ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กฎของเข็มทิศ ` ✧

    ลำดับตอนที่ #1 : 00 ✧ ระเบิดเวลา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 7.62K
      502
      9 พ.ค. 64


    00

    ระเบิดเวลา

     

    เราต่างได้ครองเวลาที่มีทั้งหมด...ด้วยกัน
    แต่กลับไม่มองเห็นความสำคัญของกัน...ปล่อยทิ้งไป

    ระเบิดเวลา - Greasy Cafe

     


    ดวงตาคมไล่อ่านตัวอักษรบนหน้ากระดาษที่มีไม่ต่ำกว่ายี่สิบบรรทัดด้วยสีหน้าเรียบเฉย กระทำอย่างนี้ทุกวันจนกลายเป็นความเคยชิน เขาต้องอ่านให้ละเอียดก่อนจะเซ็นลายลักษณ์อักษรลงไปเพื่อยืนยันว่ายอมรับ ครู่เดียวเรียวคิ้วขมวดเข้าหากันยุ่งเมื่อความตั้งใจถูกพรากออกไปเพราะเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะ

    ว่าไงเสียงทุ้มเอ่ยถามทันทีเมื่อกดรับสายโดยไม่ลังเลเพราะคนที่โทรเข้ามาคือเพื่อนสนิทอย่างเบส

    (มาไหมเนี่ย)

    “ไม่แน่ใจ งานไม่เสร็จ” 

    (มึงจะเบี้ยวอีกเหรอ วันนี้ไอ้หมออุตส่าห์ว่างนะเว้ย) ชายหนุ่มวางปากกาลงก่อนเหลือบมองนาฬิกาบนฝาผนัง บ่งบอกว่าเป็นเวลาสองทุ่มกว่าแล้วและเขานั่งอยู่ในห้องทำงานมาตั้งแต่เย็น (พักบ้างนะสัด เดี๋ยวจะตายห่าก่อนได้เมีย)

    “พูดมาก”

    (กูย้ำอีกที ไอ้เหี้ยหมอแลกเวรมาเพื่อมึง) 

    “...”

    (เอาไง)

    “เออ เดี๋ยวไป” เขากดตัดสายหลังได้ยินเสียงเบสโหวกเหวกโวยวายด้วยความดีใจ แผ่นหลังกว้างแนบชิดไปกับเก้าอี้ทรงสูงสำหรับผู้บริหาร ถอดแว่นสายตาออกแล้ววางลงบนโต๊ะ ปกติแล้วเขาจะใส่เฉพาะเวลาทำงานเพราะต้องใช้สายตามากเป็นพิเศษ นิ้วชี้และนิ้วโป้งยกขึ้นมานวดระหว่างหัวคิ้วคลายความเมื่อยล้า

    เข็มทิศเป็นบุตรชายคนโตของครอบครัวเตชวิรุฬห์วัชรโชติพ่วงตำแหน่งรองประธานบริษัท BLANC N MERCI รวมถึงเป็นผู้ช่วยอยู่เบื้องหลังแบรนด์ DEGRÉS N BLEU หรือที่รู้จักกันในนามองศาสีน้ำเงิน 

    คนภายนอกชอบมองว่าเขาทำงานเก่งทุกด้าน สามารถทำได้ดีเสมอและทุ่มเทกับทุกอย่าง แต่สำหรับคนใกล้ชิดมองว่าเป็นพวกบ้างานเสียมากกว่า กระนั้นไม่อาจปฏิเสธเพราะนาฬิกาชีวิตหนึ่งวันของเข็มทิศหมดไปกับโต๊ะทำงาน

    เจ้าของร่างสูงวางปากกาลงอีกครั้งหลังเซ็นเอกสารแผ่นสุดท้ายเสร็จ จัดการปิดแฟ้มสำคัญก่อนรวบไปวางรวมไว้มุมหนึ่งของโต๊ะ เขายกมือขึ้นนวดไหล่สลับซ้ายขวาก่อนรีบลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นนาฬิกาบอกเวลา

    วันนี้เบสนัดออกไปเจอด้วยเหตุผลว่าอยากสังสรรค์ตามประสาเพื่อนสนิทที่ไม่ได้พบกันมาพักหนึ่ง การนัดเพื่อนในสมัยมัธยมหลังจากเข้ามหา’ลัยว่ายากแล้ว แต่การนัดเพื่อนวัยทำงานให้ออกมาเจอกันได้นั้นยากยิ่งกว่า แม้จะคุยกันทุกอาทิตย์แต่ถ้าเวลาว่างไม่ตรงกันก็อด เพราะต่างฝ่ายต่างมีภาระที่ต้องรับผิดชอบ

