ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The White Rabbit

    ลำดับตอนที่ #23 : XXII_กระผมเป็นคนฆ่าเขาเอง

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 246
      2
      6 พ.ย. 58

    THE WHITE RABBIT
    XXII

    กระผมเป็นคนฆ่าเขาเอง




    ความเดิมตอนที่เเล้ว: นี่เม้นมันมีเเค่นี้รึว่าหน้านี้มันไม่รีเฟรชฟะ

    -------------------------------------------------------------------------------------



             ผมลุกขึ้นบินขี้เกียจเมื่อคนไข้คนสุดท้ายอยู่ในอาการปกติ ตอนนี้คงเที่ยงคืนเเล้ว ผมได้ยินเสียงที่เงียบลงกว่าเดิม หน่วยเเพทย์บางคนทยอยออกไปจากห้องโถง บางคนก็นอนอยู่นี่เลย เเต่บางคนก็ยังถ่างตาทำหน้าที่อยู่ไม่ห่าง เเละบางคนที่ว่านี่ก็คือลินเน็ตต์...

            คนคนเดียวกับที่ไม่ท้อถอยเพื่อช่วยเด็กหญิงคนนึง เเม้รู้เเก่ใจว่าเธอรอดยากก็ตาม จนผมหน้าด้านอยู่ไม่ได้ต้องโดดลงมาช่วย ไปๆมาๆผมก็โดนลากให้ช่วยงานจนดึกป่านนี้ ส่วนเจ้าราชาที่เข้ามาป้วนเปี้ยนก็กลับไปนานเเล้ว หวังว่าเขาคงจะเข้าใจในสิ่งที่ผมพูด

            "ขอบใจนายมากที่ช่วย" ลินเน็ตต์เดินเข้ามาตบบ่าผมด้วยท่าทีห้าวๆ ผมของเธอซอยสั้น ท่าทางกระโดกกระเดก ใบหน้ามอมเเมม จนตอนเเรกผมนึกว่าเป็นผู้ชายด้วยซํ้า

             "ครับ ไม่เป็นไรหรอก" ผมตอบ ลินเน็ตต์ยื่นมือมาเพื่อทักทาย

             "ฉันลินเน็ตต์"

             อ้อ ครับรู้อยู่เเล้ว ได้ยินเเว่วๆมาจากพวกหน่วยเเพทย์น่ะ

             "ผมไวซาน" ผมตอบตามมารยาท เเล้วจับมือเธอตอบ

             "ยังไงพรุ่งนี้ก็เเวะมาบ้างล่ะ นายดูกระฉับกระเฉงกว่าเจ้านักเวทย์สันหลังยาวพวกนั้นอีก" ลินเน็ตต์เอ่ยปากชวน เเล้วก็ถือโอกาสใช้เเรงงานไปพร้อมๆกัน

             "อย่าไปว่าพวกเขาเลยพวกเขาคงเหนื่อย" ผมยักไหล่เเก้ต่างเเทนนักเวทย์ที่โดนด่ามาทั้งคืน โดยถ้อยคำอันเเสนเจ็บเเสบจากหัวหน้าหน่วยเเพทย์คนนี้

             ครับ ผมพึ่งรู้เมื่อสามชั่วโมงที่เเล้วว่าลินเน็ตต์คนนี้เป็นหัวหน้าหน่วยเเพทย์ ทั้งๆที่เธอเเทบจะใช้เวทย์ไม่เป็น ผมเคยคิดว่าสำหรับโลกนี้ผู้ใช้เวทย์มนต์จะอยู่เหนือคนอื่นๆ มีสิทธิ์มากกว่าคนอื่นๆ  เเต่ไม่ใช่ ลินเน็ตต์พิสูจเเล้วว่าผมคิดผิด เมื่อถึงยามวิกฤตจริงๆอย่างคืนนี้ นักเวทย์กับนักบวชดูเชื่องช้า อืดอาดอย่างลินเน็ตต์บ่นจริงๆ ยิ่งกว่านั้นคือพวกเขาออ่นเเอ เพราะใช้พลังงานไปกับเวทย์มนต์ เรี่ยวเเรงเลยไม่ค่อยจะมี จะให้มาหามเปลผู้ป่วยก็คงไม่ไหว  ถ้าไม่ได้หน่วยเเพทย์ช่วยงานก็คงไม่เดิน

             "นั่นสินะ นายก็คงเหนื่อยไปพักผ่อนเถอะ จากนี้ฉันจัดการต่อเอง" ลินเน็ตต์ตบบ่าผมเบาๆ เเต่ถึงเธอจะปากเเข็งเเต่ผมก็เห็นเเววออ่นล้าในดวงตาเธอ

              "อย่าหักโหมนักล่ะ คุณก็ควรจะนอนได้เเล้ว" ผมโบกมือลา เเล้วเดินออกไปเงียบๆ 

              เมื่อออกมาอากาศหนาวก็เข้าจู่โจม เเละเหมือนมันจะหนาวขึ้นเรื่อยๆ ผมถูมือตัวเองกับท่อนเเขน เเต่การเสียดสีเพียงเล็กน้อบไม่ได้ทำให้อุ่นขึ้นเลย

             ผมจํ้าเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งไปตามพื้นหิมะ เพื่อไปถึงห้องตัวเองให้เร็วที่สุด เท้าที่จมเข้าไปในหิมะเหมือนมันจะเเข็งซะจนผมชาดิก ไม่ไหวเเล้ว ถ้าอยู่นานกว่านี้ผมต้องตายเเน่ๆ

            พึบ...

