ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The New Eden สงครามเทวทูตแห่งสวนศักดิ์สิทธิ์

    ลำดับตอนที่ #66 : ตอนที่ 2 Angel Sisters

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 17
      0
      24 มิ.ย. 62

    ตอนที่ 2 Angel Sisters


         ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยแสงระยิบระยับ เมื่อมองจากวิหารลอยฟ้าแล้วแทบจะไม่ต่างจากพื้นเบื้องล่าง เว้นแต่ไม่มีเมฆหรือฝุ่นควันบดบัง

         หญิงสาวผมสีเงินทรุดตัวลงกับพื้น มือทั้งสองกุมที่อกแน่นด้วยความทรมาน เหล่านักรบในชุดเกราะหนาเตอะต่างรีบวิ่งเข้ามาช่วยเหลือเธอในทันที ทว่าเธอกลับผลักพวกเขาออกไป แล้วฝืนลุกขึ้นเดินไปตามทางของเธอ

         "ข้าไม่ได้เป็นอะไรมาก" เธอกล่าว
         "แต่สำหรับเจ้าหนุ่มนั่น ก็ไม่แน่" เสียงหญิงสาวอีกคนหนึ่งดังขึ้น "ฟาเรนไฮต์ ข้าทนที่จะเห็นเจ้าต้องแบกรับสิ่งที่เขากระทำต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว"
         "เดี๋ยวก่อน ท่านพี่เซลซิลี"

         ฟาเรนไฮต์ นักรบสวรรค์ผมสีเงินพยายามห้ามปรามนักรบหญิงสาวที่สวมผ้าคลุมสีแดงอันโดดเด่น 

         "รอก่อนท่านพี่เซลซิลี"

         นักรบสวรรค์หญิงสาวอีกคนหนึ่งยืนขวางหน้า

         "อย่าห้ามข้า โรไมน์ เจ้าเองก็มิอาจช่วยฟาเรนไฮต์ได้"
         "ข้าพยายามช่วย..."
         "ทั้งที่เจ้ารู้ต้นเหตุมานานขนาดนั้น แต่ก็ยังไม่ลงมือทำอะไร"

         โรไมน์สะอึกกับคำกล่าวนั้น คำกล่าวที่ตอกย้ำโรไมน์ว่าเธอร่วมกับฟาเรนไฮต์ปิดบังข้อมูลสำคัญต่อเซลซิลี
         เซลซิลีที่มีร่างสูงน่าเกรงขามแบบนักรบหญิงเดินเฉียดไหล่ของโรไมน์ไปราวกับเธอไม่มีตัวตน

         "ไม่ ท่านพี่ ข้าไม่ได้เป็นอะไรที่ร้ายแรง"

    พรึบ!

         ผมของเซลซิลเปลี่ยนเป็นสีแดงเพลิงอย่างฉับพลัน เปลวไฟลุกไหม้ปลายเส้นผม เธอหันขวับกลับมาและก้าวเข้ามาเงื้อหมัดซัดร่างฟาเรนไฮต์กระเด็นลอยไปอัดกับกำแพงวิหารที่อยู่ไกลออกไปหลายสิบเมตร
         นางฟ้าร่างเล็กที่พึ่งลอยตัวผ่านซุ้มประตูเห็นร่างของฟาเรนไฮต์อัดเข้ากับกำแพงพอดี เธอจึงเผลอยกมือขึ้นปิดปากที่อ้ากว้าง

         "ท่านพี่ฟาเรนไฮต์!"

         ดวงตาสีน้ำเงินจ้องประสานกับดวงตาสีแดงที่ไร้ซึ่งจิตสังหารใดๆ ฟาเรนไฮต์เริ่มสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างในตัวเอง
         เหล่านักรบภายใต้สังกัดของฟาเรนไฮต์ต่างวางมือไว้ที่อาวุธของตนเพื่อพร้อมใช้งานในทันที

         "อย่า...นี่ไม่ใช่เรื่องของพวกเจ้า" ฟาเรนไฮต์ประกาศก้องและดึงร่างตัวเองออกจากช่องกำแพง "พวกเจ้าทั้งหมดออกไปจากสวนนี้ก่อนเถิด"