    รถยนต์คันหรูเคลื่อนตัวออกจากหน้าบริษัทด้วยความรวดเร็ว เวลานัดคือสี่ทุ่มตรงที่ร้านประจำของพวกเขา ไม่ใช่ผับบาร์เหมือนสมัยมหาลัยแต่เป็นร้านข้าวต้มโต้รุ่ง ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงสำหรับการขับรถมาถึงจุดหมาย เขาจอดรถต่อหลังรถยนต์ป้ายทะเบียนคุ้นตา

    เข็มทิศดึงเนคไทบนคอเสื้อตัวเองออกลวกๆ แล้วโยนมันไปเบาะหลัง ปลดกระดุมสองเม็ดบนเพื่อคลายความร้อน ชายหนุ่มถกแขนเสื้อทั้งสองข้างขึ้นมาไว้บริเวณข้อศอกอย่างเคยชิน เสี้ยวหนึ่งของรอยสักบนข้อพับแขนจึงปรากฏ ส่วนตัวเขาไม่ใช่คนมีระเบียบอะไรมากเท่าไหร่นัก ทว่าตอนออกงานหรือต้องไปพบแขกผู้ใหญ่จะเนี้ยบตลอดเวลาเพราะไม่อยากโดนนินทาตามหลังว่าไม่เป็นมืออาชีพ

    ฝนฟ้ามันถึงได้ตก คุณหมอหนุ่มเบะปากทักทายทันทีที่พ่อหนุ่มนักธุรกิจก้าวเท้าเข้ามาภายในร้าน เข็มทิศกระตุกยิ้มหนหนึ่งเพราะเพื่อนสนิทยังเป็นเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน

    พัตเตอร์เป็นเพื่อนสนิทของเขาตั้งแต่สมัยมัธยม สอบติดมหา’ลัยเดียวกันแต่คนละคณะ เขาเรียนบริหารแต่พัตเรียนหมอ ส่วนเบสเป็นเพื่อนที่เพิ่งรู้จักกับเขาช่วงเรียนปริญญาเลยมาเกาะอยู่ด้วยกัน เรามีเพื่อนคนอื่นบ้างแต่ไม่สนิทเท่าไหร่นัก

    “เหมือนเดิม” เข็มทิศว่าพลางทิ้งตัวลงนั่ง ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นเท้าคางแล้วมองหน้าพัตเตอร์นิ่งๆ

    “อะไรวะ” เบสขมวดคิ้วถามอย่างสงสัยเมื่อไม่เข้าใจคำพูดและการกระทำของเข็มทิศ “มึงอย่าพูดอะไรที่รู้กันสองคนได้ปะ”

    “มันหมายถึงว่ามึงขี้เสือกเหมือนเดิม” หมอพัตเตอร์พูดก่อนเอื้อมไปคีบกระดูกหมูราดซอสมาไว้ในชามตัวเอง เนื่องจากเขาแลกเวรมาทำให้คืนนี้มีเวลาพักประมาณหนึ่ง “ป้าครับ ขอข้าวสวยเพิ่มหนึ่งถ้วยครับ”

    “มึงจะแดกอะไรก็สั่งเพิ่มเอานะ” เบสเอ่ยพลางหยิบกระดาษเขียนเมนูอาหารออกจากกล่องพร้อมดินสอทู่ๆ เหมือนไม่เคยผ่านการเหลามายื่นให้เพื่อนสนิท “แต่สั่งไส้หมูพะโล้เพิ่มให้กูด้วย”

    “แหม ตอนปีสองเสือกบอกไม่เอา ไม่ชอบ ไม่แดก แล้วดูตอนนี้สามจานแดกคนเดียวหมด” หมอพัตแขวะด้วยเสียงติดหัวเราะก่อนเบสจะสบถด่าด้วยคำหยาบคาย 

    “เข้าเวรอีกทีตอนไหนหมอ” เข็มทิศถามพลางตัดบทสนทนาพลางส่ายหน้าระอากับเสียงทะเลาะเรื่องไม่เป็นเรื่อง เขาก้มหน้าอ่านเมนูอาหารแล้วติ๊กสิ่งที่อยากกินลงไป 

    “ตอนที่มึงไม่เห็น”

    “สัด กูด่าแทนแล้วเพื่อนเข็ม” เบสขานตอบแทน พัตเตอร์เป็นคู่กัดกับพวกเขามาตั้งแต่ไหนแต่ไร เวลาปกติพึ่งพากันได้เสมอแต่บางคราวอีกฝ่ายชอบตอบคำถามอย่างกวนอารมณ์ ส่วนเรื่องถนัดของพัตเตอร์คือปั่นประสาทเข็มทิศ “ไอ้เข็มมันถามดีๆ มึงก็ตอบดีๆ สิวะ”

