ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (exo) Niger | Albus (KaiDo - KaiSoo)

    ลำดับตอนที่ #3 : Niger - II

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 799
      16
      4 พ.ค. 58

    II

     

                เคยมีคนบอกไว้...รสเหล้าหลังจากได้ชัยชนะนั้นหอมหวาน

                ...จงอินก็ไม่ได้รู้สึกขัดแย้งอะไรกับข้อความนั้น

                “หึ”

    เพื่อนสนิทที่ดูอารมณ์ดีผิดกับเมื่อตอนกลางวันทำให้โอเซฮุนเลิกคิ้ว แสดงสีหน้าประหลาดใจ อดไม่ได้ที่จะถามไถ่

                “หายอารมณ์เสียแล้วเรอะ?”

                คนถูกถามไหวไหล่ กิริยาราวกับไม่ได้ใส่ใจอะไร มือเรียวยาวที่ติดจะกร้านอยู่บ้างประคองแก้วเครื่องดื่มสีสวยไว้ด้วยมือเดียว เอียงเทของเหลวในแก้วให้ไหลลงสู่ลำคอ

                “เลยหมดสนุกเลย” ฟังเสียงบ่นหงุงหงิงของอีกฝ่าย จงอินก็จิบเครื่องดื่มอีกอึกหนึ่ง เอ่ยเสียงนิ่งอย่างเคย...ตรงข้ามกับแววตาที่กำลังทอประกาย

                “เรื่องสนุกน่ะ มันหลังจากนี้ไปต่างหาก”

               

                สถานที่เดิม....แตกต่างกันที่ช่วงเวลา และคนที่นั่งอยู่ด้วยกัน

                จงอินนั่งอยู่เงียบๆ ท่ามกลางเสียงอึกทึกของหรูที่ถูกใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงเล็กๆ ฉลองให้กับการถ่ายทำโฆษณาเมื่อสัปดาห์ก่อนซึ่งประสบความสำเร็จอย่างงดงาม

                “อย่าดื่มมากไป ถึงพรุ่งนี้จะไม่มีงาน แต่ว่ามีเรียนไม่ใช่รึไง?” เสียงผู้จัดการส่วนตัวพร่ำบ่นอยู่ข้างหู นายแบบหนุ่มฟังแล้วปล่อยให้ลอยผ่านไป เวลานี้ดวงตาสีเข้มของเขาจดจ้องอยู่กับร่างโปร่งของใครคนหนึ่ง ที่กำลังยักย้ายสะโพกได้น่าชม หยอกล้ออยู่กับสาวสวยผมสีน้ำตาลม่วงประกาย

                จงแดมองตามสายตานั้น เมื่อเห็นใครคนนั้นที่สุดปลายสายตา ผู้จัดการหนุ่มก็ถอนหายใจ

                “วันนี้มาฉลองเรื่องงาน อย่าทำกร่อย”

                “รู้หรอกน่า”

                นายแบบหนุ่มในความดูแลตอบออกมาง่ายดาย ทว่าดวงตากลับไม่ย้ายออกจากที่เดิม

                จงแดกวาดตามองรอบๆ อีกหน ในเวลานี้รอบข้างล้วนเต็มไปด้วยพวกคนในวงการที่ก็ไม่รู้ว่าจะเชื่อใจกันได้สักกี่มากน้อย ชายหนุ่มจึงถอนใจ เบาเสียงลง กล่าวคำกระซิบสั่งสอน

                “จะไปตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขาทำไมกัน วงการอย่างนี้มีอะไรก็ต้องถ้อยทีถ้อยอาศัยกันทั้งนั้น”

    ทว่าคำพูดนั้นกลับทำให้คนฟังนิ่วหน้า เอ่ยคำด้วยน้ำเสียงเจือความเสียดสีอยู่จางๆ

                “ผมหรือจะอยากเป็นศัตรูกับเขา ช่างภาพชั้นแนวหน้าของประเทศอย่างนั้นน่ะ”

                ผู้จัดการหนุ่มฟังแล้วก็ได้แต่พรูลมหายใจยาวอีกครั้ง ขยี้มือลงกับเรือนผมสีเข้มของอีกฝ่าย กิริยากึ่งระอาเอ็นดู กึ่งอ่อนอกอ่อนใจ

                “โตเป็นหมีอย่างนี้แล้ว ยังชอบทำตัวเป็นเด็กๆ อยู่ได้”

