คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #52 : ตอนที่ 34 : เบื้องลึกใต้หมอก
ตอนที่ 34 : เบื้องลึกใต้หมอก
........................
ผ่านไปวันนึง..วันเดียวเต็มที่นาราคุถูกเผาเหลือไว้แค่ตอตะโกเพียงไม่กี่หยิบมือ
...วันเดียวที่ชิคังสุดจะทรมาน เพราะเซ็ตโชมารุไม่ยอมพูดกับเขา ไม่มองหน้า..ขังตัวเองอยู่ในห้องตลอดทั้งวันจนชิคังอดกลัวไม่ได้ว่าคนๆนั้นจะหิวตายเสียก่อน
แล้วเขาควรทำอย่างไร?
ร่างสูงโปร่งยืนนิ่งหน้าประตูไม้สีชาด้วยสีหน้าหนักใจ ในมือขวาถือถ้วยข้าวต้มร้อนกรุ่นส่งกลิ่นหอมหวน หากตอนนี้คนที่ต้องได้รับก็ยังไม่ได้รับ เพราะคนให้กลัวจนไม่กล้าเคาะประตูหรือตะโกนเรียก
จะว่ากลัวก็ไม่ถูก...
แค่ไม่รู้ว่าจะทำสีหน้าแบบไหน..ก็เท่านั้น..ไม่รู้จะพูดอะไร ทำท่าทางยังไง..และเซ็ตโชมารุจะตอบรับเขาแบบไหน..
ชิคังยิ้มบางๆแสนเศร้า
‘อา..นี่มันกลัวไม่ใช่รึ’
“เอาไปคืนดีหรือนั่นน่ะ?”
ชิคังชะงัก เหลือบนัยน์ตาสีเทามองต้นเสียงด้วยท่าทางรำคาญราวกับเดาออกว่าเป็นใคร
“เจ้ามาที่นี่ทำไม?”
“เห..นั่นแทนคำว่า ‘สวัสดี’ รึเปล่า?” เจ้าคนหน้าเป็นว่า ดวงตาสีราตรีของนักพเนจรหนุ่มแวววับอย่างขี้เล่นผิดกับร่างสูงผมเทาที่เลิกคิ้ว
“เสียใจ บังเอิญมันแทนคำว่า ‘ไปให้พ้น’ เสียมากกว่า” เสียงทุ้มพูดตัดรอนอย่างไร้เยื่อใย แต่จิคาคุก็ยังยิ้มออกมาเหมือนไม่รู้สึกรู้สม ชิคังเองก็ไม่แยแส ชายหนุ่มชินเสียแล้วกับไอ้นิสัยจะเข้าบ้านคนอื่นก็เข้าของอีกฝ่าย มือหนาบิดลูกบิดประตูเตรียมเข้าไปข้างในอีกครั้ง หากจิคาคุไม่พูดโพล่งขึ้นมา
“เจ้ายังมีคำปรารถนาเหลืออีกข้อชิคัง..”
ราวกับคำนั้นหยุดการเคลื่อนไหวและเสียงทั้งหมดที่ชายหนุ่มรับรู้จนสิ้น ได้แต่ยืนค้างอยู่ตรงนั้นชั่วอึดใจเหมือนคำพูดของจิคาคุสร้างอารมณ์บางสิ่งขึ้นมาในใจเขา..เขาขับไล่สิ่งนั้นไปและตอบเสียงเรียบ
“คราวหน้าเถอะ..และออกไปจากบ้านข้าซะ”
มือหนาดันประตูเปิด แค่นิดเดียวเท่านั้นก่อนมันจะปิดลงทันทีโดยมือของคนๆหนึ่ง
“ข้าเกรงว่าจะไม่มีคราวหน้าน่ะสิ” คนถือวิสาสะปิดประตูพูดด้วยหน้าตาเฉยๆ “ข้ากำลังฟังเจ้าอยู่”
ชิคังเหลือบตามอง
นักพเนจนหนุ่มผู้ขี้เล่นอย่างน่าหงุดหงิด และแทบไม่เคยพูดจามีสาระซักครั้ง แต่คราวนี้กับทำสีหน้าเรียบเฉยและจริงจัง
..ไม่มีใครต่อประโยคสนทนานั้นนอกจากเงียบกริบ และปฏิกิริยานั้นทำให้จิคาคุผุดรอยยิ้ม
“เจ้ากลัวรึชิคัง?” ร่างสูงผมเทาหน้าตึง สวนเสียงนิ่ง
“ข้าต้องกลัวอะไร? ไม่มีสิ่งใดที่ข้าต้องกลัว”
“ผิดแล้ว...”
