ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The White Rabbit

    ลำดับตอนที่ #26 : XXV_มาสิ มาเป็นส่วนหนึ่งของข้า

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 307
      4
      6 พ.ย. 58

    THE WHITE RABBIT
    XXV
    มาสิ มาเป็นส่วนหนึ่งของข้า








          "ข้าขอโทษที่ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้" ชายคนหนึ่งพูดกับฉัน ฉันพยายามเพ่งมองเขา เเต่ดวงตามันกลับเบลอไปหมด เรี่ยวเเรงของฉันก็เเทบไม่มีจะตอบโต้ ตั้งเเต่โดนโยนลงในคุกนรกนั่น ก็ไม่มีอะไรตกถึงท้องจนถึงวันนี้

            "นํ้า...." ฉันพูดออกไปแต่เสียงนั้นมันช่างเเหบเเห้งเหลือเกิน เเต่เเล้วชายตรงหน้าก็ยื่นกระติกนํ้ามาให้ฉัน ฉันรับมันมา เเล้วดื่มอย่างกระหาย

             "เจ้าจะโดนประหารวันนี้" ชายคนนั้นพูด ฉันพยายามเพ่งมองเขาอีกครั้ง เมื่อไม่เห็นเขาฉันก็พยายามเข้าไปไกล้ เเต่กลับมีโลหะเย็นๆมาขวางไว้ ฉันลองย้ายที่เเต่ก็มีโลหะเย็นชืดนั่นอีก.... อ๋อ นี่ฉันอยู่ในกรงนี่เอง อยู่ในกรง... ไม่ต่างจากสัตว์ตัวหนึ่ง

             เเต่เเล้วฉันก็ยื่นมือออกไปเเตะชายคนนั้น ฉันดึงเขาเข้ามา มีเสียงเอะอะโวยวาย เเล้วก็เสียงห้ามปราม ฉันลองเพ่งดูเขาอีกทีเมื่อเขาเข้ามาชิดซี่ลูกกรง ผมสีดำ...กับดวงตาสีนํ้าเงินที่เยียบเย็นกว่านํ้าเเข็งฤดูนี้เสียอีก

              อ๋อ... ท่านพัสดีคนนั้นน่ะเอง

              "ท่านคิดอย่างไงถึงอยากช่วยนักโทษอย่างฉันล่ะ" ฉันพูดเเล้วก็นึกขำ กี่วันเเล้วนะที่ข้าอยู่ในคุกนั่น เขาเป็นคนเดียวที่ออ่นโยนกับข้า นิสัยจริงๆของเขาช่างต่างจากดวงตาสีนํ้าเงินที่ดูเย็นชาคู่นั้น

             "เจ้าไม่ได้โกหก เจ้าพยายามช่วยเรา"ท่านพัสดีตอบ

             "ท่านจะรู้ได้ยังไงว่าฉันไม่โกหก ฉันอาจจะหลอกคนเก่งก็ได้"

             "ข้ารู้"เขาตอบ ท่าทางมั่นใจเหลือเกิน ฉันมองลงไปในดวงตาสีนํ้าเงินเข้มนั่น เเวบหนึ่งมันเหมือนจะเจาะลงไปในความคิดฉัน...

            หรือว่า.... ดวงตาเห็นความจริงงั้นหรือ

            เขาพยักหน้า ... เเสดงว่าใช่สินะ

            "เช่นนั้นท่านก็คงจะเห็นหมดเเล้ว เเผนการของเขาน่ะ"

            ท่านพัสดีพยักหน้าอีกครั้ง

            "งั้นก็ช่วยพวกเขาด้วย ฉันไม่อยากให้มีใครตายเพิ่มอีก" ฉันพูด ก่อนที่จะปล่อยมือจากเขา เขาทำท่าจะเดินออกไปแต่ฉันก็เรียกไว้ก่อน

            "เดี๋ยว" เขาหยุดฟัง "ท่านชื่ออะไร" ฉันถามคำถามที่ดูงี่เง่าที่สุด มันมีความหมายอะไรกับคนที่ไกล้ตายกัน

            "จินซิล" เขาตอบฉันก่อนที่จะเดินจากไป ฉันกลับมานั่งพิงซี่ลูกกรงเหมือนเช่นเดิม การที่ต้องรู้ว่าตัวเองจะตายนี่มันไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีเลย มันรู้สึกหน่วงในใจ ทั้งที่ฉันคิดว่าเตรียมใจมาดีเเล้วเเท้ๆ

           เเต่ความคิดหนึ่งก็ยังวนอยู่ในหัว

            พี่เขาอาจมาช่วยก็ได้....

