ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The New Eden สงครามเทวทูตแห่งสวนศักดิ์สิทธิ์

    ลำดับตอนที่ #65 : ตอนที่ 1 Sinner

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 15
      0
      4 เม.ย. 62

        ตอนที่ 1 Sinner


         เข้าสู่เดือนสุดท้ายของปี อากาศที่แห้งและเยือกเย็นลูบไล้ไปตามผิวกายของเด็กหนุ่มในเครื่องแบบนักเรียนสำหรับนักเรียนที่อาศัยอยู่ในเขตร้อน ทว่าเขากลับไม่แสดงอาการที่รู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นแต่อย่างใด
         กรมอุตุนิยมวิทยาได้รายงานถึงสภาพอากาศอันแปลกประหลาดนับแต่การรบที่เขตเมืองเก่าสิ้นสุดลง อุณหภูมิในบริเวณดังกล่าวจะลดลงมากกว่าพื้นที่โดยรอบสามถึงสี่องศาเซลเซียส
         เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาวจึงทำให้พื้นที่โดยรอบได้รับไอความเย็นตามไปด้วย เป็นร่องความกดอากาศที่ไม่เปลี่ยนทิศทางหรือเคลื่อนตัวไปไหนมาเป็นเดือนแล้ว สร้างความฉงนไปทั่วโลก
         แต่สำหรับประชาชนในเขตร้อนก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะพวกเขาไม่ได้สัมผัสอากาศเย็นมาอย่างยาวนาน

         ระหว่างทางที่เด็กหนุ่มเดินไปตามทางเท้าบนถนนสายเก่าที่ถนนไม่ได้รับการปรับปรุงตั้งแต่หลังสงคราม มันอยู่ภายนอกกำแพงเมืองของเขตที่เจ็ด แต่ก็ไม่ได้อยู่ในเขตทหาร
         ข้างทางคือทุ่งโล่งกว้างและเต็มไปด้วยซากอาคารที่ถูกทิ้งร้าง เถาวัลย์และพรรณพืชแทรกตัวขึ้นมาจากรอยแตกของคอนกรีต ที่สุดทุ่งโล่งคือแนวต้นสนสูง เหล่าเด็กประถมและนักเรียนชั้นมัธยมต้นคนหนึ่งกำลังล้อมต้นสนต้นหนึ่ง
         เมื่อเด็กหนุ่มเพ่งมอง เขาเห็นนักเรียนชั้นมัธยมกำลังพาดบันไดไปที่ต้นสนพร้อมกับเลื่อย

         ...ต้องการยอดต้นสนสินะ

         เขาจึงหยุดและมองดูความพยายามของเหล่าเด็กๆ อย่างเพลิดเพลิน

         "ดูท่า..." เสียงหญิงสาวดังขึ้นข้างตัวเด็กหนุ่มจนทำให้เขาสะดุ้ง "พวกเขาจะลำบาก" เธอกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา

         เด็กหนุ่มไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะตัวเธอเองหรือผ้าพันคอหนาสีดำที่เธอกำลังพันจนปิดมาถึงปลายจมูก แต่ก็ยังเห็นใบหน้าที่แดงเรื่อของเธอเนื่องจากสภาพอากาศ

         "รุ่นพี่..." หญิงสาวมองเด็กหนุ่มด้วยหางตาเป็นการเตือน "เอ่อ...ใบว่าน"
            "สายัณห์สวัสค่ะ คาระ"

         ทันใดนั้นเสียงอื้ออึงก็ดังมาจากทางกลุ่มเด็ก ระหว่างที่นักเรียนมัธยมต้นกำลังปีนบันไดขึ้นไป ลมก็พัดกระโชกแรงขึ้น จนแนวต้นสนเอนไปตามสายลม

         "..." ใบว่านทำเสียงบางอย่างในลำคอเบาๆ ทว่าคาระก็ยังได้ยิน
         "ไปช่วยก็ได้ครับ" คาระเดินนำออกจากทางเท้าลงสู่ทุ่งโล่ง

         ใบว่านที่จะเดินตามไปเกิดลื่นไถลจากเนินดินที่ไม่แข็งแรง คาระคว้าแขนของเธอไว้และฉุดไว้ก่อนที่เธอจะล้มหงายหลัง

         "ว้า" เธอร้องอุทานด้วยเสียงเย็นชาและไร้อารมณ์ 

         คาระรู้ว่าเธอทำเพื่อแก้เขิน 

         "ผมเคยเห็นแมวที่เดินตกขอบกำแพงบ่อยครับ เรื่องธรรมดา"

         ไม่นานพวกเขาก็เดินมาถึงกลุ่มเด็กนักเรียน

         "ว่าไง...ทำอะไรกันอยู่" คาระกล่าวทัก

         "พวกผมจะเอายอดไปทำต้นไม้ครับ" เด็กชายคนหนึ่งในกลุ่มบอก
         "ต้นคริสต์มาส ต่างหาก" นักเรียนธยมต้นที่ดูมีอายุมากที่สุดในกลุ่มตะโกนบอกลงมาจากบนบันได
         "พวกเธอเรียนโรงเรียนสังกัดคอนแวนต์หรอ"
         "เปล่าค่ะ เราแค่อยากฉลองบ้าง" นักเรียนหญิงตอบ
         "ร่วมงานทุกเทศกาลสินะ" ใบว่านกล่าวเสียงแผ่ว "ดีจังน้า"

         หลังจากที่ใบว่านและคาระมองดูพวกเขาพักหนึ่ง ทว่านักเรียนที่ปีนขึ้นไปก็ไม่สามารถตัดยอดลงมาได้ ใบว่านก็เดินเข้าไปใกล้นักเรียนคนหนึ่งและกระซิบบอกบางอย่าง

         "ตัดลงมาทั้งต้นเลยง่ายกว่าไหมเนีย แล้วค่อยตัดยอดไป"
         "เราต้องใช้เวลาเลื่อยนานน่ะสิ" 
         "ก็จริงนะ อยากให้ช่วยไหม"

         ในตอนนั้นเองเด็กนักเรียนที่ใบว่านพูดคุยด้วยก็เข้ามาดึงชายเสื้อของคาระ

         "พี่จะมาทดสอบจิตวิญญาณของพวกเราหรอครับ"
         "หา!"