ชิคังชะงักเมื่อถูกสวนขึ้นกลางปล้อง จิคาคุยิ้มแบบมีเลศนัยและสืบเท้าเข้าใกล้
“เพราะไม่เคยมีสิ่งสำคัญถึงขนาดต้องกลัว..พอมาตอนนี้เจ้าถึงได้กลัวจับใจไม่ใช่หรือ?”
ชิคังนิ่งงันไป แต่ไม่ตอบรับคำพูดนั้นนอกจากเงียบกริบ นั่นเป็นการเปิดช่องให้จิคาคุไล่รุกมากยิ่งขึ้น
“กลัวถูกเกลียด กลัวสูญเสีย หวาดหวั่นว่าจะถูกทิ้งให้เดียวดาย รังเกียจยามถูกเปรียบเทียบ กลัวความพ่ายแพ้...และที่กลัวที่สุด...”
มือหนาจับดวงหน้าคมคายประคองไว้ในมือ บังคับสายตาบ่ายเบี่ยงให้จ้องสบ และใช้ดวงตาสีถ่านเพ่งลึกเข้าไปในห้วงอารมณ์ที่ถูกตีจนสับสนก่อนขยับยิ้มนุ่ม
“เจ้ากลัวตัวเองชิคัง...กลัวอารมณ์ลึกๆในหัวใจตัวเอง”
นัยน์นตาสีเทาสั่นไหววูบหนึ่งพอสิ้นคำราวกับมันแทงใจ ทำให้ร่างแบ่งภาคหนุ่มเผลอก้าวถอยหลังอย่างลืมตัว
“พูดบ้าอะไรของเจ้า...” เสียงของชิคังเล็ดลอดผ่านริมฝีปากอย่างลำบาก แต่มันก็เบามากไปเกินกว่าจะหยุดยั้งคำพูดราวน้ำป่าไหลหลากของพเนจรหนุ่ม
“..เจ้ากลัวว่าความร้ายกาจที่ซ่อนไว้จะเผลอทำร้ายใครต่อใคร..กลัวว่าซักวันหนึ่งมันจะเป็นจริงและยับยั้งตัวเองไม่ได้”
“เลิกพูดได้แล้ว! ออกไปจากบ้านข้าซะ”
แต่จิคาคุยังคงไม่หยุด
“..เจ้ากลัวว่าจะเผลอฆ่าเป็นครั้งที่สอง หลังจากที่เจ้าฆ่านา..”
“หุบปาก!!”
....................
.............
...
..
ข้ามีนิทานเรื่องหนึ่งจะเล่าให้ฟัง
กาลครั้งหนึ่งของชายหนึ่งคนผู้เกิดมาโดยน้ำมือครึ่งอสูรไม่ใช่พระเจ้า ข้าผู้เฝ้ารับใช้มันมานานก่อนมาถึงตรงจุดนี้...
ก่อนหน้านั้นข้าพ่ายแพ้ตลอดมา..ข้าพ่ายแพ้มัน ทั้งพลังของนาราคุและแทบทุกๆอย่างที่มันเป็น ข้าทำอะไรได้ก็มักจะมาจากสิ่งที่หมอนั่นทำได้อยู่แล้ว...ไม่แตกต่างไปจากเงาทำตามเจ้าของเลยซักนิด...และถึงข้าจะเกลียดเรื่องนี้ขนาดไหน ระยะเวลาก็ทำให้มันกลายเป็นเรื่องชินชาสำหรับข้าไป..