     



     

     

             นักโทษถูกเบิกตัวขึ้นเเท่นประหาร ข้ามองร่างเล็กๆของเด็กหญิงที่ถูกประนามว่าปลงพระชนราชา เเวบหนึ่งที่ความโกรธเเค้นของข้าปะทุขึ้นจนต้องกำหมัดเเน่น ทำไมกันนะ ข้าเคยโกรธเเค้นท่านพ่อเป็นบ้าเป็นหลัง เเต่พอเห็นเขาถูกฆ่า ข้ากลับทำเป็นไม่รู้สึกรู้สาอะไรไม่ได้

             ข้ามองไปที่เหล่าเชื้อพระวงศ์พวกเขามีสีดวงตาที่วาวโรจน์เสียยิ่งกว่าข้า เเต่กลับสำรวมกิริยาไว้ได้     

            ฮึ... การมีพี่น้องที่ร่วมเจ็บเเละเเค้นไปด้วยกันนี่มันช่าง....

            เดี๋ยวก่อนกัสติน เจ้ากำลังลืมภารกิจสำคัญนะ

            ข้าเตือนตัวเอง เเล้วก็มองไปรอบลานประหารเพื่อมองหาเป้าหมาย ข้าต้องเช็คทุกระยะกว่าจะเจอเจ้าหัวขาวนั่นในกองหิมะเเบบนี้ ข้าลุกขึ้นเเล้วจะเดินไปหาเขา

            "เจ้าจะไปไหนหรือกัสติน" อย่างที่ข้าคิดไว้ พี่โอลิเวียเรียกข้าทันทีที่ข้าขยับ นางเฝ้าดูข้าอยู่ตลอดจริงๆด้วย      

            "ข้าอยากไปหานักเวทย์ไวซานเสียหน่อย เมื่อวานเขาช่วยข้าไว้มากข้าอยากขอบคุณเขา" เหตุผลนี้คงจะดูดีที่สุด เเต่ข้าก็นึกอยากหัวเราะ ไวซานจะช่วยข้าหรือจะฆ่าข้ากันเเน่

            "อ้อ ได้สิ ... เเต่เจ้าต้องมาให้ทันเวลาประหารล่ะข้าไม่อยากให้เจ้าพลาดเวลาที่หัวของมันหลุดออกจากบ่า..." โอลิเวียพูดกับข้านํ้าเสียงของนางเต็มไปด้วยโทสะ ข้าเห็นดวงตาคู่สวยของนางถูกความโกรธครอบงำจนมองไม่เห็นอะไรเเล้ว

            บางทีไวซานอาจพูดถูก... เวลาอาจทำให้นางเปลี่ยนไปแล้วจริงๆก็ได้

            ข้าเพ่งมองหาหัวขาวๆท่ามกลางฝูงชนที่กำลังเเออัดในลานประหาร พวกเขาดูมีเรื่องซุบซิบมากกว่าอยู่ในตลาดเสียอีก เเล้วข้าก็เห็นไวซานที่รูปร่างโดดเด่นออกมาจากคนเหล่านั้น ข้างๆเขาข้าเห็นไทปัสที่ขนาบข้างไวซานอยู่ เเต่ข้ายังไม่ทันได้เอ่ยทักไวซานก็เคลื่อนไหวเสียก่อน เขาเดินออกมาจากฝูงชน เเล้วก็เดินห่างออกไป จนกระทั่งเขากลับเข้าไปในตัวเมือง

            ไปไหนของเขานะ...

            ข้าสงสัยเเต่ก็สะกดรอยตามออกไปเงียบๆ ฝีเท้าของเขาดูเร่งรีบเเละมันก็เร็วขึ้นเรื่อยๆจนเขาเริ่มวิ่ง

             อะไรกัน... เขารู้ตัวว่าข้าตามมาหรือ

             ข้าวิ่งตามด้วยความเร็วพอๆกัน ขณะที่ข้ากำลังคิดว่าจะจับตัวเขาตอนนี้เลยดีไหม ข้าก็เหลือบไปเห็นไทปัสที่วิ่งตามเขาซํ้ายังตะโกนเรียก

