ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรื่องของต้นเหมย ` ✿ (end. สนพ.sensebook)

    ลำดับตอนที่ #8 : 07 ✿ เรียกใหม่

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.03K
      706
      20 พ.ค. 64


    07

    เรียกใหม่ , ต้นเหมย

     

    เหมยไม่สามารถหลับได้ลงหลังเกือบเผลอไปจูบญี่ปุ่นเข้า แน่นอนว่าไอ้คนดื้อนั่นนอนหลับไปแล้ว สังเกตจากหน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะ ไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าอีกฝ่ายทำให้หัวใจเขาสั่นไปแล้วกี่หนแต่เขารู้ตัวว่ากำลังหวั่นไหวอย่างหนัก

    ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นมาลูบใบหน้า หยัดตัวลุกขึ้นจากฟูกนอนพยายามเดินเท้าให้เสียงเบาที่สุดก่อนเปิดประตูออกไปข้างนอก ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่มกว่าและเขาต้องการที่ปรึกษาไม่อย่างนั้นคืนนี้คงไม่ได้นอน

    ชายหนุ่มกดโทรออกไปยังรายชื่อของแฝดน้อง รออยู่ไม่นานนักปลายสายก็รับแล้วกรอกเสียงลงมา เหมยขมวดคิ้วยุ่งเมื่อได้ยินเสียงโหวกเหวกของใครหลายคนกระทั่งเสียงเหล่านั้นค่อยๆ เบาลง

    (กูอยากขอบคุณมึงมาก โทรมาถูกเวลา กำลังหาจังหวะชิ่งเลย จริงๆ ตั้งใจจะโทรหามึงด้วยถ้าเขากลับกันแล้ว) น้ำเสียงติดหงุดหงิดเอ่ยปากขอบคุณ

    “อยู่ไหน”

    (บ้านอะดิ แต่ป๊ามึงอะเล่นเชิญแซ่เจี๋ยมาครบ ทีนี้เป็นไงเจอแซ่อังเข้าไปกูนึกว่าจะเตรียมเล่นงิ้ว ยิ่งเอาเด็กๆ มาด้วย โห ยิ่งกว่างิ้วโรงแตก ปวดประสาท ...แล้วนี่มึงมีอะไรเปล่า ที่นู่นมันดึกแล้วไม่ใช่เหรอ)

    “อือ” เขาขานตอบสั้นๆ แซ่เจี๋ยที่ว่าก็บ้านของเพ่ยเพ่ยนั่นแหละ “ปวดหัวไหม”

    (ไม่เท่าไหร่ เหงาอะ นี่ถ้ามึงอยู่ด้วยนะ ป่านนี้กูทำเนียนชวนมึงไปซื้อของแล้ว) เหมยหลุดขำเมื่อแฝดน้องตัดพ้อ (เอ้าเดี๋ยว สรุปมึงมีอะไร เล่าก่อนๆ)

    “เหมือนจะมีปัญหา” เขาตัดสินใจพูดออกไปเพราะไม่อยากให้เรื่องราวยืดเยื้อ

    (หือ เรื่องไร กับใคร ญี่ปุ่นเหรอ หรือทำอะไรหาย เงินไม่พอใช้เปล่ากูจะได้โอนให้) อีกฝ่ายทำน้ำเสียงตระหนกเมื่อเขาบอก หมิงชอบตีโพยตีพายไปก่อนทั้งที่ยังฟังไม่จบ นี่แหละข้อเสียอย่างหนึ่ง

    “ฟังก่อน”

    (แสดงว่าไม่ใช่... งั้นขอฟังให้ชื่นใจก่อน ปัญหาทางไหน กายหรือใจ)

    “ใจ”

    (ทำไม คิดถึงไอ้เงินเหรอ) หมิงรู้เรื่องที่เขาชอบน้ำเงินมาก่อน คอยเป็นห่วงและดูสถานการณ์ให้อยู่เสมอ ตอนเขามาญี่ปุ่นแรกๆ แฝดน้องแอบท้วงเหมือนกันว่ามันไม่สมควร การมาเที่ยวสถานที่ที่เคยบอกว่าจะมากับคนที่ชอบ มองยังไงก็ไม่มีทางลืมได้ลง

    มันเคยเป็นความคิดของเขา แต่ตอนนี้มัน...

    “ไม่ใช่” น้องชายเงียบเพื่อรอให้เขาพูดต่อ เราต่างรู้นิสัยของกันและกันดีเมื่อไหร่ที่เข้าสู่เรื่องเกี่ยวกับความรู้สึก บทสนทนาทีเล่นทีจริงจะหายไป “ใจสั่นกับญี่ปุ่น”

    (...)

