เซียนจอมเวทย์ Deva Wizard
-
นิยาย-เรื่องยาว :
ฟรีสไตล์/ แฟนตาซี Tags : ยังไม่มี
ผู้แต่ง : ท่านโซ
My.iD :
https://my.dek-d.com/TanSoSoDa/writer/
ตอนที่ 194 : ภาค 3.1 ตอนที่ 32 อักขระวิญญาณ
เมอร์ลินเริ่มสั่งสอนการบ่มเพาะพลังปราณเซียนให้กับเอ็ดเวิร์ดทันที
เป็นเพราะเวลาที่เหลือน้อย เขาจึงต้องจัดการสร้างพื้นฐานให้กับลูกศิษย์ของเขา
น่าเสียดายที่เอ็ดเวิร์ดได้เริ่มบ่มเพาะพลังเวทย์ไปแล้ว แม้ว่าจะเป็นการบ่มเพาะที่ไม่ได้อยู่ในระดับสูง แต่เมอร์ลินก็เกรงว่าจะไปกระทบกับการบ่มเพาะพลังปราณเซียนในขอบเขตรวบรวมปราณ
ข้อควรระวังในการบ่มเพาะขอบเขตรวบรวมปราณคือการเก็บรวบรวมพลังที่บริสุทธิ์มากที่สุด เพื่อไม่ให้เป็นปัญหาต่อการทะลวงขอบเขตในอนาคต
เสาปราณทั้งเก้าต้นนั้นคือรากฐานในการบ่มเพาะ
ในเมื่อเอ็ดเวิร์ดเป็นศิษย์ของเขา เขาจึงพยายามคิดหาวิธีการเพื่อให้การบ่มเพาะของลูกศิษย์เป็นไปอย่างราบรื่นในอนาคต
ทันทีที่เอ็ดเวิร์ดได้ยินเมอร์ลินอธิบายถึงการพัฒนา 9 ระดับของการรวบรวมปราณ เด็กหนุ่มก็รู้สึกตื่นเต้นและดีใจเป็นอย่างมาก ควรรู้ไว้ว่านับตั้งแต่ระดับที่ 7 ของการรวบรวมปราณนั้นจะทำให้ร่างกายไม่จำเป็นต้องกินต้องนอน
ขอเพียงร่างกายมีพลังปราณเซียนที่เพียงพอ ผู้ฝึกตนสามารถดูดซับไอดินกลิ่นฟ้า ไม่กินไม่นอนได้
“ไม่จำเป็นต้องกินต้องนอน แบบนี้เราเริ่มเข้าใกล้การเป็นเซียนเข้าทุกที” เอ็ดเวิร์ดคิดในใจอย่างตื่นเต้น
จนในที่สุดเมอร์ลินก็คิดหาวิธีได้
เขาได้ใช้อำนาจอักขระปิดผนึกจักรวาลหัวใจของเอ็ดเวิร์ด
เมอร์ลินได้มอบจิตเวทย์ให้กับเอ็ดเวิร์ดจำนวนหนึ่ง โดยขั้นตอนแรกเขาได้ใช้พลังปราณเซียนของเขาขับเคลื่อนชี้แนะแต่ละจุดในร่างกายของเขา
“น่าเสียดายที่เด็กคนนี้มีพรสวรรค์ในการจดจำที่ธรรมดา”
เมอร์ลินอดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้
ด้วยพรสวรรค์ของเอ็ดเวิร์ด ความสามารถในการจดจำรายละเอียดนั้นแทบจะไม่สามารถเทียบกับเมอร์ลินได้ พรสวรรค์ในจุดนี้เอ็ดเวิร์ดนั้นจัดอยู่ในเกณฑ์ธรรมดา
เมอร์ลินนั้นมีพรสวรรค์ในการจดจำอยู่แล้ว อีกทั้งยังได้อำนาจของดวงตาเลเมเกทันช่วยส่งเสริมจึงทำให้เขาเหมือนเสือที่ติดปีก
เมอร์ลินค่อยๆ สั่งสอนเอ็ดเวิร์ดอย่างใจเย็น