         คาระเงยมองหน้าใบว่านในทันควัน

         "หุๆ" เธอดึงผ้าพันคอขึ้นปิดรอยยิ้มอันมีเลศนัย

         ทันทีที่มีคนหนึ่งถามแบบนั้น เด็กคนอื่นๆต่างก็หันมาสนใจที่คาระ รวมถึงนักเรียนที่กำลังปีนต้นไม้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เชื่อเรื่องราวเหล่านั้น แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเด็กๆ คำตอบและการกระทำย่อมส่งผลถึงพวกเขาในอนาคต ดังเช่น ซานตาครอส หรือเหล่านางฟ้า

         "เฮ้อ" คาระตัดสินใจทำในสิ่งที่คิดว่าเขาสมควรทำ มันอาจจะสวนทางกับความเชื่อ แต่เขาจะไม่โกหกต่อเหล่าเด็กๆ

         "เราจะสอบผ่านไหม" เด็กๆ เริ่มถาม

         คาระยกมือขึ้นห้ามปรามความวุ่นวายที่กำลังก่อตัวขึ้น นักเรียนที่ปีนขึ้นไปตัดยอดสนเห็นว่า คาระคงจะควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว เขาจึงมุ่งมั่นปีนขึ้นไปต่อ 
         ในตอนนั้นเองบางอย่างก็ได้พุ่งผ่านแผ่นหลังของเขาขึ้นไปอย่างรวดเร็ว จนเขาเองก็ยังตกใจ
         ขนนกสีดำร่วงหล่นจากท้องฟ้า ตามด้วยยอดสนที่มีความสูงตามที่พวกเขาต้องการล้มลงมา ทว่าก่อนที่มันจะร่วงหล่นใส่นักเรียนที่อยู่บนบันได มันก็หยุดค้างกลางอากาศและขยับออกไปให้พ้นตัวเขา และค่อยๆ ลอยต่ำลงจนถึงพื้น
         เด็กๆ ทุกคนไม่ส่งเสียงใดๆ พวกเขามองดูยอดต้นสนตาโต บางคนก็อ้าปากค้าง

    ตุบ

         ยอดสนถูกวางลงพื้นอย่างทะนุถนอม ใบว่านหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าถือของเธอ

         "นี่เป็นความลับระหว่างพวกเรานะ ตกลงไหม" ใบว่านกล่าวกับเด็กด้วยเสียงอันอ่อนหวาน

         เด็กๆ พยักหน้ารับโดยที่ยังตะลึงกับสิ่งที่เห็น

         "นี่คือสัญญาระหว่างเรา" ใบว่านเดินไปที่ยอดสนที่ล้มอยู่กับพื้นและผูกบางสิ่งไว้กับกิ่งสน

         มันคือกระดิ่งที่ร้อยด้วยเชือกถักสีแดงสดและผูกเป็นโบว์

         "เอาล่ะ พวกเราขอตัวล่ะ" คาระโบกมือลาเด็กๆ ใบว่านก็เช่นกัน

         เมื่อทั้งสองเดินมาถึงทางเท้าบนถนน เสียงอื้ออึงของเด็กๆ ก็ดังขึ้นอีกครั้ง พวกเขาดูตื่นเต้นและดีใจอย่างมาก

         "หวังว่าพวกเขาจะลากกันไหวนะ" คาระหันกลับไปมอง
         "ว่าแต่ เธอออกมาทำอะไรนอกเขตเมือง" ใบว่านกล่าวเสียงแผ่ว
         "ผมสู้มือเปล่าไม่ไหวหรอกครับ หากเจอชั้นนักรบ"
         "อ้อ ช่างตีดาบไทยโบราณ" ใบว่านทำท่าเหมือนนึกบางอย่างขึ้นได้ "แต่ดาบที่นายใช้...เป็นแบบยุโรป"
         "วิธีตีดาบของที่นี่เต็มไปด้วยพิธีกรรม อาจจะไม่ต้องใช้ฟาดฟันโดยตรง" คาระอธิบาย "เวทมนตร์แบบโบราณของท้องถิ่นครับ แต่ผมก็ฝึกดาบแบบนี้มาเช่นกันนะ ตลอดเวลาที่ผ่านมา"

         ทั้งสองเดินไปตามถนนท่ามกลางอากาศที่เย็นสบาย แต่อาจจะเย็นเกินไปสำหรับคนที่อยู่ในเขตร้อนอย่างยาวนาน นานๆ ที จะมีรถยนต์ของชาวบ้านผ่านมาบ้าง และพักหลังรถหุ้มเกราะล้อยางของกองทัพก็จะออกมาวิ่งลาดตระเวนบ่อยกว่าปกติ



         "เป็นความจริงหรือครับ" ชายเจ้าหน้าที่ SA ที่ยังดูหนุ่มถาม "เธอคือคนเดียวกับที่มาบุกสำนักงานของเรา แมวตัวนั้นหรือครับ"

         "ใช่ ธาราเจ้าทำงานมาขนาดนี้ยังจะตกใจอะไรอีก" 

         "เธอดูไม่เหมือนกันเลยนะครับ คุณคิระ" 
         "หุๆ ผมเองก็นึกไม่ถึงครับ ว่าเธอจะเป็นเด็กสาวปกติเสียด้วย รู้สึกผิดเลยที่ทำร้ายเธอไป" ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำเนียบ สวมหมวกปีก ใบหน้ายิ้มแย้มตลอดเวลากล่าว

