คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #30 : XXIX_กลายเป็นเเค่เรื่องเล่าเท่านั้น
กาลครั้งหนึ่งนานมาเเล้ว...
มีเเผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาล นามว่า
ยูโทเปีย เป็นดินเเดนอันงดงามเเละอุดมสมบูรณ์
ประชากรทั้งมนุษย์เเละปีศาจอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข
ภายใต้การปกครองของจักพรรดินีผู้มีนามว่าเวโรนีก้า ผู้มีความงดงามที่ไม่สองรองใครในยูโทเปีย
ราชินีเวโรนีก้า
ได้ตั้งครรภ์กับชายชาวมนุษย์ นางมีลูกสาวผู้มีใบหน้าอันงดงามตั้งเเต่เยาว์วัย
เธอมีชื่อว่าเกวนไลซ์ เจ้าหญิงเกวนมีผมสีขาว กับดวงตาสีทอง
ราชินีเวโรนีก้าหวังว่าลูกสาวของเธอจะเป็นราชินีที่ดีได้ เธอจึงเลี้ยงดูเจ้าหญิงเกวนไลซ์อย่างดี
เเต่การเลี้ยงดูของราชินี
ดูจะผิดวิธีไปสักหน่อย เจ้าหญิงเกวนจึงเติบโตมาเป็นคนที่เย่อหยิ่ง เเละเห็นเเก่ตัว
เพียงเพราะนางคิดว่านางเป็นคนเดียวที่จะได้ครองทั้งยูโทเปีย
ทว่า... ราชินีเวโรนีก้า ก็ไม่ได้รักเดียวใจเดียว
นางมีธิดากับปีศาจตนหนึ่ง
เธอมีนามว่าสกาเล็ตเพราะผมสีเเดงเเละดวงตาสีเดียวกันของเธอ เมื่อนางโตขึ้น
เจ้าหญิงสกาเล็ตมีความงามเเละความสามารถที่ไม่ด้อยไปกว่าพี่ของเธอเลย
เเต่ความอิจฉาก่อตัวขึ้น
เมื่อราชินีเวโรนีก้ามักจะเข้าข้างเจ้าหญิงเกวนมากกว่าเจ้าหญิงสกาเล็ต
เพียงเพราะเธอเป็นครึ่งปีศาจ....
เจ้าหญิงสกาเล็ตโตมาด้วยความริษยาผู้เป็นพี่เสมอมา
กาลเวลาผันเปลี่ยน
ราชินีทั้งสองได้เติบโตจนเป็นเจ้าหญิงผู้งดงามเเละมากความสามารถ
พวกนางมีความสามารถหนึ่งที่ไม่ด้อยไปกว่าใครในยูโทเปีย นั่นก็คือเวทย์มนต์
พวกนางเรียนศาสตร์ของเเม่มดจนชำนาญ
เเต่เจ้าหญิงทั้งสองกลับไม่พอใจ... นางไม่พอใจที่พี่น้องของเธอมีความสามารถที่ทัดเทียมกัน
นั่นเป็นสาเหตุให้ทั้งสองฝึกตนอย่างหนัก เพื่อที่จะได้เป็นที่หนึ่ง
ราชินีเวโรนีก้าเห็นทั้งสองพยายามเช่นนั้นก็ชอบใจ
จนไม่ได้สังเกตว่าลูกทั้งสองของนางรู้วิชาจนเกินผู้ใดในโลกไปแล้ว
ชีวิตของราชินีเวโรนีก้าไม่ได้ยืนยาวนัก
นางตายเพราะไอเวทย์ที่หนาเเน่นเกินมนุษย์จากลูกทั้งสอง เเต่ข่าวนั้นถูกปิดเงียบ
ประชาชนรู้เพียงราชินีเวโรนีก้าตายเพราะโรคประจำตัวที่รักษาไม่หาย
การตายของราชินีทำให้ทั้งยูโทเปียวุ่นวาย
เพราะขาดผู้นำ ไม่มีใครกล้าลงความเห็นว่าใครจะเป็นราชินีคนต่อไป
เพราะความสามารถของเจ้าหญิงทั้งสองนั้นไม่มีใครเป็นรองใคร
จะเป็นรองกันก็เเต่เพียงอายุ...
