ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The White Rabbit

    ลำดับตอนที่ #4 : IV_ยินดีต้อนรับสู่โลกของกระผมขอรับ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 370
      2
      6 พ.ย. 58

        THE WHITE RABBIT
    IV

    ยินดีต้อนรับสู่โลกของกระผมขอรับ


     

       





        ผมควรจะดีใจรึเปล่านะ....

         หนึ่ง ผมโผล่มาบนฟ้าและตกลงมาโดยไม่ทราบสาเหตุ

         สอง ผมตกลงมาในนํ้าเลยยังไม่ตาย

         สาม ขาผมหัก แน่ล่ะ ถึงจะเป็นนํ้าเเต่สูงขนาดนี้ รอดมาก็ปาฏิหาริย์เเล้ว

          และสี่...

          "ที่นี่มันที่ไหนฟะ!!"

          เด็กชายโวยออกมาท่ามกลางเเม่นํ้าอันกว้าใหญ่ หนึ่งวิญญาน หนึ่งมนุษย์กำลังลอยตุ๊บป่องๆโดยเกาะซุงผุๆไว้

          "ฝากลูกเมียกระผมด้วย...."บักกี้เอ่ยลอยๆออกมาตอนนี้วิญญานของกระต่ายขาวเกาะหัวเด็กหนุ่มแน่น ถึงตายไปแล้วเขาก็ไม่ยอมเเตะนํ้าเด็ดขาด

          "นายมีลูกมีเมียด้วยเหรอ..."ผมถามอึ้งๆและนึกสงสารลูกของเขาที่เกิดมามีพ่อที่กลัวทุกสิ่งอย่าง

          "ไม่มีหรอกขอรับ...ผมแค่ประชดในความโชคร้ายของตัวเอง…. อ๊ะ ท่านเอริคขอรับ ข้างหน้านั่น!!!"

          ผมมองไปข้างหน้าตามที่กระต่ายบอก และก็เห็นท้องฟ้าใสสะอาดอยู่ไม่ไกล... อ้า...ขอบฟ้าสินะ ไม่สิ...นํ้าตกนี่หว่า!!! ช่วยไปอยู่แค่ในหนังเถอะครับ!!! มุขนี้เขาเล่นกันเยอะเเล้วมันไม่ขำนะ!!!

          "ไม่นะขอร้าบบ มาทั้งความสูงทั้งนํ้าเเบบนี้ ผมตายเเน่ขอรับบบบ!!"

          "นายม่องไปแล้วไม่ใช่เรอะ!!"ผมแผดเสียงตะโกนใส่เจ้ากระต่าย แล้วพยายามจะว่ายทวนนํ้าแต่...ขาผมเดี้ยงไปแล้วนี่นา งั้นก็...

          "ว๊ากกกกกกกกกกกก"

          "ม่ายยยยยยยยยยยยย"

          FALL....

     



     

          โอย เจ็บๆๆๆๆ เจ็บระบมไปทั้งตัวเลย หนาวๆด้วยเเฮะ

          ผมปรือตาขึ้นมา และพบว่าตัวเองมาเกยตื้นบนบกเรียบร้อย... แหม... อภิมหาปาฏิหาริย์เลยนะเนี่ยที่ผมยังรอดมาได้ สงสัยพยายมคงไม่ชอบขี้หน้าผมล่ะมั้ง ถึงปล่อยให้รอดตายมาสองครั้งสองคราเเบบนี้

           "บักกี้..."ผมเรียกหาเพื่อนตัวน้อยแล้วพยายามยันตัวลุกขึ้น จนได้เจอกับท่อนซุงที่ผมใช้พึ่งพาอยู่ข้างๆพร้อมเจ้ากระต่ายขาวที่กอดซุงเเน่นหลับตาปี๋เเละตัวสั่นงกๆ

