ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { Hidden Love ร้ายซ่อนรัก } [ บีคริส ]

    ลำดับตอนที่ #12 : Appropriate

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.31K
      6
      21 ม.ค. 61


      Appropriate ? 

        เหมาะสม  ?      


         หลังจากที่เอนกประสงค์ทั้งสองเอาเอกสารและงานกองหนึ่งไปให้เจ้านายสุดขยันถึงที่แล้วทั้งสองจึงกลับมาทำงานที่บริษัทตามปกติเห็นแบบนี้ ใช่ว่าพวกเขาจะมีหน้าที่แค่ ขับรถ สับรางรถไฟ หรือ เดินตาม คุณน้ำทิพย์เท่านั้นนะ ธนัทและราเชนทร์ก็เป็นหนึ่งในพนักงานระดับสูงของที่นี่ ซึ่งมีสิทธิพอๆกับคณะกรรมการที่นั่งทำงานในห้องกันทั้งวัน มีอำนาจตัดสินใจ เพราะทั้งคู่จบด้านงานบริหารมาโดยตรงจากการส่งเสียให้เรียนจากคุณวิทย์จงรัชตวิบูลย์ หรือ คนที่บอสของพวกเขาเรียกว่าเขาคนนั้นนั่นละ ธนัทและราเชนทร์เป็นเด็กที่โตมากับสภาพแวดล้อมที่ไม่ค่อยดีนัก ขัดสน และเกือบจะเข้าเส้นทางมืดกับพ่อค้ายา แต่ดีที่เจอพ่อของน้ำทิพย์ก่อน ท่านช่วยอุปการะเหมือนให้ชีวิตใหม่ด้วยซ้ำ ให้มาเป็นเหมือนเพื่อน พี่น้อง และเสมือนบอดี้การ์ดประจำตัวของน้ำทิพย์ ธนัทกับราเชนทร์ไม่ได้เรียนแต่เฉพาะวิชาการเท่านั้น กีฬา ศิลปะป้องกันตัวก็เป็นสิ่งจำเป็นที่พวกเขาจะต้องเรียนรู้ เพราะไม่รู้ว่าจะมีศัตรูธุรกิจส่งคนมาเล่นงานลูกสาวคนเดียวของบ้านจงรัชตวิบูลย์เมื่อใดนั่นเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ และไม่ใช่แค่พวกเขาตัวของน้ำทิพย์เองก็เช่นกัน

    " พี่นัท " เสียงเรียกจากเลขาหน้าห้องปิยะรัฐ เรียกให้เท้าของธนัทหยุดก้าว แล้วหันไปตามเสียงเรียกฃ

    " มีอะไรคร้าบ น้องลิลลี่" ธนัทแกล้งตอบกวนๆกลับไป

    " วันนี้ท่านประธานไม่เข้าเหรอค้าา คุณพี่ธนัท" ลิลลี่ก็ไม่ยอมแพ้

    "วันนี้ไม่เข้าหรอก จะฝากอะไรไปรึเปล่าละ เดี๋ยวจะส่งแบบ EMS ให้เลย" ธนัทพูดแซวกลับไป เพราะเขามั่นใจว่าลิลลี่นี่ต้องแอบปิ๊งบอสเนื้อหอมของเขาแน่ๆ

    " บ้าสิ ! ก็ถามเฉยๆรึเปล่าละ " ลิลลี่แห้วตอบไป กวนประสาทชะมัด "แล้วนี่กินอะไรกันมารึยังอ่ะ เห็นรีบมารีบไปตั้งแต่เช้าแล้ว"

    "จะชวนไปกินข้าวเหรอ เลี้ยงรึเปล่า" ธนัทเอยถามกลับไป

    "ถ้าชวนจะไปรึเปล่าล่ะ" 

    "ก็ลองชวนดูสิ" ธนัทว่าพลางอมยิ้ม

    " เฮอะ พี่เชนคะ ทานข้าวมารึยัง ไปทานด้วยกันมั้ยคะ" ลิลลี่จึงแกล้งถามคนตัวสูงอีกคนแทน

    " เอาสิ พี่เลี้ยงเอง " ราเชนทร์ตบปากรับมุกของหญิงสาวก่อนจะพากันเดินไปยังร้านอาหารด้านล่างโดยไม่ชวนอีกคนที่ยืนหัวโด่อยู่ตรงนั้น

    ก่อนจะออกวิ่งตามไป "เฮ้ๆ!! ไม่คิดจะชวนกันจริงอ่ะ"

    "หิวก็ตามมา!"

     เสียงทั้งคู่ดังลั่นชั้น เรยกรอยยิ้มให้เกิดขึ้นบนใบหน้าของคนที่ได้ยิน รวมถึงศิรินที่นั่งอยู่หน้าห้องที่ไม่ไกลกันจากจุดเกิดเสียงมากนัก ให้ได้ยิ้มออกมาอย่างเหนื่อยใจระคนขำขัน ตั้งแต่เธอทำงานที่ BNT มาเกือบจะห้าเดือน เธอคิดว่าการเถียงกันของลิลลี่และธนัทถือเป็นสีสันประจำชั้นของผู้บริหารได้เลยเพราะแค่จินตนาการวันไหนถ้าขาดเสียงพวกนี้ไปก็ไม่อยากจะคิดแล้ว แ้วทุกอย่างก็กลับมาสู่ภาวะปกติ ก่อนที่จะมีชายหนุ่มรูปร่างดีมายืนตรงหน้าห้องของเจ้านายเธอ ศิรินจึงลุกขึ้นทักตามมารยาท