                จงอินไม่รู้ว่าประโยคนั้นหมายถึงอะไร ทว่านายแบบหนุ่มก็เอียงคอหลบแล้วแยกเขี้ยวอวดฟันคม เวลานั้นเป็นเวลาเดียวกันกับที่ผู้หญิงคนหนึ่งเดินผ่านโต๊ะของพวกเขาไป ร่างประเปรียวดึงดูดใจของเธอหยุดลงตรงหน้าเคาน์เตอร์บาร์ ร้องสั่งค็อกเทลชื่อน่ารักกับบาร์เทนเดอร์หนุ่มที่ประจำอยู่

                นายแบบหนุ่มเสหยิบแก้วเครื่องดื่มของตนขึ้นจิบ น้ำแข็งที่ใส่ไว้ละลายปนเป ทำให้เครื่องดื่มร้อนแรงกลายเป็นจืดชืดไป ทว่าสำหรับคนที่ถูกบางอย่างในตัวเธอกระตุ้นความสนใจ รสจืดจางอย่างนั้นก็กลายเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยสำคัญ

                เพียงเสี้ยวหน้าที่ได้มองเห็น กลีบปากอิ่มงามทรงเสน่ห์...อย่างที่เวลายิ้ม...อาจจะกลายเป็นรูปหัวใจ

                หญิงสาวเหมือนรู้ตัวว่าถูกมองอยู่ หล่อนหันมองตามหาสายตาที่จับจ้อง เมื่อสบเข้ากับดวงตาแพรวพรายที่มองมาของเขา ก็เยื้อนยิ้มตอบกลับ...ไม่ใช่ยิ้มเชิญชวนยั่วเย้า ทว่าเป็นเพียงการทักทาย

                คิมจงอินกำลังจะลุกขึ้นยืน ทว่าใครบางคนก็ได้ตัดหน้าไปหนึ่งก้าว

                ช่างภาพชั้นนำคนนั้นไม่ทราบผละออกห่างจากคู่เต้นสาวสวยคนเมื่อครู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ เวลานี้กลับมายืนอยู่ข้างกันกับสาวน้อยเจ้าของกลีบปากน่ารักรูปหัวใจ ออกปากสั่งค็อกเทลดีกรีเบาๆ แก้วหนึ่ง...แต่ไม่ใช่ให้ตัวเอง

                ท่ามกลางเสียงอึกทึกวุ่นวาย ของดนตรีจังหวะบีทหนักหน่วง...และเสียงพูดคุยของผู้คนนับร้อย ด้วยระยะที่ห่างกันค่อนข้างไกลจงอินแทบไม่มีทางจะได้ยินอะไรได้ ทว่าไม่ทราบอุปมาไปเองหรืออะไร...แต่เขาก็เหมือนได้ยินเสียงของช่างภาพคนนั้น...กระซิบแผ่วเบา

    “ขออนุญาตเลี้ยงนะครับ”

    สาวน้อยเผยรอยยิ้มเขินอายบนใบหน้า สองแก้มเรื่อแดงขึ้นมาจางๆ รับแก้วเครื่องดื่มนั้นไว้

    จงอินมองอยู่

    มองภาพหนุ่มสาวสองคนที่เริ่มต้นทำความรู้จัก เพียงไม่นานหลังจากนั้นระยะห่างระหว่างคนสองคนที่หน้าเคาน์เตอร์ก็ค่อยๆ หดแคบลง...ทีละนิด... และกลายเป็นไม่มี

    ...เมื่อแรกเป็นเพียงการแตะกระทบกันระหว่างแก้วเครื่องดื่ม ...เป็นเรื่องธรรมดาของคนที่นั่งอยู่ชิดติดกัน ทว่าไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เรียวนิ้วสวยนั้นเคลื่อนขยับแตะลงกับฐานรองของแก้วทรงสูงที่บรรจุค็อกเทลสีสวยเอาไว้ เคลื่อนขึ้นไปตามก้านแก้ว ...สัมผัสกับมือน้อยของหญิงสาวที่ประคองแก้วใบนั้น...และยิ่งรุกคืบเข้าใกล้

    ปลายนิ้วของชายหนุ่มเกลี่ยวนเบาๆ ที่ใจกลางฝ่ามือ ก่อนที่จะเลื่อนออกเชื่องช้า แตะผ่านข้อมือจนถึงลำแขนขาวผ่อง...