และคงเป็นต่อไปถ้าเจ้าไม่ได้เข้ามาในชีวิตข้า
ดวงตาสีอำพันของเจ้าสวยกว่าอัญมณีใดที่ข้าเคยพบ เย็นชาน่าหลงใหลหากน่ารักจนยากจะอดใจ..ท่าทีของเจ้าที่มีต่อข้าทำให้ลูกสมุนที่ดีแต่โง่ได้รู้จักว่าแค่คนๆหนึ่งยิ้มมันทำให้รู้สึกดัมากขนดไหน..แปลกนะ มารู้ตัวอีกที ข้าก็ถลำลึกไปกับภาพริมฝีปากอิ่มเอิบสีซากุระและใบหน้างดงามราวปาติมากรรมศิลป์นั้นเข้าแล้ว
..ข้าตกหลุมรัก...จนถอนตัวไม่ขึ้นให้กับจอมอสูรผู้งดงาม
ข้าหลงใหลใบหน้ายามโกรธของเจ้า ชอบเสียงนุ่มหูและกลิ่นหอมอ่อนๆ และคลั่งไคล้รอยยิ้มงดงามเหมือนจะทำให้หัวใจหยุดเต้น ข้าสามารถมองเจ้าได้เป็นชั่วโมงโดยไม่เบื่อเพราะข้ารักใบนี้..ใช่ ข้ารักเจ้าทั้งๆทีไม่ควรทำ..แต่ข้าไม่อาจหยุดได้ เพราะมันเป็นครั้งแรกที่ข้ารู้สึกในสิ่งที่นาราคุไม่รู้สึก..ข้ารักเป็น
ข้าได้รักแล้ว
แต่ มันกลับเอาเจ้าไป
มันฝืนกอดและทำให้เจ้าอับอาย และยังกล้า...จูบ ทำให้ข้าโกรธแต่ก็มีความสุขเมื่อเจ้าแสดงท่าทางรังเกียจมัน
...แต่สุดท้าย..ความสุขของข้าก็ถูกทำลายลงในวันนั้น
“เซ็ตโชมารุ อ้าขากว้างนี้หน่อย...นั่นแหละ”
“อ่ะ!”
ข้าได้ยิน..ได้เห็นสิ่งนั้นในตาเจ้าตอนถูกมันกอด ในค่ำคืนเงียบที่ประดับด้วยหิ่งห้อยใต้ต้นไม้ใหญ่ของอาณาจักรอัยชิ
เจ้ารักมัน...
เป็นครั้งแรกที่ข้าเกลียดใบหน้าของตัวเองที่ดันไปเหมือนกับมัน..เกลียดเสียงของตัวเองที่เหมือนมัน..เกลียดทุกสิ่งทุกอย่าง
และวันนั้น ข้าจึงเผลอเรียกบางอย่างมา
“ท่านต้องการสิ่งใด นายน้อยผู้น่ารักน่าชัง”
มัน คือ ยักษ์สีทอง ที่สามารถบันดาลทุกอย่างให้เป็นจริงสามข้อ แลกกับบางสิ่ง
ดวงตาคู่นั้นเป็นสีรัตติกาลยามไร้เดือนดาว ส่วนเส้นผมก็ทองอร่ามราวตะวัน สะบัดพลิ้วตามลมค่ำคืน ใบหน้าละม้ายคล้ายมนุษย์ปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แฝงนัยจนบัดนี้ก็ยังมีอยู่..
“เจ้าเป็นใคร ? ต้องการอะไร?”
“โอ๊ะโอๆ” มันตัดคำพูดข้าก่อนจะยิ้มหวาน “ไม่ใช่ของข้าแต่เป็นของท่านต่างหาก ข้าดลให้คำขอของตัวเองเป็นจริงไม่ได้หรอกนะ”
คำขอรึ ? คำขออะไร?
“รักสามเศร้าสินะ”
ข้าชะงัก ตวัดมองต้นเสียงที่ยิ้มกรุ่มกริ่มราวเดาใจออก “ครึ่งปีศาจกับบ่าวที่หลงรักจอมอสูรคนเดียวกัน เห..อะไรจะโรแมนติกปานนั้น...จริงมั้ย?”
มันรู้?!! ข้าไม่เคยบอกใครเรื่องความรู้สึกของข้า โดยเฉพาะคนที่พึ่งเจอกันครั้งแรกแต่ทำไม?
“อย่าสงสัยไปเลย มันเป็นธรรมชาติที่ข้าจะรู้พื้นฐานความปรารถนาของคนที่เรียกข้ามา”
เขาหรี่ตาลง ซ่อนความสงสัยว่าทำไมมันถึงรู้ในสิ่งที่เขาคิด “ข้าไม่ได้เรียกเจ้า”
มันหัวเราะขบขัน ซึ่งปัจจุบันข้าเกลียดนักหนา “เจ้าเรียกแน่ตอนนี้” มันยิ้ม และชูนิ้วขึ้นสามนิ้ว “ขอสิ..และเจ้าจะได้ทุกอย่างตามที่ต้องการ”
สามอย่างต่อหนึ่งสิ่ง
เวลานั้นไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ข้ารับรู้ได้ว่าความคิดในหัวบอกให้ผลักไสแล้วรีบเดินหนีโดยไว ใครจะไปรู้ว่าเจ้าคนผมทองเบื้องหน้านี้อาจเป็นคนบ้าสติฟั่นเฟืองจากที่ไหนซักแห่งก็ได้
แต่ตอนนั้น..ข้ากลับไม่ทำ ดวงตาสีดำมะเมื่อมเหมือนหุบเหวดูจริงจังและข้าก็เชื่อมัน..ช่วงวินาทีสั้น ๆ ซึ่งได้ยินทั้งเสียงลมโกรกยามค่ำ กับเสียงไม่น่าฟังอย่างการร่วมรักของชายสองคน กระซิบเรียกชื่อกันและกัน กรีดลึกลงกลางใจ
‘ความปรารถนาของข้า...ของข้า...เซ็ตโชมารุ’
“อะไรก็ได้ใช่มั้ย...” กว่าจะรู้ตัว ข้ากลับพูดแบบนั้นออกไป...ข้าหยุดไม่ได้
มันยิ้มหวานถูกใจและพยักหน้าอย่างสงบ
“จิคาคุผู้นี้ จะทำตามความปรารถนาของท่าน”
.......................
