ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [衛霄] เพลิงวิญญาณบรรพกาล

    ลำดับตอนที่ #2 : 二

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 17.86K
      1.4K
      31 ส.ค. 63






              เส้นสายลมพัดผ่าน  หอบใบไม้เขียวขจีเติมกลิ่นอายธรรมชาติ  แสงตะวันทิศบูรพาลอดผ่านทางหน้าต่าง  เปรียบดั่งการเริ่มต้นของทุกสรรพสิ่ง

              
    เว่ยเซียวบิดตัวอยู่ไม่สุข  ความอึดอัดแพร่กระจายทั่วทั้งร่าง  สมองของนางหนักอึ้งเหลือเกิน ...หากได้นอนพักอีกสักหน่อยคงดีขึ้น

              มือเล็กนวดขมับด้วยความเคยชิน  จากนั้น... ปฏิกิริยาต่อมาคือหัวคิ้วที่เริ่มขมวด

              เดี๋ยวก่อนนะ

              
    เว่ยเซียวเบิกตาโพลง  อาการง่วงซึมเมื่อครู่ปลิวหายสิ้น

              ยิ่งกว่านั้น... เมื่อ
    เริ่มกวาดตามองไปโดยรอบ  แวดล้อมที่ได้ประจักษ์ก็นับว่าสร้างความงุนงงให้นางเข้าแล้วจริงๆ

              
    เว่ยเซียวกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียงไม้ไผ่เก่าโทรม  ผ้าห่มผืนบางห่มคลุมกาย  เครื่องเรือนแบบโบราณตั้งประดับตามมุมห้องสองสามชิ้น  ประเมินจากสายตาก็รู้ได้ทันทีว่าสถานแห่งนี้อัตคัดเพียงใด

              ศีรษะเล็กก้มต่ำ  เริ่มบีบนวดขมับซ้ายขวา  บีบแล้วก็บีบอีก  ไม่เข้าใจว่าควรรับมือต่อสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไร

              ประการแรก  ตน
    ถูกนายเหนือหัวสังหารไปแล้ว... นั่นไม่ผิดเพี้ยน  

              ประการสอง... ความทรงจำของนางฉายชัดเป็นฉากตอน  ให้บรรยายรายละเอียดร้อยพันรอบนางก็ทำได้ 

              เหตุการณ์ท่ามกลางเหมันต์ราตรีนั้นยังฝังรากในจิตใจ  ภาพเงาร่างสูงยืนหันหลังให้กับแสงจันทร์  กระทั่งรอยยิ้มไม่ยี่หระของคนผู้นั้น

              หัวคิ้วที่ผูกเป็นปมค่อยๆคลายจากกัน  
    เว่ยเซียวรวบรวมสมาธิ  ทดลองขยับสำรวจร่างกายโดยละเอียด

              ผิวขาวซีดไปเสียหน่อย  ทว่าบาดแผลที่ควรมีกลับอันตรธานหายไปไร้ร่องรอย

              เมื่อ
    ลุกขึ้นยืนเหวี่ยงแขนก้าวขาเดิน  เรี่ยวแรงของนางยังคืนกลับมาอย่างสมบูรณ์อีกด้วย

              ชั่ววูบหนึ่ง  
    เว่ยเซียวบังเกิดความคิดไร้สาระขึ้น  หรือคนผู้นั้นอาจยอมละเว้นนาง?  แต่แล้วก็รีบโยนความน่าจะเป็นนี้ทิ้งไปอย่างรวดเร็ว  

              เด็กสาวยิ้มหยัน  อย่างไรก็เป็นไปไม่ได้  นางรู้จักนายเหนือหัวดี  คนเช่นเขาเมื่อตัดสินใจแล้วจะไม่มีวันหันหลังกลับ  หากเขาบอกให้ไปซ้าย... ใครเล่ากล้าเดินไปขวา

              ฉะนั้นบางที... นี่อาจเป็นช่วงชีวิตหลังความตายของนางกระมัง  คนก็ตายไปแล้ว  เพ้อเจ้อบ้างคงไม่เป็นไร ฮ่า... ฮ่า...  

              ขณะ
    คิดไม่ตกถึงปัญหาที่กำลังเผชิญ  ราวมีคนมองเห็นความลำบากใจข้อนี้  จึงหวังทอสายสะพานเชื่อมหน้าผาขาดหายให้แก่นาง  ฉับพลันภาพทรงจำมากมายก็หลั่งไหลวนเวียนดุจเกลียวคลื่น

              ภาพที่แทรกทับขึ้นมาคือเด็กสาววัยสิบสี่ผู้มีใบหน้างดงาม  นัยน์ตาหม่นแสงดุจอัญมณีฝังลึกใต้ผืนสมุทร  นามนั้นคือ
    เว่ยเซียว  คุณหนูสามตระกูลเว่ย  หากนางมิได้เป็นที่โปรดปรานของบิดาบังเกิดเกล้า ...แม่ทัพบูรพาแห่งแคว้นเป่ยเจิ้งทางตอนเหนือ

              มารดาผู้ให้กำเนิด  ฮูหยินสามจ้าวเหลียนฮวาไม่เคยได้นั่งในหัวใจของแม่ทัพเว่ยหลาง  นางตบแต่งเข้ามาด้วยสมรสพระราชทานจากองค์จักรพรรดิผู้ครองแคว้น

              เพียงสัมพันธ์หนึ่งราตรีมิอาจผูกด้ายแดงของเว่ยหลางและจ้าวเหลียนฮวาเข้าด้วยกัน

              ระหว่างตระกูลเว่ยทิศบูรพากับตระกูลจ้าวซึ่งดำรงตำแหน่งแม่ทัพประจิมนั้นเปรียบดั่งขั้วตรงข้าม  น้ำกับน้ำมัน  อาจกล่าวได้ว่าเว่ยหลางผู้นี้ชังน้ำหน้าคนแซ่จ้าวเหนืออื่นใด  

