ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (exo) Niger | Albus (KaiDo - KaiSoo)

    ลำดับตอนที่ #5 : Niger - IV

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 799
      23
      4 พ.ค. 58

    IV

     

                เสียงกริ่งที่บ่งบอกถึงการมาเยือนของแขกที่ไม่ได้นัด ได้ดังขึ้นในเวลาที่ผิดกาลเทศะอย่างที่สุด

                คยองซูมองสบกับดวงตาหวานซึ้งของร่างบางที่บนตัก ดวงตาของทั้งคู่ต่างก็เป็นประกายด้วยกองไฟจุดเล็กๆ ที่ข้างใน ช่างภาพหนุ่มแสดงสีหน้าจนใจเมื่อเสียงเคาะประตูนั้นดังขึ้นอีกครั้ง ถามออกมากึ่งเล่นกึ่งจริง

                “คุณว่าเราแกล้งทำเป็นไม่อยู่ดีไหม”

                หญิงสาวบนตักเขาหัวเราะ ใช้ปลายนิ้วขาวจัดงดงามเกี่ยวคล้องปอยผมของตนเคลื่อนไปไว้ที่ข้างหู เปิดเผยดวงหน้าหวานให้ยิ่งเพิ่มเสน่ห์ยวนเย้าจับใจ ก่อนที่หล่อนจะขยับอย่างเชื่องช้า เปลี่ยนเป็นทิ้งตัวลงนั่งบนที่ว่างข้างกันบนโซฟาสีขาว

                “ไปดูเถอะค่ะว่าใครมา”

                “แต่ผมไม่อยากไปดูนี่นา” ช่างภาพหนุ่มยื่นหน้าเข้าชิดกับพวงแก้มขาว กระซิบเสียงอ่อนหวานด้วยเจตนาเอาใจ ทว่ากลับถูกปลายนิ้วเรียวงามของอีกฝ่ายแตะรั้งไว้... ไม่ให้เข้าใกล้มากกว่านั้น

                “คุณคยองซู...”

                หล่อนกระซิบเสียงหวาน แล้วเขาก็ยินยอม

                คยองซูพรูลมหายใจพลางขยับลุกขึ้น ด้วยอารมณ์ที่ติดจะหงุดหงิดอยู่หน่อยๆ

                วันนี้เขาก็ว่าตัวเองไม่ได้นัดใครเอาไว้แท้ๆ เชียวนะ แถมตอนนี้ก็ไม่จัดว่าเป็นเวลาที่จะแวะมาเยี่ยมเยียนกัน ดังนั้นเขาก็ยังนึกไม่ออกเลย ว่าใครกันที่เป็นคนมือบอนมากดกริ่งที่หน้าห้องในเวลาแบบนี้

                แต่คำตอบปรากฏอยู่ตรงหน้า ...กลับยิ่งเป็นอย่างที่เขานึกไม่ถึงเข้าไปใหญ่

                ก็คนที่รอคอยอยู่ที่หลังประตูบานนั้น...

                “ทำไมถึงได้มาหาผมล่ะครับ คุณไค”

                ช่างภาพหนุ่มออกปากถาม แน่ล่ะ...กับคนที่หายหน้าไปราวกับไม่มีตัวตนตลอดสิบวันที่ผ่านมา เขาก็ควรจะออกปากถาม ปรกติ คยองซูพบปะกับผู้คนมากมายเป็นกิจวัตร ดังนั้นเขาจึงไม่ใช่คนที่ใส่ใจว่าใครจะหายหน้าไปจากชีวิตตนกี่วันๆ ทว่ากับคนที่ส่งของขวัญมาให้เหมือนจะแฝงความหมาย แต่กลับหายหน้าไปไม่ติดต่อหรือปรากฏก็ตัว...ก็อดไม่ได้หรอกที่จะใส่ใจ...

    คิดพลางกวาดสายตาพิจารณาอีกฝ่าย กลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ ที่โชยมาจากร่างสูงโปร่งและแววตาชุ่มฉ่ำคู่นั้นมองปราดเดียวก็ทราบได้... ว่านายแบบหนุ่มตรงหน้ากำลังเมามายอยู่ไม่น้อยเลย

                ฝ่ายคนถูกถามยังไม่ทันตอบคำถามก่อนหน้า หรือบางทีอาจจะไม่คิดจะตอบอยู่แล้วก็ได้ คยองซูก็ถอนหายใจออกมาคำหนึ่ง ดันประตูออกให้กว้างขึ้น และเบี่ยงกายเปิดทาง ยินยอมให้อีกฝ่ายล่วงล้ำเข้าสู่ห้องพักของตน

                “...”