           "เฮ้...บักกี้ เรารอดเเล้ว"ผมตะเกียดตะกายไปหาเขา เมื่อได้ยินเสียงผมร่างสีขาวหยุดสั่นก่อนดวงตาข้างหนึ่งจะเปิดโป๊ะออกมาตามด้วยดวงตาอีกข้างเจ้ากระต่ายกระพริบตาปริบๆ เมื่อมันมองรอบกายและพบว่าไม่มีนํ้าอยู่เเล้วจึงยอมปล่อยท่อนซุงลุกขึ้นมายืนงงๆมองร่างเด็กหนุ่มที่นอนเเผ่อยู่ข้างๆ

          "เป็นอะไรมากรึเปล่าขอรับ"

          "แหม!! นายเห็นเป็นไงล่ะ สบายดีมั้ง"

          "โอ้งั้นก็รีบออกจากที่นี่กันเถอะขอรับ"

          "ผมประชด!!!"

          หนอยๆๆๆ อยากกินกระต่ายว่อย!!!

          เจ้ากระต่ายกระพริบตาปริบๆเหมือนไม่รู้สึกรู้สามันโดดไปดูขาของเด็กหนุ่ม

           "เป็นไงมั่ง"ผมถามเมื่อเห็นเจ้ากระต่ายดูขาผมอยู่นาน

          "ไม่ต้องห่วงขอรับ แหลกไม่มีชิ้นดีเลย แถมกระดูกมันโผล่ออกมาจากเนื้อด้วยนะขอรับ มันน่าจะกระเเทกหินตอนท่านตกลงมาน่ะขอรับ"

          "แบบนี้เขาเรียกไม่ต้องห่วงเหรอ"ผมกัดฟันกลั้นความเจ็บปวดและอาการหิวกระต่ายไว้พร้อมๆกัน

          "จริงๆนะขอรับ ขนาดท่านสาหัสปางตายข้ายังช่วยมาเเล้ว แล้วจะอะไรกับแผลแค่นี้ล่ะขอรับ"

          "แต่นายบอกว่าไม่มีพลังเเล้วนี่"

          "ก็จริงขอรับตั้งเเต่ข้าช่วยท่านไว้คราวก่อนข้าสูญเสียพลังไปทั้งหมด แต่ถ้าเป็นท่าน….มีเเน่ขอรับ"เจ้ากระต่ายโดดมาบนตัวผมเเล้วจ้องตาผมด้วยสายตาทะเล้น แต่ผมยังไม่เข้าใจกับสิ่งที่เขาพูดอยู่ดี

           "ถึงเเม้ท่านจะไม่รู้ตัว แต่กระผมเห็นได้ชัดเจนตั้งเเต่ครั้งเเรกที่ได้เจอท่าน.... ท่านมีพลังเวทย์แบบที่มนุษย์โลกคนอื่นไม่มี"กระต่ายขาวจ้องเด็กหนุ่มด้วยสายตาลึกซึ้งเกินเข้าใจ

          "ฉันมีพลังเวทย์เหรอ ??"

          "จะลองพิสูจน์ดูไหมล่ะขอรับ.... ด้วยเวทย์ย้อนเวลาเพื่อรักษาร่างกายของท่านเป็นไง"

          กรต่ายขาวยื่นหน้าเข้ามาไกล้ เขาพูดวลีสั้นๆชัดเเบบเน้นทีละคำขึ้นมาซึ่งผมไม่เข้าใจความหมายของมันเลยได้เเต่ทำหน้างง เจ้ากระต่ายจ้องหน้าผมเหมือนต้องการให้ผมพูด บักกี้พูดวลีเดิมขึ้นอีกโดยเน้นทีละคำให้หนักกว่าเดิม ผมลองพูดตามเขา ดูเหมือนจะทำถูกเขาเลยพยักหน้าให้แล้วก็พูดวลีต่อไป แน่นอนว่าผมไม่เข้าใจอีกนั่นเเหละเเต่ก็พูดตาม จนจบวลีสุดท้ายเจ้ากระต่ายก็ฉีกยิ้มให้แล้วโดดลงจากตัวผม

          "ลุกขึ้นสิขอรับ"

