ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (exo) Niger | Albus (KaiDo - KaiSoo)

    ลำดับตอนที่ #8 : Niger - VI

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 711
      17
      4 พ.ค. 58

    VI

     

    “แสดงให้ผมเห็นหน่อยสิ คุ-ณ-ไ-ค”

                คิมจงอินมองช่อลิลลี่ที่เคยงามแสนงามนอนนิ่งบนพื้น... เคียงข้างปลายเท้าเรียวงามที่ถูกห่อหุ้มในรองเท้าหนัง

                เขาทราบดีว่าการกระทำอย่างนั้น หมายความว่าอย่างไร

                นายแบบหนุ่มหลับตา คมฟันบดเบียดกันจนเกิดเสียง เช่นเดียวกันกับเรียวคิ้วเข้มคมที่ขมวดยับยุ่ง

    “เอ้า เป็นอะไร จะมาขอโทษไม่ใช่หรือ? ผมก็รออยู่นี่ไง”

                คยองซูมองกิริยาอย่างนั้นด้วยสีหน้าอย่างเดิม พลางวางแขนลงกับพนักโซฟา ใช้ปลายนิ้วเคาะช้าๆ เหมือนกำลังรอคอยจริงดังคำว่า และตรงข้ามกับสีหน้าเยาะยิ้มเย้ยหยันของเขา อารมณ์ที่แสดงออกบนใบหน้าคมคายหล่อเหลาของคนอายุน้อยกว่า กำลังปนเปยุ่งเหยิงอยู่ระหว่างกราดเกรี้ยวและพยายามอดทน

                ช่างภาพหนุ่มครุ่นคิดอยู่ว่าอีกฝ่ายอาจจะอาละวาดใส่เขาในอีกวินาทีข้างหน้า ทว่าก็เป็นตอนนั้นที่ร่างสูงค่อยๆ ย่อตัวลงเชื่องช้าอย่างเหนือความคาดหมาย

                เสียงแตะเข่าลงบนพื้นพรมเบาจนแทบไม่ได้ยิน ทว่ายามเมื่อมองภาพนั้นด้วยสองตา ...ในอก...ก็เหมือนมีก้อนตะกั่วก้อนหนึ่งทุ่มถ่วงจมดิ่งลง

                “...” คยองซูไม่ว่าอะไร ทว่าก็หยุดคลี่ยิ้มแล้ว ชายหนุ่มบดบี้ปลายบุหรี่ลงกับแท่นเขี่ย ทำสีหน้าเฉยชาอย่างยิ่งยามทอดสายตามองศีรษะของอีกฝ่ายที่โน้มลงมาช้าๆ...

                เนิ่นนาน...ปานชั่วนิรันดร์

                ...กว่าที่หน้าผากของจงอินจะแตะจรดลงกับพื้น แสดงออกถึงความศิโรราบปราชัย ที่ถูกบังคับให้ยอมรับ พร้อมกับศักดิ์ศรีทั้งสิ้นที่แหลกลาญ ...

                “...”

                โดคยองซูหายใจติดขัดไปจังหวะหนึ่ง มองศีรษะได้รูปที่วางนิ่งอยู่แทบเท้า

                คำนั้นที่ปรากฏขึ้นคำแรกให้ภวังค์ความคิด ชนะ...?

    นี่หรือไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ ศักดิ์ศรีความเป็นคนของเขาที่ถูกหยามหมิ่นเหยียบย่ำไม่เหลือชิ้นดี บัดนี้ไม่ใช่ว่าได้ถูกตอบสนองคืนให้โดยไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ผลลัพธ์ของสงครามที่รบราระหว่างกัน ผู้ชนะท้ายที่สุดก็เป็นเขา

    ชนะ...?

    ...ใช่ เขาเป็นฝ่ายชนะไม่ใช่หรือไง? แม้จะชนะแล้ว... เหตุใดกลับไม่รู้สึกสาสมใจ? เหตุใดจึงได้รู้สึกราวกับพ่ายแพ้?