                ร่างสูงเดินเข้าไปตามคำเชิญ...

                และทันทีที่ล่วงเข้ามา...ส้นสูงคู่งามที่ดูอย่างไรก็ไม่มีทางจะใช่ของเจ้าของห้องไปได้ก็เป็นสิ่งแรกที่ปรากฏในสายตา

                สีหน้าของหนุ่มน้อยเยือกเย็นลงอีก ทว่าก็ยังถอดรองเท้าออก วางไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนไม่มีอะไร ...ไม่มีอะไรแม้จะมองเห็นชัดเจนว่าร่างโปร่งประเปรียวของช่างภาพหนุ่มคนนั้นก้าวเข้าไปพูดคุยกับสาวสวยแปลกหน้าที่นั่งอยู่บนโซฟา

                ทั้งสองกระซิบพูดคุยกันสองสามคำ ท่าทางชิดเชื้อสนิทสนม...เกินกว่าจะเป็นเพียงคนรู้จัก ก่อนที่สาวเจ้าจะขยับลุกอ้อยอิ่ง ในกิริยายังไม่ทิ้งความยั่วยวนอันอ่อนหวาน ค่อยๆ ย่างกรายเดินผ่านนายแบบหนุ่มไปโดยมีเจ้าของห้องตามไปส่ง

                จวบจนกระทั่งร่างประเปรียวของหญิงสาวลับหายไปในช่องว่างระหว่างบานประตู และเจ้าของห้องเดินย้อนกลับเข้ามา คิมจงอินก็ยังไม่พูดอะไรแม้สักครึ่งคำ...

                “นั่งสิ”

                เสียงทุ้มของช่างภาพหนุ่มว่าก่อนที่เจ้าตัวจะหมุนตัวก้าวไปอีกทาง แล้วกลับมาพร้อมกับแก้วน้ำเปล่าเย็นเฉียบสำหรับแขกผู้มาเยือน

                จงอินยังไม่ได้นั่งลงตามคำเชิญนั้น ยื่นมือออกมารับแก้วน้ำ สัมผัสได้ถึงความเย็นชื้นที่ส่งผ่านปลายนิ้ว...ทว่าเหมือนไม่มีค่าใด ไม่สามารถช่วยให้บางสิ่งในใจเย็นลง

                ดวงตาเรียวยาวมองวงน้ำที่กระเพื่อมในแก้ว อันเกิดจากการสั่นไหวของมือที่ประคองมันไว้

    ในที่สุดก็แน่ใจ...ว่าตนไม่ได้ ไม่รู้สึกอะไร กับเหตุการณ์ที่ได้เห็นเมื่อครู่นี้อย่างที่ควรเป็น

                “ผู้หญิงคนเมื่อกี้...แฟนหรือ?”

                คำถามนั้นปรกติแล้วด้วยสถานะอย่างพวกเขา ...บางทีก็ออกจะมากเกินไป แต่สถานการณ์ตอนนี้ไม่ได้คล้ายคลึงกับคำว่าปรกตินัก ดังนั้นแทนที่จะนึกอยากกวนอารมณ์อีกฝ่าย คยองซูก็แค่ตอบออกไปง่ายๆ

                “เปล่า เพิ่งเจอกัน”

                “อ้อ”

                อีกฝ่ายเมื่อได้รับคำตอบแล้วก็ส่งเสียงออกมาแค่นั้น เงียบไปอีกพักหนึ่งจึงค่อยถามใหม่

                ...เป็นคำถามที่ไร้ต้นสายปลายเหตุอย่างยิ่ง

                “หนังสือที่ผมให้...คุณได้อ่านรึยัง?”