         "ว่าแต่...เจ้ายังทำงานที่ SA อยู่อีกหรือ มูลา" หญิงสาวผมสีบลอนด์ทอง ใบหน้าสวยได้รูป ถามบ้าง
         "ผมได้มาเป็นคนประสานงานกับทางฟอร์ราแล้วครับ คุณเอลกับไผ่ก็อยู่ที่นี่ด้วย"
         "แต่ว่า เธอก็ดูไม่เป็นอันตรายนะครับ" ธาราออกความเห็น 

         วาเลนไทน์ทัดผมสีบลอนด์ทองไว้ที่หลังใบหูและส่งสายตาที่มีจิตสังหารมาธาราในทันที

         "เอ่อ...สำหรับคุณคาระนะครับ"
         "เป็นผม ผมก็คงรู้สึกอึดอัดนะครับ มีคนตามดูตลอดแบบนี้ ทั้งที่เป็นวันหยุดงาน" มูลากล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเช่นเดิม ในมือเริ่มสับกองไพ่เล่น "ที่สำคัญ ผมก็มีงานนะครับ ต้องมานั่งจับตาดูแมวน้อยแบบนี้ รู้สึกโรคจิตมากครับ"
         "ก็ไม่เห็นจะทำอะไรนี่ วันๆ ก็ไปเล่นไพ่กับฝ่ายการรบอยู่แล้ว" คิระกล่าว "ถ้ามีเรื่องอะไรก็แจ้งด้วยแล้วกัน"

         คิระตบบ่ามูลาก่อนที่จะเดินออกจากวอร์รูมไป




         เมื่อคาระและใบว่านมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่อยู่ไกลออกมาจากเขตเมืองพักหนึ่ง ที่นั่นสภาพบ้านเรือนส่วนใหญ่ยังคงเป็นไม้ผสมคอนกรีต มีน้อยหลังที่จะเป็นแบบสมัยใหม่
         เสียงของเหล็กกระทบกันสม่ำเสมอและดังมาขึ้นเมื่อเข้าใกล้ จนกระทั่งมาถึงหน้าโรงตีดาบ
    ที่หน้าร้านเต็มไปด้วยมีดแบบต่างๆ อุปกรณ์การเษตร และเครื่องครัว ไม่เห็นอาวุธแบบอื่นแม้กระทั่งดาบ

         "อ้อ มารับดาบใช่ไหมครับ" ชายหนุ่มผิวคล้ำวางค้อนลงและผละจากงานของเขา
         "ใช่ครับ เอ่อ..." คาระมองที่หน้าของชายดังกล่าวอย่างไม่คุ้นเคย
         "อ้อ อาจารย์ไม่อยู่ครับ ท่านให้ผมมอบของแทน" เขาเข้าไปในร้านและหยิบห่อผ้าสีแดงเลือดหมูมาให้ "นี่ครับ ชำระเงินแล้ว"
         "หืม ชำระแล้วหรือครับ" คาระหน้านิ่ว
         "ครับ สำนักงาน SA" เขาตอบ
         "อ้อ ครับ ขอบคุณมากครับ" คาระไม่ได้ทักท้วงอะไร ก่อนที่จะเดินออกจากร้าน

         "เพราะอะไรถึงไม่มีดาบวางขายบ้างคะ" ใบว่านถอดผ้าพันคอออกเนื่องจากไออุ่นจากเตา
         "สมัยนี้ไม่ค่อยมีคนสะสมแล้วล่ะครับ ใช้งานนี่ก็ลืมไปได้เลย"
         "งั้นหรือคะ เป็นศิลปะที่น่าเสียดาย" ใบว่านจบการสนทนาเท่านั้นและเดินตามคาระออกมา

         เธอพันผ้าพันคออีกครั้งและดึงขึ้นปิดถึงปลายจมูก

         "ขึ้นรสเมล์กลับเถอะ เดินไปคงจะมืด" ใบว่านเสนอ
         "ตามนั้นก็ได้"

         ทั้งสองคนรออยู่ที่บริเวณป้ายหยุดรถประจำทางของหมู่บ้าน เมื่อถึงยามเย็น ผู้คนส่วนใหญ่ก็เข้าบ้านกันแทบจะทั้งหมด ให้ความรู้สึกราวกับอยู่ในชนบทของสมัยก่อน
         ระหว่างที่รออยู่นั้น คาระพลิกดาบไปมาดูความสวยงามของมันราวกับต้องมนต์ 

         "จับง่ายดีแฮะ"

         "อย่าพึ่งดึงออกจากฝัก" ใบว่านบอกคาระ นั่นสร้างความฉงนให้แก่เขา "มันมีผลต่อพวกเรา ในยามปกติ"

         คาระรับฟังคำแนะนำนั้น และเก็บดาบไว้ในห่อผ้าดังเดิม 
         ไม่นานรถเมล์ก็มาถึง รถเมล์ที่มีผู้โดยสารเพียงพวกเขาสองคน ก่อนที่ใบว่านจะก้าวขึ้นรถ เธอมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เพื่อมองหาอะไรบางอย่าง จากนั้นรถก็เคลื่อนตัวไปในทางที่พวกเขาเดินผ่านมา
         ใช้เวลาพักใหญ่จึงมาถึงด่านทางเข้าเขตที่เจ็ด เจ้าหน้าที่ตรวจคนอย่างละเอียด เจ้าหน้าที่ SA มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น เมื่อคาระแสดงบัตรให้เจ้าหน้าที่ดู พวกเขาก็ปล่อยให้รถเมล์นั้นผ่านไปในทันที
         พวกเขาลงตรงป้ายที่ใกล้บ้านของคาระมากที่สุด และเดินต่อไปในระยะทางที่เหลือ

