไหมละ ”

               วาไม่ทราบว่าโซเฟียถามจริงๆ หรือแกล้งถามกันแน่   แต่พอได้ยินคำถามนี้ขึ้นมาวาก็นึกได้ถึงที่คุยกับดีว่าตอนเช้า ( หรือตอนช้าในความหมายของจ๋อและชู คนแต่งประวัติเพี้ยน )  ว่าทำไมไม่ลองชวนโซเฟียดูละ  

               เมื่อคิดได้ดังนั้นวาจึงถามโซเฟียกลับ

              “ กลัวตั้งจริงแล้วจะไม่มีคนอยู่น่ะสิ  โดยเฉพาะคนถามเนี่ยแหละ ”

              คราวนี้วายิ้มอย่างผู้ชนะ   เขามั่นใจว่าโซเฟียจะต้องปฎิเสธ หรือไม่ก็บอกว่าเราแค่ล้อเล่นแน่ๆ   แต่เมื่อโซเฟียตอบกลับวาก็ยิ่งคิดว่า ผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่ไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่นจริงๆ  คาดคำนวณไม่ถูกจริงๆ

              “ ทำไมเราจะไม่กล้าอยู่ละ   ถ้าคุณเด๋อตั้งรับรองเราอยู่แน่นอน  กลัวแต่จะไม่ตั้งน่ะสิ ”

               คราวนี้คนที่คิดจะปฎิเสธ หรือพูดว่าล้อเล่นกลับเป็นวาเสียเอง   แต่ก่อนที่วาจะบอกว่าเขาล้อเล่นนั้นเขาก็คิดขึ้นมาได้ทันที      “ ประกาศเมื่อสักกครู่มันบอกว่ามีตัวจริงสามคน และตัวสำรองอีกหนึ่งคน  ถ้าเราเป็นตัวสำรองเราก็ไม่ต้องลงแข่ง ปล่อยให้คนที่เป็นตัวจริงลงแข่งเสียก็สิ้นเรื่อง ”   และวาก็พอจะนึกออกว่าตัวจริงสามคนนั้นจะเป็นใคร คนที่หนึ่งต้องเป็นโซเฟียแน่นอน คนต่อไปก็ต้องเป็นดีว่า และสุดท้ายรุ่นพี่ไซโคร แนช   คิดถึงตอนนี้วาก็รีบตอบกลับไปทันที

               “ คนอย่างเราเนี่ยนะจะไม่กล้าตั้ง  ตกลงเธอแน่ใจว่าจะอยู่ทีมเดียวกันกับเรา ”

               “ แน่ใจสิ ว่าแต่อย่างคุณเด๋อจะหาคนเพิ่มมาอีกตั้งสองได้หร๋อ ”

              “ มีอะไรที่คนอย่างเราทำไม่ได้ละ “

              วายิ้มอย่างผู้ชนะ

              “ ไม่มีหรอก  ขนาดวิ่งหนีดาบยังวิ่งหนีได้เลย อิอิ ”

              วาคล้ายไม่มีทางโต้คารมชนะจริงๆ      

              “ เอาละคุณเด๋อ  ไปนั่งที่กันดีกว่า เดี๋ยววันนี้ชั่วโมงแรกอาจารย์มาน่อฟเข้าด้วยสิ ”

            



              วันนี้ชั่วโมงแรกผ่านไปช้าอีกตามเคยสำหรับนักเรียนหลายคน  วิชาเลขคล้ายกับเป็นศัตรูของนักเรียนบางคนตลอดกาลจริงๆ   แต่คนที่ไม่ชอบวิชาเลขแต่ละคน จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า  ถ้าเขายิ่งหนีไม่กล้าที่จะลองทำแบบฝึกหัด หรือจับปากกาขึ้นสู้ตั้งใจศึกษามันอย่างจริงจังจริงๆ เขาก็จะต้องหนีมันไปอย่างนี้ตลอดชีวิต

              คนส่วนใหญ่ในโลกก็มักจะเป็นแบบนี้  เมื่อเจอปัญหาอะไรก็มักจะคิดว่าตัวเองทำไม่ได้แล้วยอมแพ้ตั้งแต่แรก  เพียงแค่พวกเขาคิดแค่นี้เขาก็แพ้แล้ว และสักวันความผ่ายแพ้ก็จะมาถึงพวกเขาจริงๆ      แต่ถ้าพวกเขาลุกขึ้นสู้ไม่แน่ว่าอาจจะชนะได้   ในโลกนี้จึงมีบ้างบางคนที่คล้ายเป็นผู้แพ้ และบางคนคล้ายเป็นผู้ชนะตลอดกาล

              ตลอดชั่วโมงเลขที่ผ่านมา วาตั้งใจเรียนไปด้วย พร้อมกับแอบคิดชื่อทีมแข่งขันประลองอาวุธไปด้วย  แต่เขานึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก         บางครั้งการตั้งชื่ออะไรสักอย่างให้ดีๆก็เป็นที่ยากลำบากเรื่องหนึ่งเหมือนกัน    ยิ่งเมื่อเวลาพ่อแม่คิดตั้งชื่อให้ลูกของตัวเองนั้นคล้ายยากลำบากกว่าตั้งชื่อทีมมากนัก

              ระหว่างรออาจารย์พิชายะเข้าสอน    โซเฟียซึ่งเห็นวาเหม่อลอยครุ่นคิดอยู่นั้นก็เกิดสงสัยจึงถามขึ้น

              “ นายกำลังคิดอะไรอยู่หรอ  บอกเรามั่งสิ  เผื่อเราจะได้นั่งเหม่อมั่งไง อิอิ ”

              “ คิดถึงเธอมั้ง ............”