            ระหว่างที่ผมเดินไมามองหน้ามองหลังมองเเต่เท้าตัวเอง ผ้าคลุมขนสัตว์นุ่มๆก็ลอยมาโดนหน้าจนผมรับไว้เเทบไม่ทัน

             ผมเงยหน้ามองคนที่ส่งเสื้อมาให้ เวซานนั่นเอง

             "หนาวขนาดนี้ไม่ควรออกมาเดินเล่นนะขอรับ" เวซานเอ่ยรอยยิ้มยังคงประดับอยู่บนใบหน้า

             "ก็มันนอนไม่หลับนี่" ผมพูด เเล้วเอาเสื้อคลุมที่เวซานให้มาใส่

             "งั้นก็พอดีเลยขอรับ" เวซานทำหน้าเหมือนพึ่งนึกอะไรออก "ไปหาน้องสาวคุณดีไหมขอรับ ผมมีเรื่องอยากจะถามเธออยู่พอดี"      

     

     




     

               บนดินว่าหนาวเเล้ว เเต่ใต้ดินนั้นยิ่งกว่า โดยเฉพาะกับ คุกใต้ดินของเอริคาซี ไม่มีใครรู้ว่าด้วยเวทย์มนต์หรือคำสาปใดที่ทำให้ที่นี่อุณหภูมิติดลบตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นฤดูกาลใดก็ตาม

            เก๊ง...

           เสียงโลหะเสียดสีกันลั่นมาในความมืด ทำให้เมทริซที่ขดตัวจนกลมเพื่อสร้างความอบอุ่นให้ร่างกาย ต้องเปิดเปลือกตาขึ้นมาดู

           ท่ามกลางความมืด ใครบางคนเปิดประตูห้องขังของเธอ เมทริซพยายามเพ่งมองไปในความมืด เห็นเงาคนรางๆ เธอเกลียดคุกงี่เง่านี่ เพราะมันทำให้เธอรู้สึกเหมือนตายไปแล้ว ทั้งหนาวเหน็บ เเล้วก็มืดมน     

            "สวัสดีสาวน้อย" คนผู้นั้นทักเธอ เขาเดินเข้ามาไกล้ๆเธอ เธอรู้สึกได้จากเสียงฝีเท้า "กระผมอยากถามอะไรเธอหน่อย" คนคนนั้นถาม เขามีดวงตาสีชมพู เธอเห็นมัน เพราะดวงตาคู่นั้นอย่างกับมันเรืองเเสงได้

             "หนูก็บอกไปหมดเเล้วนี่" เธอตอบเสียงเบา จนเหมือนเเค่กระซิบอยู่ในลำคอ เธอโดนสอบมาทั้งวันเเล้ว 

              "กระผมได้ยินว่าเธอมีพี่ชาย" คนคนนั้นถาม สิ่งนี้ทำให้เมทริซสะดุ้ง "เล่าเรื่องเขาให้ฟังหน่อยได้ไหม"

              "อยากรู้ไปทำไม? พี่เขาไม่เกี่ยวอะไรด้วยหรอก อย่ายุ่งกับเขา" เสียงเธอเเข็งขึ้น ปะปนด้วยความหงุดหงิด  

              "เขาคือคนคนเดียวกับผีดิบใช่ไหม?" ชายคนนั้ถาสอีก เมทริซเริ่มระเเวง 

              "อาจจะใช่... หรือไม่ใช่ หนูก็ไม่รู้" เด็กสาวตอบด้วยความไม่มั่นใจ

              "เขาคือคนที่ฆ่าราชาองค์ก่อนหรือเปล่า?"

              "ไม่!! หนูบอกเเล้วว่าเขาไม่เกี่ยวด้วย!!" เมทริซขึ้นเสียงด้วยความโมโห

              "งั้นใครเป็นคนทำล่ะ" ชายคนนั้นถามด้วยเสียงราบเรียบ

              "พ่อ... พ่อหนูเอง... ทั้งปลงพระชนราชา ทั้งควบคุมปีศาจมาทำลายเมืองนี้ด้วย" เธอตอบ เเละเธอพูดความจริง คนพวกนี้ถามเรื่องนี้กับเธอมาทั้งวัน เธอก็ตอบด้วยคำตอบเดิมทุกครั้ง เเต่เเปลก ไม่มีใครเชื่อเธอ  

             "เขาเป็นใคร"

             "อัศวินโพธิ์เเดงเจราด เขาเป็นพ่อของหนูเอง" สิ้นคำตอบ ห้องขังของเธอเงียบไปพักใหญ่ เเต่เเล้วชายตรงหน้าเธอก็ลุกขึ้นเเล้วเดินออกไป ชั่งเป็นการสอบปากคำที่สั้นนัก เธอคิด

              "เข้าไปคุยกับเธอหน่อยสิขอรับ" ชายตาสีชมพูเอ่ยขึ้น เขาพูดกับใครสักคนอยู่หน้าห้องขังของเธอ เมทริซเงี่ยหูฟัง ไม่มีเสียงตอบจากคู่สนทนาของเขา เเต่สักพักเมทริซก็ได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาในห้องขังของเธอ เขายืนอยู่ตรงหน้าเธอนี่เอง เมทริซพยายามเพ่งมอง เเต่ก็เห็นเพียงเงารางๆท่ามกลางความมืดที่ไม่รู้ว่าเป็นเเค่ภาพลวงตาหรือเปล่า

             คนคนนั้นยืนนิ่งอยู่นาน จนกระทั่งเมทริซได้ยินเสียงเสียดสีของผ้าเบาๆ เเล้วอะไรบางอย่างก็มาคลุมอยู่บนตัวเธอ เมทริซสัมผัสมัน เเล้วก็รู้ได้ทันทีว่ามันเป็นผ้าคลุมขนสัตว์อุ่นๆผืนหนึ่ง เธอมองคนตรงหน้าเเม้ไม่เห็นก็ตาม สัมผัสจากมือของเขาเเตะลงมาที่หัวเธอเเล้วก็ขยี้มันเเรงๆสองสามทีก่อนจะดึงมือออก เขาไม่พูดอะไรซักคำ จนเมทริซได้ยินเสียงฝีเท้าเดินออกไป