                ช่างภาพหนุ่มเลื่อนปลายนิ้วหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูทลำลองสีเข้มที่สวมใส่ หลับตาและดึงปลายเท้าหนีห่างจากคนที่ก้มหัวให้ตามคำสั่งของตัว กอบกำจนกระดาษแผ่นน้อยในมือนั้นยับยุ่ง ถามออกมาเสียงแผ่วหวิว

                “ยากกว่าหรือ?”

    อะไร...? คนฟังงงงันไปวูบหนึ่งกับคำถามนั้น ทว่าในวินาทีต่อมาของบางอย่างก็ถูกปาเข้าใส่ ...ไม่... ไม่เจ็บปวด ของที่อีกฝ่ายปาเข้าใส่ คล้ายจะเป็นเพียงแผ่นกระดาษเล็กๆ ที่ถูกขยำรวมกันเป็นก้อนเท่านั้น ทว่าเขาก็ยังสงสัย เมื่อมันถูกปามาพร้อมกับเสียงเกรี้ยวกราดที่เขาไม่ทราบถึงต้นสายปลายเหตุแม้สักนิด

    “การพูดบอกเหตุผลออกมามันยากกว่าการหมอบกราบกรานลงหรือไง?”

    เสียงทุ้มของโดคยองซู ที่ยิ่งนานยิ่งโกรธเกรี้ยวยิ่งสั่นเครือ ร่างประเปรียวของชายหนุ่มลุกขึ้นจากโซฟา มองคนที่ยังคงค้อมศีรษะอยู่ ในที่สุดก็ไม่อาจอดทนเอาไว้ เค้าตะคอกถาม...เสียงโกรธเกรี้ยวขุ่นเคือง ยังแฝงความตัดพ้ออยู่เจือจาง

                “อะไรที่รั้งไว้ไม่ให้พูด! ที่ทำให้ไม่ยอมบอกกัน! ถ้าฉันไม่เจอมันเมื่อวานจะรู้อะไรไหม!?”

                ความรู้สึกอึดอัดในอกยังไม่ระบายออกไป ดังนั้นในตอนที่อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมา ช่อลิลลี่ที่ถูกทิ้งขว้างในตอนแรกจึงถูกก้มหยิบขึ้น และปาเข้าใส่อีกครั้งเต็มแรง

    “อยากจะถูกเกลียดไปชั่วชีวิตมากนักหรือไง คิมจงอิน!?”

    คยองซูเมินหน้าไม่แม้แต่จะรอดูผลงานของตน ไม่สนใจกระทั่งคำตอบของคำถามที่ตนได้ถามไป เขาย่ำเท้าเดินออกจากห้องพัก เสียงฝีเท้าแน่นหนักตามด้วยการปิดประตูรุนแรง ทิ้งจงอินที่ยังไม่เข้าใจ... ไม่เข้าใจจนกระทั่งมองเห็นแผ่นกระดาษที่ถูกปาเข้าใส่ตัวเองในทีแรก...

    แผ่นกระดาษสีอ่อนนั่นคุ้นตาเหลือเกิน

    นายแบบหนุ่มคว้าเอาเจ้าก้อนกระดาษแผ่นนั้นมาคลี่ออกอ่าน กิริยาแฝงความร้อนรนอยู่บ้าง พลางนึกทบทวนถึงคำที่อีกฝ่ายพูดก่อนจะออกไป เห็นชัดเจนดีแล้ว...หัวใจ...ก็พลันบีบแน่นในอก

    มันเจ็บปวด...ใช่... ทว่าก็กำลังเต้นแรงขึ้นราวกับจะกระดอนออกมา จงอินไม่ทราบว่ารสชาตินั้นเป็นอย่างไร หรือที่แท้มาจากความรู้สึกแบบไหน ที่เขาทำได้มีเพียงการผุดลุกพรวดขึ้นยืน

    เขาต้องตามไป...

