Sunshiro2008
ดู Blog ทั้งหมด

กวีคนสุดท้าย

เขียนโดย Sunshiro2008

                               ครั้งหนึ่งเมื่อครั้งบ้านนอกยังเป็นบ้านนอก ท้องนายังเป็นท้องนา ในทุ่งนายังมีฝูงวัวควายแทะเล็มหญ้าอยู่อย่างนั้น 

พ่อเฒ่ากำลังสั่งเสียบุตรชายเพียงคนเดียวของตนที่กำลังตัดสินใจไปเผชิญโชคในโลกกว้าง

                                “ลูกเอ๋ยเมืองกรุงนั้นน่ากลัวนัก ยังไงเสียมันก็คงไม่มีความสุขเหมือนบ้านเราดอกหนา เมื่อเจ้าจากบ้านไปแล้วเจ้าต้องระวังตัวให้มาก ๆ ทุกฝีก้าว นะลูกนะ”

                                “ไม่ต้องห่วงหรอกครับพ่อ ผมจะไปเป็นกวี ผมจะนำความบริสุทธิ์เที่ยงแท้เสรีแห่งอักษรา ไปฝากยังเมืองใหญ่แห่งนั้น และผมก็จะนำความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่นี้กลับคืนสู่ผืนนาบ้านเราด้วย ผมจะทำให้พ่อได้ปลาบปลื้มใจให้ได้ในสักวัน”ชายหนุ่มกล่าวขึ้นด้วยหัวใจที่ฮึกเหิมและลุกโชติช่วงด้วยไฟฝัน

                                กวีหนุ่มกราบกรานบิดาของตนเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหอบหิ้วต้นฉบับบทกวีมากมายเดินทางจากไป

 

.........................................................................................................................

 

                                แสงตะวันทอประกายสดใสเหมือนหัวใจชายหนุ่ม เสียงรถไฟดังฉึกฉัก ๆ จากท้องทุ่งนามุ่งตรงสู่มหานครใหญ่

                                “อา...เราจักไปนำความบริสุทธิ์เที่ยงแท้แห่งอักษราขับกล่อมปวงประชาแลผืนดินฟ้าชั่วกาลนิรันดร์”กวีหนุ่มยิ่งคิดก็ยิ่งชุ่มชื่นหัวใจนัก

                                แล้วหมอนรถไฟอันทอดยาวก็พากวีหนุ่มไปถึงมหานครใหญ่แห่งนั้นจนได้ มหานครที่มีรถยนต์วิ่งกันขวักไขว่ไปมาแต่ไม่มีหัวใจเหมือนกับวัวควายแถวบ้าน

กวีหนุ่มมองมหานครที่น่าตื่นตาอยู่เพียงชั่วครู่ก่อนจะหอบต้นฉบับเดินมึนงงลงจากขบวนรถไฟแห่งนั้นไป

                                “ก่อนอื่นเราต้องหาบ้านพักเล็ก ๆ สักแห่งหนึ่ง ก่อนจะนำความบริสุทธิ์เที่ยงแท้แห่งอักษราไปขับกล่อมปวงประชาแลผืนดินฟ้าชั่วกาลนิรันดร์”กวีหนุ่มบอกกับตัวเอง

                                “ค่าห้องพักเดือนละพันห้าค่ะรวมค่าน้ำค่าไฟด้วย แต่คุณต้องจ่ายค่าเช่าก่อนสามเดือนนะคะ เราถึงจะอนุญาตให้คุณพักอยู่ได้”หญิงเจ้าของห้องเช่าบอกด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด

                                กวีหนุ่มเช็ดเหงื่อมองห้องเช่าเท่ารังหนูหลังนั้นพร้อมกับค่อยๆบรรจงนับธนบัตรที่มีอยู่อันน้อยนิดจ่ายค่าเช่าห้อง

                                “เอาเถอะ พวกเขายังไม่เห็นคุณค่าของเราว่าสำคัญสักเพียงไหน วันหนึ่งเมื่อผลงานแห่งกวีของเราปรากฏ พวกเขาทั้งหลายจักต้องพากันแซ่ซ้องและจ้องมองเราด้วยสายตาแห่งความเลื่อมใสเป็นแน่แท้”

                                ขณะที่กวีหนุ่มกำลังหาอาหารตามสั่งกินอยู่นั้นเอง สายตาก็เหลือบไปเห็นใครคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ใกล้ ๆ

                                “ท่านเป็นใครหรือ ทำไมจึงมายืนจ้องมองเราอยู่อย่างนี้?”