    "ไม่ทราบว่าต้องการพบใครหรือคะ" 

    คุ้น คุ้นเหลือเกิน  "เอ่อ...มาหาพี่บีครับ"

    "วันนี้ท่านประธานไม่เข้าบริษัทค่ะ มีอะไรฝากไว้ได้นะคะ ดิฉันศิริน เป็นเลขานุการของท่านประธานค่ะ"

    "อ่อ...ไม่มีหรอกครับผมแค่จะแวะมาคุยด้วยเท่านั้น"

    "อ้าว! ขุน วันนี้มารักษาการเหรอ" ปิยะรัฐที่เดินเอาเอกสารมาให้ศิริน เอ่ยขึ้นแซวอีกคนพร้อมกับวางแฟ้มลงบนโต๊ะให้กับศิริน

    "จะบ้าเหรอ พี่เต้ ผมแค่จะแวะมาคุยเรื่องสัญญากับ เปรมกิจเฉยๆ วันนี้ดันไม่อยู่ซะนี่" ชานนท์ เอ่ยตอบกลับไป พร้อมกับชูกระเป๋าเอกสารที่เขาเพิ่งจะไปคุยเรื่อง Big Project ฉลอง 5 ปี BNT และ 20 ปีของบริษัทพ่ออย่าง รัชต กรุ๊ป กับทางบริษัท เปรมกิจ คอร์ปเปอเรชั่น

    "นี่เราต้องร่วมงานกับตานั่นจริงๆใช่มั้ย" ปิยะรัฐถามแล้วถอนหายใจ

    "ทำไงได้ละครับ เขาบริษัทรับเหมา เราnทำอสังหา ต้องเจอกันเป็นวัฏจักรอยู่แล้ว" ชานนท์เอ่ยตอบกลับไปพร้อมกับทำหน้าตาเหนื่อยหน่าย

    “นั่นสินะ ทางด้านคุณศิวิตน์ก็ไม่ว่างซะด้วยสิ ช่วงนี้”

    “พ่อน้ำหวานน่ะเหรอครับ”

    “อื้อ แล้วนี่กินไรมายัง “

    “ถ้าพี่เลี้ยงต่อให้ผมกินมาแล้ว ผมก็จะบอกว่ายัง ฮ่าฮ่า”

    “เห็นแก่กิน”

    “ไปด้วยกันมั้ยคริส จะเที่ยงแล้วนะ” ปิยะรัฐเอ่ยปากชวนศิรินไปด้วยกัน

    “เต้ไปเหอะ เดี๋ยวคนเค้าจะมองไม่ดี แค่นี้คริสก็อภิสิทธิ์มากกว่าคนอื่นพอแล้ว”

    “ไม่หรอก ซาบีน่ากับลิลลี่ก็ไปนะ” ปิยะรัฐพูดเป็นจังหวะพอดีกับที่ซาบีน่าและลิลลี่เดินมาหาปิยะรัฐพอดี

    “ไปเถอะค่ะ พี่คริส ดีกว่านั่งกินคนเดียวนะ” ซาบีน่าพูดพร้อมกับเดินไปควงแขนศิรินให้ออกมาจากโต๊ะทำงาน

    “เอาอย่างนั้นก็ได้ ขอเก็บของแปปนึงนะ” ศิรินพูดก่อนะก้มลงบันทึกงานแลปิดคอมเก็บเอกสารเข้าที่ก่อนจะถือเพียงกระเป๋าเงินและโทรศัพท์ ทั้งหมดจึงเดินลงไปทานข้าว

     

    เลือกที่นั่งที่คนไม่ค่อยแออัดแต่ในเวลานี้คนยังไม่เยอะเท่าไรเพราะเพิ่งจะได้เวลาพักเที่ยง คนส่วนใหญ่จึงยังคงเคลียร์งานให้แล้วเสร็จก่อน ดังนั้นทั้ง5 คนจึงไม่วุ่นวายในการหาที่นั่งสักเท่าไร นี่เป็นครั้งแรกที่ศิรินได้ลงมาทานอาหารด้านล่างที่เป็นพื้นที่เฉพาะของพนักงานทำให้เธอได้เห็นว่า บริษัทนี้ไม่ได้เล็กๆนะ มีพนักงานทำงานมากกว่า 100 คน มากพอสำหรับบริษัทที่เปิดตัวได้เพียง 5 ปีแบบนี้

    “พี่คริสๆ” ซาบีน่าเรียกชื่อคนที่นั่งข้างๆซ้ำๆ เพราะตั้งแต่ซื้อข้าวมาศิรินเอาแต่นั่งเหม่ออยู่ไม่ยอมทานสักที

    “ห้ะ! อะไรเหรอ” ศิรินสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันมาหาต้นเสียง

    “เหม่อมองอะไรน่ะ แอบมองหนุ่มคนไหนเหรอคะ” ซาบีน่าแกล้งแซวพร้อมกับมองไปตามสายตาของศิริน

    “บ้าเหรอ พี่แค่คิดอะไรนิดหน่อย” ศิรินพูดแค่นั้นก่อนจะลงมือทานอาหารตรงหน้า

    “แล้วนี่แกไปคุยมาเขาว่ายังไงบ้าง” ปิยะรัฐเปิดประเด็นขึ้น ถามชานนท์ที่นั่งฝั่งตรงข้าม