         "บ้านของรุ่น...ใบว่านไม่ได้อยู่ทางนี้นะครับ"
         "รู้แล้ว"
         "ให้ผมไปส่งไหม"

         ใบว่านส่ายศีรษะ "มีแขกมา" 

         คาระไม่เข้าใจว่าเธอหมายถึงบ้านของเขาหรือบ้านของเธอกันแน่
         ตามรายทาง ต้นไม้ ใบหญ้าในรั้วบ้านแถวนั้นเริ่มมีหยดน้ำเกาะบนผิวใบ บางส่วนกลายเป็นน้ำแข็งไปแล้ว นับว่าเป็นเรื่องที่แปลกมาก ทว่าคาระที่สังเกตเห็นก็นึกถึงใครบางคนขึ้นมา และเธอผู้นั้นก็ได้ยืนรอเขาที่หน้าประตูรั้วของบ้านเขาอยู่ก่อนแล้ว 
         หญิงสาวผมสีเงินยาวประบ่า ผิวขาวดุจหิมะ ดวงตาสีน้ำเงินสว่าง คาระอดแปลกใจไม่ได้ที่เธอสวมเสื้อแขนยาวและผ้าพันคอสีคล้ายกับดวงตาของเธอ เพราะเธอไม่น่าจะรู้สึกหนาวเย็นแม้แต่น้อย 
         คาระและใบว่านเดินมาหยุดตรงหน้าเธอ และเป็นหญิงสาวผมสีเงินที่เริ่มบทสนทนา

         "เจ้าไม่รู้สึกหนาวบ้างหรือ"
         "รู้สึก แต่ตอนนี้ฉันก็ชอบมันเช่นกัน" คาระเลื่อนเปิดประตูรั้ว "มีเรื่องอะไรงั้นหรอ"

         ใบว่านจ้องมองเธอด้วยสายตาเย็นชา เธอเองก็ไม่ละสายตาไปจากใบว่านเช่นกัน

         "ข้าอยากให้เจ้าไปที่สถานที่แห่งหนึ่ง..." 

         "อ้อ จริงสิ" คาระรีบเปิดประตูบ้านเข้าไปและค้นหาของบางสิ่ง และกลับออกมาอย่างรวดเร็ว

         ในมือของคาระคือดาบที่ฟาเรนไฮต์ให้ไว้ ตอนนี้เขาจับมันผ่านผ้าอีกชั้นหนึ่ง

         "ฉันคงจะไม่ได้ใช้มันอีก รับคืนไป ฟาเรนไฮต์" คาระยื่นให้เธอ

         ฟาเรนไฮต์เหลือบมองไปที่มือของคาระ แผลจากรอยไหม้ของดาบยังไม่หายไป และดูท่ามันคงจะกลายเป็นแผลเป็น

         "มิได้ ข้าให้เจ้าไปแล้ว จะทำอะไรกับเธอ ก็ตามแต่ที่เจ้าต้องการ" ฟาเรนไฮต์ยกมือขึ้นปราม "เจ้าจะไปกับข้าได้หรือไม่"
         "เขาไม่อยากเจอเจ้าด้วยซ้ำ..." เสียงของใบว่านลอดผ่านผ้าพันคอออกมา

         ฟาเรนไฮต์เมินคำพูดของใบว่าน คาระยังคงไม่ให้คำตอบที่ชัดแจ้ง

         "ตอนนี้ ฉันไม่อยากไปที่ไหนไกล" คาระเลื่อนประตูรั้วให้กว้างขึ้น "เข้ามาก่อนเถอะ...ทั้งสองคน"

         ใบว่านจ้องมองไล่หลังฟาเรนไฮต์อย่างไม่สบอารมณ์นัก

         "เกลียดวาเลนไทน์...รองจากเธอคนนี้" ใบว่านกล่าวขณะเดินผ่านคาระ

         ทั้งสองเข้าไปในบ้านของคาระตามคำเชิญ

         "เพราะอะไร ถึงอยากจะให้ฉันไปด้วย" คาระถามโดยทันทีที่เข้ามาภายใน
         "มีเรื่องที่เราต้องการรู้เพิ่มขึ้นอีก..."
         "ฉันช่วยเธอไม่ได้...ฉันก็เป็นเพียงวัยรุ่นคนหนึ่งที่มีพลังพอจะต่อสู้กับปีศาจได้เท่านั้น"
         "นางฟ้าจะถอนคำสาปที่ติดตัวเจ้าได้..." 
         "ไม่...พวกของเธอทำไม่ได้" ใบว่านแทรกขึ้น
         "ข้ากำลังถามเจ้า คาระ" ฟาเรนไฮต์กล่าวด้วยเสียงเรียบ

         คาระทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาโดยมีหญิงสาวทั้งสองนั่งประจัญหน้ากันที่เก้าอี้นวมทั้งสองด้านของโซฟา

         "ตอนนี้ฉันไม่อยากไปที่ไหนก็ตามที่ไม่ใช่โลกมนุษย์ และยังไม่อยากทำอะไรตอนนี้ด้วย" คาระพยายามอธิบาย  "แค่สิ่งที่ต้องทำประจำวันก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว"
         "ที่ข้าจะนำไป ยังอยู่ในโลกมนุษย์..."
         "เขาไม่ได้หมายรวมถึงวิหารนักรบ..."

