ครั้งหนึ่งเมื่อครั้งบ้านนอกยังเป็นบ้านนอก ท้องนายังเป็นท้องนา ในทุ่งนายังมีฝูงวัวควายแทะเล็มหญ้าอยู่อย่างนั้น
พ่อเฒ่ากำลังสั่งเสียบุตรชายเพียงคนเดียวของตนที่กำลังตัดสินใจไปเผชิญโชคในโลกกว้าง
“ลูกเอ๋ยเมืองกรุงนั้นน่ากลัวนัก ยังไงเสียมันก็คงไม่มีความสุขเหมือนบ้านเราดอกหนา เมื่อเจ้าจากบ้านไปแล้วเจ้าต้องระวังตัวให้มาก ๆ ทุกฝีก้าว นะลูกนะ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับพ่อ ผมจะไปเป็นกวี ผมจะนำความบริสุทธิ์เที่ยงแท้เสรีแห่งอักษรา ไปฝากยังเมืองใหญ่แห่งนั้น และผมก็จะนำความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่นี้กลับคืนสู่ผืนนาบ้านเราด้วย ผมจะทำให้พ่อได้ปลาบปลื้มใจให้ได้ในสักวัน”ชายหนุ่มกล่าวขึ้นด้วยหัวใจที่ฮึกเหิมและลุกโชติช่วงด้วยไฟฝัน
กวีหนุ่มกราบกรานบิดาของตนเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหอบหิ้วต้นฉบับบทกวีมากมายเดินทางจากไป
.........................................................................................................................
แสงตะวันทอประกายสดใสเหมือนหัวใจชายหนุ่ม เสียงรถไฟดังฉึกฉัก ๆ จากท้องทุ่งนามุ่งตรงสู่มหานครใหญ่
“อา...เราจักไปนำความบริสุทธิ์เที่ยงแท้แห่งอักษราขับกล่อมปวงประชาแลผืนดินฟ้าชั่วกาลนิรันดร์”กวีหนุ่มยิ่งคิดก็ยิ่งชุ่มชื่นหัวใจนัก
แล้วหมอนรถไฟอันทอดยาวก็พากวีหนุ่มไปถึงมหานครใหญ่แห่งนั้นจนได้ มหานครที่มีรถยนต์วิ่งกันขวักไขว่ไปมาแต่ไม่มีหัวใจเหมือนกับวัวควายแถวบ้าน
กวีหนุ่มมองมหานครที่น่าตื่นตาอยู่เพียงชั่วครู่ก่อนจะหอบต้นฉบับเดินมึนงงลงจากขบวนรถไฟแห่งนั้นไป
“ก่อนอื่นเราต้องหาบ้านพักเล็ก ๆ สักแห่งหนึ่ง ก่อนจะนำความบริสุทธิ์เที่ยงแท้แห่งอักษราไปขับกล่อมปวงประชาแลผืนดินฟ้าชั่วกาลนิรันดร์”กวีหนุ่มบอกกับตัวเอง
“ค่าห้องพักเดือนละพันห้าค่ะรวมค่าน้ำค่าไฟด้วย แต่คุณต้องจ่ายค่าเช่าก่อนสามเดือนนะคะ เราถึงจะอนุญาตให้คุณพักอยู่ได้”หญิงเจ้าของห้องเช่าบอกด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
กวีหนุ่มเช็ดเหงื่อมองห้องเช่าเท่ารังหนูหลังนั้นพร้อมกับค่อยๆบรรจงนับธนบัตรที่มีอยู่อันน้อยนิดจ่ายค่าเช่าห้อง
“เอาเถอะ พวกเขายังไม่เห็นคุณค่าของเราว่าสำคัญสักเพียงไหน วันหนึ่งเมื่อผลงานแห่งกวีของเราปรากฏ พวกเขาทั้งหลายจักต้องพากันแซ่ซ้องและจ้องมองเราด้วยสายตาแห่งความเลื่อมใสเป็นแน่แท้”
ขณะที่กวีหนุ่มกำลังหาอาหารตามสั่งกินอยู่นั้นเอง สายตาก็เหลือบไปเห็นใครคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ใกล้ ๆ
“ท่านเป็นใครหรือ ทำไมจึงมายืนจ้องมองเราอยู่อย่างนี้?”
“เราคือ ความเหงา น่ะ เราจะมาขออาศัยอยู่กับท่านด้วย”ชายผู้ทำหน้าเศร้าผู้นั้นกล่าว
“ขออยู่ด้วยรึ?”กวีหนุ่มย้ำถามด้วยความงงงัน
“ทำไมเราต้องให้ท่านอยู่ด้วยล่ะ?”