              วาพุดอย่างล้อเล่น  คราวนี้โซเฟียไม่โต้กลับเหมือนทุกคราว เป็นเพราะอะไรวาเองก็ไม่รู้  วาแทบไม่ได้คิดก่อนที่จะพุดออกไปด้วยซ้ำ  เพราะเขากำลังตั้งสมาธิอยู่กับการตั้งชื่อทีม  

            “ ล้อเล่นน่า เราก็แค่กำลังคิดจะตั้งชื่อทีมอยู่ก็เท่านั้นแหละ ”

            “ งั้นหรอ......... ”

            โซเฟียเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างเช่นกันจากนั้นก็ถามขึ้นว่า

           “ แล้วว่าแต่นายคิดไว้หรือยังว่าจะชวนใครอีกสองคนเข้าร่วมทีมละ ”

           “ ก็คิดไว้แล้วละ ”

           “ ใครบ้างหรอ ”

           “ ถึงตอนนั้นก็รู้เองแหละ  แบบว่าเซอร์ไพส์น่ะ ”

           “ ไม่ยักรู้ว่าคนอย่างคุณเด๋อจะชอบทำเซอร์ไพส์คนอื่นเขาด้วย  ท่าทางจะเป็นคนโรแมนติกนะเนี่ย ”

           “ เหอๆ ”

            

            หลังจากรับประทานอาหารเที่ยงเสร็จเรียบร้อยแล้ว  วาก็ตรงไปยังห้องชมรมนักมายากลทันที    มองผ่านกลุ่มนักเรียนทั้งหลายไปทางด้านขวา  วาก็เห็นดีว่าจึงรีบเข้าไปบอกข่าวดีให้ดีว่าฟัง

             “ เรามีข่าวดีจะบอกแหละ ”

             “ อะไรหรอครับ ”

             “ เราชวนโซเฟียเข้าร่วมทีมได้ด้วยละ  แล้วเราก็ตัดสินเข้าร่วมทีมด้วย  นายคงได้อ่านกติกาแล้วใช่ไหมละ ที่ว่ามีตำแหน่งตัวสำรองด้วย  เดี๋ยวเราจะเป็นตำแหน่งตัวสำรองเอง  ที่เหลือก็ชวยรุ่นพี่ไซโคร แนชให้ได้เท่านั้นเราก็จะได้ไปลงทะเบียนกันสักที ”

             “ จริงหรอครับเนี่ย  ขอบคุณมากนะครับ  แต่ไม่น่าจะต้องรบกวนคุณโซเฟียเลย ”

             “ เอาน่า ไหนๆเขาก็ร่วมกับเราแล้ว   นี่ยังไงตอนหลังเลิกชมรมไปชวนรุ่นพี่ไซโคร แนชด้วยกันไหม   เพราะเราไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนน่ะสิ ”

             “ เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ ”

             “ โอเคงั้นตอนหลังเลิกชั่วโมงชมรมเจอกันตรงนี้นะ ”

              

            

              เมื่อวาเข้าไปในห้องฮาโมเนียก็พบซาซาไรรออยู่แต่แรกแล้ว    ก่อนที่จะเริ่มบทเรียนวาจึงเล่าเรื่องที่เขาจะเข้าร่วมแข่งขันประลองอาวุธให้ซาซาไรฟัง

              “ น่าสนุกดีนี่ครับ  นี่ถ้าผมย้อนเวลากลับไปเป็นเด็กได้คงจะต้องขออยู่ร่วมทีมกับคุณสักหน่อยแล้วละ ”

              “ ถ้ามีมาสเตอร์อยู่ก็คงชนะเลิศแล้วละครับ ”

              “ แต่ทำไมถึงคิดจะเป็นตัวสำรองละครับ  ที่จริงคนที่ควรจะเป็นตัวสำรองน่าจะเป็นโซเฟียมากกว่านะ ”

              “ ทำไมหรอครับมาสเตอร์  ก็เพราะคุณเป็นผู้ชายแล้วเขาเป้นผู้หญิงนะสิครับ  ต้องช่วยดูแลสุภาพสตีรสิครับ ”

              “ แหม  ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะครับ  แต่ผมไม่มีฝีมือเรื่องการต่อสู้เลยนิครับ  แล้วผมจะปกป้องใครได้ ”

              ถึงตอนนี้ซาซาไรก็ยิ้มแล้ว

               “ คุณต้องการพลังที่จะปกป้องคนอื่นหรอครับ ”

               “ มันก็ไม่เชิงหรอกครับ  ที่จริงก็ป้องกันตัวเองแล้วก็ใช้แข่งขันด้วยก้ดีนะครับ  มาสเตอร์ถามเหมือนกับจะให้พลังพิเศษผมตามแบบการ์ตูนทั่วๆไปเลยนะครับ ฮ่าๆ ”        

               “ แล้วถ้าผมให้ได้ละครับ ”

               วาหัวเราะไม่ออกแล้ว

               “ จะให้ได้ยังไงหรอครับ ”