              เเปลก เด็กสาวคิด มีคนที่เห็นใจนักโทษผู้ปลงพระชนราชาด้วยเหรอ

              เมทริซนั่งเฉยจนกระทั่งเสียงฝีเท้านั้นหายไป เธอกระชับเสื้อขนสัตว์เเน่นเพื่อสร้างความอบอุ่น ก่อนที่จะหลับไป

              ....พี่ชายจะเป็นยังไงบ้างนะ

      

     





     

            "ฮัดชิ้ว!!" ผมจามดังๆเเบบไม่เกรงใจใคร หลังจากออกมาจากคุกหนาวนรกนั่น เเถมผ้าคลุมก็ให้เมทริซไปแล้ว ไม่นึกเลยว่าเมทริซจะทนอยู่ในที่เเบบนั้นได้ ดูผมสิเเป๊บเดียวก็หวัดกินเเล้ว

             "ใจดีไม่เข้าเรื่องเลยนะขอรับ" เจ้าเวซานเหน็บ ผมมองค้อนไปแรงๆ เจ้าหัวขาวข้างๆผมนี่เเหละที่เป็นใบเบิกทางเข้าไปหาเมทริซในคุกใต้ดิน

              "เอาไปใช้ก่อนสิขอรับ" เวซานโยนเสื้อคลุมขนสัตว์มาให้ ถึงปากจะไม่ดี เเต่จิตใจนั้นก็อีกเรื่อง

              "นายไม่หนาวรึไง" ผมรับผ้าคลุมมาสวมลวกๆก่อนจะถาม

              "ไม่เป็นหรอกขอรับ"ไวซานยักไหล่ไม่สะทกสะท้านต่อความหนาว ก็คงจะจริง กระต่ายคงไม่ต้องใส่เสื้อกันหนาวหรอกมั้ง

              "ต่อจากนี้ผมคงจะต้องหายไปซักพักนะขอรับ มีเรื่องที่ผมสงสัยนิดหน่อย" เวซานเอ่ยขึ้น

              "ทำไมล่ะนายจะไปไหน?"

              "อนาคตขอรับ น่าจะซักเดือนสองเดือนต่อจากช่วงเวลานี้" ไวซานตอบนิ่งๆ เเต่ผมนี่เหวอไปเลย

              "อนาคตเนี่ยนะ? นายจะไปทำไม?"

              "คุณคงได้ยินแล้ว เกี่ยวกับ... อัศวินโพธิ์เเดง" เวซานเอ่ยถึงคนที่เมทริซพูด ผู้ที่ปลงพระชนราชาคนนั้นน่ะเอง

              "อ๋อ... พ่อของเมทริซน่ะเหรอ" ผมตอบ จากที่เมทริซบอกมาเขาเป็นพ่อของเธอ เป็นพ่อของน้องสาวผม ซึ่ง...ก็น่าจะพ่อของผมด้วย

              "เขาตายไปแล้วขอรับ"

              "ฮะ?!" ผมสะบัดคอหันมามองเวซานทันที "ไม่ได้โม้ใช่ไหม?"

              "เรื่องจริงขอรับ อัศวิศวินโพธิ์เเดงเจราด... เขาตายไปแล้ว ตั้งเเต่สงครามปีศาจ หรือตั้งเเต่สองพันปีก่อนนั่นเเหละ เรื่องนี้ผมรู้ดี.... ผมรู้ดีที่สุด" เวซานเล่าเเล้วเดินมองพื้นไปเรื่อยๆ ส่วนผมหยุดนิ่งเเล้วก็มองเเผ่นหลังที่ห่างตัวเองออกไป จนกระทั่งเวซานคนนั้นหันมา ด้วยเเววตาที่เปลี่ยนไป

              " กระผมเป็นคนฆ่าเขาเอง... ด้วยมือคู่นี้ "

     

     





     

              "เริ่มการประชุมได้!!" วาจาทรงอำนาจสะท้อนไปทั่วห้องประชุม ราชาไมโคราคัสนั่งเท้าคางสบายๆ เด่นอยู่กลางห้องโถงที่รายล้อมไปด้วยเหล่าขุนนาง เเละผู้มีสิทธิ์ในการเข้าประชุมสำคัญนี้

             "อย่างที่ทุกคนทราบกันดี บ้านเมืองเราอยู่ในสถานการณ์ที่...ยํ่าเเย่" มาคุสเป็นผู้เปิดเรื่อง หมอหลวงผู้ปลดเกษียณไปแล้วต้องกลับมาทำหน้าที่อีกครั้ง สถานการณ์ตอนนี้ทำให้เขานิ่งดูดายไม่ไหวจริงๆ

              ทั้งห้องโถงเงียบกริบ มาคุสกวาดตามองไปโดยรอบ ขุนนางเเต่ละคนทำให้เขารู้สึกเเก่ขึ้น มาคุสพึ่งรู้ว่าตั้งเเต่เขาปลดเกษียณตนเอง เหล่าผู้เฒ่าคนอื่นๆก็ทำตามบ้าง จนตอนนี้ มีเเต่เหล่าเด็กๆหน้าละออ่น มาทำหน้าที่เเทน นี่ทำให้ผู้เฒ่าอย่างเขาหนักใจไม่น้อย

             "ข้าหวังว่าทุกท่านจะร่วมมือกันเพื่อกอบกู้เมืองที่สวยงามของเราคืนมา..." มาคุสพูดปลุกใจ "เเต่ก่อนหน้านั้น ข้าต้องการให้ท่านทราบ เรื่องนักโทษคนนึงที่เกี่ยวข้องกับการปลงพระชนราชาองค์ก่อน.... ท่านพัสดี" มาคุสเอ่ยเรียกพัสดีหนุ่มที่มีเเววตาเย็นนิ่งสีนํ้าเงิน เขายืนขึ้นจนเป็นเป้าสายตาของทุกคน

             "เธอเป็นเด็กหญิงคนนึง ชื่อว่าเมทริซพัสดีเริ่ม  เรื่องที่เด็กหญิงคนนั้นพูดยังวนเวียนอยู่ในหัว " เธออ้างว่าผู้ที่ปลงพระชนราชาคือพ่อของเธอ อัศวินโพธิ์เเดงเจราด.... เเละข้าก็ขอยืนยันว่าเธอพูดความจริง"