“ข้าจึงนำมิซาเนะกลับออกมาจากความตายเพื่อกีดกันพวกเขาออกจากกัน..ขี้โกงหน่อยแต่สามัญ” จิคาคุหัวเราะหึเหมือนพูดเรื่องธรรมดาราวกับคำตวาดว่าของชิคังไม่สะทกสะเทือนไปกว่าลมกระทบหิน เนตรสีดำเหลือบมองใบหน้าคมคายที่เครียดขมึงก่อนยิ้มหวาน “แต่น่าเสียดายที่มันได้ผลไม่นาน”
หากมิซาเนะไม่สวมบทนางเอกขึ้นมาซะก่อนมันคงเป็นพรสำเร็จ และคำขอของชิคังก็จะเป็นจริง
“ใช่ สุดท้ายนาราคุก็ตามมาที่เมืองท่า เพราะฉะนั้นคำขอที่หนึ่งของข้าจึงเท่ากับศูนย์” ชิคังพูดเสียงเย็น ก่อนจิคาคุจะตัดบททันที
“และใช่ แต่เจ้าก็ขอพรข้อที่หนึ่งอีกรอบมิใช่รึ..”
ชิคังสะดุ้งเฮือกและกัดฟันแน่น..จิคาคุถูก เขาขอจริงๆแต่เพราะนึกว่ามันจะง่ายเหมือนตอนแรกจึงขอ..ถ้าเขารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ เขาคงไม่ขอแบบนั้น
…………..
“เอามัน..ออกไปจากตรงนั้น”
เขาพูดแบบนั้นที่เมืองท่าขณะมองลงมาจากชั้นสามจับจ้องไปยังชายผมดำด้านล่าง ซึ่งกำลังนั่งคุกเข่ารอบางสิ่งบางอย่าง..บางอย่างที่ทำให้เขาขุ่นมัว ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่นาราคุคุกเข่าเฝ้ารอเซ็ตโชมารุอยู่ข้างโรงเตี๊ยมเล็กๆที่พวกเขาพักชั่วคราวก่อนโดนเกวียนชน
“ออกไป? ไกลแค่ไหนล่ะ?” เสียงของจิคาคุดังขึ้นในเงามืดโดยไม่ปรากฏกาย หากเสียงกลับบ่งชัดว่าดังมาจากเบื้องหลังชิคัง
“เท่าที่เจ้าจะทำได้ ไกลพอจนมันไม่สามารถเห็นหน้าเซ็ตโชมารุได้อีก” เขาพูดปัดๆ เพราะความหงุดหงิดในอกเหมือนคลื่นน้ำที่ขยายเป็นวงกว้างเกินกว่าจะพูดดีได้
และมันก็ผิดมหันต์..จิคาคุทำตามคำพูด
“แล้วสิ่งที่ข้าทำไม่ดีตรงไหน” ริมฝีปากได้รูปยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
“ข้าแค่ขอให้มันไปไกลๆ!”
“ความตายนี่มันห่างไกลน้อยไปหรือ?”
อีกครั้งที่คำของจิคาคุกัดกร่อนจิตใจเขาจนพูดไม่ออก ได้แต่กัดฟันกรอด นึกเจ็บใจตนเองที่เปิดช่องในคำขอของตัวเอง แต่มันกลับเอ่ยขึ้นมาง่ายๆราวสำรวจสภาพอากาศ
“เจ้าเป็นคนแปลกรู้ตัวรึเปล่า?” อีกฝ่ายแสดงความเห็นด้วยใบหน้าซื่อๆ “คนทุกคนที่ข้าเจอหากอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเจ้าคงขอข้าให้คนๆนั้นมารักและทำลายความทรงจำของคนรักเก่า แต่เจ้ากลับอ้อมไปอ้อมมา...เพื่ออะไร?”