    “ทำยังไง”

    (สั่นแบบไหน เหมือนตอนมึงกินกาแฟปะ หรือถ้าถามแบบง่ายๆ เหมือนตอนมึงชอบไอ้เงินไหม)

    “เหมือน” เหมยไม่ได้ใช้เวลาคิดนานเกินไป เพราะทุกความรู้สึกตอนนี้มันแน่ชัดแล้ว ไม่จำเป็นต้องหลอกตัวเองหากอยากปรึกษาใครสักคน “หรืออาจจะหนักกว่า ไม่แน่ใจ”

    (ตอนนี้นึกถึงไอ้เงินแล้วเป็นยังไง ยังเจ็บอยู่ไหมตอนเห็นรูปคู่ของมันกับพี่ศา)

    “ไม่แล้ว”

    (ชอบญี่ปุ่นแล้วอะดิ)

    “ง่ายขนาดนั้นเลย?” เอาเข้าจริงเหมยอาจจะยังเป็นพวกที่ไม่เข้าใจความรัก เขาไม่รู้ว่าคนเราควรใช้เวลานานแค่ไหนในการตกหลุมรักใครสักคน ตอนเขาชอบน้ำเงินก็ไม่รู้ว่าเป็นระยะเวลาเท่าใด มารู้อีกทีตอนตกลงไปในหลุมแล้ว

    (เมื่อไหร่มึงจะเลิกทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากอะ)

    “กำลังจะลืมน้ำเงิน เปลี่ยนใจมาชอบญี่ปุ่นด้วยเวลาแค่นี้มันไม่แปลกเหรอ” สุดท้ายแล้วเหมยจำต้องถามในสิ่งที่คาใจ ระหว่างเขาทั้งสองคนไม่มีใครเป็นปรัชญาด้านความรัก เรามีเพียงแค่ประสบการณ์ของกันและกันเวลาให้คำปรึกษาในเรื่องนี้

    (ไม่แปลกหรอก ถ้ามึงมองเขา ยิ้มเพราะเขาบ่อยขึ้น มูฟออนมาแล้วอะเหมย จะเร็วหรือช้ายังไงมึงก็ต้องเปลี่ยนไปชอบคนอื่นอยู่ดี) พี่ชายฟังแล้วคิดตาม (ถ้ามึงตัดใจจากไอ้เงินได้แล้วมันไม่ผิดเลยนะถ้าจะหวั่นไหว มึงตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่าชอบเขาจริงๆ ไหม)

    “...”

    (เหมยความรู้สึกมันไม่มีอะไรซับซ้อนเลยนะ ชอบเขาไหม ถามตัวเองแค่นี้ ไม่ต้องไปสนใจเรื่องเวลา ไม่งั้นเขาจะมีคำว่ารักแรกพบไว้ทำไม)

    “อือ”

    (อือคือไร)

    “ชอบญี่ปุ่น” เหมยทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตรงล็อบบี้ แฝดน้องยังคงเงียบทั้งที่คาดคั้นให้เขาบอก “หมิง”

    (เออ ยังอยู่) อีกฝ่ายทำเสียงนิ่งไปจนเขาสงสัย ปกติแล้วหมิงควรจะโหวกเหวกโวยวายมากกว่านี้ ได้ยินน้องชายถอนหายใจเบาๆ

    “เป็นอะไร”

    (กูแค่กำลังคิด)

    “เรื่อง”

    (เราจะทำยังไงกันดีเรื่องป๊า ถ้าเกิดญี่ปุ่นชอบมึงกลับขึ้นมาแปลว่ามึงสมหวัง ...แต่วันนี้เขามาคุยเรื่องฤกษ์งานของมึง ทางนั้นเขาบอกให้ป๊าเป็นคนเลือกแล้วมึงรู้ไหม ป๊าบอกมึงกลับเมื่อไหร่จะให้แต่งตอนนั้นเลย)

    “...”

    (กูไม่อยากให้ป๊าบังคับมึงแบบนี้เลยว่ะ เรามีทางเลือกอื่นกันไหม) เขารู้ดีว่าหมิงเป็นห่วง เรื่องแบบนี้เป็นใครก็ไม่โอเคอยู่แล้วหากโดนบังคับ เขาเองสงสารน้องชายเหมือนกันเพราะเราต่างต้องปิดบังความรู้สึกของตัวเอง

    “อดทนไปก่อน”

    (มึงรู้ไว้เลยนะว่ากูจะไม่มีทางยอมให้มึงต้องไปหมั้นไปแต่งกับคนที่มึงไม่รักแน่ๆ ต่อให้ป๊าไล่กูออกจากบ้าน กูก็ยอม)