            เมื่อพูดถึงอัศวินโพธิ์เเดงห้องประชุมที่เงียบกริบก็ฮือฮาขึ้นมา พวกเขารู้ดี ไม่มีใครไม่รู้จักอัศวินเจราด เเละสิ่งที่พวกเขารู้คืออัศวินคนนั้นมีชีวิตอยู่ช่วงสองพันปีที่เเล้ว 

            "เงียบก่อนทุกท่าน" มาคุสเอ่ยปราม "ข้าก็ไม่รู้หรอกว่าเรื่องนี้มีมูลจริงหรือไม่" คนเเคระเฒ่าอยากจะกลอกตาเเต่ก็หยุดไว้ก่อน พัสดีหนุ่มคนนี้ดูท่าจะไม่มีประสบการณ์ สรุปว่านักโทษพูดความจริงโดยไม่มีการตรวจสอบหรือไม่มีหลักฐานได้อย่างไรกัน "เมื่อรู้เรื่องนี้จากท่านพัสดี ข้าก็ลองไปขุดดูศพของมือสังหารที่ปลงพระชนราชา รวมทั้งอดีตหัวหน้าองครักษ์ไวเนอร์ ..... ศพของอดีตองครักษ์นั้นยังอยู่ เเต่ศพของมือสังหารนั้นหายไปแล้ว... หายไปทั้งหมดเลย" สิ้นคำเสียงฮือฮาในห้องโถงก็ระเบิดขึ้นมาอีกครั้ง มาคุสไม่ใส่ใจเเล้วพูดต่อด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม

              "ข้าพบไอเวทย์จางๆจากเเต่ละหลุมศพ ดูจากสถานการณ์เเล้ว ข้าว่านั่นน่าจะเป็นเวทย์คืนวิญญาน ของพวกพ่อมดเเม่มด ... นำกระดูกมาต่อกระดูก เนื้อมาต่อเนื้อ หนังมาต่อหนัง เเล้วเรียกวิญญานกลับคืนมาจากขุมนรก ข้าไม่อาจรับรองได้ว่าเรื่องที่อัศวินโพเเดงไวเนอร์ยังมีชีวิตอยู่ เเต่ถ้ามีเวทย์นี้.... มันก็มีโอกาสเป็นไปได้" ยิ่ง ข้อมูลที่ออกจากปากมาคุสมากเท่าไร เสียงฮือฮาก็ยิ่งดังขึ้นเท่านั้น จนกระทั่งพัสดีเอ่ยเเทรกขึ้นมา

             "นอกจากนี้... นักโทษของเรายังบอกอีกว่าอัศวินโพธิ์เเดงคิดจะก่อสงครามปีศาจขึ้นอีกครั้ง"   

            

     

     




     

     

              คุณจะคิดยังไงถ้ามีคนมาบอกคุณว่าเป็นคนฆ่าพ่อของน้องสาวคุณ?

              อึ้ง? เเก้เเค้น? ซักถาม?

              อืม.... นั่นสิ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำไง เพราะไอ้คนที่ฆ่าพ่อของน้องสาวผม มันไม่อยู่เเล้วไง

              "เฮ้อออ..." ผมขดตัวอยู่ในผ้าห่มเเล้วเอามันมาพันๆตัวเองจนกลายเป็นดักเเด้ ช่วยไม่ได้ก็คนมันหนาวนี่นา

              ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงเป๊ะๆ ผมพึ่งตื่นมาจากการนอนกลางวันอันผิดมนุษย์มนา ช่วงนี้มีอะไรให้คิดเยอะ ทั้งเรื่องเมทริซ เจ้ากระต่าย เเล้วก็เรื่องที่ต่อไปผมจะทำยังไงดี สุดท้ายก็วนมาอีหรอบเดิม ก็คือเรื่องของผมนี่เเหละ

              ผมโดดลงมาจากเตียง เเล้วก็จัดการสลัดดักเเด้ออก หยิบเสื้อคลุมกันหนาวมาสวม เเล้วเดินออกจากห้องไป ผมว่าจะไปดูทางลินเน็ตต์ซักหน่อย คงมีงานให้ช่วย ยังไงซะก็ดีกว่านอนอยู่เฉยๆอยู่เเล้ว

             "ศิษย์น้อย!" เสียงหนึ่งตะโกนเรียกผมตอนที่เดินออกมาจากห้องเเล้ว ไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่าใคร คนเดียวที่เรียกผมเเบบนี้ก็คือมาคุสนั่นเเหละ

              "ครับ อาจารย์" ผมมมองไปที่มาคุสที่รุดเข้ามา ท่าทางของเขาดูรีบร้อน จู่ๆเขาก็ยัดกระดาษเเผ่นหนึ่งใส่มือผม 

              "ใช้เจ้านี่ เเล้วไปช่วยงานก่อสร้าง ข้ามีเรื่องอื่นต้องจัดการ ยังไงอันนี้ก็ฝากเจ้าเเลัวกันนะ" มาคุสเอ่ย เเล้วก็เดินจากไป

             ...นี่ก็อีกคน มาเเล้วก็จากไป

             ผมคลี่เเผ่นกระดาษเหลืองกรอบในมือมันดูเก่าใช้ได้ มีรอยฉีกอยู่ตรงขอบ มาคุสน่าจะไปฉีกมาจากตำราเล่มไหนซักเล่ม ผมอ่านดูบทความในเเผ่นกระดาษคร่าวๆ เเล้วก็รู้ว่ามันเป็นเวทย์อันเชิญ

              "โอนิฮุโมะ..." ผมเอ่ยชื่อภูติที่อยู่ในเเผ่นกระดาษเบาๆ มันไม่มีรูปบอกลักษณะของภูติตนนี้หรือว่าความสามารถมีก็เเต่วงเวทย์ที่ใช้อัญเชิญเเล้วก็คาถาอัญเชิญสุดท้ายก็ชื่อ มีเเค่นี้เเหละ ดูท่ามาคุสจะรีบจริงๆ

             เเต่เขาให้ไปช่วยงานก่อสร้างนี่นา... ผมมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นกลุ่มอัศวินบ้างชาวบ้านบ้างสุมกันเป็นกระจุกๆ บางที่สร้างบ้าน บางที่สร้างโบสถ์ เเล้วก็สถานที่อื่นๆอีก พวกนี้เเหละพวกก่อสร้าง หลังจากที่ปีศาจบุกมาบ้านเรือนก็เสียหายไปไม่น้อย เลยต้องอาศัยเเรงจากหลายๆกลุ่มมาช่วย ร่วมไม้ร่วมมือกัน ไม่มีการเเบ่งเเยก

            นี่ก็เป็นภาพที่นี่....