“ท่านต้องให้เราอยู่ด้วยอย่างแน่นอน เพราะเราจะมาเป็นเพื่อนแท้ของท่านตลอดไป”ความเหงาตอบ
กวีหนุ่มผู้มีจิตใจดีก็พยักหน้ารับในที่สุด
หลายวันมานี้ ท่ามกลางฝูงชนที่พลุกพล่านในท้องทุ่งหมอกควันแห่งมหานครใหญ่ กวีหนุ่มก็ค้นพบว่าผู้คน ณ ที่แห่งนี้ต่างคนต่างไม่มีใครสนใจซึ่งกันและกันเลย ไม่มีใครสนใจชายหนุ่ม ผู้จะนำความบริสุทธิ์เที่ยงแท้แห่งอักษราไปขับกล่อมปวงประชาแลผืนดินฟ้าชั่วกาลนิรันดร์เลยแม้แต่เพียงผู้เดียว
กวีหนุ่มพบเพียงความเหงาที่คอยเดินตามเขาทุกฝีก้าว ขณะที่กวีหนุ่มกำลังหอบหิ้วต้นฉบับเดินทางค้นหาสำนักพิมพ์สักแห่งหนึ่งเพื่อจะเสนอผลงานของเขาอยู่นั้น เขาก็พบชายอีกผู้หนึ่งกำลังยืนรอเขาอยู่
“ท่านเป็นใครกันหรือ มายืนจ้องมองเราทำไม?”
“เราคือ ความขมขื่น เราจะมาขออาศัยอยู่กับท่านด้วย”ชายผู้ทำหน้าอมทุกข์และเจ็บปวดกล่าวขึ้น
“ขออยู่ด้วย?”กวีหนุ่มย้ำถาม
“แล้วทำไมเราต้องให้ท่านอยู่ด้วยล่ะ?”
“ท่านต้องให้เราอยู่ด้วยอย่างแน่นอน เพราะเราจะมาเป็นเพื่อนแท้ของท่านตลอดไป”ความขมขื่นตอบ
กวีหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะหอบหิ้วต้นฉบับเดินดุ่ม ๆ พาสหายทั้งสองเดินทางเพื่อค้นหาความฝันต่อไปตามเมืองใหญ่
ณ ที่ในห้องแอร์อันเย็นฉ่ำแห่งหนึ่ง ชายร่างใหญ่ผู้เป็นบรรณาธิการของสำนักพิมพ์“สูงศักดิ์”มองดูสารรูปการแต่งกายของกวีหนุ่มด้วยความเหยียดหยาม
“คุณเคยได้รับรางวัลจากที่ไหนมาบ้างรึเปล่า คุณเคยมีผลงานได้รับการตีพิมพ์จากสำนักพิมพ์ใหญ่ ๆ มาบ้างไหม?”
“ไม่เคยเลยครับ ผมเพิ่งเอาบทกวีมาหาที่ตีพิมพ์ที่นี่เป็นครั้งแรก”
“งั้นคุณก็ออกจากห้องนี้ไปได้เลยสำนักพิมพ์ของเราไม่รับบทกวีโนเนม อย่างนี้เป็นอันขาด มันเสียสถาบันของผมหมด”บก.ผู้นั้นผลักต้นฉบับของกวีหนุ่มกลับคืนมาโดยไม่ชายตาแลเลยแม้แต่สักเพียงนิดเดียว
“นี่คุณจะไม่อ่านกวีผมสักนิดหนึ่งเลยหรือ? งานของผมจะนำความบริสุทธิ์เที่ยงแท้แห่งอักษรามาสู่สำนักพิมพ์คุณเชียวนะ”
“บอกว่าไม่รับก็ไม่รับสิ ไว้คุณไปได้รางวัลอะไรจากที่ไหนมาสักอย่าง หรือเคยมีชื่อตีพิมพ์ในสำนักพิมพ์ใหญ่ ๆ จากที่ไหนมาสักที่ ค่อยเอาผลงานมาเสนอผมอีกครั้ง ตอนนี้พวกคุณออกจากห้องผมไปได้แล้ว”พูดจบก็เอ่ยปากขับไล่คนทั้งหมดอย่างไม่ใยดี กวีหนุ่มและสหายทั้งสองจึงต้องเดินหน้าเศร้าออกจากที่แห่งนั้นไป
จากนั้นทั้งสามคนก็เดินมาถึงสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งที่มีป้ายอันใหญ่โตว่า“สำนักพิมพ์กระซู่พับลิชชิ่ง” หัวหน้ากอง บก.ใส่เสื้อสีฉูดฉาดกำลังนั่งตะไบเล็บอยู่