เจ้าหญิงเกวนได้ตำเเหน่งราชินีไปครองเพราะมีอายุมากกว่า
นางเหยียดยิ้มให้น้องสาวอย่างผู้ชนะ ก่อนจะสวมมงกุฏ
เเต่เจ้าหญิงสกาเล็ตหรือจะยอม
เธอใส่ร้ายพี่ของเธอว่านางเป็นคนฆ่าราชินีเวโรนีก้า
เเม่ของเธอเพื่อที่จะได้ขึ้นครองบัลลังค์
คำกล่าวหาของเจ้าหญิงสกาเล็ตทำให้เจ้าหญิงเกวนโมโหขึ้นมา
เธอชี้หน้าด่าน้องสาวด้วยถ้อยคำอันรุนเเรงกลางที่ประชุม...
'เจ้าลูกปีศาจโสโครกนั่นโกหก!!'
ด้วยความโกรธ
เธอดันลืมไปว่ายูโทเปียเเห่งนี้มีเผ่าพันธุ์ที่ชื่อว่าปีศาจอาศัยอยู่กว่าครึ่ง...
ถ้อยคำของนางกระจายออกไป
ความสัมพันธ์อันดีระหว่างปีศาจกับมนุษย์โดนทุบทิ้งอย่างง่ายดายด้วยคำพูดเพียงคำเดียวของราชินีเกวน
เเละความเป็นพี่น้องของพวกนางก็เเตกออกตั้งเเต่ตอนนั้นด้วย
ความเเตกเเยกเกิดขึ้นระหว่างทั้งสองเผ่าพันธุ์
เหล่าปีศาจไม่ยอมถูกดูหมิ่นเช่นเดียวกับมนุษย์ที่หยิ่งทระนงเกินกว่าจะยอมขออภัย
ยิ่งนับวันความขัดเเย้งก็ทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ
ราชินีเกวนพยายามจะเเก้ปัญหา เเต่นางจะเเก้ปัญหานั้นได้อย่างไร
เมื่อใจเธอเกลียดชังเผ่าปีศาจเสียยิ่งกว่าสิ่งใด
เหตุการณ์ยิ่งยืดเยื้อมีเเต่จะทำให้ยิ่งเเย่
ราชินีเกวนจึงตัดสินใจกำจัดสิ่งที่เป็นภัยต่อเธอมากที่สุด
เจ้าหญิงสกาเล็ต... ผู้เปรียบเสมือนผู้นำของเหล่าปีศาจในการต่อต้านเธอ
เจ้าหญิงสกาเล็ตที่ไหวตัวทันได้หนีออกไปจากปราสาทเธอรู้ว่าด้วยอำนาจเจ้าหญิงไม่สามารถเอาชนะราชินีได้
เธอหนีไปกบดานอยู่ในเกาะทางใต้กับเหล่าปีศาจใต้อาณัติของเธอ
ฝ่ายราชินีเกวนจึงเริงร่าเมื่อเธอได้อยู่ในปราสาทโดยไม่มีขวากหนาม
เธอเริ่มสั่งประหารปีศาจที่ลุกขึ้นต่อต้านเธอ
จนปีศาจเหล่านั้นต้องหนีกันไปพึ่งใบบุญอยู่กับเจ้าหญิงสกาเล็ตทางทิศใต้
เพื่อรักษาชีวิตตัวเอง
เจ้าหญิงสกาเล็ตเมื่อเห็นเหล่าปีศาจที่หลั่งไหลเข้ามาเพื่อมาอยู่ใต้อาณัติของเธอทำให้เธอรู้สึกเหมือนตนเป็น...ราชินี
ไม่ยากเลยที่เจ้าหญิงสกาเล็ตจะเเต่งตั้งตัวเองเป็นราชินีของเหล่าปีศาจ
เมื่อปีศาจเหล่านั้นเห็นด้วยกับเธอ
ความโลภในอำนาจของราชินีสกาเล็ตเพิ่มพูนขึ้น
เธอคิดที่จะเริ่มสงคราม
เพื่อเเย่งชิงดินเเดนทางเหนือของราชินีเกวนให้ตกมาเป็นของเธอ
เธอต้องการครอบครองทั้งยูโทเปีย
เเต่ก็ใช่ว่าจะมีเเค่เธอเพียงผู้เดียวที่คิดเช่นนั้น
ราชินีเกวนพี่ของเธอก็ไม่ยอมเช่นกัน
เมื่อสิ่งที่เธอต้องการคือการครอบครองทั้งยูโทเปียเช่นเดียวกับราชินีสกาเล็ต
เเน่นอนว่าสงครามก็เกิดขึ้น
มนุษย์เเละปีศาจออกสู้รบกัน...