           "เอ๋? แต่ฉัน.... เดี๋ยวก่อนนะ .....ว้าว...."ผมลองยืนขึ้นดูเเล้วมองสภาพตัวเองกระดูกที่หักจนยื่นออกมาจากเนื้อกลับเป็นปกติ ความเจ็บปวดต่างๆนาๆก็หายไปด้วย แถมชุดที่เปียกขาดแล้วก็เปื้อนดินที่ผมใส่อยู่ก็กลับสภาพเดิมของมันอย่างไม่น่าเชื่อ เหมือนตอนพึ่งออกจากบ้านใหม่ๆเลย

          "นี่มันเวทย์มนต์อย่างงั้นเหรอ??!!"ผมหมุนตัวดูสภาพตัวเองพลางถามเจ้ากระต่ายขาว

          "ใช่เเล้วขอรับ ที่ท่านท่องเมื่อกี้เป็นเวทย์ย้อนเวลา"

          "จริงเหรอ ย้อนเวลา... อืม ถ้าย้อนเวลา แล้วทำไมผมยังอยู่ที่เดิมล่ะ น่าจะโผล่ไปบ้านเหมือนครั้งที่นายช่วยผมอะไรแบบนั้นนี่นา"

          "คิกๆๆ ทำไม่ได้หรอกขอรับ เพราะเวทย์ที่กระผมให้ไปย้อนเวลาเเค่ร่างกายของท่านเท่านั้น ไม่ได้ย้อนเวลาทั้งโลก เวทย์นี้กินพลังมากผมในตอนนี้คงทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นเรื่องที่คุณจะกลับบ้านด้วยวิธีย้อนเวลาเหมือนครั้งที่ผมช่วยคุณจึงตกไปขอรับ"

          "งั้นก็แย่เลยเเฮะ เพราะ...ผมมาโผล่ที่ไหนก็ไม่รู้"ผมมองรอบๆข้างหน้าผมเป็นนํ้าตกสายเบ้อเริ่มที่พึ่งเกือบฆ่าผมไป ข้างหลังผมเป็นป่า ป่า ป่า ต้นไม้ ป่า ต้นไม้ เเล้วก็ป่า อ้อ เหมือนมีภูเขาอยู่ลิบๆนั่นด้วย ดูเเล้วก็ดูเป็นธรรมชาติที่สวยดี...รึนี่สวรรค์หว่า ผมจำได้ว่าบ้านผมไฟไหม้เเล้วเมทริซก็บอกให้ระวังผมอาจจะโดนไฟคลอกตายตั้งเเต่ตอนนั้นก็ได้

          "แต่ผมรู้นะขอรับ"

          "เอ๋งั้นเหรอ ที่ไหนล่ะ"

          "คิกๆๆๆ ยินดีต้อนรับสู่โลกของกระผม  ขอรับ ท่านเอริค"

           หะ หะ หะ ห้าาาาาาาา!!!!????

           "ล้อเล่นน่า... อีกมิตินึงที่ฉันนึกไว้มันน่าจะมีห้องฟ้าสีเขียวอมม่วง พระอาทิตย์สิบดวง ดาวตอนกลางวัน เกาะลอยฟ้าอะไรทำนองนี้สิ เเต่นี่มัน.... ไม่ต่างกับโลกผมเลยนะ" ใช่ๆ ไอ้กระต่ายนี่เพี้ยนเพราะอยากลับบ้านเเน่อยู่ๆผมคงไม่ฟลุคขนาดข้ามมาต่างมิติได้หรอกนะ ผมอาจจะฝันอยู่ก็ได้ ตื่นได้เเล้วเอริคเจย์!!!

          "ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่ แต่กระผมมีข้อพิสูจน์นะขอรับ"

          "อะไรล่ะ"

          "แหม...สิ่งนั้นก็อยู่ข้างหลังท่านยังไงล่ะขอรับ..."

