ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ใยร้อยรัก

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 4 : คบหาดูใจแม่ม่ายลูกติด - รีไรท์

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.82K
      10
      1 ก.ย. 64

    บทที่ 4

    คบหาดูใจแม่ม่ายลูกติด

     

             วันแรกของสัปดาห์มักทำให้ผู้คนเกียจคร้านอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นักศึกษา หรือ คนทำงาน ต่างพยายามใช้วันหยุดทั้ง 2 วันให้คุ้มค่าเท่าที่จะทำได้ กระนั้นมันก็ยังผ่านพ้นรวดเร็วเสมือนกลั่นแกล้งกันทุกครั้ง วิถีชีวิตเดิมๆหวนกลับคืนสู่ย่านสีลมซึ่งคลาคล่ำด้วยการจราจรแออัด และ ฝูงพนักงานกินเงินเดือนกระจัดกระจายทั่วริมถนนหนทาง กชกรหอบเอกสารสำคัญลงจากรถแท็กซี่ตรงหน้าบริษัทศุภณัฐมงคลโดยสวัสดิภาพ จากนั้นจึงรีบสาวเท้าเข้าสู่อาคารสูงเหยียดฟ้าก่อนเวลาเริ่มงานในอีกไม่กี่นาที

             กว่าจะต่อแถวรูดบัตร และ ฝ่าดงพนักงานไปถึงหน้าลิฟท์ก็เล่นเอาทุลักทุเลพอสมควร แต่จะต้องพบเจอเรื่องลำบากแค่ไหนก็ไม่ทำให้กชกรเบื่อหน่ายต่อภาระหน้าที่ แค่คิดถึงชื่อเสียงทางสังคมว่าเป็นเลขานุการของท่านประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ ได้เงินเดือนเกือบครึ่งแสนก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง มิหนำซ้ำยังมีเจ้านายรูปหล่อ และ ใจดี คงหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว

             “สวัสดีกบ...วันหยุดไปเที่ยวไหนมาบ้างจ๊ะ?” เพื่อนสาวต่างแผนกเอ่ยทักทายขณะรอขึ้นลิฟท์พร้อมกัน

             “ไม่ได้ไปไหนเลย ต้องเคลียร์เอกสารให้คุณภคินทั้งวันทั้งคืนเนี่ย” ยืนยันคำพูดด้วยแฟ้มเล่มโตในมือ

             “จริงสิ...พูดถึงคุณภคินแล้ว เธอรู้ข่าวหรือยัง?” 

             “เรื่องอะไรเหรอ?”

             “ก็เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา คุณภคินสารภาพรักกับผู้หญิงคนหนึ่งกลางงานเลี้ยง” น้ำเสียงหล่อนดังแข่งกับสาวๆอีกกลุ่ม ซึ่งกำลังเปิดประเด็นหัวข้อนี้เช่นกัน

             “เอ๊ะ...จริงเหรอ ทำไมฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย นี่เธอเอาข่าวลือมามั่วหรือเปล่าเนี่ย?”

             แม้เจ้านายหนุ่มมีสาวๆติดพันมากมาย ก็ไม่เคยคบหาจริงจังเกิน 1 สัปดาห์ แล้วจะให้เชื่อง่ายๆได้อย่างไร ว่าเขาหลงใหลผู้หญิงคนนั้นถึงขั้นสารภาพรักท่ามกลางผู้คน

             “ไม่มั่ว! หัวหน้าแผนกฉันได้ไปร่วมงานเลี้ยงที่บ้านคุณภคินเลยได้ยินชัดๆกับหูเลย”

             “แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นใครเหรอ?” 

             “อืมมม...รู้สึกจะเป็นผู้จัดการบริษัทจัดอีเว้นท์ ชื่อ ไปรยา อะไรเนี่ยล่ะ” 

             “เป็นไปไม่ได้!” กชกรโพล่งดังใส่หน้าเพื่อนสาวแล้วหนีขึ้นลิฟท์อีกตัว โดยไม่แยแสเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องท่านผู้บริหารสูงสุดซึ่งดังระงมลั่นบริเวณ

             มันเป็นเรื่องตลกที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา 

    ทั้งคู่เพิ่งรู้จักกันแค่ครึ่งเดือนจะชอบพอกันได้อย่างไร ระหว่างภคินกับไปรยาไม่มีวันเป็นมากกว่าผู้ร่วมงานแน่นอน หล่อนมั่นใจว่าชายหนุ่มผู้เพียบพร้อมทางฐานะ และ รูปร่างหน้าตา คงไม่ลดลายเสือเพื่อจีบผู้หญิงแก่กว่าถึง 8 ปี อีกทั้งญาติผู้พี่ยังมีเรือพ่วงลำโตติดสอยห้อยตาม ไม่ได้ตัวเปล่าเล่าเปลือยเสมือนสาวโสด ซึ่งมีให้เลือกอีกเป็นกระบุง!

             ลิฟท์พนักงานพาเลขานุการสาวมาถึงชั้น 30 ของบริษัทพร้อมความอึมครึมในจิตใจ วางแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะเสียงดัง พลางกระแทกตัวลงนั่งบนเก้าอี้แล้วถอนหายใจแรงๆ หล่อนเกลียดชังข่าวลือไร้สาระที่พวกผู้หญิงชอบหยิบยกเอามานินทากันสนุกปากโดยไร้ข้อเท็จจริง

             คอยดูเถอะ...จะฟ้องคุณภคินให้หักเงินเดือนเสียให้เข็ด!

             “วันนี้คุณกชกรมาสายไปหนึ่งนาทีกับอีกยี่สิบห้าวินาที...ยี่สิบหกวินาที...ยี่สิบเจ็ดวินาที...” ไม่ต้องเหลียวมองเจ้าของประโยคทักทายแสนยียวนก็คาดเดาได้ว่าเป็นใคร

             “สวัสดีค่ะคุณรัชชานนท์...ดิฉันรูดบัตรทันเวลาเข้างานนะคะ แต่รอเข้าแถวหน้าลิฟท์ด้านล่างนานไปหน่อย”

             “ทำไมคุณไม่ขึ้นลิฟท์สำหรับผู้บริหารล่ะครับ รับรองรวดเร็วทันใจ!” ชายหนุ่มหยอกเย้าเรื่องเมื่อคราวก่อนอย่างอารมณ์ดี “ไม่ก็...ให้ผมขับรถไปรับที่บ้านตอนเช้า จะได้ไม่ต้องเสียเวลารอรถแท็กซี่ หรือ รถเมล์” พูดพลางเลื้อยมือโอบไหล่บางทีละนิดๆแบบเนียนๆ

             “อย่าเลยค่ะ...ดิฉันเกรงว่าจะสายกว่าเดิม เพราะถึงโรงแรมก่อนบริษัทน่ะค่ะ” หล่อนดักทางทันควัน ส่งผลให้รองประธานบริษัทหนุ่มหัวเราะร่วน “ขอตัวเอาเอกสารสำคัญไปให้คุณภคินก่อนนะคะ” พูดพลางแกะมือเสือออกจากไหล่ แล้วหยิบแฟ้มงานขึ้นมาถือ ทว่า อีกฝ่ายกลับรั้งเอาไว้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

             “อย่าเพิ่งเข้าไปพบไอ้คินตอนนี้เลย”

             “เอ๊ะ...ทำไมล่ะคะ?” กชกรไม่เข้าใจ

             “มันเครียดๆอยู่น่ะ” ขนาดเขายังไม่อยากพบปะเพื่อนรักเวลานี้ เพราะเกรงโดนไล่ตะเพิดออกมาไม่เป็นท่า “คุณน่าจะพอได้ยินเรื่องไอ้คินจากพวกพนักงานแล้วใช่ไหม?”

