ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The New Eden สงครามเทวทูตแห่งสวนศักดิ์สิทธิ์

    ลำดับตอนที่ #43 : ตอนที่ 11 High Chapel

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 9
      0
      29 ส.ค. 61

    ตอนที่ 11 High Chapel



         แสงจันทร์สาดส่องลงมาต้องกับกลุ่มเมฆที่รายล้อมท้องฟ้าเหนือเมืองทั้งสามเขต เมื่อมองจากที่ไกลออกไป จะดูเหมือนแอ่งกระทะแบน ที่พื้นเบื้องล่างเป็นตัวเมืองมีแสงระยิบระยับ สว่างไสวมากกว่าแสงของดวงดาว 

         หลังจากค่ำคืนที่ยาวนานนั้น ค่ำคืนนี้ก็เช่นเดียวกันที่เหล่านักรบสวรรค์ต่างต้องรับมือแบกภาระหน้าที่ของตนอย่างหนักหนา

         เคลวินีนั่งที่พื้นซึ่งถูกวาดเป็นวงแหวนและอักขระมากมาย ปลายผมสีบลอนด์ของเธอล่องลอยสยายไปในอากาศ เคลื่อนไหวขึ้นลงช้าๆ ตรงหน้าของเธอคือ ฟาเรนไฮต์ ซึ่งนั่งลงกับพื้นหันหน้าเข้าหาเคลวินี

         โรไมน์ยกกองหนังสือเล่มหนาที่สูงท่วมศีรษะของเธอไปเก็บเข้าชั้นวางหนังสืออย่างง่ายดายราวกับเธอถือหนังสือเพียงไม่กี่เล่ม จากนั้นก็เดินไล่หาหนังสือเล่มอื่นๆ ต่อแล้วดึงมันลงมาจากชั้นวาง นำไปกองที่โต๊ะตรงกลางห้อง ซึ่งอยู่ใกล้กับที่เคลวินีและฟาเรนไฮต์ทำพิธีกรรมบางอย่าง

         "ข้าเองก็ไม่สามารถหยั่งรู้ได้ เหตุใดวิญญาณของท่านพี่จึงหลงเหลือเศษเสี้ยวของเสียงสะท้อน" เคลวินีกล่าวโดยไม่ลืมตา "นั่นทำให้ท่านสัมผัสได้ถึงเขา เศษเสี้ยวนั้นนำทางท่านพี่"

         "ฟาเรนไฮต์กลายมาเป็นนักรบสวรรค์หลังสงครามอัศวินเงาได้พักหนึ่ง ข้าหมายถึงนางฟ้าที่เป็นนักรบ" โรไมน์กล่าวขึ้นพร้อมเปิดหนังสือเล่มหนาออก ตึง! ปกหนังสือกระแทกโต๊ะเสียงดัง

         "เสี้ยวของวิญญาณหลอมรวมเข้ามางั้นหรือ" ฟาเรนไฮต์ถาม

         "อาจจะเป็นไปได้ค่ะ นี่ค่ะ" เคลวินียื่นบางอย่างให้เธอ "มันอาจจะเสี่ยงไปหน่อย แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่จำเป็นค่ะ"

         ฟาเรนไฮต์ยื่นมือออกไปรับบางสิ่งจากเคลวินี เมื่อเคลวินีวางลงบนฝ่ามือ ผลไม้ทรงกลมสีแดงส้ม มีส่วนเว้าโค้งมนที่ด้านล่างและด้านบนของผล 'แอปเปิ้ล' ผลไม้แห่งความรู้และผลไม้ต้องห้าม

         "ไม่ใช่ของสวนอีเดนค่ะ นำมาจากตลาดข้างล่าง ผ่านพิธีกรรมเล็กน้อย" เคลวินีเผยรอยยิ้มบนใบหน้า

         "เพียงกัดแค่คำเดียว ความปรารถนาก็จะเป็นจริงสินะ แล้วเธอก็จะสลบ รอให้เจ้าช..." โรไมน์ร่ายเรื่องราวที่อ่านมาจากหนังสือ แต่ฟาเรนไฮต์ก็ขัดไว้

         "โรไมน์ เคลวินีไม่ใช่หญิงชราเสียหน่อย" เมื่อกล่าวจบ ฟาเรนไฮต์ก็กัดผลแอปเปิ้ลนั้นทันที 


         กร๊อบ! 