                คยองซูงงงันไปวูบหนึ่ง ไม่คิดว่าจะถูกถามอย่างนี้ ถึงแม้ในใจเขาเองก็ยังสงสัยถึงความหมายของคำถาม...ของหนังสือเล่มนั้น แต่ช่างภาพหนุ่มก็ยังตอบคำถามออกไปตามจริง

                “...อ่านแล้ว”

                “...” จงอินฟังคำตอบแล้วหลับตา ไม่ทราบว่าในใจรู้สึกเช่นไร ไม่ทราบด้วยซ้ำว่าที่แท้ตนปรารถนาจะได้ยินอะไร ก่อนที่ดวงตาเรียวของนายแบบหนุ่มจะลืมขึ้นใหม่ ในแววตาคู่นั้นวูบไหว...ราวกับอากาศที่สั่นพร่าด้วยความร้อนจากไฟ แม้ว่าใบหน้าหล่อเหลาคมคายดวงนั้นจะเยือกเย็นจนแทบเยือกแข็งก็ตาม

                แก้วน้ำในมือสั่นน้อยๆ อีกครั้ง ก่อนที่จะร่วงหล่นลง กระทบกับพื้น ส่งเสียงบาดหู แตกกระจายออกเป็นเศษซากแหลมคม ทว่า   คยองซูยังไม่ทันว่าอะไร ...บางทีอาจจะไม่ทันรู้ด้วยซ้ำว่าแก้วใบนั้นได้แตกไป ในเมื่อประสาทสัมผัสทุกอย่างได้ถูกดึงรั้งความสนใจ

                “อื้อ...!!

                ด้วยริมฝีปากของอีกคน

     

                จูบอีกแล้ว

                หนที่สามแล้ว...ใช่ไหม... หนำซ้ำหยาบคายอย่างที่สองครั้งก่อนหน้าทาบไม่ติด

                ถ้าเปรียบว่าจูบครั้งก่อนหน้านั้นเป็นการหยามหยันศักดิ์ศรีกันเพื่อเอาชนะ อย่างนั้นครั้งนี้...ก็คงจะเป็นการทุบทำลาย

                มือแกร่งบีบแน่นบนกราม บังคับให้เปิดปากเพื่อแทรกผ่านลิ้นร้อนเข้ามา สัมผัสลิ้มรสอย่างหนักหน่วงจาบจ้วง

                คยองซูขัดขืน แต่เพราะขัดขืน จึงยิ่งรู้สึกว่าศักดิ์ศรีของตนถูกทำให้แตกหัก ก่อนหน้านี้อาจจะยังไม่ชัดเจนนัก แต่ยามเมื่อถูกจุมพิตอย่างลึกซึ้ง ...ในสถานการณ์ที่อีกฝ่ายบีบบังคับด้วยกำลังที่เหนือกว่า ...ปฏิบัติต่อเขาราวกับว่าเป็นผู้หญิง

    เป็นการกระทำ...การดูถูกอย่างที่เกินกว่าผู้ชายคนหนึ่งจะรับไหว

    ถึงแม้เขาจะไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงกราดเกรี้ยวใส่กันถึงเพียงนี้ ทว่าก็ไม่คิดจะยินยอมว่าง่าย ยอมให้ถูกทำร้ายอยู่แต่ฝ่ายเดียว ปลายนิ้วเรียวที่กำแน่นจนซีดขาวของช่างภาพหนุ่มในที่สุดก็ขยับ สอดรั้งเข้ากอบกำเส้นผมของอีกคนไว้

    ...กระชากสุดแรงเท่าที่สามารถจะทำได้

    แรงดึงนั้นทำให้ร่างสูงของนายแบบหนุ่มผงะไปเล็กน้อย ...เพียงเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะเลือกเมินเฉยต่อความเจ็บชาที่ได้รับ บดจูบเข้าหาอีกคนอย่างรุนแรงกว่าเดิม ตอกย้ำความไร้กำลังของอีกฝ่ายให้ยิ่งประจักษ์ชัด แต่ในจังหวะที่ชายหนุ่มกำลังจะหมดสติเพราะขาดอากาศ

    มันก็สิ้นสุดลง

    “...โดคยองซู...”