ชิคังหรี่ตามองร่างสูงเขม็ง ในใจนึกด่าท่าทางแกล้งไร้เดียงสานั้นอย่างหมันไส้ “ข้าต้องการให้เซ็ตโชมารุรักข้าเอง ไม่ใช่รักปลอมๆจากเวทมนตร์เจ้า”
คิ้วเข้มสีทองโก่งขึ้นเป็นความแปลกใจ และพูดขึ้น “พิลึกคน...แม้แต่ตอนนั้น ข้ากลับคิดว่าเจ้าน่าจะพอใจแล้วเสียอีก ข้ารึอุตส่าขนเกวียนมาชนเจ้านั่นถึงที่เพราะเจ้าบอกว่าไม่อยากให้เหมือนใช้เวทมนตร์จนเกินไป ถึงมันไร้รสนิยมไปหน่อยก็เถอะ แต่โชคดีจริงๆเพราะการกระทำนั้นกลับทำให้นาราคุเป็นเจ้าชายนิทรา” จิคาคุยิ้มให้ร่างแบ่งภาคหนุ่มอีกครั้ง
“ตามเจ้าพูดไง ‘ไกลจนมันไม่สามารถเห็นหน้าเซ็ตโชมารุได้อีก’ ไม่ใช่แค่มองนะ รับรู้ก็คงไม่รู้สึก ถือเป็นของแถมของข้าด้วยซ้ำ”
ชิคังกัดฟันกรอด..ไอ้บ้านี่!!
“ชิคัง...”
.........
...
.
นัยน์ตาสีเทาเบิกกว้าง หันขวับที่ประตูเบื้องหลังตนเอง
...เซ็ตโชมารุยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าหวานซีดเผือดลง
“ซ..เซ็ต..”
ชื่อของอีกฝ่ายติดพันอยู่ที่ปลายลิ้น ยิ่งยามเห็นดวงตาสีทองคู่นั้นเบิกกว้างคำพูดทั้งหมดกลับขึ้นมาจุกอยู่ที่คอ กายเย็นเฉียบ นัยน์ตาสีหวานคู่นั้นจ้องชิคังเขม็งจนเจ้าตัวหายใจไม่ออก
“...อธิบายมา” สุดท้าย ร่างบางก็โพล่งขึ้น
ชิคังไม่อาจเดาได้ว่าตอนนี้เซ็ตโชมารุรู้สึกอย่างไร แต่หางเสียงที่ออกสั่นทำให้ชายหนุ่มหน้าเสีย สถานการณ์ในขณะนี้คล้ายอยู่ในช่องแช่แข็งแต่ก็ร้อนระอุในเวลาเดียวกันจนเหงื่อไหล ชิคังยืนนิ่งพูดไม่ออกกระทั่งจอมอสูรหมดความอดทน
“จิคาคุ!” เซ็ตโชมารุหันไปหายักษ์สีทองที่กำลังยืนทำหน้าเป็นอยู่
“จริงรึ..ที่เจ้าเป็นคนทำให้นาราคุ..ตาย..” ประโยคส่วนท้ายช่างออกมาอย่างยากลำบาก แต่ร่างบางก็ฝืนจ้องตากับร่างสูงของนักพเนจรหนุ่ม ทว่าอีกฝ่ายกลับส่ายหน้าเบาๆ เอ่ยปฎิเสธ “ข้าก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของสาเหตุเท่านั้นเอง คนสวย”
ไม่ว่าเปล่า เจ้าตัวยังยื่นมือมาจับแก้มขาวเนียนเป็นเชิงหยอก แต่อีกฝ่ายไม่เล่นด้วยจึงปัดทิ้งดังผั๊วะก่อนพูดต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เหลวไหล! เจ้าพูดกับชิคังเองไม่ใช่เหรอว่าเจ้าจงใจให้เกวียนชนนาราคุ?”
“ก็...” จิคาคุยักไหล่ “แค่ตามคำขอ..”
ก่อนเสียงจะเปรี้ยงขึ้นเหมือนฟ้าผ่า
“เจ้าคนตอแหล! ชิคังไม่ได้บอกให้ฆ่านาราคุด้วยซ้ำ เขาแค่บอกว่าให้พาไปไกลๆและคนที่บิดเบือนคำขอจนนาราคุต้องตาย ก็คือ เจ้า!” จอมอสูรตวาดใส่อย่างน่ากลัว นัยน์ตาสีทองจ้องเนตรสีดำสนิทเขม็ง “เจ้าทำแบบนี้ทำไม!? เจ้าหลอกชิคัง..หลอกเรา และยังฆ่าเขา! เจ้ามัน..เจ้ามัน!”