    หยุดลงที่ตรงข้อพับ...อย่างแฝงนัยน์

    คนที่มองอยู่รู้สึกราวกับถูกหักหน้าเมื่อสิ่งของที่หมายตากลับถูกแย่งชิงเอาไป

    คิมจงอินในที่สุดก็ลุกขึ้นจากโซฟา สีหน้าของเขาขุ่นเคืองไม่สู้ดี นายแบบหนุ่มบอกกับผู้จัดการส่วนตัวของตนว่าจะออกไปสูดอากาศข้างนอกเสียงห้วน แล้วก็ก้าวออกไปโดยไม่ฟังคำทัดทานอื่นใด

    แล้วใครเล่าจะเห็น

    ว่าภายหลังการเดินผลุนผลันจากไปอย่างนั้น กลีบปากของช่างภาพหนุ่มนอกจากบิดคลี่ออกเป็นรอยยิ้มชวนฝัน ประกายตาที่ฉายฉานอยู่ในดวงแก้ววับพราวคู่นั้น...

    ยังปรากฏความสาแก่ใจ

     

    นายแบบหนุ่มออกมาสูดอากาศอย่างที่ว่าไว้ เลี่ยงเดินเข้ามาในตรอกแคบๆ ข้างร้าน ที่ถึงแม้ว่าจะมืดไปหน่อยแต่ก็สะอาดสะอ้านพอตัว

    มือใหญ่ยกขึ้นเสยเรือนผมที่ปรกใบหน้าอยู่ออกพ้นตา

    พ่นลมหายใจแรงๆ ออกมาหนหนึ่ง พยายามระบายความขุ่นเคืองใจ โทรศัพท์ในกระเป๋าก็สั่น ในจังหวะที่หยิบออกมาดูนั้นเองกระดาษแผ่นหนึ่งก็ร่วงออกมาพร้อมกัน “แม่งเอ๊ย” เขาสบถในความมืดที่เงียบสงัด ย่อตัวลง อาศัยแสงไฟจากหน้าจอโทรศัพท์ กวาดดูว่าเป็นของอะไรที่หล่นลงไป

    ทว่ายามเมื่อแสงสีอมฟ้านั้นกระทบกับผิวกระดาษ...สะท้อนให้เห็นรอยพิมพ์หมึกสีเข้มบนกระดาษสีอ่อน

    ปลายนิ้วเรียวยาวที่กำลังจะเก็บมันขึ้นมาก็พลันชะงักค้าง

                “...” จงอินนิ่ง...ครู่ใหญ่

                ค่อยเก็บกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมา กดโทรออกตามหมายเลขที่ระบุไว้ด้านบน

                หลังจากฟังเสียงสัญญาณดังไม่กี่ครั้ง ปลายทางก็รับสาย

                [ครับ?] เบื้องหลังถัดจากเสียงตอบรับปรากฏเป็นเสียงอื้ออึง ทั้งเสียงพูดคุยและเสียงดนตรี ดังนั้นนายแบบหนุ่มจึงไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรมากนัก ที่จะกรอกเสียงตอบกลับไป...ไม่ให้ส่อพิรุธอะไร

                “คุณคยองซูใช่ไหมครับ”

                [หา? ว่าอะไรนะครับ]

                “ฮัลโหล? คุณโดคยองซูใช่ไหมครับ?” เมื่ออีกฝ่ายพูดอย่างนั้น นายแบบหนุ่มก็คลี่ยิ้ม พูดด้วยเสียงที่ดังขึ้นอีกระดับอย่างจงใจ

                [ขอโทษนะครับ ผมไม่ค่อยได้ยินเลย] ปลายสายว่าอย่างนั้นแล้วเงียบไปครู่หนึ่ง จึงค่อยเอ่ยอีกครั้ง “เดี๋ยวผมจะไปที่ที่เงียบกว่านี้ รบกวนถือสายรอสักครู่นะครับ”

                ฟังเสียงที่จับใจความได้บางส่วนเป็นที่พึงพอใจ รอยยิ้มที่ประดับไว้บนกลีบปากหยักลึก...ก็ยิ่งกว้างขึ้นกว่าเดิม

                ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ต้นทางของเสียงที่ดังให้ได้ยิน นอกจากลำโพงที่แนบกับหู...ยังแว่วมาจากนอกตรอก แม้เบา...ทว่าก็เป็นเสียงเดียวกันไม่เพี้ยนผิด

                ร่างสูงหัวเราะไร้เสียง ก้าวเท้าออกจากตรอกไป

                [ขอโทษที่ให้รอนะครับ ไม่ทราบว่--!!]