         เหล่านักรบทั้งหมดต่างทยอยออกไปจากสวนด้านข้างวิหาร

         "ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้นคะ" เคลวินีกล่าวถาม

         ไร้ซึ่งเสียงตอบรับใดๆ ฟาเรนไฮต์และโรไมน์ต่างหลบหน้าไปคนละทาง เหลือเพียงเซลซิลีที่จ้องมองฟาเรนไฮต์อย่างจริงจัง

         "ไม่เห็นถึงกับต้องลงมือกันเลย" เคลวินีกล่าว
         "ข้าสมควรแล้ว" ฟาเรนไฮต์กล่าวเสียงแผ่ว "เป็นความผิดของข้า"
         "เจ้าเป็นคนเริ่ม แต่กลับไม่ยุติมัน" เซลซิลีกล่าวเสียงแข็ง

         ฟาเรนไฮต์และโรไมน์ต่างยืนตัวเกร็ง

         "จนถึงตอนนี้เจ้ารู้สึกผิด ซึ่งก็สมควรแล้ว"

         เคลวินีเริ่มนึกออกว่าเซลซิลีหมายถึงอะไรหรือหมายถึงใคร

         "ฟาเรนไฮต์" เซลซิลีเรียกชื่อเธอด้วยเสียงที่อ่อนลง "ไม่ว่าเจ้าจะเดินไปทางใด ข้าก็จะคอยอยู่เคียงข้างช่วยเหลือเจ้า เพราะฉะนั้น เจ้าต้องการอะไรข้าก็จะช่วยเพียงเจ้าบอกข้า"

         เสียงลมที่พัดผ่านใบไม้ทำให้พวกมันเสียดสีกันจนเกิดเป็นเสียงดัง ท่ามกลางบรรยากาศที่ตึงเครียดช่วยทำให้ช่องว่างบทสนทนาไม่อึดอัดไปมากกว่านี้

         "ข้า..." ฟาเรนไฮต์เริ่มกล่าว "ข้าไม่รู้ ข้าไม่รู้ว่าข้าต้องการอะไร"

         นางฟ้าทั้งสามต่างรอคอยคำตอบอย่างตั้งใจ ทว่าคำตอบนี้กลับไม่ได้ช่วยคลี่คลายปัญหาใดๆ 

         "นั่นคือเหตุผลที่ข้าจะต้องลากตัวเจ้าเด็กหนุ่มนั่นมาที่นี่" เซลซิลีหันหลังกลับเดินมุ่งตรงไปยังระเบียงของวิหาร
         "เดี๋ยวก่อน!" ฟาเรนไฮต์รีบเดินตามไปในทันที "รอก่อน ท่านพี่ ข้าไม่ต้องการเช่นนั้น"

         ระหว่างทางที่ฟาเรนไฮต์กำลังถึงตัวเซลซิลี นางฟ้าตัวน้อยก็ได้บินเข้ามาขวางเธอไว้ ใบหน้าอันอ่อนหวานอย่างที่เคยเป็นนั้นตอนนี้กลับดูจริงจัง เธอเผยรอยยิ้มเล็กน้อยในที่สุดเมื่อสบตากับฟาเรนไฮต์

         "ตอนนี้ท่านพี่...ไม่รู้แม้กระทั่งความรู้สึกของตนเอง ปล่อยให้ท่านพี่เซลซิลีจัดการเถิดค่ะ"

         เมื่อสิ้นสุดประโยค ฟาเรนไฮต์ก็ทรุดตัวนั่งลงกับพื้นในทันที ขาของเธอไร้เรี่ยวแรงพอที่จะรับน้ำหนักตัวเธอเองไหว

         "ข้าจะไปด้วยค่ะ" เคลวินีเสนอตัว

         เซลซิลีไม่ได้ตอบอะไร ก่อนที่จะทิ้งตัวลงไปเบื้องล่างโดยไม่ได้คัดค้าน เคลวินีจึงบินตามลงไปด้วยความเร็วสูง

         เสียงของส้นรองเท้าดังกระทบพื้นเป็นจังหวะเข้ามาใกล้กับฟาเรนไฮต์ ก่อนที่อ้อมกอดของโรไมน์จะโอบรัดร่างของนางฟ้าที่เย็นเฉียบ

         "ข้าขอโทษ...ที่ไม่สามารถช่วยเหลือเจ้าได้" โรไมน์แนบใบหน้าบนเกราะหัวไหล่ของฟาเรนไฮต์
         "ไม่ เจ้าช่วยข้ามาโดยตลอด ข้าต่างหากที่ต้องขอโทษเจ้า"

         นางฟ้าทั้งสองต่างเข้าใจกันและกันโดยมีเพียงเสียงของลมคอยผสาน



         "แย่แล้วครับ คาระเขา..." 