ในตอนกลางคืนเขาทำการสลักอักขระระดับศักดิ์สิทธิ์ลงบนพืชพันธุ์พลังธาตุ ส่วนตอนกลางวันนั้นเขาทำการสั่งสอนชี้แนะเอ็ดเวิร์ดและสร้างผลึกเวทย์ที่บรรจุความรู้ของบทเวทย์ต่างๆ ในความทรงจำของเขาที่เก็บเกี่ยวมาจากห้องสมุดโรงเรียนวอเดอร์เซียนและโรงเรียนเวทย์อารากอน อีกทั้งยังมีความทรงจำส่วนหนึ่งของโซโลมอน
เมอร์ลินจัดเก็บความรู้เหล่านี้ออกมาในรูปแบบอุปกรณ์เวทมนต์ เพื่อมอบเป็นสมบัติสืบทอดแก่หอคอยดารา
ผลึกเวทย์ที่บรรจุความรู้ กลายเป็นผลึกสีม่วงที่กระจ่างใสล่องลอยอยู่เต็มเพดานราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า
เมอร์ลินตั้งใจบรรจุมันไว้ในชั้นที่สองและสามของหอคอยดารา
ชั้นที่สองบรรจุบทเวทย์ทั่วไป ส่วนชั้นที่สามบรรจุบทเวทย์พิเศษที่ทรงอานุภาพ
เมอร์ลินได้บอกกล่าวเรื่องนี้แก่สิบสองดาราว่าหากผู้ใดต้องการจะเข้าสู่ห้องบรรจุศาสตร์เวทย์นั้นจำเป็นต้องเอาคะแนนดาราที่ได้มาจากการทำภารกิจมาแลก
ทั้งนี้อีกหลายๆ ชั้นของหอคอยดารายังได้บรรจุอุปกรณ์เวทมนต์ที่เป็นทั้งศาสตราวุธและเกราะป้องกันไว้อย่างหลากหลาย นอกจากนี้ยังมีห้องที่บรรจุจิตเวทย์และน้ำยาเวทย์ ที่เอาไว้สนับสนุกความแข็งแกร่งของหอคอยดารา
เมอร์ลินดำเนินแผนการเหล่านี้มานานหลายปี มาถึงปีนี้มันจึงค่อยเป็นรูปเป็นร่างที่เริ่มเห็นได้ชัด
อุปกรณ์เวทมนต์หลายอย่างของเขาล้วนมีคุณสมบัติของอักขระขั้นสีเขียว มีเพียงไม่กี่ชิ้นที่เป็นอักขระขั้นสีม่วง ซึ่งเมอร์ลินเสียสละเวลาที่มีน้อยนิดของเขาในการสร้าง
หลังจากผ่านเหตุการณ์กวาดล้างดันเจี้ยนโรงเรียนเวทย์อารากอน ทำให้หอคอยดารามีทรัพยากรที่เป็นทั้งจิตเวทย์และซากของสัตว์อสูรเป็นจำนวนมาก
อีกด้านหนึ่งได้รับการสนับสนุนจากร้านเสื้อคลุมสีฟ้าที่ประกอบกิจการธนาคารและการขายน้ำยาเวทย์ที่รุ่งเรืองถึงขีดสุด
เมอร์ลินนั้นค่อยๆ จัดเตรียมทุกอย่างให้กับหอคอยดารา
ในระหว่างนี้เขาก็ได้ไปเยี่ยมเยือน “แฮรี่” น้องชายของเขาอยู่บ่อยๆ
ผ่านไปหนึ่งเดือนการบ่มเพาะของเอ็ดเวิร์ดยังไปได้ถึงแค่ระดับที่ 3 ของการรวบรวมปราณเพียงเท่านั้น แม้เขาจะมีทรัพยากรที่มากมายจากการสนับจากเมอร์ลิน แต่นั่นก็ไม่ใช่จุดที่จำทำให้เขาสำเร็จการบ่มเพาะได้โดยง่าย