             “อ๋อ...เรื่องนั้นเอง แต่ทำไมคุณภคินต้องเครียดด้วย อย่างไรเสียมันก็เป็นแค่ข่าวลือนี่คะ” 

             “ก็มันไม่ใช่ข่าวลือน่ะสิครับ” คำตอบของรัชชานนท์น่าตกใจไม่น้อย เลขานุการสาวแทบทิ้งแฟ้มลงพื้นทันทีที่ได้ยินถ้อยคำนั้น “ไอ้คินมันสารภาพรักกับคุณไปรยา เจ้าของบริษัท PP Design ที่เป็นญาติคุณจริงๆ แต่หล่อนไม่เล่นด้วย ก็เลยทำให้มันเครียดแบบที่เห็นนี่ล่ะครับ”

             “เป็นไปได้อย่างไรคะ คุณภคินเพิ่งรู้จักญาติของดิฉันได้แค่ครึ่งเดือนเอง” เชื่อยากเหลือเกิน...พ่อเสือร้ายจอมเจ้าชู้อย่าง ภคิน ศุภณัฐมงคล’ เนี่ยน่ะหรือจะหลงรักผู้หญิง “อีกอย่างญาติของดิฉันก็อายุมากกว่า...แถมยัง...”

             “ผมก็อยากรู้เหมือนคุณกชกรครับ ทำไมไอ้คินถึงหลงรักแม่ม่ายเรือพ่วงอายุมากกว่า” ชายหนุ่มไม่เข้าใจความรักของเพื่อนสนิท อาจเพราะยังไม่เคยประทับใจผู้หญิงคนไหนจริงๆจังๆสักคน

    แม้ไปรยาสะสวยและดูดีเพียงใดก็ตาม แต่อายุอานามมากกว่าหลายปีนั้น เป็นปัญหาสำหรับผู้ชายส่วนใหญ่ที่ชอบสาวรุ่นราวคราวเดียวหรือเด็กกว่า ยิ่งถ้ารู้ว่ามีลูกเต้าติดจากสามีเก่าด้วยเขาคงขอเซย์กู๊ดบายไม่สานต่อแน่นอน

             เพล้งงง!!!

             ต้นเสียงดังมาจากห้องประธานบริษัท รัชชานนท์กับกชกรแทบวิ่งแข่งกันไปเปิดประตูเพื่อหาสาเหตุ ทว่า ไอความเย็นจากเครื่องปรับอากาศก็ปะทะร่างทั้งคู่จนหนาวสะท้าน พร้อมแช่สิ่งของต่างๆภายในห้องนั้นเสียเย็นเฉียบดุจน้ำแข็ง ชายหนุ่มพยายามควานหาสวิตซ์ไฟเพื่อขับไล่ความมืดมิด เพราะมู่ลี่อลูมิเนียมสีดำสนิทปิดกั้นแสงแดดยามสายได้ดีเยี่ยม บนพื้นพรมปรากฏแจกันราชินีหินอ่อน ( *** ) ที่เคยประดับบนโต๊ะทำงานตกแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เอกสารสำคัญต่างๆก็กระจัดกระจายสภาพยับเยินเหมือนกองขยะย่อมๆ

             “เฮ้ย! นี่มันอะไรวะเนี่ย?” รองประธานบริษัทหนุ่มต้องการคำตอบจากเจ้าของห้อง ขณะที่เลขานุการสาวรีบกระวีกระวาดเก็บแฟ้มงานบนพื้น

             ยังไม่มีคำตอบหลุดจากปากภคิน สายตาจดจ้องรถจำลองในมือดุจของรักของหวง ไม่แยแสสิ่งต่างๆรอบตัวสักนิดเดียว บีบคั้นอารมณ์คนถาม ราวกับโดนยียวนกวนประสาทกลับมาด้วยความเงียบ

             “ฉันถาม ได้ยินไหมวะ!!!” รัชชานนท์ตะคอก พลางทุบโต๊ะเสียงดังโครม...

    เจ็บแต่ทน!

             “เบื่อ...ไม่อยากทำงาน” เขาตอบง่ายกว่าที่คิด

             “ผู้หญิงคนเดียวทำแกเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ!” 

             พูดถึงไหนอายถึงนั่น...

    นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงผู้กอบโกยกำไรมหาศาลต่อปียอมทิ้งงานทิ้งการ เพราะแม่ม่ายลูกติดเพียงคนเดียว

             “ความจริงแล้ว...มันไม่เกี่ยวกับคุณไปรยาเสียทีเดียวหรอก” ภคินตอบทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากของขวัญวันเกิด “แต่ชื่อเสียงกับเงินทองมันไม่ได้สร้างความสุขเท่าการมีใครสักคนอยู่เคียงข้าง ส่วนผู้หญิงคนนั้นจะเป็นใครฉันไม่ทราบ แต่ตอนนี้หวังแค่เป็นคุณไปรยาก็เท่านั้น”

             “ฉันเข้าใจ...แต่แกไม่จำเป็นต้องคร่ำครวญเสียใจเพราะคุณไปรยาปฏิเสธนี่หว่า ยังมีผู้หญิงอีกเป็นร้อยเป็นพันให้ค้นหานะเว้ย”

             “แกไม่มีวันเข้าใจจนกว่าจะเจอคนที่ใช่ แล้ววันนั้นแกจะรู้ว่าการค้นหาใครสักคนมันยากกว่าที่คิด!”

             “เออ! ฉันไม่เข้าใจหรอก” รัชชานนท์หัวฟัดหัวเหวี่ยงออกจากห้องทำงานเพื่อนรัก พร้อมโวยวายลั่น “รมิดา! ผมขอเจลนวดแก้ปวดกล้ามเนื้อ กับ ยาแก้อักเสบด้วยครับ!!!”

     

             ปลายปากกาเคาะโต๊ะอยู่นานไม่มีทีท่าจะหยุดลงสักที ครั้น 3 คนฟังอยากเอ่ยปากห้ามปรามเพียงใด ก็เกรงใจเจ้านายเลยก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ ไปรยากางแฟ้มเอกสารแผ่หลา แต่สายตากลับเหม่อมองออกไปนอกประตูกระจกใส อาทิตย์ยามบ่ายคล้อยส่องลำแสงเห็นฝุ่นควันขมุกขมัวคละคลุ้งไล่หลังรถยนต์แต่ละคันซึ่งวิ่งพลุกพล่านกลางท้องถนน บรรยากาศน่าเบื่อมักมาเยี่ยมเยือนทุกครั้งตอนไร้งาน ช่างแตกต่างจาก 2 สัปดาห์ก่อน ที่แสนวุ่นวายจนแทบปลีกตัวออกไปไหนมาไหนไม่ได้ เพราะต้องรับออเดอร์ผู้ว่าจ้างรายใหญ่ติดๆกัน 2 งาน

             จู่ๆก็นึกถึงภคินขึ้นมา...

    น่าโมโหจริงๆ!