    “อ้อ ..เขาบอกว่าให้นัดวันทำสัญญาเลยครับ แต่ผมต้องเอามาให้พี่กับพี่บีเสนอบอร์ดก่อนเผื่อเราจะหาบริษัทอื่น” ชานนท์ตอบ

    “คงไม่เปลี่ยนหรอก เพราะช่วงนี้ท่าทางงานแต่ละบริษัทจะชุกเลยล่ะ อีกอย่างเปรมกิจ ก็ไม่มีประวัติด่างพล้อยอะไรทำงานดี จะติดก็แค่ พวกรองประธานเท่านั้นละ” ปิยะรัฐพูดขึ้น

    “ มีอะไรกันเหรอคะ” ซาบีน่าพูดด้วยความที่เธอเพิ่งเข้ามาทำงานไม่นาน ทำให้พลาดข้อมูลบางส่วนไป

     

    “ ก็เปรมกิจนี่เราเคยร่วมงานละเจอกันตามงานต่างๆ  ตารองประธาน ก็คู่ปรับกับบอสใหญ่เรา ไม่ค่อยจะชอบขี้หน้ากันเท่าไร ไม้เบื่อไม้เมากัน” ชานนท์ตอบ

    “คุณธราภุช เหรอคะ” ศิรินแทรกขึ้นถาม

    “อื้อ มีประเด็นกันบ่อยๆ เหมือนตอนที่ประชุมกันคราวนั้นนั่นแหละ” ปิยะรัฐพยักหน้าตอบรับเบาๆ

    “เอ้อ นี่รู้จักกันรึยัง” ปิยะรัฐเอ่ยถามเมื่อนึกขึ้นได้ว่าทั้งหมดเพิ่งเจอกันครั้งแรก ยกเว้นชานนท์กับลิลลี่ที่เคยพบกันมาแล้ว

    “ นี่ ชานนท์ หรือ ขุน จะมาทำงานกับเราใน Big Project ที่จะมาถึงนี้” ปิยะรัฐแนะนำพลางผายมือไปทางชานนท์ คนถูกแนะนำทำเพียงยกยิ้มเบาๆและกล่าวสวัสดี “ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”

    “ส่วนคนข้างๆนี่ ซาบีน่า เลขาของพี่เอง” ปิยะรัฐพูดแล้วชี้มือมาทางขวามือ

    “ถัดไปก็ ศิริน หรือ คริส เลขาของบอสใหญ่แกนั่นแหละ” คนถูกแนะนำจึงยกยิ้มขึ้นบางๆ

    “ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ คุณซาบีน่า คุณคริส” ชานนนท์พูดขึ้งอย่างเป็นมิตร

    “เช่นกันนะคะ” ศิรินตอบรับ ก่อนจะถูกขัดด้วยการสั่นสะเทือนจากโทรศัพท์ของศิริน เจ้าของจึงหยิบขึ้นมาดูก่อนจะพบเป็นเบอร์โทรเข้าของคุณครูที่โรงเรียนลูกชาย จึงขออนุญาตเดินออกไปรับโทรศัพท์

    “สวัสดีค่ะ ครูกวาง

    คุณคริส คือตอนนี้น้องพีทอยู่โรงพยาบาลนะคะ”

    “ เกิดอะไรขึ้นคะ”

    อาการเดิมค่ะ แต่กวางกลัวว่าจะหนักกว่า คุณคริสว่างมาโรงพยาบาลรึเปล่าคะ

    “...คริสจะลองขอ เจ้านายดูก่อนนะคะ”

    ค่ะๆ โรงพยาบาล Boonya นะคะ

    ศิรินจึงเก็บโทรศัพท์และรีบเดินเข้าไปหาปิยะรัฐ

    “คุณเต้คะ คริสขออนุญาตออกไปโรงพยาบาลสักครู่ได้รึเปล่าคะ”

    “เกิดอะไรขึ้นเหรอ”

    “คือ ครูของลูกชายคริสโทรมาบอกว่าตอนนี้เขาเข้าโรงพยาบาล”

    “งั้นรีบไปเถอะ ขอให้ข่าวดีนะ” ปิยะรัฐตอบแล้วยิ้มใจดี

    “ค่ะ ขอบคุณนะคะ เดี๋ยวคริสจะรีบกลับมานะคะ” ศิรินว่าจบก็รีบวิ่งออกไปหน้าบริษัท

    ไม่นานรถโดยสารประจำทางที่จะผ่านไปถึงโรงพยาบาลก็มาถึงพอดีศิรินจึงรีบขึ้นไป พร้อมกับมือก็กดโทรศัพท์ต่อสายหาปรมะ พอปลายสายรับ

    “ปั้น ว่างรึเปล่า”

    “มีอะไรคริส”

    “พีทอยู่โรงพยาบาล ปั้นช่วยไปโรงพยาบาลก่อนได้มั้ย”

    แล้วคริสอยู่ไหน ให้ปั้นไปรับมั้ย”

    “คริสกำลังไป อยู่บนรถโดยสารแล้ว ปั้นไปก่อนเลย”

    “อื้อๆ จะออกไปเดี๋ยวนี้ละ”

    ศิรินเลือกจะให้ปรมะไปก่อนเพราะบริษัทเขาอยู่ใกล้กับโรงพยาบาลมากกว่าตน เมื่อมาถึงโรงพยาบาลศิรินจึงรีบต่อสายหาปรมะทันที

    “คริสอยู่ตึกอุบัติเหตุแล้ว ปั้นอยู่ไหนเหรอ”