    “ดีๆ”

    “พัต โกรธอะไร” เข็มทิศถามเสียงเบา ช้อนสายตาขึ้นมองแล้วเห็นเพื่อนสนิทเบะปากก่อนมันจะหลุดขำ หลังจากเขาพูดต่อ “ออกมาเจอแล้วนี่ไง งอแงอะไรนัก”

    “งอแงพ่อมึงเถอะ เบี้ยวนัดกูมาสี่รอบได้กว่าจะโผล่หนังหน้ามาให้เห็น กูก็มีเมียแล้ว” พัตมุ่ยหน้าหลังโดนจับได้ เพราะเป็นเพื่อนกันมานานแค่เห็นรอยยิ้มของมันก็รู้แล้วว่ากำลังคิดอะไรอยู่ “เออ แค่ทำงานกูก็จะตายแล้ว จะเอาเวลาไหนไปหาเมีย”

    “พวกคุณครับ ผมอยู่ตรงนี้น้า ...ครับ เงียบก็ได้” เบสรูดซิปปากเมื่อเพื่อนทั้งสองตวัดสายตาดุๆ มามอง จากนั้นเลยคิดเปลี่ยนเรื่องคุย ว่าแต่ไอ้เข็ม...

    เบสยังพูดไม่ทันจบเข็มทิศก็เป็นคนหยุดบทสนทนาเอาไว้ก่อนเพราะโทรศัพท์เกิดสั่นขึ้นมา แถมยังเป็นสายที่จำเป็นต้องรับเสียด้วย แค่เห็นรายชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอก็รู้ทันทีว่าเป็นใคร แม้จะบันทึกชื่อเอาไว้แค่อีโมจิรูปหัวใจสีดำอย่างเดียวก็ตาม

    (พรุ่งนี้ไม่ได้ไปไหนใช่ไหม แม่จะเข้าไปหาที่บริษัท)

    ไม่ได้ไป เข็มทิศขานตอบปลายสาย ก่อนผงกศีรษะให้กับคุณป้าที่เอาถ้วยข้าวมาเสิร์ฟแล้วยื่นใบเมนูอาหารให้แทน

    (งั้นพรุ่งนี้เข้าไปตอนสิบโมงนะ)

    “เธอมาด้วยหรือเปล่า”

    (ไม่อะ เข้ามอ ...วางแล้วนะ)

    “อือ” เขาตอบรับสั้นๆ ก่อนวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะเมื่อปลายทางตัดสายไปแล้ว ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรพัตเตอร์ก็เป็นฝ่ายถามขึ้นมา

    “สรุปน้องมาฝึกงานกับมึงเหรอ?”

    “เปล่า”

    “เอ้า แล้วที่คุยเมื่อกี้คือไรอะ ทำไมมึงต้องถามว่าน้องจะมาไม่มา” เบสเสริมทัพ แอบเงี่ยหูฟังตามประสาคนขี้เสือกแต่ไม่ได้อะไรกลับมาสักอย่างเพราะไม่ได้ยิน ความเสียงเบาเป็นจุดจบของสายเสือกโดยแท้ แต่สรรพนามการเรียกแทนตัวแบบนั้น...

    มีอยู่แค่คนเดียวในลิสต์ของเข็มทิศนั่นแหละ

    “คุณน้านิ่มจะเข้ามาที่บอเฉยๆเข็มทิศว่าพลางหันไปหยิบช้อนก่อนวางบนลงในถ้วยข้าวสวย พรูลมหายใจหนหนึ่งตอนรู้สึกว่าถูกสายตาของเพื่อนจับจ้อง น้องเรียนจบแล้วไม่ได้มาฝึกงาน แล้วก็คงไม่มาลองทำงานที่นี่หรอก ถ้าไม่มีเรื่องจำเป็น นับไม่มาให้กูเจอ พวกมึงก็รู้

    “เผื่อมึงไปขอน้องรีเทิร์นเงียบๆ ไง” พัตแสยะยิ้มหลังเห็นเพื่อนชะงัก เป็นอันรู้กันว่าเหตุการณ์ในประโยคเมื่อครู่ไม่มีทางเกิดขึ้น “รักเขาจนไปรักคนอื่นไม่ได้ แต่ไม่ไปขอคืนดีเนอะคนเรา”