                                “เราคือ ความเหงา น่ะ เราจะมาขออาศัยอยู่กับท่านด้วย”ชายผู้ทำหน้าเศร้าผู้นั้นกล่าว

                                “ขออยู่ด้วยรึ?”กวีหนุ่มย้ำถามด้วยความงงงัน

                                “ทำไมเราต้องให้ท่านอยู่ด้วยล่ะ?”

                                “ท่านต้องให้เราอยู่ด้วยอย่างแน่นอน เพราะเราจะมาเป็นเพื่อนแท้ของท่านตลอดไป”ความเหงาตอบ

                                กวีหนุ่มผู้มีจิตใจดีก็พยักหน้ารับในที่สุด

 

                                หลายวันมานี้ ท่ามกลางฝูงชนที่พลุกพล่านในท้องทุ่งหมอกควันแห่งมหานครใหญ่ กวีหนุ่มก็ค้นพบว่าผู้คน ณ ที่แห่งนี้ต่างคนต่างไม่มีใครสนใจซึ่งกันและกันเลย ไม่มีใครสนใจชายหนุ่ม ผู้จะนำความบริสุทธิ์เที่ยงแท้แห่งอักษราไปขับกล่อมปวงประชาแลผืนดินฟ้าชั่วกาลนิรันดร์เลยแม้แต่เพียงผู้เดียว

                                กวีหนุ่มพบเพียงความเหงาที่คอยเดินตามเขาทุกฝีก้าว ขณะที่กวีหนุ่มกำลังหอบหิ้วต้นฉบับเดินทางค้นหาสำนักพิมพ์สักแห่งหนึ่งเพื่อจะเสนอผลงานของเขาอยู่นั้น เขาก็พบชายอีกผู้หนึ่งกำลังยืนรอเขาอยู่

                                “ท่านเป็นใครกันหรือ มายืนจ้องมองเราทำไม?”

                                “เราคือ ความขมขื่น เราจะมาขออาศัยอยู่กับท่านด้วย”ชายผู้ทำหน้าอมทุกข์และเจ็บปวดกล่าวขึ้น

                                “ขออยู่ด้วย?”กวีหนุ่มย้ำถาม

                                “แล้วทำไมเราต้องให้ท่านอยู่ด้วยล่ะ?”

                                “ท่านต้องให้เราอยู่ด้วยอย่างแน่นอน เพราะเราจะมาเป็นเพื่อนแท้ของท่านตลอดไป”ความขมขื่นตอบ

                                กวีหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะหอบหิ้วต้นฉบับเดินดุ่ม ๆ พาสหายทั้งสองเดินทางเพื่อค้นหาความฝันต่อไปตามเมืองใหญ่

 

                                ณ ที่ในห้องแอร์อันเย็นฉ่ำแห่งหนึ่ง ชายร่างใหญ่ผู้เป็นบรรณาธิการของสำนักพิมพ์“สูงศักดิ์”มองดูสารรูปการแต่งกายของกวีหนุ่มด้วยความเหยียดหยาม

                                “คุณเคยได้รับรางวัลจากที่ไหนมาบ้างรึเปล่า คุณเคยมีผลงานได้รับการตีพิมพ์จากสำนักพิมพ์ใหญ่ ๆ มาบ้างไหม?”

                                “ไม่เคยเลยครับ ผมเพิ่งเอาบทกวีมาหาที่ตีพิมพ์ที่นี่เป็นครั้งแรก”

                                “งั้นคุณก็ออกจากห้องนี้ไปได้เลยสำนักพิมพ์ของเราไม่รับบทกวีโนเนม อย่างนี้เป็นอันขาด มันเสียสถาบันของผมหมด”บก.ผู้นั้นผลักต้นฉบับของกวีหนุ่มกลับคืนมาโดยไม่ชายตาแลเลยแม้แต่สักเพียงนิดเดียว

                                “นี่คุณจะไม่อ่านกวีผมสักนิดหนึ่งเลยหรือ?  งานของผมจะนำความบริสุทธิ์เที่ยงแท้แห่งอักษรามาสู่สำนักพิมพ์คุณเชียวนะ”

                                “บอกว่าไม่รับก็ไม่รับสิ ไว้คุณไปได้รางวัลอะไรจากที่ไหนมาสักอย่าง หรือเคยมีชื่อตีพิมพ์ในสำนักพิมพ์ใหญ่ ๆ จากที่ไหนมาสักที่ ค่อยเอาผลงานมาเสนอผมอีกครั้ง ตอนนี้พวกคุณออกจากห้องผมไปได้แล้ว”พูดจบก็เอ่ยปากขับไล่คนทั้งหมดอย่างไม่ใยดี กวีหนุ่มและสหายทั้งสองจึงต้องเดินหน้าเศร้าออกจากที่แห่งนั้นไป