    “ห้องฉุกเฉินเดินมาซ้ายมือเรื่อยๆ เจอเลย”

    เมื่อได้รับคำตอบศิรินจึงรีบสาวเท้าเดินไปตามทางที่ได้รับการบอกมา แล้วเธอก็เจอกับปรมะกับครูวรรณปิยะหรือครูกวางที่ยืนอยู่หน้าห้องก่อนแล้ว

    “คริส ทางนี้” ปรมะส่งเสียงแล้วกวักมือเรียกหญิงสาวให้เดินเข้ามา ครูสาวคนสวยจึงยกมือไหว้ศิรินแล้วเดินหลบออกไปให้ครอบครัวเขาได้อยู่ด้วยกัน

    “หมอออกมารึยังปั้น” ศิรินถามด้วยแววตาร้อนรน เพราะปกติพีทจะมาติดตัวเสมอ ถ้าอาการปกติครูจะไม่โทรมาหาตนและเขาจะไม่ต้องเข้าโรงพยาบาล

    “รอแปปนึงนะคริส ใจเย็นก่อน” ปั้นจั่นพูดพร้อมกับเดินเข้าไปกระชับไหล่ของศิรินเข้ามาแนบกายเสมือนการให้กำลังใจ

    “คริสกลัว กลัวมาก” ศิรินตอบเสียงสั่น พลางในหัวนึกถึงเรื่องเมื่อตอนที่พีทอายุได้เพียงหนึ่งขวบเศษ ทั้งเธอและปั้นจั่นไม่รู้ว่าเด็กน้อยมีโรคประจำตัว พาเขาไปเที่ยวตามภาษาเด็กก็วิ่งเล่นซนไปเรื่อยจนสักพักเธอเห็นเขาล้มลงหน้าซีด ตอนนั้นทั้งคู่ทำอะไรแทบไม่ถูกจึงรีบพาไปโรงพยาบาลถึงได้ทราบว่าเขาเป็นหอบ ถ้าเธอพาไปช้าเขาอาจจะจากไปตลอดกาล นั่นเป็นสิ่งที่เธอไม่คาดคิดเลย

    “มันต้องดีคริส ใจเย็นๆก่อนพีทจะไม่เป็นอะไร” ปั้นจั่นตอบในขณะที่สายตายังคงจ้องมองที่ประตูทั้งสองบานตรงหน้า

    แกร๊ก!

    เสียงเปิดประตูเรียกสายตาของคนทั้งสองให้หันไปมองก่อนจะพบว่าแพทย์ที่เข้าไปรักษา คือ เฌอมาลย์นั่นเอง

    “คุณหมอครับ เด็กปลอดภัยใช่มั้ยครับ” ปรมะเอ่ยถามขึ้นแทบจะทันที

    “ค่ะ ปลอดภัยแล้ว แต่หมอแนะนำให้พักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลก่อนสักวันสองวัน จะดีกว่านะคะ” เฌอมาลย์ตอบก่อนจะหันไปสบตากับศิริน “หมอขอคุยกับคุณได้รึเปล่าคะ” ศิรินไม่ตอบเพียงแต่พยักหน้าลงแล้วเดินตามคนถามไป “เดี๋ยวคริสมานะ” ปั้นจั่นพยักหน้าเข้าใจแล้วเดินไปนั่งรอกับวรรณปะ สักครู่พยาบาลในห้องเข็นเด็กชายตัวน้อยออกมาไปห้องพักฟื้น

     

    “คริส เด็กคนนั้นเป็นลูกของคริสใช่มั้ย” เฌอมาลย์เปิดประเด็นคำถามขึ้นเมื่อเดินเข้ามาถึงห้องพักแพทย์

    “ใช่ มีอะไรรึเปล่าพลอย”

    “พลอยอยากแนะนำให้คริส พกยาพ่นใส่กระเป๋าเขาไว้ก็ดีนะ แล้วก็ถ้าว่างพาเขาออกกำลังกายเล็กน้อยบ่อยๆ จะช่วยได้” เฌอมาลย์พูด ศิรินนิ่งเงียบเข้าใจ เพราะทุกวันนี้พีทมีเพียงยากินเท่านั้นซึ่งถ้าเกิดเหตุการณ์ขึ้นจริงครูคงไม่กล้าบังคับเขากินยาหรอก แต่ตัวเธอเองก็บอกลูกชายไว้แล้วว่าเขาควรจะวิ่งน้อยๆแต่ก็นะเด็กนี่นา

    “อีกอย่างเขายังเด็ก การจะให้ดูแลตัวเองมันคงยากเกินไป นี่เป็นทางออกที่ดีที่สุด เหตุการณ์แบบนี้พลอยเจอบ่อยนะเด็กกับหอบหืดน่ะ พอเขาโตขึ้นเขาจะรู้จักดูแลตัวเองมากขึ้นเอง แต่ถ้าเราช่วยเขาให้แข็งแรงขึ้นตั้งแต่เด็กๆก็จะดีกว่า จริงมั้ย?