         "ปล่อยไปเถอะ ธารา ไม่เป็นอันตรายแล้ว"
         "แต่ว่าคุณคิระครับ..."

         คิระนั่งเอนตัวพาดขากับโต๊ะไม่สนใจคำกล่าวของธารา และก็หลับตาลงราวกับกำลังงีบหลับ

         "คุณวาเลนไทน์ล่ะครับ คาระจะไม่เป็นอะไรหรือครับ" เจ้าหน้าที่หนุ่มหันไปถามหญิงสาวที่มีอาการคล้ายกับชายหนุ่มที่หลับไปก่อน
         "เขาไม่เป็นอะไรหรอก รับรองได้" เธอกล่าวเสียงเรียบ "ห่วงพวกที่อยู่ในห้องกักกันดีกว่า"

         ชายที่นั่งเล่นไพ่โดยไม่ละสายตาไปจากหน้าจอที่ถ่ายจากโดรน เขากล่าวด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม

         "ตรวจพบสัญญาณแจ้งเตือนนางฟ้าใกล้กับคาระครับ"

         "ฟาเรนไฮต์หรือ" วาเลนไทน์ถามเสียงเรียบ
         "กำลังตรวจสอบครับ"
         "ผมจะแจ้งส่วนการรบ" เจ้าหน้าที่หนุ่มรีบวิ่งออกจากห้องไป

         "ไม่ใช่ฟาเรนไฮต์ครับ" มูลาพนักงานจากฟอร์รากล่าว

         วาเลนไทน์ลุกพรวดขึ้นมาจากเก้าอี้ในทันที 
         ภายในห้องเริ่มวุ่นวายมากขึ้นทันทีที่ตรวจพบนางฟ้า เจ้าหน้าที่ส่วนต่างๆ เริ่มตื่นตัวจากความเหนื่อยล้ามาตลอดทั้งเดือน

         "วาเลนไทน์" คิระเรียกชื่อเธออย่างแผ่วเบา 

         วาเลนไทน์ได้ยินและตอบรับเขา 

         "ปล่อยเขาไปก่อน พวกเธอก็ด้วย"
         "ว่าไงนะ...ถ้าเกิดคาระเป็นอะไรไปอีกล่ะ"
         "เขาจะไม่เป็นอะไร" 

         วาเลนไทน์แม้จะลังเล แต่ก็ยอมรับไปตามคิระ

         "ไม่เป็นอันตราย แจ้งไปยังทุกหน่วยด้วย ไม่ต้องทำอะไร"

         "อา...รับทราบครับ"

         เจ้าหน้าที่ภายในสำนักงานเริ่มสงบลงหลังจากได้รับคำสั่งใหม่

         "ต่อให้ไม่ใช่เสียงสะท้อน ก็ยังตกเป็นเป้าหมายหรือนี่" มูลาดึงไพ่จากสำรับขึ้นมาหนึ่งใบ



         นอกเมืองเขตที่เจ็ดทางตะวันออกเป็นพื้นที่ที่สงบในยามค่ำคืน อากาศหนาวเย็นมากขึ้นทำให้ไม่มีผู้คนออกมาเดินข้างนอกเหมือนช่วงก่อนเกิดการรบที่เขตเมืองบางกอกเก่า
         เด็กหนุ่มที่เดินออกจากเขตเมืองในคืนนี้มีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น เขาใช้บัตรที่ SA ออกให้ผ่านด่านตรวจคนออกมาอย่างไม่ยากเย็น และไม่มีใครกล้าห้ามเขา
         เครื่องแบบนักเรียนของเขตร้อนในสภาพอากาศที่หนาวเย็นนี้ ทำให้ร่างกายของเขาเกร็งและสั่น ทว่าเขาก็ยังฝืนเดินออกไปในความมืด

         ที่เบื้องหน้าของเขาห่างออกไปมีดวงไฟสีส้มจุดหนึ่งดึงดูดสายตาและร่างกายของเด็กหนุ่ม เขารู้ว่านั่นคือแสงที่เกิดจากกองไฟ
         แม้ว่าเขาเตรียมใจที่จะเผชิญความเหน็บหนาว แต่ร่างกายของเขาก็ไม่สามารถปฏิเสธความอบอุ่นได้

