ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The White Rabbit

    ลำดับตอนที่ #30 : XXIX_กลายเป็นเเค่เรื่องเล่าเท่านั้น

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 243
      1
      6 พ.ย. 58

    THE WHITE RABBIT
    XXIX
    กลายเป็นเเค่เรื่องเล่าเท่านั้น








             กาลครั้งหนึ่งนานมาเเล้ว...        

             มีเเผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาล นามว่า ยูโทเปีย เป็นดินเเดนอันงดงามเเละอุดมสมบูรณ์ ประชากรทั้งมนุษย์เเละปีศาจอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข ภายใต้การปกครองของจักพรรดินีผู้มีนามว่าเวโรนีก้า ผู้มีความงดงามที่ไม่สองรองใครในยูโทเปีย

            ราชินีเวโรนีก้า ได้ตั้งครรภ์กับชายชาวมนุษย์ นางมีลูกสาวผู้มีใบหน้าอันงดงามตั้งเเต่เยาว์วัย เธอมีชื่อว่าเกวนไลซ์ เจ้าหญิงเกวนมีผมสีขาว กับดวงตาสีทอง ราชินีเวโรนีก้าหวังว่าลูกสาวของเธอจะเป็นราชินีที่ดีได้ เธอจึงเลี้ยงดูเจ้าหญิงเกวนไลซ์อย่างดี

             เเต่การเลี้ยงดูของราชินี ดูจะผิดวิธีไปสักหน่อย เจ้าหญิงเกวนจึงเติบโตมาเป็นคนที่เย่อหยิ่ง เเละเห็นเเก่ตัว เพียงเพราะนางคิดว่านางเป็นคนเดียวที่จะได้ครองทั้งยูโทเปีย  

             ทว่า... ราชินีเวโรนีก้า ก็ไม่ได้รักเดียวใจเดียว นางมีธิดากับปีศาจตนหนึ่ง เธอมีนามว่าสกาเล็ตเพราะผมสีเเดงเเละดวงตาสีเดียวกันของเธอ เมื่อนางโตขึ้น เจ้าหญิงสกาเล็ตมีความงามเเละความสามารถที่ไม่ด้อยไปกว่าพี่ของเธอเลย     

               เเต่ความอิจฉาก่อตัวขึ้น เมื่อราชินีเวโรนีก้ามักจะเข้าข้างเจ้าหญิงเกวนมากกว่าเจ้าหญิงสกาเล็ต เพียงเพราะเธอเป็นครึ่งปีศาจ....

               เจ้าหญิงสกาเล็ตโตมาด้วยความริษยาผู้เป็นพี่เสมอมา

              กาลเวลาผันเปลี่ยน ราชินีทั้งสองได้เติบโตจนเป็นเจ้าหญิงผู้งดงามเเละมากความสามารถ พวกนางมีความสามารถหนึ่งที่ไม่ด้อยไปกว่าใครในยูโทเปีย นั่นก็คือเวทย์มนต์ พวกนางเรียนศาสตร์ของเเม่มดจนชำนาญ

            เเต่เจ้าหญิงทั้งสองกลับไม่พอใจ... นางไม่พอใจที่พี่น้องของเธอมีความสามารถที่ทัดเทียมกัน นั่นเป็นสาเหตุให้ทั้งสองฝึกตนอย่างหนัก เพื่อที่จะได้เป็นที่หนึ่ง

            ราชินีเวโรนีก้าเห็นทั้งสองพยายามเช่นนั้นก็ชอบใจ จนไม่ได้สังเกตว่าลูกทั้งสองของนางรู้วิชาจนเกินผู้ใดในโลกไปแล้ว

             ชีวิตของราชินีเวโรนีก้าไม่ได้ยืนยาวนัก นางตายเพราะไอเวทย์ที่หนาเเน่นเกินมนุษย์จากลูกทั้งสอง เเต่ข่าวนั้นถูกปิดเงียบ ประชาชนรู้เพียงราชินีเวโรนีก้าตายเพราะโรคประจำตัวที่รักษาไม่หาย

              การตายของราชินีทำให้ทั้งยูโทเปียวุ่นวาย เพราะขาดผู้นำ ไม่มีใครกล้าลงความเห็นว่าใครจะเป็นราชินีคนต่อไป เพราะความสามารถของเจ้าหญิงทั้งสองนั้นไม่มีใครเป็นรองใคร

             จะเป็นรองกันก็เเต่เพียงอายุ...

