เซียนจอมเวทย์ Deva Wizard
-
นิยาย-เรื่องยาว :
ฟรีสไตล์/ แฟนตาซี Tags : ยังไม่มี
ผู้แต่ง : ท่านโซ
My.iD :
https://my.dek-d.com/TanSoSoDa/writer/
ตอนที่ 14 : ปรุงยา (รีไรท์)
ทันทีที่เมอร์ลินเข้าไปนั่งลง ณ จุดกึ่งกลางของวงเวทย์ เขาโบกไม้กายสิทธิ์เคลื่อนผ่านอากาศครั้งหนึ่ง
กระบวนการทำงานของวงเวทย์ก็เริ่มทำงาน เส้นแสงหลากสีโคจรอย่างมีประสิทธิภาพ อำนาจพลังเวทย์ค่อยๆ ก่อตัวและเผยแผ่อำนาจ
กระแสพลังเวทย์กลายเป็นหนาแน่นและค่อยๆ ขยายใหญ่ พลังเวทย์จำนวนหนึ่งเริ่มที่จะหลั่งไหลเข้ามาในร่างของเมอร์ลิน
พลังจากแสงของดวงอาทิตย์ช่วยเพิ่มพลังให้แก่เขามากกว่าการดูดซับพลังเวทย์แบบปกติเกือบเท่าตัว
เวลาผ่านไป 3 วัน ในที่สุดเมอร์ลินก็สัมผัสได้ถึงแกนพลังปราณใหม่ภายในร่าง เสาแกนปราณต้นที่ 7 กำลังถูกสร้างขึ้น กลิ่นอายของอันทรงพลังแผ่ออกมาจากร่างของเขาราวกับคลื่นที่ถาโถม
อากาศที่อยู่รอบๆ นั้นบังเกิดเสียงดังหึ่งๆ ดังอย่างต่อเนื่อง
การสร้างพื้นฐานการรวบรวมปราณนั้น ผู้ฝึกตนจะต้องรวบรวมพลังปราณเซียนเพื่อสร้างเสาแห่งปราณภายในร่างให้ได้ทั้งหมด 9 ต้น
เมื่อสามารถสร้างมันโดยสมบูรณ์แล้ว ลำดับต่อไปผู้ฝึกตนจะต้องสร้างฐานแห่งปราณขึ้นทับซ้อนบนเสาทั้ง 9 ต้นนี้
หากคนผู้นั้นสามารถสร้างฐานแห่งปราณได้สำเร็จเขาผู้นั้นก็จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ก่อลำต้นผู้หนึ่ง เสาแกนปราณทั้ง 9 ต้นจึงเปรียบเสมือนการลงเสาเข็มในการฝึกตนนั่นเอง
ซู่ ...
ในตอนนั้นเองร่างกายของเมอร์ลินก็เกิดการเปลี่ยนแปลง
ในช่วงสำคัญนี้ผิวหนังของเขาก็เริ่มที่จะเหี่ยวแห้ง น้ำในร่างกายค่อยๆ เหิดระเหยออกมา ความรู้สึกภายในกำลังลุ่มร้อนราวกับเลือดในร่างกายกำลังเดือดพล่าน
พลันควันไอน้ำก็ปรากฎออกมาจากทุกรูขุมขน ร่างกายของเขาค่อยๆ ซูบผอมลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งในยามนี้ตัวเขานั้นซูบผอมเหลือเพียงแต่กระดูก ไขมันใต้ผิวหนังถูกสกัดกลั่นจนระเหย
อ่า ...
เมอร์ลินปลดปล่อยเสียงออกมาอย่างไม่ตั้งใจเมื่อมาถึงจุดๆ หนึ่ง ควันไอน้ำที่ระเหยออกมาพลันก่อตัวอีกครั้ง คราวนี้พวกมันรวมตัวกันดังก้อนเมฆ
พริบตาเมอร์ลินก็รู้สึกได้ว่าร่างกายของเขานั้นได้สัมผัสกับหยดน้ำ หยดน้ำที่เหมือนกับสายฝนกำลังตกลงมาโดนตัวเขา ผิวหนังที่เคยเหี่ยวแห้งจนย่นเหลือแต่กระดูกก็ค่อยๆ กลับมาเต่งตึงขั้นอีกครั้งหนึ่ง
ร่างกายของเขากำลังค่อยๆ ฟื้นฟูขึ้นเรื่อยๆ
ฮ่อง!