“ต๊าย บทกวีหลงยุคมาจากที่ไหนกันนี่ยะ เดี๋ยวนี้เค้าอินเทรนด์กันแล้วทั้งนั้น”บก.โยนต้นฉบับลงบนโต๊ะด้วยท่าทางขยะแขยง
“นี่ ๆ มันต้องเป็นบทกลอนรักเบาสมอง ลีลาหวานฉ่ำอย่างนี้ เขียนได้ไหม พ่อไดโนเสาร์เต่าล้านปี...เอ้ย...”พูดจบก็โยนหนังสือบทกลอนฉบับวิบัติฉันทลักษณ์ไทยที่เขียนด้วยลายเส้นการ์ตูนตาหวานมาให้ดูเป็นตัวอย่าง
“นี่คุณจะไม่พิจารณาบทกวีของผมสักนิดหนึ่งเลยหรือครับ งานของผมจะนำความบริสุทธิ์เที่ยงแท้แห่งอักษรามาสู่สำนักพิมพ์คุณเชียวนะ”
“บอกว่าไม่เอาก็ไม่เอาสิยะ ออกจากห้องชั้นไปทั้งหมดเดี๋ยวนี้ เก็ทเอ๊าท์ ๆ แล้วไม่ต้องกลับมาให้ฉันเห็นหน้าอีกนะยะ”เสียงตวาดแว้ดดังแปดหลอด พาเอากวีหนุ่มและสหายกระเจิงออกจากห้องนั้นแทบไม่ทัน
“พวกเราจะไปที่ไหนต่อกันอีกดีหนอ?”กวีหนุ่มบ่นกับสหายทั้งสองที่เดินตามอยู่ด้วยความเศร้าสร้อย
และในเย็นย่ำของวันนั้นเอง กวีหนุ่มและสหายก็พาเดินทางมาถึงสำนักพิมพ์เล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ที่มีชื่อกะทัดรัดติดไว้ที่หน้าสำนักพิมพ์ว่า“สำนักพิมพ์แบ่งฟาก”
แม้จะมีคนไม่เยอะนักแต่บรรยากาศในการทำงานก็เป็นไปด้วยความคร่ำเคร่งและจริงจัง ชายหนุ่มผู้เป็น บก.เดินมาทักชายผู้เป็นกวีอย่างมีอัธยาศัย
“อื้ม....ช่างเป็นงานเขียนบทกวีที่ดีมาก ๆ เลยนะ ทั้งแง่คิดและมุมมองแหลมคมเฉียบลึกแต่แสดงออกมาด้วยความละมุนละไม...”บก.กล่าวชม ทำเอากวีหนุ่มยิ้มแป้น
“อ้อ ผมลืมถามอะไรคุณไปอย่างหนึ่ง...ไม่ทราบว่าคุณมีแง่คิดทางการเมืองฝ่ายไหนครับเนี่ย?”บก.ถาม
“เอ๊ะ กวีต้องมีแนวคิดทางการเมืองด้วยเหรอครับ?”
“หา...คุณไม่มีแนวคิดทางการเมืองหรือนี่? ไม่ได้นะครับ สำนักพิมพ์เรารับแต่คนนิยมพรรคการเมืองสีเขียวเท่านั้น”
“แต่ว่าบทกวีของผมเป็นตัวแทนของความบริสุทธิ์เที่ยงแท้แห่งอักษราที่ไม่เลือกฟากเลือกฝ่ายการเมืองนะครับ”กวีหนุ่มตัดพ้อ
“คุณนำผลงานคุณกลับไปเถอะครับ ที่นี่รับแต่คนที่นิยมแนวคิดทางการเมืองพรรคสีเขียวเท่านั้น...”
.........................................................................................................................
ดวงตะวันสีแดงเข้มใกล้จะลาลับจากเมืองใหญ่ไปแล้ว กวีหนุ่มพาร่างกายและจิตใจอันเหนื่อยล้าของตนกลับสู่ที่พัก มีความเหงาและความขมขื่นคอยประคับประคองเพื่อนแท้เอาไว้ไม่ไกลห่าง
ขณะที่กวีหนุ่มกำลังเอามือล้วงไปในกระเป๋าที่เปล่าโล่งอยู่นั้นเอง ชายหนุ่มผู้มีร่างกายอันผอมซีดอีกผู้หนึ่งก็มายืนอยู่ตรงหน้า
“ท่านเป็นชายผู้เขียนบทกวีใช่ไหมครับ?”
“ใช่แล้ว ทำไมรึ?”
“ผมชื่อ ความหิว จะมาขอเป็นเพื่อนแท้ของคุณครับ!”