          ผมทำตาปริบๆมองไปข้างหลังตัวเองซึ่งเป็นป่ารกทึบธรรมดาๆ แต่แปลกก็ตรงที่.... ดวงตาสีเเดงเลือดสามคู่สะท้อนออกมาจากด้านมืดของป่าดวงตานั่นขยับเข้ามาเรื่อยๆทำให้ต้นไม้โดยรอบสั่นไหวจากการขยับตัวของมันและแล้วขาคู่โตก็โผล่ออกมาจากป่ารกทึบพร้อมหัวดำๆกลมๆของมันกับตาอีกสามคู่

           "ถ้าเป็นโลกของท่านคงเรียกสิ่งนี้ว่า 'เเมงมุม' สินะขอรับ"

           "แมงมุมบ้านผมมันไม่ใหญ่เท่ารถพ่วงหรอกนะ!!!"

           อย่าเอาไปเทียบกันเชียว!! ถ้าเทียบกับไอ้ตัวนี้ล่ะก็ แมงมุมบ้านผมน่ารักกว่าเยอะ ผมมองร่างสีดำทมึนที่ก้าวออกมาจากป่าแล้วผมก็ก้าวถอยหลังตาม ดูจากหน้ามันเเล้วคงไม่ได้คิดจะทักทายกับเพื่อนต่างโลกอย่างผมเเน่

          "เอาไงดีขอรับ"

          "ถามได้ก็วิ่งดิ!!"

          ผมโกยเอ้าเข้าไปในป่าที่อยู่อีกด้านนึง แน่นอนว่าเจ้าเเมงมุมยักษ์ที่สนใจเพื่อนต่างโลกต้องตามมาติดๆ ตามด้วยวิญญาณกระต่ายที่วิ่งอยู่ข้างๆผมด้วยใบหน้าระรื่น นี่!! จะดีใจออกหน้าออกตาก็ให้มันน้อยๆหน่อย

          "บักกี้ ผมจะหนีไอ้ตัวนี้ได้ยังไง!!"ผมเห็นเจ้าเเมงมุมยักษ์ที่ไล่มาติดๆแล้วผมไม่น่ารอดจากมันแน่ยังไงแปดขาก็ต้องชนะสองขาอยู่เเล้วแถมยังเป็นแปดขาเเบบใหญ่ยักษ์ซะด้วย

          "ไม่ทราบขอรับ"

          "แต่นี่โลกของนายไม่ใช่เหรอ"

          "ก็จริงขอรับแต่ใช่ว่ากระผมจะรู้ทุกซอกทุกมุมนี่ขอรับ แถมอีกอย่างโลกของผมมีเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งหนึ่งล้านสามแสนเก้าหมื่นหนึ่งพันหกร้อยแปดสิบสี่กิโลเมตรเลยนะขอรับ"

           "หา!!! นั่นมันพอๆกับดวงอาทิตย์เลยไม่ใช่เหรอ!!!!"

           ผมตะโกนเถียงกับวิญฐานกระต่ายโดยมีแมงมุมเพื่อนรักที่กำลังหิวกระหายอยู่ไล่กวดอยู่ข้างหลังและมันดูเหมือนจะไม่พอใจที่ผมไม่สนใจมัน เจ้าเเมงมุมเลยใช้ขาที่เต็มไปด้วยหนามเเหลมๆนั้นกวาดไปที่พื้นทำให้ผมเสียหลักล้มจนได้ ยังไม่ทันที่ผมจะลุกขึ้นได้เจ้าเเมงมุมก็ยื่นหน้าเข้ามาไกล้พร้อมด้วยฟันเเหลมคมกับปากของมันที่อ้ากว้างพร้อมงับผมที่กำลังหน้าซีดได้ทั้งตัว

          "อ๊ะ ท่านเอริคระวังขอรับ!!"เจ้ากระต่ายร้องเสียงหลง ผมเข้าใจนะว่าเป็นห่วง แต่ขอโทษนะครับ!! มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย!!