พลังปราณเซียนกระเพื่อมและสาดกระจายออกมาจนกลายเป็นละลอกคลื่นแผ่ออกไปราว 50 เมตร
ต้นไม้ทุกต้นบริเวณนั้นล้วนเกิดการสั่นไหว พลังปราณเซียนแผ่ขยายและครอบคลุมทั่วทุกด้าน
ภายในจุดตันเถียนกำลังก่อเกิดแสงหนึ่งภายในเปล่งประกายแสงออกมาอย่างเจิดจ้า
ขอบเขตทะเลปราณนั้นปรากฏเสาต้นต้นหนึ่งพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เสาที่เต็มไปด้วยอำนาจแห่งปราณแผ่กลิ่นอายที่ทรงพลังออกมา
เสาแห่งปราณต้นที่ 7 ได้ถูกสร้างขึ้นอย่างแข็งแกร่ง
เมอร์ลินสัมผัสได้ว่าภายในทะเลปราณของเขานั้นได้สร้างเสาต้นที่ 7 ได้อย่างสมบูรณ์
เมื่อเขาลืมตาเขา สัมผัสแรกที่เขาได้พบคือความสดชื่น ผิวพรรณของเขานั้นเปล่งประกายและเจิดจ้ากว่าเดิม ร่างกายของเขานั้นได้ผลัดเปลี่ยนเข้าสู่ขอบเขตของระดับ 7 ของการรวบรวมปราณอย่างแท้จริงแล้ว
การเข้าสู่ระดับ 7 ของการรวบรวมปราณได้ด้วยวัย 9 ขวบปีนั้นเป็นการบ่มเพาะที่น่าสะพรึงกลัว แน่นอนว่าเขาไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ในอดีต แต่เมื่อเขาได้อยู่ในโลกนี้มันกลับต่างออกไป
เมื่อได้เข้าสู่ระดับ 7 ของการรวบรวมปราณเรียบร้อยแล้ว ผลของมันคือเขาจะได้รับความสามารถที่เกินกว่ามนุษย์ทั่วไปจะทำได้ นั่นก็คือเขานั้นไม่จำเป็นต้องดื่มกินสิ่งของใดๆ อีกต่อไปจนจวบสิ้นอายุขัย
ขอเพียงมีน้ำไม่กี่หยดก็สามารถสร้างความสดชื่นให้แก่เขาได้แล้ว ตราบใดที่เขายังมีพลังปราณเซียนเขาก็สามารถกลั่นมันให้กลายมาเป็นพลังชีวิตเพื่ออยู่รอดได้แล้ว
ดั่งที่คนธรรมดาพูดว่า "เซียนมักจะดูดซับไอดินกลิ่นฟ้าโดยไม่จำเป็นต้องดื่มกิน"
เมอร์ลินทำการปรับสมดุลพลังของเขาให้เข้าที่สักพักหนึ่ง
เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นเมอร์ลินก็ใช้ไม้กายสิทธิ์โบกสะบัดไปยังวงเวทย์ซับซ้อน
ในทันใดนั้นเองอำนาจของพลังอักขระที่เขาได้วาดไว้ก็หายไป
ไม้กายสิทธิ์!
แหวนเวทย์!
เหตุใดเขาถึงมีสิ่งของเหล่านี้ ใช่ว่าเขาอยู่ในฐานะผู้รับใช้ที่ยากจนไม่ใช่หรือ?