    ขายาวก้าวย่างรีบเร่ง ไม่นานนักก็ทันคว้าร่างของอีกฝ่ายเอาไว้

    “...คุณ...คยองซู...” นายแบบหนุ่มเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างไม่แน่ใจขณะพยายามมองสบสายตากับอีกฝ่ายที่เอาแต่ก้มหน้าลง ทำให้เขาได้เห็นแค่เพียงปลายจมูกและกลีบปากอิ่มเต็มผ่านปลายผมที่ปกปิดใบหน้าครึ่งบนเอาไว้

    ปลายนิ้วเรียวสั่นระริกแตะลงกับกรอบหน้าอ่อนเยาว์ผิดอายุ... ค่อยๆ บรรจงเชยใบหน้าของอีกฝ่ายให้เงย

    “เมื่อกี้...คุณบอกว่าเพิ่งจะเห็นโน้ตข้อความของผม...ใช่ไหม?” จงอินมองลึกลงในดวงตาคมหวานงดงาม ปรารถนาจะค้นหาสิ่งใดก็ตามที่ถูกซุกซ่อนไว้ เขาเห็นอะไร...

    เขาเห็นความชิงชังจากในลูกแก้วแสนสวยคู่นั้น ยังมีความกราดเกรี้ยวไม่พอใจ แต่...ที่ชัดเจนจนไม่อาจจะมองข้ามได้ คือความเปราะบางไม่มั่นคงอย่างหนึ่งที่สะกดผู้คน

    “...”

    โดคยองซูไม่จำเป็นต้องพูดอะไร เขาก็เข้าใจ วินาทีนี้เป็นวินาทีแรกที่จงอินตระหนักได้แจ่มชัดยิ่งกว่าเคยว่าตัวเองได้ทำเรื่องสาร-เลวร้ายกาจอะไรลงไป ...ความผิดบาปอีกชั้นหนึ่งเคลือบคลุมหัวใจ ทำให้ใจที่เขาคิดว่าเจ็บจนไม่สามารถจะเจ็บกว่านี้ได้...ได้รู้ว่าความคิดเช่นนั้นมันผิด...

    ความรู้สึกได้กลั่นเป็นหยด... แต่ละหยดรวมหล่อกลายเป็นถ้อยคำ

    “คุณคยองซู ผมขอโทษ...”

    ...คำขออภัยจริงใจเข้มข้นที่แฝงไว้ในประโยคสั่นเครือ ยังกระทบใจผู้คนยิ่งกว่าการก้มหัวกราบกรานที่เพิ่งได้รับเสียอีก

    ทว่าคนฟังยังทำเพียงมองนิ่ง ขืนใบหน้าออกจากการประคองของเรียวนิ้ว กล่าวออกมาราวกับไม่ได้ยิน

    “หลีกทางเถอะครับ คุณไค ผมยังมีงาน”

    มือขาวปัดมือที่แตะค้างอยู่กับข้างแก้มของตนออกพ้นทาง ดันอีกฝ่ายออกด้วยแรงที่น้อยยิ่งกว่าที่คิดไว้ ไม่ใช่ว่าคิมจงอินเปลี่ยนเป็นไร้กำลัง ทว่าน้ำหนักของน้ำร้อนจัดหยดหนึ่งที่บนหลังมือ เพียงพอให้เขาเข้าใจ...พอให้คิดไปเอง...

    นายแบบหนุ่มก้าวถอยหลังตามแรงผลัก...ยินยอมปล่อยอีกฝ่ายออกอย่างว่าง่าย ทว่าในตอนที่ร่างเพรียวนั้นก้าวเดินผ่านกายไป...เขาก็ถามด้วยเสียงเบาหวิว...

    “วันนี้ ถ้าเลิกงานแล้ว...ผมขอคุยด้วยได้ไหม?”

    คยองซูไม่ได้ตอบคำถาม ใบหน้าของชายหนุ่มไร้อารมณ์เหมือนหน้ากาก หากปราศจากความรู้สึกร้อนลวกแจ่มชัดที่ยังคงแผดเผาหลังมือ ...และละอองความเปียกชื้นเล็กน้อยบนแพขนตาของอีกฝ่าย คิมจงอินก็คงจะเข้าใจว่าอีกฝ่ายไม่หลงเหลือความรู้สึกใดต่อกัน

    “...ผมจะรอ เย็นนี้...ผมจะรออยู่...ที่นั่น”

    กระดาษแผ่นน้อยแผ่นเดิมที่ยับย่นจนแทบไม่สามารถอ่านอะไรออกได้ถูกบังคับให้รับไว้ในอุ้งมือ