                มือใหญ่คว้าแขนเรียวขาวราวกับกระเบื้องเคลือบนั้นไว้ อาศัยตอนที่อีกฝ่ายไม่ทันระวังตั้งตัว กระชากดึงกลับเข้ามาด้านในด้วยกำลัง

                ผลักร่างประเปรียวของชายหนุ่มให้แนบลงกับผนังเยียบเย็น

                ตามด้วยจุมพิตร้อนที่เบียดตามมา

                ช่างภาพหนุ่มตื่นตกใจ ยามแรกเขาไม่คุ้นเคย ทว่าสัมผัสจาบจ้วงนี้ก็รั้งเอาความทรงจำไม่น่าพิสมัยเมื่อหลายวันก่อนให้ผุดพราย

                ดังนั้นในตอนที่เรียวลิ้นชื้นแตะลงบนกลีบปากชุ่มฉ่ำ...ทำท่าราวกับจะแทรกผ่านล่วงลึกเข้าหา กลีบปากรูปหัวใจจึงได้ขยับเผยอ.. ราวกับกำลังตั้งใจเชิญเชื้อ... แต่ก็ไม่ได้เจตนา

                ...และในตอนที่นายแบบหนุ่มหลงย่ามลำพอง แทรกซอนชิมรสสัมผัสอย่างเนิบนาบ ฟันคมของฝ่ายนั้น...ก็ขบลงมาเต็มแรงจนได้กลิ่นคาวจากหยดเลือดที่เอ่อซึม

                “โอ๊ย!” จงอินร้อง ผละออกแทบไม่ทัน แต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้ปล่อยเขาง่ายดายเพียงนั้น มือเรียวยังยื่นออกผลักซ้ำ ทำให้ร่างสูงกว่าล้มระเนไปไม่เป็นท่า

                นายแบบหนุ่มรู้สึกชาวาบบนท่อนแขน ทั้งยังแว่วเสียงแค่นหัวเราะหยันหยามดังในความสลัว สัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายย่ำเดินผ่านตนออกไป ดังนั้นจึงรีบลุกขึ้น ก้าวยาวๆ เพียงไม่กี่ก้าว คว้าแขนเรียวขาวนั้นไว้อีกครั้ง

                “เดี๋ยวสิ”

                “คุณจะเอายังไงกับผมอีก” ฝ่ายนั้นถามเสียงเย็นติดจะเจือหอบอยู่บ้าง ฝืนการรั้งดึงเดินออกไปอีกสองสามก้าว แม้ไม่ไกลนัก แต่แสงสว่างรำไรจากไฟถนนที่ส่องเข้ามาถึง ก็ช่วยให้คนอุ่นใจได้มากกว่าความมืดสนิทที่ไม่รู้อะไร..

                แสงสลัวเรือนรางนั้นเอง ยังพอทำให้จงอินมองใบหน้าขาวแดงจัดกับริมฝีปากชุ่มฉ่ำที่เมื่อครู่ตนเพิ่งลิ้มรส ภาพนั้นบันดาลให้ผู้คนคิดอะไรไม่ออกไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหลุดคำพูดลอยๆ ที่แม้แต่ตัวเองฟังแล้วยังรู้สึกว่าโง่เง่า

                “จะให้ผมปล่อยคุณที่ทำร้ายร่างกายกันไปง่ายๆ อย่างนี้หรือ”

                คยองซูถลึงตากราดเกรี้ยว เขาไม่ใช่ว่าอยู่ว่างๆ ก็อยากไปกัดปากอีกฝ่ายเสียหน่อย ที่ทำแบบนั้นไป...ไม่ใช่ว่าเพราะ...!