ไม้กายสิทธิ์นั้นเป็นที่นิยมของผู้ใช้เวทมนต์ที่เป็นนักปรุงยา ไม้ประเภทนี้ไม่เหมาะที่จะนำมาใช้ในการต่อสู้ เพราะคุณสมบัติของมันคือการส่งเสริมพลังเวทย์ให้ก่อเกิดเป็นรูปร่าง
มันไม่เหมือนกับไม้เท้าเวทย์ที่สามารถประจุพลังเวทย์ที่ทรงพลังลงในไม้เท้าได้ คุณลักษณะของไม้เท้าเวทย์จึงเป็นการเพิ่มพูนพลังเวทย์ที่ปล่อยออกไป ไม้เท้าเวทย์จึงเป็นอาวุธที่เหมาะสมกับการใช้ต่อสู้ ซึ่งต่างจากไม้กายสิทธิ์ที่นิยมนำมาใช้ในการวาดวงเวทย์โดยเฉพาะ
อาชีพนักปรุงยานั้นมีไม่มากนัก ไม้กายสิทธิ์จึงไม่เป็นที่นิยมนักในหมู่ผู้ใช้เวทมนต์สักเท่าไหร่
แต่กระนั้นมันก็ยังมีราคาที่แพงอยู่พอสมควร เพราะส่วนประกอบของมันจะต้องทำมาจากจิตเวทย์ของสัตว์อสูรบางชนิดที่สามารถเป็นตัวสื่อนำพลังเวทย์ได้
หากไม่นับไม้กายสิทธิ์แล้วเขายังมีแหวนเวทย์ซึ่งมีราคาแพงอีกอย่างหนึ่งอีกด้วย คนรับใช้ผู้หนึ่งสามารถหาสิ่งของเหล่านี้มาได้อย่างไร
ย้อนกลับไป 2 ปีก่อนหน้านี้อีกครั้งหนึ่ง
หลังจากที่เมอร์ลินได้ครอบครองดวงตาเลเมเกทัน เขาก็ยังคงทำตัวเป็นผู้รับใช้ของอาเธอร์เช่นเดิม เขายังคงใช้ชีวิตที่เรียบง่ายไม่สะดุดตา
ก่อนหน้านี้เขาได้รับความรู้ในเรื่องของจิตเวทย์จากสัตว์อสูร ของสิ่งนี้เป็นสิ่งที่สามารถเพิ่มพลังเวทย์ให้แก่มนุษย์ได้ แต่กระนั้นมันก็ยังมีราคาที่แพงเป็นอย่างมาก
ในฐานะคนรับใช้จนๆ เช่นเมอร์ลิน แน่นอนว่าไม่อาจแตะต้องของสิ่งนั้นได้
เมอร์ลินได้ทำการพิจารณาถึงสภาพทางการเงินของเขาและกำลังคิดทำบางสิ่ง
เมอร์ลินพบว่าตั้งแต่เขาครอบครองเลเมเกทันนั้น การเรียนรู้มหาเวทย์บทที่ 1 นั้นทำให้เขาก็ได้รับความสามารถพิเศษ 3 อย่างด้วยกัน อย่างแรกคือการจดจำทุกสิ่งได้โดยการมองเพียงครั้งเดียว เพียงหนึ่งการมองเขาก็บันทึกสิ่งต่างๆ ที่เขาเห็นเข้าสู่สมองได้แล้ว
อย่างที่สองคือ “การสังเกต” ดวงตาของเขานั้นได้พัฒนาในเรื่องของความแม่นยำเป็นอย่างมาก เขาสามารถค้นหาจุดอ่อนจุดแข็งของทุกสิ่งด้วยเพียงการมอง
อย่างสุดท้ายนั่นก็คือ “สารานุกรมความรู้” อย่างที่รู้กันว่าเลเมเกทันนั้นได้มอบความรู้อันมหาศาลที่อยู่ในโลกนี้ให้แก่เขา เขาสามารถใช้งานมันได้แค่เพียงนึกถึงสิ่งที่ต้องการรู้ ห้องสมุดความรู้ภายในสมองของเขาก็จะเปิดออกและให้ข้อมูลแก่เขา
เมื่อเขาได้เปิดโลกกว้างโดยการอาศัยอยู่ในเมืองแห่งนี้ เขาก็ได้รับรู้ว่าผู้ใช้อักขระนั้นเปรียบดั่งพระเจ้าของเหล่าพ่อค้า