    เสียงเรียกชื่อจากริมฝีปากที่เคลียคลออยู่กับพวงแก้มนั้นแหบต่ำ...ราวกับเสียงคำรามของสัตว์

    ลมหายใจเจือกลิ่นเมรัยที่ปัดเป่ารดริน...ก็ให้ความรู้สึกน่าหวั่นกลัว

    “ทำไมคุณถึงทำให้คนโกรธได้เก่งนัก”

                คิมจงอินไม่ได้พูดเกินเลยไป

                เขากำลังโกรธ...อย่างยิ่ง

                เพียงแค่คำตอบที่แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายเมินมอง ไม่ได้ให้ความสำคัญ เพียงคิดแค่นั้น ข้างในเหมือนถูกแผดเผาด้วยไฟ ร้อนจนทำให้สมองแทบละลาย ...สำนึกผิดชอบชั่วดี เหตุผลและศีลธรรมทั้งหลาย ล้วนถูกลบเลือนล้างไป

    มือแกร่งบีบแน่นที่ต้นแขนขาวจัด มั่นใจนักว่าภายหลังจะเกิดเป็นรอยมือแดงช้ำบนนวลผิว

                และใช่...นั่นล่ะสิ่งที่เขาต้องการ

    ในเมื่อโดคยองซูเลือกที่จะมองข้ามเมินเฉยต่อเขา อย่างนั้นก็ได้... ถ้าจะเอาอย่างนั้นเขาจะสร้างรอยประทับไว้ ...ให้รู้ไป ว่าหากรอยตรานั้นใหญ่พอ ...อีกฝ่ายยังจะกล้าทำเป็นมองไม่เห็นเขาอยู่อีกไหม

    นายแบบหนุ่มเหวี่ยงกระชากร่างประเปรียวของอีกฝ่ายลงกับโซฟาสีขาวที่กลางห้อง แล้วเบียดทับทาบไว้ รวบสองมือที่พยายามขัดขืนมัดไว้แน่นหนาเหนือศีรษะด้วยเข็มขัดหนังที่เพิ่งปลดออกมาของตัว

    !!?

    คยองซูรู้ว่ากำลังจะต้องเผชิญกับอะไร

    ความหวาดกลัวค่อยๆ ตีรวนขึ้นจนถึงลำคอ ทว่าก็ยังพยายามจะฝืนคงความเข้มแข็งไว้

                “...คุณไม่กล้าหรอก”

                เสียงทุ้มพร่าเสียงนั้นยิ่งเหมือนเชื้อไฟที่โยนซ้ำเติมลงมา ...ทำให้ไฟกองนั้นที่ชัชโชติโรจน์เรือง ยิ่งผลาญเผารุนแรง

                จงอินบิดริมฝีปากคลี่ออกเป็นรอยยิ้ม...ชั่วร้าย

                เลื่อนมือเข้าปลดกระดุมเสื้อของอีกฝ่ายทีละเม็ดอย่างเชื่องช้า ชมดูสีหน้ากึ่งหวาดหวั่นกึ่งกราดเกรี้ยวของคนใต้ร่างผ่านม่านโทสะแดงฉาน ผ่านความมึนเมาที่ทำให้พร่าเบลอ

                ...รู้สึกว่าภาพที่เห็นนี้ช่างสวยงาม น่าดึงดูดใจ

                จวบจนกระดุมเม็ดสุดท้ายถูกปลดออก... กางเกงผ้าเนื้อดีที่อีกฝ่ายสวมใส่ถูกรั้งลงต่ำ ความงดงามของสรีระ...ความอ่อนแอเปราะบางที่สุดได้ถูกบังคับให้เผยออกต่อหน้าเขาโดยไร้สิ่งกำบัง

                “คุณ...ไม่กล้าแน่”

                เสียงนั้นเบา...เบาลงยิ่งกว่าครั้งก่อนหน้า กระทั่งหางเสียงยังปรากฏความลังเลใจ ไม่เชื่อถือในคำพูดของตัว

                นับประสาอะไรกับคนที่ถูกปรามาส

     

    “ไม่...ผมกล้า”

               

                สิ้นคำ...เหมือนจะยืนยันคำพูดนั้น ความรุ่มร้อนของอีกฝ่ายก็เบียดแทรกเข้ามา

    เป็นการฝืนบังคับอย่างไม่ต้องสงสัย ร่างกายของช่างภาพหนุ่มไม่ได้ถูกทำให้เตรียมพร้อมกับการรุกรานที่ไม่รู้จักไม่เคยสัมผัสมาก่อน ดังนั้นมันจึงยากเย็นและเจ็บปวดอย่างยิ่ง