         ดวงตาสีน้ำเงินมีความแข็งกร้าวขึ้นตามแรงกดดันที่เกิดขึ้นในอากาศ บรรยากาศอันเย็นเยือกเริ่มแผ่เข้ามาภายในบ้าน ใบว่านยังคงนั่งนิ่ง ทว่าสายตาของเธอกำลังยียวนกวนประสาทของฟาเรนไฮต์ไม่ลดละ

         "ข้าไม่ได้พูดกับเจ้า" ฟาเรนไฮต์เป็นฝ่ายกล่าว
         "ข้ารู้ว่าคาระอยากจะบอกอะไร" แววตาของใบว่านเปลี่ยนไป นัยน์ตาของเธอเริ่มเป็นสีเหลืองทองกลมโตคล้ายแมว
         "เจ้าจะรู้อะไรไปมากกว่าข้าได้อีก"

         ใบว่านยื่นกำมือมาทางคาระ ศีรษะของเธอมีหูแมวสีดำงอกขึ้นมา 
         คาระรู้สึกตัวร้อนผ่าวขึ้นมาในทันที หัวใจของเขาบีบตัวแรงขึ้น ก่อนที่แสงสีแดงจะปรากฏตรงหน้าของเขา มันเป็นรอยขีดเขียนบางอย่างที่ลอยออกมาจากหน้าอก

         "เขารู้สึกอย่างไร ข้าจะรู้" เธอกล่าวด้วยเสียงเล็กและดังขึ้นกว่าปกติ "เมี้ยว"

         ฟาเรนไฮต์ตาโต เธอทึ่งกับสิ่งที่เธอได้เห็น ส่วนคาระนั้นยังคงสับสนจนทำอะไรไม่ถูก

         "เจ้าทำเครื่องหมายที่วิญญาณของเขา" ฟาเรนไฮต์กล่าวเสียงแผ่ว "ถอนมันออกซะ"
         "เจ้าไม่มีอำนาจมาสั่ง เมี้ยว"
         "ข้ามีอำนาจเด็ดขาดที่จะสั่งให้เจ้ากระทำ"
         "เจ้ามันจอมเผด็จการที่คิดว่าตัวเองสูงส่ง เมี้ยว" 
         "ข้าไม่ได้ชอบฉวยโอกาสในช่วงที่ผู้อื่นไม่อยู่แบบเจ้า...แมวขโมยน้อย"
         "ข้าขโมยอะไรไม่ทราบ เมี้ยว และข้าไม่ได้ฉวยโอกาสด้วย เมี้ยว"
         "คาระคงจะไม่หลงคารมของเจ้า หากเจ้าไม่สลักดวงวิญญาณของเขา"
         "จะทำหรือไม่ ก็ไม่สำคัญเท่ากับการทิ้งขว้างเขาดุจสิ่งของ นางงูพิษ"
         "เจ้าว่าอย่างไรนะ!..."

         ในระหว่างที่ทั้งสองเริ่มโต้เถียงกันรุนแรงขึ้น คาระที่กำลังสับสนนึกย้อนกลับไปในช่วงที่เขาได้พบกับสไวน์หรือใบว่านในครั้งแรกนั้น เธอได้ทำอะไรบางอย่างแก่ร่างกายของเขา กรงเล็บของเธอแทงทะลุเข้าไปในภายในหน้าอก ทว่าเขาไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ 

         "อ้อ ตอนนั้นเองหรอเนีย" 
         "คาระ เจ้าไม่ควรเชื่อใจนาง..." ฟาเรนไฮต์เสียงแข็ง

         "ฉันก็เคยเชื่อใจเธอ" คาระกล่าวอย่างชัดเจน

         ฟาเรนไฮต์สะอึกกับคำพูดที่แทงใจของเขาจนเธอชะงักชะงันทำอะไรไม่ถูก 
         สไวน์เลียอุ้งมือพลางยิ้มเยาะเธอไปด้วย จากความเจ็บช้ำน้ำใจของฟาเรนไฮต์ เมื่อได้เห็นท่าทียียวนของสไวน์เข้าไป จึงแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธขึ้นในทันที

         "เจ้า...แมวมักมากในกาม" ฟาเรนไฮต์เสกดาบขึ้นมา

         สไวน์ที่ได้ยินดังนั้นก็หูตั้งในทันที เธอเหยียดตัวขึ้นกางกรงเล็บและส่งเสียงขู่ด้วยความโมโหเช่นกัน

         คาระรีบพุ่งตัวเข้ามาหยุดมือของฟาเรนไฮต์ สันมือของเขาวางทาบไปที่ข้อมือของเธออีกมือหนึ่งคว้าด้ามดาบไว้อย่างรวดเร็ว จนดาบหลุดจากมือของฟาเรนไฮต์โดยไม่รู้ตัว
         สไวน์ที่กระโจนเข้าโจมตีฟาเรนไฮต์ก็ถูกคาระรวบตัวกลางอากาศและเหวี่ยงไปที่โซฟาในทันควัน

         "ม้าว!" สไวน์ครางอย่างไม่สบอารมณ์

         คาระคืนดาบให้ฟาเรนไฮต์ ก่อนที่จะดันตัวเธอออกมาจากบ้าน

         "เธอกลับไปก่อนเถอะ" คาระกล่าวลาเพียงเท่านั้นและปิดประตูในทันทีที่ฟาเรนไฮต์ก้าวผ่านพ้นประตู

         ฟาเรนไฮต์ไม่มีโอกาสได้กล่าวแก้ตัวแต่อย่างใด เป็นอีกครั้งที่เธอทำอะไรไม่ถูกราวกับถูกปฏิเสธจากทุกสิ่งรอบตัว
         แสงไฟยามเย็นของเมืองสว่างขึ้น อากาศก็เริ่มเย็นลง และรอบตัวของนางฟ้าสีเงิน อุณหภูมิแทบจะลงจนถึงจุดเยือกแข็งอย่างรวดเร็ว ที่พื้นรองเท้าของเธอมีน้ำแข็งเกาะบางๆ 

         สไวน์ยังส่งเสียงขู่ไม่เลิก คาระจึงต้องเข้าไปปลอบให้เธอสงบลง หางของเธอตวัดไปมาอย่างรุนแรง แสดงถึงอารมณ์ที่ฉุนเฉียวของเธอ
         ไม่นานเสียงแหลมสูงก็ดังขึ้น ฟาเรนไฮต์บินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าไปแล้ว สไวน์เองก็ดูสงบขึ้นมากกว่าเดิม