    เฌอมาลย์พูดพร้อมกับถอดเสื้อกราวน์ตัวนอกออกเหลือเพียงชุดสครับสีฟ้าด้านใน

    “เอาไว้คริสจะลองทำดูล่ะกัน ขอบคุณมากนะพลอย ที่ช่วยลูกคริส” ศิรินพูดแล้วยกยิ้มขึ้น ผนวกกับความสบายใจที่เรื่องที่หมอพลอยบอกลูกชายเธอไม่ได้มีอะไรน่าเป็นห่วงขนาดนั้น

    “หน้าที่อยู่แล้ว แต่ก็นะวันนี้แค่มาแทนเพื่อนน่ะ เขาลา ปกติอยู่ตึกนู่นแหละ” เฌอมาลย์ตอบแล้วลุกขึ้นเอาปากกากับโทรศัพท์มาถือไว้เตรียมจะไปทานข้าวกลางวัน “ป่ะ คริสกินข้าวมารึยังล่ะ ไปกินข้าวกันมั้ย”

    “เดี๋ยวคงไปดูพีทก่อนน่ะ แล้วว่าจะกลับไปทำงาน พลอยไปกินเถอะ” ศิรินตอบพร้อมกับลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนที่ทั้งคู่จะเดินออกจากห้องพักแพทย์ แล้วสวนทางกับพยาบาลสองสามคน

    “ไปทานข้าวกันไหมคะ สาวๆ” เฌอมาลย์เอ่ยทัก แต่ก็มีคนที่จงใจชวนเพียงคนเดียวเท่านั้น

    “เชิญเถอะคะ คุณหมอ พวกฉันทานมาแล้ว ขอตัว” หนึ่งในสามเอ่ยตอบพร้อมกับเดินเชิดออกไป

    “คุณหมอพลอยคะ ชวนพี่หญิงทุกวัน เขาก็ปฏิเสธทุกวัน ไม่ชินเหรอคะ” สองคนที่เหลือเอ่ยถามพลางทำหน้าเหนื่อยๆ

    “เงียบเลย อุตส่าห์คิดว่าวันนี้มาอยู่ฉุกเฉินจะเจอง่ายๆซะอีก พวกเธอกินข้าวมาแล้วจริงเหรอ จีน่า เจสซี่” คุณหมอสาวถามย้ำ

    “พวกหนูทานมาแล้วค่ะ แต่พี่หญิงน่ะยัง” จีน่าตอบ เฌอมาลย์ถึงพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะเอ่ยถาม “เอ้อ แล้วเด็กที่อยู่ห้องฉุกเฉินเมื่อกี้ย้ายไปไหนล่ะ”

    “ห้องพิเศษ ตึกกุมาร ชั้นสาม ห้อง 10ค่ะ” เจสซี่ตอบแล้วยกกระดาษชาร์ตคนไข้ในมือให้เฌอมาลย์ลงลายมือชื่อรับรอง

    “โอเค แล้วพวกเธอกำลังจะไปไหนกัน” คุณหมอคนสวยถามพลางเหน็บปากกาทีคอเสื้อ

    “จะถามพวกหนู หรือ ถามพี่หญิงคะ” จีน่ายังคงกวนประสาทต่อ เพราะเธอรู้ว่าหมอพลอยรู้ว่าพวกเธอน่ะ อยู่ทีมเดียวกับ รฐา โพธิ์งาม หรือพี่หญิงพยาบาลคนที่เดินเชิดออกไปนั่นแหละที่หมอพลอยเนี่ยพยายามตามจีบมาจะปีอยู่แล้ว

    “พวกเธอสิ นี่! จริงเลย  ตัดเงินเดือนดีไหม” เฌอมาลย์พูดเสียงเข้ม

    “อย่าเลยค่า หนูมีภาระต้องใช้นะคะหมอ” จีน่าแกล้งทำท่าออเซาะเฌอมาลย์

    “กำลังจะไปตึกค่ะ คงอยู่ตลอดบ่ายนี้ เธอก็มัวแต่แกล้งหมอพลอยอยู่ได้ ขอตัวนะคะ” เจสซี่ตอบแล้วลากคอ จีน่าออกไป

    เฌอมาลย์กับศิรินจึงเดินต่อไป

    “สนิทกันดีนะคะ” ศิรินเอ่ยขึ้นเมื่อพบกับเหตุการณ์เมื่อสักครู่

    “ทำงานด้วยกันบ่อยๆนี่แหละคะ ให้พลอยพาไปห้องพักรีเปล่าคะ”

    “ไม่รบกวนหรอกคะ หมอพลอยไปทานข้าวเถอะค่ะ เมื่อกี้พยาบาลบอกมาแล้วนี่คะ” ศิรินว่าพลางหัวเราะเบาๆแล้วทั้งคู่จึงเดินแยกกันไป เฌอมาลย์ตรงไปที่โรงอาหารส่วนศิรินก็เดินตามป้ายบอกทางไปแผนกกุมารเวชตามที่ได้ฟังพยาบาลบอก

    ห้องพิเศษ ตึกกุมารเวช ชั้นสาม ห้อง10

    เด็กชาย พรัชต์ หอวัง

     4 ขวบ 5 เดือน

    อาหารอ่อน

    เมื่อแน่ใจว่าไม่ผิดห้องศิรินจึงผลักประตูเข้าไป

    “หม่ามี้” เสียงเรียกจากเด็กที่นอนอยู่บนเตียงสวมชุดผู้ป่วยลายการ์ตูนสดใส

    “ครับ เป็นยังไงบ้าง” ศิรินวางกระเป๋าไว้บนโซฟา ก่อนจะเดินเข้าไปหาเด็กน้อย

    “เจ็บ ตงนี้ๆ” เด็กชายตัวเล็กทำหน้าเหมือนจะร้องไห้พร้อมกับชี้มือลงตรงบริเวณที่พันเข็มน้ำเกลือไว้