         รอบตัวของฟาเรนไฮต์พลันมืดสนิท ทว่าเธอกลับมองเห็นร่างของเธอเองได้ปกติดั่งที่อยู่ในห้องหนังสือเมื่อสักครู่


         "...เจ้าอยู่ที่ใด...เอคโค่" 

         เสียงของเธอดังก้อง แต่ฟาเรนไฮต์ไม่ได้กล่าวอะไรแม้แต่น้อย 

         "...เอคโค่...อย่า..."

         "อึก! แฮ่ก แฮ่ก" เธอหายใจหอบราวกับขาดอากาศจวนสิ้นใจ ช่องอกของเธออัดแน่นดั่งจะระเบิดออกมา ใบหน้าร้อนผ่าว 

         "ท่านพี่ ข้าอยู่ข้างกายท่าน อย่ากังวลสิ่งใด" เสียงของเคลวินีดังขึ้น


         "...ฟีเวอร์..." 

         รอบตัวฟาเรนไฮต์ปรากฏถภาพอีกครั้ง 

         วิหารหินอ่อนสีขาวสง่าตรงหน้าของเธอ มันสูงใหญ่โอ่อ่า พื้นที่โดยรอบเป็นลานกว้างมีเสาและโคมไฟตกแต่งอย่างสวยงาม ท้องฟ้ายามค่ำคืนประดับด้วยแสงระยิบระยับของดวงดาว เบื้องล่างของวิหารนี้เป็นสีฟ้าคราม มีกลุ่มเมฆปกคลุมเป็นบางส่วน ไกลออกไปเป็นส่วนโค้งของทรงกลมที่มีขนาดกว้างใหญ่ ที่เส้นขอบนั้นมีแสงสีขาวสว่างส่องมายังวิหาร

         ฟาเรนไฮต์รู้ตัวแล้วว่า เธออยู่บนสวรรค์ ต่างจากวิหารนักรบของเธอที่อยู่ภายใต้ฟ้าเดียวกับโลกมนุษย์ ที่นี่อยู่สูงขึ้นมามาก นอกชั้นบรรยากาศของโลก เสียงขับร้องประสานเสียงก้องกังวานจากด้านในวิหาร บทเพลงที่สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้านั้น เธอสัมผัสได้ถึงพลังเวทอันเปี่ยมล้นจากภายใน

         ตุบ 

         ฟาเรนไฮต์หันขวับไปทางต้นเสียง นางฟ้าร่างสูงใหญ่ทิ้งตัวลงตรงหน้าเธอ ปีกขนนกขนาดใหญ่ที่สามารถโอบล้อมอาคารสองชั้นได้มิดชิดจำนวนสามคู่หุบลง ปีกคู่แรกอยู่ด้านบนสุดของแผ่นหลัง ไล่ลงไปจนถึงด้านล่าง หน้าที่ของมันคือ ปกปิดใบหน้า ลำตัว และช่วงขา เมื่ออยู่ต่อหน้าของพระเจ้า ป้องกันแสงอันศักดิ์สิทธิ์แผดเผาผิวกาย

         แม้ปีกจะไม่ได้ปิดหน้านางฟ้าองค์นี้ ทว่าใบหน้าของเธอก็มีหน้ากากปกปิดอยู่แล้ว ผ้าคลุมสีแดงปกคลุมรอบตัวตกแต่งด้วยเครื่องประดับสีทองอร่ามสะท้อนแสงอาทิตย์

         "...โชคชะตาได้ถูกกำหนดแล้ว ก้าวเดินตามจิตวิญญาณของเจ้า"

          เสียงของนางฟ้าซ้อนกันและก้องกังวานราวกับหลายคนกล่าว "ทว่าผลไม้แห่งปัญญานำพาเจ้ามาที่แห่งนี้"