ในคราเเรกมนุษย์เป็นฝ่ายเสียเปรียบ
เพราะเกิดมาไม่เเข็งเเกร่งเเละเเปลกประหลาดอย่างปีศาจ ราชินีเกวนจึงต้องหาผู้ช่วย
ผู้ที่จะทำให้สงครามนี้มนุษย์ ได้อยู่เหนือกว่าปีศาจ
บุคคลเเรกที่ราชินีเกวนสนใจคือเทพที่อยู่บนดินอย่างร่างทรงของเรอา
ราชินีเกวนใช้ทุกวิถีทางเพื่อจะชักชวนให้เรอาเข้าร่วมในสงคราม เเต่มันกลับไม่ได้ผล... เรอาไม่คิดที่จะเข้าร่วมสงครามเเละการเข่นฆ่า
หน้าที่ของเธอมีเพียงเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้คนที่หลงทาง
คำปฏิเสธของเรอาทำให้ราชินีเกวนโมโห
เธอใช้ให้คนของเธอคอยติดตามดูเรอาทุกฝีก้าว เพื่อหาจุดออ่นของเทพเดินดินผู้นั้น
ราชินีเกวนต้องการให้เรอาเข้าร่วมสงครามเพราะมนุษย์กำลังจะเป็นฝ่ายพ่ายเเพ้
สายลับของราชินีเกวนทำงานได้ดีเกินคาด
จนได้รู้จุดออ่นที่สุดของเรอา... คือลูกในท้องของเธอ
เเละเด็กคนนั้นยังเป็นครึ่งปีศาจเสียด้วย เท่ากับว่าเรอาได้ทำเรื่องที่ผิดกับคำทำนาย
...ร่างทรงของเรอาหากเสียพรมจรรย์ให้ปีศาจจะนำความหายนะมาเเก่มนุษย์
ราชินีเกวนกลับไปหาเรอาอีกครั้งด้วยคำขู่เรื่องจะเปิดเผยความลับ
เเต่น่าเสียดายที่ร่างทรงผู้นั้นกลับปฏิเสธ... เรอาถูกคุมขังทันที
ราชิเกวนไม่ฆ่านางเเต่กำลังรอให้นางเปลี่ยนใจ
ทว่าคำปฏิเสธของเรอาไม่ได้ไปถึงหูของราชินีสกาเล็ตเลยเเม้เเต่น้อย
ข่าวลือที่ว่าเรอาร่วมมือกับราชินีเกวน
เป็นข่าวลือหลอกๆที่มีไว้เพื่อขู่เธอเท่านั้น
ราชินีสกาเล็ตหลงเชื่อ
เธอเริ่มร้อนรนจนเรียกอัศวินคู่กายอย่างอัศวินโพธิ์เเดงเจราดออกไปเพื่อไล่ล่าเรอา
อัศวินโพธิ์เเดงบุกเข้าไปในเเดนมนุษย์ทันที
เริ่มกวาดล้างเเละทำลายวิหารของเทพเรอาทุกๆที่ของเเดนมนุษย์
ในระหว่างที่อัศวินโพธิ์เเดงเริ่มไล่ล่า
สงครามก็ยังดำเนินต่อไป... จนถึงวันสุดท้ายของสงคราม... วันที่ทั้งสองฝ่ายงัดไม้เด็ดของตนเองออกมา
นั่นก็คือราชินีของพวกเขาเอง
ราชินีเกวนเเละราชินีสกาเล็ตเจอหน้ากันอีกครั้งในสงคราม
ราชินีเกวนนิ่งดูดายไม่ได้เพราะปีศาจมีพลังอยู่เหนือมนุษย์
ถ้าเธอไม่ออกมาด้วยตัวเอง เธอจะพ่ายเเพ้
ราชินีสกาเล็ตที่คิดว่าเรอาร่วมมือกับมนุษย์เพื่อกำจัดปีศาจก็ต้องออกมาด้วยตัวเอง
เพราะถ้าเธอไม่ออกมา ปีศาจจะพ่ายเเพ้ในพลังของเทพเรอา
สงครามครั้งนั้นยาวนานเป็นเเรมเดือน
ว่ากันว่าผลกระทบจากเวทย์ของราชินีทั้งสองทำให้ยูโทเปียเเยกเป็นสองส่วน
การกระทำนั้นทำให้เทพเรอาพิโรธจนต้องลงมาจากฟากฟ้าเพื่อผนึกราชินีทั้งสองไม่ให้สร้างความเสียหายต่อสิ่งมีชีวิตไปมากกว่านี้
ราชินีเเดงถูกผนึกอยู่ในปราสาทเเห่งหนึ่งบนเกาะทางทิศใต้...