               “ ถึงผมจะไม่มีพรหรือพลังพิเศษที่จะให้คุณเหมือนในการ์ตูน แต่ผมมีความรู้ ความสามารถที่จะถ่ายทอดให้คุณได้นะครับ  ก็จริงอย่างที่เขาว่าแหละครับว่า      

                                           อันความคิดวิทยา     เหมือนอาวุธ

                                   ประเสริฐสุดซ่อนไว้    เสียในฟัก

                                    สงวนคมสมนึก         ใครฮึกฮัก

                                    จึงคอยชักเชือดฟัน    ให้บรรลัย        ”

                    “ คมจังเลยนะครับเนี่ย  สรุปแล้วก็คือ มาสเตอร์จะสอนวิธีต่อสู้ให้ผมหรอครับ ”

                    “ ใช่แล้วละครับ  ผมจะสอนเท่าที่เวลาจะมีก็แล้วกันนะครับ  ”

                    “ ครับผมจะตั้งใจรับการฝึกอย่างเต็มที่เลยละครับ ”

                    “ ซึ่งความจริงการฝึกมายากลคุณก็ว่ามันยากอยู่แล้วใช่ไหมละครับ  แต่ว่าการฝึกต่อสู้โดยใช้มายากลนั้นยากกว่าอีกหลายเท่าเลยละครับ ”

                    “ ผมจะทำให้เต็มที่ แล้วจะไม่มีคำว่าเสียใจครับมาสเตอร์ ”

                    “ ดีมาก  แล้วเป็นยังไงบ้างตอนนี้   สามารถใช้ใพ่ได้คล่องขึ้นหรอยังครับ ”

                    “ ก็ค่อนข้างแล้วละครับ  นั่นก็คงเป็นหนึ่งในสิ่งที่ต้องใช้สู้ใช่ไหมครับ ”

                    วาจำได้ตอนที่ซาซาไรใช้ใพ่ช่วยเขาในวันแรกที่เข้ามาเรียนได้

                   “ ใช่แล้วละครับ  งั้นไหนลองทดสอบฝีมือหน่อยนะครับ ”

                   พูดจบซาซาไรก็กระดิกนิ้ว  ทันใดนั้นเองปรากฎหมอกควันขึ้นบนเวทีฮาโมเนียข้างหน้าเขา   เมื่อหมอกจางลงก็ปรากฎให้เห็นเป็นเป้ารูปคนยืนอยู่จำนวนสามคน มีระยะห่างระหว่างกันประมาณคนละหนึ่งเมตร

                   “ ลองซัดใพ่ประจำตัวออกไปจากตรงนี้   ให้ถูกเป้าทั้งสาม โดยแบ่งเป้าละอย่างน้อยสิบใบให้ดูหน่อยสิครับ  ”

                  จากตรงนี้ที่วายืนอยู่ค่อนข้างจะไกลเลยทีเดียว  สำหรับการที่ใครสักคนจะปาของไปให้โดน  แล้วยิ่งเป็นใพ่แล้วด้วย ยิ่งยากเข้าไปใหญ่    ยังดีที่ว่าใพ่ของวานั้นเป็นใพ่ที่มีน้ำหนักเป็นพิเศษ เหมือนกับสร้างมาเพื่อใช้ได้สารพัดประโยชน์จริงๆ

                  วาเริ่มเพ่งสมาธิไปที่เป้าล่อรูปคนแล้ว โดยเริ่มจากเป้าทางซ้ายมือของเขาก่อน  ใพ่ใบแรกประทับอยู่ระหว่างนิ้วมือขวาของเขาแล้ว    ใพ่หนึ่งสำรับมีทั้งหมดห้าสิบสองใบ ต้องใช้ทั้งหมดสามสิบใบในการซัดไปให้โดนเป้าล่อทั้งสาม  ดังนั้นวาสามารถซัดใพ่พลาดได้เพียงแค่ยี่สิบสองใบเท่านั้น    

                  และแล้วประกายใพ่วูบขึ้น  ใพ่ถูกซัดออกจากมือของวาแล้ว    ใพ่นี้พุ่งออกไปด้วยความรวดเร็ว  เป็นเพราะสมาธิที่วาใช้เพ่งเมื่อสักครู่ ประกอบกับน้ำหนักที่สมดุลย์ของใพ่ทำให้    การซัดใพ่ครั้งนี้ดูไปรวดเร็วยิ่ง

                  ใพ่ถูกซัดปักเป้าล่อแล้ว  โดยไร้เสียแม้แต่น้อย   นี่คงเป็นผลจากการฝึกฝนอย่างมุ่งมั่นของวานั่นเอง   ซาซาไรปรบมือให้พร้อมกล่าว

                  “ ใพ่แรกที่รวดเร็ว แม่นยำนัก ไหนขอลองดูใพ่ต่อไปหน่อยซิ ”

                  

                  ในที่สุดเป้าล่อทั้งสามก็ถูกซัดใส่ด้วยใพ่ของวาแล้ว   แต่ละตัวถูกใพ่ปักครบสิบใบพอดีตามที่ซาซาไรได้สั่งไว้      วาซัดใพ่พลาดไปจากทั้งหมดเพียงแค่สิบสามใบเท่านั้น  

                 “ ยอดเยี่ยมเลยทีเดียวครับ  สำหรับครั้งแรก ”

                 “ ยากเอาการเหมือนกันนะครับเนี่ย ”