            เเต่ผมดูเเล้วงานมันหนัก บวกกับความขี้เกียจส่วนตัวก็เลยไม่คิดจะเจียดเข้าไปสักที

            เเต่คราวนี้คงปฏิเสธไม่ได้ล่ะนะ....

            ระหว่างเดินท่องเวทย์ไปเพลินๆผมก็ออกมานอกวังเเล้ว ผมเห็นพวกก่อสร้างอยู่ตามรายทาง ตอกตะปู ตัดไม้ กันให้ทั่ว ให้ความรู้สึกยุ่งวุ่นวาย เเล้วก็อย่ามากวนนะอะไรทำนองนี้ ผมกวาดสายตาไปทั่ว เเล้วก็ไปหยุดอยู่ที่ร่างเล็กๆร่างหนึ่ง ผมเดินเข้าไปไกล้เพื่อดูให้เเน่ใจว่าใช่คนรู้จักหรือเปล่า ก่อนจะทักออกไป

              "ลินเน็ตต์?" ผมพูด เเละเธอก็หันกลับมาจริงๆ ผมเเทบจำเธอไม่ได้ ตอนนี้เธอดูสะอาดกว่าเดิม เเล้วก็ทำให้ดูน่ารักตามเเบบผู้หญิงขึ้นมาหน่อย

             "ไวซาน"ลินเน็ตต์ตอบกลับ เหมือนเธอจะจำผมได้

             "มาทำอะไรที่นี่เนี่ย เธอไม่ได้อยู่กับหน่วยเเพทย์เหรอ" ผมถาม

             "จะบ้ารึไง ฉันก็ต้องพักบ้างน่า"

             "เเล้วที่นี่?..." ผมชี้ไปที่ซากปรักหักพังที่อยู่ตรงหน้าลินเน็ตต์ ก่อนผมจะทักเธอผมเห็นเธอมองมันอยู่นาน

               "บ้านฉันเอง" ลินเน็ตต์ตอบ เธอถอนหายใจเศร้าๆ "น่าใจหายเนอะ ที่ตรงนี้เคยเป็นที่ที่อบอุ่น มีเตาผิง มีเตียงนุ่มๆ เเละมีครอบครัวที่คอยต้อนรับฉันอยู่... เเต่ดูตอนนี้สิ มันไม่เหลืออะไรเลย" ลินเน็ตต์ตอบเสียงสั่น ผมอยากจะย้อนเวลากลับไปตบปากตัวเองที่ถามอะไรเเบบนี้

              "ครั้งสุดท้ายที่เจอกันเรายังทะเลาะกันอยู่เลย... ฉันกับเเม่น่ะ ฉันอยากกลับไปนะ กลับไปขอโทษท่าน ...."

             ม่ายยย อย่าพูดด้วยเสียงอย่างนั้นสิ ผมจะร้องไห้ตามเเล้วนะ

              "อย่าพูดเหมือนเธอไม่มีใครเหลือเเล้วสิ อย่างน้อยเธอก็ยังมีลูกน้องทั้งทีมที่ต้องดูเเลนะ ความตายน่ะมันไม่เเน่ไม่นอน ใช้เวลากับปัจจุบันให้ดีที่สุดเถอะ เธอจะได้ไม่ต้องมาเสียใจทีหลังไง" ผมพูดด้วยความเห็นใจ ถ้าเป็นตัวผมเอง คงรู้สึกไม่ดีเเน่ๆถ้าคนรู้จักสักคนนึงต้องจากไป ทั้งที่ความทรงจำสุดท้ายของเขากับเรามันไม่ค่อยดีนัก

              "ลินเน็ตต์" เมื่อพูดถึงลูกน้อง ลูกน้องก็มา ผมหันไปตามต้นเสียง ดูเหมือนผู้มาใหม่จะเป็นเหล่าหน่วยเเพทย์ของลินเน็ตต์เอง พวกเขาถือทั้งไม้ทั้งรถเข็นอิฐ ตะปู ค้อน เเล้วก็อุปกรณ์ก่อสร้างมากมาย ดูท่าหน่วยเเพทย์จะมาเป็นหน่วยก่อสร้างชั่วคราวซะเเล้ว

            "บ้านเธอเดี๋ยวพวกเราช่วยเอง" หน่วยเเพทย์คนหนึ่งพูด

             "เฮอะ... ถ้าบ้านฉันได้พวกนายมาสร้างคงอัปลักษณ์เเน่ๆ"ลินเน็ตต์เค้นเสียวหัวเราะ เเต่เธอก็ไม่ค้านที่จะมีพวกบ้ากลุ่มหนึ่งเฮโรเข้ามาสร้างบ้านใหม่ให้เธอ