             ยังไม่รู้งั้นเหรอ.... ถ้าเขารู้ตัวว่าข้าตามมาคงจะเอาไทปัสไปด้วยเเล้ว

            ข้าชะลอความเร็วลงเเต่ก็ไม่ทิ้งระยะห่างให้มากนักจนกระทั่งไวซานวิ่งเข้าไปในวัง ข้าก็คิดว่าเขาคงเข้าไปพักผ่อน

           งั้นก็ได้โอกาสล่ะ... ข้าเเค่ทำให้เขาออ่นเเรงลง เขตอาคมก็จะออ่นลงเช่นกัน หลังจากนั้นข้าก็จะทำลายมันได้ง่ายๆ เเล้วค่อยหอบไวซานกับไทปัสออกไป ... จะว่าไป ลานประหารอยู่ทางประตูตะวันตก ข้าเเค่พาเขาออกไปทางประตูตะวันออก เเค่นี้ก็ถ่วงเวลาพวกอัศวินที่ไล่ตามเมื่อเขตอาคมเเตกได้เเล้ว

           งั้นก็ถือว่าวันนี้ข้าโชคดี...

           พลั่ก!!

           เสียงกระเเทกอันรุนเเรงทำให้ข้าต้องหยุดหันไปมองผู้ที่ข้าสะกดรอยตามอยู่ ร่างของไทปัสที่ถูกกระเเทกติดผนังส่งเสียงครางหนักๆ เเละเมื่อข้าหันไปมองผู้ที่อัดไทปัสเมื่อกี้เขาก็หายตัวไปแล้ว...

            โถ่เอ๊ย!! คลาดสายตาจนได้ เจ้าไวซาน!!

           

     

     



     

              "เจ้าจะไม่อยู่เพียงผู้เดียวอีกต่อไป" ไวซานพึมพำออกมาเพียงผู้เดียวในวิหารใต้ดิน เขาทรุดลงที่พื้น นิ้วเรียวไล้ไปบนลวดลายสลักรูปดวงอาทิตย์ เเต่เมื่อสังเกตดีๆลายสลักนี้ไม่ได้เกิดจากเส้นตรงที่วาดลวดลายเป็นดวงอาทิตย์ มันเกิดจากอักขระเวทย์ตัวเล็กๆที่ร้อยเรียงต่อกัน

           "เจ้าจะไม่อยู่เพียงผู้เดียวอีกต่อไป..."ไวซานยังพึมพำคำเดิม เเต่วลีที่ใช้กลับไม่เหมือนตัวของเขาพูดเอง มือนั้นเปลี่ยนจากไล้เบาๆเป็นขูดลงไปบนพื้นหินเกิดเสียงเล็บเเละเนื้อที่เสียดสีเป็นจังหวะที่น่ากลัว มือที่ถูกปกคลุมด้วยผิวบางๆฉีกออกเลือดเริ่มซึมออกมาย้อมพื้นหินขาวผสมกับเศษเนื้อเเละผิวหนังที่หลุดร่อน

             "มาสิ...มาเป็นส่วนหนึ่งของข้า" สิ้นประโยคสุดท้าย เวทย์ปลดผนึกก็ถูกร่ายออกมา...

     

     




     

              ผมลืมตาตื่นอีกครั้งในที่ที่มืดมิด อ้อ... ไม่สิผมอาจจะไม่ได้ตื่นอยู่ก็ได้

              ฝันอีกเเล้วเหรอ...

              ผมลุกขึ้นมาเเล้วเริ่มเดินเปะปะเหมือนหาไฟฉายตอนที่ไฟดับ มันเเตกต่างกันที่ผมเดินเท่าไรก็ไม่เจออะไรเลย มีเเต่ความว่างเปล่า ผมเริ่มวิ่ง วิ่ง เเล้วก็วิ่ง เผื่อผมจะไปชนอะไรซักอย่างก็ได้

             เเต่มันกลับว่างเปล่า...

            ผมเลิกวิ่ง หยุดนิ่งอยู่เเค่นั้น รอบกายผมมีเเต่ความมืด หรือต่อให้มีเเสงสว่างมันก็เป็นเพียงภาพลวงตาที่ทำให้ผมหลงทางเท่านั้น

            อยู่คนเดียวอีกเเล้วเหรอ...

            "ใครก็ได้พาผมออกไปที..."ผมพูดด้วยเเสงเเหบเเห้งรู้สึกได้ถึงของเหลวอุ่นๆที่ไหลออกมาจากเปลือกตา "ใครก็ได้..."