ความแข็งแกร่งของผู้ใช้อักขระนั้นไม่ใช่เพียงเพราะการมีพลังต่อสู้หรือมีการใช้เวทย์ที่เหนือกว่าคนทั่วไป แต่อำนาจที่แท้จริงของผู้ใช้อักขระนั้นคือตัวตนของพวกเขา
ผู้ใช้อักขระผู้หนึ่งนั้นสามารถเรียกใช้งานได้แม้กระทั่งผู้เป็นจอมเวทย์
หากผู้ใช้อักขระผู้หนึ่งถูกรบกวน ผู้ใช้อักขระผู้นั้นอาจชักจูงเหล่าจอมเวทย์หรือแม้กระทั่งมหาจอมเวทย์เพื่อสะสางปัญหา ทุกตัวตนนั้นล้วนต้องการสร้างความพึงพอใจแก่พวกเขา
นั่นจึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผู้คนต่างเกรงกลัวและไม่กล้าที่จะยั่วยุผู้ใช้อักขระ
หากกล่าวถึงเรื่องการเงินของผู้ใช้อักขระนั้น แทบจะเรียกได้ว่าผู้ใช้อักขระนั้นเป็นเทพแห่งทรัพย์ผู้หนึ่ง
นั่นเพราะยุทธภัณฑ์ที่ทำการลงอักขระแต่ละชิ้นนั้นมีมูลค่าที่สูงเป็นอย่างมาก มันไม่ใช่สินค้าที่จะสามารถผลิตได้ทั่วไป ยกตัวอย่างเช่นแหวนเวทย์ที่ใช้บรรจุสิ่งของ ผู้ที่จะสามารถครอบครองแหวนเวทย์แต่ละวงได้นั้นแทบจะเรียกได้ว่าเป็นผู้ร่ำรวยผู้หนึ่ง เพราะมูลค่าของแหวนเวทย์แต่ละวงนั้นทั้งแพงและหายาก
นับว่าเป็นโชคดีที่เมอร์ลินได้ครอบครองดวงตาเลเมเกทัน ความรู้ในเรื่องของอักขระเวทย์ที่อยู่ภายในดวงตานั้นได้บรรดาลให้เขาเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเป็นผู้ใช้อักขระโดยอัตโนมัติ
เมอร์ลินได้ใช้เวลาว่างของเขาส่วนหนึ่งไปกับการหาความรู้เพิ่มเติมที่ห้องสมุดของโรงเรียน และแน่นอนว่าในฐานะผู้ติดตามของอาเธอร์ เขานั้นได้รับสิทธิ์ให้เข้าไปได้ เพียงแต่เข้านั้นสามารถเข้าไปได้แค่ชั้นแรกของห้องสมุดเท่านั้น หนังสือในชั้นแรกนั้นแทบจะเรียกได้ว่าเป็นความรู้พื้นฐานทั้งสิ้น แต่ทว่านั่นก็เพียงพอสำหรับข้อมูลที่เขาต้องการ
เมอร์ลินทำการอ่านหนังสือแทบทุกเล่มในห้องสมุดชั้นแรกนี้ หนังสือส่วนใหญ่เป็นหนังสือที่เกี่ยวเนื่องจากความรู้พื้นฐานซึ่งจะไม่ปรากฏหนังสือที่สอนเกี่ยวกับบทเวทย์ระดับสูง
ด้วยความสามารถของเลเมเกทันเพียงกวาดตามองผ่านหนังสือ เขาก็สามารถจดจำเนื้อหาทั้งหมดของหนังสือแต่ละเล่มได้แล้ว มันสามารถเรียกได้ว่าหนังสือที่มีอยู่ในห้องสมุดชั้นแรกนับพันๆ เล่มได้ผ่านสายตาของเขาหมดแล้ว
ในตอนนั้นเองเขาก็ได้พบกับหนังสือบทเวทย์พื้นฐานเล่มหนึ่งที่กล่าวถึงการใช้เวทย์โดยไม่จำเป็นต้องใช้พลังเวทย์ในร่างกาย