         "ข้าอยากรู้เรื่องราวทั้งหมด" ฟาเรนไฮต์กล่าว

         "โอ้ เวลานี้เจ้ายังไม่พร้อม ทั้งหมดนี้เจ้าเลือกเอง ความรู้สึกที่พระองค์ประทานให้มนุษย์"

         "ข้าต้องการ..." ฟาเรนไฮต์ยืนหยัด ทว่าภาพทั้งหมดก็เลือนรางในทันที 


         เธอถูกดึงกลับด้วยแรงบางอย่าง วูบ 

         รอบตัวของเธอกลับมามืดสนิท


         "อึก! แค่กๆ! อา...แค่กๆ" ฟาเรนไฮต์ลุกพรวดขึ้นนั่ง

         ของเหลวบางอย่างภายในลำคอทำให้เธอสำลักออกมา มันไหลท่วมทะลักออกมาจากช่องปากและทางจมูก ภาพอันเลือนรางของเคลวินีและโรไมน์ปรากฏขึ้นตรงหน้า 

         "ท่านพี่! ท่านพี่! ควบคุมสติไว้ค่ะ" เคลวินีเข้าประคองตัวฟาเรนไฮต่ข้างหนึ่ง โรไมน์ประคองอีกข้างหนึ่ง ผลแอปเปิ้ลที่เธอพึ่งกัดไปร่วงหล่นจากมือ

         "แอปเปิ้ลอาบยาพิษหรือนี่" โรไมน์กล่าว

         "ท่านพี่คะ ไม่ใช่เวลาเล่นนะ" เคลวินีดุโรไมน์

         ของเหลวสีฟ้าสว่าง มีลักษณะข้นคล้ายเลือด ไหลหยดลงพื้น ฟาเรนไฮต์ใช้มือที่อ่อนแรงเช็ดใบหน้า ของเหลวสีฟ้าเปียกชุ่มเต็มฝ่ามือของเธอ เธอรู้สึกได้ว่าน้ำตาไหลออกมา แต่นั่นก็เป็นของเหลวดังกล่าวเช่นกัน

         "เลือดของเทวทูต" เคลวินีตื่นตระหนกเผลอใช้มือปิดปากที่อ้ากว้าง "ท่านพี่ก้าวไปในเขตสวรรค์ชั้นสูงหรือคะ"

         "งั้น พยุงร่างเธอไปหาท่านเรเดียนก่อนเถอะ เราคงช่วยเธอไม่ได้" โรไมน์กล่าวพร้อมกับอุ้มร่างฟาเรนไฮต์ขึ้น


         หญิงสาวร่างสูงในชุดเกราะทะยานขึ้นจากท้องฟ้าเบื้องล่างขึ้นมายังวิหารนักรบ ผ้าคลุมสีแดงโบกสะบัดตามแรงลม สีของผ้าคลุมหม่นหมองเปรอะเปื้อนเลือดเหนียวข้นของเหล่าแมลง เศษปีกของแมลงยังติดตามชุดเกราะของเธอ

         เธอไม่ใส่ใจในรอยเลอะเหล่านั้น และก้าวเดินเข้ามาในวิหารเพื่อทำความสะอาดร่างกาย ทว่าก่อนจะถึงที่หมาย โรไมน์ซึ่งอุ้มร่างของฟาเรนไฮต์และเคลวินีเดินกึ่งวิ่งผ่านโถงกลางของวิหารไป เธอเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งตามไปในทันที 

         ระหว่างทางเธอสะดุดสายตากับสิ่งที่ไหลลงพื้นเป็นทางยาว ของเหลวสว่างสีฟ้า ข้นดั่งเลือด

         "...เทวทูต" เสียงของเธอแหบแห้งไปในลำคอ

         เคลวินีวิ่งนำไปที่ประตูและร่ายเวทเปิดประตูในทันที

         "โรไมน์ เคลวินี เกิดอะไรขึ้นกับฟาเรนไฮต์" เสียงหญิงสาวที่ตามมาดังขึ้นไล่หลัง

         "ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกัน ท่านพี่เซลซิลี" โรไมน์กล่าวพร้อมกับนำฟาเรนไฮต์ผ่านประตูเข้าสู่ห้องของเรเดียน 

         เซลซิลีไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้จึงหยุดก้าวเดินที่ตรงนั้น


         ผ่านไปครู่หนึ่ง โรไมน์และเคลวินีเดินออกมาจากห้องของเรเดียนด้วยสีหน้าโล่งใจ เซลซิลีที่รออยู่ด้านอกจึงปรี่เข้าไปในทันที

         "เกิดอะไรขึ้น" เซลซิลีถามอย่างร้อนรน

         "เรากำลังค้นข้อมูลเรื่องสงครามของอัศวินเงา เพื่อตามรอยเสียงสะท้อนค่ะ" เคลวินีตอบ "แต่ข้อมูลก็มีไม่มากค่ะ ก็เลย..."

         "เจ้าจึงตามรอยจากวิญญาณของฟาเรนไฮต์สินะ" เซลซิลีกล่าวต่อ

         "ใช่...ค่ะ" โรไมน์ตอบเสียงอ่อย

         "งั้นหรือ..."

     ตึง!!! 

         เคลวินีและโรไมน์สะดุ้งตัวโหยงในทันที เซลซิลีใช้กำปั้นทุบที่กำแพงอย่างรุนแรงจนสะเทือนไปทั่วทั้งวิหาร นักรบเฝ้ายามด้านนอกเองก็สะดุ้งตัวไปด้วย กำแพงหินเกิดรอยร้าวลามขยายเป็นวงกว้าง 


    "เอคโค่! เอคโค่! เอคโค่!" เซลซิลีตวาดลั่นอย่างเกรี้ยวกราด "โผล่หัวออกมาเสียที!"


         เหล่าหัวหน้านักรบหลายคนมารวมกันที่โถงใหญ่ รูฟัสเองที่อาการดีขึ้น แต่ยังมีผ้าพันแผลเต็มตัวก็มารวมตัวเช่นกัน 

         เคลวินีโผเข้ากอดเซลซิลี ใบหน้าซบไปที่เกราะอกของเซลซิลี 

         "ซิก ซิก เป็นความผิดของข้าเอง ซิก ซิก" เคลวินีสะอื้นพลางกล่าวโทษตนเอง

         "ไม่ ข้าเองก็อยู่เคียงข้างฟาเรนไฮต์ แต่ไม่อาจแบ่งเบาภาระได้" โรไมน์ก็เช่นเดียวกัน

         
         เมื่อเหล่านักรบพอทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ต่างก็แยกย้ายกลับไปทำหน้าที่ของตนเอง เซลซิลีหันมาโอบกอดร่างเล็กๆ ของเคลวินี

         "ข้าขอโทษ ที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้" เซลซิลีกล่าว "มีเรื่องมากมายเกิดขึ้น นับแต่เจอผู้ที่น่าจะเป็นเอคโค่ ฟาเรนไฮต์จึงต้องรับภาระเช่นนี้"

         รูฟัสพยุงตัวเองเข้ามายืนเคียงข้างโรไมน์ เขาใช้ดาบที่อยู่ในฝักยันพื้นเพื่อประคองตนเอง

         "ข้าคงช่วยได้แค่รับมือกับพวกนักรบปีศาจตามหน้าที่...เท่านั้น" เขากล่าว เสียงลอดผ่านผ้าพันแผล

         "เจ้าควรพักฟื้นให้หายดี พลังด้านมืดมันเริ่มแกร่งขึ้น" โรไมน์กล่าว

         "ข้าคงห่างการรบมานานจนชะล่าใจ" รูฟัสพยุงตัวเองกลับออกไป


         ในตอนนั้นเองนักรบหญิงสาวอีกคนนั่งคุกเข่าลงที่พื้นโดยใช้ค้อนเหล็กขนาดใหญ่ยันตัวเองไว้ รูฟัสจึงเข้าไปกล่าวทัก

         "ข้องใจในสิ่งใดหรือ"