ในวันนั้นเองเมอร์ลินก็ได้รับข่าวหนึ่งที่มาจากเมืองหลวง
“อืม ... เขาทำมันจริงๆ ด้วยสินะ” ร่างเล็กที่สวมใส่หน้ากากสีขาวกล่าวอย่างสุขุม
“ขอรับ อีกสามวันต่อจากนี้เจ้าชายอาเธอร์จะเข้ารับการทดสอบจากดวงตายมทูต” เมนซ่าผู้ที่ได้รับข่าวสารมากล่าวรายงาน
“น่าแปลกใจที่กษัตริย์อารากอนยอมให้รัชทายาทของเขาทำการทดสอบนี้ อาณาจักรคงวุ่นวายกันน่าดู”
“ข้าได้ข่าวมาว่าเป็นเพราะเจ้าชายอาเธอร์ยื่นคำขาด หากไม่ได้รับการทดสอบจากดวงตายมทูต เขาจะสละตำแหน่งรัชทายาทแล้วเดินทางออกจากอาณาจักร คำขู่นี้ทำให้กษัตริย์ต้องยอมฟังคำ เป็นที่รู้กันดีว่ากษัตริย์นั้นรักใคร่บุตรชายคนนี้มากขนาดไหน”
“หึ หึ ต่อให้เป็นเจ้าชายผู้แข็งแกร่งก็ไม่สามารถผ่านด่านหญิงงามได้ เขาคงตัดสินใจดีแล้ว”
เมนซ่าไม่เข้าใจคำพูดของเมอร์ลิน แต่เขาก็ไม่กล้าเอ่ยถาม เขาจึงได้แต่นิ่งเงียบรอฟังคำสั่งต่อไป
“เจ้าออกไปได้แล้ว”
“ขอรับท่านหัวหน้า” กล่าวจบร่างของเมนซ่าก็เลืองลางและหายไปจากห้องโถงดารา
เด็กหนุ่มวัยสิบหกที่ยืนเงียบฟังอยู่นานก็เอ่ยขึ้น
“ท่านอาจารย์ อะไรคือดวงตายมทูตอย่างนั้นหรือ? มันอันตรายมากขนาดไหนถึงได้ทำให้คนวุ่นวายได้ขนาดนี้” เอ็ดเวิร์ดเอ่ยถาม
นับตั้งแต่ที่เขาได้กลายเป็นลูกศิษย์ของเมอร์ลิน เขาก็มีความกล้าในการพูดคุยมากขึ้น
ตั้งแต่ที่เอ็ดเวิร์ดเป็นลูกศิษย์อย่างเป็นทางการ เมอร์ลินไม่เคยปลดปล่อยบรรยากาศที่น่าหวาดกลัวแบบก่อนหน้านี้อีกเลย นั่นจึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เอ็ดเวิร์ดกล้าที่จะเอ่ยปากกับเมอร์ลินมากยิ่งขึ้น
“หึ เจ้าเด็กน้อย ... ในเมื่อเจ้าไม่เคยเข้าเรียนโรงเรียนเวทย์ แน่นอนว่าเจ้าย่อมไม่รู้จักดวงตายมทูต ในฐานะอาจารย์ของเจ้า ข้าจะเล่าให้ฟัง” เมอร์ลินนั่งอยู่บนแท่นหินสูงเอ่ย
“ดวงตายมทูตนั้นคือประตูเปิดทางสำหรับอาวุธวิญญาณ มันสามารถปลุกวิญญาณของอาวุธวิญญาณให้ตื่นขึ้นได้ เมื่อวิญญาณถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ผู้ครอบครองก็จะได้รับพลังของภูษาวิญญาณ ในอาณาจักรอารากอนมีกฎอยู่ข้อหนึ่งว่าไว้ว่าผู้ครอบครองภูษาวิญญาณจะมีสิทธิ์เป็นอัศวินโต๊ะกลมแห่งอารากอน”
“เช่นนั้นอาจารย์ก็ ...”