ดวงตาของเมอร์ลินนั้นราวกับมีประกายไฟลุกโชน สือเล่มนี้มีประโยชน์อย่างมากสำหรับเขา
เนื้อหาของหนังสือนั้นกล่าวถึงการชักนำเวทย์ให้ผ่านสิ่งที่เป็นสื่อกลางแล้วปลดปล่อยมันออกมา โดยที่ไม่ได้ทำการกักเก็บพลังเวทย์นี้ไว้ ซึ่งสิ่งนี้นั้นเป็นจุดประกายในการใช้ไม้กายสิทธิ์ของเขา
การที่ร่างกายไม่กักเก็บพลังเวทย์ทำให้เขาไม่สามารถใช้เวทย์ได้
ศาสตร์นี้จึงทำให้ความหวังในการใช้เวทย์เกิดขึ้น การเขียนอักขระเวทย์ง่ายๆ นั้นไม่จำเป็นต้องใช้พลังเวทย์ที่มากมาย วิธีการนี้จึงเหมาะสมกับเมอร์ลินเป็นอย่างมาก
เมื่อคิดได้ดังนั้นเมอร์ลินจึงได้ทำการหยิบยืมเงินของอาเธอร์มาก้อนหนึ่ง แน่นอนว่าเขาได้ถูกเจ้าเด็กอาเธอร์ด่าว่าอยู่พักหนึ่ง แต่ก็นับว่าเจ้าเด็กคนนี้ยังมีน้ำใจ สุดท้ายแล้วอาเธอร์ก็ให้เมอร์ลินหยิบยืมเงิน
เมอร์ลินใช้เงินจำนวนนั้นไปกับการซื้อไม้กายสิทธิ์และสมุนไพรคุณภาพต่ำจำนวนหนึ่ง
ก้าวแรกของการเป็นผู้ใช้อักขระของเมอร์ลินนั้นคือการปรุงยา ซึ่งการปรุงยานั้นเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งของผู้ใช้อักขระ ที่เขาเลือกที่จะปรุงยานั้นเป็นเพราะในอดีตครั้งหนึ่งเขาเคยปลีกวิเวกไปเป็นหมอธรรมดาคนหนึ่ง เขาจึงมีความรู้ในการปรุงยาอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เชี่ยวชาญเท่ากับผู้ที่เอาจริงเอาจังกับการเดินทางในสายอาชีพนี้
เมอร์ลินซื้อต้นบูลเฮิร์บ เรดเฮิร์บ และเยโร่เฮิร์บมาจำนวนหนึ่ง
ช่วงเวลานั้นเขาได้ฝึกการใช้ไม้เท้ากายสิทธิ์จนชินมือ การลองผิดลองถูกในการวาดอักขระเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนในที่สุดเมอร์ลินก็สามารถรังสรรค์อักขระพื้นฐานอย่างอักขระธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ มืด และแสง ให้ปรากฏเป็นวงเวทย์ออกมาได้
เมอร์ลินได้ใช้ศาสตร์ความรู้ของสารานุกรมความรู้เลเมเกทันและการค้นคว้าในห้องสมุดโรงเรียนวอเดอร์เซี่ยนนำมาประยุกต์ใช้ จนสามารถนำมันมาใช้สร้างวงเวทย์สังเคราะห์ในการปรุงยาได้
แต่นั่นก็ใช่ว่าเมอร์ลินจะสามารถทำสำเร็จภายในครั้งเดียว เขานั้นต้องอาศัยความพยายามนับครั้งไม่ถ้วนในการปรุงยา จนในที่สุดเขาก็ทำมันได้สำเร็จ
เมอร์ลินวาดอักขระแต่ละวงออกมากลางอากาศจำนวนหลายวง แน่นอนว่าเขาหมดเวลากับการฝึกฝนการวาดอักขระไปหลายเดือนจึงสามารถทำเช่นนี้ได้