ส่วนราชินีขาวนั้นถูกผนึกอยู่ใต้วิหารของเรอาในเเดนมนุษย์...
ความเสียหายทำให้สงครามระหว่างมนุษย์กับปีศาจหยุดลง
ไม่มีใครรู้ว่าอัศวินเจราดไปอยู่ที่ไหน เเละร่างทรงของเรอาถูกปลดปล่อยหรือไม่
เวลาสองพันปีผ่านไปสงครามระหว่างราชินีเกวนกับราชินีสกาเล็ตกลายเป็นเเค่เรื่องเล่าเท่านั้น
"เรื่องมันก็เท่านี้เเหละ"มาคุสถอนหายใจยาวเหยียดเมื่อเล่าเรื่องทั้งหมดจบ
พลางมองไปที่ราชาน้อยผู้ฟังอย่างเป็นเด็กดีมาโดยตลอด
"สุดยอดไปเลย
ตอนนี้จะยังมีคนที่มีพลังอย่างราชินีขาวกับราชินีเเดงอีกไหมนะ" ไมโครเอ่ยชื่อราชินีขาวเเละราชินีเเดงเป็นฉายาของราชินีผู้เกินมนุษย์มนาทั้งสอง
"คงจะไม่มีเเล้วล่ะ
อีกอย่างสงครามนี่มันก็ผ่านมาตั้งสองพันปีเเล้ว
ที่ท่านได้ฟังไปคงจะเป็นเรื่องจริงบ้างเรื่องเเต่งบ้าง" มาคุสเอ่ย
โดยเฉพาะเรื่องเเผ่นดินเเยก
กับเรื่องเทพเรอาที่ลงมาจากสวรรค์นี่เเหละที่เขายากจะเชื่อ "ข้าไปล่ะ
ท่านก็ควรเข้านอนได้เเล้ว" มาคุสพูดกับราชาหนุ่ม
ประโยคนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนเล่านิทานก่อนนอนให้ลูกชายฟังยังไงก็ไม่รู้
"ว่าเเต่ทำไมท่านถึงอยากรู้เรื่องนี้ขึ้นมาล่ะ" มาคุสถาม
"ก็เด็กคนนั้นบอกว่าจะมีสงคราม
ข้าเเค่อยากรู้ว่าสงครามครั้งก่อนมันเป็นยังไง" ไมโครพูดเเล้วหัวเราะ
ก่อนที่จะเดินเเยกออกไปเข้านอนด้วยความเหนื่อยล้า
สงครามหรือ... ไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้นหรอก
มาคุสคิด อย่างน้อยก็พวกมนุษย์ล่ะนะ
มาคุสเดินเเยกไปอีกทาง
ในหัวคิดถึงเรื่องวุ่นวายในวันนี้ ศิษย์น้อยของเขาหายลับไปกับเจ้ามังกรขาวนั่น
มาคุสไม่ได้ตั้งใจทำร้ายศิษย์ตนเเม้เเต่น้อย เเน่นอนเพราะเมื่อศิษย์เขาไม่อยู่
เขตอาคมก็จะหายไปด้วย
ก็ไม่ได้อยากจะอวดหรอกนะ เเต่ข้าน่ะ... สร้างเขตอาคมคลุมรอบเมืองเหมือนศิษย์น้อยของข้าไม่ได้หรอก...