    “แหม ไอ้พัตมึงก็รู้ว่าพ่อคุณคนนี้เขาคิดอะไรหลายตลบ มึงเชื่อกูดิว่าที่มันไม่ไปขอน้องคืนดีเพราะคิดว่าสุดท้ายจะจบแบบเดิม” ถึงเป็นคู่กัดแต่พอเข้าเรื่องของเข็มทิศกับแฟนเก่า เบสและพัตเตอร์สามารถเข้าหากันได้ดี พ่อหนุ่มนักธุรกิจไม่เถียงอะไรกลับมาสักคำเลยนอกจากหัวเราะเบาๆ

    เข็มทิศไม่ได้โกรธที่เพื่อนสนิททั้งสองคนจะพูดแขวะเรื่องแฟนเก่าเพราะทุกถ้อยคำเป็นความจริง เขารู้จักนับเงินผ่านน้องชายของตนเองเพราะอีกฝ่ายเป็นหนึ่งในกลุ่มเพื่อน น่าจะเป็นช่วงที่เด็กๆ กำลังจะขึ้นปีสองแล้วยกโขยงมาทำงานกลุ่มที่บ้าน

    ยอมรับว่านับเงินสร้างความสนใจได้ตั้งแต่แรกพบ ยังจดจำถ้อยคำกล่าวหาของเด็กคนนั้นได้อย่างแม่นยำ ‘พี่มึงดูเพลย์บอยกว่ามึงอีกอะศา’ เพิ่งเคยพบหน้ากันครั้งแรกแต่ดันตัดสินเขาจากภายนอกน่ะหรือ แรกเริ่มคิดว่าไม่ถูกชะตาทว่าการทักทายครั้งนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ระหว่างเรา

    หากให้รื้อความทรงจำทุกเรื่องคงยากเกินไปหน่อย เพราะตอนนี้เข็มทิศรู้จักกับนับเงินมาสามปีกว่าแล้ว เราเป็นพี่น้องกันได้สักพักหนึ่งและเขาดันตกหลุมรักแบบไม่รู้ตัว นานวันเข้าจึงขอเลื่อนสถานะขึ้นมาเป็นคนรัก สุดท้ายประคับประคองไม่ได้คนรู้จักเลยแทบไม่ได้เป็น

    ตลอดเวลาเกือบสองปีที่คบหากับนับเงินทางครอบครัวของเราทั้งคู่รับรู้มาโดยตลอดเพราะเข็มทิศเป็นคนทำอะไรเปิดเผย แต่เราจำต้องลดความสัมพันธ์ลงเมื่อไปด้วยกันไม่ได้ ปากบอกกับผู้ใหญ่ว่ากลับไปเป็นพี่น้อง แต่ความเป็นจริงนั้นนับแทบไม่มองหน้าเขาเลยด้วยซ้ำหากไม่มีเรื่องจำเป็น

    ท่าทีและความเปลี่ยนแปลงทำให้พวกผู้ใหญ่ผิดสังเกตจนมีคำถามว่า ถามจริงๆ เถอะว่าทำไมถึงเลิกกัน หรือ เลิกกันด้วยดีจริงหรือเปล่า พวกเขาเลยคิดปรึกษาก่อนตอบออกไปเป็นคำพูดเดียวกันว่า เลิกเพราะเวลาไม่ตรงกัน นับต้องเรียนส่วนพี่เข็มทำงาน แต่เรายังคุยกันได้

    เขาเคยเอาประโยคเหล่านั้นมาพูดกับเพื่อนสนิท แน่นอนว่าโดนตอกกลับว่า โทษนะ กูขอหัวเราะหน่อย แต่หาข้ออ้างอื่นที่ดีกว่านี้ไม่ได้แล้วหรือไง ก็ใช่สิ เข็มทิศเก่งเหลือเกินกับการหาข้ออ้างห่วยๆ มาใช้ ความผิดแรกเริ่มมาจากตัวเขา แต่อีกหนึ่งความคิดกลับบอกว่าพวกเราผิดด้วยกันทั้งคู่

    ปัญหาไม่ได้มาจากเวลาไม่ตรงกันอย่างเดียวแต่เกิดจากทุกองค์ประกอบของความสัมพันธ์ กระทบกระทั่งจนบานปลายและต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน เขาเคยคิดจะกลับไปง้อ

    แต่สำหรับเข็มทิศ...