                               

                                จากนั้นทั้งสามคนก็เดินมาถึงสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งที่มีป้ายอันใหญ่โตว่า“สำนักพิมพ์กระซู่พับลิชชิ่ง” หัวหน้ากอง บก.ใส่เสื้อสีฉูดฉาดกำลังนั่งตะไบเล็บอยู่

                                “ต๊าย บทกวีหลงยุคมาจากที่ไหนกันนี่ยะ เดี๋ยวนี้เค้าอินเทรนด์กันแล้วทั้งนั้น”บก.โยนต้นฉบับลงบนโต๊ะด้วยท่าทางขยะแขยง

                                “นี่ ๆ มันต้องเป็นบทกลอนรักเบาสมอง ลีลาหวานฉ่ำอย่างนี้ เขียนได้ไหม พ่อไดโนเสาร์เต่าล้านปี...เอ้ย...”พูดจบก็โยนหนังสือบทกลอนฉบับวิบัติฉันทลักษณ์ไทยที่เขียนด้วยลายเส้นการ์ตูนตาหวานมาให้ดูเป็นตัวอย่าง

“นี่คุณจะไม่พิจารณาบทกวีของผมสักนิดหนึ่งเลยหรือครับ งานของผมจะนำความบริสุทธิ์เที่ยงแท้แห่งอักษรามาสู่สำนักพิมพ์คุณเชียวนะ”

“บอกว่าไม่เอาก็ไม่เอาสิยะ ออกจากห้องชั้นไปทั้งหมดเดี๋ยวนี้ เก็ทเอ๊าท์ ๆ แล้วไม่ต้องกลับมาให้ฉันเห็นหน้าอีกนะยะ”เสียงตวาดแว้ดดังแปดหลอด พาเอากวีหนุ่มและสหายกระเจิงออกจากห้องนั้นแทบไม่ทัน

“พวกเราจะไปที่ไหนต่อกันอีกดีหนอ?”กวีหนุ่มบ่นกับสหายทั้งสองที่เดินตามอยู่ด้วยความเศร้าสร้อย

 

และในเย็นย่ำของวันนั้นเอง กวีหนุ่มและสหายก็พาเดินทางมาถึงสำนักพิมพ์เล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ที่มีชื่อกะทัดรัดติดไว้ที่หน้าสำนักพิมพ์ว่า“สำนักพิมพ์แบ่งฟาก”

แม้จะมีคนไม่เยอะนักแต่บรรยากาศในการทำงานก็เป็นไปด้วยความคร่ำเคร่งและจริงจัง ชายหนุ่มผู้เป็น บก.เดินมาทักชายผู้เป็นกวีอย่างมีอัธยาศัย

“อื้ม....ช่างเป็นงานเขียนบทกวีที่ดีมาก ๆ เลยนะ  ทั้งแง่คิดและมุมมองแหลมคมเฉียบลึกแต่แสดงออกมาด้วยความละมุนละไม...”บก.กล่าวชม ทำเอากวีหนุ่มยิ้มแป้น

“อ้อ ผมลืมถามอะไรคุณไปอย่างหนึ่ง...ไม่ทราบว่าคุณมีแง่คิดทางการเมืองฝ่ายไหนครับเนี่ย?”บก.ถาม

“เอ๊ะ กวีต้องมีแนวคิดทางการเมืองด้วยเหรอครับ?”

“หา...คุณไม่มีแนวคิดทางการเมืองหรือนี่? ไม่ได้นะครับ สำนักพิมพ์เรารับแต่คนนิยมพรรคการเมืองสีเขียวเท่านั้น”

“แต่ว่าบทกวีของผมเป็นตัวแทนของความบริสุทธิ์เที่ยงแท้แห่งอักษราที่ไม่เลือกฟากเลือกฝ่ายการเมืองนะครับ”กวีหนุ่มตัดพ้อ

“คุณนำผลงานคุณกลับไปเถอะครับ ที่นี่รับแต่คนที่นิยมแนวคิดทางการเมืองพรรคสีเขียวเท่านั้น...”

 

.........................................................................................................................