             สถานภาพลูกค้าคนสำคัญ หรือ ตำแหน่งสูงส่งในวงการธุรกิจนั้น ไม่ได้สร้างความขยาดกลัวในใจไปรยาสักนิดเดียว คงไม่มีใครหน้าชื่นตาบานเวลาถูกหลอก หรือ โดนกลั่นแกล้งต่อหน้าผู้คน เขาทำให้เธอเป็นเหมือนตัวตลกน่าขบขัน จึงได้วางแผนหลอกเรื่องงานวันเกิด และ สารภาพรัก ราวกับเห็นจิตใจผู้หญิงเป็นของเล่น มิน่าเล่า...สื่อมากมายถึงขนานนามความเจ้าชู้ต่างๆนานา น่าเสียดายมิตรภาพดีๆที่เริ่มก่อตัวเหลือเกิน

             “เอ่อ...คุณแป้งขอโทษนะครับ” ในที่สุดเอกก็ทนไม่ไหว “คือ...พวกผมต้องใช้สมาธิทำงานเพื่อพรีเซ้นต์หาลูกค้า รบกวนลดเสียงลงได้ไหมครับ”

             “ตายจริง! ฉันขอโทษจ้ะ” ปากกาวางลงทันทีที่ถูกทักท้วง นายจ้างสาวไม่นึกโกรธเคือง เพราะทุกคนทำงานร่วมกันเสมือนครอบครัวเดียว ฉะนั้นการตักเตือนยามทำอะไรไม่เหมาะไม่ควรจึงเป็นเรื่องสำคัญในบริษัท PP Design “ฉันคิดอะไรเรื่อยเปื่อย เลยเผลอทำเสียงดังโดยไม่รู้ตัว ขอโทษด้วยนะจ๊ะ”

             “คุณแป้งคิดเรื่องคุณภคินใช่ไหมคะ?” พิมพ์ถือวิสาสะถาม

             “ไม่น่าเชื่อเลยนะคะ นิสัยใจคอกับท่าทางออกจะเป็นคนดี ไม่น่ากลั่นแกล้งคุณแป้งได้ขนาดนี้เลย” ดาวสมทบ

             “พวกเธอนี่ขี้เม้าท์จริงๆ” เอกตำหนิ ส่งสายตาดุดันข่ม 2 ฝีปากเพื่อนสาวจนราบคาบ “คุณแป้งไม่ต้องคิดมากหรอกครับ บางทีคุณภคินอาจนึกสนุกตามประสาผู้ชาย แต่ไม่ได้มีเจตนาทำให้โกรธเคือง”

             “ฉันขอตัวออกไปสูดอากาศด้านนอกหน่อยนะจ๊ะ” ไปรยาตัดบททุกคนแล้วเลี่ยงเดินออกนอกตัวอาคาร ยอมเอาควันรถเข้าปอดขณะสงบใจอยู่หน้าบริษัทตัวเอง ดีกว่าทนฟังข้อวิพากษ์วิจารณ์ระคายหู

             ใช่! 

    เธอเองก็หลงคิดว่าชายหนุ่มเป็นคนดีกว่าที่รู้จักตามหน้าสื่อต่างๆ สมควรฉีกบัญญัติไร้สาระเรื่องดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจทิ้งเสีย เพราะจิตใจของเขานั้นไม่ได้สะท้อนผ่านดวงตาใสซื่อแสดงถึงความจริงใจเฉกเช่นที่เห็นเลย

             เอี๊ยดดดดด!!!

             บูกัตติ เวย์รอนสีดำมันปลาบพุ่งปราดเข้ามาจอดเทียบทางเท้าห่างจากจุดที่ไปรยายืนอยู่ไม่กี่คืบ เธอนิ่งงันไม่ทันตั้งตัวเมื่อจู่ๆภคินก็ปรากฏตรงหน้า ครั้นตั้งสติได้ก็รีบเดินหนีเข้าบ้านโดยไม่รอเจ้าของรถซึ่งวิ่งตามมากระชั้นชิด 

             “คุณไปรยา...คุณไปรยาครับ”

             หญิงสาวไม่ฟัง สาวเท้าหนีขึ้นชั้น 2 อีกฝ่ายเลยเหนี่ยวรั้งด้วยการฉุดข้อมือเล็กๆเอาไว้ ส่งผลให้ร่างบางเสียหลักเกือบพลัดตกบันได โชคดีที่คนตัวโตใช้อกกว้างรองรับ ท่ามกลางความตื่นตระหนกตกใจของเหล่าพนักงาน 

             “คุณทำบ้าอะไรเนี่ย!!!” ไปรยาต่อว่าพร้อมผละออกห่าง จดจ้องคนตรงหน้าตาแทบไม่กะพริบอย่างโกรธจัด

             “ผมต้องการคุยกับคุณ ได้โปรดเถอะครับ!” เขาวิงวอนร้องขอความเห็นใจ

             “ถ้าคุณต้องการติดต่อเรื่องงานเชิญคุยกับพนักงานของฉัน แต่ถ้าต้องการคุยเรื่องอื่นๆก็เชิญกลับไปค่ะ”

             “ผมจะคุยกับคุณ และ ผมจะไม่กลับไปด้วย”

             “ถ้าเช่นนั้นฉันถือว่าคุณกำลังบุกรุก...เอก พิมพ์ ดาว โทร.แจ้งตำรวจเลย” 3 พนักงานมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่กล้าปฏิบัติตามทั้งที่เป็นคำสั่งเจ้านาย เพราะเกรงเรื่องราวบานปลายใหญ่โตโดยใช่เหตุ

             “ผมชอบคุณ!” ภคินโพล่งดังไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

             “คุณเป็นบ้าไปแล้วเหรอ...ฉันไม่สนุกด้วยกับการล้อเล่นแบบนี้นะ” ไปรยาหัวเสียจริงๆ “อย่าทำให้ฉันรู้สึกแย่กับคุณมากกว่านี้เลยค่ะ”

             “ผมไม่ได้ล้อเล่น ผมบอกแล้วว่าชอบคุณตั้งแต่แรกเห็น” ยังคงยืนกรานความรู้สึกตัวเอง

             “คุณภคิน...คิดว่าฉันไม่รู้จักคุณดีพอเหรอคะ คุณเป็นเสือผู้หญิงที่ใครๆต่างร่ำลือในแวดวงไฮโซและธุรกิจ ว่าเจ้าชู้ขนาดเปลี่ยนสาวๆไม่ซ้ำหน้าทุกอาทิตย์” เธอตอกกลับ “ฉันไม่ใช่ผู้หญิงประเภทนั้นที่คุณสามารถใช้เงินซื้อได้!!!”

             “คุณมั่นใจว่ารู้จักผมดีพอแล้วเหรอครับ” ชายหนุ่มย้อนถาม “คุณเคยพูดเองว่าเรายังรู้จักกันไม่ดีพอ แล้วคุณจะตัดสินตัวตนของผมเพียงผิวเผินจากสื่อข่าวเหรอครับ” ถ้อยคำนี้ไม่มีใครสักคนโต้แย้งได้ “เพราะผมรู้ดีว่าผู้หญิงอย่างคุณซื้อไม่ได้ด้วยเงิน ผมก็เลยต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ใกล้ชิด โดยที่คุณไม่เสื่อมเสียสักครั้งเดียว” 

             กลายเป็นหญิงสาวที่เถียงกลับไม่ได้ น่าขายหน้าเหลือเกิน...ทั้งที่เอ่ยปากเองแท้ๆว่ายังรู้จักกันไม่ดีพอ แต่เธอดันกล่าวหาว่าเขาเป็นแบบนั้นแบบนี้ตามสื่ออ้าง 

    แม้ภคินโกหกเรื่องวันเกิดเพื่อหาโอกาสใกล้ชิดสนิทสนม แต่ก็ไม่เคยล่วงเกิน หรือ ทำอะไรไม่เหมาะไม่ควรระหว่างการว่าจ้างสักครั้งเดียว ความมุ่งมั่น และ ความจริงใจ ถ่ายทอดผ่านดวงตาใสซื่อของคนตรงหน้า กร่อนใจไปรยาจนอดรู้สึกผิดไม่ได้

             “แต่ความรักของคุณมันเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ ฉันอายุสามสิบห้าแล้ว น่าจะห่างจากคุณหลายปีทีเดียว แถมยังเป็นแม่ม่ายลูกติดด้วย คุณไปหาผู้หญิงที่คู่ควรเหมาะสมจะดีกว่าค่ะ” ตอบกลับด้วยอารมณ์เย็นลงกว่าเดิม