    นอกจากเรื่องงานก็ไม่เก่งอะไรอีกแล้ว

     

     

    “นับโทรบอกให้แล้วนะแม่” เจ้าของร่างโปร่งเอ่ยปากเสียงเรียบก่อนหันไปมองคนข้างกาย คุณแม่กำลังนั่งดูโทรทัศน์ฆ่าเวลาระหว่างมาร์กหน้า “พรุ่งนี้เข้าไปได้ พี่เข็มอยู่”

    “จะไม่เข้าไปกับแม่เหรอ” เธอขยับริมฝีปากอย่างยากลำบาก เมื่อเห็นลูกชายพยักหน้าลงจึงเอ่ยปากพูดต่อ “จะปล่อยให้แม่ไปคนเดียวเหรอ บริษัทพี่เข็มออกจะใหญ่โต แม่เป็นคนตัวเล็กๆ เองนะมันจะไม่...”

    “แม่ไปบ่อยแล้วนะนั่น อีกอย่างใครๆ ก็รู้จักแม่นะ จะกลัวอะไรล่ะครับ” นับเงินหลุดหัวเราะเมื่อแม่ทำเสียงฟึดฟัดใส่ “อย่าเอามาอ้างให้นับไปเจอหน้าพี่เข็มเลย ไม่สำเร็จแล้ว”

    “ฮึ น้องนับนี่ยังไง จะต้องไปทำงานกับพี่เขาอยู่แล้วยังหลบหน้าหลบตาอยู่อีก” เธอว่าพลางตีขาลูกชายเบาๆ จะขมวดคิ้วแสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจก็ไม่ได้เพราะกลัวแผ่นมาร์กยับ

    “ถ้าแม่ไม่บังคับ ให้ตายนับก็ไม่ไปทำงานด้วยหรอก” เขาพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย อาทิตย์หน้าแม่จะให้ไปทำงานกับพี่เข็มเพื่อเรียนรู้วิธีแล้วเอามาปรับใช้กับบริษัทย่อยของครอบครัว แน่นอนว่าคุณรองประธานยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าต้องมาช่วยสอนงาน แถมเขาไม่คิดปริปากบอกด้วยเผื่ออ้อนให้แม่เปลี่ยนใจได้ “นับพูดจริงๆ นะ ถ้าไปทำงานกับพี่เข็มได้...”

    “ได้เก่งขึ้นแน่ๆ ค่ะ” เธอพยายามยิ้ม ฟังคำพูดของลูกชายเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา “เมื่อก่อนรักพี่เขานักหนา เดี๋ยวนี้มาทำเป็นไม่อยากไปเจอหน้า”

    “มันไม่เหมือนเดิมแล้วนี่” นับเงินว่าพลางเอื้อมไปคว้ารีโมตมากดเปลี่ยนช่องโทรทัศน์เพื่อหนีรายการผี เขาเป็นคนกลัวผีจนขึ้นสมอง ต่อให้บางรายการมีข่าวหลุดมาว่าเตี๊ยมกันแต่มันก็ยังน่ากลัวอยู่ดี

    “อะไรที่ว่าไม่เหมือนเดิม” มารดาถามเสียงเรียบ สถานะหรือใจล่ะ

    คนถูกถามชะงักปลายนิ้ว แม้ว่าสายตาจะจดจ้องอยู่บนโทรทัศน์เพื่อเลือกช่องที่จะปักหลักต่อจากนี้ ทว่าภายในใจผสมคำถามของแม่กับความรู้สึกจนมันตีกันยุ่ง เขาพรูลมหายใจเบาๆ แล้วขานตอบกลับไป

    “ทุกอย่างแหละ ไม่มีอะไรเหมือนเดิม แล้วจะไม่เป็นเหมือนเดิมด้วย แม่กับคุณน้ารัศมีเลิกคิดได้แล้วว่าจะรีเทิร์น” นับเงินร่ายยาวตามใจคิด ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าคุณแม่ของเราทั้งคู่ต้องการสร้างสถานการณ์ให้กลับไปอยู่ใกล้กัน

    “แต่ตอนกลับมาจากสิงคโปร์แรกๆ ก็เหมือนจะดีนี่ แล้ว...” เธอทิ้งน้ำเสียงขาดห้วงไปช่วงหนึ่งเพื่อดูว่าลูกชายจะแย้งอะไรกลับมาหรือไม่ ...พอน้องนับไม่ขานอะไรจึงพูดต่อ “ไปทะเลาะอะไรกันมาเพิ่มหรือเปล่า”

    “เปล่าเลย แต่แม่น่าจะรู้หรือเปล่าครับว่ามันก็แค่ภาพที่สร้างขึ้น นับกับพี่เข็มห่างกันมานานแล้ว ไม่มีทางกลับไปเหมือนก่อนหรอก” เขาอธิบาย ไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะมีคุณแม่เป็นที่ปรึกษาด้านความรัก ตอนเลิกกับเข็มทิศใหม่ๆ เขาร้องไห้เสียแทบขาดใจ แต่ทางครอบครัวตัดขาดกันไม่ได้เพราะติดสัญญาด้านธุรกิจ กระนั้นถึงไม่ติดปัญหาใดก็ยังคงไปมาหาสู่กันอยู่เพราะทั้งสองบ้านดันคุยกันถูกคอแถมเห็นชอบเรื่องความรักของเขากับพี่เข็มเลยหาทางให้กลับไปอยู่ใกล้กันบ่อยๆ

    “งั้นไอ้เรื่องที่กลับมาจากสิงคโปร์...”