                ชายหนุ่มเม้มริมฝีปาก ไม่อยากคิดถึงเรื่องไม่น่าจดจำ ดังนั้นจึงเลี่ยงเป็นตอบกลับด้วยเสียงกระด้าง

                “แค่ปากแตก ไม่ถึงตายมั้ง” วางพลางใช้ดวงตาคู่กลมเข้มคมพินิจมองรอยแผลบนกลีบปากหยักหนา ถึงแม้ออกจะดูสาหัสกว่าที่เขาได้มาเมื่อไม่กี่วันก่อน... แต่จะมองอย่างไร ก็ไม่น่าจะทำให้แผลนี้เป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาได้

                 “ใครหมายถึงตรงนั้นกัน” นายแบบหนุ่มว่าพลางยกท่อนแขนขึ้น อวดรอยแดงลากยาวที่มีเลือดเอ่อซึม วางตัวพาดตั้งแต่กลางแขนจนเกือบถึงข้อศอก

                เป็นรอยครูดที่ดูจะได้มาตอนที่ล้มลงไปเมื่อสักครู่นี้เอง

                “...” คยองซูนิ่งไป ปฏิเสธไม่ได้ว่าแผลนี้ไม่ใช่ความรับผิดชอบของตัว ถึงแม้ว่าสาเหตุจริงๆ.... มันจะมาจากการกระทำหยาบคายของฝ่ายนั้นก็ตาม

                ช่างภาพหนุ่มมีสีหน้าขรึมลง กดเสียงต่ำถามออกไป ”แล้วจะเอายังไง”

                “หรือจะให้พาไปโรงพยาบาล ออกค่ารักษาให้ อ้อ...ยังมีค่าทำขวัญด้วยสินะ คุณจะเอาเท่าไหร่?” เขาเสนอทางเลือกที่ง่ายที่สุด เพื่อที่จะเลิกแล้วต่อกันไปไวๆ แต่จนใจที่อีกฝ่ายกลับคิดตรงกันข้าม เหมือนไม่ต้องการยินยอมให้เรื่องนี้จบลงได้ง่ายดายปานนั้น

                “ไม่เอาโรงพยาบาลสิ คุณจะให้ผมบอกเขาว่าได้แผลมายังไง? อยากให้ในหน้าข่าวบันเทิงพรุ่งนี้ได้เขียนเรื่องช่างภาพชื่อดังบันดาลโทสะทำร้ายนายแบบเหรอครับ?” คยองซูขมวดคิ้ว คนเบื้องหลังอย่างเขาแม้ไม่ต้องรักษาหน้าเท่าคนที่ทำเบื้องหน้า ทว่าเรื่องจะให้ตัวเองมีข่าวเสียหายปรากฏอยู่บนหนังสือพิมพ์สักฉบับเขาก็ไม่ได้พิสมัยแต่อย่างใด

    ชายหนุ่มตอบออกไปเสียงขุ่นด้วยแรงอารมณ์

                “มารยาเก่งนักก็โกหกไปสิ” อย่างที่เมื่อครู่โทรเรียกเขาออกมานั่นไง “อะไรก็ได้” มีทางตั้งเยอะที่จะให้พวกคนที่โรงพยาบาลไม่สนใจ

    “จะบอกว่าคุณโง่เดินหกล้มเองก็ไม่มีใครสงสัยหรอกน่ะ”

    เขาสรรคำมาว่าอย่างจงใจเสียดสี บวกกับแรงอารมณ์ที่กำลังคุกรุ่น ดังนั้นจึงรุนแรงอยู่บ้าง

    ทว่าอีกฝ่ายกลับแย้มยิ้มขึ้นราวกับไม่ได้ยินคำผรุสวาทไม่รื่นหูเหล่านั้น

                “มีวิธีที่ง่ายกว่านั้นนะคุณคยองซู...” ...กล่าวออกมาเสียงเรียบเฉยเดาอารมณ์ไม่ถูก “พาผมไปทำแผลที่บ้านคุณไง...”

     

                คยองซูเริ่มรู้สึกเสียใจตอนที่แตะคีย์การ์ดเปิดห้อง ยังไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดตัวเองถึงยอมรับข้อตกลงของไอ้เด็กบ้าไร้สัมมาคารวะอย่างนี้ได้ ทว่าสุดท้ายก็ยังเบี่ยงตัวออกให้อีกฝ่ายเดินเข้าไปด้านในแล้วปิดประตูตามหลัง

                “นั่งตรงโซฟานั่นไป ห้ามแตะต้องอย่างอื่นในห้องผม”

                เขาเปิดไฟห้อง ว่าเสียงยังคงเจือความไม่ไว้ใจพลางชี้ไปยังโซฟารับแขกสีขาว ตัดกับผนังห้องสีดำดูมีระดับ ก่อนจะหายไปหากล่องปฐมพยาบาลมาจัดการกับแผลของอีกฝ่าย