 

ดวงตะวันสีแดงเข้มใกล้จะลาลับจากเมืองใหญ่ไปแล้ว กวีหนุ่มพาร่างกายและจิตใจอันเหนื่อยล้าของตนกลับสู่ที่พัก มีความเหงาและความขมขื่นคอยประคับประคองเพื่อนแท้เอาไว้ไม่ไกลห่าง

ขณะที่กวีหนุ่มกำลังเอามือล้วงไปในกระเป๋าที่เปล่าโล่งอยู่นั้นเอง ชายหนุ่มผู้มีร่างกายอันผอมซีดอีกผู้หนึ่งก็มายืนอยู่ตรงหน้า

“ท่านเป็นชายผู้เขียนบทกวีใช่ไหมครับ?”

“ใช่แล้ว ทำไมรึ?”

                                “ผมชื่อ ความหิว จะมาขอเป็นเพื่อนแท้ของคุณครับ!

ความคิดเห็น

rimnamta
rimnamta 12 พ.ค. 52 / 19:29
ท่านฝน

เรื่องสั้นเรื่องแรกของท่านฝน

ทำเอาเราอ่านแล้วซึมไปเลยนะ

มันสะท้อนความเป็นจริง ทุกอย่าง

ไม่มีเลยสักอย่าง ที่จะไม่มีเค้าของความจริง

แต่ก็ยังดีใช่ไหม

ที่ปัจจุบันนักกวียังได้มีผลงานได้ง่ายขึ้น

ท่านฝน

แล้วบทสรุปสุดท้ายของนักกวีบ้านนอกจะเป็นเช่นไร

บิดาผู้รอคอยการกลับไปของนักกวีผู้ใหญ่ จะเป็นเช่นไร

อ่า ท่านฝน

ไม่อยากคิดเลย ว่าบทสรุปสุดท้ายของนักกวีจากท้องทุ่ง

กับเพื่อนซี้ทั้งสามจะเป็นอย่างไร
กัญติศา
กัญติศา 12 พ.ค. 52 / 20:04

อ่า...น่าเศร้าเสียจริง
นี่หรือ...ชีวิต

The_windblue
The_windblue 13 พ.ค. 52 / 12:09
อ่านแล้วซึมไปนิดนึง ย้อนถามตัวเองบ้างเหมือนกัน ถามไปถามมาก็สะอึกกับตัวเอง-0- สู้ ๆนะฮับ จะรอติดตาม เป็นงานเขียนที่ดีฮับ
ความคิดเห็นที่ 4
ส่ายหน้าให้กับทางสนพ. ที่พิจารณางานเขียนด้วยวิธีนี้จริง ๆ =.=
ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้สหายกวีคนนี้ด้วยนะจ๊ะ ^^v
mijiko
mijiko 13 พ.ค. 52 / 18:04
เป็นเรื่องสั้นที่อ่านแล้วน่าชื่นชมประทับใจ... ท่านกระบี่แต่งเองหรือ... น่าจะรวมเรื่องสั้นส่งสนพ.นะเจ้าคะ.. ข้าพเจ้าอ่านแล้วประทับใจมากๆ ค่ะ มีความหมายดี
Lisane
Lisane 13 พ.ค. 52 / 19:35
อ่านแล้วสนุกดีครับ
-mak-
-mak- 13 พ.ค. 52 / 20:39
อ่านแล้วเศร้าจังเลย

มีทั้งเหงา ขมขื่น หิว

ทำให้เห็นว่า คนสมัยนี้ไม่สนใจอะไรเลยสนใจแต่ตัวเอง

อะไรที่ตัวเองชอบก็ต้องให้คนอื่นมาชอบด้วย อิอิ

เมื่องใหญ่ๆอะไรก็แพง (แสดงว่าผมคิดถูกแล้วมาอยู่ตาก)
bung
bung 13 พ.ค. 52 / 20:59
มันคือเรื่องจริงอันน่าเศร้าค่ะ
สังคมปัจจุบันก็มักเป็นอย่างนี้เสมอ
สิ่งที่เรียกว่า "โอกาส" มักหายาก
keauko
keauko 13 พ.ค. 52 / 21:38

นี่พี่ใบไม้เเต่งเองหรอคะ เก่งจัง 

อือ... ชีวิตคนเราอ่ะนะ

ตอนเเรกนึกว่าสำนักพิมพ์เเบ่งฟากจะรับตีพิมพ์บทกวีของชายหนุ่มซะเเล้ว

ที่ไหนได้...