                “อึก...” คยองซูเม้มกลีบปากแน่น...แน่นจนปริแตก ทว่าก็ไม่ได้ช่วยลดทอนความเจ็บปวดที่เบื้องล่าง ยิ่งเขาพยายามเกร็งขืนต้านทาน มันยิ่งเจ็บ...ราวกับร่างทั้งร่างกำลังจะถูกแยกจากกันทั้งเป็น

                “เอาสิ คยองซู” เสียงแหบต่ำของสัตว์ร้ายตัวนั้นยังคงกระซิบหลอกหลอน

                “ผมจะรอดูว่าคุณจะดื้อด้านได้ถึงไหน”

                ยั่วเย้าอยู่ที่ข้างหู ฝืนข่มให้เขากลืนกล้ำความอัปยศที่ถูกยัดเยียดให้

                ปลายนิ้วเรียวติดจะสากอยู่บ้างของอีกฝ่ายเลื่อนขยับ แตะต้องลงบนหน้าท้องขาวผ่านรอยแยกของสาบเสื้อ ไต่ตามผิวกายนวลลออ...ลากไปที่สีข้าง และเรื่อยขึ้นมาทีละนิดจนถึงท้ายทอย นวดเฟ้นร่างกายที่พยายามจะเครียดเกร็งให้ผ่อนคลายอย่างไม่รีบร้อน

                สัมผัสนั้นทำให้ช่างภาพหนุ่มเริ่มดิ้นอีกครั้ง จนหัวไหล่กระทบเข้ากับกล้องคู่ใจที่วางไว้ตรงที่เท้าแขน

                ความมาดร้ายอย่างสัตว์ที่ถูกทำให้บาดเจ็บวาบผ่านประกายในดวงตา

                ชายหนุ่มบิดข้อศอกในองศาที่ฝืนตัว เหยียดหยิบกล้องราคาแพงของตนมาไว้ในมือ กลั้นลมหายใจ...แล้วเหวี่ยงลงสุดแรง

                เป็นโชคร้ายของช่างภาพหนุ่มที่จงอินเบี่ยงกายหลบได้ทัน แม้จะไม่หมดจดนัก ทว่ากล้องตัวใหญ่น้ำหนักมากตัวนั้นก็เพียงเฉียดผ่านหางคิ้วไป ทิ้งรอยแตกเล็กๆ เอาไว้ ไม่ใช่บาดแผลที่สาหัสกว่านั้น

                ฟางเส้นสุดท้ายที่ยึดทุกสิ่งไว้ได้ขาดออก

                นายแบบหนุ่มแค่นหัวเราะ ความร้อนวาบที่ขมับยังไม่ได้ครึ่งของไฟในใจ เขาสอดแขนเข้ารองใต้ข้อพับเข่าของอีกฝ่าย ...จับยึดไว้เพื่อที่จะดึงดันรุกล้ำลึกเข้าไป...ให้ลึกยิ่งขึ้น...ให้มากยิ่งขึ้น...

                “อื๊อ...!!

                กระชากพา...ให้คนใต้ร่างตนจมดิ่งลงสู่สายน้ำเชี่ยวกรากดั่งมรสุม

                โดยที่ไม่ทันรับรู้ว่ากล้องตัวสวยที่หลุดมืออีกฝ่ายไปนั้น บังเอิญถูกกระทบกระแทกจนเปิดทำงาน ... สะท้อนเหตุการณ์ทุกอย่างลงบนเลนส์...

              ทุกอย่าง...

               

                กว่าที่เพลิงกองนั้นจะมอดไป ก็ล่วงเข้าสู่รอบเวลาของวันใหม่ ในความเงียบสงัดของยามใกล้สาง...จงอินพิงกรอบประตูที่กั้นระหว่างห้องรับรองกับระเบียง จุดบุหรี่สูบเพื่อกลบฝังกลิ่นคาวจางๆ ของความใคร่ที่ยังลอยอ้อยอิ่งในอากาศ

    สีหน้าของนายแบบหนุ่มปราศจากความสาแก่ใจ มีอยู่แต่เพียงความว่างเปล่าไร้อารมณ์ ยิ่งยามทอดมองสิ่งของในมือ...กระทั่งแววตา ยังไม่สั่นไหวแต่อย่างใด

    อึก...ไม่...หยุดที

              ได้...โปรด...