         เธอไม่ได้กล่าวตอบอะไรแล้วใช้นิ้วมือปาดของเหลวสีฟ้าที่หยดตามพื้น รูฟัสที่เห็นดังนั้นเองก็เอะใจในของเหลวนั้นเช่นกัน

         "หึ ฟาเรนไฮต์ก้าวขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นสูง คงจะรับพลังของเซราฟิมไม่ไหว" เธอเช็ดเลือดสีฟ้านั้นกับเกราะของเธอเอง

         "เธอขึ้นไปได้อย่างไรกัน" รูฟัสครุ่นคิด "มิน่าหล่ะ เพื่อควานหาเสียงสะท้อนถึงต้องไขว่คว้ามากขนาดนั้น"

         หญิงสาวนักรบผละตัวเดินจากไป รูฟัสยังคงพิจารณาเลือดสีฟ้าดังกล่าว


         "ทั้งสามเข้ามาข้างในก่อนเถิด" เสียงเรเดียนดังมาจากห้องด้านใน

         เซลซิลี โรไมน์ และเคลวินี เดินเข้าไปภายในห้องของเรเดียน ร่างของฟาเรนไฮต์ลอยกลางอากาศโดยมีเส้นแสงรายล้อมรอบตัว เลือดสีฟ้าหยุดไหลออกจากตัวของเธอ

         "เคลวินี..." เรเดียนกล่าวชื่อของหญิงสาวร่างเล็ก ใบหน้าของเธอแสดงให้เห็นความรู้สึกผิด "เจ้ายังไม่รู้ซึ้งในพลังของตนเอง พลังของเจ้ามันทรงพลังกว่าที่เจ้าคิด"

         "เป็นความไม่รอบคอบของข้าเองค่ะ ท่านเรเดียน" 

         "พลังเวทในการข้ามเขตแดนนั้น ต้องใช้พลังเวทเฉพาะแขนง แต่การข้ามขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นสูงนั้น ต้องใช้พลังเวทระดับอัครเทวทูตหรือสูงกว่า เพียงฟาเรนไฮต์รอดกลับมาได้ก็นับว่าพระองค์เมตตา หากต้องการข้อมูลจากสวรรค์ชั้นสูงให้บอกกล่าวผ่านข้าเถิด"

         "ร...รับทราบค่ะ"

         เซลซิลีก้าวเท้าออกมาข้างหน้า

         "ขออภัยท่านเรเดียน เพราะอะไรจึงต้องเป็นเด็กหนุ่มผู้นี้ จิตวิญญาณของเขาเชื่อต่อกับฟาเรนไฮต์ แต่ยังไม่ปรากฏว่าเป็นเสียงสะท้อน" เซลซิลีแทรกขึ้น

         "หลายดวงวิญญาณมีโชคชะตาร่วมกัน ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใด หากเขาไม่ใช่เสียงสะท้อน โชคชะตาร่วมอาจจะสิ้นสุดลง ทว่าภาระของเธอก็ไม่จบสิ้น จิตวิญญาณผูกพันธ์กับเสียงสะท้อนอย่างมาก ลึกซึ้ง"

         "มีทางใดที่เราจะแบ่งเบาภาระได้บ้างหรือไม่" โรไมน์กล่าวถาม

         
         "...อยู่เคียงข้างกันและกันจนถึงที่สุด นั่นคงเป็นสิ่งที่ทำได้" 

         เรเดียนแสดงสีหน้าที่เหนื่อยอ่อน 

         "ขอให้พระเจ้าคุ้มครอง...และข้าจะอ้อนวอน ภาวนาให้พวกเจ้า"


         หญิงสาวทั้งสามโค้งศีรษะลงจนเกือบขนานกับพื้น เส้นแสงสีเหลืองทองนำร่างของฟาเรนไฮต์วางลงกับพื้น ก่อนที่จะคลายตัวออกและลอยกลับขึ้นไปในอากาศรอบตัวเรเดียน

         "นี่คงเป็นเหตุจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้สิ่งนี้" เรเดียนสอดมือเข้าไปภายใต้เสื้อคลุม "สิ่งนี้ใช้พิสูจน์ตัวตนของเสียงสะท้อนได้"