           ผมหลับตาปี๋ไม่อยากเห็นตัวเองตอนโดนเขมือบ แต่เเล้วผมกลับได้ยินเสียงร้องโหยหวนของเจ้าเเมงมุมเเทนที่จะเป็นเสียงร้องของผมเอง ผมลืมตาขึ้นด้วยไม่เชื่อหูตัวเอง แต่ก็ต้องหลับตาลงอีกครั้งเมื่อของเหลวสีดำหนืดๆไหลมาโดนหน้าผมเต็มๆ ผมปัดๆพยายามเอามันออกแต่มันกลับทำให้หน้าผมดำไปด้วยซะงั้น จนผมลืมตาขึ้นมาก็เห็นร่างของเเมงมุมยักษ์ที่ล้มครืนลงมาทั้งตัว เเละบนหัวของมันมีคนๆคนนึงยืนอยู่พร้อมดาบสีเงินที่เสียบอยู่บนหัวเเมงมุม เขาใส่ชุดที่ดูเหมือนอัศวินในเทพนิยายยังไงยังงั้น ผมสีดำไว้ยาวถักเป็นเปียและดวงตาคมกริบสีเดียวกันนั้นกำลังจ้องผมด้วยรังศีที่ชวนขนลุก   

           เอิ่ม... คือผมโดนหมอนี่ช่วยไว้ใช่ไหม น่าจะใช่ก็เขาเจาะหัวเเมงมุมอยู่นี่นา ไอ้เหลวๆสีดำๆนี่คงเป็นเลือดมันสินะอย่างกะนํ้าหมึกเลย ผมมองสภาพตัวเองที่ตอนนี้กลายเป็นตัวอะไรดำๆก็ไม่รู้ ไอ้อัศวินบ้านี่!! ฉันเปื้อนหมดเลยเห็นไหม!!.... ขนาดคนที่ช่วยชีวิตไว้ผมก็ด่าได้เนอะ

           อัศวินคนนั้นเดินเข้ามาหยุดอยู่ที่ผมพร้อมกับดาบที่เปื้อนเลือดแมงมุม เฮ้... คงๆไม่ได้จะเก็บผมไปด้วยอีกคนใช่ไหม? ผมเขยิบถอยหลังออกไปแล้วลุกยืนเตียมวิ่งทันทีถ้าเขามีเเววทำร้ายผม แต่ผิดคาดชายคนนั้นกลับพูดอะไรแปลกๆออกมาที่ผมฟังไม่รู้เรื่องจนผมได้เเต่ยืนอึ้ง

         จะว่าไป...อยู่คนละโลกไม่น่าจะใช้ภาษาเดียวกันนี่นะ แล้วผมจะรู้ได้ไงว่าเขาจะเสียบผมเหมือนไอ้ตัวเมื่อกี้รึเปล่า....

          "เขาถามว่าเป็นอะไรรึเปล่าน่ะขอรับ"ในขณะที่ผมมืดเเปดด้านเสียงของบักกี้ก็เป็นเเสงไฟนำทางให้ผม  ผมมองไปทางกระต่ายขาวที่ตอนนี้โดดเข้ามาข้างด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ

          "ไม่ต้องห่วงขอรับกระผมจะช่วยเอง"

           อ้า....นี่สิเพื่อนแท้ ว่าเเต่... แกเป็นวิญญานไม่ใช่เหรอเเล้วจะช่วยยังไงฟะ?

          "ช่วยหยิบกิ่งไม้นั่นขึ้นมาหน่อยสิขอรับ"

          ผมหยิบกิ่งไม้ที่อยู่ข้างๆมาตามที่เจ้ากระต่ายขาวบอก เจ้ากระต่ายกระโดดเข้ามาใช้มือเล็กๆของมันดึงกิ่งไม้ที่ผมถืออยู่ขึ้นมาจรดบนพื้นแล้วเขียนตัวอักษรยึกยือใส่ลงไปบนพื้น อ๋อ... ใช้วิธีเขียนสื่อสารนี่เอง สำหรับอัศวินข้างหน้าที่มองไม่เห็นบักกี้จะมองเห็นเเค่ผมกำลังใช้กิ่งไม้เขียนตัวอักษร แต่จริงๆแล้วผู้ที่เขียนจริงๆคือเจ้ากระต่ายที่จับปลายของกิ่งไม้อยู่ต่างหาก

          "ผมเขียนไปว่า 'ขอบคุณ'  นะขอรับ"สักพักเจ้ากระต่ายก็เขียนเสร็จเเล้วเงยหน้าขึ้นมาพูดกับผม