         เวลาผ่านไปนานเท่าไรก็ไม่อาจรู้ได้ เด็กหนุ่มก็ได้เดินมาถึงกองไฟแห่งเล็กๆ แห่งหนึ่ง ที่ตรงนั้นมีคนกำลังผิงไฟอยู่ก่อนแล้วสองคน 
         สังเกตจากรูปร่างและเครื่องแต่งกายแล้ว เป็นผู้หญิงหนึ่งคนและเด็กอีกคนหนึ่ง เขาจึงเข้าไปกล่าวทักทายด้วยความสงสัย แม้จะรู้สึกแปลกก็ตาม

         "ขอโทษนะครับ อากาศแบบนี้ออกมาทำอะไรกันหรอครับ"
         "พวกเรากำลังจะเดินทางเข้าเมือง แต่ดันขึ้นรถผิดคันน่ะ" หญิงสาวตอบ

         ดวงตาสีฟ้าสว่างของเธอมองมาที่เด็กหนุ่ม 

         "ผมคาระ เป็นเจ้าหน้าที่ SA ออกมาตรวจพื้นที่แถวนี้ครับ แล้วเด็กคนนี้..."
         "อ๋อ น้องสาวของฉันเอง"
         "คงหนาวแย่เลยนะครับ ผมจะเรียกคนมารับพวกคุณเอง"
         "ไม่เป็นไรค่ะ สำหรับพวกเราแล้ว นี่ก็ไม่ได้หนาวเท่าไร" เด็กสาวพยักหน้ารับ
         "ย้ายมาจากเขตอบอุ่นหรอครับ"
         "ใช่ค่ะ" เธอจ้องไปที่กองไฟ "มาตามหาคนคนหนึ่ง"

         คาระรับฟังอย่างตั้งใจ ก่อนควานหาบางอย่างในกระเป๋าเสื้อและกางเกง 

         "ผมจะอยู่เป็นเพื่อนสักพักหนึ่ง ว่าแต่คุณมีไฟแช็คหรือไม้ขีดไหมครับ"
         "ขอโทษด้วยนะคะ ฉันไม่ได้สูบ" เด็กสาวมีอาการกระตุกเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้ามองไปที่พี่สาวของเธอ
         "งั้นหรอครับ" 

         คาระดึงฝักดาบออกจากเข็มขัดและยกมันขึ้นมาให้ทั้งสองเห็นชัด

         "มาตามหาใครกันหรอครับ"

         ทั้งสองต่างนิ่งเงียบไม่มีคำตอบใดๆ 

         "เรามาตามหา...ผู้ที่จะทำให้ฟาเรนไฮต์ไม่ต้องแบกรับภาระนี้"

         หัวหอกสีเงินฟาดปัดฝักดาบของคาระลอยลิ่วหายไปในความมืด ทว่าคาระยังจับด้ามดาบไว้ได้
         เปลวเพลิงจากกองไฟลุกโชนโถมเข้าหาคาระ เขาใช้ดาบรับมัน คลื่นเปลวเพลิงแยกออกเป็นสองทาง มันไม่สามารถแตะต้องผิวกายของเขาได้ 

         "สองต่อหนึ่ง" คาระสยายปีกขนนกและกระโดดถอยออกไปไกล

         เส้นแสงสีเหลืองทองยิงตามมาติดๆ พร้อมกับเสียงดัง เปรี๊ยะ แหวกอากาศเข้ามาหาคาระ ปลายดาบของเขาเบี่ยงวิถีมันออกไปให้ห่างจากตัว 

         "เซลซิลีและเคลวินี นักรบสวรรค์งั้นหรอ"
         "ใช่แล้ว เจ้าเตรียมตัวมาดีนี่" เซลซิลีคลายเวทมนตร์อำพราง ชุดที่หนาเตอะแปรเปลี่ยนเป็นชุดเกราะของนักรบและผ้าคลุมสีแดงที่กำลังโบกสะบัด