    “อย่าไปพูดแบบนี้ให้ป๊าได้ยิน” เหมยดุด้วยน้ำเสียงจริงจัง ถ้าเกิดหลุดพูดออกไปแบบนั้นได้ลงไปนอนข้างถนนกันจริงๆ แน่ ไอ้ตัวเขามันไม่เท่าไหร่หรอกแต่เขาเป็นห่วงหมิง ฟังจากน้ำเสียงวันนี้แล้วแฝดน้องดูเหนื่อยพอสมควร “ให้เหมยจัดการเอง”

    (เฮ้อ ไม่ชอบแบบนี้เลย) ปลายสายน้ำเสียงงอแงคล้ายคนกำลังจะร้องไห้ หากอยู่ด้วยกันน้องตัวแสบคงทำหน้าบึ้งแล้วน้ำตาคลออยู่แน่ๆ (ไม่อยากให้มึงกลับมาเจออะไรแบบนี้ แต่ก็ไม่อยากให้อยู่ที่นู่น คิดถึง)

    “คิดถึงเหมือนกัน”

    (กูว่าแล้วทำไมงิ้วโรงแตก มึงบอกคิดถึงกูอะ) เพราะคำพูดเขาถึงได้ทำให้แฝดหัวเราะออกมาให้ได้ยิน เขาเองก็ยิ้มเหมือนกัน (บอกอีกที)

    “…”

    (กูรักป๊าม้าก็จริง แต่เรื่องนี้กูยืนข้างมึง ถ้าตอนคุยแล้วมันแย่เกินกว่าที่คาดเอาไว้ กูขออยู่กับมึงนะ)

    “ค่อยว่ากัน” รู้ดีว่าหมิงหมายความว่าอะไร หากถึงวันนั้นแล้วป๊าไล่เขาออกจากบ้านขึ้นมา… เขาไม่อยากให้น้องลำบาก บางคนอาจคิดว่าต้องทำกันถึงขนาดนั้นเชียวหรือ คำตอบมีเพียงแค่คำว่าใช่ เพราะสิ่งที่เขาเป็นสำหรับป๊าคงเรียกได้ว่าทำให้ตระกูลเสียหน้าและคงมีแต่คำพูดที่ว่า ‘ผู้ชายกับผู้ชายจะรักกันได้ยังไง’

    ถ้าเกิดเจอแบบนั้นจริงๆ เขาเองอยากถามเหมือนกันว่าทำไม…

    ทำไมเจ้าของหัวใจถึงไม่มีสิทธิ์เลือกว่าจะรักใคร

     

     

    เหมยเดินกลับเข้ามาภายในห้องพบเจ้าตัวยุ่งนั่มจมปุ๊กอยู่ตรงโต๊ะหน้าโทรทัศน์ ในมือถือแก้วเหล้าเอาไว้คาดว่าอีกฝ่ายน่าจะดื่มไปหลายอึกแล้วดูจากน้ำในขวดที่พร่องไป เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะคิดว่าญี่ปุ่นหลับไปแล้วแต่ทำไมถึงได้ลุกขึ้นมานั่งดื่มต่อแบบนี้

    “ตื่นเหรอ”

    “เรายังไม่ได้นอนต่างหาก” เสียงหวานอู้อี้ตอบพลางช้อนสายตาขึ้นมอง เหมยจำต้องทิ้งตัวลงนั่งข้างกัน “ต้นเหมยไปไหนมาเหรอ”

    “คุยโทรศัพท์ครับ” ไม่ได้คิดว่าอีกฝ่ายก้าวก่ายแต่อย่างใด เจ้าของดวงตาเรียวรีจ้องไปยังคนข้างกายที่ยกแก้วเบียร์ขึ้นแนบริมฝีปากอีกครั้ง ยอมรับว่าญี่ปุ่นเล่นเอาเขาปั่นป่วนไปหมดไม่ว่าจะความคิดภายในหัวหรืออัตราการเต้นของหัวใจ “เป็นอะไร ทำไมลุกขึ้นมากินอีก”

    “เรา...” เจ้าของใบหน้ายุ่งขานเสียงเบา ไม่อยากบอกว่าเป็นเพราะต้นเหมยนั่นแหละทำให้เขานอนไม่หลับ เหตุการณ์ก่อนหน้านั้นใช่ว่าญี่ปุ่นไม่มีสติหรือไม่รู้ตัวว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพียงแต่ทุกอย่างมันเกิดแล้วสลายไปอย่างฉับไว

    “เป็นอะไร” เขาถามอย่างด้วยน้ำเสียงเจือเป็นห่วง ถือวิสาสะขยับตัวเข้าไปใกล้กว่าเดิมเล็กน้อย มือใหญ่แตะลงบนหน้าผากแต่ไม่มีความร้อนใดแทรกผ่านเข้ามา “ปวดหัวเหรอ”