    “มันดีแค่ช่วงนั้นแหละครับ” นับเงินตอบแทรกโดยไม่ปล่อยให้แม่ได้ถามจบประโยค ล่าสุดเขาไปดูงานกับพี่เข็มทิศที่สิงคโปร์มาหลายวัน ช่วงนั้นมันเหมือนจะดีขึ้น แต่สุดท้ายเราเถียงกันอีกครั้งหลังจากเขาไปเคลียร์ปัญหาความรักให้เพื่อนสนิทอย่างคราม

    เรื่องของเรื่องคือนับเงินเป็นตัวปัญหา คิดอะไรไม่ถี่ถ้วนเลยทำให้มันแย่ลงแถมยังเกือบทำลายความรักของเพื่อนอีก ครามเคยชอบเขามาก่อนก็จริงแต่พอมันเจอน้องพู่ทุกอย่างเลยเริ่มเปลี่ยนผัน เหตุผลหลักนั่นมาจากเขาเพราะไม่ว่าจะพยายามสักเท่าไหร่ก็เปลี่ยนใจไปรักคนอื่นไม่ได้สักที มันเลยเป็นบทเรียนครั้งสำคัญว่าไม่ควรลากใครเข้ามาเกี่ยวข้องกับหัวใจตัวเองอีก

    ยิ่งช่วงไหนกลับเข้าไปวนเวียนใกล้กับเข็มทิศ มันยิ่งตอกย้ำว่าทุกพื้นที่ภายในใจยังคงเป็นคนเดิมมาเสมอ ...ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย

    “ฮึ ถ้าพี่เข็มหนีไปมีใครใหม่ อย่ามาร้องไห้น้ำตาเช็ดหัวเข่าแม่แล้วกัน” เธอกล่าวเสียงติดประชด แต่ถึงเวลาแล้วทุกอย่างไม่สามารถกลับไปเป็นอย่างเดิมได้จริงๆ เพราะต่างคนต่างไม่รักหรืออยากเริ่มต้นกับคนใหม่ เธอก็ยินดีกับทุกความรักของลูกชายอยู่แล้ว

    นับเงินนั่งนิ่งเก็บเอาคำพูดของมารดามาคิด หากพี่เข็มมีคนใหม่หรือ...

    นอกจากทำใจแล้วเขาจะไปทำอะไรได้อีกล่ะ

    “นับไปอาบน้ำนอนแล้วนะ”

    “ถ้าเปลี่ยนใจจะไปด้วยกันพรุ่งนี้ก็บอกนะ” ผู้เป็นแม่ยังคงแซวยิ้มๆ ก่อนโบกไม้โบกมือไล่ ฝันดีจ้ะพ่อเด็กปากแข็ง

    โธ่ เขาส่ายหน้าเชิงระอาแล้วเดินปลีกตัวมาอีกทาง ตอนโทรหาเข็มทิศแล้วบอกว่าจะเข้ามหาลัยพรุ่งนี้ก็โกหกทั้งเพ อ้างว่าไปหางานทำยังฟังดูเข้าท่ากว่าอีก แต่ช่างเถอะ... ยังไงเข็มทิศก็ไม่ได้มาใส่ใจอะไรหรอก

    เจ้าของร่างเล็กกลับขึ้นมาบนห้อง ทิ้งตัวลงบนเตียงพยายามสะบัดคำพูดของคนเป็นแม่ให้พ้นจากหัวสมอง แต่ดันทำไม่ได้ น้ำตาเช็ดหัวเข่าเหรอ มันต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วหากเข็มทิศมีใครใหม่ แต่จะให้ทำอย่างไรในเมื่อกลับไปก็ต้องจบแบบเดิม ดีไม่ดีทำให้มันแย่กว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ด้วย