    ...กระดาษแผ่นนั้นที่ได้กลายเป็นชนวนเหตุของสงครามครั้งใหม่...ที่เขานึกว่าอีกฝ่ายไม่ได้ใส่ใจ... ที่แท้จริงแล้วเป็นเพียงการเล่นตลกร้ายของโชคชะตา

    ดวงตาคมหวานหลุบมองโน้ตข้อความที่ได้รับเป็นหนที่สองแล้วเพียงพริบตา

    “เหอะ”

    ทว่าครั้งนี้...ช่างภาพหนุ่มได้เลือกจะโยนมันทิ้งลงไปต่อหน้าเจ้าตัวแล้วก้าวจากไป

    มันสายเกินไปแล้ว...

    ...มันช้าเกินไป

     

    คืนนั้น...ฝนตก

    และโดคยองซูไม่ได้ไปตามนัดหมาย คราวนี้ไม่ใช่เพราะเขาไม่ทราบ...หากแต่เป็นการเลือกแล้วอย่างจงใจ

    ชายหนุ่มขังตัวเองอยู่ในห้องพัก ตั้งแต่กลับมาถึงก็นั่งนิ่งอยู่บนกรอบประตูกั้นระหว่างห้องรับแขกกับระเบียงกว้างขวาง เหม่อมองสายฝน...ตั้งแต่เริ่มโปรยเม็ดลงมาในช่วงหัวค่ำ และกลายเป็นการโหมกระหน่ำ ลมพายุที่โพยพัดอยู่ด้านนอกเหน็บหนาวเกินทน... ขนาดว่าเขาได้รับเพียงละออง ยังรู้สึกเยือกเย็นไปถึงหัวใจ

    บุหรี่มวนแล้วมวนเล่าถูกจุดขึ้นและหมดไป ก่อนที่มวนใหม่ถูกจุดขึ้นอีกครั้งในเวลาไล่เลี่ยกัน

    เรียวคิ้วเข้มคมขมวดแน่นอยู่เหนือดวงตาที่หลุบมองเปลวไฟตรงปลายมวนบุหรี่ ชายหนุ่มนึกหงุดหงิดขัดใจที่ไม่ว่าเสียงฝนข้างนอกนั่นจะพร่างพรมลงบนพื้นรุนแรงเพียงไหน สายลมจะกรรโชกพัดรุนแรงปานใด ไม่ทราบเหตุใด กลับไม่สามารถกลบทับเสียงเดินของนาฬิกาเรือนเล็กที่แขวนไว้บนผนัง

    เสียงที่ทำให้คนหนวกหูจนขุ่นเคืองใจ... เสียงของเวลาที่ค่อยๆ ผ่านไป ...แต่ละวินาที...แต่ละวินาที...

    เขาไม่เห็นจะเคยสังเกตว่านาฬิกาในห้องส่งเสียงดังน่ารำคาญถึงเพียงนี้

    มวนบุหรี่ที่ถูกสูบจนสิ้นไส้ถูกโยนออกไปนอกระเบียงตามมวนอื่นที่ถูกทิ้งระเกะระกะไว้ ปรกติคยองซูไม่ใช่คนมักง่าย...แต่ในเวลานี้เขาไม่มีอารมณ์จะทำอะไรจริงๆ

    ถ่านไฟแดงฉานเพียงกระทบถูกหยดฝนก็มอดลง หลงเหลือแต่เพียงคราบดำจากการเผาไหม้ คยองซูนับจำนวนด้วยหางตาก็เห็นว่าใกล้แตะเลขสองหลักอยู่รอมร่อ ทว่าก็ยังจุดขึ้นใหม่อีกมวน

    กระทั่งเปลวไฟแผดไหม้ไปได้กึ่งหนึ่ง ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว

    ร่างประเปรียวลุกขึ้นจากที่นั่งซึ่งไม่รู้ว่าตนเองนั่งมานานเท่าไหร่แล้ว เดินตรงไปยังนาฬิกาเรือนงามที่แขวนไว้ ดึงลงมาจากผนัง ก่อนที่จะโยนทิ้งออกที่ระเบียง

    เพล้ง!