                จงอินนั่งลงในตำแหน่งที่ถูกชี้บอกอย่างว่าง่าย ทว่าดวงตากลับสำรวจไปทั่วอย่างสนใจ

                ห้องของช่างกล้องปากร้ายคนนี้ไม่ต่างอะไรกับเจ้าตัวเองเลย ผนังห้องสีดำ เครื่องเรือนสีขาว รกอยู่นิดๆ แบบที่ไม่ได้น่าเกลียดอะไรด้วยของอย่างกองหนังสือถ่ายภาพที่บนโต๊ะ หรือจานชามสามสี่ใบที่ยังไม่ได้ล้างตรงอ่างสแตนเลสที่ในโซนครัว

                ส่วนที่สะดุดตาคนนอกจากเคาน์เตอร์บาร์หรูหราที่มุมหนึ่งของห้องรับแขก...ก็ดูเหมือนจะเป็นภาพถ่ายจำนวนไม่น้อยในกรอบไม้สีขาว แต่ละภาพเหล่านั้น...แม้ขนาดวันเวลาสถานที่โทนสีล้วนแตกต่างกัน ทว่าก็เหมือนมีบางจุดที่ได้ร้อยรัดเชื่อมโยง

                นายแบบหนุ่มแม้ดูไม่เข้าใจ ทว่าก็ค่อยๆ ถูกดึงให้จมลึกลงในภวังค์

                 เสียงวางของลงกับโต๊ะรับแขกเตี้ยๆ เข้าชุดกันทำให้จงอินละความสนใจจากภาพถ่าย มองเห็นว่าอีกฝ่ายเพิ่งวางกล่องปฐมพยาบาลลง พร้อมกับขวดเครื่องดื่มดีกรีไม่เบา และแก้วที่แช่ไว้จนเย็นจัดใส่น้ำแข็งก้อนใหญ่สองแก้ว

                จงอินมองแก้วเครื่องดื่มนั้นด้วยสายตากึ่งคำถาม

                “ผมหายาแก้ปวดไม่เจอ คุณดื่มนี่ไปแล้วกัน”

                อีกฝ่ายว่าเพียงเท่านั้นแล้วรินเครื่องดื่มลงแก้วใบหนึ่ง เลื่อนดันส่งให้แล้วจึงค่อยเปิดฝากล่องปฐมพยาบาล ดึงแขนของอีกฝ่ายเข้ามาจัดการทำความสะอาด

                “ผมไม่ได้เจ็บขนาดนั้นแล้ว...ไม่ต้องก็ได้”

                “บอกให้กินก็กินไป คืนนี้ก็นอนตรงโซฟานี่แหละ เดี๋ยวผมเอาหมอนกับผ้าห่มมาให้”

                ไม่ใช่ว่าจู่ๆ คยองซูก็นึกใจดี อยากแสดงความมีเมตตากับเจ้าเด็กอวดดีคนนี้ ทว่า...เพราะแผลเกิดจากฝีมือตัวเอง ...จากที่มองมาในรถ ยังลึกและสาหัสกว่าที่คิดไว้ตอนแรก...  เพื่อไม่ให้ขัดแย้งกับมโนธรรมในใจ เขาจึงได้แต่ข่มความรู้สึกไม่ชอบขี้หน้า ให้ความช่วยเหลือไปตามที่สมควร

                 ช่างภาพหนุ่มก้มหน้าลง ใช้แอลกอฮอล์ล้างแผลอย่างระมัดระวัง แล้วจึงตามด้วยยา

                จงอินเองก็ไม่ได้เถียงต่อ เพียงแต่ยื่นมือข้างที่ว่างอยู่ออกไปหยิบแก้วเครื่องดื่มที่ถูกบังคับรับมา จิบช้าๆ มองอีกฝ่ายทำแผลให้ตนไปเงียบๆ เช่นกัน

                “แสบไหม”

                “...ไม่เป็นไร”

                บทสนทนาจบลงอีกครั้งอย่างรวดเร็ว และยังคงไม่มีคำพูดใดต่อกันจนกระทั่งการทำแผลเสร็จสิ้นลง

                คยองซูปิดกล่องปฐมพยาบาล ยกลงวางไว้ข้างโซฟาอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนที่จะรินเครื่องดื่มให้ตัวเองลงในแก้วอีกใบ ชายหนุ่มประคองแก้วใสงดงาม ยกแก้วบรรจุเมรัยเย็นฉ่ำขึ้นเทลงคอ...ทั้งสิ้นทุกหยดในรวดเดียว