    ภาพที่ฉายให้เห็นบนหน้าจอแคบเล็กของกล้องถ่ายภาพ ชัดเจนเพียงพอที่จะบอกได้ว่าใครเป็นใคร...และยิ่งกว่าพอ...ที่จะมองเห็นถึงความเคลื่อนไหวของทั้งสองคนในภาพนั้น

                ดวงตาเรียวคมยังคงจดจ้องภาพบันทึกที่ค่อยๆ ฉายเหตุการณ์ให้เห็นซ้ำอีกครั้ง แต่ในตอนที่กำลังตัดสินใจว่าควรจะทำอย่างไรกับมัน เสียงแหบโหยเรียบเย็นของใครบางคนก็ได้สาปให้เขานิ่งงันไป

                “...กำลังดูอะไร”

                ดวงตาเรียวยาวหันมอง...ตื่นตระหนกอยู่บ้าง เมื่อเห็นคนที่เขาคิดว่าอ่อนเพลียจนหลับไป กำลังใช้ดวงตาไร้อารมณ์จ้องตอบกลับมาจากโซฟากลางห้อง

                “ผมถามว่าคุณกำลังดูอะไร”

                คยองซูทวนคำถาม ทว่าที่จริงแล้วไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น เสียงกรีดร้องน่าสมเพชของตนที่ยิ่งดังชัดเจนขึ้นทุกขณะได้ให้คำตอบกับเขาโดยที่ไม่จำเป็นต้องมองดูภาพที่บันทึกไว้ด้วยซ้ำ

    และที่เลวร้ายกว่า...คือการที่เขาได้ยินเสียงหัวเราะต่ำช้าแว่วดังคลออยู่ด้วยกัน

                คยองซูหลับตาลง...ความทรงจำเลวร้ายผุดพรายขึ้นในความมืดมิดหลังเปลือกตา

                สีหน้าของช่างภาพหนุ่ม...ราวกับพร้อมจะแตกสลายลงในอีกวินาทีใดวินาทีหนึ่งข้างหน้า

                ทว่านายแบบผิวแทนเพียงดับบุหรี่ในมือลงด้วยการขยี้ปลายแดงฉานลงกับราวระเบียง กล่าวประโยคร้ายกาจออกมา

                “ถ่ายออกมาได้ดีนะ คุณจะดูไหม?”

                เสียงนั้นมีความเยาะหยันแสดงอยู่...มาก...ผิดนิสัยของเจ้าตัว ทว่าคนที่ถูกถ้อยคำนั้นทิ่มแทงทำร้าย ไม่มีปัญญาจะขบคิดพิจารณาถึงความผิดปรกติอันใด รับรู้ได้แต่เพียงคมของคำที่กระหน่ำซ้ำเติมเข้าใส่ เหยียบย่ำศักดิ์ศรีที่ยับย่อยของตนซ้ำแล้วซ้ำอีก

                “คุณว่าถ้าใครมาเห็นนี่จะเกิดอะไรขึ้น?” จงอินว่าเหมือนถามไถ่ถึงดินฟ้าอากาศ ทว่าคำที่ถามนั้นไม่ต้องบอกชัดเจนก็ทราบความหมาย คลิปวิดีโอบัดสีอย่างนี้...ย่อมเพียงพอที่จะทำลายชีวิตของใครต่อใคร

                ยามเมื่อได้ยิน...คยองซูก็รู้ขึ้นในใจ...ว่าอีกฝ่ายคิดจะข่มขู่ตน

                ช่างภาพหนุ่มสูดลมหายใจ ลึก...และยาว ไม่คิดจะยินยอมเป็นลูกไก่ในกำมือให้อีกฝ่ายชี้นิ้วสั่งกะเกณฑ์ได้อย่างใจ ในเมื่อเขาไม่ใช่ผู้หญิงหน้าบางที่จะต้องอับอายต่อผู้คนเมื่อถูกข่มเหงรังแก

    แก้วที่เดิมทีคนนึกว่าเปราะบางใกล้แตกร้าว ทว่าแท้จริง...กลับเข้มแข็งและคงประกายเจิดจ้าเสียจนสามารถทำให้ผู้คนดวงตาพร่าพราย เสียงทุ้มค่อยๆ กล่าวช้าๆ ขึ้นมาทีละคำ

              “ผมจะแจ้งความ”

                “แน่ใจ?”