                 “ แต่อย่าลืมนะครับว่า เวลาที่เราจะต้องใช้จริงๆ เป้าหมายมันไม่ยืนอยู่เฉยๆให้เราซัดใส่หรอกครับ ”

                กล่าวจบเป้าทั้งสามที่ตั้งอยู่นิ่งๆ ก็ขยับหมุนได้แล้ว  แถมยังหมุนค่อนข้างเร็วอีกต่างหาก  

                 “ ขอยืมใพ่สักสามใบได้ไหมครับ ”

                 วายื่นใบของเขาให้แก่ซาซาไร

                 “ ผมจะซัดให้โดนเป้าละใบนะครับ ”  

                     ซาซาไรเพ่งสมาธิอยู่เพียงครู่เดียวเท่านั้น  ใพ่ทั้งสามใบก็ถูกซัดออกจากมือแทบจะเป็นเวลาใกล้เคียงกันเลยก็ว่าได้      เพียงเห็นประกายวูบหนึ่งใพ่ทั้งสามก็ปักลงที่เป้าล่อทั้งสามแล้ว   ความเร็วที่ซัดออกไปนั้นแทบจะเรียกได้ว่า ชั่วพริบตาจริงๆ   แถมใพ่ทั้งสามยังปักเป้าลึกจนแทบจะมองไม่เห็นใพ่เลยทีเดียว

                      “ สุดยอดเลย ”

                      “ ในการต่อสู้จริงๆต้องซัดใพ่ให้ถึงระดับนี้นะครับ  มิเช่นนั้นถึงเราซัดใพ่ถูกคู่ต่อสู้ได้  แต่ก็คงลดพลังชีวิตเขาได้เพียงแค่เล็กน้อยซึ่งไม่ค่อยจะคุ้มค่านักกับใพ่ใบหนึ่งที่เราต้องเสียไป   จำไว้นะครับว่าเรามีเพียงแค่ห้าสิบสองใบ ”

                       ห้าสิบสองใบในความคิดของคนอื่นนั้นเรียกได้ว่าใช้ยังไงก็ไม่น่าจะหมด  แต่สำหรับซาซาไรนั้นมีเพียงแค่น้อยนิดเท่านั้น

                      “ ห้าสิบสองยังไม่พอ ทำไมไม่หาเพิ่มมาอีกสำรับละครับ ”

                      “ ถามได้ดีมากครับ  ที่ไม่เพิ่มมาอีกสำรับหนึ่งก็เพราะหากเพิ่มมาอีกสำรับก็จะกลายเป็นมากเกินไป  อาจทำให้เราเกิดความประมาทได้น่ะสิครับ  ที่สำคัญนักมายากลมีใพ่ประจำตัวเพียงสำรับเดียวเท่านั้นนะครับ  มันก็เหมือนอาวุธประจำกายละครับ ”

                      จริงอย่างที่ซาซาไรพูด บางครั้งการทำอะไร หรือมีอะไรมากเกินไปก็กลับกลายเป็นไม่ดีได้  เช่นเดียวกับการทำอะไร หรือมีน้อยเกินไปก็ไม่ดีเช่นกัน   ดังนั้นการใช้อย่างพอเพียงจริงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เช่นเดียวกับทางสายกลางนั่นเอง

                     “ แต่ผมก็คิดว่าห้าสิบสองมันก็น่าจะพอแล้วละครับ  ดูออกจะมากเกินไปด้วยซ้ำ ”

                     “ ผมจะบอกให้ครับว่าทำไมถึงจะไม่พอ  ก็เพราะว่าเวลาที่เราซัดจริงๆ เราไม่ซัดเพียงแค่ใบเดียวหรอกครับ     อาจบางทีซัดใพ่ครั้งหนึ่งใช้ถึงสากว่าใบได้   และถ้ายิ่งเป็นท่าจู่โจมพิเศษอาจใช้ใพ่ถึงครึ่งสำรับเลยนะครับ ”

                    “ ผมจะทำได้ไหมครับเนี่ย  ซัดทีสิบ ยี่สิบใบเนี่ย  แค่คิดก็ยากแล้วครับ ”

                    “ ไม่ยากหรอกครับ  เวลาฝึกฝนยังมี  ขอให้ตั้งใจอย่างเต็มที่ก็พอครับ ”

                    



                   หลังจากนั้นวาก็เริ่มฝึกอย่างจริงจัง  ทำให้ชั่วโมงชมรมสี่ชั่วโมงนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็วมาก    ซาซาไรสอนเทคนิคใหม่ให้เขาเพิ่มมากขึ้นกว่าตอนแรกๆ  คงเป็นเพราะเขาเก่งขึ้นด้วย และเวลาก็มีไม่มากนัก

                   วาแค่เดินออกมาจากห้องชมรมก็เห็นดีว่ายืนคอยดูก่อนแล้ว   ทั้งๆที่วาเองก็เลิกค่อนข้างจะเร็วแล้ว  แต่ดีว่ายังมาก่อนอีก  สมแล้วที่เป็นดีว่าจริงๆ    

                    “ มาเร็วจังนะ ”

                    “ ไม่หรอกครับ  พอดีวันนี้ที่ชมรมไม่ค่อยมีอะไรมาก ”

                    “ อืม  ว่าแต่จะไปหารุ่นพี่ไซโคร แนชได้ที่ไหนละ ”