             เจ้าหญิงเกวนได้ตำเเหน่งราชินีไปครองเพราะมีอายุมากกว่า นางเหยียดยิ้มให้น้องสาวอย่างผู้ชนะ ก่อนจะสวมมงกุฏ

              เเต่เจ้าหญิงสกาเล็ตหรือจะยอม เธอใส่ร้ายพี่ของเธอว่านางเป็นคนฆ่าราชินีเวโรนีก้า เเม่ของเธอเพื่อที่จะได้ขึ้นครองบัลลังค์

               คำกล่าวหาของเจ้าหญิงสกาเล็ตทำให้เจ้าหญิงเกวนโมโหขึ้นมา เธอชี้หน้าด่าน้องสาวด้วยถ้อยคำอันรุนเเรงกลางที่ประชุม...

              'เจ้าลูกปีศาจโสโครกนั่นโกหก!!'       

              ด้วยความโกรธ เธอดันลืมไปว่ายูโทเปียเเห่งนี้มีเผ่าพันธุ์ที่ชื่อว่าปีศาจอาศัยอยู่กว่าครึ่ง...

              ถ้อยคำของนางกระจายออกไป ความสัมพันธ์อันดีระหว่างปีศาจกับมนุษย์โดนทุบทิ้งอย่างง่ายดายด้วยคำพูดเพียงคำเดียวของราชินีเกวน

              เเละความเป็นพี่น้องของพวกนางก็เเตกออกตั้งเเต่ตอนนั้นด้วย

             ความเเตกเเยกเกิดขึ้นระหว่างทั้งสองเผ่าพันธุ์ เหล่าปีศาจไม่ยอมถูกดูหมิ่นเช่นเดียวกับมนุษย์ที่หยิ่งทระนงเกินกว่าจะยอมขออภัย

              ยิ่งนับวันความขัดเเย้งก็ทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ ราชินีเกวนพยายามจะเเก้ปัญหา เเต่นางจะเเก้ปัญหานั้นได้อย่างไร เมื่อใจเธอเกลียดชังเผ่าปีศาจเสียยิ่งกว่าสิ่งใด

              เหตุการณ์ยิ่งยืดเยื้อมีเเต่จะทำให้ยิ่งเเย่ ราชินีเกวนจึงตัดสินใจกำจัดสิ่งที่เป็นภัยต่อเธอมากที่สุด

              เจ้าหญิงสกาเล็ต... ผู้เปรียบเสมือนผู้นำของเหล่าปีศาจในการต่อต้านเธอ                   

              เจ้าหญิงสกาเล็ตที่ไหวตัวทันได้หนีออกไปจากปราสาทเธอรู้ว่าด้วยอำนาจเจ้าหญิงไม่สามารถเอาชนะราชินีได้ เธอหนีไปกบดานอยู่ในเกาะทางใต้กับเหล่าปีศาจใต้อาณัติของเธอ

              ฝ่ายราชินีเกวนจึงเริงร่าเมื่อเธอได้อยู่ในปราสาทโดยไม่มีขวากหนาม เธอเริ่มสั่งประหารปีศาจที่ลุกขึ้นต่อต้านเธอ จนปีศาจเหล่านั้นต้องหนีกันไปพึ่งใบบุญอยู่กับเจ้าหญิงสกาเล็ตทางทิศใต้ เพื่อรักษาชีวิตตัวเอง      

              เจ้าหญิงสกาเล็ตเมื่อเห็นเหล่าปีศาจที่หลั่งไหลเข้ามาเพื่อมาอยู่ใต้อาณัติของเธอทำให้เธอรู้สึกเหมือนตนเป็น...ราชินี

             ไม่ยากเลยที่เจ้าหญิงสกาเล็ตจะเเต่งตั้งตัวเองเป็นราชินีของเหล่าปีศาจ เมื่อปีศาจเหล่านั้นเห็นด้วยกับเธอ

              ความโลภในอำนาจของราชินีสกาเล็ตเพิ่มพูนขึ้น เธอคิดที่จะเริ่มสงคราม เพื่อเเย่งชิงดินเเดนทางเหนือของราชินีเกวนให้ตกมาเป็นของเธอ เธอต้องการครอบครองทั้งยูโทเปีย

             เเต่ก็ใช่ว่าจะมีเเค่เธอเพียงผู้เดียวที่คิดเช่นนั้น ราชินีเกวนพี่ของเธอก็ไม่ยอมเช่นกัน เมื่อสิ่งที่เธอต้องการคือการครอบครองทั้งยูโทเปียเช่นเดียวกับราชินีสกาเล็ต

             เเน่นอนว่าสงครามก็เกิดขึ้น มนุษย์เเละปีศาจออกสู้รบกัน...