                “มองอะไร”

                ช่างภาพหนุ่มถามพลางใช้หลังมือเช็ดมุมปากเปรอะเปื้อน

                “...เปล่า” แม้อีกฝ่ายจะตอบออกมาอย่างนั้น แต่คยองซูก็พอมองออกถึงความประหลาดใจที่อีกฝ่ายมีต่อตน

                ช่างภาพหนุ่มรินเหล้าแก้วใหม่ คราวนี้ยกขึ้นจิบช้าๆ ละเมียดละไม พูดขึ้นมาลอยๆ

                “วันนี้ตั้งใจจะดื่มเต็มที่แท้ๆ แต่เพราะหมีที่ไหนไม่รู้ถึงได้ต้องกลับไว”

                “...”

                “เสียอารมณ์ชะมัด ยังไม่ทันเมาเลย”

                ประโยคที่ใช้แม้เป็นเชิงกล่าวหา ทว่าในน้ำเสียง...ความไม่พอใจก็จางลงไปมากแล้ว ฟังดูก็รู้ว่าเป็นการแค่บ่นไปเรื่อย ไม่ได้จริงจัง

                จงอินก้มลงมองแก้วในมือ ก็เห็นว่าของเหลวข้างในลดลงไปเกือบครึ่งค่อน

                นายแบบหนุ่มยกที่เหลือขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด แล้วยื่นแก้วที่ว่างเปล่าออกไป

                “...ผมไถ่โทษ...ดื่มเป็นเพื่อนคุณแล้วกัน”

                คนอายุมากกว่าเผยยิ้มบางที่มุมปาก หัวเราะ ลืมเลือนไปชั่วขณะว่าได้ถูกอีกฝ่ายลูบคมไปมากเพียงไหน บ่นออกมาทำนองว่า นี่มันการไถ่โทษตรงไหนกัน ทว่าก็ยังยกขวดเทของเหลวสีอำพันลงเติมให้

                แก้วแล้วแก้วเล่าหมดพร่อง....

                ในที่สุด...คน...ก็เมามาย

                จงอินปรือตา ความรู้สึกปวดตุบที่แขนเหมือนห่างไกลออกไป

                ในช่วงเวลาก่อนที่สติจะหลุดลอย ...จมดิ่งสู่ห้วงแห่งการหลับใหล... หนุ่มน้อยขยับปากพึมพำ ถามออกมาด้วยเสียงแผ่วเบาที่ไม่ทราบว่าอีกฝ่ายได้ยินหรือไม่

              “ทำไม...ถึงได้ใจร้ายกับผมนักล่ะ...คุณคยองซู...”

                ชายหนุ่มเจ้าของชื่อไม่ได้ตอบ เงาเรือนรางที่เห็นอยู่ในครรลองสายตาก็บอกไม่ได้ว่าอีกฝ่ายหลับไปแล้วหรือยังตื่นอยู่ แต่จากความเงียบงันที่ได้รับ เขาก็ได้แต่คิดว่า...คงไม่ได้ยินกระมัง

                ร่างสูงเอนหลังลง หลับตา... ไม่นานจังหวะการหายใจก็กลายเป็นลึกยาว

                ไม่ทราบเช่นกัน ว่าหลังจากลืมตาขึ้นในครั้งหน้า จะสามารถจดจำได้หรือลืมเลือนไป ว่าก่อนหน้าที่จะหลับไป...ตนได้พูดอะไรออกมา

                ตรงข้ามกัน...คนที่จดจำได้...กลับเป็นคนที่เขาคิดว่าจะไม่ได้ยิน

                คยองซูเอียงแก้วในมือ ปล่อยให้รสแรงร้อนของเมรัยแผดเผาลำคอเชื่องช้า

                พึมพำตอบกลับคำถามที่เมื่อครู่ตนไม่ได้ตอบ

     

              “ก็ถ้าทำตัวดีๆ...ใครเขาจะอารมณ์เสียใส่กันฮึ...เจ้าเด็กโง่...”





    To be continued

    ขอโทษที่เลทนะครับ เมื่อวานเค้ามีสอบง่ะ ; w ; /ซิกๆ 

    #ฟิคดำks



     

    B E R L I N ❀
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×