                “อย่าคิดว่าผมไม่กล้า ...คุณไค” น้ำเสียงที่ใช้เยียบเย็น และเยือกเย็นกว่าที่รู้สึก “กับคนเบื้องหลังอย่างผม ไม่มีใครสนใจนักหรอก ว่าจะขึ้นเตียงกับใคร แต่กับนายแบบน่ะมันไม่ใช่...ถ้าคุณไม่คาดหวังกับชีวิตในวงการนี้ของตัวเองแล้ว... จะเอาคลิประยำนั่นไปโพนทะนาที่ไหนก็เชิญ”

                จงอินหัวเราะ พลางดึงเมมโมรี่การ์ดออกจากตัวกล้องมาถือไว้ กล่าวอย่างไม่อนาทรร้อนใจ ด้วยรู้ดีว่ามันไม่มีทางเป็นเรื่องง่ายดายปานนั้น

                “ผมก็อยากจะรอหมายศาลจากคุณอยู่หรอกนะ”

                นายแบบหนุ่มยิ้มยั่วเย้า เดินกลับเข้ามาด้านใน โยนกล้องคืนให้คนปากกล้าที่ยังคงนั่งอ่อนแรงอยู่บนโซฟา

                “แต่ไม่มีเมมโมรี่การ์ดนี่แล้วคุณจะหาหลักฐานจากไหนมาเอาผิดผมกันล่ะ หือ?”

                คยองซูยังคงรั้งสีหน้าเยือกเย็นให้แสดงไว้ ต่อปากต่อคำกลับไป ...เผชิญหน้ากันด้วยเหลี่ยมคมที่ใช้สำหรับปกป้องตัวเอง

                “ถ้าคุณปล่อยคลิปเมื่อไหร่ ผมก็จะมีหลักฐานเอาผิดคุณทันที”

                ฟังจนจบประโยคที่ตอบโต้ที่ทำให้ความเป็นต่อของตนหายไป จงอินก็แสร้งเสทำเสียงประหลาดใจ ชี้ให้เห็นไปว่าถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายมีแต้มต่อมากกว่าตน “คุณกำลังจะบอกว่าถ้าผมไม่ปล่อยคลิปซะอย่าง คุณก็ฟ้องผมไม่ได้ใช่ไหม?”

                “หึ”

                ถึงคราวที่คนอายุมากกว่าแค่นหัวเราะออกมาบ้าง ในดวงตากลมเข้มงดงามเป็นประกายด้วยความมาดร้ายบางประการ ซุกซ่อนกลบฝังความอ่อนแอทั้งสิ้นไว้ข้างใน

                เขาจะอ่อนแอไม่ได้...จะแพ้ไม่ได้...

              ไม่อย่างนั้นจะถูกกองไฟ...กลืนกินจนกลายเป็นเพียงธุลี

                ศักดิ์ศรีความเป็นคนของเขาถูกหยามหมิ่นเหยียบย่ำไม่เหลือชิ้นดี แต่มันจะไม่จบแบบนี้...

    “คุณไค...ติดคุกคดีข่มขืนน่ะอย่างมากก็ไม่กี่ปี...แต่คุณรู้ไว้เถอะว่าผมเองก็มีวิธี...ที่จะไม่ให้คุณมีที่ยืนบนแผ่นดินนี้ ...มีชีวิตอยู่ยังเลวร้ายยิ่งกว่าตาย!

                จะไม่จบลงแบบนี้อย่างแน่นอน



     

    To be continued

                    เนื้อหาจริงๆ ไม่มีอะไร ดังนั้นเคสไม่ซ่อนลิ้งค์นะครับ มันไม่มีอะไรเนาะ... /ไม่มีจริงๆ นะ (...) ใสใสกว่าฟิคขาวแน่นอน /เหรอ

                    อ่านแล้วคิดใคร่อยากตบจงอินคนละกี่ฉาด สามารถระบายใส่คอมเม้นท์ หรือสกรีมผ่านแทกกันได้นะครับ (หัวเราะ) เจอกันใหม่ตอนหน้าน้าาาา

    #ฟิคดำKS

     



     

    B E R L I N ❀
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×