    “เปล่า” ญี่ปุ่นกัดริมฝีปากแน่น เขาสับสนไปหมดทุกอย่างภายในหัวมันตีกันจนคิดอะไรไม่ออกเลยต้องลุกขึ้นมานั่งดื่ม เวลานึกถึงตอนอีกฝ่ายใจดีใส่แล้วมันอบอุ่นแปลกๆ อยากพิสูจน์ว่าตัวเองชอบต้นเหมยแล้วจริงไหม แต่ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร

     เขาสบสายตาเข้ากับต้นเหมยอีกครั้ง ท่ามกลางความสงสัย อีกฝ่ายแสดงออกผ่านสีหน้ากำลังขมวดคิ้วและจะพูดอะไรบางอย่าง

    “เป็นอะไรบอกเหมย”

    “…”

    “ไม่เงียบได้ไหมครับ” เขาไม่ชอบให้ใครก็ตามเงียบใส่เวลาถามว่าเป็นอะไร ยกเว้นเสียแต่บางเรื่องที่รู้อยู่แล้วเขาสามารถรอจนกว่าพูดออกมาได้ แต่ถ้าเกิดอยู่ดีๆ ทำเหมือนมีปัญหา เขาถามแล้วแต่ไม่พูดนั่นทำให้ขัดใจอยู่ไม่น้อย “ญี่ปุ่น”

    “ถ้าต้นเหมยไม่ชอบ…” เสียงหวานขาดห้วงไปเมื่อเหมยยกนิ้วโป้งขึ้นมาแตะริมฝีปากของเขาเหมือนจะบอกให้รู้ผ่านการกระทำว่าหยุดพูด ญี่ปุ่นนั่งนิ่งแต่สายตายังคงมองคนตรงหน้าอยู่ หัวใจพานเต้นระรัวเพราะตอนนี้เราอยู่ใกล้กันเหลือเกิน

    “มีอะไรก็บอก” เหมยว่าพลางละปลายนิ้วลง ปกติเอาแต่ใจอยู่แล้วพอเจอฤทธิ์แอลกอฮอล์เข้าไปอย่าหวังเลยว่าจะไม่ดื้อ “ไม่ชอบให้เงียบ”

    “เราก็เป็นแบบนี้” ด้วยความเป็นคนช่างเถียงช่างเอาแต่ใจเลยยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้ๆ คล้ายจะบอกว่าเขาดื้อแบบนี้แล้วจะทำไม เหมยพยายามระงับอารมณ์ สมองมันพานกลับไปคิดถึงเรื่องก่อนหน้านั้น “ถ้าต้นเหมยไม่ชอบมันก็เป็นเรื่องของ…อื้อ”

    ถ้อยคำแสนหวานยังไม่ทันได้เอ่ยจนครบประโยคกลับต้องขาดหายเมื่อสัมผัสร้อนฉ่าทาบลงบนริมฝีปาก ทุกอย่างรอบตัวหยุดเคลื่อนไหวในวินาทีนั้น ความร้อนแทรกซึมอยู่บนกลีบปาก แช่ค้างเอาไว้โดยไม่รุกล้ำใด

    เพราะญี่ปุ่นยังดื้อเถียง เขาเลยเผลอหยุดบทสนทนาด้วยวิธีขาดสติเหมือนชดเชยให้กับความคั่งค้าง เหมยถอนริมฝีปากออกแล้วได้แต่มองหน้าญี่ปุ่นนิ่งๆ คำพูดในหัวมันมีแต่คำว่าขอโทษ

    ทุกอย่างมันเป็นแค่ความคิดเพราะเขายังไม่ทันจะได้เอ่ยปากอะไร สัมผัสนุ่มหยุ่นก็ก่อตัวขึ้นอีกครั้ง หากแต่ครานี้ญี่ปุ่นกลับเป็นฝ่ายโน้มเข้ามาประกบปาก มันเป็นความรู้สึกที่ต่างออกไปเพราะหัวใจเขาพานเต้นระรัว ไม่รู้ว่าเจ้าคนตัวเล็กตั้งใจทำหรือเพียงแค่อยากเอาคืน ถึงอย่างนั้นเราก็ได้แต่แช่ริมฝีปากค้างเอาไว้แล้วผ่อนลมหายใจผสานกัน

    ญี่ปุ่นถอนริมฝีปากออก เรามองตากันอยู่หลายนาทีท่ามกลางความเงียบที่เหมยได้ยินเพียงแค่เสียงหัวใจของตัวเอง และเขาคิดว่ามันควรจบได้แล้ว แค่นี้ยังไม่รู้เลยว่าจะพูดอะไรเป็นประโยคแรก ทว่าสมองกลับสั่งการให้เขาดึงคนตัวเล็กเข้ามาทาบริมฝีปากอีกครั้งเพราะเขารู้สึกว่าแค่แตะริมฝีปากมันไม่พอ