                    “ ผมเองก็ไม่ค่อยจะแน่ใจนักหรอกนะครับ  แต่ผมคิดว่าน่าจะมีไม่กี่ที่หรอกครับ ”

                    

      

                     วาเดินตามไปดีว่าไปเรื่อยๆ โดยที่วาก็ไม่ได้ถามว่าดีว่าจะไปที่ไหน   แต่ดูเหมือนว่าเขากำลังเดินกลับไปที่ตึกหอพัก       ดีว่าพาวาเดินมาจนถึงต้นไม้ใหญ่ใกล้ตึกหอพักเมื่อวานที่เกิดเรื่องขึ้น    และมันก็ทำให้วาอดประหลาดใจไม่ได้     เพราะคนที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่นั้นก็คือ ไซโคร แนช จริงๆ

                     ไซโคร แนชคล้ายเพิ่งมาถึงเช่นกัน  ราวกับนัดกันไว้   แต่ไซโคร แนชก็ไม่มีท่าทีสนใจดีว่ากับวาเลยแม้แต่น้อย  ราวกับว่าต่อให้มีระเบิดเกิดขึ้นต่อหน้าเขาก็ไม่นำพา

                     ดีว่าเป็นคนที่เดินเข้าไปหาไซโคร แนชก่อน

                     “ สวัสดีครับ ”

                     “……….. ”

                     ไซโคร แนชไม่ตอบเพียงแต่หันหน้ามามองที่ดีว่ากับวาเท่านั้น

                     “ คือ ผมอยากจะมาขอบคุณเรื่องเมื่อวานที่ช่วยผมไว้น่ะครับ ”

                     “ มีธุระอะไรอีกไหม ”

                     ช่างเป็นคำพูดที่ไรมนุษยสัมพันธ์ดีแท้  นี่ถ้าหากว่าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ดีว่กับวาแล้วละก็  คงไม่ทนยืนอยู่ต่อไปเป็นแน่    แต่ดีว่ากลับยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับส่งสายตาไปให้วา เป็นเชิงว่าช่วยจัดการต่อให้ที

                    “ เออ รุ่นพี่ครับ คือ รุ่นพี่ได้อ่านกติกาการประลองอาวุธดูหรือยังละครับ ”

                    “ เหอ อ่านแล้วมีอะไร  ไม่อ่านแล้วจะมีอะไร ”

                   “ ก็คืออย่างนี้น่ะครับ  พวกผมตั้งทีมกันได้แล้วสามคน แต่ยังไม่ครบสี่คน  ผมก็เลยจะลองมาชวนรุ่นพี่ดู  เผื่อว่ารุ่นพี่จะเข้าร่วมทีมกับพวกผม  ถ้ารุ่นพี่ไม่รังเกียจ ”

                   สายตาของไซโคร แนชจับจ้องไปที่วา คล้ายกับเป็นคนละคนกับเมื่อวาน

                   “ เจ้าก็อ่านแล้วไม่ใช่เรอะ  ว่ามีแค่ทีมละสามคนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมีตัวสำรอง  แล้วทำไมถึงต้องมาชวนข้าอีกละ ”

                  วาจะบอกว่า เขาอยากเป็นตัวสำรองเองก็ยังไงอยู่จึงพูดเลี่ยงว่า

                  “ พวกผมคิดว่า ถ้าได้รุ่นพี่ไซโคร แนชมาช่วยทีมเราต้องชนะแน่ๆเลยละครับ ”

                  “ เหอ ขอโทษทีนะ  ข้าไม่สนใจ ”

                  “ ไม่สนใจ   หรือว่ารุ่นพี่มีทีมแล้วละครับ ”

                  “ ยังไม่มี แล้วข้าก็ไม่คิดที่จะเข้าแข่งคราวนี้ด้วย ”

                  “ แล้วรุ่นพี่ไม่สนใจจะสู้กับเจ้าหมวกเมื่อวานนี้หน่อยหรอครับ ”

                  เมื่อวากล่าวถึงเกก้าดีน ไซโคร แนชก็คล้ายเปลี่ยนไปเล็กน้อย    วาเมื่อเห็นไซโคร แนชครุ่นคิดอยู่จึงรีบกล่าวต่อว่า

                  “ เปลี่ยนใจมาเข้าร่วมกับพวกผมแล้วใช่ไหมครับเนี่ย ”

                  “ เหอ  ข้าไม่เคยคิดที่จะทำงาน หรือร่วมอะไรกับใครมาก่อนหรอก ขอบอกไว้ด้วย  เว้นแต่........... ”

                   ไซโคร แนชสเหยะยิ้มแล้ว  ดูไปคล้ายมีความมั่นใจอย่างยิ่ง

                   “ เว้นแต่พวกเจ้าสามารถเอาชนะข้าได้  ข้าจะเข้าร่วมทีมเดียวกันกับพวกเจ้า ”

                   คำพูดนี้ทำให้ทั้งวา และก็ดีว่าต้องอึ้งไปตามๆกัน  

                   “ พวกเจ้าบอกว่าพวกเจ้ามีกันสามคน  แล้วอีกคนหนึ่งละหายไปไหนเสีย ”

                    “ อีกคนหนึ่งเขาไม่ได้มาด้วยน่ะครับ  ผมคิดว่ารุ่นพี่ก็คงจะต้องรู้จักนะครับ   เขาคือ กรรมการนักเรียนที่ชื่อ โซเฟีย ยังไงกันละครับ ”