          ขอบคุณเหรอ...ก็สมเหตุสมผลดี

          ผมเงยหน้ามองอัศวินท่านนั้นอัศวินจ้องตอบด้วยเเววตาสงสัยและพูดภาษาของเขาขึ้นมาอีกประโยค เเน่นอนว่าผมไม่เข้าใจอีกนั่นเเหละเเต่เเล้วเจ้ากระต่ายขาวก็รู้หน้าที่ดึงปลายกิ่งไม้ที่ผมถืออยู่ขึ้นมาตวัดตัวอักษรลงไปอีกครั้ง เมื่อเขียนเสร็จอัศวินท่านนั้นก็ทำหน้าตกใจนิดหน่อย เเละเเล้วบักกี้ก็หันมาพูดกับผมพร้อมคำเฉลยว่าชายคนนั้นพูดอะไร

           "เขาถามว่า 'ทำไมถึงต้องเขียน เจ้าพูดไม่ได้หรือ' กระผมเลยเขียนตอบไปว่า 'ใช่ ผมเป็นใบ้' "

           หา!!! เอาจริงดิ!!??

            ผมหันไปทางกระต่ายด้วยสายตรมุ่งร้าย จะด่าก็ไม่ได้ก็ผมพึ่ง 'เป็นใบ้' ไปนี่นา

          "ก็ดีเเล้วนี่ขอรับ ท่านยังไม่รู้ภาษาของที่นี่ ต่อให้ท่านเป็นใบ้จริงหรือไม่ก็ไม่ได้ต่างกันเลย แถมถ้าท่านเป็นใบ้ไปซะคนอื่นจะได้ไม่สงสัยที่ท่านพูดไม่รู้เรื่อง"     

          .... ใบ้ก็ใบ้ฟะ เอาซักตั้งก็แล้วกัน

          ผมถอนหายใจอย่างปลงๆ แล้วมองไปที่อัศวินหัวดำที่ไม่รู้จะปล่อยผมไปได้รึยัง รึผมจะวิ่งหนีไปเลยดี??  ผมเห็นเขาไม่พูดอะไรแล้วเลยลองก้าวเท้าถอยกลับเตรียมจะวิ่ง เเต่คำพูดอีกประโยคนึงของอัศวินทำให้ผมต้องหยุดไว้ก่อน   

          "เขาถามว่าคุณชื่ออะไรขอรับ"เจ้ากระต่ายเเปลให้เเล้วดึงปลายไม้ที่ผมถืออยู่ไปเขียนความอีกครั้งอย่างรู้หน้าที่ อัศวินอ่านมันเเล้วหันมาพูดกับผม

          "เอริค?"

          โอ้....คำเดียวที่ผมฟังหมอนี่รู้เรื่องเลยนะเนี่ย เมื่อเขาเรียกชื่อผม ผมเลยพยักหน้าให้ และอัศวินก็พูดกับผมอีกประโยคนึง

          "เขาบอกว่าเขาชื่อไมโครขอรับ"ล่ามกระต่ายทำหน้าที่อย่างว่องไว ผมพยักหน้าให้กับชื่อของเขา อยากเรียกชื่อหมอนี่ซักครั้งจัง แต่ผมดันเป็นใบ้ซะได้

           อัศวินท่านนั้นยิ้มให้ผมเเล้วเดินเข้ามาหา ผมยอมรับเลยนะ ตอนเขายิ้มนี่หล่อจริงๆ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ดูหน้าเขาไกล้ขึ้นอีก ผมก็โดนถีบให้ล้มลงเเนบพื้นอย่างเเรงหน้าของผมจิ้มลงกับเลือดเเมงมุมยักษ์เจ้ากรรมอีกครั้งจากที่เปื้อนไม่มีดเหลืออยู่เเล้วกลับต้องเลอะกว่าเดิมอีก

          ให้ตายเหอะ!! ใครฟะ!!