คล้ายๆกับปัจจุบันนี้เลย มันสะท้อนถึงสังคม

ความคิดเห็นที่ 10
<p>เป็นเรื่องเศร้า� น่ะครับ ที่คนส่วนใหญ่สนใจแต่ พวกตนเอง�� ชีวิตจริงโหดร้ายกว่านี้มาก�� บางทีเรื่องที่ได้รับรางวัล อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดีที่สุดก็ได้� มันอยู่ที่มุมมองของแต่ละคนล่ะ� ท่านพี่</p>
casnowy
casnowy 13 พ.ค. 52 / 23:59

ประทับใจมากค่ะ

เพิ่งเข้ามาอ่านครั้งแรก

อ่านแล้วซึมไปเลย หดหู่จัง

เขียนดีมากๆ เลย

Samanchon
Samanchon 14 พ.ค. 52 / 07:09

อ่านจบแล้วรู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก ต้องบอกว่าอุดมการณ์และความฝัน บ่อยครั้งมันก็ไม่ทำให้เราอยู่รอดได้สินะ -_- ชีวิตโหดร้ายยิ่ง

แต่กลางเรื่องออกแนวขำๆอยู่นะงับ ตอนท่านกวีเอางานตนไปส่งสำนักพิมพ์อะ เหอๆ

Minami_Nanako
Minami_Nanako 14 พ.ค. 52 / 07:49

ไม่น่าเชื่อนะคะว่าเป็นเรื่องสั้นเรื่องแรกของพี่กระบี่ใบไม้
เขียนได้ดีมากเลยค่ะ

มันเป็นความจริงนะเนี่ย อ่านแล้วก็คิดได้ตัวเราคนเดียวดีสุดแล้วว~

026542350
026542350 14 พ.ค. 52 / 07:57
ใช่ๆ เดี๋ยวเนี่ยชีวิตจริงก็เป็นอย่างนี้ อยู่ต่างจังหวัดดีกว่า (ถึงกรุงเทพจะเจริญแล้วก็ตาม)
deoxykung
deoxykung 14 พ.ค. 52 / 09:07
เขียนดีมากเลยครับหุหุ อ่านแล้วมันก็รู้สึกจะจริงนะ 

ยิ่งอ่านยิ่งหดหู่ตายดีกว่าเรา(กระโดดลงจากเก้าอี้ฆ่าตัวตาย ฮ่าๆๆ)
ladarat
ladarat 14 พ.ค. 52 / 09:55
งามเหมือนเดิม...
snowynarakja
snowynarakja 14 พ.ค. 52 / 10:31

คุณกระบี่ใบไม้เขียนได้ประทับใจจริงๆค่ะ
เปียโนอยากเขียนเรื่องสั้นดีๆสักเรื่องแต่ยังไม่ได้ทำเพราะ....กระโดดไปเขียนเรื่องยาวเลยตอนนี้ ^^ เพื่อนๆของหนุ่มนักกวีนี้สะท้อนให้เห็นเลยว่าไม่ว่าเราจะไปที่ใด เมื่อใด ยามไหน "พวกเค้า" จะอยู่เป็นเพื่อนหรือเพื่อนแท้ของเราตลอดไป ทั้งๆที่พวกเค้าทำให้เรารู้สึกไม่ดีเท่าใดนัก

king_of_kings
king_of_kings 14 พ.ค. 52 / 11:10
ฮะ อ่านเเล้ว
มันสะท้อนความรู้สึกที่โดดเดี่ยว
เรื่องราวที่สะท้อนความขมขื่น
เเละความจริงที่หิวโหย
กวีคืออะไร  ฉันไม่รู้ รู้แต่เพียงว่าอะไรคือกวี
ไม่มั่นใจนักว่าคนที่เป็นกวี มีลักษณะอย่างไร
สำหรับฮัน กวี มันไม่มีที่มาที่ไป

ไม่ว่าผลงานจะได้รับการตีพิมพ์หรือไม่ ไม่ใช่คำพิพากษา
คุณค่า ไม่ได้อยู่ที่ตัวเงิน
king_of_kings
king_of_kings 14 พ.ค. 52 / 11:14

มีประโยคหนึ่งที่กวีท่านหนึ่งกล่าวไว้ 

"ข้าพเจ้าเป็นคนโรเเมนติกที่รักความเป็นธรรม
เป็นห่วงชะตากรรมของบ้านเมือง
ในขณะเดียวกันก็กังวลต่อชะตากรรมของตัวเอง"

gettaly
gettaly 14 พ.ค. 52 / 11:18

อ่านแล้วประทับใจมากเลย

แอบเศร้านิดๆ เพราะมันสะท้อนอะไรบางอย่าง

ชอบภาษาของพี่ที่สละสลวยน่าอ่านค่ะ

1 2 3 >