                    เอ่ยถึงคำว่า กรรมการนักเรียน สีหน้าไซโคร แนชก็คล้ายกับเปลี่ยนไปอีกแล้ว

                    “ งั้นเรอะ  เอาละถ้าพวกเจ้าหมดธุระแล้วก็รีบไปเสีย ”

                    “ เดี๋ยวก่อนสิครับ ”

                     คราวนี้คนที่พูดกลับเป็นดีว่าแล้ว

                    “ ผมต้องขอบคุณมากเลยนะครับที่เมื่อวานรุ่นพี่ช่วยผมไว้  แต่เมื่อสักครู่นี้รุ่นพี่บอกไว้ว่าต้องเอาชนะรุ่นพี่ให้ได้ใช่ไหมครับถึงจะยอมร่วมทีมกับพวกผม ”

                    “ แน่นอนถ้าพวกเจ้าทำได้ ”

                    “ อันที่จริงผมเองไม่อยากที่จะสู้กับรุ่นพี่เลยนะครับ   รุ่นพี่เป็นคนช่วยผมไว้  แถมพวกผมยังมารบกวนรุ่นพี่อีก  ผมรู้สึกละอายใจมากเลยครับ  เพียงแต่ว่า............ ”

                     ดีว่าคล้ายกล้ำกลืนคำพูดอยู่ ก่อนที่จะกล่าวต่อ

                     “ เพียงแต่ว่าถ้าการที่จะได้รุ่นพี่มาร่วมทีมกับพวกผมได้  ผมจะต้องสู้กับรุ่นพี่ผมก็คงจะต้องทำแล้วละครับ   เพราะว่าผมอยากให้รุ่นพี่มาร่วมทีมกับพวกผมจริงๆ ”

                    ดีว่าเป็นคนที่มีมารยาทอยู่ทุกเวลาจริงๆ  เพียงแค่คำพูดของเขาก็คล้ายกับทำให้ไซโคร แนชใจอ่อนลงได้เยอะทีเดียว

                    “ เรื่องที่ข้าไปช่วยเจ้าน่ะไม่ต้องมาขอบคุณหรอก   ข้าเพียงแต่ไม่อยากเห็นคนมาทุลักทุเลต่อหน้าข้าอีกก็เท่านั้น      เอาละถ้าเจ้ากล้าที่จะสู้ก็จงสู้กับข้า  แต่ถ้าเจ้าไม่กล้าก็จงกลับไปเสียเดี๋ยวนี้    แล้วก็ไม่ต้องคิดที่จะยั้งมือเพราะเห็นว่าข้าช่วยเจ้าไว้ด้วย     เพราะถ้าเจ้าคิดยั้งมือเมื่อไหร่ละก็นั่นก็คือจุดจบของเจ้าเอง  ”

                    คำพูดนี้คล้ายไม่กล่าวโอ้อวดเกินไป   เพราะหากดีว่าคิดยั้งมือขึ้นมาแล้วละก็คงจะต้องผ่ายแพ้ให้แก่ไซโคร แนชแน่นอน  

                   “ เดี๋ยวก่อนนะครับ  นี่คิดจะสู้กันตรงนี้เลยหรอครับ  มันอาจจะเป็นอันตรายได้นะครับ ”

                   วากล่าวอย่างเป็นห่วงทั้งสองคน

                   “ ถ้าหากเจ้าเป็นห่วงเพื่อนเจ้าละก็   อยากจะช่วยเพื่อนเจ้าก็ได้นะ   เจ้าสองคนช่วยกันไม่แน่ว่าอาจจะเอาชนะข้าได้ ”

                  “ ผมเพียงแต่คิดว่าถ้าจะสู้กันแบบเอาจริงเอาจัง  น่าจะไปสู้กับที่ลานประลองอาวุธมากกว่านะครับ ”

                  “ ไม่ได้หรอกครับ  ที่นั่นเขาไม่ค่อยได้เปิดให้คนนอกเข้าไปใช้ได้อย่างพร่ำเพรื่อนะครับ ”

                  “ ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า........”

                  ดีว่าไม่ตอบ แต่สั่นศีรษะให้กับวาแทน

                  “ รุ่นพี่ครับผมขออนุญาติให้การต่อสู้ครั้งนี้  มีการใช้อาวุธเป้นท่อนไม้แทนได้หรือไม่ครับ ”

                  “ แล้วแต่เจ้า”

                  กล่าวจบดีว่าก็พุ่งปราดไปยังต้นไม้ต้นอื่นที่ไม่ใช่ต้นไม้ต้นใหญ่นี้    พอไปถึงประกายกระบี่ก็วูบขึ้นติดต่อกันหกเจ็ดวูบ      พร้อมกันนั้นบนมือของดีว่าก็ปรากฎท่อนไม้ขนาดพอดีมือยาวแทบจะเท่ากันจำนวนทั้งสิ้นสี่ท่อน      พลังและความเร็วในการลงมือของดีว่านับได้ว่าน่าตื่นตระหนกแล้ว      แม้แต่วาเองก็ยังอดทึ่งไม่ได้ทั้งๆที่เมื่อวานดีว่าใช้พลังลมปราณเยอะขนาดนั้นแต่ก็ยังกลับมีแรงอยู่ได้จนถึงตอนนี้ก็นับว่าเก่งมากแล้ว