            ในคราเเรกมนุษย์เป็นฝ่ายเสียเปรียบ เพราะเกิดมาไม่เเข็งเเกร่งเเละเเปลกประหลาดอย่างปีศาจ ราชินีเกวนจึงต้องหาผู้ช่วย ผู้ที่จะทำให้สงครามนี้มนุษย์ ได้อยู่เหนือกว่าปีศาจ

             บุคคลเเรกที่ราชินีเกวนสนใจคือเทพที่อยู่บนดินอย่างร่างทรงของเรอา ราชินีเกวนใช้ทุกวิถีทางเพื่อจะชักชวนให้เรอาเข้าร่วมในสงคราม เเต่มันกลับไม่ได้ผล... เรอาไม่คิดที่จะเข้าร่วมสงครามเเละการเข่นฆ่า หน้าที่ของเธอมีเพียงเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้คนที่หลงทาง

            คำปฏิเสธของเรอาทำให้ราชินีเกวนโมโห เธอใช้ให้คนของเธอคอยติดตามดูเรอาทุกฝีก้าว เพื่อหาจุดออ่นของเทพเดินดินผู้นั้น ราชินีเกวนต้องการให้เรอาเข้าร่วมสงครามเพราะมนุษย์กำลังจะเป็นฝ่ายพ่ายเเพ้

             สายลับของราชินีเกวนทำงานได้ดีเกินคาด จนได้รู้จุดออ่นที่สุดของเรอา... คือลูกในท้องของเธอ เเละเด็กคนนั้นยังเป็นครึ่งปีศาจเสียด้วย เท่ากับว่าเรอาได้ทำเรื่องที่ผิดกับคำทำนาย ...ร่างทรงของเรอาหากเสียพรมจรรย์ให้ปีศาจจะนำความหายนะมาเเก่มนุษย์

             ราชินีเกวนกลับไปหาเรอาอีกครั้งด้วยคำขู่เรื่องจะเปิดเผยความลับ เเต่น่าเสียดายที่ร่างทรงผู้นั้นกลับปฏิเสธ... เรอาถูกคุมขังทันที ราชิเกวนไม่ฆ่านางเเต่กำลังรอให้นางเปลี่ยนใจ

             ทว่าคำปฏิเสธของเรอาไม่ได้ไปถึงหูของราชินีสกาเล็ตเลยเเม้เเต่น้อย ข่าวลือที่ว่าเรอาร่วมมือกับราชินีเกวน เป็นข่าวลือหลอกๆที่มีไว้เพื่อขู่เธอเท่านั้น  

             ราชินีสกาเล็ตหลงเชื่อ เธอเริ่มร้อนรนจนเรียกอัศวินคู่กายอย่างอัศวินโพธิ์เเดงเจราดออกไปเพื่อไล่ล่าเรอา

             อัศวินโพธิ์เเดงบุกเข้าไปในเเดนมนุษย์ทันที เริ่มกวาดล้างเเละทำลายวิหารของเทพเรอาทุกๆที่ของเเดนมนุษย์

             ในระหว่างที่อัศวินโพธิ์เเดงเริ่มไล่ล่า สงครามก็ยังดำเนินต่อไป... จนถึงวันสุดท้ายของสงคราม... วันที่ทั้งสองฝ่ายงัดไม้เด็ดของตนเองออกมา นั่นก็คือราชินีของพวกเขาเอง