          ผมหันขวับไปด้านหลังแล้วพยายามลุกขึ้นไปดูหน้าไอ้เจ้านั่นซะหน่อย แต่ผมหันหน้าไปได้ครึ่งทางก็เจอกับดาบอันเบ้อเริ่มจ่ออยู่กับลูกกะตาผมนี่เอง และเจ้าของดาบนั่นคืออัศวินชุดดำอีกคนที่ทำหน้าโหดเหี้ยมเหมือนจะเอาผมไปลงกระทะทองเเดงยังไงยังงั้น เเต่ยังไม่หมดเเค่นั้นยังมีอัศวินชุดดำคนอื่นๆอีกเป็นโหลวิ่งเข้ามาจากมุมต่างๆของป่า อัศวินเหล่านั้นเมื่อวิ่งมาถึงก็คุกเข่าล้อมกันเป็นเเถวรอบไมโคร เเถมยังพากันพูดโน่นนี่ใส่ไมโครจนผมที่ไม่เป็นผู้เกี่ยวข้องหนวกหู

          "โอ๊ะโอ่ ดูเหมือนท่านจะยุ่งกับคนใหญ่คนโตซะเเล้วสิขอรับ"เสียงของบักกี้ดังขึ้นข้างหน้าผมนี่เอง ผมเห็นมันทำหน้าเหวอๆอยู่

          "ถึงว่าสัญลักษณ์บนชุดถึงได้คุ้นตานัก ที่เเท้ก็ท่านไมโคราคัสนี่เอง"เจ้ากระต่ายพูดพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะหันมามองผม "อัศวินท่านนี้จริงๆเเล้วเป็นโอรสองค์ที่สามของอาณาจักรที่ชื่อว่า 'เอริคาซี' ขอรับ"

          ฮะ...โอรสองค์ที่สาม!!! งั้นก็เป็นเจ้าชายอ่ะดิ!!

          "อัก!!"

          ทันทีที่ผมโงหัวขึ้นมาด้วยความตะลึงพรึงเพริดก็โดนอัศวินเจ้ากรรมที่ถีบผมลงมาเตะยอดหน้าด้วยรองเท้าเหล็กของเขา ให้ตายเหอะเจ็บชะมัด!! แต่สวรรค์คงสงสารผมหลังจากโดนเคราะห์ซํ้ากรรมซัดมาหลายรอบเเละเเล้วก็มีคนเห็นใจ ไมโครเดินเข้ามาตะโกนใส่หน้าอัศวินที่พึ่งเตะผมเมื่อกี้ผมดูจากนํ้าเสียงของไมโครเเล้วน่าจะเป็นด่ามากกว่าบอกให้เตะซํ้าอีกครั้ง งั้นก็ด่าไปเลยครับไมโคร!! ไอ้นี่มันเตะหน้าผมเเนะ เจ็บชิบเป๋งเลย!!

          หลังจากโดนองค์ชายตะคอกใส่อัศวินจึงต้องยอมเดินออกไปห่างๆผม พร้อมกับดาบที่จ่อหน้าผมด้วย ไมโครเดินเข้ามาหาผมเเล้วยื่นมือมาให้เหมือนจะช่วยพยุงให้ลุกขึ้น ผมยื่นมือออกไปหาเขาบ้างแต่ก็ต้องหยุดกลางคัน ก็ดูมือผมสิยังเหนียวหนืดเพราะเปื้อนเลือดเเมงมุมอยู่ ถ้าจับมือไมโครที่ใส่เกราะเงินวาววับอยู่ก็ต้องเปื้อนสิ น่าเสียดายออก คิดได้ดังนั้นผมเลยชักมือกลับมาพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นแล้วก็ยืนอย่างมั่นคง แต่จังหวะนั้นผมก็เเทบอยากล้มไปอีกครั้งเมื่อเห็นสายตาของเหล่าอัศวินที่มองผมด้วยจิตสังหารอันรุนเเรง

          ทำไม!! ฉันช่วยให้พวกนายไม่ต้องมานั่งขัดเกราะของหมอนี่นะ ไม่ได้ตั้งใจจะปฏิเสธนํ้าใจซะหน่อย!!