    เมื่อมันเกิดขึ้นซ้ำหลายหนจึงเกิดความเปลี่ยนแปลง เหมยไม่เพียงแต่กดแช่เอาไว้แต่กลับเริ่มรุกล้ำด้วยการลากปลายลิ้นสัมผัสกลีบปากนุ่มอย่างเชื่องช้า เขารู้วิธีการจูบแต่ไม่เคยได้ทดลองกับใครมาก่อน

    ญี่ปุ่นเผยอปากต้อนรับความซุกซน เปลือกตาพานหนักอึ้งจนกระทั่งภาพตรงหน้าพร่าเบลอก่อนจะมืดสนิท ไม่มีปฏิกิริยาโต้แย้งในเหตุการณ์นี้เพราะมันทำให้เขาได้พิสูจน์ว่าตัวเองคิดอย่างไร ความเนิบนาบและอ่อนโยนทำเอาเจ้าของร่างเล็กตัวอ่อนยวบ

    รสชาติของเบียร์ยังติดอยู่บนปลายลิ้น จูบนุ่มนวลชวนให้ช่องท้องวูบโหวง เหมยกดท้ายทอยของอีกฝ่ายให้แนบแน่นกว่าเดิม ยิ่งเนิ่นนานความหวานหอมเริ่มแปรเป็นหนักหน่วง ชายหนุ่มดูดดึงกลีบปากย้ำอยู่หลายครั้ง มือเล็กกำเสื้อเขาจนยับยู่ยี่ กระทั่งเสียงลมหายใจเริ่มหอบถี่

    และถึงเวลาต้องหยุดเสียที

    “ถ้าคราวหลังยังดื้อ”

    “…”

    “เหมยจะทำแบบนี้อีก”

     

     

    เสียงน้ำจากฝักบัวไหลกระทบพื้นก่อนหยุดลงเมื่อเจ้าของร่างสูงเอื้อมมือไปหมุนปิด แม้ความจริงเขาอาบน้ำเสร็จไปตั้งนานแล้ว แต่กลับต้องมาอาบน้ำให้สร่างเพราะญี่ปุ่นคนเดียว ตอนแรกนึกว่าจะดื้อแค่ตอนมีสติแต่คราวนี้รู้แน่ชัดแล้วว่ายิ่งเมายิ่งแสนดื้อรั้น

    จูบระหว่างเราควรจบลงตั้งแต่เขาขู่ไป แต่อีกฝ่ายกลับท้าทายด้วยการดึงเขาเข้าไปจูบเหมือนเด็กไม่ยอมแพ้ จนตอนนี้เหมยยังไม่แน่ใจเลยว่าก่อนเขาแยกออกมาสงบสติ

    เราจูบกันไปกี่ครั้งแล้ว

    ชายหนุ่มหยิบผ้าขนหนูออกมาพาดบ่า มั่นใจว่าตอนนี้ญี่ปุ่นคงหลับไปแล้ว เล่นกินเบียร์เยอะขนาดนั้นจะฝืนตาทนอยู่ได้สักเท่าไหร่ แต่ยอมรับว่าเขาน่ะ ชอบจูบของญี่ปุ่นเป็นบ้า คิดแล้วมันเหมือนคนนิสัยไม่ดี เอาแต่ช่วงชิงความสุขในตอนที่อีกฝ่ายไม่มีสติ

    ถึงอย่างนั้นญี่ปุ่นกลับทำให้เขาตกหลุมรักเสียจนไม่เหลือชิ้นดี

    เจ้าของร่างสูงถอนหายใจ ยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เช้าญี่ปุ่นจะจำเรื่องราวเหล่านี้ได้ไหมและเขาจะทำอย่างไรกับหัวใจที่เริ่มตกหลุมรักอีกหน เหมยจัดการแต่งตัวให้เสร็จเรียบร้อยภายในห้องน้ำเพราะหากออกไปข้างนอกคงหนาวพอสมควร เนื่องจากแอร์ยังคงทำงานอยู่

    เขาเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยความมั่นใจ ตั้งใจนอนคิดไปพลางๆ ว่าถ้าญี่ปุ่นจำได้ขึ้นมาควรบอกไปเลยดีไหมว่าชอบ พลันทุกความคิดกลับต้องสลัดออกจากหัว เมื่อเห็นเจ้าคนดื้อนั่นทำยังกอดหมอนอยู่บนฟูกนอน

    ทำไมถึงยังไม่นอนอีกเหมยส่งเสียงถามพลางเดินไปแขวนผ้าขนหนูแล้วกลับไปนั่งลงบนฟูกนอนของตัวเอง เขาพยายามทำตัวให้เป็นปกติเพราะไม่รู้ว่าญี่ปุ่นอยากจดจำเรื่องเมื่อครู่หรือไม่