             โอ๊ะ... ผมก็โดนเรียกให้มาช่วยงานก่อสร้างนี่นา

            ผมกางเเผ่นกระดาษที่มาคุสให้มาวางลงบนพื้นเเล้วก็นั่งลงขัดสมาธ เพื่อเตรียมเวทย์

            "นายจะทำอะไรน่ะ" ลินเน็ตต์ถาม เมื่อเห็นผมนั่งลงกับพื้น

            "ก็จะช่วยอีกเเรงไงเล่า" ผมตอบเเล้ววาดวงเวทย์ขึ้นกลางอากาศ เกิดเป็นลอยสีขาวๆเหมือนนํ้าหมึกที่ลอยได้เมื่อผมวาดมันครบ ก็พึมพำเวทย์ออกมาเบาๆ วงเวทย์เรืองเเสงสีขาวขึ้นทันทีที่เวทย์ถูกร่ายจนจบ ตอนนี้คนอื่นๆที่มุ่งเเต่ทำงานเริ่มหันมามองทางผมเเล้ว บางคนเดินเข้ามาไกล้ จนกลายเป็นมุงดู

           ผมไม่ใส่ใจสายตาเหล่านั้น มองผลงานของผม พลางนึกว่าเจ้าภูติที่ผมอัญเชิญมานี่มันจะออกมาเป็นรูปร่างยังไงนะ ทันใดนั้นเองวงเวทย์สีขาวก็ลอยมารวมกันกลายเป็นลูกบอลกลมๆ ก่อนจะค่อยๆรวมกันเป็นร่างของอะไรบางอย่าง ผมมองอย่างลุ้นๆ คนที่มุงดูก็ดูจะลุ้นไม่เเพ้กัน

             โป๊ะ!!

             เเสงสีขาวเเตกออกกลายเป็นร่างของภูติจิ๋วดวงตากลมโต มันมีหมวกสีเเดงเเหลมๆที่มีกระดิ่งอันโตติดอยู่ที่ปลายหมวก เจ้าภูติจิ๋วกระพริบตาปริบๆเเล้วเอียงคอเล็กน้อยท่าทางสงสัย

              มาคุสเอาเวทย์มาให้ผมผิดหรือเปล่าเนี่ย ภูตินี่ช่วยอะไรได้จริงเหรอ ดูสิตัวของมันเเค่ประมาณสองฝ่ามือผมเอง

              "สวัสดี" ผมทักมัน เจ้าภูติหันมามองหน้าผม "นายช่วยสร้างบ้านพวกนี้ให้พวกเราได้หรือเปล่า" ผมถาม เเล้วชี้ไปที่บ้านพังๆหลังหนึ่ง เจ้าภูติจิ๋วนี่คงฟังภาษามนุษย์รู้เรื่องนะ

              เจ้าภูติน้อยเริ่มขยับ ถ้าผมจำไม่ผิดเจ้านี่น่าจะชื่อโอนิฮุโมะ มันเดินต๊อกๆเข้าไปดูบ้านพังๆนั่น เเล้วก็เดินต๊อกๆไปดูบ้านอีกหลัง เเล้วก็อีกหลัง ผมจ้องมันดูว่ามันจะช่วยอะไรได้บ้าง คนอื่นๆที่มุงดูก็เหมือนกัน พวกเขาเริ่มซุบซิบถามกันเรื่องเจ้าภูติจิ๋ว

             โอนิฮุโมะเดินสำรวจบ้านพังๆเหล่านั้นสักพักเเล้วก็เดินกลับมาหาผมเเล้วยกนิ้วโป้งให้ด้วยรอยยิ้ม

              เอ่อ... หมายความว่าจะช่วยใช่ไหม?

               "โอนิฮุโมะ" ผมลองเรียกชื่อมัน

               "โอนิม!!" เจ้าภูติตอบด้วยเสียงน่ารักๆ ผมตีความหมายสิ่งที่มันพูดว่านั่นคือชื่อมัน

              เจ้าโอนิมน้อยไม่อยู่เฉย จู่ๆมันก็ตบมือน้อยๆเป็นจังหวะเเปลกๆ มันสะบัดหัวเพื่อให้กระดิ่งบนหมวกส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งเป็นจังหวะ ปากของเจ้าตัวน้อยขยับ มันกำลังร้องเพลง ถึงจะเป็นจังหวะเเปลกๆ เเต่ก็เพราะดี

               โป๊ะ!!

               เกิดเสียงเเปลกๆของอะไรบางอย่าง ควันขาวๆเกิดขึ้นข้างตัวเจ้าภูติ เมื่อมันสลายหายไป ร่างภูติโอนิอีกตัวก็โผล่ออกมา มันมองหน้ากัน เเล้วโอนิมสองก็ร้องเพลงตามโอนิมหนึ่ง

              โป๊ะ...

              เเล้วโอนิมสามโผล่มา มันร้องเพลง

              โป๊ะ โป๊ะ โป๊ะ....

               เเล้วโอนิมสี่ห้าหกก็โผล่มา

               โป๊ะ โป๊ะ โป๊ะ โป๊ะ โป๊ะ โป๊ะ โป๊ะ โป๊ะ โป๊ะ โป๊ะ โป๊ะ โป๊ะ โป๊ะ โป๊ะ โป๊ะ โป๊ะ โป๊ะ โป๊ะ โป๊ะ โป๊ะโป๊ะ โป๊ะ โป๊ะ โป๊ะ โป๊ะ โป๊ะ โป๊ะ โป๊ะ โป๊ะ โป๊ะ.....