                     ดีว่ายื่น่อนไม้ยาวสองท่อนให้แก่ไซโคร แนช

                     “ ผมรู้ครับว่ารุ่นพี่ใช้ดาบคู่ ”

                      ไซโคร แนชไม่พูดอะไรเพียงแต่รับท่อนไม้ทั้งสองท่อนมาเท่านั้น    การที่ดีว่าเลือกใช้ท่อนไม้ให้แก่ไซโคร แนชนั้นไม่ใช่ว่ากลัวตัวเองบาดเจ็บหรืออย่างไร   เพียงแต่เขาทราบว่าท่อนไม้จะต้องไม่สามารถนำไฟฟ้าได้เป็นอย่างแน่นอน   ดังนั้นเขาจึงยังมีโอกาสเอาชัยแก่ไซโคร แนชได้บ้าง  

                   จากนั้นดีว่าก็ยื่นให้วาท่อนหนึ่งเช่นกัน    เป็นอันว่าวาต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ครั้งนี้เสียแล้ว

                    “ เอาละถ้าพวกเจ้าพร้อมแล้วก็เชิญ ”

                    ทั้งสามคนยืนอยู่ด้วยความนิ่งไม่ทีใครคิดจะเป็นฝ่ายเปิดการโจมตีก่อน  โดยเฉพาะวาเขาไม่คิดที่จะต้องสู้กับไซโคร แนชแต่แรกแล้ว

                    ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่ก็ยังไม่มีใครขยับตัวแม้แต่น้อย  เหงื่อของวาเริ่มไหล่ออกมาบ้างแล้ว  ในคงเป็นเพราะความกดดันชนิดหนึ่งที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่นั่นเอง  

                    หากตอนนี้มีใครมาเห็นคนทั้งสามคนนี้ยืนอยู่แล้วละก็  อดคิดไม่ได้แน่ว่าทั้งสามคนนี้จะต้องบ้าไปแล้วอย่างแน่นอน  เพราะทั้งสามคนยืนนิ่งไม่ขยับเป็นเวลานานคล้ายกับกลายเป็นหุ่นขี้ผึ้งไปเสียแล้ว

                    และขณะนั้นเองลมพัดโชยมาวูบหนึ่ง  ดีว่าก็เป็นฝ่ายลงมือแล้ว    สภาวะการลงมือของดีว่ารวดเร็วแบจะเรียกได้ว่า ไม่มีทางหลบพ้นแน่นอน      

                    “ เป๊าะ !!! ”

                    เสียงท่อนไม้ของดีว่ากระทบกับท่อนไม้ของไซโคร แนช    ตอนนี้ท่อนไม้ในมือของทั้งคู่คล้ายกับเปลี่ยนเป็นอาวุธที่อันตรายที่สุดแล้ว    

                    ไม่ปล่อยให้ไซโคร แนชลงมือดีว่าก็เปลี่ยนแปลงท่าร่างของตัวเองแล้ว  แทงออกไปหลายกระบี่  แต่ถึงกันนั้นไซโคร แนชก็สามารถรับกระบี่ท่อนไม้ของดีว่าได้อย่างไม่มีพลาดเลยแม้แต่น้อย    วาเองก็ได้แต่ดูจนแข็งทื่อไปแล้ว  

                   ฝ่ายหนึ่งรวดเร็วคล้ายสายลมที่พัดไปมาอย่างไร้ทางจับได้    ฝ่ายหนึ่งคล้ายสายฟ้ารวดเร็ว มั่นคง ตรงไปตรงมา      หากเปรียบตอนนี้ดีว่าก็คือสายลม  และไซโคร แนชก็คือสายฟ้านั่นเอง    แล้ววาเล่า ?

                  ดีว่าลงมืออย่างไม่หยุดยั้ง  ส่วนไซโคร แนชก็ไม่ได้โต้ตอบแต่อย่างใด  ทั้งสองคนคล้ายเพียงแต่กำลังอุ่นเครื่องให้ตัวเองอยู่เท่านั้น       พลังฝีมือของดีว่ากับไซโคร แนชนั้นคล้ายดุไม่ออกจริงๆว่าใครเป็นฝ่ายเหนือกว่าใคร   เพราะทั้งสองต่างก้เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในยอดฝีมือทางด้านการต่อสู้ของโรงเรียนเช่นกัน      นี่เรียกได้ว่าเป็นการต่อสู้ที่ใครๆก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าจะเกิดขึ้นได้    

                  และแล้วในที่สุดการต่อสู้ที่แท้จริงก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว   เมื่อดีว่าเปลี่ยนสภาวะการจู่โจม    เป็นการกระโดดตีลังกากลับหลังให้พ้นวิถีดาบท่อนไม้ของไซโคร แนช      และภายในพริบตาเดียวกันนั้นเองขณะที่กำลังตีลังกาอยู่นั้น   ลมสายหนึ่งคล้ายพุ่งออกมาจากกระบี่ท่อนไม้ของดีว่า

                 “ ปราณกระบี่ไร้เงา !!! ”

               เป็นการลงมือที่รวดเร็วยิ่ง   ไม่ว่าใครก็ไม่คิดว่าไซโคร แนชจะหลบพ้น  แต่ไซโคร แนชหลบพ้นแล้ว    เสียงปราณกระบี่ไร้เงาปะทะพื้นดินดัง  “ ปั้ก !!!”           ร่างของไซโคร แนชถ ก็ลันวูบหนึ่งก็กระโดดตรงไปยังดีว่าแล้ว    