    เขาตั้งใจให้เรื่องของเราจบลงตั้งแต่บอกเลิกกันไป แต่ทุกอย่างไม่เคยเป็นใจเลยเพราะพอเลิกกันแม่กับคุณน้ารัศมียังคอยตะล่อมให้กลับไปเจอกันบ่อยๆ ไอ้ความพยายามจะตัดใจหรือหาคนใหม่เข้ามาแทนนั้นตัดทิ้งไปได้เลย ...มันพังเละไม่เป็นท่าทุกที

    นับเงินถอนหายใจแผ่ว หันไปมองโต๊ะข้างเตียงของตัวเองก่อนเม้มปากเมื่อเห็นกรอบรูปที่ตั้งโชว์อยู่มันเป็นรูปคู่กับเข็มทิศ เคยทำใจแข็งหิ้วเอาไปเก็บลงกล่องเพราะยังไม่อยากทิ้งแต่สุดท้ายต้องขนมันกลับมาวางไว้เช่นเคย เวลามองกลับมาที่เดิมแล้วไม่เจอรูปนี้มันทำให้เขาใจหวิวแปลกๆ

    แต่ถึงอย่างนั้นทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเข็มทิศมันยังคงอยู่เหมือนเดิม บนพื้นที่ส่วนตัวของเขายังไม่ได้เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอโน้ตบุ๊กหรือภาพถ่ายในแอคเคานต์ส่วนตัว แม้ช่วงเวลาที่คบหากันไม่ได้ยาวนาน แต่เขาไม่สามารถลืมเรื่องราวที่มีเข็มทิศได้สักที จะหยิบจับอะไรก็ชอบมีภาพจางๆ ซ้อนทับขึ้นมาเสมอ

    แค่คนคนเดียวแต่ลืมยากฉิบหายเลย

    เขากลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงอยู่พักหนึ่ง ก่อนพลิกกายนอนคว่ำแล้วคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดูเมื่อมันสั่นอยู่สองครั้ง เรียวคิ้วย่นเข้าหากันทีละน้อยตอนพบว่าคนที่ทักมาไม่ใช่ใครไหนไกล ก็คนที่อยู่ในระบบความคิดเมื่อครู่นั่นแหละ

     

    khem t.

    เธอ

    สรุปพรุ่งนี้ไม่ว่าง?

     

    นับเงินยังไม่ทันได้พิมพ์ข้อความตอบกลับ บนหน้าจอก็เปลี่ยนเป็นสายเรียกเข้าของคนที่เพิ่งทักมาได้ไม่ถึงสองนาที เขาเม้มปากเล็กน้อยผ่อนลมหายใจแล้วตั้งสติก่อนกดรับสายแต่โดยดี

    กำลังจะตอบ

    (เธอช้า) สรรพนามแทนตนยังคงเหมือนเดิม ไม่เคยลืมเลยว่าตนเองเคยมีความสุขเพียงใดเวลาได้ยินเสียงของอีกฝ่าย ทว่าหลังจากเลิกกันแล้วทุกอย่างเปลี่ยนแปลงจนเขาเจ็บ... เจ็บที่ยังคงได้ยินทั้งที่รู้ว่ามันยากหากเราจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม

    แอบใจหวิวอยู่ไม่น้อยตอนคิดถึง... ถ้าเสียงนี้จะต้องไปบอกรักคนอื่น

    เธอใจร้อน” เขาตอบกลับเสียงเรียบเราทั้งคู่ต่างเรียกแทนกันว่าเธอ นับเงินเคยคิดเปลี่ยนกลับไปเรียกพี่อยู่หลายครั้งแต่สุดท้ายพ่ายแพ้ให้กับความเคยชิน ให้เวลานับปลดล็อกโทรศัพท์หน่อยได้ไหม

    (โอเค พี่ใจร้อน แล้วตกลงพรุ่งนี้เธอไม่ว่างใช่ไหม)

    อือ นับต้องเข้ามอ

    (ทำไมต้องเข้า เธอส่งโปรเจกต์จบแล้วไม่ใช่หรือไง)

    เธอรู้ได้ไงหรี่ตาลงแล้วพยายามปรับระดับลมหายใจให้เป็นปกติ จับได้ว่าโกหกอย่างนั้นเหรอ กลายเป็นเรื่องแปลกสำหรับเขาด้วยซ้ำ ปกติแล้วเข็มทิศเคยสนใจอะไรที่ไหน เธอหันมาสนใจเรื่องอื่นนอกจากเรื่องงานตั้งแต่เมื่อไหร่

    (ศาบอก)

    อ๋อ งั้นก็ใช่ส่งไปแล้ว แต่…”

    (เธอไม่อยากเจอหน้าพี่เลยเอามาอ้าง)