         ท้องฟ้ายามค่ำคืนฉายลำแสงสีทองลงมารอบตัวคาระก่อนที่พลังเวทจะยิงลงมาจากเบื้องบน ปีกขนนกสีดำถูกยกขึ้นมากันเหนือศีรษะ แสงสว่างฉายวาบลงมามันจ้าเสียจนกระทั่งนางฟ้าทั้งสองต้องยกมือขึ้นบังดวงตา
         เมื่อแสงสว่างวูบดับลง พื้นที่ถูกยิงลำแสงลงมาเป็นรอยไหม้สีดำ ทว่าไม่พบร่างของคาระแต่อย่างใด

         "เขาหนีไปแล้วค่ะท่านพี่" เคลวินีสยายปีกขนนกสีขาวบินไล่ตามไป
         "ข้าจะจับเจ้าหนุ่มนั่นเอง" 

         เซลซิลีแทงหอกออกไปในอากาศ แต่ทั้งร่างของเธอกลับพุ่งไปตามทางที่หอกชี้ไป คมหอกเสียดสีกับอากาศด้วยความไวสูงจนไฟลุกท่วมหอก เพียงพริบตาเดียวก็มาถึงด้านหลังของคาระ
         คาระหันกลับมารับการโจมตีนั้นอย่างเต็มตัว ทุ่มพลังทั้งหมดต้านทานมัน ดวงตาสีน้ำเงินของคาระเฉิดฉายให้เซลซิลีได้เห็นมันอีกครั้ง

         "อย่าทำแบบนั้น" เซลซิลียิงพลังไปที่คาระเพื่อจะหยุดยั้งเขา "เจ้าจะยิ่งทำให้ฟาเรนไฮต์รับภาระหนักขึ้น"

         แววตาสีน้ำเงินนั้นถูกเติมเต็มด้วยความเกลียดชัง เซลซิลีเอ่ยคำสำคัญออกไปแล้ว และนั่นไม่ได้ทำให้คาระยอมหยุด
         เส้นสายสีดำพันรอบแขนของคาระจนมาถึงที่มือ ที่ปลายของมันหันมาทางเซลซิลี ทว่ามันไม่ใช่แค่เชือกหรือเครื่องพันธนาการ มันคืองูตัวสีดำ

         เซลซิลีเห็นดังนั้นจึงส่งพลังยิงทะลุร่างของคาระออกไป พลังเวททะลุการตั้งรับของเขาปะทะเข้าที่ร่างผลักเขากระเด็นไปไกลจนลับสายตาอย่างรวดเร็ว
         พื้นดินเบื้องล่างมีแนวเปลวไฟตลอดทางที่คาระถูกซัดไป
         เคลววินีที่บินตามมาอย่างเร่งรีบกล่าวอย่างร้อนรน

         "ท่านพี่ไม่รุนแรงเกินไปหรือคะ"
         "ไม่หรอก ปีศาจในตัวเขาไม่ยอมรามือง่ายๆ แน่" เซลซิลีมองไปตามทางที่คาระปลิวไป "รีบตามไปเถิด"
         "ค่ะ"

         เมื่อนางฟ้าทั้งสองบินตามไปไม่นานนัก ก็มาถึงหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีโบสถ์คริสต์หลังใหญ่เป็นศูนย์กลาง

         "เขาอยู่ที่นี่" เซลซิลีมองไปที่โบสถ์
         "ค่ะ ร่องรอยจิตวิญญาณเต็มไปหมด"

         ในหมู่บ้านแห่งนี้มีเพียงโบสถ์ดังกล่าวเท่านั้นที่ยังมีแสงสว่างเล็ดลอดออกมา ประตูหลักด้านหน้าเปิดทิ้งเอาไว้ข้างหนึ่ง รอยเลือดสีดำไหลเป็นทางเข้าไปด้านใน

         '...โอ้ ผู้ส่งสาส์น เจ้ากำลังเหนื่อยล้า สิ้นหวัง หมดศรัทธา แสงนำทางถึงคราพร่าเลือนและมอดดับลง ความมืดมิดจะกลืนกินเจ้า กัดกร่อนถึงดวงวิญญาณ จงยอมรับ และโอบกอดความมืดมิดนั้นไว้ หากนั่นจะทำให้ความปรารถนาอันไร้ที่สิ้นสุดเป็นจริง...'