    นอนไม่หลับน้ำเสียงที่เคยเจื้อยแจ้วคราวนี้กลับแผ่วลง ต้นเหมยร้อนเหรอ ทำไมไปอาบน้ำ

    อ่า นิดหน่อยจะให้บอกอย่างไรว่าเขาทำไปเพียงเพราะต้องการสงบสติตัวเอง ไม่ปวดหัวแน่นะ

    อื้อ

    ปุ่นเหมือนเป็นคนละคน แม้การกระทำจะดื้อเกินขีดจำกัดแต่เวลาโต้ตอบกันดูนิ่งเสียจนเขาทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าสาเหตุของการนอนไม่หลับคืออะไร แต่เขาเองก็นอนไม่หลับเช่นกันและแน่นอนว่าเหตุผลไม่พ้นญี่ปุ่น

    หือ

    นอนไม่หลับเพราะเหมยหรือเปล่าตัดสินใจถามออกไปเพราะหากต้องนั่งอยู่อย่างนี้ทั้งคืนคงไม่ไหว แค่นี้ยังไม่รู้เลยว่ารุ่งขึ้นจะตื่นไปเที่ยวกันได้หรือเปล่า อีกฝ่ายหันมามองหน้าเขานิ่งๆ โดยไม่พูดอะไร

    ถ้าใช่แล้วต้นเหมย…”

    ให้กล่อมไหม

    “…”

    เคยกล่อมหมิงเวลานอนไม่หลับตอนเด็กๆ เขาจำได้ว่าตัวเองเป็นคนกล่อมน้องชายฝาแฝดให้หลับอยู่บ่อยๆ ถึงจะโตขึ้นแล้วแต่หากช่วงไหนหมิงไม่สบายมักมาอ้อนให้เขากล่อมอยู่บ้าง พอมีเพลิงเข้ามาเราถึงได้เริ่มห่างจากการกระทำอย่างนี้ไป เขาไม่ได้ว่าอะไรกับการเปลี่ยนแปลงเพราะถ้ามันทำให้น้องชายเขาโตขึ้น เหมยยินดีที่จะปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงนั้น

    ได้เหรอ

    ครับ

    ถ้างั้นขอรบกวนหน่อยนะ

    มานี่สิชายหนุ่มเอ่ยเรียกพลางหยิบหมอนตั้งขึ้นชิดผนังห้องนอน ขยับตัวไปนั่งพิงเอาไว้แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมลุกมา ลุกมาหาเหมยครับ

    พอโดนสั่งอีกครั้งเจ้าตัวถึงได้พยักหน้าแล้วเดินข้ามไปอยู่อีกฟูกหนึ่ง หยิบเอาผ้าห่มมาด้วยเพราะเหมยสั่ง ปล่อยให้ที่นอนของตัวเองว่างเปล่า ญี่ปุ่นหัวใจเต้นตึกตัก เขาจดจำเรื่องเมื่อครู่ได้แต่ไม่รู้ว่ามันเกิดซ้ำกี่ครั้ง พยายามทำทุกอย่างให้เป็นเหมือนเดิม

    ไม่อยากให้ต้นเหมยรู้เลยว่าเขาคิดไปไกลถึงไหนแล้ว

    เราต้อง…”

    นอนตักเหมยไม่ปล่อยโอกาสให้ได้พูดท้วง บนตักมีผ้าห่มวางไว้เป็นเบาะรองศีรษะ นอนเร็ว

    หัวใจพานหวิวสั่น ญี่ปุ่นทิ้งศีรษะลงบนตักอย่างว่าง่าย หยิบเอาผ้าห่มของตัวเองคลุมร่างกายเอาไว้ หันหน้าออกไปทางปลายฟูกนอน กระทั่งสัมผัสของฝ่ามือใหญ่แนบลงบนเรือนผม

    ต้นเหมยคนถูกลูบผมเรียกชื่อเบาๆ พอได้ยินอีกฝ่ายขานรับถึงได้ถามต่อ กล่อมหมิงแบบนี้เหรอ

    ครับ เมื่อก่อน

    แล้วตอนนี้…”

    ไม่ค่อยได้กล่อมเท่าไหร่เหมยตอบตามความจริง หมิงมีคนดูแล

    ดีจัง

    “…” เหมยขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยิน คำว่าดีจังมันเหมือนพูดออกมาด้วยความไม่เป็นสุขสักเท่าไหร่

    เราจำไม่ได้แล้วว่าครั้งล่าสุดที่เคยโดนลูบหัวแบบนี้คือเมื่อไหร่

    อ่าเอาเข้าจริงคือเหมยไม่ค่อยจะรู้เรื่องราวของบ้านญี่ปุ่นเท่าไหร่นัก

    แถมใครเป็นคนลูบเรายังจำไม่ได้เลย

    เหมยไง

    หือเราพูดคุยโดยไม่หันหน้ามามองกัน ฝ่ามือใหญ่ยังคงมอบสัมผัสอบอุ่นให้

    ตอนนี้

    “…”