ความคิดเห็น
เรื่องสั้นเรื่องแรกของท่านฝน
ทำเอาเราอ่านแล้วซึมไปเลยนะ
มันสะท้อนความเป็นจริง ทุกอย่าง
ไม่มีเลยสักอย่าง ที่จะไม่มีเค้าของความจริง
แต่ก็ยังดีใช่ไหม
ที่ปัจจุบันนักกวียังได้มีผลงานได้ง่ายขึ้น
ท่านฝน
แล้วบทสรุปสุดท้ายของนักกวีบ้านนอกจะเป็นเช่นไร
บิดาผู้รอคอยการกลับไปของนักกวีผู้ใหญ่ จะเป็นเช่นไร
อ่า ท่านฝน
ไม่อยากคิดเลย ว่าบทสรุปสุดท้ายของนักกวีจากท้องทุ่ง
กับเพื่อนซี้ทั้งสามจะเป็นอย่างไร
อ่า...น่าเศร้าเสียจริง
นี่หรือ...ชีวิต
ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้สหายกวีคนนี้ด้วยนะจ๊ะ ^^v
มีทั้งเหงา ขมขื่น หิว
ทำให้เห็นว่า คนสมัยนี้ไม่สนใจอะไรเลยสนใจแต่ตัวเอง
อะไรที่ตัวเองชอบก็ต้องให้คนอื่นมาชอบด้วย อิอิ
เมื่องใหญ่ๆอะไรก็แพง (แสดงว่าผมคิดถูกแล้วมาอยู่ตาก)
สังคมปัจจุบันก็มักเป็นอย่างนี้เสมอ
สิ่งที่เรียกว่า "โอกาส" มักหายาก
นี่พี่ใบไม้เเต่งเองหรอคะ เก่งจัง
อือ... ชีวิตคนเราอ่ะนะ
ตอนเเรกนึกว่าสำนักพิมพ์เเบ่งฟากจะรับตีพิมพ์บทกวีของชายหนุ่มซะเเล้ว
ที่ไหนได้...
คล้ายๆกับปัจจุบันนี้เลย มันสะท้อนถึงสังคม
ประทับใจมากค่ะ
เพิ่งเข้ามาอ่านครั้งแรก
อ่านแล้วซึมไปเลย หดหู่จัง
เขียนดีมากๆ เลย
อ่านจบแล้วรู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก ต้องบอกว่าอุดมการณ์และความฝัน บ่อยครั้งมันก็ไม่ทำให้เราอยู่รอดได้สินะ -_- ชีวิตโหดร้ายยิ่ง
แต่กลางเรื่องออกแนวขำๆอยู่นะงับ ตอนท่านกวีเอางานตนไปส่งสำนักพิมพ์อะ เหอๆ
ไม่น่าเชื่อนะคะว่าเป็นเรื่องสั้นเรื่องแรกของพี่กระบี่ใบไม้
เขียนได้ดีมากเลยค่ะ
มันเป็นความจริงนะเนี่ย อ่านแล้วก็คิดได้ตัวเราคนเดียวดีสุดแล้วว~
ยิ่งอ่านยิ่งหดหู่ตายดีกว่าเรา(กระโดดลงจากเก้าอี้ฆ่าตัวตาย ฮ่าๆๆ)
คุณกระบี่ใบไม้เขียนได้ประทับใจจริงๆค่ะ
เปียโนอยากเขียนเรื่องสั้นดีๆสักเรื่องแต่ยังไม่ได้ทำเพราะ....กระโดดไปเขียนเรื่องยาวเลยตอนนี้ ^^ เพื่อนๆของหนุ่มนักกวีนี้สะท้อนให้เห็นเลยว่าไม่ว่าเราจะไปที่ใด เมื่อใด ยามไหน "พวกเค้า" จะอยู่เป็นเพื่อนหรือเพื่อนแท้ของเราตลอดไป ทั้งๆที่พวกเค้าทำให้เรารู้สึกไม่ดีเท่าใดนัก
มันสะท้อนความรู้สึกที่โดดเดี่ยว
เรื่องราวที่สะท้อนความขมขื่น
เเละความจริงที่หิวโหย
กวีคืออะไร ฉันไม่รู้ รู้แต่เพียงว่าอะไรคือกวี
ไม่มั่นใจนักว่าคนที่เป็นกวี มีลักษณะอย่างไร
สำหรับฮัน กวี มันไม่มีที่มาที่ไป
ไม่ว่าผลงานจะได้รับการตีพิมพ์หรือไม่ ไม่ใช่คำพิพากษา
คุณค่า ไม่ได้อยู่ที่ตัวเงิน
มีประโยคหนึ่งที่กวีท่านหนึ่งกล่าวไว้
"ข้าพเจ้าเป็นคนโรเเมนติกที่รักความเป็นธรรม
เป็นห่วงชะตากรรมของบ้านเมือง
ในขณะเดียวกันก็กังวลต่อชะตากรรมของตัวเอง"
อ่านแล้วประทับใจมากเลย
แอบเศร้านิดๆ เพราะมันสะท้อนอะไรบางอย่าง
ชอบภาษาของพี่ที่สละสลวยน่าอ่านค่ะ