             “ผมไม่รู้ว่าคุณใช้เกณฑ์อะไรตัดสินความรัก แต่สำหรับผมอายุไม่ใช่ปัญหาสำคัญ เท่าการเรียนรู้ซึ่งกันและกันว่าเข้ากันได้หรือไม่” สีหน้าเขาแน่วแน่ “ถ้าคุณไม่เชื่อใจในตัวผม ก็ลองให้โอกาสคบหาดูใจกันสักระยะก่อนค่อยตัดสิน ผมสัญญาว่าจะดูแลคุณกับลูกชายของคุณให้ดีที่สุด...ได้โปรดเถอะครับ” ภคินเอาจริง รอลุ้นคำตอบจากปากหญิงสาว ไม่ต่างจาก 3 พนักงานที่เชียร์ข้างคนช่างตื้อสุดใจขาดดิ้น

             “คุณไม่ได้ล้อฉันเล่นจริงๆใช่ไหมคะ?” ถามย้ำเพื่อความแน่ใจ

             “ไม่ได้ล้อเล่นครับ” ยืนยันหนักแน่น “ถ้าคุณเห็นข่าวเกี่ยวกับผมผ่านสื่อต่างๆบ่อย น่าจะพอรู้ ว่า...ผมไม่เคยเอ่ยปากบอกชอบพอสาวคนไหนระหว่างคบหาอยู่เลยสักคน”

             เรื่องนี้ตัดสินใจค่อนข้างลำบาก...ไปรยาไม่ใช่คนตัวเปล่าเล่าเปลือย เพราะมีลูกชายต้องเลี้ยงดูด้วย การคบหาผู้ชายสักคนจึงขึ้นกับตัวเองเป็นหลักไม่ได้ กระนั้นขืนขอความคิดเห็นจากปัณฑ์ธรที่เกลียดภคินยิ่งกว่าอะไร คงได้รับคำตอบ คือ ‘ไม่’ แน่นอน ซึ่งนั่นอาจไม่เป็นธรรมต่อท่านประธานบริษัทยักษ์ใหญ่เสียเท่าไร

             “ก็ได้ค่ะ” เธอยอมตกปากรับคำ เอาไว้เข้ากันไม่ได้ค่อยว่ากันอีกที

             “จริงเหรอครับ!” วินาทีนั้นเขาไม่ได้ยินเสียงเฮจากกองเชียร์ด้านหลัง นอกจากถ้อยคำตอบรับของหญิงสาว

             “ค่ะ! ฉันจะลองคบกับคุณดู แต่มีข้อแม้บางประการนะคะ”

             “บอกมาเลยครับ” ตอนนี้ให้ทำอะไรก็ยอมทั้งนั้น ยกเว้นเอาหัวใจเขายกให้สาวอื่น

             “คุณเป็นคนมีชื่อเสียงโด่งดัง ทำอะไรแต่ละทีก็มักเป็นข่าวใหญ่โต ฉันเลยอยากให้คุณปิดเรื่องนี้เป็นความลับกับบุคคลภายนอก เพราะถ้าปันรู้เข้าคงไม่ดีแน่ๆ” ไปรยารู้จักนิสัยลูกชาย

             “โอเคครับ...ผมสัญญาว่าจะปิดเรื่องนี้เป็นความลับกับบุคคลภายนอก แต่อย่างไรเสียก็คงต้องบอกคนสนิทบ้าง เผื่อมีธุระปะปังหรือปัญหาอะไรจะได้บอกกล่าวคุณ”

             “โอเคค่ะ”

             นานเท่าไรแล้วที่ไปรยาไม่ได้เปิดหัวใจต้อนรับใครสักคน ตลอดระยะเวลา 10 กว่าปี มีผู้ชายนับไม่ถ้วนเข้ามาจีบด้วยหวังเพียงรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น เนื่องจากทันทีที่พวกเขารู้ว่าเธอเคยผ่านการแต่งงาน และ มีลูกติด 1 คน ก็ถอยกรูดออกห่างไม่เป็นกระบวนท่า เช่นนี้แล้วคงดีกว่าที่จะครองตัวเป็นแม่ม่ายสาวโสดเลี้ยงดูปัณฑ์ธรตามลำพัง แต่แล้วจู่ๆวันหนึ่งภคินก็โผล่เข้ามาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย พยายามจีบโดยไม่ถือสาเรื่องอายุอานาม สถานภาพทางสังคม และ เรือพ่วงลำโต ประหนึ่งไม่เป็นปัญหาสำคัญสำหรับเขาเลย กระนั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่จะเชื่อมั่นในตัวพ่อเสือร้ายแห่งวงการธุรกิจคนนี้ 

    ปล่อยเวลาให้เป็นเครื่องพิสูจน์ดีกว่า ว่า...คำสารภาพรักที่พร่ำเพ้อต่อหน้านั้น เป็นแค่ลมปากหรือจากใจจริง!

     

             ไวน์แดงถูกยกขึ้นจิบ ขณะทอดมองทิวทัศน์ของมหานครยามสนธยาจากริมกระจกใส ตะวันสุกก่ำคล้อยต่ำลงตามกาลเวลาที่ย่างกรายสู่ช่วงพลบค่ำ ท้องนภาจึงสลับสีสันสวยดั่งจิตรกรเอกสะบัดปลายพู่กันลงบนผืนผ้าใบ พร้อมสะกดสายตาภคินให้จดจ่อกระทั่งรัตติกาลมาเยือนโดยสมบูรณ์ ตึกรามบ้านช่องเริ่มเรืองรองแสงไฟฟ้าระยิบระยับทีละดวงสองดวง ก่อนแผ่ขยายครอบคลุมทั่วเมืองหลวงดุจทะเลดาวบนผืนปฐพี

    รถราจอดสนิทติดไฟแดงเป็นขบวนยาวเหยียดตามถนนหนทางหลายสายซึ่งสับหว่างกันไปมา อันเป็นเรื่องปกติของชีวิตคนกรุง กระนั้นความยุ่งเหยิงเบื้องล่างก็มิสามารถลบล้างความเบิกบานใจได้ ชายหนุ่มอารมณ์ดีเสียยิ่งกว่าอารมณ์ดี พลางยื่นแก้วเปล่าส่งให้บริกรชายในชุดทักซิโด้ผูกหูกระต่ายรินน้ำเมารสเลิศ

             พนักงานต้อนรับสาวสวยโค้งคำนับ พร้อมผายมือเชื้อเชิญบุรุษหนุ่มผู้มีตำแหน่งเป็นถึงรองประธานบริษัท เข้าสู่ภัตตาคารระดับ 5 ดาว ซึ่งตั้งอยู่กลางห้างสรรพสินค้าชั้นนำแห่งหนึ่งของกรุงเทพมหานคร รัชชานนท์ยักคิ้วส่งให้หล่อนพอเป็นพิธี ก่อนมุ่งไปหาเพื่อนชายตรงโต๊ะตำแหน่งดีสุดของร้าน

             “สบายใจแล้วสิ...ถึงมานั่งจิบไวน์ใต้แสงนีออนได้!” คนมาใหม่ทักทาย “ขอฟิเลต์มิยองสเต็ก ( *** ) เอาแบบแรร์ ( *** ) นะครับ” หันไปสั่งบริกรหนุ่ม พลางรับแก้วไวน์ด้วยมือข้างที่ไร้ผ้าพันแผล

             “ชอบจริงนะ พวก ‘เนื้อสด’ เนี่ย!” ภคินสวนกลับ 1 ดอก

             “เออ! ฉันชอบของฉัน” พึมพำอย่างนึกหมั่นไส้ “ทำเหมือนไม่เคยกินไปได้!”