              ราชินีเกวนเเละราชินีสกาเล็ตเจอหน้ากันอีกครั้งในสงคราม ราชินีเกวนนิ่งดูดายไม่ได้เพราะปีศาจมีพลังอยู่เหนือมนุษย์ ถ้าเธอไม่ออกมาด้วยตัวเอง เธอจะพ่ายเเพ้ ราชินีสกาเล็ตที่คิดว่าเรอาร่วมมือกับมนุษย์เพื่อกำจัดปีศาจก็ต้องออกมาด้วยตัวเอง เพราะถ้าเธอไม่ออกมา ปีศาจจะพ่ายเเพ้ในพลังของเทพเรอา

            สงครามครั้งนั้นยาวนานเป็นเเรมเดือน ว่ากันว่าผลกระทบจากเวทย์ของราชินีทั้งสองทำให้ยูโทเปียเเยกเป็นสองส่วน การกระทำนั้นทำให้เทพเรอาพิโรธจนต้องลงมาจากฟากฟ้าเพื่อผนึกราชินีทั้งสองไม่ให้สร้างความเสียหายต่อสิ่งมีชีวิตไปมากกว่านี้

            ราชินีเเดงถูกผนึกอยู่ในปราสาทเเห่งหนึ่งบนเกาะทางทิศใต้...

            ส่วนราชินีขาวนั้นถูกผนึกอยู่ใต้วิหารของเรอาในเเดนมนุษย์...

             ความเสียหายทำให้สงครามระหว่างมนุษย์กับปีศาจหยุดลง ไม่มีใครรู้ว่าอัศวินเจราดไปอยู่ที่ไหน เเละร่างทรงของเรอาถูกปลดปล่อยหรือไม่ เวลาสองพันปีผ่านไปสงครามระหว่างราชินีเกวนกับราชินีสกาเล็ตกลายเป็นเเค่เรื่องเล่าเท่านั้น

            "เรื่องมันก็เท่านี้เเหละ"มาคุสถอนหายใจยาวเหยียดเมื่อเล่าเรื่องทั้งหมดจบ พลางมองไปที่ราชาน้อยผู้ฟังอย่างเป็นเด็กดีมาโดยตลอด

              "สุดยอดไปเลย ตอนนี้จะยังมีคนที่มีพลังอย่างราชินีขาวกับราชินีเเดงอีกไหมนะ" ไมโครเอ่ยชื่อราชินีขาวเเละราชินีเเดงเป็นฉายาของราชินีผู้เกินมนุษย์มนาทั้งสอง

              "คงจะไม่มีเเล้วล่ะ อีกอย่างสงครามนี่มันก็ผ่านมาตั้งสองพันปีเเล้ว ที่ท่านได้ฟังไปคงจะเป็นเรื่องจริงบ้างเรื่องเเต่งบ้าง" มาคุสเอ่ย โดยเฉพาะเรื่องเเผ่นดินเเยก กับเรื่องเทพเรอาที่ลงมาจากสวรรค์นี่เเหละที่เขายากจะเชื่อ "ข้าไปล่ะ ท่านก็ควรเข้านอนได้เเล้ว" มาคุสพูดกับราชาหนุ่ม ประโยคนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนเล่านิทานก่อนนอนให้ลูกชายฟังยังไงก็ไม่รู้

              "ว่าเเต่ทำไมท่านถึงอยากรู้เรื่องนี้ขึ้นมาล่ะ" มาคุสถาม

              "ก็เด็กคนนั้นบอกว่าจะมีสงคราม ข้าเเค่อยากรู้ว่าสงครามครั้งก่อนมันเป็นยังไง" ไมโครพูดเเล้วหัวเราะ ก่อนที่จะเดินเเยกออกไปเข้านอนด้วยความเหนื่อยล้า

             สงครามหรือ... ไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้นหรอก มาคุสคิด  อย่างน้อยก็พวกมนุษย์ล่ะนะ

             มาคุสเดินเเยกไปอีกทาง ในหัวคิดถึงเรื่องวุ่นวายในวันนี้ ศิษย์น้อยของเขาหายลับไปกับเจ้ามังกรขาวนั่น มาคุสไม่ได้ตั้งใจทำร้ายศิษย์ตนเเม้เเต่น้อย เเน่นอนเพราะเมื่อศิษย์เขาไม่อยู่ เขตอาคมก็จะหายไปด้วย

             ก็ไม่ได้อยากจะอวดหรอกนะ เเต่ข้าน่ะ... สร้างเขตอาคมคลุมรอบเมืองเหมือนศิษย์น้อยของข้าไม่ได้หรอก...