แม้ว่าจะสามารถวาดอักขระเวทย์ได้มากมายแต่มันก็ยังมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง เนื่องจากพลังเวทย์ที่ใช้อักขระเป็นพลังเวทย์ที่หยิบยืมมาจากภายนอก นั่นจึงทำให้อักขระที่เขาวาดออกมาไม่สามารถคงอยู่ได้นานนัก
ในที่สุดหนทางแห่งการปรุงยาในดินแดนนี้ของเขาก็เริ่มขึ้น เด็กน้อยผู้สวมใส่เสื้อผ้ามอซอเริ่มตวัดปลายไม้กายสิทธิ์ไปมาได้อย่างคล่องแคล่ว
อักขระเวทย์สีฟ้าตัวแล้วตัวเล่าก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ
เมื่ออักขระเวทย์สามารถคงรูปได้ พริบตามันก็กลายเป็นวงเวทย์วงหนึ่ง
วงเวทย์เหล่านั้นไม่ได้มีความซับซ้อนมากนัก แต่เพียงเท่านี้ก็เพียงพอต่อความต้องการของเด็กน้อยแล้ว
เมอร์ลินใช้พลังปราณเซียนของเขาบังคับให้สมุนไพรจำนวนหนึ่งลอยขึ้นกลางอากาศ
ทันใดนั้นเองเขาก็บังคับวงเวทย์แต่ละวงให้เคลื่อนที่สลับกันไปมา โดยใช้ไม้กายสิทธิ์แตะลากไปยังทิศทางที่เขาต้องการ
เมื่อวงเวทย์แต่ละวงถูกวางในตำแหน่งที่ถูกต้อง
สมุนไพรจำนวนหนึ่งก็ถูกชักนำเข้าสู่จุดศูนย์กลาง ในตอนนั้นเองกระบวนการของวงเวทย์แต่ละวงเริ่มทำงาน
เมอร์ลินพยายามทำการถ่ายพลังเวทย์เข้าไปที่วงเวทย์อย่างต่อเนื่อง เส้นแสงของวงเวทย์พลันสว่างวาบขึ้นมา
เส้นแสงเหล่านั้นหมุนวนกันอย่างมีระบบ กระบวนการทำงานของวงเวทย์เชื่อมต่อและทำงานอย่างต่อเนื่อง ลำแสงหลากสีพุ่งออกมาจากวงเวทย์เหล่านั้น กลายเป็นลำแสงพลังงานที่ตัดผ่านสมุนไพร
เมอร์ลินเป็นผู้กำหนดการทำงานของลำแสงเหล่านั้น สมุนไพรจำนวนนั้นถูกลำแสงหลากสีตัดผ่านไปมา และทุกครั้งที่ลำแสงสัมผัสกับสมุนไพร สภาพของสมุนไพรก็เกิดการเปลี่ยนแปลง
บางครั้งมันขยายใหญ่ขึ้น บางครั้งมันหดเล็กลง บางครั้งมันก็สลายเป็นผุยผง แต่สุดท้ายพวกมันเหล่านั้นก็รวมตัวกลับมาเป็นเช่นเดิม
กระบวนการเหล่านี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเหล่า สิ่งที่เขากำลังทำในขณะนี้ เหล่านักปรุงยาเรียกมันว่าการสกัดสมุนไพร
จนในที่สุดเมอร์ลินก็ดำเนินมาถึงขั้นตอนสุดท้ายคือการกลั่นสมุนไพร
ลำแสงหลากสีพลันพุ่งมาบรรจบรวมกัน ณ จุดเดียว
ผลจากลำแสงทั้ง 6 ธาตุทำให้สมุนไพรที่ละเอียดเป็นผงนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นของเหลวจำนวนหนึ่ง
ของเหลวนั้นค่อยๆ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากเดิมหลายเท่า