         เป็นเวลาเกือบสองเดือนแล้วนับแต่การรบที่เมืองบางกอกส่วนเก่า ดอกไม้ที่วางอยู่ตามสถานีรถไฟไม่มีท่าทีจะน้อยลง แม้จะเป็นที่แน่ชัดแล้วว่ารูปของเหล่าทหารที่ติดอยู่บนแผ่นป้ายไม่มีทางจะกลับมาอีกแล้ว
         บรรยากาศแห่งการไว้อาลัยให้พวกเขากำลังมาถึงจุดสิ้นสุด เทศกาลที่จำทำให้พวเรามีกำลังใจขึ้นอีกครั้งกำลังมาถึง ทว่าหลายคนที่ต้องสูญเสียก็มิอาจทำใจได้ในเร็ววัน

         สไวน์ผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็วขณะหนุนตักของคาระ ลมหายใจของเธอส่งเสี้ยง ฟี้ ออกมาเป็นจังหวะสม่ำเสมอ
         คาระค่อยๆ ขยับตัวออกจากนุ่มนวลและแผ่วเบา ทิ้งให้เธอนอนหลับสบายอยู่บนโซฟา

         ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ความมืดเข้ามาเยือนทั่วทั้งเขต ความโศกเศร้าเสียใจ โกรธ เกลียดชังต่อศัตรู ดึงดูดเหล่าปีศาจผีร้ายเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน
         คาระคว้าดาบที่พึ่งได้รับมาในวันนี้ออกไปจากบ้านในทันที บรรยากาศเย็นเยือกผิดปกติ กระแสแห่งความมีชีวิตชีวาเริ่มเจือจางลง
         ในที่สุดเธอก็มาปรากฏตรงหน้าคาระ

         'พวกมันมีกำลังแรงขึ้น ท่านจงระวังให้มาก ข้าช่วยป้องกันได้แค่ในระแวกนี้'

         หญิงสาวในชุดไทยโบราณบอกคาระโดยที่ปากของเธอไม่ขยับแม้แต่น้อย

         "เท่านั้นก็มากพอแล้ว ขอขอบคุณจากใจ" คาระกล่าวก่อนที่จะเดินผ่านร่างของเธอไป

         ร่างของเธอฟุ้งหายไปในอากาศ ตามด้วยเสียงประกาศเตือนห้ามออกจากเคหะสถานในเวลาที่กำหนด
         คาระไม่สนใจคำเตือนนั้น เขาเดินไปตามทางบนถนนเล็กๆ ในเขตที่พักอาศัยมุ่งหน้าไปยังถนนเส้นหลักทางเหนือ
         เพียงไม่นานหลังจากฟ้ามืด เสียงกรีดร้องชวนขนหัวลุกก็ดังขึ้นจากที่ไกลๆ ไม่ใช่ทุกคนจะได้ยินเสียงนั้น ผู้คนทั่วไปที่ไม่ได้มีประสาทสัมผัสพิเศษไม่อาจรับรู้ได้
         คาระรีบวิ่งตรงไปที่เสียงดังกล่าวในทันที ทว่าในระหว่างทาง บางสิ่งบางอย่างก็พุ่งกระโจนเข้าหาเขา
         มันพยายามตะครุบร่างของเด็กหนุ่ม ทว่าคมดาบสีเงินตัดผ่านร่างของมันก่อนอย่างรวดเร็ว

         "ปีศาจชั้นต่ำ" คาระกล่าวเมื่อเห็นร่างของมัน

         ไม่ทันที่คาระจะเก็บดาบเข้าฝัก กรงเล็บของหญิงสาวก็ฟันเข้ามาที่เขาโดยไม่ทันตั้งตัว เขาเอี้ยวตัวหลบทันที ปลายเล็บฟันผ่านหน้าไปอย่างกระชั้นชิด แต่แขนของเขากลับหลบไม่พ้น 

         "อึก..." 

         คาระฟันดาบสวนกลับไปทว่าร่างของเธอกลับหลบไปได้ วิญญาณสาวสีดำที่เต็มไปด้วยความอาฆาตมั่นหมายจะทำร้ายคาระให้ได้
         แขนของคาระเกิดบาดแผลเป็นรอยข่วน แม้จะไม่ลึกนัก แต่ก็สร้างความเจ็บปวดให้อย่างมาก ความอาฆาตแค้นฝังลงไปที่บาดแผล มันกัดกร่อนตัวเขาจากจิตใจ

         "เกินเยียวยาแล้วสินะ"

         วิญญาณหญิงสาวกระโจนเข้าใส่คาระอีกครั้ง เธอพุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่งโดยไม่สนใจแม้กระทั่งคมดาบที่รอแทงเข้าที่ร่างของเธอ 
         กรงเล็บของเธอข่วนเข้าที่ใบหน้าของคาระอีกแผล คาระถีบเธอให้หลุดออกไปจากใบดาบที่เสียบทะลุร่างเงาสีดำ
         พวกปีศาจชั้นต่ำที่เร้นกายตามเงามืด เห็นว่าคาระเสียท่า พวกมันจึงวิ่งด้วยเท้าและมือทั้งสี่กระโจนเข้ามารุมขย้ำคาระจากรอบทิศ 

         "จงมีความปรารถนาอันไร้สิ้นสุด"

         ปีกขนนกสีดำตวัดไปรอบตัวคาระ ร่างของเหล่าปีศาจถูกตัดราวกับกระดาษ ของเหลวสีดำสาดกระเซ็นเปรอะเปื้อนไปทั่ว
         ดวงตาสีน้ำเงินสดอันแฝงไปด้วยความเกลียดชังส่องสว่างท่ามกลางความมืดสีดำรอบกายของเขา
         ปลายดาบสบัดฟันร่างปีศาจตัวที่เหลืออย่างรวดเร็ว เลือดสีดำเลอะไปทั่วทั้งร่างของคาระ จนเมื่อเขารู้สึกตัวอีกครั้ง ก็เหลือเพียงแค่วิญญาณของหญิงสาวตนแรก
         เธอลังเลที่จะเข้าโจมตีเขา ทว่าทันทีที่เธอขยับ คาระก็เข้าถึงตัวของเธอเสียแล้ว แขนของหนุ่มวัยรุ่นคว้าลำคอของเธอและทุ้มลงกับพื้นด้วยความอาฆาตแค้นอันมหาศาลที่ส่งผ่านดวงตาออกไป
    ปลายดาบแทงทะลุเข้าไปที่ใบหน้าของวิญญาณสาว

         "กรี๊ด!"