                 เเล้วโอนิมตัวที่(เท่าไรเเล้วฟะ)ก็โผล่มา เอาเป็นว่ามันมากันทั้งเผ่าพันธุ์เเล้วตอนนี้ พวกมันร้องเพลง สะบัดหัวเป็นเสียงกระดิ่ง เเล้วก็ตบเท้าไปกับพื้นเป็นจังหวะเพลง มันเดินกันเป็นเเถว ค่อยๆเเยกกระจายกันออกไปตามบ้านโน้นบ้านนี้ เเล้วผมก็เข้าใจหน้าที่ของมัน บางตัวเริ่มถือค้อน บางตัวถือไม้เเล้วก็ขนย้ายซากตึก ไม่น่าเชื่อว่าภูติตัวเล็กๆจะยกของที่ใหญ่กว่าตัวเองหลายต่อหลายเท่าได้

              เเล้วลินเน็ตต์ก็ร้องเพลงตามพวกมัน เสียงใสๆของเธอเพราะมาก จนคนอื่นๆหันมามอง เมื่อลินเน็ตต์รู้สึกได้ถึงสายตาเหล่านั้นก็ตวาดออกมา

             "ยืนมองอะไรกันเล่าพวกโง่!! ไปช่วยพวกเขาสิ!!" เมื่อได้คำเตือนจากหัวหน้าหน่วยเเพทย์ คนที่มุงดูอยู่ก็กระจัดกระจายไปทำงานของตนต่อ บางคนร้องเพลงตามเหล่าภูติ งานก่อสร้างดูมีสีสันขึ้นมาทันตาเห็น ผมรู้สึกว่าอากาศตอนนี้ดูอุ่นขึ้นมานิดหน่อย

            "สุดยอดเลยนายทำได้ยังไงเนี่ย" ลินเน็ตต์หันมาถามผม

            "ก็เเค่เวทย์อัญเชิญนี่ ไม่เห็นจะยุ่งยากอะไร" ผมยักไหล่ไม่เเยเเส

            "เฮอะ ไม่เห็นยุ่งยากอะไรเเล้วทำไมคนอื่นเขาทำไม่ได้กันล่ะ" ลินเน็ตต์พูดติดตลก ผมไม่ได้ตอบเธอ เเต่เริ่มขยับไม้ขยับมือช่วยงานพวกภูติเเทน ลินเน็ตต์ก็ทำตามเช่นกัน

              "นี่ขอถามอะไรหน่อยสิ" ผมถามขึ้นมาระหว่างช่วยเจ้าภูติน้อยยกเเผ่นไม้ "เอริคาซีเป็นอาณาจักรใหญ่ที่มีพันธมิตรมากมาย เเต่ทำไมพอเมืองหลวงอยู่ในสภาพนี้เเล้วไม่มีใครโผล่มาช่วยเลยล่ะ" ข้อนี้ผมสงสัยมานานเเล้ว คนมันดูน้อยๆยังไงก็ไม่รู้ เมื่อเทียบกับชื่ออาณาจักรมนุษย์ที่กว้างใหญ่ที่สุดเเล้ว

            "พวกเขาไม่ยอมรับ" ลินเน็ตต์ตอบผมทั้งๆที่มือยังทำงานไปด้วย "พันธมิตรพวกนั้นเกิดขึ้นโดยราชาองค์ก่อน  ท่านโรเซียน ไม่ใช่ราชาองค์ปัจจุบันของเรา ในสายตาของประเทศอื่น ราชาของเราตอนนี้ยังเด็กเเละด้อยประสบการณ์นัก พวกเขาเลยไม่ยอมรับ" ลินเน็ตต์พูดด้วยเสียงธรรมดา เเต่ดวงตาเธอส่อเเววเคืองๆ     

               ระหว่างผมกับลินเน็ตต์เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ  รอบเรามีเพียงเสียงเพลงจากเหล่าโอนิม

               "เฮ้  ดูนั่นสิ" ลินเน็ตต์ทักผมให้ดูอะไรบางอย่าง ผมมองไปตามเธอ เเล้วก็เห็นองค์ชายสองท่านที่มีองครักษ์เกาะหนึบอยู่

             "พวกนี้มันอะไรเนี่ย"

             "ไม่รู้สิเเต่ร้องเพลงเพราะดีนะ"

             เดคเตอร์กับเดคเกียนนั่นเอง....

             "องค์ชายท่านไม่ควรออกมาจากวังนะขอรับ องค์ราชาทรงสั่งห้ามไว้"อัศวินองครักษ์เอ่ยเตือน

             "ไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นติดประชุมอยู่"องค์ชายตอบเเบบไม่เเยเเสองครักษ์

             "เราได้ยินมาว่าไม้ไม่พอ" เดคเตอร์เอ่ย พวกเขาเดินตัดหน้าผมไป ผมลองหันไปมองรอบๆ เเละก็พบว่าไม้ไม่พอจริงๆ โอนิมหลายตัวเริ่มมองซ้ายมองขวา

             "เห็นเเก่ข้าเถอะองค์ชายถ้าปล่อยพวกท่านไปพวกข้าอาจโดนดุเอาได้"

              "ไม่เป็นไรน่าเราออกไปไม่ไกลหรอก"

              "เราเเค่อยากมาช่วยเท่านั้นเอง"

              ผมได้ยินทั้งสองพูด จะออกไปเหรอ เฮอะ... เเล้วก็ยืนกอดอกรอดูผลงาน

             ปึก!!

             "โอ๊ย!! อะไรเนี่ย" เดคเกียนอุทาน

             เเหม ลืมไปรึเปล่าว่าเขตอาคมของผมยังอยู่ เเถมยังเป็นเขตอาคมเเบบคนในห้ามออกคนนอกห้ามเข้าซะด้วย

             "จะออกไปข้างนอกเหรอครับ" ผมเดินมาถามเดคเตอร์กับเดคเกียนทั้งคู่หันมามองผม

           "ใช่ เราจะไปตัดไม้ข้างนอก เอามาเสริมให้บ้านของพวกนายไง"เดคเตอร์ตอบ ผมได้ยินเเล้วก็อมยิ้ม นี่คนก่อสร้างไม่พอ รึว่าองค์ชายสองท่านนี้ไม่มีอะไรจะทำกันนะ

            "โอนิม มาทางนี้หน่อย" ผมตะโกนเรียก โอนิมกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาหาผม "ทางนี้" ผมบอกองค์ชายทั้งสอง เเล้วเดินนำไปกับพวกโอนิมตัวน้อย องค์ชายมองหน้ากันเเล้วก็ตามผมมา