             ทั้งคู่ยังไม่ทันต่อปากต่อคำกันอีกยก เลขานุการสาวก็ตรงดิ่งเข้ามาในภัตตาคารด้วยสภาพเหน็ดเหนื่อย เม็ดเหงื่อผุดเต็มใบหน้าขาวผ่อง แต่กชกรไม่คิดซับมัน เพราะต้องหอบเอกสารเต็มไม้เต็มมือ

             “คุณรัชชานนท์...ถ้าคราวหน้าจะนัดพบดิฉันนอกเวลางาน กรุณาบอกล่วงหน้าสักชั่วโมงสองชั่วโมงนะคะ” หล่อนบ่นเสียงแหบแห้ง พลางกระแทกตัวลงนั่งร่วมโต๊ะ 2 เจ้านาย 

    อารมณ์ยังขุ่นเคืองนิดหน่อยที่จู่ๆก็โดนโทรศัพท์ตามตัวให้มารับประทานอาหารเย็นร่วมกัน เลยต้องกระวีกระวาดลงจากรถแท็กซี่ระหว่างกลับบ้าน เพื่อเปลี่ยนเป็นขึ้นรถไฟฟ้ามายังห้างสรรพสินค้าแทน...เล่นเอาชุลมุนไปหมด “อีกนิดเดียวจะถึงบ้านดิฉันแล้วแท้ๆ”

             “อ้าว...ความผิดผมเหรอ ไอ้คินมันเป็นคนโทร.ชวนผม แล้วให้วานชวนคุณด้วย” รีบปัดความผิดคืนคนบงการ

             “ขอโทษด้วยนะครับ...ความจริงถ้าคุณกชกรจะถึงบ้านแล้ว ไม่จำเป็นต้องมาก็ได้” ภคินรับบทพระเอก กล่าวขอโทษขอโพยแทนตัวร้ายซึ่งแสยะยิ้มจิบไวน์แดง

             “ไม่เป็นไรค่ะ...ดิฉันเป็นเลขาฯคุณภคิน อย่างไรเสียเจ้านายสั่งก็ต้องทำตาม” ตอบพลางเปิดเมนูดูอาหาร

             “ทำตามเพราะชอบของฟรีหรือเปล่าครับ?” รัชชานนท์เย้าหยอกจนคนโดนแกล้งต้องค้อนปะหลับปะเหลือก

             “พอๆ...ไอ้นนท์ แกไม่กวนประสาทคุณกชกรสักชั่วโมงจะตายไหมวะ” ประธานบริษัทหนุ่มปราม แล้วเรียกบริกรมารับออเดอร์อีกครั้งเพื่อยุติศึกในคราวเดียวกัน

             ไม่นานนักสเต็กหรูเลิศ 3 จาน ก็ถูกวางบนโต๊ะตัวใหญ่ เนื้อย่างคุณภาพดีสั่งตรงจากเมืองนอกส่งกลิ่นยั่วยวนเสียน้ำลายสอ ทั้ง 3 คนจึงไม่รีรอที่จะเริ่มมื้อเย็นย่ำค่ำ ท่ามกลางแสงสลัวใต้โคมระย้าเหนือเพดานสูง เพลงคลาสสิกดังคลอเบาๆชวนเพ้อฝัน หากได้มานั่งกับคู่รักคงดีไม่น้อย ภคินคลี่ยิ้ม พลางหั่นชิ้นเนื้อเข้าปากอย่างเป็นสุข หวังว่าจะได้มานั่งดินเนอร์กับไปรยาบ้างเร็วๆนี้

             “เกือบลืมถาม...ทำไมจู่ๆแกถึงเลี้ยงอาหารฉันกับคุณกชกรวะ?” เพื่อนชายเปิดประเด็นสนทนาระหว่างกิน “เห็นตอนสายๆยังอารมณ์ไม่ค่อยดีอยู่เลย” จะไม่สงสัยได้อย่างไร เล่นเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลัง...ขนาดนี้ “อั่นแน่ะ...หรือว่าเจอสาวใหม่แล้ว?”

             “จะบ้าเหรอ! ฉันไม่ใช่คนโลเลเปลี่ยนสาวเป็นว่าเล่นนะเว้ย!” 

             “นั่นมันตัวแกเลย!” รัชชานนท์สวนภคินที่ยิ้มเจื่อน “ถ้าไม่ใช่เรื่องสาวใหม่ แล้วเพราะอะไรถึงอารมณ์ดีแบบนี้?”

             “นั่นสิ...มีเรื่องพิเศษหรือเปล่าคะ?”

             “คุณไปรยายอมคบด้วยแล้ว” คำตอบนั้นสร้างความตกใจแก่คนฟังไม่น้อย

             “เฮ้ย!!! พูดเป็นเล่น” เพื่อนชายโพล่งดังไม่เกรงใจลูกค้าโต๊ะอื่นๆ “แกไปทำอีท่าไหน...สาวแกร่งอย่างคุณไปรยาถึงใจอ่อนยอมคบด้วย?”

             “ก็แค่อธิบายว่าฉันรู้สึกอย่างไรกับหล่อนเท่านั้น” สารภาพตามตรงโดยไม่ปิดบัง

             “จุ๊ๆๆ...ไม่ธรรมดาจริงๆนะเนี่ย คล้องพระอะไร ขุนแผนหรือเปล่า?” รัชชานนท์สนอกสนใจ ทำท่าจะถกคอเสื้อสูทอีกฝ่ายเพื่อดูของดี แต่โดนภคินปัดป้องปฏิเสธจนเขาหัวเราะเบาๆ “ฮ่าๆ...เอาเป็นว่ายินดีด้วยละกัน”

             “ดิฉันก็ยินดีด้วยนะคะ” เลขานุการสาวแย้มยิ้ม

             “ขอบคุณทุกคนมาก ออ...แต่มีเรื่องหนึ่งต้องขอไหว้วานหน่อย” น้ำเสียงภคินเคร่งเครียดขึ้นมา ตีหน้าขรึมจริงจังบ่งบอกความสำคัญของถ้อยคำที่กำลังจะเอ่ย “คุณไปรยาไม่ต้องการให้เรื่องนี้แพร่งพรายถึงหูคนนอก เพราะสื่อต่างๆอาจให้ความสนใจเรื่องความสัมพันธ์จนลูกชายของหล่อนรู้เข้า”

             “เอ้า...ทำไมลูกชายหล่อนจะรู้เรื่องนี้ไม่ได้วะ?” คนขี้สงสัยรีบถาม

             “ก็เพราะเขาเกลียดขี้หน้าฉันน่ะสิ” ครั้นคิดเรื่องนี้ทีไรชายหนุ่มก็อดกลุ้มใจไม่ได้ “เอาเป็นว่ารบกวนทุกคนช่วยเก็บเรื่องนี้เป็นความลับด้วยนะ”

             ทุกคนเริ่มรับประทานมื้อเย็นต่อเงียบๆ จากนั้นกชกรก็พยายามยื้อ 2 หนุ่มให้ไปสรรหาของหวานตบท้าย ภคินมีทีท่าจะไม่ยอม เพราะต้องรีบสะสางงานต่อที่บ้าน แต่ไปๆมาๆรัชชานนท์ก็แปรพรรค แล้วช่วยเลขานุการสาวลากเขาจนถึงร้านไอศกรีมจนได้

    ภายในนั้นถูกตกแต่งด้วยกระจกสีไล่โทน ตั้งแต่แดงร้อนแรงถึงฟ้าเยือกเย็น โต๊ะสีขาวสะอาดแต่ละตัวถูกจัดวางตามมุมต่างๆอย่างเข้าที่เข้าทาง มีเด็กนักเรียน นักศึกษา และ คนทำงานมากมายเข้ามานั่งรับประทานของหวานด้วยความสุข แต่เท่าที่กวาดตาดูแล้วไม่มีโต๊ะว่างหลงเหลือสักตัวเดียว