    ตัวเรือนกระทบเข้ากับรั้วระเบียงเตี้ยๆ กรอบพลาสติกและกระจกครอบแตกออกเป็นชิ้น ทว่าท่ามกลางสายฝนที่ซัดสาด เข็มวินาทีกลับยังไม่หยุดเดิน เจ้าเข็มเล็กๆ นั่นยังคงเคลื่อนไป ...60 ครั้งจนครบรอบ และขึ้นรอบใหม่ ในขณะที่เข็มสั้นและเข็มยาวก็ยังบอกเวลาอย่างซื่อสัตย์ขันแข็ง

    พวกมันเรียงตัวกันอยู่ระหว่างเลข 10 และ 11 ในตำแหน่งที่เกือบจะซ้อนทับกัน

    คยองซูยกมวนบุหรี่ขึ้นแนบริมฝีปาก สูดควันหนักๆ เหมือนหัวเสีย สบถกร้าวหยาบคายออกมาหลายคำ แต่แล้วก็โยนบุหรี่ครึ่งมวนที่ยังเหลืออยู่ออกไปนอกระเบียง หมุนกายไปหยิบกุญแจรถกับเสื้อโค้ท... และออกจากห้องไปด้วยกิริยาที่แฝงความร้อนรน

    “แม่งเอ๊ย...!” ชายหนุ่มขยี้ผม ซบหน้าลงกับพวงมาลัย รู้สึกเจ็บใจเหลือเกินตอนที่พาตัวเองขึ้นนั่งประจำที่ตำแหน่งคนขับพร้อมทั้งติดเครื่องยนต์เรียบร้อย บนรถคันนี้ปราศจากนาฬิกาแม้สักเรือน ทว่าที่ในหัว...เสียงนาฬิกายังคงกวนใจ

    ในที่สุดรถยนต์คันงามก็เคลื่อนออก ไฟท้ายแดงฉานสว่างวาบ ลับหายไปในม่านฝนยามราตรี

     

    ผ่านมากี่ชั่วโมงแล้วกันนะ...

    คิมจงอินคนโง่...

    ไม่ใช่แค่ครั้งแรก...ที่เขาต่อว่าตัวเองในใจ

    ร้านกาแฟงดงามน่ารักที่ด้านหลังเลยเวลาปิดไปตั้งนานแล้ว แต่จงอินก็ยังยืนอยู่ ใต้ชายคาที่ยื่นออกจากผนังเพียงเล็กน้อย พร้อมกับร่มคันหนึ่งในมือ...แน่นอนว่าเพียงสองสิ่งนี้ ย่อมไม่อาจบดบังลมฝนที่พัดกระหน่ำรุนแรงทั้งสิ้นได้

    นายแบบหนุ่มในเวลานี้จึงเปียกปอนทั้งตัว ตั้งแต่ปอยผมจรดถึงปลายเท้าไม่มีส่วนใดที่ยังแห้งอยู่หรืออบอุ่น ...เว้นแต่ที่เดียว สิ่งเดียวที่ทำให้เขายังยืนอยู่ตรงนี้ ไม่อาจขยับไปไหนแม้สักก้าว... คือหยดน้ำร้อนผ่าวหยดนั้น...ที่เคยตกกระทบลงมา

    ชายหนุ่มยกหลังมือเปียกปอนของตนขึ้น สัมผัสอุ่นร้อนนั้นแน่นอนว่าเลือนไปจากกาย แต่ไม่เคยจางหายไปจากความทรงจำ เขาจรดริมฝีปากซีดสีสั่นระริกของตัวทับบนรอยนั้น ครุ่นคิดอย่างมีหวัง...ว่าในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า...

    คนที่นัดหมายจะปรากฏตัว...