             "อะไรกัน มันพังลงมาหรือเนี่ย"

             "เป็นไปได้หรือ"

             "มันอยู่มาตั้งสองพันปีมาพังเอาวันนี้เนี่ยนะ"

             "น่าเสียดายๆ"

             เสียงพูดคุยดังมาจากสวนในวัง มาคุสที่อยู่ไม่ไกลจึงหันไปมองนักเวทย์กลุ่มหนึ่งที่มุงดูอะไรบางอย่างอยู่

             "มีอะไรกันหรือ"มาคุสเอ่ยถาม เเล้วเดินเข้าไปไกล้

             "อ๊ะ ท่านมาคุส"นักเวทย์คนหนึ่งอุทานออกมา

             "ท่านมาก็ดีเลยมาดูนี่สิ" นักเวทย์คนที่สองพูด เเล้วหลบให้เขามองไปยังสวนที่มีรอยยุบลงไป

             "วิหารใต้ดินของเราพังเเล้ว"นักเวทย์พูดขึ้น

            มาคุสมองอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง วิหารนี้อยู่มาตั้งสองพันปี เเล้วเพราะเหตุใดเล่า มันถึงพังถล่มลงมาทันทีเช่นนี้ คนเเคระเฒ่าลอยลงไปดูซากนั้น ไอเวทย์บางเบาที่เขาไม่คุ้นเคยยังลอยกรุ่นอยู่ จนกระทั่งมาคุสมองลงไปยังรอยเเดงๆที่คล้ายรอยเลือดจนน่าสงสัย อยู่บนพื้นหิน

              รอยสีเเดงนั่นลากยาวเป็นวงกลม เเละมีอักขระโบราณเขียนอยู่โดยรอบ       

             "ท่านว่านี่เป็นวงเวทย์อะไรกัน" นักเวทย์คนหนึ่งเอ่ย

             "ปลดผนึกมันคือเวทย์ปลดผนึก"มาคุสตอบได้ทันที

             "เวทย์ปลดผนึกหรือ เช่นนั้นก็เเสดงว่า..."

             "ไม่จริงน่าตำนานนั่นเป็นจริงหรือ"

             "ข้าว่าเเล้วมันถล่มลงมาก็เพราะเหตุนี้เอง"

             เสียงพูดคุยของเหล่านักเวทย์ดังขึ้น เเต่มาคุสกำลังจมอยู่ในห้วงความคิด ตำนานหรือ... เป็นตำนานที่มาคุสพึ่งเล่าให้ราชาหนุ่มฟังเมื่อครู่นี้เอง

            เทพเรอาผู้ลงมาจากฟากฟ้าเพื่อผนึกราชินีทั้งสอง

            ราชินีเเดงถูกผนึกอยู่ในปราสาทบนเกาะทางทิศใต้...

            ส่วนราชินีขาวนั้นถูกผนึกอยู่ใต้วิหารของเรอาในเเดนมนุษย์...

            "ท่านมาคุส" นักเวทย์คนหนึ่งเอ่ยเรียกเขามาคุสตื่นจากห้วงคำนึง "ท่านคิดว่ายังไง"

            "ไม่จริงหรอกท่านนักเวทย์ ถ้าเทพเรอาเป็นผู้ผนึกด้วยตนเองก็ต้องมีเพียงเทพเรอา..."

            ที่เป็นผู้ปลดผนึก...

            ไม่สิ ถ้าเป็นร่างทรงของเรอา ร่างทรงผู้มีสายเลือดของเทพ จะสามารถปลดผนึกได้หรือเปล่า

            เเต่ถึงอย่างนั้นร่างทรงจะยังมีชีวิตอยู่หรือ ไม่จริงน่า ผู้มีอักขระสีขาวไม่ถูกพบมาสองพันปีเเล้ว

            เอ๊ะ เเต่ข้ารู้สึกเหมือนพึ่งเจอมาไม่กี่วันเองนี่นา ครั้งหนึ่งเป็นผนึกบนตัวศิษย์น้อยของข้า ครั้งสองบนตัวขององค์ราชา

            เเล้วใครเป็นคนร่ายเวทย์ฝังบนตัวขององค์ราชาล่ะ?

            ภาพของศิษย์น้อยผู้ใช้เวทย์กาลเวลาเเละโดดหนีออกจากลานประหารกลับมาในหัวมาคุส...