         ครั้งต่อมาก็ที่หน้าอกของเธอ และคาระยังคงจ้วงแทงเธอต่อไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าและรุนแรงมากขึ้น ร่างวิญญาณทำได้เพียงดิ้นทุรนทุรายพยายามที่จะหนี แต่ก็ไม่สามารถทำได้ เลือดสีดำไหลทะลักออกมาเรื่อยๆ ราวกับไม่มีวันหมดจนเอ่อล้นพื้นถนน

         "พอแล้ว! กรี๊ด! ข้ากลัวแล้ว" วิญญาณหญิงสาวร้องครวญอย่างโหยหวน

         คาระไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่ายๆ จนกระทั่งร่างของเขาถูกบางคนลากออกจากดวงวิญญาณสาวที่กำลังหวาดกลัวอย่างสุดขีด 

         "เจ้ากำลังทำอะไร เมี้ยว"

         หญิงสาวหูแมวล็อกตัวคาระไว้แล้วถาม กรงเล็บของสไวน์กดเขาไว้แน่น 

         "..." คาระไม่ได้ตอบอะไร

         "เจ้าไม่ควรออกมานะ เมี้ยว" 

         เสียงของบางสิ่งแหวกอากาศลงมากระแทกพื้นอย่างรวดเร็ว ใบดาบยาวและใหญ่ปักลงกลางหลังของวิญญาณสาว มือของมันจับไปที่ใบหน้าของเธอและดูดไอสีดำจากร่างของเธอเข้าไปภายในฝ่ามือ

         "ฆ่า...มัน" 

         เสียงที่แผ่วเบาของคาระเปล่งออกมา 
         สไวน์มองใบหน้าของคาระสลับกับนักรบร่างใหญ่ ที่ลักษณะเหมือนกับปีศาจ

         "ม้าว" สไวน์ส่งเสียงขู่



         เด็กหนุ่มในเครื่องแบบนักเรียนมัธยมปลายของโรงเรียนหลักของเขตที่เจ็ดสองคนช่วยกันลากยอดต้นสนที่เหล่าเด็กๆ ช่วยกันลากมาจากนอกเขตเมือง พวกเขาพบกันที่ถนนทางตะวันออก

         "มืดแล้วนะ โชคดีที่พวกเรามาเจอ ไม่อย่างนั้นพวกเธอคงยังอยู่ที่แถบชายป่า"
         "ขอบคุณพวกพี่มากครับ ที่ช่วยลากเข้ามาในหมู่บ้าน"
         "เรื่องแค่นี้ สบายมาก" นักเรียนมัธยมปลายลากยอดต้นสนมาหยุดหน้าโรงเรียนเก่านอกกำแพงเขตที่เจ็ด

         สภาพของโรงเรียนค่อนข้างเก่าและทรุดโทรมเป็นอย่างมาก จนแทบจะดูเหมือนอาคารร้าง

         "ต่อจากนี้พวกเราจะลากเข้าไปเอง ขอบคุณมากครับ"
         "โอเค งั้นพวกเราไปล่ะนะ"
         "ฝากขอบคุณพี่ที่มีปีกสีดำด้วยนะครับ"
         "หืม! ปีกสีดำหรอ"
         "เขาใส่ชุดเหมือนพวกพี่ด้วยครับ"

         เด็กหนุ่มมัธยมปลายทั้งสองหันมองหน้ากัน

         "ได้สิ เราจะบอกให้"

         กลุ่มเด็กชายหญิงโบกมืออำลาก่อนที่จะช่วยกันลากยอดต้นสนผ่านประตูหน้าเข้าไปในอาคาร

         "คาระ สินะ" 
         "ใช่ เหลืออยู่แค่คนเดียวเท่านั้น"

         ทันทีที่พวกเขาหันหลังกลับ เสียงตามสายประกาศแจ้งเตือนกำหนดเวลาห้ามออกจากเคหะสถานดังก้องกังวานไปทั่ว

         "ไอน์..."
         "ว่าไง" 
         "ในกำแพง ฝั่งตะวันออกกำลังอ่อนแอ"

         เมื่อกล่าวจบ เด็กหนุ่มคนหนึ่งก็ออกตัววิ่งกลับเข้าเขตที่เจ็ดในทันที

         "เซต รอด้วย" ไอน์ดันแว่นให้เข้าที่และออกวิ่งตามไป


         กรงเล็บสีเงินฟาดฟันแหวกอากาศไปมาอย่างคล่องแคล่วว่องไว ทุกการโจมตีหมายที่จะสังหารศัตรูในทันที ทว่าศัตรูของเธอไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น
         นักรบปีศาจขยับดาบเพียงเล็กน้อยก็สามารถปัดป้องการโจมตีของสไวน์ได้ทั้งหมด

         "เจ้ามีฝีมือนะ เมี้ยว"

         สไวน์เปลี่ยนการโจมตีโดยใช้การเคลื่อนไหวของร่างกายมากขึ้น เธอฟันจากทางขวาไปซ้ายโดยกระโจนตัวไปพร้อมกัน ทำให้ระยะการโจมตีกว้างมากขึ้น แต่ยังคงรักษาความรวดเร็วไว้ได้
    นักรบปีศาจเริ่มเบี่ยงตัวหลบไปมา จนกระทั่งเสียจังหวะเปิดช่อง กรงเล็บสีเงินแวววาวพุ่งตรงเข้ามาที่ช่องว่างนั้นทันที ทว่าการโจมตีนั้นถูกหยุดโดยพลัน

         "ม้าว!"