            "เหงาเหรอ?" เสียงหนึ่งตอบ  "มาอยู่กับเราสิ... มาเป็นหนึ่งเดียวกับเรา"

            "นั่นใครน่ะ?"ผมถาม พยายามหันซ้ายหันขวา เเต่ก็เจออีหรอบเดิม มันมืดมาก

            "มาสิ มาอยู่กับเรา" เสียงเดิมตอบ เเต่มันฟังดูโหยหวน "มาเป็นหนึ่งเดียวกับเรา"

            ผมรู้สึกถึงมือของใครบางคนที่กำที่ข้อเท้าผม ผมมองลงตาสัญชาติญาณ ร่างดำทมึนเเต่ผมกลับเห็นมันได้จากความมืด มันกำลังพยายามใช้เเรงของมันดึงผมให้ล้มลง

           รูปร่างเเบบนี้... วิญญาณ !

           ผมสลัดออกทันที มือผอมนั่นหลุดออก   

           "มาอยู่กับเราสิ..."เสียงโหยหวนดังขึ้นอีกครั้งคราวนี้มือของวิญญาณตนหนึ่งคว้าขาผมไว้จนผมล้มหน้าคะมำ

            "มาเป็นหนึ่งเดียวกับเรา..." เสียงโหยหวนของวิญญาณดังขึ้น ผมพยายามสลัดขาให้หลุดจากวิญญาณที่เกาะขาผมอยู่ ถึงมันจะเป็นเเค่รูปร่างดำๆที่มีกลิ่นอายเย็นเยียบ... เเต่มันให้ความรู้สึกน่าขยะเเขยง

             ผมสลัดจนหลุดจากวิญญาณนั้นจนได้ผมพยายามลุกเพื่อวิ่งหนีมัน

             เเต่ผมคิดผิด...

             มันไม่ได้มีเเค่ตัวเดียว

            มือมากมายนับไม่ถ้วนโผล่พ้นมาจากพื้นสีดำ มันร้องโหยหวนด้วยประโยคเดียวกัน มันลากผมลงไปเเม้ผมพยายามตะเกียกตะกายเพื่อหนี เเต่มือของพวกมันก็ผุดขึ้นมาทุกที่ ขาของผมถูกลากลงไป... เเละลงไปอีก.. จนถึงเเค่ครึ่งตัวของผมที่พยายามตะเกียกตะกายเพื่อเอาตัวรอด

            เเต่มันไม่ได้ผล มันเหมือนผมอยู่ในบ่อทรายดูด เพียงเเต่มันไม่ใช่ทราย มันเป็นวิญญานที่เย็นเยียบ มันดึงผมลึกลงไป เหมือนตัวผมกำลังถูกกลืนกินลงไปในฝูงมือนั่น...

             "มากับเราสิ"

             "มาเป็นหนึ่งเดียวกับเรา"

             "มาสิมา"

             "มาเป็นพวกเรา"

              เสียงโหยหวนพวกนั้นไม่หยุดหย่อน มือของวิญญาณตนหนึ่งกระชากเข้าที่หัวของผมเเล้วดึงหัวผมลงไป ผมเริ่มหมดเเรงที่จะขัดขืน มือที่ปัดป่ายสะเปะสะปะนั่นหยุดลง เหมือนพวกวิญญาณพวกนั้นดีใจ มือพวกนั้นรีบดึงผมลงไปอีก

           ผมรู้สึกเหมือนหมดกำลังที่จะต่อสู้ มือมากมายนั้นกำลังกอดรัดผม เหมือนผมอยู่ในฝูงซอมบี้ที่กำลังหิวโหย

          "เอริค!!"

           หะ?

           "ตื่นสิเอริค!! ตื่นขึ้นมา!!"

           ใครเรียกผม เเถมยังใช้ชื่อนี้อีก

            "ตื่นสิ เมทริซน่ะ!! จะโดนฆ่าเเล้วนะ!!"

             เมทริซ... จะโดนฆ่า...

            ...

             ใครจะยอมให้เป็นอย่างงั้นกันเล่า!!