“เซ็ตโชมารุ! หยุด..เดี๊ยวก่อน!”
ชิคังเร่งฉวยมือบางไว้ก่อนมันจะฟาดเข้าใบหน้าของจิคาคุเข้า เซ็ตโชมารุพยายามดิ้นโดยมีร่างสูงกอดรั้งไว้แน่น ในสมองไม่ได้ฉุกคิดอะไรเลยนอกจากเกลียดคนเบื้องหน้า..ลืมคิดไปเลยว่าคนที่ดึงรั้งตนเองไว้ คือ คนที่เผานาราคุ..ลืมมองแม้แต่ตัวเองตอนนี้ว่าลืมตัวมากเพียงใด..ยิ่งเห็นรอยยิ้มบนริมฝีปากของจิคาคุด้วยแล้ว..
‘มันยังกล้ายิ้มอยู่ได้ยังไง!?’
ชายหนุ่มกัดฟันกรอด หมายจะดึงมือออกจากการเกาะกุมแต่ร่างสูงใหญ่กลับไม่ยอมปล่อย แต่ไม่ว่าจะสบถด่าหรือสั่งเสียงแข็งยังไง ชิคังกลับลากเขาออกห่างจิคาคุอย่างไม่สนใจ
“เจ้านี่ขี้โมโหขึ้นรึเปล่า..?” จิคาคุถามขึ้นลอยๆ
“เงียบเถอะน่า!” ชิคังตวาด หรี่ดวงตาสีเทาทิ่มแทงอีกฝ่าย “รีบไปซะ...ข้าขอเตือนเป็นครั้งสุดท้าย...”
“ความจริงยังคงเป็นความจริง ข้าเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น...และข้าจะไม่กลับ จนกว่าจะล้างมลทินให้ตัวเองได้ก่อน” จิคาคุสวนทันทีด้วยเสียงนิ่งเฉย รอยยิ้มบนใบหน้าดูเลือนลงขณะร่างบางหยุดดิ้นอย่างกะทันหัน นักพเนจรหนุ่มเอ่ยขึ้น “ข้าไม่ได้ทำให้นาราคุตาย ก็แค่ทำให้เป็นเจ้าชายนิทรา...ลืมแล้วรึ?”
คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากัน ใบหน้าคมมนดูจริงจังเวลาพูดแต่เซ็ตโชมารุกลับคิดว่ามันไม่เห็นจะเกี่ยวกันที่ตรงไหนเลย..ถึงจะบอกแค่ทำให้เป็นเจ้าชายนิทรา..สุดท้ายนาราคุก็ตายอยู่ดีไม่ใช่รึ?..ใช่..ตายจริงๆไม่ได้ตายหลอก..เพราะสัมผัสด้วยมือตัวเองเลยว่าข้อมือเย็นเฉียบไร้สัญญาณชีวิต
ความคิดนั้นทิ่งแทงใจเสียเอง ทำให้เซ็ตโชมารุจำต้องหลุบตาลงเพื่อตั้งสติช้าๆ...ใจเย็นๆ.เซ็ตโชมารุบอกตัวเอง ก่อนลืมตาขึ้น จ้องแน่วนิ่งไปทางจิคาคุ
“สีหน้าเจ้าบอกว่าไม่ค่อยเชื่อเลยนะ...” เจ้าตัวว่าพร้อมถอนหายใจ ส่วนรอยยิ้มกวนชักเริ่มปรากฏ
“เจ้าอยากรู้รึเปล่าว่าเบื้องหลังที่สุดของเรื่องนี้คืออะไร?”
เซ็ตโชมารุขมวดคิ้ว “หมายความว่าไง?”
“อย่าไปสนใจเลยเซ็ตโชมารุ” ชิคังตัดบท ก่อนดึงไหล่เซ็ตโชมารุเบาๆ “กลับเข้าห้องเถอะ ข้ามีข้าวต้มมาให้เจ้า ยังไม่ได้กินอะไรเลยไม่ใช่เหรอ?”