จากผงละเอียดที่มีจำนวนเท่าหัวแม่มือพลันขยายเป็นของเหลวที่มีจำนวนหนึ่งเท่ากำปั้น
เมื่อสิ้นสุดขั้นตอนการกลั่น วงเวทย์ทั้งหลายก็สลายหายไป
หลงเหลือเพียงของเหลวจำนวนหนึ่งที่ลอยอยู่กลางอากาศเท่านั้น
เมอร์ลินเผยรอยยิ้มออกมาอย่างพึ่งพอใจ พร้อมทั้งสะบัดปลายนิ้วบังคับให้ของเหลวนั้นพุ่งเข้าสู่ปากขวดจำนวนหนึ่งที่เขาเตรียมไว้
มือน้อยๆ นั้นหยิบขวดน้ำยาขวดหนึ่งขึ้นมาดูอย่างพึงพอใจ
เมอร์ลินใช้ดวงตาเลเมเกทันตรวจสอบคุณสมบัติของยาของเขาทันที
ในตอนนั้นเองเขาได้ทราบว่าน้ำยาที่อยู่ในมือของเขานั้นมันถูกเรียกว่า “น้ำยาฟื้นฟูพลังเวทย์ระดับสูงที่มีคุณสมบัติแฝง”
น้ำยาฟื้นฟูพลังเวทย์ระดับสูง! แถมยังเป็นน้ำยาเพิ่มเวทย์ที่มีคุณสมบัติแฝงอีกด้วย
น้ำยาขวดนี้นอกจากจะสามารถเติมเต็มพลังเวทย์ให้ฟื้นคืนกลับมาแล้ว มันยังมีคุณสมบัติในการลดระยะความเร็วในการร่ายเวทย์อีกด้วย
เป็นไปได้ยังไงกัน? สมุนไพรระดับต่ำสามารถผลิตออกมาเป็นน้ำยาระดับสูงได้?
เมอร์ลินทำความเข้าใจกับน้ำยาขวดนี้ในระยะเวลาหนึ่ง
ในที่สุดเขาก็ได้ข้อสรุปให้กับตัวเองว่า เหตุที่เขาสามารถผลิตน้ำยาระดับสูงจากสมุนไพรระดับต่ำได้ นั่นอาจเป็นเพราะพลังของการใช้อักขระเวทย์
อย่างที่ทราบกันว่าพลังของผู้ใช้อักขระนั้นสามารถเพิ่มคุณสมบัติของของสิ่งหนึ่งได้ ไม่เว้นแม้แต่สมุนไพร ลำแสงต่างๆ เหล่านั้นสามารถเพิ่มพูนหรือเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของสมุนไพรได้
การกลั่นสมุนไพรระดับต่ำโดยใช้อักขระเวทย์จึงมีความเป็นไปได้ว่ามันจะสามารถสร้างน้ำยาที่มีคุณสมบัติที่ดีกว่าขึ้นมาได้
ช่างน่าอัศจรรย์ใจ!
ความสามารถของผู้ใช้อักขระนั้นช่างน่าสะพรึงเป็นอย่างยิ่ง ไม่เป็นที่น่าแปลกใจเลยที่เหล่าผู้คนในดินแดนแห่งนี้จะยกย่องผู้ใช้อักขระให้เป็นตัวตนที่พิเศษกว่าผู้ใด
ยิ่งตรงอธิบายอักขระเวทย์ อธิบายสามสี่รอบได้ - -
รวยและ
Thank you
ตอนปรุงยา มา4บรรทัดสุดท้าย
อธิบายปากกาซะหลายหลายแผ่นกระดาษa4เลย บางทีแค่ได้รู้ชื่อ กับใช้ทำอะไรได้ก็พอ ไม่ต้องอธิบายกระบวนการ ตั่งแต่การผลิตยันส่งออกหรอก ใส่น้ำน้อยหน่อย (เปรียบเทียบ)
แบบนี้ก็ไม่ลำบากเรื่องเงินทองแล้ว
มันคือโลกที่ต้องร่ายเวทด้วยปากตัวเอง ไม่ใช่เกมที่มีหลอดร่าย
ไม่รู้จะร่ายไวขึ้นได้ยังไง กินยาแล้วปากขยับไวขึ้นหรอ