            เอ๊ะ! ตาเเก่ขี้ลืม ก็ศิษย์น้อยของเจ้าเองไม่ใช่เหรอ!

     

     



     

              เมทริซนั่งหน้าบูดอยู่บนเตียง กับเจ้าเเมวดำอ้วนกลมที่นอนหลับปุ๋ยอยู่

             "หนูคิดถูกหรือเปล่าที่พูดออกไป" เมทริซถาม เธอชักไม่เเน่ใจในการตัดสินใจของเธอ เเล้วมองไปที่ซันนี่ที่ต้มยากลิ่นมะนาวของเธออยู่

             "ความจริงก็คือความจริงท่านเมทริซ" ซันนี่ตอบเเล้วกวนยาของเธอต่อไป

             "ทำไมความจริงจึงทำให้เจ็บปวดนักล่ะ" เมทริซตั้งข้อสังเกต ใบหน้าของพี่ที่ผลุนผลันออกจากห้องไปเมื่อเธอพูดความจริงนั่นยังวนอยู่ในหัวของเธอ "หนูจะไปหาพี่" เมทริซเอ่ยเเล้วยืนขึ้น

            "ท่านเอริคนี่ช่างเหมือนกับท่านพี่ของข้าจริงๆเลยนะเจ้าคะ" ซันนี่เอ่ยขึ้น ไม่ได้ห้ามเมทริซ เเต่ทำให้เมทริซหยุดฟัง

             "เวลามีเรื่องกลุ้มใจ เสียใจ โกรธ หรืออะไรก็ตามที่ก่อกวนจิตใจเขา เขามักจะอยู่คนเดียว" ซันนี่ปิดหม้อต้มยาของเธอเเล้วหันมามองเมทริซ "เเล้วเขาก็จะกลับมาพร้อมรอยยิ้มซะทุกครั้งไป"    

             เมทริซเงียบ ซันนี่พูดถูก เธอคิด พี่มักซ่อนความรู้สึกไว้ใต้รอยยิ้มนั้นเสมอ ไม่ว่าเธอจะทำอย่างไร เขาจะไม่เผยความรู้สึกนั้นออกมา

             เมทริซทำเสียงฮึดฮัดเเล้วกลับไปนั่งที่เตียง กระชากเจ้าเหมียวที่หลับสบายมากอดเเทนตุ๊กตา

             "ใช่เลย! พวกพี่ก็เป็นซะอย่างงี้"เมทริซบ่นออกมา บางทีการให้พี่เธออยู่กับตัวเองคงจะเป็นสิ่งเดียวที่เธอทำให้เขาได้

             ซันนี่ยิ้มให้เธอ เป็นรอยยิ้มที่หายากจากใบหน้าเรียบนิ่งเหมือนตุ๊กตานั่น เมทริซยิ้มตาม เหมือนได้เจอคนที่เข้าใจ สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าน้องสาวเหมือนกับเธอ

             หลังจากนั้นซันนี่ก็เดินออกไปจากห้องของเมทริซ เด็กสาวมองออกไปนอกหน้าต่าง ฟ้ามืดเเล้ว หวังว่าท่านเอริคคงกลับมาทันมื้อเย็น

            ซันนี่เดินไปที่เตาผิงเเล้วสุมไฟที่ไกล้จะมอดดับ

             ตุบ...

             เสียงหล่นเบาๆทำให้ซันนี่ต้องหันไปมอง ร่างสีขาวที่บัดนี้เเปลงกลายเป็นไอ้มนุษย์หัวขาวเรียบร้อยเเล้วนอนเเอ้งเเม้งอยู่บนพื้นหลังจากพยายามลุกฝืนความเจ็บปวดของบาดเเผลเเละกำลังหันมายิ้มเเห้งๆให้เธอ

             ซันนี่มองพี่ชายเธอกับสภาพน่าเวทนาของเขาเเล้วกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะหันกลับไปเติมฟืนในเตาผิงต่อ เเล้วเอ่ยเรียบๆอย่างไม่ใส่ใจ

             "จะไปไหนก็ไป"

            

     --------------------------------------------------------------------------------------


    บักกี้:หายไปตั้งนานโผล่มาเเค่นี้เองเหรอ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×