เซ็ตโชมารุพอได้ยินคำว่าข้าวต้มก็รู้สึกหิว แต่สัญชาติญาณบางอย่างกลับบอกให้ตัดกลิ่นหอมอ่อนๆของชามข้าวต้มออกและอยู่ฟังคำพูดของจิคาคุ..ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่ดวงตาสีราตรีกลับดูเวทนาลงโดยไม่ทราบสาเหตุ
“เห็นแก่ของสวยของงามที่ใกล้จะพัง...ข้าจะเล่าคำขอเกือบสุดท้ายของยักษ์ใจร้ายให้ฟัง”
แค่ประโยคไม่ยาวมาก มือของชิคังที่วางอยู่บนไหล่บางกลับเกร็งแน่น แต่กว่าอสูรหนุ่มจะรู้ตัวก็ถูกดึงคล้ายกระชากเข้าไปในห้อง ดีที่รั้งขอบประตูไว้ก่อนมิฉะนั้นคงล้มหน้าคว่ำลงกับพื้นแน่
“ทำอะไรของเจ้า!?” เซ็ตโชมารุหันมาโวยใส่คนดึง น่าแปลกที่ใบหน้าของชิคังกลับขาวซีดกว่าปกติ มือหนายังคงรั้งไหล่ไว้แน่นก่อนร่างสูงจะเปิดปากอีกครั้งด้วยเสียงเบาๆ
“ข้าขอล่ะ..เข้าห้องไปเถอะ..นะ ขอร้อง..”
เสียงของชิคังมีแววอ้อนวอนอยู่ นั่นทำให้คิ้วเรียวสวยขมวดกันน้อยๆ..มีเรื่องอะไรนักหนาที่ต้องเข้าไปในห้อง..? อสูรหนุ่มหรี่ตาลง คิดขึ้นมาใหม่..ไม่ใช่เข้าห้อง..แต่ปัญหามันอยู่ตรงที่ว่าเขายังอยู่ตรงนี้ต่างหากอยู่ๆ..ความรู้สึกบางอย่างก็ทำให้ร่างบางเย็นเยียบโดยไร้สาเหตุ...ชิคังกลัวอะไร?
“ไม่บอกไปล่ะว่านาราคุตายยังไง?”
ความเงียบเกิดขึ้นก่อนดวงตาสีทองจะตั้งสติ รีบหันกลับมามองที่จิคาคุทันที ไม่รอช้า ชายหนุ่มรีบอาศัยตอนชิคังเผลอดิ้นออกจากการเกาะกุม ก่อนสาวเท้าเข้าไปใกล้จิคาคุโดยไม่สนใจเสียงเรียกไล่หลัง
“เจ้าจะพูดอะไร..?” เซ็ตโชมารุถามเบาๆ
“เซ็ตโชมารุ อย่าไปฟังมัน!” ชิคังตามมาทันและคว้าแขนของเซ็ตโชมารุไว้อีกครั้ง ขณะนั้นใบหน้างามดูสับสน...ชักเริ่มไม่เข้าใจ ก่อนจิคาคุจะเหลือบมองใบหน้าคมคายของร่างบ่างภาคหนุ่มน้อยๆ
“ไหนว่าไม่เคยกลัวอะไรไง?”
“ข้าไม่เคยกลัว!” ชิคังขึ้นเสียงเย็น แต่ดวงหน้ามนกลับมีสีหน้าสนใจ “งั้นทำไมไม่บอกเสียทีว่าเจ้า...”
ชิคังตัวชา ก่อนยักษ์สีทองจะเผยอร้อยยิ้มนุ่มนวล
“เป็นคนฆ่านาราคุ...”
……………….
..............
………
…
ไม่มีใครพูดอะไรเลยหลังจากนั้น คล้ายจิคาคุทิ้งระเบิดไว้ลูกใหญ่ เสียงของมันดังมากเสียจนเซ็ตโชมารุหูอื้อ โลกเอียงและสับสนไปหมด..
นี่เขา..หูฝาดรึเปล่า?..ได้ยินไปเอง..ไม่..เขาได้ยินว่าอีกฝ่ายพูดอะไร..แต่ทำไม..ทำไมเขาถึงรู้สึกไม่อยาก..เชื่อมันเลย..
“อะไร...นะ..?” เสียงแห้งแผ่วเบาดังเล็ดลอดริมฝีปากออกมาอย่างยากเย็น ทำลายความเงียบลง เหมือนเตือนสติใครๆหลายคนในนั้นเพราะสัมผัสของมือแกร่งกลับกระชับแน่นขึ้น ขณะจิคาคุหัวเราะเบาๆ ก่อนอธิบาย
“ตอนหัวใจหยุดเต้นไงล่ะ.เจ้าคงจำได้สินะ เจ้าทั้งสองคน”
ใช่..ใครจะลืมลง
..............................