             “ไปกินร้านอื่น หรือ มากินคราวหน้าก็ได้...กลับบ้านกลับช่องกันเถอะ” ท่านประธานบริษัทหนุ่มรีบเสนอความต้องการของตัวเอง ยังมีเอกสารรอสังคายนาอีกกองมโหฬาร แล้วจะรีบกลับไปโทรศัพท์หาหญิงสาวในดวงใจก่อนนอนด้วย

             “ไม่ได้ๆ...ฉันอยากกินร้านนี้และวันนี้” เพื่อนชายไม่ยอมแพ้ง่ายๆ “รบกวนคุณกชกรสอบถามพนักงานให้หน่อย ว่าพอมีที่นั่งเหลือไหมครับ”

             “ค่ะ” น้อมรับคำสั่ง พลางเดินเข้าไปสอบถามตรงเคาน์เตอร์หน้าร้านอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานนักหล่อนก็กลับมารายงาน 2 เจ้านายหนุ่ม “พนักงานแจ้งว่ามีโต๊ะหนึ่ง เหลือเก้าอี้ว่างสามตัวพอดี แล้วลูกค้าโต๊ะนั้นอนุญาตให้นั่งร่วมได้ค่ะ”

             “ให้นั่งร่วมโต๊ะกับคนอื่นเนี่ยนะ!” ภคินโวยวาย กระนั้นก็ไร้หนทางหลีกเลี่ยง เมื่อรัชชานนท์กับกชกรเดินนำลิ่วเข้าไปในร้านไอศกรีมเสียแล้ว

    ทั้ง 3 คนหยุดตรงโต๊ะตัวใหญ่ด้านในสุด ซึ่งมีนักศึกษา 4 คนนั่งอยู่ก่อน เหตุการณ์ควรจะจบลงด้วยการที่ต่างคนต่างรับประทานไอศกรีมเท่านั้น ถ้าเจ้าของโต๊ะคนหนึ่งไม่หันมาเผชิญหน้ากับพวกเขา...

             ปัณฑ์ธร!

             “อ้าว...ปัน ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ?” กชกรทักทายหลานชายที่ยกมือไหว้ตามมรรยาท

             “ยังครับ พอดีเพิ่งทำรายงานวิชาหนึ่งเสร็จ เลยมาฉลองกับเพื่อนๆ” เขาตอบ “แล้วอากบล่ะครับ?”

             “บอกว่าให้เรียกพี่!” หล่อนชักสีหน้าดุแกมยิ้มน้อยๆ “พอดีพี่พาเจ้านายมากินไอศกรีมน่ะจ้ะ” ผายมือทาง 2 หนุ่มหล่อ โดยไม่ทันเฉลียวใจ ครั้นเห็นสีหน้าภคินกับปัณฑ์ธรไม่สู้ดี ก็ทำให้หล่อนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าทั้งคู่ไม่ถูกกัน “ตายจริง...ดิฉันลืมเสียสนิท”

             “ไม่เป็นไรครับ” ท่านประธานบริษัทหนุ่มยิ้มสู้ ทักทายอีกฝ่ายตามประสาคนรู้จัก “ขอผมนั่งด้วยคนนะครับ”

             “ไม่ได้ติดป้ายห้ามนั่งนี่” ดอกแรกจากปัณฑ์ธรนำคะแนนก่อนใครเพื่อน “กลัวแต่ว่าผู้บริหารบริษัทใหญ่ๆอย่างนายจะกินไอศกรีมราคาถูกๆไม่ได้มากกว่า ถ้าเกิดอาการแพ้ขึ้นมา ฉันคงไม่ใจดีช่วยพาส่งโรงพยาบาลหรอกนะ!” 

             ไม่มีคำตอบจากภคิน ซึ่งนั่งเงียบๆรอไอศกรีมที่เพิ่งสั่งพนักงาน ขณะเดียวกันรัชชานนท์ก็ชักชวนกชกรกับเด็กๆพูดคุยตามประสาเสืออารมณ์ดี ต่างจากชายหนุ่มซึ่งรู้สึกกระอักกระอ่วนกับสถานการณ์กดดันแบบนี้จนอยากลุกออกไปไวๆ 

    แค่คิดถึงอนาคตภายภาคหน้า ว่าปัณฑ์ธรต้องรู้ความจริงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเขากับไปรยาก็เสียวสันหลังเสียแล้ว เพราะหนทางรักคงไม่ได้โปรยปรายด้วยกลีบกุหลาบแดงเหมือนในนวนิยายเท่านั้น แต่ต้องมีลวดหนามจากเหล็กเนื้อดีฉาบบอระเพ็ดขมปี๋คอยทิ่มต่ำให้ร้าวฉานแน่นอน

    ตอนนี้เลยทำได้เพียงสวดอ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้เลื่อนวันนั้นออกไปไกลมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

             ไม่สิ...ไกลแบบไม่มีกำหนดได้ยิ่งดี!

     

             การเรียนคาบบ่ายเป็นอะไรที่ท้าทายที่สุด เพราะภาวะหนังท้องตึงหนังตาหย่อนมักมาเยือนง่ายๆยามอยู่ในห้องเรียนกว้าง ซึ่งมีเครื่องปรับอากาศหลายตัวคอยส่งความเย็นทั่วถึง ยังไม่มีทีท่าว่าปลายปากกาไวท์บอร์ดจะหยุดขีดเขียนง่ายๆ แม้พื้นที่บนกระดานสีขาวแทบไม่เหลือช่องว่างพอให้เลกเชอร์วิชาประวัติศาสตร์โลกแล้วก็ตาม แต่อาจารย์นิชดาก็ยังตั้งมั่นถ่ายทอดความรู้ให้เหล่านักศึกษาเต็มที่ โดยไม่สนใจว่าบางคนกำลังเล่นมือถือ สัปหงก หรือ หลับคาโต๊ะสักนิดเดียว ปัณฑ์ธรหาวครั้งแล้วครั้งเล่า จนในที่สุดต้องขออนุญาตออกไปล้างหน้าล้างตา ก่อนผล็อยหลับตามเพื่อนๆ

             การสาดน้ำก๊อกใส่หน้าพอขับไล่ความง่วงกับความเกียจคร้านออกไปได้บ้าง แต่ชายหนุ่มยังคงเบื่อหน่ายไม่อยากเข้าห้องเรียน เลยเตร็ดเตร่แถวซุ้มคณะ แล้วเลือกโต๊ะหินอ่อนใต้ต้นราชพฤกษ์ ( *** ) ไร้ดอกเป็นสถานที่พักผ่อนชั่วคราว สายตามองไกลออกไปยังกลุ่มรุ่นพี่ที่สวมใส่ชุดนักศึกษาสบายๆ อย่างเสื้อปลดกระดุมบนปล่อยชายรุ่งริ่ง กับ กางเกงยีนส์ ขณะที่นักศึกษาปี 1 อย่างเขา ต้องเอาเสื้อใส่ในกางเกงสแล็ค และ ผูกเนคไทตามระเบียบมหาวิทยาลัย

    โชคดีไม่มีกฎเคร่งครัดเรื่องสีผม นักศึกษาหลายคนเลยสามารถเปลี่ยนสีผมเผ้าตามใจชอบ ทว่า ทุกครั้งที่ปัณฑ์ธรพบเห็นรุ่นพี่ก็ต้องรู้สึกอิจฉาทุกครั้ง เพราะอยากเติบโตเป็นผู้ใหญ่เร็วๆ จะได้รีบทำงานหาเงินช่วยแบ่งเบาภาระมารดาบ้าง

             “ปัน...แอบหนีมาอยู่ที่นี่เอง” 

             ใบหน้าหล่อเหลาเหลียวมองเพื่อนสาวร่วมคณะ เกวลินความสวยงามของหล่อนถอดแบบนางเอกภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด รูปร่างดูดีสมส่วน สูงเฉียด 175 เซนติเมตร มีดีกรีเป็นถึงดาวมหาวิทยาลัย จิกปลายส้นสูงหัวแหลมหนังจระเข้สีดำนวยนาดเข้ามาหาเขาด้วยกิริยาชมดชม้อย

             “ไม่ได้หนี...ฉันแค่เบื่อๆ ก็เลยออกมานั่งพักสักครู่ เดี๋ยวจะกลับเข้าไปเรียนต่อ” ปัณฑ์ธรตอบ “แล้วเธอออกมาทำไม อาจารย์นิชดายังสอนไม่เสร็จไม่ใช่เหรอ?”