         เขายื่นบางสิ่งให้เส้นแสงรับไว้ เส้นแสงดังกล่าวยืดออกมาแล้ววางมันลงบนร่างของฟาเรนไฮต์ ขนนกสีเงินขนาดใหญ่ มันคล้ายกับขนนกที่ปีกของนางฟ้า ทว่าเส้นนี้เป็นสีเงินแวววาว ผิวสัมผัสแบบโลหะ

         ฟาเรนไฮต์ลืมตาตื่นขึ้นอย่างช้าๆ เธอเอื้อมมือเคลื่อนที่อย่างเนิบช้ากุมขนนกสีเงินไว้ เคลวินีรีบเข้าไปนั่งข้างกายของเธอ

         "ท่านพี่ เป็นอย่างไรบ้างคะ" น้ำตาของเคลวินีหยดลงบนใบหน้าของฟาเรนไฮต์

         มืออีกข้างหนึ่งของฟาเรนไฮต์สัมผัสลูบไล้ไปตามส่วนโค้งเว้าบนใบหน้าของเคลวินีอย่างอ่อนโยน

         "อย่า...ร้องไห้...ไม่ใช่ความผิด...ของเจ้า" 

         ฟาเรนไฮต์ดันตัวเองลุกขึ้นมา โรไมน์รีบเข้ามาประคอง

          "อ่า ท่านพี่เซลซิลี ขออภัยที่ต้องทำให้ท่านเป็นห่วง"

         "ไม่ เจ้าทำตามหน้าที่ของตนเองแล้ว" เซลซิลีส่งยิ้มให้

         "หากเจ้าจะทำอะไรที่อันตราย มาปรึกษาข้าก่อนเถิด" เรเดียนกล่าว

         "รับทราบ...ค่ะ" ฟาเรนไฮต์ยันตัวเองลุกขึ้นโดยมีโรไมน์และเคลวินีประคอง "ข้าจะพิสูจน์ตัวตนของเสียงสะท้อน...ให้ได้โดยเร็วค่ะ"

         "อย่าฝืนตนเอง..."

         "ไม่ค่ะ...เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงนางฟ้าตกสวรรค์...หากปล่อยเนิ่นช้า จะเกิดอันตรายต่อโลกแน่"

         "อืม ข้าจะช่วยเท่าที่สามารถทำได้" เรเดียนลอยตัวขึ้นสูง "ตอนนี้ พวกเจ้าไปพักก่อนเถิด"

         "ค่ะ" ทั้งสี่นักรบขานรับพร้อมกันก่อนจะออกจากห้องของเรเดียน

         ประตูหินขนาดใหญ่เลื่อนปิดเข้าหากันอย่างช้าๆ ฟาเรนไฮต์เริ่มทรงตัวได้เองแล้ว โรไมน์จึงช่วยประคองร่างของเธอเพียงผู้เดียว เคลวินีและเซลซิลีเดินตามหลังเป็นเพื่อนร่วมทางระหว่างทางกลับวิหารของพวกเธอ

         นักรบสวรรค์ในสังกัดของฟาเรนไฮต์สองคนวิ่งเหยาะๆ ตรงเข้ามายังพวกเธอ เสียงเกราะเหล็กแผ่นหนาดังกระทบกันเป็นจังหวะ

         "เกิดอะไรขึ้นกับท่านฟาเรนไฮต์" นักรบคนหนึ่งถาม

         "ไม่ต้องกังวล เธอได้รับพลังเวทที่มากเกินไปเท่านั้น" โรไมน์ตอบ

         "เฮ้อ ค่อยโล่งใจ อย่างนั้นให้เรารับช่วงภารกิจของท่านแทนได้หรือไม่ครับ"