“เรียกข้ามีอะไรรึ?” จิคาคุทำสีหน้าเบื่อหน่ายขณะเอ่ยกับชิคังที่ตอนนี้ยืนอยู่หน้าห้องไอซียูที่นาราคุอยู่ในนั้น โดยมีอีกฝ่ายเห็นเขาอยู่คนเดียว
ไม่ต้องบอกให้ชิคังเล่าว่ามาทำอะไรอยู่ตรงนี้ เพราะเขารับรู้จากเสียงลมว่าเกิดอะไรขึ้น..นาราคุหัวใจหยุดเต้นไปซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ และนั่นอาจเป็นสาเหตุทำให้คนสวยของเขาทำหน้าเศร้า..ข้าไม่ชอบเห็นคนสวยน่าเศร้าเลยจริงๆ..
‘อาการของนาราคุเป็นไงบ้าง?’ ชิคังถามกลับมาในใจ โดยสายตายังไม่ละไปจากร่างบางของจอมอสูรหนุ่ม
‘แค่ช็อก..อีกห้านาทีก็ฟื้น..’ เขาบอก..ดี คนสวยจะได้เลิกทำหน้าเศร้า และเจ้าคนเบื้องหน้านี้จะได้เลิกทำหน้ายุ่ง..บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าทำก็ดันทำอยู่ทุกครั้ง..เคยฟังกันมั้ย?
ชิคังรับคำโดยการเงียบ..พวกเขาไม่พูดอะไรหลังจากนั้น ซึ่งจิคาคุก็ไม่ได้หายไปไหนเพราะชายหนุ่มรู้ว่าชิคังกำลังคิดบางอย่าง และสัญชาติญาณของยักษ์บอกนักพเนจรหนุ่มว่าบางอย่างกำลังเกิดขึ้น
เนรตสีดำสนิทมองใบหน้าคมคายนิ่ง..ก่อนเผยอยิ้มขึ้นมาน้อยๆ..เขารู้ว่าใครต้องการอะไรเสมอ
“ดูพอแล้วใช่มั้ย..?”
ชิคังชะงักกึก ถึงกับลืมตัวมองมายังเขา ใบหน้าคมเข้มดูสับสนอยู่ชั่ววูบหนึ่งก่อนเปลี่ยนเป็นเฉยลง..ดวงตาสีเทาหลุบต่ำมองพื้นคล้ายจะครุ่นคิดพร้อมเม้มริมฝีปากแน่น ซึ่งจิคาคุไม่คิดจะขัดมัน..เขารู้ว่าชิคังกำลังตัดสินใจ..และรู้ว่าอีกฝ่ายเลือกแล้ว
จิคาคุเลิกคิ้ว “มันเป็นความปรารถนาของเจ้าเองนะชิคัง..”
ดวงตาสีเทาลืมขึ้น มองไปยังเซ็ตโชมารุ..ใบหน้าสวยดูซีดเซียวและเป็นกังวล..จิคาคุมองเห็นความมืดวูบหนึ่งในดวงตาของชิคัง นั่นทำให้ยักษ์อย่างเขาหัวเราะเบาๆก่อนเอ่ยถามอีกครั้ง
“หึ...ดูพอแล้วใช่มั้ย..?”
ความมืดเด่นชัดขึ้น..ดวงตาของชิคังจับจ้องไปยังเซ็ตโชมารุนิ่ง..เพียงชั่วครู่ก่อนตอบเสียงเบา
‘พอแล้ว’
ดวงตาสีราตรีเป็นประกายระยับ..ริมฝีปากหยักขึ้นเผยเขี้ยวโค้งยาว ใบหน้ามนที่ปราศจากริ้วรอยกลับปรากฏตัวอักษรคันจิสีดำขึ้นบนแก้มเขียนว่า ‘สอง’ ชายหนุ่มกลั้นเสียงครางย่างพอใจในลำคอขณะเอ่ยขึ้น
“..บอกคำปรารถนาของเจ้ามา..”
นัยน์เนตรสีเทาคล้ายถูกกลบด้วยสีดำ หากคราวนี้เขาเห็นมันกำลังเริงระบำอยู่ในแก้วตาที่แปรแปลี่ยนเป็นเฉยชาของชิคัง และแล้ว ริมฝีปากคู่บางก็เปิดออก เอ่ยเสียงเย็นชา
“..ฆ่ามัน..”
.............
ชักเริ่มหวั่นว่าหลังจากอ่านตอนนี้แล้วท่านผู้อ่านจะด่าชิคัง โอย หวั่น - -'''
อ่านตอนนี้และท่องขันติพระโสดาบันในใจนะคะ และคลิ๊กไปตอนถัดไปเลยค่ะ
นารา : เมื่อไหร่ข้าจะฟื้น - -'''
เซ : เมื่อไหร่เมื่อนั้นย่ะ =o=
ความคิดเห็น