             “ก็เห็นปันไม่กลับมาสักที ฉันเลยออกมาตาม” พูดพลางนั่งลงข้างๆชายหนุ่มโดยไม่ต้องให้เชื้อเชิญ “หรือเราจะหนีกลับบ้านกันเลยดีไหม เดี๋ยวฉันโทร.บอกเพื่อนๆให้เก็บสมุดเลกเชอร์ของปันไว้”

             “ไม่เอาหรอก...ฉันจะกลับไปเรียน ส่วนเธอก็ควรกลับเข้าไปเรียนเช่นกัน” 

             “ใกล้หมดคาบอาจารย์นิชดาแล้ว แถมคาบต่อไปเป็นวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารของอาจารย์วีรากร ที่ทั้งใจดี และ ไม่เช็คชื่อ...ไม่จำเป็นต้องเรียนก็ได้” หล่อนผัดผ่อน ประคองกอดต้นแขนเขาเอาไว้อย่างดื้อรั้น “นะๆๆ...เดี๋ยวฉันจะพาปันไปกินเค้กร้านหลังมหาวิทยาลัย ได้ยินว่าอร่อยมากกกกก”

             หากเป็นผู้ชายคนอื่นๆ คงยินยอมรับข้อเสนอของเกวลินตั้งแต่วินาทีแรกที่เอ่ยปากชวน กระนั้นแผนยั่วยวนของเจ้าหล่อนใช้ไม่ได้กับปัณฑ์ธร ซึ่งพยายามแกะมือเรียวบางทาเล็บสีแดงฉูดฉาดออกไปอย่างรำคาญ

             “ไม่เอาน่า...ฉันจะกลับเข้าไปเรียน พ่อแม่เธอเองก็ส่งมาเรียนเหมือนกันไม่ใช่เหรอ!” ปฏิเสธไร้เยื่อใย เล่นเอาคนชวนหน้าเสีย แล้วกระแทกเท้าออกจากบริเวณนั้นทันที 

    อาจทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายไปบ้าง แต่ก็ดีสำหรับทั้งคู่ เพราะแม่ของเขาคงไม่ชอบใจ ถ้ารู้ว่าลูกชายเอาเวลาไปเที่ยวเกี้ยวสาวมากกว่าตั้งใจเรียนหนังสือ ปัณฑ์ธรรู้สถานภาพตัวเองดี ว่าควรตอบแทนบุญคุณบุพการีอย่างไร จึงไม่คิดคบหาผู้หญิงคนไหนระหว่างศึกษาเล่าเรียน

             ครั้นเห็นสมควรแก่เวลาที่จะกลับเข้าไปเรียน ชายหนุ่มก็รีบลุกออกจากซุ้มคณะ เพราะขืนชักช้ากว่านี้อาจโดนอาจารย์นิชดาเขม่น และ หักจิตพิสัยได้ ทว่า ใครบางคนก็เหนี่ยวรั้งเขาเอาไว้...

             “ปัน!!!” 

             นึกโมโหอยู่เหมือนกัน แต่พอหันกลับไปพบกชกรก็ต้องแปรเปลี่ยนเป็นความสงสัยแทน หล่อนบอกรถแท็กซี่ให้เข้ามาจอดเทียบบาทวิถีตรงที่เขายืนอยู่ กระจกหลังถูกลดลงจนเห็นใบหน้าสวยๆฉาบเครื่องสำอางเยี่ยงสาวออฟฟิศ

             “อากบ...มาที่นี่ได้อย่างไรครับเนี่ย?”

             “วันนี้พี่ลางานช่วงบ่าย ก็เลยแวะมาหาปันน่ะจ้ะ” หล่อนตอบเหมือนแสร้งไม่ใส่ใจ คำว่า อา จากปากหลาน “ปันพอมีเวลาไหม เราไปหาอะไรอร่อยๆกินกันดีกว่า...พี่เลี้ยงเอง”

             “เอ่อ...ก็พอมีครับ คาบต่อไปอาจารย์ไม่เช็คชื่อ” ผู้เป็นอาอุตส่าห์แวะมาหาด้วยตัวเอง เลยจำใจพลีชีพวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร

             “ถ้าเช่นนั้นก็ดีเลย เดี๋ยวพี่ไปรอที่ร้านเค้กหลังมหาวิทยาลัยนะจ๊ะ” พูดจบก็สั่งแท็กซี่ขับไปทางด้านหลังมหาวิทยาลัย ทิ้งให้หนุ่มผมทองชักสีหน้าเหยเก เมื่อจนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถหนีร้านเค้กเจ้าเดิม

             กว่าจะจดการบ้านกับเช็คชื่อวิชาประวัติศาสตร์โลกเสร็จก็กินเวลาเกือบ 20 นาที ปัณฑ์ธรจึงต้องรีบวิ่งไปยังสถานที่นัดหมาย โดย 2 มือนั้นก็ต้องหอบหนังสือเรียนเล่มโตกับสมุดเลกเชอร์ด้วย การให้ผู้ใหญ่รอนานไม่ใช่เรื่องดี ยิ่งเป็นญาติด้วยแล้ว ยิ่งต้องให้ความสำคัญอีกเท่าตัว...แม่พร่ำสอนเขาสม่ำเสมอ

             ภายในร้านเค้กอันเป็นจุดหมายปลายทางถูกทาสีฟ้าทั้งหมด นายช่างฝีมือดีบรรจงตวัดปลายแปรงแต่งร้านด้วยการวาดภาพก้อนเมฆน่ารักๆมากมายคล้ายขนมปุยฝ้าย บรรยากาศสุดแสนจะผู้หญิ๊ง...ผู้หญิง...เล่นเอาผู้ชายทั้งแท่งเกิดอาการคันคะเยอเหมือนโดนขนบุ้ง ชายหนุ่มพยายามไม่แยแสสายตาของบรรดานักศึกษาสาวๆทั้งรุ่นเดียวกันและต่างรุ่น ซึ่งจดจ้องราวกับไม่เคยเห็นผู้ชายมาก่อนในชีวิต แล้วตรงดิ่งหากชกรที่นั่งรอตรงโต๊ะสีชมพูนมเย็นริมกระจกใส

             “สวัสดีครับอากบ” ยกมือไหว้อีกครั้ง พลางนั่งยังฝั่งตรงข้ามตามคำเชื้อเชิญ

             “พี่สั่งเค้กใบเตยกับนมปั่นให้แล้ว แต่ถ้าปันอยากกินอะไรเพิ่มเติมก็เลือกเอาเลยจ้ะ”

             “ไม่เป็นไรครับ แค่นั้นก็พอแล้วครับ” เขาโบกไม้โบกมือปฏิเสธเมนูที่อีกฝ่ายส่งให้ ไม่อยากอ้วนฉุเหมือนสาวๆหลายคนในร้าน “ว่าแต่อากบมีธุระอะไรกับผมเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ?” ปัณฑ์ธรไม่ปักใจเชื่อง่ายๆ ว่ากชกรแวะมาหาด้วยความคิดถึง

    สีหน้าของผู้เป็นอาขึงตึงเล็กน้อย รอยยิ้มที่ปรากฏเมื่อชั่วครู่อันตรธานหาย ยกมือขึ้นมากุมประสานไว้บนโต๊ะ ราวกับมีเรื่องหนักอกหนักใจเสียเต็มประดา 

    “มีอะไรก็บอกผมได้นะครับ”

             “พี่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี” หล่อนระบายลมหายใจออกมาแรงๆ เหลือบตามองหน้าหลานชาย ซึ่งใจจดใจจ่อรอฟัง “มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับปันโดยตรงเลยล่ะ”

             “พูดมาเถอะครับ”

             “ปันรู้เรื่องคุณภคินกับพี่แป้งใช่ไหม?”