    เหมยถือว่าเป็นครั้งล่าสุดแล้ว สิ้นสุดเสียงนั้นเจ้าคนตัวเล็กลุกขึ้นจากตัก หันมาเผชิญหน้ากับเขา ปลายจมูกเราเฉียดกันเล็กน้อย เรามองตากันอยู่ประมาณหนึ่งนาที ไม่มีใครขยับเคลื่อนไหวใดกระทั่งเขาต้องเป็นฝ่ายทักท้วง ญี่ปุ่น

    รู้จักชื่อเราภาษาญี่ปุ่นไหม

    ไม่ครับเขาขมวดคิ้ว ตัวอักษรหน้ารั้วบ้านของญี่ปุ่นคงเป็นนามสกุล แน่นอนว่าเขาอ่านไม่ออกและไม่เคยได้ถาม

    ฮายาชิ ไอ เรื่องชื่อของคนญี่ปุ่นพอรู้มาบ้างว่าเรียงนามสกุลก่อนแล้วตามด้วยชื่อ ชายหนุ่มพยักหน้าเพื่อบ่งบอกว่าตัวเองรับรู้แล้วต้นเหมย

    ว่าไง

    เรียกใหม่ได้ไหม

    เหมยไม่เข้าใจ

    เรียกเราว่าไอ

    เขาเอาไว้ให้คนสนิทเรียกไม่ใช่เหรอเกิดความรู้สึกประหลาดภายในอกอีกแล้ว คนญี่ปุ่นหากไม่สนิทกันมักเรียกด้วยนามสกุลอย่างฮายาชิ เพราะอย่างนั้นการได้รับอนุญาตให้เรียกชื่อต้นนั่นคือต้องสนิทสนมกันพอสมควรและเหมยรู้ดีในข้อนี้

    ใช่ แต่เราจะให้ต้นเหมยเรียก

    “...”

    ได้ไหม

    ครับ เหมยตอบแต่เขาเองคงยังไม่ชินเหมือนกันหากจะต้องเปลี่ยนไปเรียกชื่อใหม่ แต่ขอปรับตัวก่อน

    อื้อ

    ญี่ปุ่นทิ้งตัวลงนอนบนตักเขาอีกหน ทุกอย่างมันเกิดขึ้นรวดเร็วจนไม่แน่ใจนักว่าพรุ่งนี้เช้าอีกฝ่ายจะจำเรื่องราวทั้งหมดได้มากน้อยแค่ไหน เขาแอบดีใจอยู่ลึกๆ เพราะเหมือนได้เลื่อนขึ้นมาอีกหนึ่งขั้นแม้ว่าอีกฝ่ายจะอนุญาตเพราะเมาก็ตาม

    อยากรู้เหมือนกันว่าพรุ่งนี้เช้าเกิดเขาเรียกอีกฝ่ายด้วยชื่อใหม่จะเป็นอย่างไร

    ถ้าจำเรื่องจูบไม่ได้อย่างน้อยขอให้จำเรื่องการเรียกชื่อให้ได้แล้วกัน

     

     

    “อ...อือ” คนบนฟูกนอนขยับตัว บิดร่างกายเล็กน้อยแล้วส่ายหน้าเบาๆ รู้สึกปวดหนึบตรงศีรษะ ดวงตากลมค่อยๆ ปรือขึ้นแล้วหยีลงเมื่อแสงแดดเห็นแสงแดดจากภายนอก ญี่ปุ่นลุกขึ้นนั่งตัวตรงก่อนหันไปมองข้างกายและพบแต่ความว่างเปล่า

    เขามานอนอยู่ตรงที่ของต้นเหมย จำได้รางๆ ว่าเมื่อคืนดันหลงไปให้อีกฝ่ายกล่อมให้นอนหลับ หัวคิ้วขมวดเข้าหากันทีละนิด ประมวลผลเรื่องราวของเมื่อคืน เรียวนิ้วแตะริมฝีปากของตัวเอง หัวใจดวงน้อยเริ่มสั่นไหว ภาพความทรงจำหวนกลับเข้ามาภายในระบบความคิด ญี่ปุ่นยกมือลูบใบหน้าพร้อมกับความตื่นเต้นที่ก่อตัวขึ้นซ้ำอีกครั้งและมันไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเมื่อจำได้ว่าตัวเองทำอะไรบ้าๆ ลงไป