           ก่อนที่ร่างของผมจะจมมิดไปกับเหล่าวิญญาน เเรงทั้งหมดที่มีของผมก็ฝืนพวกมันสุดกำลัง ทั้งถีบทั้งเตะจนกระทั่งตะเกียกตะกายออกมาได้ครึ่งตัว

             "มานี่จับมือข้า"

             "มือเหรอ มือไหนล่ะ ผมเห็นเเต่มือของวิญญาณพวกนี้นี่" ผมตอบโต้ออกไปบ้าง เเต่มือของผมก็ยังไขว่คว้าสะเปะสะปะไปเรื่อย

             ผมยังตะเกียกตะกายต่อไปเพื่อไม่ให้ตัวเองถูกดึงไปอีก เเล้วมือหนึ่งก็จับเข้ามาที่เเขนที่ยื่นออกมาของผมก่อนจะลากผมขึ้นมา ผมได้ยินเสียงวิญญาณร้องโหยหวนดังไล่หลังมา เเละโลกความฝันอันมืดมิดของผมก็เเตกออก

             เเสงสีขาวบาดตาส่องเข้ามา...

             ผมกระพริบตาถี่จนปรับดวงตาเข้ากับเเสงได้ ผมมาอยู่ที่วิหารใต้ดินของวัง คิดว่าน่าใช่นะ เพราะภาพมันสั่นเเปลกๆ... โอ๊ะไม่สิ...มีใครก็ไม่รู้กำลังเขย่าตัวผมสุดเเรงเกิดเลย

             "เอริ๊คคคคค อะฮือออ เฮออเฮอออออ..." ผู้ที่เขย่าตัวผมอยู่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างหนัก ผมจับมือเขาให้หยุดลงเเล้วอยู่นิ่งๆ เเต่เเล้วเขาก็สลัดมือผมหลุดก่อนจะโผเข้ามากอดผมเต็มเเรง

             ผมมองเขาอึ้งๆ เขาเป็นชายหนุ่มที่ดูเเล้วน่าจะอายุพอๆกับผม เสียงของเขาเหมือนเสียงที่เจอในความฝันนั่น

            "นายเป็นใคร?" ผมถามเเล้วมองไปที่เขา ผมเห็นอะไรเเหลมๆที่งอกออกมาจากกลุ่มผมนั่น อืม... มันดูเหมือน... หูเเมว

             ไม่สิตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนี้

             "เมทริซล่ะ! เมทริซอยู่ไหน!" ผมเเกะเขาออกเเล้วก็เขย่าตัวเขาเเรงๆ

             "อ๊ะ" เจ้าหูเเมวเหมือนพึ่งนึกขึ้นได้มันหยุดส่งเสียงร้องไห้เเล้วก็ตะโกนคำตอบออกมา "ลานประหาร!! เมทริซจะถูกประหารอยู่เเล้วนะ!!"

             โครมมม!

             เพดานวิหารหล่นลงมาทันทีเหมือนมันจะบิวต์ให้สถานการณ์ดูยํ่าเเย่ขึ้น ผมรู้สึกได้ถึงการสั่นสะเทือนอย่างรุนเเรงของวิหารหลังนี้ เศษฝุ่นผงร่วงกราว เเล้วเสียงโครมหนักๆของผนังวิหารที่ร่วงลงมาก็ตามมาติดๆกัน

             "วิ่งเร็ว!!" ผมลากเจ้าหูเเมวออกจากวิหารทันที ทางเดินกลับขึ้นไปไม่ยาวนัก ไม่นานเราจะออกมาจากวิหารที่ไกล้ถล่ม พอออกมาถึงปากทางเสียงวิหารทั้งหลังที่ถล่มลงมาก็ดังขึ้นทันที

            ทำไมอยู่ๆมันถึงถล่มลงมานะ...

            เฮอะช่างเถอะ ไม่ใช่บ้านผมซะหน่อย

            "เมทริซอยู่ลานประหารใช่ไหม" ผมถาม

            "อืม นายต้องไปช่วยเธอเดี๋ยวนี้้เลย"ชายหูเเมวตอบ เขาทำท่าจะร้องไห้อีกรอบเเล้ว

            โอเค ลานประหารอยู่ประตูตะวันตก ใช้เวทย์เคลื่อนย้ายไปแล้วกัน มันต้องทันสิ!

            ผมท่องเวทย์ทันทีเเต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อบอลไฟลูกหนึ่งถูกโยนมาทางผม ผมเอี้ยวตัวหลบได้ทันหวุดหวิด ผมตวัดตาไปทางผู้ที่มาขัดขวางอย่างโกรธเกรี้ยว

            "เจ้าต้องไปกับข้าไวซาน" กัสตินเอ่ยด้วยรอยยิ้มราบเรียบ เเต่นั่นทำให้ผมโมโหหนัก

            ผมน่าจะฆ่ามันตั้งเเต่เเรก...

    ---------------------------------------------------------------------------------------

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×