    “ไหนๆ โอ๋ นี่เป็นเข็มฮีโร่นะเนี่ย จะช่วยให้พีทแข็งแรงเลยน้า” ศิรินแกล้งพูดเพราะรู้ดีว่าตัวพีทนั้นกลัวเข็มเหมือนน้องสาวเธอเปี๊ยบเลย

    “จิงเหรอคับ งั้นพีทไม่เจ็บแล้ว ขอบคุณนะคับ คุณฮีโร่” เด็กตัวเล็กพูดแล้วยกมือข้างที่มีเข็มน้ำเกลือขึ้นมาจุ๊บขอบคุณ

    ปั้นจั่นที่มองอยู่ก่อนจึงหันมาเบะปากใส่ศิริน พลางขยับปากขึ้นพูดแบบไร้เสียง หลอกเด็ก ศิรินจึงยักคิ้วขึ้นหนึ่งข้างประมาณว่าแล้วไง

    “แด๊ดปั้น พีทอยากกินหนม” เด็กชายตัวเล็กหันมาบอกผู้ชาย? ที่นั่งข้างเตียง

    “ยังกินตอนนี้ไม่ได้เนอะ ไว้หายก่อน แด๊ดปั้นจะพาไปกินทุกอย่างเลยโอเคมั้ย” ปั้นจั่นยื่นข้อเสนอ เด็กชายก็พยักหน้าเป็นการตกลง

    “แล้วนี่ครูกวางไปไหนแล้วละ”  ศิรินถามเพราะตั้งแต่เธอเดินเข้ามยังไม่พบกับครูประจำชั้นลูกชายเธอเลย

    “ครูกลับไปแล้วเห็นว่าทิ้งเด็กมานาน วันนี้ครูอนุบาลลาเหลืออยู่ชั้นละคน เลยรีบไปน่ะ”

    “ครูเขาบอกว่ายังไงบ้าง พีทไปดื้อที่ไหนมา” ศิรินถามแล้วหันสายตาไปยังลูกชายตัวแสบบนเตียง นั่งส่ายศีรษะไปมา

    “ไม่ต้องมาปกปิด ครูกวางบอกว่าเจ้าพีทเนี่ยวิ่งเล่นกับเพื่อนตอนพักเที่ยงที่สนามบอลเด็กประถม ครูเขาห้ามแล้วเตือนแล้วก็ไม่ฟัง อย่างที่บอกวันนี้ครูน้อย เลยคลาดสายตาไป เลยเกิดเรื่อง” ปั้นจั่นพูดแล้วมองหน้ากับเด็กตัวเล็กอย่างคาดโทษ

    “ดื้อนะครับ รู้มั้ย” ศิรินถามพลางลูกศีรษะเด็กน้อยไปด้วย

    “ขอโทดคับ”

    “แล้วนี่คริสจะต้องกลับไปทำงานรึเปล่า” ปั้นจั่นถาม ศิรินจึงยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู 13.40 ใกล้หมดเวลาพักแล้วนี่นา

    “อื้อ ปั้นล่ะ” ศิรินถามเพราะเธอเอกลัวว่าจะไม่มีคนเฝ้าลูกชาย

    “ต้องเหมือนกัน” ปั้นจั่นตอบก่อนจะยกนิ้วชี้เบรกศิรินไว้ “แต่ปั้นโทรบอกแก๊งนางฟ้าของคริสแล้วเดี๋ยวพวกเขามา”

    “รู้ทัน” ศิรินตอบพลางย่นจมูกใส่ปรมะ

    ไม่ทันสิ้นเสียงตอบของปรมะดี เสีงโหวกเหวกด้านนอกก็ดังลอดเข้ามา ทำให้ทั้งสองหันมาสบตากัน ตายยากจริงๆ

    “ไฮ พีท” เสียงของสาวลูกครึ่งอย่างพอลล่าทักขึ้นแล้วเข้ามาหอมแก้มหลานชายของตน

    “นี่ของเยี่ยมเพียบเลยนะจ๊ะ”

    “เจี๊ยบ บอกแล้วว่าอย่าซื้อไงเล่า ลูกฉันไม่เป็นอันทำอะไรพอดี” ศิรินเอ่ยขึ้นเสียงแข็งเมื่อเห็นของที่เพื่อนอย่างเจนี่เอามาเยี่ยมไข้หลาน ของเล่นทั้งนั้น

    “หมวยมึงก็รู้ อีนี่มันกลัวหลานไม่รัก” วุ้นเส้นเดินเข้ามาสมทบ

    “ว่าแต่กูอีวุ้น แกก็ไม่น้อยหน้าเลยน้า” เจนี่ว่าแล้วชี้ไปที่ถุงในมือวิริฒิพา

    “เสื้อผ้าย่ะ ไว้ใส่วันออกจากโรงบาล มีประโยชน์” วุ้นเส้นตอบแล้วแลบลิ้นใส่

    “ทั้งคู่นั่นแหละ พอกัน” อลิชา พูดขัดขึ้นมา

    “แม่มาว่ะ” ทั้งเจนี่และวุ้นเส้นประสานเสียงกัน

    “ขอบคุณนะแอนที่มา ไม่งั้นฉันละนึกไม่ออกเลยว่าลูกฉันจะเป็นยังไงตอนเย็นที่ฉันเข้ามา” ศิรินพูดแล้วหันไปยิ้มให้อลิชา

    “มึงรีบไปทำงานเลยหมวยพูดมาก” เจนี่พูดแล้วรีบดันเพื่อนออกไป

    “บ๊ายบาย หม่ามี้เร็ว” วุ้นเส้นแกล้งพูดแล้วยกมือพีทขึ้นมาโบกไปมา เด็กชายก็ยอมทำตามแต่โดยดี