         "คาระ มากับพวกเราเถิด" เซลซิลีผลักประตูโบสถ์เข้ามาช้าๆ

         เมื่อนางฟ้าทั้งสองได้พบผู้ที่กำลังตามหา แต่เขาไม่ได้อยู่เพียงผู้เดียว บนพื้นที่ยกระดับสูงขึ้นเล็กน้อย ต่อหน้าแท่นบูชาและไม้กางเขนขนาดใหญ่

         "ข้าไม่ยินยอมให้เขาไปไหนทั้งนั้น"

         หญิงสาวผู้ให้คาระนอนหนุนบนหน้าตักประกาศก้อง เธอสวมชุดเกราะสีม่วงเข้มจนเกือบดำ กระบังหมวกเกราะปิดครึ่งใบหน้าบนมีรูปกางเขนกลับหัวลงสีม่วงสว่าง วงแหวนเหนือศีรษะเองก็เป็นสีม่วงเช่นกัน
         เธอวางศีรษะของคาระไว้กับพื้นอย่างแผ่วเบาและทะนุถนอม ในมือของเธอบีบรัดคองูตัวสีดำที่กำลังดีดดิ้นอย่างแรง ก่อนที่เธอจะบีบคอมันจนเละคามือและโยนทิ้งไป
         พลังงานที่ส่งออกมาจากตัวเธอทำให้นางฟ้าทั้งสองเริ่มหวาดหวั่น แม้เซลซิลีจะไม่แสดงมันออกมาก็ตาม

         เปลวเทียนภายในโบสถ์ทั้งหมดกลับกลายเป็นสีฟ้าเย็นเยือก บรรยากาศแห่งความเกลียดชังสร้างความอึดอัดกดดันไปทั่วบริเวณ จนเซลซิลียังต้องขยาด

         "เจ้าเป็นใคร" เซลซิลีเสียงแหบแห้ง

         เคลวินีเริ่มถอยตัวกลับไปซ่อนหลังเซลซิลี

         "กำลังตามหาพวกเรามิใช่หรือ" 
         "หรือว่า...เจ้า"

         "ข้า บาเรอัล และ เอคโค่ นางฟ้าตกสวรรค์ผู้ที่จะมาสร้างอีเดนแห่งใหม่"

         "บาเรอัล ส่งตัวเด็กหนุ่มมาให้เรา" เซลซิลีปรับจิตใจให้สงบและกล่าวออกไป

         บาเรอัลปรากฏกายมายืนต่อหน้าเซลซิลีในชั่วพริบตา ทำให้นางฟ้าทั้งสองผงะถอยหลังออกไป ยิ่งเธออยู่ใกล้มากเท่าไร เพียงแค่ความรู้สึกก็แทบจะฉีกร่างเซลซิลีได้เป็นชิ้นๆ 

         "นางฟ้าอีกองค์หนึ่งล่ะ...ฟีเวอร์ ไม่สิ ฟาเรนไฮต์ ไม่มาด้วยหรือ"

         "ไม่ใช่ธุระของเจ้า ปล่อยเด็กไปเสีย"
         "ตกลงจะให้ข้าส่งตัวให้ หรือให้ข้าปล่อยไปกันแน่"

         เซลซิลีใช้จังหวะที่ไม่ทันตั้งตัวนั้นฟาดหอกไปที่บาเรอัลอย่างฉับพลัน ทว่าบาเรอัลกลับเบี่ยงหลบก่อนหน้านั้น โดยที่เซลซิลีมองตามไม่ทัน มือของเธอแตะมาที่หน้าอกของเซลซิลี

    ผัวะ!

         ร่างของเซลซิลีถูกซัดกระเด็นออกประตูหน้าของโบสถ์ไป เหลือเพียงเคลวินีที่ยืนตัวแข็งทื่อต่อหน้าบาเรอัล

         "พี่ของเจ้าอยู่ที่ใดกัน ฟาเรนไฮต์ ข้าอยากจะหักปีกของนางทีละข้างเสียจริง"

         "เจ้า...บาเรอัล"

         เสียงคาระส่งผ่านข้ามไหล่ของบาเรอัลอย่างกระชั้นชิด จนเธอเองก็ยังตกใจ 
    ดาบทรงไทยแทงเข้ามาที่ตัวเธอทันที แต่บาเรอัลตอบโต้ได้ทันจึงใช้แขนหักใบดาบครึ่งหนึ่งทิ้ง

         "เอคโค่" บาเรอัลผลักคาระออกไป "เจ้าจะทำอะไร"

         "ข้าไม่ใช่" 