เมอร์ลินยิ้มและเอ่ย
“อย่างที่เจ้าคิด ตอนที่อยู่ในสงครามเดสซิ่งวันเดอร์ข้านั้นได้รับภูษาวิญญาณมาโดยบังเอิญ ด้วยหน้าที่ของสายเลือดตระกูลของข้า จึงยากที่จะปฏิเสธตำแหน่งอัศวินโต๊ะกลม แต่กระนั้นก็เป็นอย่างที่เจ้าเห็น ข้านั้นก็ไม่ใส่ใจมันอยู่ดี”
นับตั้งแต่ที่เมอร์ลินได้รับตำแหน่งมา เขาก็เพิกเฉยต่อตำแหน่งนี้ ภารกิจเกือบทั้งหมดถูกโยนไปให้สิบสองดารา ส่วนตัวเขาเองก็ง้วนกับการสร้างรากฐานของหอคอยดารา
“ว๊าว! ท่านอาจารย์นั้นสุดยอดไปเลย” เอ็ดเวิร์ดกล่าวด้วยสีหน้าที่ภาคภูมิใจ
นับตั้งแต่ที่เขากลายเป็นศิษย์ของเมอร์ลิน น้อยครั้งมากที่เขาจะได้ยินเรื่องราวของอาจารย์ตัวเล็กผู้นี้
เด็กบ้านนอกอย่างเอ็ดเวิร์ด เขาแทบจะไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเมอร์ลินนั้นมาจากตระกูลเซอร์เตส สิบสองดาราไม่เคยกล่าวถึงอายุของเขา ยิ่งสมาชิกของหอคอยดาราที่เข้ามาใหม่ก็ไม่มีใครสักคนที่เคยพบกับเมอร์ลินตัวเป็นๆ
กระทั่งเอ็ดเวิร์ดในตอนนี้ที่อยู่ใกล้ชิดกับเมอร์ลินมากที่สุดก็ยังไม่เคยเห็นเมอร์ลินใส่หน้ากากออกมาเลยสักครั้ง
เอ็ดเวิร์ดไม่เคยเห็นหน้าตาของอาจารย์ของเขา น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นไม่สามารถทำให้เขาคาดเดาอายุได้ เขานั้นจิตนาการว่าเมอร์ลินจะต้องเป็นชายชราร่างเล็ก รูปร่างเหมือนเซียนเฒ่า
อย่างในหนังจีนที่เขาเคยดูในชีวิตก่อน เซียนบางคนพูดออกมาเป็นเสียงเด็กและบางคนก็พูดออกมาเป็นเสียงของผู้หญิงและผู้ชายพูดออกมาพร้อมๆ กัน
ดังนั้นแล้วเอ็ดเวิร์ดแทบจะไม่มีความคิดเลยว่าเมอร์ลินจะเป็นเด็กน้อยคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าเขาจะมีร่างกายที่เล็กกว่าเขาก็ตาม
สิ่งที่เอ็ดเวิร์ดรู้แน่ๆ ก็คือเมอร์ลินนั้นไม่ใช่คนของโลกนี้และเขาก็เป็นผู้ฝึกตนที่มีพลังยิ่งใหญ่เหนือจินตนาการ นั่นจึงทำให้เขารู้สึกเคารพในตัวอาจารย์คนนี้
ทันทีที่เอ็ดเวิร์ดบรรลุระดับ 4 ของขอบเขตรวบรวมปราณ ร่างกายของเขาก็มีแข็งแกร่งที่เพียงพอ เมอร์ลินจึงตัดสินใจสอนวิชากระบี่ให้กับเขา
ก่อนหน้านี้เมอร์ลินรู้ว่ามรดกเซียนที่เอ็ดเวิร์ดได้รับมานั้นคือจิตแห่งกระบี่ ด้วยการบ่มเพาะที่เชื่องช้าของเด็กหนุ่ม จึงทำให้เมอร์ลินตัดสินใจสอนวิถีกระบี่เพื่อกระตุ้นจิตแห่งกระบี่เร่งเร้าการบ่มเพาะให้เข้าสู่ขั้นสูง
หากเป็นคนอื่นวิธีการนี้อาจเป็นทางอ้อมสำหรับการบ่มเพาะ แต่เมื่อเอ็ดเวิร์ดมีจิตกระบี่ระดับเซียนอยู่ในร่าง สิ่งที่เขาจะต้องทำก็คือขั้นต้นของการฝึกกระบี่ ทำการรับรู้ถึงจิตกระบี่เพียงเท่านั้น
หากสามารถสื่อสารกับจิตกระบี่ได้ การบ่มเพาะวิถีกระบี่ของเขาก็จะก้าวหน้าอย่างรวดเร็วเป็นการลดช่วงเวลาในการบ่มเพาะที่ดี จิตกระบี่อาจส่งเสริมให้เขาบรรลุขั้นก่อลำต้นได้โดยเร็ว