         "ไม่ต้องหรอก ข้าแค่พักฟื้นชั่วครู่เท่านั้น" ฟาเรนไฮต์ตอบ

         นักรบทั้งสองจึงหลีกทางให้เหล่าหัวหน้านักรบหญิงเดินทางต่อโดยพวกเขาเดินตามไม่ห่าง


         เมื่อถึงวิหารของฟาเรนไฮต์ แถบผ้ายาวสีน้ำเงินโบกพลิ้วไหวตามสายลมอ่อนๆ มันประดับตามทางเดินเพื่อเข้าสู่เขตวิหาร โดยส่วนหน้าเป็นลานกว้าง มีไม้ยืนต้นโดยรอบถัดออกไปจึงเป็นห้วงอากาศที่ว่างเปล่า วิหารนี้ไม่ได้ใหญ่โตมากนัก รอบๆยังมีสิ่งปลูกสร้างอื่นที่เหล่านักรบจะต้องใช้งาน 

         ที่หน้าซุ้มประตูวิหาร นกอินทรีซึ่งมีร่างกายส่วนล่างคล้ายสิงโต ขนาดตัวใกล้เคียงกับรถยนต์ ขนนกและสีของตัวเป็นสีขาวหม่น มันเอนตัวนอนลงขวางทางเดินครึ่งหนึ่ง เสียงลมหายใจดัง ฟืดฟาด ของมันบอกให้รู้ว่ามันหลับสนิทเพียงไร ที่ข้อเท้าข้างหนึ่งของมันมีสายโซ่ขนาดใหญ่ล่ามอยู่ ที่ปลายเส้นมีห่วงโซ่หล่นกระจัดกระจาย

         "โอ้...เจ้ากริฟฟินตัวนี้หนีออกมาวิ่งเล่นอีกแล้วหรือ" ฟาเรนไฮต์ถาม

         "ใช่ครับ เวลาที่ท่านไม่อยู่ที่วิหาร มันมักจะหนีออกมาเล่นรอบๆ วิหาร" นักรบที่ตามมาด้วยตอบ "ข้าจะนำมันกลับไปยังคอก..."

         "ปล่อยมันไว้" ฟาเรนไฮต์กล่าวสั้นๆ แล้วเดินขึ้นบันไดสู่วิหาร 

         นักรบทั้งสองส่งหัวหน้าหน่วยเพียงแค่ตรงนี้  ภายในวิหารนักรบหญิงและชายประมาณสามถึงสี่คนเลือกมุมที่สงบสวดมนต์ พวกเขามีรูปแบบการสวด ท่าทาง และภาษาที่แตกต่างกัน โคมไฟเวทมนตร์ประดับตามมุมเสา ส่องแสงสีเหลืองส้มนวล อากาศภายในปลอดโปร่งและอบอุ่นกว่าภายนอก

         "ข้าขอชื่นชมความเรียบง่ายของที่นี่ แต่วินัยทหารไม่หย่อนเกินไปหรือ" เซลซิลีสังเกตเหล่านักรบตลอดทาง

         "ข้าว่า นักรบของท่านพี่จะตึงเครียดมากเกินไปเสียมากกว่า" โรไมน์กล่าว "ท่าเดินยังเดินตั้งฉากดั่งกับเป็นเครื่องจักร"

         "ดูหน้าเกรงขามมิใช่หรือ" เซลซิลีกล่าวตอบ

         เมื่อเดินมาถึงภายในส่วนหลังของวิหาร ส่วนนี้จะแบ่งเป็นห้องๆ มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ผู้ที่สามารถเข้ามาส่วนนี้ได้คือ หัวหน้าหน่วยหรือรองหัวหน้าหน่วยเท่านั้น ที่ห้องด้านในสุดปลายทางเดิน ซึ่งมีผ้าม่านสีน้ำเงินกั้นซุ้มประตูเป็นห้องของฟาเรนไฮต์

         โรไมน์แหวกผ้าไปข้างหนึ่งแล้วพยุงฟาเรนไฮต์เข้าไปนั่งบนแท่นหินกลางห้องซึ่งรองด้วยผืนผ้าบางๆ  เพดานห้องทรงโดมค่อยๆ หมุนและแยกออกเป็นสี่มุม เผยให้เห็นท้องฟ้ายามค่ำคืน