    “มึงด้วยอีปั้น” เจนี่พูดเสียงเบาแล้วชี้มือไปทางปรมะ ปั้นจั่นจึงย่นจมูกแล้วลุกเดินไปหน้าห้อง

    “บ๊ายบายหม่ามี้ แด๊ดปั้น” เสียงเล็กดังตามออกมา

    ทั้งสองคนที่โดนไล่ออกมาจึงหันมาหน้ากันแล้วหัวเราะ ก่อนจะเดินไปขึ้นรถของปรมะ

    “ยังดีมียัยพวกนี้ช่วยเนอะ” ปรมะพูดเมื่อนึกถึงแก๊งนางฟ้าหรือคุณป้า

    “อื้อ เบาแรงไปเยอะเลยล่ะ ไม่รบกวนป๊าม๊าด้วย” ศิรินพูดแล้วยิ้มออกมา

    “พ่อแม่ปั้นเริ่มถามหาพีทล่ะ วันไหนเราว่างพาเขาไปหาพ่อแม่ปั้นเนอะ” ปั้นจั่นพูดเพราะว่าปกติพีทจะไปบ้านเขาตอนวันหยุดหรือปิดเทอม แต่ช่วงนี้ศิรินยุ่งๆเลยไม่ค่อยมีเวลา

    “ปั้น คริสว่าเราควรจะบอกเขาแล้วรึเปล่า” ศิรินพูดหลังจากที่เงียบอยู่นาน

    “....ปั้นคิดว่าเขายังไม่พร้อม” ปั้นจั่นพูดพลางนึกถึงพ่อแม่ตนเอง

    “เอาไว้ปั้นพร้อมจะบอกเมื่อไร บอกเลยได้นะ” ศิรินตอบแล้วหลับตาลง

    “เหนื่อยใช่มั้ย” ปั้นจั่นถาม

    “ถามคริสหรือถามตัวเอง” ศิรินพูดแกมหยอกเล่น

    “ถามตัวเองสิยะ แอ๊บแมนตลอดเหนื่อยโว้ย”

    “ฮ่าฮ่า ว่าแล้ว” ศิรินพดออกมา

    “กินข้าวยัง ใกล้ถึงบริษัทคริสแล้ว แวะก่อนมั้ย” ปั้นจั่นถามแทรกขึ้น

    “เอาสิ ปั้นยังไม่ได้กินใช่มั้ยล่ะ” ศิรินตอบ ปรมะจึงหักพวงมาลัยเข้าไปจอดหน้าร้านอาหารหน้าตาดูดีร้านหนึ่งโดยที่ไม่รู้เลยว่ามีบุคคลที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้านายของศิรินอยู่ก่อนแล้ว น้ำทิพย์ที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่กับคุณเมทินีซึ่งก็คือแม่ของเขากับคุณหญิงประภา วัชรพลเมฆ กับคุณหญิงพิมพรรณ บุณยศักดิ์ แม่ของออร์แกนและหมอพลอยเพื่อนสนิทของตน ที่เนื้อหาบนโต๊ะไม่ได้เข้าหัวของน้ำทิพย์มากนักเพราะเป็นเรื่องเกี่ยววกับงานฉลองโรงพยาบาลของบ้านบุณยศักดิ์ ซึ่งตอนนี้น้ำทิพย์เองก็มีสิ่งที่น่าสนใจมากกว่าคือบุคคลที่ควรอยู่ที่บริษัทในเวลานี้ทำไมถึงมาอยู่กับสามีตัวเองในเวลางาน

    “คริสสั่งเลย จะกินอะไรมื้อนี้ฉันจ่ายเอง” ปรมะพูดพร้อมกับเลื่อนเมนูอาหารให้ศิริน

    “ผมจะสั่งแต่ของแพงมาเลยนนะครับ คุณปั้นจั่น” ศิรินแกล้งพูดเป็นเสียงผ้ายเมื่อเห็นปรมะเลิกแอ๊บแมน

    “อย่ามา ไม่เหมือนอย่าทำ ขนลุก รีบสั่งเข้า จะได้ไปทำงาน” ปั้นจั่นว่าพลางจะเอาเมนูตีศิริน

    รอสักพักอาหารที่สั่งไปก็ทยอยมาส่ง ศิรินและปรมะจึงลงมาจัดการอาหารตรงหน้าพร่องลงไปด้วยความรวดเร็ว

    “เรานี่ไม่ค่อยหิวกันเลยเนอะ ว่ามั้ย ดูสิแปปเดียว” ปรมะพูดแล้วชี้นิ้ววนไปทุกจานบนโต๊ะ เมื่อเช็ดปากเช็ดมือกันเรียบร้อยแล้วปั้นจั่นจึงยกมือเรียกเก็บเงิน

    “ปั้นรอที่รถเลยนะ คริสขอเข้าห้องน้ำแปปเดียว” ศิรินพูดแล้วเดินตรงไปยังห้องน้ำของร้านอาหาร โดยมีร่างสูงจากอีกโต๊ะไกลๆที่ลุกตามไปติดๆ  “บี ไปไหนน่ะลูก จริงๆเลยลูกคนนี้ สงสัยเชื้อพ่อมันจะเยอะไปหน่อย”