    ภาพตอนคว้าต้นเหมยเข้ามาประกบปากเวียนซ้ำไม่รู้จบ ใบหน้าร้อนฉ่าแถมยังรู้สึกโหวงภายในท้อง จำได้ว่าอีกฝ่ายดุแถมบอกเขาว่าถ้าดื้อจะทำแบบนี้อีก และเขา... กลับดื้อรั้น

    ญี่ปุ่นไม่แน่ใจนักว่าเมื่อคืนเราจูบกันไปกี่ครั้ง

    “ตื่นแล้วเหรอ” เสียงทุ้มต่ำทำเอาคนบนฟูกสะดุ้งเฮือก มือเล็กกำเข้าหากันจนชื้นเหงื่อ ไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองตามต้นเสียงทั้งที่ปกติไม่เคยเป็น เขาก้มหน้ามองมือตัวเองอยู่อย่างนั้น กระทั่งเห็นเงาของคนตัวใหญ่ยืนอยู่ข้างฟูก วินาทีนั้นเขาถูกจับใบหน้าให้เชยขึ้นมอง “เป็นอะไร”

    “ป...เปล่า” ญี่ปุ่นตอบตะกุกตะกัก เบี่ยงสายตาไปมองทางอื่นเพราะตอนนี้ต้นเหมยไม่ได้ใส่เสื้อ อีกฝ่ายคงเพิ่งอาบน้ำเสร็จ หยาดน้ำยังเกาะอยู่ตามแผงอก เพิ่งรู้ว่าคนตัวโตนั้นมีกล้ามหน้าท้องขนาดนี้ “ด...เดี๋ยวเราไปอาบน้ำก่อนนะ”

    “โกหกอีกแล้ว” เจ้าคนตัวสูงพูดเสียงดุแล้วย่อตัวลงนั่ง จนใบหน้าของเราอยู่ระดับเดียวกัน ญี่ปุ่นกลั้นหายใจโดยอัตโนมัติ ภายในหัวคิดจะเถียงออกไปว่าไม่ได้ทำแบบนั้น ทว่าความเป็นจริงทำได้แค่สารภาพผิด

    “ค…คือเมื่อคืนเราเมา”

    รู้แล้ว

    “เราขอโทษ” เขาพูดเบาๆ พอสิ้นสุดเสียงเหมือนได้ยินคนตรงหน้าหัวเราะในลำคอ ยังไม่กล้าแม้แต่จะสบตา ใจมันสั่นเกินกว่าจะทำอะไรทั้งสิ้น แค่นั่งนิ่งๆ ได้ก็เก่งเกินพอแล้ว “ต้นเหมยอย่าโกรธเรานะ”

    เรื่องไหนล่ะเหมยเลิกคิ้วเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจำเรื่องใดได้

    เราทำไว้หลายเรื่องเหรอ

    คงงั้น

    อย่างเช่น…”

    ให้เปลี่ยนไปเรียกว่าไอหัวใจของญี่ปุ่นหวิว รู้สึกว่าเลือดสูบฉีดจนเกินกว่าจะควบคุม ทำไมเขาจำเรื่องนี้ไม่ได้เลย จำได้หรือเปล่า

    ได้ซี่! ทำไมเราจะจำไม่ได้เล่า ญี่ปุ่นโกหก อย่างน้อยก็ยังพาให้พ้นไปจากเรื่องจูบได้ อีกอย่างเรื่องเรียกชื่อเขาไม่มีปัญหาอยู่แล้วถ้าเป็นต้นเหมย ถึงจะมารู้ตอนมีสติแต่เขายินดี เราอนุญาต

    ถ้าอยากเรียกไอจัง

    “…”

    จะอนุญาตไหม

    เมื่อคืนเขาหาข้อมูลมาแล้วตอนญี่ปุ่นหลับอยู่บนตัก จังเป็นคำต่อท้ายชื่อ ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นผู้หญิงหรือชาย เอาไว้เรียกคนที่สนิทกันหรือมีความรู้สึกเอ็นดู ถ้าเกิดอีกฝ่ายไม่ชอบใจเขาจะไม่ขัดสักนิด แค่อยากลองเชิงดูเฉยๆ เพราะคิดว่าเรียกไอมันดูห้วนเกินไปในความคิด

    ก็ได้ แต่มันดูน่ารักไปหรือเปล่าอะ เรียกไอคุง…”

    ถ้าเหมยชอบชอบคำว่าไอจัง

    “…”

    มันก็เป็นเรื่องของเหมยถูกไหมครับ

     



    tbc.

    ลุนแลง ต้นเหมยคนร้ายกัด ส่วนยัยจี้ปุ่งโดนเข้าแล้วไง 555555555555555

    ต้นเหมยกับญี่ปุ่นเปิดรอบออนไลน์แล้วนะคะ 

    ฝากพาน้องกลับบ้านด้วยคับทุกคน แฮ่ 

    สั่งซื้อ : http://sense-book.com 

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×