                เสียงนาฬิกาตีสิบเอ็ดครั้งผ่านเพิ่งพ้นไป ทำให้ความหวังในใจยิ่งริบหรี่ลง กระนั้นคิมจงอินก็ยังประคองไว้... ยังฝืนประคองไว้...ประคองปกป้องแสงเทียนน้อยกลางพายุเอาไว้ด้วยความพยายามยวดยิ่ง

    และรางวัลของความอดทนนั้นของเขา...ก็คือแสงไฟที่ส่องกระทบใบหน้าในอีกหลายนาทีต่อมา

                หลังจากได้ยินเสียงเปิดปิดประตูรถปึงปัง ในที่สุด นายแบบหนุ่มก็สามารถคลี่ยิ้มออกได้เป็นหนแรกในรอบวัน

                “คุณคย--”

              “คุณทำบ้าอะไรอยู่!

                เขาสะกดคำเรียกของตัวเองไว้ ยินยอมนิ่งฟังเสียงต่อว่าเกรี้ยวกราดของอีกฝ่าย ที่ไม่ทราบเหตุใดจึงได้ไพเราะจับใจ มองสีหน้าซีดเผือดร้อนรนผ่านเรือนผมที่เปียกชุ่มด้วยหยดน้ำเย็นจัด ...ความรู้สึกที่เครียดแน่นตลอดเวลาที่รอคอยพลันผ่อนคลาย ปล่อยให้เจ้าของร่างเล็กกว่าดึงลากจูงมือเขาขึ้นไปนั่งบนรถอย่างว่าง่าย

                ลมอุ่นที่ปัดเป่าลงบนร่างกายเปียกปอนแม้อบอุ่นเพียงไรทว่าก็ยังเย็นเกินไป ดังนั้นคยองซูจึงปิดเครื่องปรับอากาศเสีย หยิบเอาผ้าเช็ดตัวผืนเล็กที่มีติดรถไว้โยนใส่คนที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับโดยไม่พูดอะไรสักคำ

                “คุณก็เปียกนี่...” จงอินว่าเสียงเบา เจตนาจะให้อีกฝ่ายจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อยก่อนทว่าเจ้าของรถกลับว่าเสียงเรียบ สองตาจดจ่ออยู่กับถนน ไม่เคลื่อนเบือนออก

                “เช็ดไป”

                การเดินทางยังคงเงียบงันอยู่นาน จนกระทั่งกลับมาถึงคอนโดของช่างภาพหนุ่ม จงอินที่ถูกสั่งให้ไปอาบน้ำยังคงไม่ก้าวไปจัดการตัวเองตามคำสั่ง

                “...คุณ...ยกโทษให้ผมแล้วใช่ไหม?”

                เขาถามเสียงเบาอย่างไม่ใคร่แน่ใจ และอีกฝ่ายก็ตอบกลับมาอย่างเย็นชา

                “การวางแผนทรมานตัวเองเรียกคะแนนสงสาร ไม่ได้ทำให้ผมยกโทษให้คุณหรอกนะ คุณไค”

                นายแบบหนุ่มก้มหน้าลงปลายเท้าซีดเซียวของตัว ราวกับเด็กเล็กๆ ที่ทำความผิด ส่งเสียงแผ่วหวิวยิ่งกว่าเดิมแก้ต่างให้ตัวเอง

                “..ผมไม่ได้วางแผนอะไร”

                คยองซูจะเชื่อก็แปลกแล้ว...

                “ถ้าคุณไม่ได้วางแผน อย่างนั้นไปยืนตากฝนทำไมตั้งหลายชั่วโมง คุณคิดว่าผมโง่มองไม่ออกหรือ?”

                “หรือว่าคุณอยากจะตาย?”

                เขาโต้ตอบด้วยถ้อยคำรุนแรงร้ายกาจ ระลึกได้ก็ตอนพาอีกฝ่ายขึ้นรถมาแล้วว่านี่อาจจะเป็นเพียงแผนการที่ถูกจัดวางไว้ และเขาก็เป็นแค่เหยื่อโง่ๆ ที่เผลอตกลงไปในหลุมกับดักชั้นเลว

                ทว่าคิมจงอินกลับเงยหน้าขึ้นมา สบสายตากับเขาด้วยแววตากระจ่างใส...มั่นคง ผิดกับสีหน้าซีดเผือดของเจ้าตัว

                “ผม...แค่รอ...”