              ดังนั้นหลังกล้ำกลืนฝืนเข้าพิธีมงคล  เขาจึงจัดการป้ายราคีให้บุตรสาวตระกูลจ้าวเย้ยแม่ทัพประจิม  สาแก่ใจก็ละทิ้งนางอย่างไม่ไยดี

              จ้าวเหลียนฮวายอมรับสภาพความเป็นอยู่ของนาง  ด้วยไม่ต้องการให้ตระกูลจ้าวต้องเดือดร้อนเพราะตน  ทว่าท้ายสุด... กลับได้ยินผู้คนป่าวประกาศไปทั่วว่าตระกูลจ้าวล่มสลายโดยไร้สาเหตุเพียงชั่วข้ามคืน

              ราตรีนั้นยามเมฆหมอกบังจันทราจนอับแสง  จ้าวเหลียนฮวาตัดสินใจลาจากโลกนี้ไปด้วยการจุดไฟเผาตนเอง  ไม่คำนึงถึงบุตรสาวผู้อ่อนแอซึ่งต้องเผชิญฝูงหมาป่าเพียงลำพัง

              พิธีศพของจ้าวเหลียนฮวาถูกจัดขึ้นเงียบๆให้ผ่านพ้นไปเช่นนั้น  กระทั่งภายในโลงยังว่างเปล่า  ไม่มีแม้เงาร่างที่ถูกไฟคลอกจนเหลือเพียงเถ้าธุลี

              
    เว่ยเซียวผู้ไร้เงามารดาคอยปกป้อง  เพราะด้อยสามารถ  ภายหลังจึงถูกกลั่นแกล้งรังแกสารพัด  แต่แน่นอน... พรสวรรค์ที่หายไปของนางมิได้เป็นมาโดยกำเนิด 

              ...ในวัยเจ็ดขวบปี  นางถูกลอบวางยาพิษด้วยฝีมือใครสักคนในตระกูลเว่ย

              จ้าวเหลียนฮวายามนั้นจับมือใครดมไม่ได้  จึงบากหน้าพา
    เว่ยเซียวไปคุกเข่าร้องขอความเป็นธรรมนานสามวัน  แล้วสุดท้ายเว่ยหลางจัดการอย่างไรน่ะหรือ?  เขามอบสายตาเย็นชาและคำพูดหนึ่งประโยคให้พวกนางสองแม่ลูกอย่างไรเล่า

              ‘เลิกหาเรื่องป้ายสีผู้อื่นแล้วกลับไปทบทวนความผิดของเจ้าให้ดี!’

              ไร้เหตุผล ไร้มโนธรรมที่บิดาพึงมีโดยสิ้นเชิง

              จากหน้าสู่หลังมือ  เด็กสาวผู้ครอบครองพรสวรรค์ล้ำค่า  เป็นที่หมายปองของเหล่าคุณชายกว่าครึ่งแคว้น  บัดนี้พลิกผันเป็นคนไร้ประโยชน์  ตำแหน่งบุตรสาวแม่ทัพบูรพายิ่งไม่คู่ควร 

              กระทั่งฟู่เหวินเหอ  องค์รัชทายาทผู้เคยเป็นฝ่ายยื่นขอพระราชทานหมั้นหมายด้วยตนเอง  ภายหลังกลับถูกสหายล้อเลียนบ่อยครั้ง  ว่าสัญญาหมั้นระหว่างเขาและคุณหนูสามนั้นไม่ต่างอันใดกับเอาดอกไม้ปักมูลวัว  นานวันเข้าความอับอายจึงกลายเป็นโทสะ 

              ฟู่เหวินเหอเริ่มชิงชังการมีอยู่ของนางและตีตัวออกห่างในที่สุด

              บทสรุปสุดท้ายของเรื่องราว... คุณหนูสามผู้สิ้นไร้พลัง  สูญเสียมารดา  ทั้งยังถูกคู่หมายสะบั้นรัก  ไม่อาจแบกรับความอัปยศได้  จึงเลือกตรอมใจภายในเรือนเก่าโทรมไม่มีผู้ใดแลแห่งนี้ 

              ...นางตายจากไปอย่างโดดเดี่ยว

              ฉากความทรงจำแล่นมาถึงตรงนี้  
    เว่ยเซียวพลันหลับตาแน่น  ประเมินสถานการณ์ด้วยท่าทีเรียบเฉย  ไม่นานก็ทำความเข้าใจได้ครบถ้วน

              หากมิได้ตีความหมายผิดไป  ตัวนางซึ่งสมควรตายด้วยน้ำมือของนายเหนือหัว  กลับทะลุมิติหลงมายังโลกคู่ขนานซึ่งไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์  วิญญาณสิงอยู่ในร่างของเด็กสาวไร้ประโยชน์

              แม้นรู้สึกว่าเรื่องราวน่าอัศจรรย์นี้ออกจะเหลือเชื่อไปเสียหน่อย  ทว่า...

              จักรวรรดิช่างอิ่นโลกหล้าที่เต็มไปด้วยผู้ฝึกปราณ  นักหลอม  สัตว์อสูร  คลื่นดารา ...ทุกสิ่งที่เอ่ยมาล้วนเป็นตำนานเล่าขานเมื่ออยู่ในโลกใบเดิม  โลกที่นางเคยเป็นเพียงแกะหลงฝูง

              น่าสนใจ...

              ใช่แล้ว... น่าสนใจจริงๆ

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×