         คาระลุกขึ้นมาและคว้าตัวบาเรอัลกดลงกับพื้นเอาไว้ บาเรอัลมีท่าทีสับสนจึงไม่ได้ตอบโต้คาระในทันที ดวงตาสีน้ำเงินของเขาจ้องมองเข้าไปในช่องแสงสีม่วงสว่างรูปกางเขนกลับหัว มันไมใช่ความเกลียดชังอีกต่อไป แต่กลับเป็นความโศกเศร้า

         "อย่าแตะต้องเธอ" คาระเปล่งเสียงจากลำคอ
           "เอคโค่" บาเรอัลนอนนิ่งโดยไม่ขัดขืน มือข้างหนึ่งพยายามเอื้อมมือขึ้นมาประคองที่ใบหน้าของคาระ "...อีกแล้วสินะ"

         มือข้างนั้นของเธอเปลี่ยนเป็นกำปั้นและซัดใบหน้าคาระจนร่างของเขาลอยลิ่วขึ้นสูงก่อนตกลงมากระแทกกับพื้น

         "ทำไมกัน" เธอกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ

         บาเรอัลสยายปีกสีดำที่ดูเหมือนจะเป็นโลหะมันวาวและบินด้วยความเร็วสูงจนอากาศระเบิดออกทยานออกจากโบสถ์ไป เปลวเทียนสีฟ้าดับพรึบพร้อมกันทั้งหมดในทันควัน 

         เมื่อทุกอย่างสงบลง มีเพียงแสงจันทร์และดวงดาวเท่านั้นที่พอจะทำให้มองเห็นได้ เคลวินียังยืนตัวแข็งอยู่ที่เดิม แต่ท่าทางเริ่มสงบลงบ้างแล้ว

         "ตอนนี้ จะทำอย่างไรดีคะ"





         หญิงสาวรูปร่างปราดเปรียววิ่งตัดผ่านทุ่งโล่งกว้างท่ามกลางอากาศที่เย็นเยือก เมื่อเธอมองเห็นหมู่บ้านเล็กๆ อยู่ไกลๆ ท่ามกลางความมืด เธอก็เร่งความเร็วขึ้นอีกจนเกินขีดจำกัดของเสือชีต้า
         เธอมุ่งตรงไปที่โบสถ์กลางหมู่บ้านทันที ประตูหน้าที่ปิดอยู่ เธอกระโดดถีบเข้าไปโดยไม่ลังเล 
         ข้างในเป็นโบสถ์ธรรมดาทั่วไป มืดสนิท มีบาทหลวงสลบอยู่เพียงหนึ่งคนเท่านั้น

         "เหมียว"

         ไม่นานเสียงใบพัดของเฮลิคอปเตอร์ก็เข้ามาใกล้ และลงจอดที่หน้าโบสถ์ หญิงสาวผมสีบลอนด์กระโดดลงมาตั้งแต่ล้อยังไม่แตะพื้น

         "มาช้านะ เมี้ยว"
         
         "เราทั้งคู่ต่างก็ช้าไป"



         เคลวินีทิ้งร่างของเด็กหนุ่มลงกับพื้นบนวิหารลอยฟ้า จากนั้นจึงค่อยๆ ใช้พลังเวทเคลื่อนย้ายเซลซิลีไปส่งต่อให้นักรบนำตัวไปรักษาอาการบาดเจ็บ
         โรไมน์และฟาเรนไฮต์ต่างตกใจที่ได้เห็นอาการของเซลซิลีที่ตอนนี้ยังไม่ฟื้นขึ้นมา

         "เกิดอะไรขึ้น เคลวินี" โรไมน์ถามนางฟ้าตัวน้อยที่กำลังเหนื่อยหอบ
         "เธออยู่ที่นั่นค่ะ"
         "ใครอยู่ที่นั่น"

         "บาเรอัล" ฟาเรนไฮต์ตอบแทรก

         ฟาเรนไฮต์แสดงข้อความที่ปรากฏอยู่บนซอกคอของคาระให้โรไมน์และเคลวินีได้เห็น

                        'ข้ากำลังรอเจ้า ฟาเรนไฮต์'

         "เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเป็นเธอ" โรไมน์ฉงน

         ฟาเรนไฮต์หลับตาลงแล้วถอนหายใจ ก่อนจะลืมตาขึ้นเพื่อตอบคำถาม

         "เรามีเดิมพันเป็นสิ่งเดียวกัน"



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×