                “ ปึ่ก !!! ”

                ดาบท่อนไม้ทั้งสองข้างของไซโคร แนชฟันใส่หน้าอกของดีว่าอย่างจัง    หากผู้อื่นเห็นคงคิดว่าฟันใส่เบายิ่ง    แต่ที่จริงแล้วรวดเร็ว รุนแรงยิ่ง   ถึงขนาดที่ว่าแม้แต่ดีว่าก้ไม่สามารถหลบพ้นได้  

                ไซโคร แนชคล้ายกับรอโอกาสนี้อยู่นานแล้ว   โอกาสที่ดีว่าจะต้องกระโดดขึ้นใช้ปราณกระบี่   เนื่องจากสภาวะที่ลอยตัวอยู่นั้นถึงจะขาดการป้องกันไป     เมื่อขาดการป้องกันไปเพียงเล็กน้อย หรือแม้แต่เสี้ยววินาทีก็เท่ากับเปิดช่องโหว่ให้กับคู่ต่อสู้มากแล้ว    ยิ่งเป็นยอดฝีมือแล้วการพลาดเพียงแค่นิดเดียวอาจทำให้ผ่ายแพ้ได้ในดาบเดียว    

               ไซโคร แนชลงถึงพื้นก่อนที่ดีว่าจะลงถึงพื้นเสียอีก   ลมพัดโชยวูบหนึ่วทำให้เสื้อคลุมของทั้งไซโคร แนช และดีว่าพัดไปตามลมทั้งคู่       ดีว่าถึงกับต้องทรุดเข่าลงกับพื้น  การลงมือของไซโคร แนชเมื่อสักครู่นี้นั้นรวดเร็ว และรุนแรงมากจริงๆ    หากเป็นคนอื่นแล้วละก็คงต้องล้มพับไปแล้ว  

                “ ปึ้ก !!! ”

                ไซโคร แนชถึงกับต้องเอามือข้างหนึ่งกุมท้องตัวเองไว้    พร้อมกับสะเหยะยิ้ม    

                “ ทำได้ไม่เลวนิ  เจ้ารุ่นน้อง ”

                ดีว่าไม่ตอบเพียงแต่ค่อยๆลุกขึ้น และยิ้มให้แกไซโคร แนชเช่นกัน      แสดงว่าการจู่โจมของไซโคร แนชเมื่อสักครู่นี้ไม่ได้เป็นฝ่ายได้ผลเพียงฝ่ายเดียว  แต่ดีว่าก็ได้ด้วยเช่นกัน      การปล่อยปราณกระบี่ครั้งแรกของดีว่าก็เพื่อให้ไซโคร แนชหลบได้ตั้งแต่แรกแล้ว   เพียงแต่ดีว่าคำนวณพลาดไปอย่างเดียว  เขาคิดไม่ถึงว่าไซโคร แนชจะรวดเร็วถึงเพียงนี้    ขณะที่เขากำลังปลดปล่อยปราณกระบี่ใส่ไซโคร แนชเขาก็โดนดาบท่อนไม้ของไซโคร แนชเข้าให้แล้ว

               “ ท่าเมื่อสักครู่นี้ก็คือ  ปราณกระบี่สายที่สาม – ระเบิดเวลา !!! ครับ  มันเป็นการอัดพลังปราณในชั่วพริบตาใส่ครู่ต่อสู้เมื่อผ่านไปได้สักพักพลังลมปราณของคู่ต่อสู้ก็จะแตกซ่าน    แต่ผมไม่คิดว่ารุ่นพี่จะเร็วได้ถึงขนาดนี้     ปราณของผมโคจรเพียงเสี้ยววินาทีแต่รุ่นพี่ยังสามารถโจมตีผมได้ก่อนที่จะโคจรปราณสมบูรณ์เสียอีก   รุ่นพี่เก่งจริงๆครับ   ”

               ถ้าเมื่อสักครู่นี้ดีว่าโคจรปราณกระบี่สายที่สายทันเวลาจะเกิดอะไรขึ้นกันแน่  คงเป็นที่คาดเดาได้

               “ เข้าบอกแล้วไงว่าไม่ต้องยั้งมือ  เข้ามาให้เต็มที่ ”

               การต่อสู้ของทั้งสองคนนี้คล้ายกับการเดินหมากก็ว่าได้   ต้องคาดคำนวณการจู่โจมของคู่ต่อสู้ และในบางเวลาก็ต้องแลกกันบ้าง  แต่ว่าใครจะเป็นผู้ชนะในการเดินหมากครั้งนี้กันแน่ ?

                “ ถ้าอย่างนั้นผมก็ต้องขออภัยที่ประมาทไปหน่อยนะครับ  ขออนุญาติเอาจริงละนะครับ ”

                ไซโคร แนช ยิ้มอย่างชอบใจพร้อมกันนั้นก็คล้ายลืมความเจ็บปวดเปลี่ยนถ่วงท่าเป็นการตั้งรับแล้ว      ดีว่าเองก็เช่นกัน  ดีว่าเริ่มร่ายรำกระบี่ท่อนไม้ของเขาแล้ว

                “ กระบวนท่าที่สิบสาม วายุพิชิตอัสนี !!!! ”

              

              

                                         ________________________________________

            

                    

                  

                





                    

            



            





                    



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×