         "ข้าไม่เป็นอะไรมากแล้ว ท่านพี่แและเคลวินีพักก่อนเถิด"  ฟาเรนไฮต์กล่าว 

         "ข้าก็เห็นเช่นนั้น แต่ข้าไม่เคยกังวลเมื่อเจ้าต่อสู้กับศัตรู เว้นแต่คราวนี้ รักษาตัวด้วย" เซลซิลีเดินออกจากห้องไปอย่างไม่ลังเล

         "ข้าเองก็จะปล่อยให้เจ้าพักก่อน" โรไมน์ลุกจากแท่นหิน

         "รอเดี๋ยว" ฟาเรนไฮต์รั้งเธอไว้ "หากเจอเสียงสะท้อนแล้ว จะเป็นอย่างไรต่อไป" สีหน้าของฟาเรนไฮต์ปรากฏความกังวลใจ

         โรไมน์ที่ร่วมรบกับฟาเรนไฮต์มาอย่างยาวนานไม่เคยเห็นสีหน้า แววตาเช่นนี้มาเนิ่นนานแล้ว คลื่นวิญญาณของเธอกำลังถูกสั่นคลอนด้วยพลังบางอย่าง 

         โรไมน์นั่งลงข้างตัวฟาเรนไฮต์อีกครั้งแล้วกุมมือของเธอ สายตาของเธอชำเลืองมองเคลวินีซึ่งกำลังสนใจกองหนังสือของฟาเรนไฮต์ที่แอบนำกลับขึ้นมาจากโลก

         "อดใจรอให้ถึงเวลานั้น คำตอบจะมาหาเจ้าเอง" โรไมน์มองเข้าไปยังดวงตาของฟาเรนไฮต์ 

         ใบหน้าของเด็กหนุ่มซึ่งคาดว่าเป็นเสียงสะท้อนนั้น เผยขึ้นมาเพียงเสี้ยววินาที 'คาระ' วิญญาณดวงนั้นผูกพันบางส่วนกับฟาเรนไฮต์ ไม่แปลกใจเลยว่าเพราะเหตุใดฟาเรนไฮต์ถึงมองไม่เห็นโชคชะตาของตนเองในระยะอันใกล้


         "ท่านพี่คะ"

          เคลวินีหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา "ข้าขออ่านหนังสือเล่มนี้ได้ไหมคะ"

         ในมือของเคลวินีมีหนังสือรูปภาพซึ่งเกี่ยวกับร่างกายของมนุษย์ ทั้งสองคนเห็นท่าทางเคลวินีที่สนใจหนังสือดังนั้นก็อดหัวเราะไม่ได้

         "แน่นอน ข้าอ่านเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าจะนำกลับไปอ่านที่หอหนังสือก็ได้"

         "เช่นนั้นข้าขอเลือกดูสักครู่นะคะ แหะๆ"

         เคลวินีกลับไปง่วนกับกองหนังสือ เธอเริ่มสอดส่องอย่างละเอียด 
         
         โรไมน์วางมือฟาเรนไฮต์กลับที่หน้าตักของเธอ แล้วลุกขึ้นจากแท่นหิน เดินไปทางเคลวินีและช่วยจัดกองหนังสือกลับคืนอย่างเดิม

         "ข้าแปลกใจ เพราะเหตุใดเจ้าถึงสนใจเรื่องเหล่านี้ กายหยาบไม่นานก็สูญสลายเหลือเพียงวิญญาณ เจ้าทราบดี" โรไมน์ส่งเสียงถามโดยไม่หันมามอง

         "เพราะมีรูปวาดที่มีสีสันสวยงามต่างจากคัมภีร์เวทมนตร์ มั้งคะ" เคลวินีเลือกหนังสือที่สนในใจไว้อีกหนึ่งกอง

         "งั้นหรือ ศิลปะของมนุษย์นี่ ข้าก็ขอยอมรับ มันงดงาม"

         ฟาเรนไฮต์ที่ได้ยินคำถามดังนั้น เธอก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่า เพราะอะไรตัวเธอเองถึงสนใจ เธอจึงตอบออกไป แต่เสียงกลับเหือดแห้ง กลายเป็นเสียงที่แผ่วเบากว่าเสียงของสายลม

        

          "เพราะ ไม่นานก็สูญสลาย"











    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×