มรดกเซียนของเอ็ดเวิร์ด กระทั่งเมอร์ลินก็ยังรู้สึกอิจฉา
แม้ว่าเมอร์ลินจะได้รับมรดกเซียนมาเช่นเดียวกัน แต่กระถางแปดสวรรค์ชั้นฟ้านั้นเป็นสมบัติวิเศษระดับจักรพรรดิ มันไม่ใช่สิ่งของที่เขาจะนำออกมาใช้ได้ง่ายๆ
ต่างจากจิตกระบี่ของเอ็ดเวิร์ดที่ไม่ใช่สมบัติวิเศษที่ต้องรอความสามารถในการบ่มเพาะที่เหมาะสมถึงจะสามารถใช้งานได้
จิตกระบี่นั้นราวกับพรสวรรค์ตั้งต้นที่ล้ำเลิศ
ไม่แน่ว่าหากอีกหลายสิบปีเอ็ดเวิร์ดสามารถเข้าถึงจิตแห่งกระบี่ที่ลึกซึ้งได้ ฝีมือของเขาคงอาจจะเหนือล้ำยิ่งกว่าเมอร์ลินก็เป็นได้
โชคของคนเรานั้นต่างกัน ถึงเมอร์ลินจะรู้สึกอิจฉา แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกริษยาอยากได้มาเป็นของตนเอง
ขอเพียงเอ็ดเวิร์ดเป็นศิษย์ที่ดีเขาก็จะส่งเสริมอย่างสุดกำลัง แต่หากเด็กหนุ่มไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด เขานั้นจะลงมืออย่างไม่ลังเล
ผ่านไปไม่นานเมอร์ลินก็ได้รับข่าวว่าอาเธอร์ประสบความสำเร็จในการปลุกวิญญาณของดาบเอ็กแคลิเบอร์
“เห็นทีข้าต้องหาโอกาสไปเยี่ยมเขาเร็วๆ นี้” เมอร์ลินกล่าวด้วยแววตาที่เป็นประกาย
“แต่ก่อนหน้านี้ข้าต้องทำสิ่งนี้ให้สำเร็จเสียก่อน”
ร่างเล็กขยับปลายนิ้วมืออย่างคล่องแคล่ว รอบกายของเขาปรากฏอักขระเวทย์สีม่วงมากมายหลายวิถีหลั่งไหลออกมาเป็นเส้นสายเรียงรายราวกับเกลียวคลื่นของกระแสน้ำ
เบื้องหน้าของเขามีซากของสัตว์อสูรตัวหนึ่งปรากฏอยู่ มันถูกพลังของเมอร์ลินควบคุมให้ล่องลอยอยู่กลางอากาศ
สัตว์อสูรตัวนี้แม้จะมีขนาดเท่ากับหนึ่งฝ่ามือ แต่ในอดีตตอนที่มันมีชีวิตอยู่ ตัวตนของมันนั้นทรงอำนาจและเป็นที่เกรียงไกรเป็นอย่างมาก
นี่คือซากของ “นกกระจิบสีรุ้ง” สัตว์อสูรระดับ 7 แห่งเทือกเขาไร้ทัดทาน
มันคือราชาของหมู่นก
ก่อนหน้านี้ที่เมอร์ลินได้กวาดล้างพื้นที่หนึ่งของเทือกเขาไร้ทัดทาน เขาได้เก็บซากของสัตว์อสูรไว้จำนวนมาก ที่ผ่านมาส่วนหนึ่งเขาได้นำพวกมันมาทำเป็นอาวุธและชุดเกราะจำนวนมาก
แต่สิ่งที่เมอร์ลินกำลังจะทำนี้ เขาไม่ได้นำซากของนกกระจิบสีรุ้งมาทำอาวุธหรือชุดเกราะใดๆ
มันคือหนึ่งในแผนการที่เมอร์ลินตระเตรียมไว้ก่อนปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือซามัว
อักขระเวทย์นับไม่ถ้วนหลั่งไหลอย่างไหลลื่นราวกับสายน้ำ
ทันทีที่เมอร์ลินวาดอักขระตัวหนึ่งออกมา กลิ่นอายที่ไม่ธรรมดาเต็มไปด้วยอำนาจในด้านลบก็ประทุออกมาราวกับอำนาจของความตาย
อำนาจอักขระก่อเกิดเสียงครืนเครง พลังเวทย์ที่อยู่รอบๆ ได้รับผลกระทบ เกิดความโกลาหลปั่นป่วนอลม่าน
เวิง!