                ถ้อยคำและดวงตาจริงใจคู่นั้นบันดาลให้คนพูดไม่ออก

                “...” คยองซูเงียบไป...นาน... จึงค่อยถามออกมา

                “ถ้าผมไม่ไป คุณจะทำยังไง...”

                “แต่คุณก็ไปนี่ครับ”

                “...”

                “...”

                คนอายุมากกว่าหลับตาลง... อีกครั้ง....นานมาก... เหมือนพยายามข่มอารมณ์ จากนั้นก็สูดลมหายใจลึกยาว พูดออกมาช้าๆ ...ทีละคำ อย่างชัดเจน

                “ไปอาบน้ำ... เสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนผมจะวางไว้ให้ เปลี่ยนเสร็จแล้วก็กลับไป ผมไม่อยากเห็นหน้าคุณ”

                ร่างเพรียวออกปากไล่ไม่รักษาน้ำใจ พูดจบก็หมุนตัวจะไปจัดการเรื่องอื่นให้เรียบร้อย หากไม่คาดกลับถูกรั้งเอาไว้ ชายหนุ่มสะดุ้งไหวกับอ้อมกอดที่จู่ๆ ก็โอบมารอบกาย

                “!

    วินาทีแรกเขาสั่น...ความทรงจำพลันย้อนกลับมาทำร้าย ทำให้ร่างกายสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ ความขยะแขยงหวาดหวั่นน่าสะอิดสะเอียนแล่นพล่านจากหัวใจ ผ่านเส้นเลือดทุกเส้นไปเลื้อยรัดครอบงำทั่วร่างกาย ชายหนุ่มขบริมฝีปาก พยายามดิ้นรนจะหนีให้ได้ ทว่าเมื่อถูกกอดไว้อย่างนี้จึงค่อยสัมผัสได้...ว่าอีกฝ่ายตัวเย็นมากเพียงไร

                ...เย็นเหมือนน้ำแข็งเลยทีเดียว

    “คุณคยองซู...คยองซู...พี่คยองซู...”

    ร่างกายของนายแบบหนุ่มที่ยืนเปียกปอนกลางลมพายุหลายชั่วโมงนั้นเยียบเย็นดั่งไร้ชีวิต...ทว่าเสียงที่เอ่ยปากกลับอบอุ่น...

              “ผมขอโทษ...”

                คนที่พูดคำนี้... ด้วยน้ำเสียงอย่างนี้... หรือเป็นคนเดียวกันกับเดรัจฉานชั่วร้ายที่ตอกตราความทรงจำอันไม่น่าหวนนึกถึงในคราวนั้น

    คยองซูหลับตาแน่น ขบกลีบปากจนห้อเลือด คลื่นความสับสนตีรวนขึ้นมา เขาไม่รู้เลย...ว่าคนไหนกันคือตัวตนที่แท้ของคิมจงอิน

                ช่างภาพหนุ่มขืนตัว ...ยังพยายามดิ้นรนขืนออกจากการกอดตระกอง ครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับคนจมน้ำที่พยายามตะเกียกตะกายให้พ้นจากการจมดิ่ง...จากความตายที่ไม่พึงปรารถนา

                “กลับไปซะ คุณไค” เขาร้อง...เสียงสั่นไหวที่พยายามสะกดให้นิ่ง พยายามยวดยิ่งที่จะไม่เปิดเผยความรู้สึกใดของตนออกไป

     

              “อย่าให้ต้องพูดซ้ำหลายรอบเลย ...ว่าผมไม่ต้อนรับคุณ!

     

    To be continued.

    ตอนนี้ฟิคขาวฟิคดำเปิดพรีกันอยู่ อ่านรายละเอียดได้ที่ >>คลิก เลยครับ! XD

    ใกล้ถึงบทสรุปเข้าไปทุกทีแล้ว แฮ่... ใครเชียร์ให้จบลงแบบไหนกันอยู่ครับ?

    พูดคุยกันในคอมเม้นท์ หรือทวีตติดแท็ค #ฟิคดำKS ได้ตลอดนะครับ

    แล้วตอนหน้าเรามารอดูกัน...ว่าจะเป็นอย่างที่คิดไว้รึเปล่า /ยิ้มลึกลับ



     

    B E R L I N ❀
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×