"อะไรกัน
มันพังลงมาหรือเนี่ย"
"เป็นไปได้หรือ"
"มันอยู่มาตั้งสองพันปีมาพังเอาวันนี้เนี่ยนะ"
"น่าเสียดายๆ"
เสียงพูดคุยดังมาจากสวนในวัง
มาคุสที่อยู่ไม่ไกลจึงหันไปมองนักเวทย์กลุ่มหนึ่งที่มุงดูอะไรบางอย่างอยู่
"มีอะไรกันหรือ"มาคุสเอ่ยถาม
เเล้วเดินเข้าไปไกล้
"อ๊ะ
ท่านมาคุส"นักเวทย์คนหนึ่งอุทานออกมา
"ท่านมาก็ดีเลยมาดูนี่สิ" นักเวทย์คนที่สองพูด
เเล้วหลบให้เขามองไปยังสวนที่มีรอยยุบลงไป
"วิหารใต้ดินของเราพังเเล้ว"นักเวทย์พูดขึ้น
มาคุสมองอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
วิหารนี้อยู่มาตั้งสองพันปี เเล้วเพราะเหตุใดเล่า มันถึงพังถล่มลงมาทันทีเช่นนี้
คนเเคระเฒ่าลอยลงไปดูซากนั้น ไอเวทย์บางเบาที่เขาไม่คุ้นเคยยังลอยกรุ่นอยู่
จนกระทั่งมาคุสมองลงไปยังรอยเเดงๆที่คล้ายรอยเลือดจนน่าสงสัย อยู่บนพื้นหิน
รอยสีเเดงนั่นลากยาวเป็นวงกลม
เเละมีอักขระโบราณเขียนอยู่โดยรอบ
"ท่านว่านี่เป็นวงเวทย์อะไรกัน" นักเวทย์คนหนึ่งเอ่ย
"ปลดผนึกมันคือเวทย์ปลดผนึก"มาคุสตอบได้ทันที
"เวทย์ปลดผนึกหรือ
เช่นนั้นก็เเสดงว่า..."
"ไม่จริงน่าตำนานนั่นเป็นจริงหรือ"
"ข้าว่าเเล้วมันถล่มลงมาก็เพราะเหตุนี้เอง"
เสียงพูดคุยของเหล่านักเวทย์ดังขึ้น
เเต่มาคุสกำลังจมอยู่ในห้วงความคิด ตำนานหรือ... เป็นตำนานที่มาคุสพึ่งเล่าให้ราชาหนุ่มฟังเมื่อครู่นี้เอง
เทพเรอาผู้ลงมาจากฟากฟ้าเพื่อผนึกราชินีทั้งสอง
ราชินีเเดงถูกผนึกอยู่ในปราสาทบนเกาะทางทิศใต้...
ส่วนราชินีขาวนั้นถูกผนึกอยู่ใต้วิหารของเรอาในเเดนมนุษย์...
"ท่านมาคุส" นักเวทย์คนหนึ่งเอ่ยเรียกเขามาคุสตื่นจากห้วงคำนึง
"ท่านคิดว่ายังไง"
"ไม่จริงหรอกท่านนักเวทย์
ถ้าเทพเรอาเป็นผู้ผนึกด้วยตนเองก็ต้องมีเพียงเทพเรอา..."
ที่เป็นผู้ปลดผนึก...
ไม่สิ ถ้าเป็นร่างทรงของเรอา
ร่างทรงผู้มีสายเลือดของเทพ จะสามารถปลดผนึกได้หรือเปล่า
เเต่ถึงอย่างนั้นร่างทรงจะยังมีชีวิตอยู่หรือ
ไม่จริงน่า ผู้มีอักขระสีขาวไม่ถูกพบมาสองพันปีเเล้ว
เอ๊ะ
เเต่ข้ารู้สึกเหมือนพึ่งเจอมาไม่กี่วันเองนี่นา ครั้งหนึ่งเป็นผนึกบนตัวศิษย์น้อยของข้า
ครั้งสองบนตัวขององค์ราชา
เเล้วใครเป็นคนร่ายเวทย์ฝังบนตัวขององค์ราชาล่ะ?
ภาพของศิษย์น้อยผู้ใช้เวทย์กาลเวลาเเละโดดหนีออกจากลานประหารกลับมาในหัวมาคุส...