    “...เธอโทรมาเพราะเรื่องแค่นี้เหรอนับเงินพรูลมหายใจก่อนขบริมฝีปากเล็กน้อย อีกฝ่ายรู้จักนิสัยใจคอเขาดีขนาดนี้เลยหรืออย่างไร เขาเปลี่ยนเรื่องเพราะเป็นอย่างเดียวที่สามารถทำได้เพื่อกลบความกระอักกระอ่วน นั่นเลยทำให้ปลายสายแค่นหัวเราะเบาๆถ้าไม่มีนับจะ…”

    (พรุ่งนี้มากับคุณแม่ด้วย)

    ไม่เข้าใจเขาสวนกลับทันควัน ให้นับไปกับแม่เหรอ

    (ใช่)

    ทำไมต้องไปอะเจ้าของร่างเล็กหยัดกายขึ้นนั่งตัวตรง คว้าหมอนหนุนมากอดแล้วซุกใบหน้ากับความนุ่มนิ่ม ภาวนาขอให้เข็มทิศอย่าตอบอะไรเอาแต่ใจนัก นับไม่อยากเจอเธอ

    (เธอต้องมา)

    เหตุผล

    (พี่อยากเจอเธอ)

    สิ้นสุดเสียงทุ้มต่ำ นับเงินนั่งนิ่งเหมือนถูกสาปให้เป็นหิน ความรู้สึกปั่นป่วนตีรวนขึ้นมาจนต้องผ่อนลมหายใจอีกครั้ง ไม่เคยคาดเดาอะไรจากคนคนนี้ได้เลยจริงๆ บทจะพูดในสิ่งที่คิดก็พูดแบบไม่เกรง แต่บทจะไม่พูดเขาก็ไม่เคยได้รับรู้อะไรสักอย่าง เขารู้จักเข็มทิศจริงแต่ไม่ได้หมายความว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาจะทำให้เลื่อนมาใช้คำว่ารู้จักกันดีได้หรอกมั้ง

    เพราะเขาไม่เคยตามเข็มทิศทันเลย

    ทำงานมากไปเหรอ

    (เปล่า)

    แล้วเธอ…”

    (เธอไม่กล้ามาเจอพี่เพราะกลัวหวั่นไหวหรือไง) นับเงินกัดปากเมื่อปลายสายพูดเชิงเย้ยหยัน ถ้อยคำพูดของเข็มทิศเป็นชนวนสำคัญของระเบิดเวลา

    ไม่กลัว ทำไมต้องกลัว ในเมื่อนับไม่ได้คิดอะไรกับเธอแล้ว” เขาตอบกลับอย่างปากเก่งแต่ภายในหัวใจเจ็บร้าวเป็นช่วงจังหวะ เลิกกันมานานแล้วแต่ไอ้ความรู้สึกเหล่านี้ยังไม่จางหายไปสักที

    เป็นแค่แฟนเก่าทำไมต้องมามีอิทธิพลกับหัวใจขนาดนี้ด้วย

    (พี่หวังว่าพรุ่งนี้จะเจอเธอ)

    “…”

    (แต่ถ้าเธอไม่มา)

    “…”

    (พี่จะคิดเองว่าเธอยังไม่ลืม)

    งั้นพรุ่งนี้เธอรอเจอหน้านับได้เลยระเบิดเวลาเริ่มทำงานเมื่อเขาตอบตกลง การกลับไปใช้ชีวิตวนเวียนอยู่ใกล้กันทำให้มันยากมากขึ้นไปอีก แต่ไม่อยากให้เข็มทิศพูดจาเหมือนรู้ใจไปเสียทุกอย่างแบบนี้ อยากทำให้เข็มทิศได้รู้ว่าไม่มีใครอยู่ที่เดิมเสมอไป

    ()

    เพราะนับลืมเธอได้แล้ว

    ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะมีอะไรเข้ามาเป็นตัวเร่งทำปฏิกิริยาให้ระเบิดเวลาทำงานเร็วขึ้นอีกไหม ระหว่างนี้เขาต้องตัดใจจากเข็มทิศให้ได้ ไม่ว่าต้องพยายามมากมายสักเท่าไหร่ เมื่อมันถึงจุดที่ระเบิดต้องทำงาน...

    จะต้องไม่มีเศษเสี้ยวของเข็มทิศหลงเหลืออยู่

    ไม่ว่าจะส่วนใดของหัวใจ จะอยู่ลึกสุดสักแค่ไหนก็ตาม

     

    tbc

    05/05/2564

    รีไรท์ใหม่คับผม จะอัปเนื้อหาครั้งละหนึ่งตอนแบบวันเว้นวันนะคะ 

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×