อักขระสีม่วงที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณปรากฏออกมาหนึ่งตัว
ทันทีที่เมอร์ลินสะบัดมือวาดอักขระอีกครั้งหนึ่ง อักขระวิญญาณอีกสี่ตัวก็ปรากฏออกมาอย่างรวดเร็ว
เวิง! เวิง! เวิง! เวิง!
อักขระวิญญาณทั้งห้าถูกบังคับให้ไปล้อมรอบซากอสูรระดับ 7 คลื่นวิญญาณที่ไร้รูปซัดม้วนจนปรากฏเป็นบรรยากาศที่น่าหวาดสะพรึง
ในตอนนั้นเองแสงที่ราวกับเส้นด้ายทอแสงสีม่วงก็กระจัดกระจายออกมา แสงสีม่วงนั้นพุ่งจากอักขระหนึ่งไปยังอักขระหนึ่ง โยงใยเชื่อมต่อ
ฮวง!
อักขระวิญญาณทั้งห้าส่งเสียงคำรามออกมา เมอร์ลินขยับมือไปมาอย่างเชียวชาญควบคุมพลังอักขระที่แข็งแกร่ง
อักขระวิญญาณนั้นไม่ใช่อักขระที่ธรรมดา พลังของมันนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายวิญญาณที่แรงกล้า
การควบคุมอักขระเหล่านี้จึงไม่ใช่เรื่องง่าย
เมอร์ลินจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไม อักขระวิญญาณและวิธีควบคุมของมันถึงต้องสลักไว้บนกำแพงสีม่วง หากผู้ใช้อักขระยังมีอำนาจอักขระที่แข็งแกร่งไม่เพียงพอ แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่สามารถควบคุมพลังของอักขระวิญญาณเหล่านี้ได้
ผ่านไปหลายชั่วโมง ในที่สุดลำแสงสีม่วงจากอักขระวิญญาณทั้งห้าก็เกิดการควบแน่น
ครืน! ครืน! ครืน!
ลำแสงของอักขระทั้งห้าควบรวมกันกลายเป็นดาวห้าแฉกที่มีร่างของซากอสูรระดับ 7 เป็นศูนย์กลาง
กระบวนการนี้ก่อให้เกิดเสียงดังเปรี้ยงราวกับสายฟ้าฟาดลงมาหลายๆ ครั้ง อากาศทั้งหมดกลายเป็นสั่นสะเทือน บรรยาการแปรปรวนอย่างไม่หยุดหย่อน
แต่ดีที่เมอร์ลินกางม่านพลังอำนาจอักขระขั้นสีม่วงเอาไว้ ผลกระทบของมันจึงไม่อาจเล็ดลอดออกไปได้
ผ่านไปหลายชั่วโมงในที่สุด เมอร์ลินก็ทำบางสิ่งตามที่กำแพงสีม่วงบันทึกไว้ได้สำเร็จ
แสงสีม่วงสว่างกระจ่างจ้าจะบาดตา
เบื้องหน้าของเมอร์ลินปรากฎซากของนกกระจิบสีรุ้งที่ทอแสงสีม่วงเรืองรองออกมา
เมอร์ลินคว้าจับซากสัตว์อสูรที่ทอแสงประกายสีม่วงมาใส่ไว้ในกล่องเป็นอย่างดี
“ในที่สุดก็สำเร็จ ทีนี้ข้าก็สามารถไปเยี่ยมเยือนอาเธอร์ได้แล้ว” เมอร์ลินถือกล่องที่บรรจุซากสัตว์อสูรอยู่ในมือ ใบหน้าของเด็กน้อยเปิดเผยรอยยิ้มออกมา
มือเล็กโบกออกไปด้านหน้าครั้งหนึ่ง
มิติสีดำก็แหวกอากาศที่ว่างเปล่าปรากฏออกมา
เพียงเวลาไม่นานร่างของเมอร์ลินก็จมหายเข้าไปในมิติที่แหวกออกจนหายลับไป
.....................................................................
ขอบคุณครับ
เมอร์ลินลืมที่จะกลับไปช่วย มังกรจอร์มุนกานดร์ รึป่าวนะ