เอ๊ะ! ตาเเก่ขี้ลืม
ก็ศิษย์น้อยของเจ้าเองไม่ใช่เหรอ!
เมทริซนั่งหน้าบูดอยู่บนเตียง
กับเจ้าเเมวดำอ้วนกลมที่นอนหลับปุ๋ยอยู่
"หนูคิดถูกหรือเปล่าที่พูดออกไป" เมทริซถาม
เธอชักไม่เเน่ใจในการตัดสินใจของเธอ
เเล้วมองไปที่ซันนี่ที่ต้มยากลิ่นมะนาวของเธออยู่
"ความจริงก็คือความจริงท่านเมทริซ" ซันนี่ตอบเเล้วกวนยาของเธอต่อไป
"ทำไมความจริงจึงทำให้เจ็บปวดนักล่ะ" เมทริซตั้งข้อสังเกต
ใบหน้าของพี่ที่ผลุนผลันออกจากห้องไปเมื่อเธอพูดความจริงนั่นยังวนอยู่ในหัวของเธอ "หนูจะไปหาพี่" เมทริซเอ่ยเเล้วยืนขึ้น
"ท่านเอริคนี่ช่างเหมือนกับท่านพี่ของข้าจริงๆเลยนะเจ้าคะ" ซันนี่เอ่ยขึ้น
ไม่ได้ห้ามเมทริซ เเต่ทำให้เมทริซหยุดฟัง
"เวลามีเรื่องกลุ้มใจ
เสียใจ โกรธ หรืออะไรก็ตามที่ก่อกวนจิตใจเขา เขามักจะอยู่คนเดียว" ซันนี่ปิดหม้อต้มยาของเธอเเล้วหันมามองเมทริซ
"เเล้วเขาก็จะกลับมาพร้อมรอยยิ้มซะทุกครั้งไป"
เมทริซเงียบ ซันนี่พูดถูก เธอคิด
พี่มักซ่อนความรู้สึกไว้ใต้รอยยิ้มนั้นเสมอ ไม่ว่าเธอจะทำอย่างไร
เขาจะไม่เผยความรู้สึกนั้นออกมา
เมทริซทำเสียงฮึดฮัดเเล้วกลับไปนั่งที่เตียง
กระชากเจ้าเหมียวที่หลับสบายมากอดเเทนตุ๊กตา
"ใช่เลย! พวกพี่ก็เป็นซะอย่างงี้"เมทริซบ่นออกมา
บางทีการให้พี่เธออยู่กับตัวเองคงจะเป็นสิ่งเดียวที่เธอทำให้เขาได้
ซันนี่ยิ้มให้เธอ
เป็นรอยยิ้มที่หายากจากใบหน้าเรียบนิ่งเหมือนตุ๊กตานั่น เมทริซยิ้มตาม
เหมือนได้เจอคนที่เข้าใจ สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าน้องสาวเหมือนกับเธอ
หลังจากนั้นซันนี่ก็เดินออกไปจากห้องของเมทริซ
เด็กสาวมองออกไปนอกหน้าต่าง ฟ้ามืดเเล้ว หวังว่าท่านเอริคคงกลับมาทันมื้อเย็น
ซันนี่เดินไปที่เตาผิงเเล้วสุมไฟที่ไกล้จะมอดดับ
ตุบ...
เสียงหล่นเบาๆทำให้ซันนี่ต้องหันไปมอง
ร่างสีขาวที่บัดนี้เเปลงกลายเป็นไอ้มนุษย์หัวขาวเรียบร้อยเเล้วนอนเเอ้งเเม้งอยู่บนพื้นหลังจากพยายามลุกฝืนความเจ็บปวดของบาดเเผลเเละกำลังหันมายิ้มเเห้งๆให้เธอ
ซันนี่มองพี่ชายเธอกับสภาพน่าเวทนาของเขาเเล้วกระพริบตาปริบๆ
ก่อนจะหันกลับไปเติมฟืนในเตาผิงต่อ เเล้วเอ่ยเรียบๆอย่างไม่ใส่ใจ
"จะไปไหนก็ไป"
--------------------------------------------------------------------------------------
บักกี้:หายไปตั้งนานโผล่มาเเค่นี้เองเหรอ
ความคิดเห็น