    ทางด้านศิรินที่จัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้วกำลังจะเดินออกมาล้างมือต้องชะงักเมื่อพบกับร่างสูงที่ยืนพิงอ่างล้างมืออยู่โดยที่การแต่งกายในวันหยุดงานของเจ้าตัวก็ไม่ได้ต่างจากวันทำงานเลย

    “ตกใจเหรอ ไม่คิดว่าจะมีใครรู้ว่าเธอ คิดถึงสามี มากจนโดดงานมาหากันล่ะสิ” น้ำทิพย์เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นท่าทีของศิริน

    “ฉันไม่ได้โดดงานมาเพราะคิดถึง แต่ฉันมีความจำเป็นที่ต้องมาค่ะ” ศิรินทำใจแข็งสู้เสือ

    “ความจำเป็น เฮอะ! เธอไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลที่สวยหรูมาตอบหรอก คิดถึงก็บอกคิดถึง หรือแค่อยาก” ร่างสูงยังไม่ลดละแถมยังเดินเข้ามาใกล้ศิรินที่กำลังล้างมืออยู่ห่างกันเพียงไม่ถึงหนึ่งไม้บรรทัดด้วยซ้ำ

    “แล้วนี่ก็เลยเวลาเข้างานแล้วด้วยสิ สงสัยสามีเธอคงจะทำเวลาได้ไม่ดีเท่าไรนะ”

    “คุณน้ำทิพย์!!” ศิรินโมโหเลือดขึ้นหน้าแต่ก็ได้เพียงข่มความโกรธเอาไว้แล้วพูดได้แค่นี้

    “ฉันพูดถูกสินะ”

    “หยุดคำพูดทุเรศๆของคุณซะ ปั้นเขาเป็นคนดีเกินกว่าที่คุณจะพูดถึงแบบนี้” ศิรินขบฟันก่อนจะพูดออกไป

    “คนดี?? คนดีมาตรฐานของเธอคงวัดจากค่าเงินในกระเป๋าสินะ เด็กคนนั้นในสายตาเธอคงป็นคนที่เลวมาเลยล่ะสิ ในตอนนี้เด็กคนนั้นคจะเป็นคนดีขึ้นมาบ้างแล้วสินะ ถูกมั้ย เพราะเขารวยขึ้นจากเมื่อก่อนเยอะเลย” น้ำทิพย์พูดพร้อมกับวาดแขนไปเท้าคร่อมคนตัวเล็กไว้ในอาณัติของตนเอง ส่งผลให้หน้าทั้งสองห่างกันไม่ถึง 10 เซนติเมตร

    “คุณจะทำอะไร! ” ศิรินเอ่ยพร้อมกับใช้ขขนทั้งสองข้างดันไหล่ของคนตัวสูงไว้เบาๆเพราะรู้ดีว่าแขนข้างขวาของเขายังบาดเจ็บอยู่

    “ฉันเป็นคนดีแล้ว พอจะมีสิทธิได้ตัวเธอบ้างรึเปล่าล่ะ” น้ำทิพย์พูดแล้วโน้มใบหน้าลงมาใกล้ศิริน หัวใจทั้งคู่เต้นดังแทบจะเป็นจังหวะเดียวกัน ในขณะที่ใบหน้าของน้ำทิพย์ใกล้เข้ามาเรื่อยๆเหมือนเวลาจะหยุดอยู่ ณ วินาทีนั้น วินาทีที่ริฝีบางบางของคนด้านบนสัมผัสกับส่วนเดียวกันของคนใต้อาณัติแทบจะทำให้น้ำทิพย์ประคองสติตัวเองไม่ได้ ริมฝีปากฉกาจค่อยๆละเลียดบดเบียดลงไปหนักสลับเบาส่งผลให้มือของศิรินที่ดันหล่เขาไว้แปรเปลี่ยนเป็นกำลังจะกอดเขาไว้ด้วยสัมผัสที่คิดถึงตลอดห้าปีที่ผ่านมา แต่แล้วคนที่ได้สติก่อนจึงผละริมฝีปากออกแล้วยกยิ้มอย่างผู้ชนะ

    “การเป็นคนดี นี่ดีจริงๆนะ”  เพียะ!! เสียงฝ่ามือเล็กกระทบใบหน้าของคนพูดทันทีที่จบประโยคนั้น ก่อนที่เจ้าของฝ่ามือจะรีบเดินออกจากห้องน้ำไป ทิ้งให้คนถูกตบยกมือขึ้นลูบหน้าเบาๆ ก่อนส่ายศีรษะไปมาไล่ความรู้สึกประหลาดจากจูบอันหอมหวานเมื่อครู่ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยสัมผัสใครมาก่อนแต่ไม่มีใครที่ทำให้เขารู้สึกแบบนี้ มันเป็นแค่กับศิรินคนเดียว...

    รู้สึก คิดถึง โหยหา คงเป็นคำที่บรรยายได้ดีที่สุด




         To  be continued...


    - ZenonZane -

    ..........................................................................................................................................

     

    TALK : มาแล้วจ้า 

    ขอโทษทุกคนที่ปล่อยให้รอนาน อุปสรรคเดิมคือเวลาะอัพทีไร มีอันจะต้องไม่ได้อัพตลอด หวังว่าจะยังไม่ลืมกันเนอะ ฝากติดตามตอนต่อๆไปด้วยจ้า

    ขอบคุณทุกคนที่แสดงความเห็นกันเข้ามา และกด Favorites กัน นั่นคือกำลังใจที่ทำให้เขียนต่อได้มากๆเลยค่ะ

    รัก 

    ZenonZane

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×