         วิญญาณที่ชั่วร้ายแถวนั้นหลายตนหยุดยื้อร่างของสไวน์เอาไว้ ร่างสีดำที่เหมือนกับกลุ่มควันเข้ามาล้อมรอบมากขึ้น

         "...เหล่าผู้หลงทางจงสดับรับฟัง"

         คาระที่กำลังนอนอยู่บนพื้นชูดาบขึ้นมาก่อนที่ตัวเขาจะลุกขึ้นตามราวกับถูกดาบฉุดขึ้นมา

         "ทำสิ่งใดไว้ ก็ยอมรับชดใช้มันซะ"

         แสงสีฟ้าเคลือบอักขระบนใบดาบและเปล่งแสงสว่างจ้าออกมา เหล่าวิญญาณร้ายต่างมีปฏิกิริยาต่อแสงนั้น พวกมันถอยห่างออกไป สไวน์ได้รับอิสระจากการพันธนาการและเธอก็กระโจนเข้าหานักรบปีศาจในทันที
         นักรบปีศาจฟาดดาบลงกับพื้นยิงคลื่นอัดกระแทกออกไปข้างหน้าที่สไวน์กำลังเข้ามา เธอหลบได้ทันและเข้ามาในระยะใกล้ ใบดาบที่ฟาดลงพื้นนั้นถูกเหวี่ยงกลับมาซัดร่างของสไวน์อย่างรวดเร็ว จนร่างของเธอถูกอัดกระเด็นทะลุกำแพงรั้วเข้าไป
         เพียงเสี้ยววินาทีนั้น ใบดาบที่ปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงสีฟ้าฟันเข้าไปที่หมวกเกราะของนักรบปีศาจ มันหลบได้ทัน ทว่าหมวกเกราะนั้นหลุดกระเด็นออกไปและถูกเผาไหม้ด้วยไฟสีฟ้า

         "นางฟ้า..." นักรบปีศาจกล่าว "ตกสวรรค์"

         คาระไม่รีรอฟาดดาบโจมตีซ้ำ นักรบปีศาจยกดาบขึ้นกันได้อย่างฉับพลัน ทั้งสองผลัดกันโจมตีและตั้งรับอย่างดุเดือน สะเก็ดไฟสีฟ้าฟุ้งกระจายเมื่อดาบกระทบกัน
         ใบดาบของนักรบปีศาจเรืองแสงสีแดง ก่อนที่มันจะปล่อยลำแสงยิงพลังเวทใส่คาระ เขาหลบมันได้อย่างง่ายดายก่อนจะเหวี่ยงดาบฟาดลงตัดเข้าที่ลำคอนักรบปีศาจจนเลือดสีดำสาดกระเซ็น

         "ข้ากำลังอารมณ์เสีย และจะมาลงที่เจ้า" 

         คาระหมุนตัวใช้ปีกขนนกสีดำฟันตัดคอของนักรบปีศาจ ศีรษะลอยกระเด็นและตกลงมากลิ้งไปตามพื้น คลื่นวิญญาณสีแดงลอยออกจากร่างและมันถูกดูดกลับไปที่ร่างของคาระ
         เสียงฝีเท้าอันแผ่วเบาตรงเข้ามาที่ข้างหลังของคาระอย่างรวดเร็ว และเขาก็รู้สึกตัวได้จึงหันกลับไปเงื้อดาบขึ้นจะฟัน

         "เดี๋ยว!"

         เด็กหนุ่มผู้สวมแว่นในเครื่องแบบนักเรียนเช่นเดียวกับคาระร้องห้าม 
         ผู้ที่ยืนประจัญหน้าต่อคาระมีท่าทีสงบนิ่งไม่หวั่นไหวใดๆ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจนเกือบเป็นสีดำนั้นดูเย็นชา
         เมื่อคาระได้เห็นหน้าของผู้ที่ยืนต่อหน้าแล้ว จึงเก็บดาบเข้าฝักก่อนที่จะเดินหลบไปทางที่สไวน์โดนซัดกระเด็น

         "คาระ..." เด็กหนุ่มที่สวมแว่นตาเรียกชื่อเขาด้วยเสียงหอบ "นายมาทำอะไรแถวนี้กัน"

         คาระหยุดชะงัก 

         "แค่ออกมาเดินเล่น"
         "อา...ไอน์กับเซต พวกเจ้าก็มาด้วยหรอ เมี้ยว"

         สไวน์เดินเหยียดแขนบิดตัวไปมาออกจากช่องกำแพงที่เป็นรูโหว่

         "ช่วงนี้พวกปีศาจได้ใจเกินไปแล้วนะ เมี้ยว ถ้าเราไม่สั่งสอนพวกมันบ้าง เมี้ยว"

         "มันอันตรายเกินไป สำหรับบางคน" เซตยังยืนอยู่ที่เดิมและกล่าวด้วยเสียงเรียบ

         ไอน์และสไวน์มีท่าทีเปลี่ยนไปหลังจากที่เซตกล่าว คาระรู้ตัวดีว่าหมายถึงใคร แต่เขาก็ไม่สนใจ
         คาระปลีกตัวเดินจากไปอย่างเงียบๆ ไม่ลังเลแม้เพียงสักนิด จนความมืดยามค่ำคืนกลืนกินร่างของเขาไปจนหมด






    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×