             “อ๋อ!!! รู้สิครับ ก็ไอ้หมอนั่น...เอ้ย...เจ้านายของอากบเป็นลูกค้ารายใหญ่ของแม่” ชายหนุ่มตอบ พลางดูดนมปั่นที่พนักงานสาวในชุดเอี๊ยมสีฟ้าสดเพิ่งนำมาเสิร์ฟ

             “พี่ไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น...”

             “แล้วอากบหมายถึงเรื่องอะไรล่ะครับ?” ยิ่งฟังยิ่งงุนงงกับสิ่งที่อีกฝ่ายตั้งใจจะสื่อ

             “พี่หมายถึงเรื่องที่คุณภคินกำลังคบหากับพี่แป้งต่างหาก เมื่อวานนี้พวกเขาสองคนเพิ่งตกลงใจคบหากัน” กชกรโพล่งบอกเสียงดัง ไม่ใส่ใจว่าใครจะล่วงรู้หรือไม่ เพราะคาดหวังให้หลานชายได้ยินชัดๆ

             “อะไรนะครับ?” คนฟังแทบสำลัก “อากบพูดว่าอะไรนะครับ?” 

             “คุณภคินขอคบพี่แป้งเมื่อวานนี้ แล้วพี่แป้งก็ตกปากรับคำไป” หล่อนกล่าวซ้ำ เพื่อตอกย้ำความรู้สึกของปัณฑ์ธรให้จมดิ่งสู่ก้นเหวลึก “พี่รู้ว่าความรักมันเป็นเรื่องของคนสองคน และ ไม่เกี่ยวข้องกับคนนอกเช่นพวกเรา แต่พี่เป็นห่วงปันจริงๆนะ” น้ำเสียงคนเล่าหม่นหมองตามสีหน้า “แม้เราสองคนไม่ใช่ญาติสนิทชิดเชื้อ แต่อย่างไรเสียปันก็มีศักดิ์เป็นหลานคนหนึ่ง พี่ไม่อยากให้ปันต้องมีปัญหาภายภาคหน้า เพราะถ้าสองคนนั้นเกิดคบหาดูใจถึงขั้นแต่งงาน และ มีลูกมีเต้าเป็นของตัวเอง...ปันจะยืนอยู่ตรงไหนระหว่างครอบครัวของพวกเขาล่ะ?”

             “จะไม่มีครอบครัวของพวกเขาอะไรทั้งนั้น...ผมไม่ยอมให้แม่คบหาไอ้คนพรรค์นั้นหรอก!!!” ชายหนุ่มโวยวายโกรธจัด 

    ความจริงที่เพิ่งรับรู้จากปากกชกรบีบรัดหัวใจเสียรวดร้าว ความเกลียดชังในตัวภคินเพิ่มพูนขึ้น เหมือนเปลวเพลิงที่พวยพุ่งสู่ที่สูง ปันฑ์ธรอาจเติบโตระดับหนึ่ง แต่เสี้ยวลึกยังมีความเป็นเด็กหลบซ่อนอยู่มาก จึงไม่ปรารถนาให้คนนอกเข้ามายุ่งเกี่ยวกับครอบครัวตัวเอง มันอาจไม่เพียบพร้อมเยี่ยงหลายๆครอบครัวที่มีพ่อแม่ลูก แต่สำหรับเขาแล้วแค่มีแม่ก็เพียงพอ

             “ยังไม่สายเกินไปที่จะขัดขวางการคบหาของพวกเขา พี่เป็นห่วงจริงๆ...พี่แป้งเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆคงไม่ทันเกมของเสือผู้หญิงอย่างคุณภคิน รายนั้นมีสาวๆแวะเวียนเข้าออกบริษัทเป็นว่าเล่น ขนาดพี่ทำงานหน้าห้องประธานบริษัททุกวี่ทุกวันยังไม่ชินตาเลย” 

             “ขอบคุณอากบที่นำเรื่องนี้มาบอกครับ อย่ากังวลเลย...ผมไม่มีวันยอมให้แม่คบกับไอ้หมอนั่นแน่นอน!”

             “แต่พี่ไม่อยากให้ปันกระโตกกระตากไวเกินไป ประเดี๋ยวคุณภคินรู้ว่าพี่เอาความลับส่วนตัวมาบอกคนนอก...พี่คงตกงานแน่ๆเลย” น้ำเสียงหล่อนสลดลง เหมือนกำลังแบกความทุกข์เรื่องความเป็นอยู่ของปากท้องไว้หนักหน่วง

             “ไม่ต้องห่วงครับ...ผมไม่มีวันทำให้อากบเดือดร้อนแน่นอน” ให้สัญญาลูกผู้ชาย พลางเริ่มขบคิดหาวิธีกำจัดภคิน 

             น่าเสียดายปัณฑ์ธรยังอ่อนต่อโลกเกินกว่าจะทันเล่ห์เหลี่ยมหญิงสาว ผู้หวังดียกแก้วชามะลิขึ้นดื่ม เพื่อบดบังรอยยิ้มแกมริษยา ซึ่งค่อยๆคลายออกมาอย่างแยบยล

    มันช่างง่ายดายเสียนี่กระไร...

    แค่ใช้ปมด้อยของหลานชายเป็นเครื่องมือ ก็สามารถทุนแรงแยกไปรยาออกจากเจ้านายหนุ่ม โดยไม่ส่งผลกระทบต่อตนเองสักนิดเดียว

             เรื่องอะไรฉันจะต้องยกคุณภคิน ที่แอบหมายปองมาตั้งนานให้นังแม่ม่ายลูกติดอย่างแกคาบไปกิน...อีไปรยา!!!

    *** ราชินีหินอ่อน = พรรณไม้ประเภทเถาเลื้อย ลำต้นมีความยาวประมาณ 10 -15 เมตร มีรากยึดเกาะตามต้น ใบมีลักษณะคล้ายรูปหัวใจ ผิวเรียบสีเขียว และ มีลายปะสีขาว หรือ เป็นแถบสีขาวนวลคล้ายลายหินอ่อน คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นราชินีหินอ่อนไว้ประจำบ้านจะทำให้เกิดบารมีที่กว้างใหญ่

    *** ฟิเลต์มิยอง = ฟิเลต์มิยอง หรือ เทนเดอร์ลอยน์ คือ เนื้อสันในของวัว ขึ้นชื่อว่าสามารถทำเป็นสเต็กที่นุ่มที่สุด แทบไม่ต้องเคี้ยวก็ละลายในปาก

    *** แรร์ = ความสุกระดับหนึ่งของสเต็ก ซึ่งแรร์อยู่ในระดับที่เนื้อด้านนอกเป็นสีน้ำตาลอมเทา แต่เนื้อส่วนกลางยังคงเป็นสีแดงและสีชมพู

    *** ราชพฤกษ์ = ราชพฤกษ์ หรือ คูน เป็นไม้ดอกพื้นเมืองของเอเชียใต้ เป็นดอกไม้ประจำชาติไทย นิยมปลูกเป็นไม้ประดับในพื้นที่เขตร้อนและกึ่งเขตร้อน เจริญเติบโตได้ดีที่สุดในที่โล่งแจ้ง ทนต่อความแห้งแล้งและดินเค็มได้ดี แต่ไม่ทนในอากาศหนาวจัด

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×