            ผมหาจุดที่อยู่ไกล้ป่าที่สุด ก่อนจะเอามือทาบที่เขตอาคมของตัวเอง มันเหมือนบาเรียบางๆค่อนข้างใส พอผมเเตะลงไปบาเรียก็กระเพื่อมเหมือนคลื่นนํ้า เกิดเป็นช่องว่างพอให้คนผ่านเข้าไปได้     

           "อ๊ะ!! นายเปิดมันได้ยังไงน่ะ"เดคเกียนถาม

           "ได้สิ ก็ผมเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเอง"ผมยิ้มตอบไม่มีอะไรต้องปิดบัง ถ้าองค์ชายพวกนี้ว่างนัก ผมก็จะสนองหางานมาให้ทำเอง

              องค์ชายทั้งสองได้ยินไม่ได้เเปลกใจอะไร เเต่กลับดีใจอีกต่างหากที่ได้ออกมาดี๊ด๊าข้างนอก ผมสั่งให้โอนิมที่พกมาด้วยไปช่วยงานพวกองค์ชาย เเล้วองค์ชายทั้งสองก็จัดการเปิดเกม 'ใครจะตัดต้นไม้ได้มากที่สุด' ขึ้น อ้อ ก็ดีเหมือนกันนะเเรงงานเจ้าชายเนี่ย

            "ไวซาน" เสียงเรียกดังขึ้นข้างหลังผม ผมสะดุ้ง เพราะไม่นึกว่าจะมีใครตามมา

           "ไทปัส?" ผมเรียกชื่อเขาใช่เเล้วไทปัสนั่นเอง ผมไม่ได้เจอเขาตั้งเเต่ปีศาจบุกเมือง ตอนนี้ไทปัสมองผมด้วยสายตาแปลกๆ เขาเหมือนจะ... ประหลาดใจมั้ง

            "นายเป็นคนกางเขตอาคมนี่เหรอ?" ไทปัสถามซํ้าอีก เเม้จะได้ยินบทสนทนาเมื่อกี้ เห็นไวซานเป็นคนเดียวที่เปิดบาเรียนี้ได้

              "ใช่ ทำไมเหรอ?" เเล้วไวซานก็ยืนยันอีกครั้ง

     

     




     

             กัสตินควบม้ามาด้วยความเร็ว ใจเขาบังครุ่นคิดในสิ่งที่ตัวเองทำ เขาคิดถูกเเล้วหรือที่กลับมาที่นี่

             เเม้ใจจะไม่อยากไปแต่กัสตินก็ยังเร่งม้าขึ้นอีก  ประตูเมืองหลวงเเห่งเอริคาซีอยู่ข้างหน้าเขานี่เอง กัสตินเร่งเเม้รู้ว่ามันฝืนความรู้สึกตัวเอง เมื่อประตูไกล้เข้ามากัสตินก็รู้สึกถึงบางสิ่งที่เเปลกออกไป    

               "หยุดดด!!" ชายหนุ่มหยุดม้าได้ทัน จนเจ้าม้าขาวกระดกตัวสูง เเล้วร้องอย่างตกใจ กัสตินลงมาจากม้าเเล้วปลอบมันให้นิ่ง ก่อนจะเดินเข้ามาหยุดที่ประตูเมืองพอดี มือของเขาเเตะลงไปที่กลางอากาศ เเปลกที่อากาศนั้นเกิดคลื่นเป็นเงาบางๆเหมือนระลอกนํ้า

           เขตอาคม...

           กัสตินขมวดคิ้วอย่างเเปลกใจ ทำไมถึงมีเขตอาคมได้ ถ้าเขาหยุดม้าช้ากว่านี้ได้ชนเข้าจังจังเเน่ 

              กัสตินลองใช้เวทย์ของตัวเองเพื่อเปิดช่องว่างให้ตัวเองเข้าไป เกิดประกายสายฟ้าขึ้นทันทีอย่างไม่ต้อนรับ กัสตินชักมือออกจากบาเรีย เเต่ก็ยังลองอีกครั้งด้วยเวทย์ที่เเกร่งขึ้นกว่าเดิม

              "ท่านจะเข้าไปทำไม"

              กัสตินสะดุ้งเอือกเมื่อคนคนนึงโผล่มาข้างหลังเขา มือของกัสตินกำที่ด้ามดาบทันที         

              "ไม่เอาน่า ผมเเค่ถามว่าจะเข้าไปทำไม" คนตรงหน้าเขาไม่ได้ท่าทีจะสู้ เเต่กัสตินก็ยังไม่วางใจ

               "ข้าเเค่มาตามหาคน... เเล้วเกิดอะไรขึ้นกับเมืองนี้ ทำไมถึงมีเขตอาคมได้" กัสตินถาม ชายครงหน้าเขาลดความหวาดระเเวงลง

            "อ๋อ ปีศาจน่ะ .... "

            "ไวซาน"

            ชายตรงหน้ากัสตินยังไม่ได้ทันได้ตอบคนคนหนึ่งก็เรียกเขาไว้ก่อน กัสตินมองตามเสียงนั้น เเล้วเขาก็พบคนที่เขาตามหา

            "ไทปัส เจ้ามาอยู่นี่เอง" กัสตินเอ่ย เขามองดูเด็กชายนามไทปัส ที่พอเห็นหน้าเขาก็รีบไปหลบหลังชายที่ชื่อไวซาน กัสตินเห็นอย่างนั้นก็นึกขำ ไทปัสน่าจะรู้ดีว่าคนคนนี้ปกป้องเขาจากข้าไม่ได้หรอก

             "พ่อเจ้าเป็นห่วงมากรู้ไหม ไป กลับไปกลับข้า" กัสตินเอ่ยขอ ยังไงเขาก็ยังไม่อยากใช้กำลังตอนนี้

             "ไม่ เจ้ากลับไปเถอะ กลับไปบอกพ่อข้า" ไทปัสตอบโดยไม่ต้องคิดมาก เเต่กัสตินเริ่มไม่พอใจ "ท่านทำอะไรข้าไม่ได้หรอก เรอาปกป้องข้าอยู่ "


    ---------------------------------------------------------------------------------------


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×