          ผมเอามือไปปัดๆชุดที่เปื้อน แต่... ไม่ต้องปัดก็ได้มั้งเปื้อนขนาดนี้เกินเยียวยาเเล้วล่ะ ผมเลยเปลี่ยนไปค้อมหลังให้ไมโครเเทน ยังไงซะเขาก็เป็นถึงเจ้าชายถ้าไม่ค้อมหลังให้ซักหน่อยคงจะผิดธรรมเนียม ผมค้อมหลังให้ซักพักแต่พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นไมโครที่ทำสีหน้าเจ็บปวดมือของเขาที่ยื่นมาให้ผมข้างนั้นกำแน่นแถมยังสั่นน้อยๆอีกด้วย

         ผมทำอะไรผิดรึเปล่าเนี่ย?? รึนี่ไม่ใช่ธรรมเนียมของที่นี่ แต่อัศวินพวกนั้นก็ทำนี่นา...

          ผมมองไปทางกระต่ายขาวที่ยืนอยู่ข้างๆ บักกี้จ้องผมตอบแล้วส่งสายตาเป็นเครื่องหมายคำถามมาให้ ก็ปกตินี่นา อัศวินคนอื่นก็ไม่เห็นว่าอะไร งั้น.... ผมไปได้เเล้วใช่ไหม ผมถอยหลังไปสองสามก้าวเมื่อไม่เห็นมีใครว่าอะไรผมเลยเดินออกไปตามด้วยเจ้ากระต่ายขาว จนผมเดินออกไปไกลเเล้วก็ได้ยินเสียงของไมโครตะโกนเข้ามา และเมื่อผมหันกลับไปตามเสียงนั้นด้วยความสงสัย แต่ไม่ทันที่จะได้รู้ว่าเขาพูดอะไรก็โดนอัศวินท่านหนึ่งตะครุบจนหน้าคว่ำดินเข้าให้ซะก่อน

           มันจะอะไรกันนักกันหนาฟะ ปล่อยฉันไปเถอะ!!!

         


         

           ผมโดนอัศวินที่เตะผมลากมาด้วยโดยมีอัศวินสองคนขนาบข้างไม่ให้หนี  ตอนนี้ไมโครอยู่ข้างหน้านี่เอง แต่ไม่ยอมพูดยอมจาแถมยังแผ่รังสีน่ากลัวอีกต่างหาก ทำให้อัศวินทั้งขบวนเลยต้องหุบปากไปด้วย

          "ท่านไมโคราคัสออกจะเป็นคนดีนะขอรับ เขาไม่น่าจะทำร้ายคนที่ไม่รู้เรื่องหรอก " บักกี้พูดขึ้นเมื่อเห็นผมทำหน้าจะประสาท ผมควรจะดีใจใช่ไหมที่มีคนที่พูดรู้เรื่องอยู่ข้างๆ รึควรจะเสียใจดีที่คน(มัน)คนนั้นเป็นผี

          โดนลากข้ามป่าข้ามดงอยู่ซักพักผมก็โดนลากมาหยุดอยู่ที่ม้าตัวหนึ่ง...เอ่อ จริงๆแล้วก็เป็นฝูงเลยน่าจะเป็นของอัศวินพวกนี้ แต่ที่อยู่ข้างหน้าผมเป็นม้าสีดำตัวเดียวเเละเจ้าอัศวินโฉดที่เตะผมก็บังคับให้ผมขึ้นม้า ผมทำตามคำขอเพราะไม่อยากโดนเตะอีกและอัศวินคนนั้นก็ขึ้นคร่อมม้าขึ้นมาตามผม ผมล่ะสงสารเจ้าม้าสีนิลตัวนี้จริงๆมันเเทบทรุดเมื่อเจ้าอัศวินโฉดนี่ขึ้นบนหลังเล็กๆของมัน

           และเเล้วขบวนอัศวินก็ควบม้าไปพร้อมกับเจ้าชายเเละมนุษย์ตัวดำที่ไม่ค่อยจะรู้เรื่องอะไรหนึ่งคน อ้อ...เเล้วก็เจ้ากระต่ายขาวที่กลัวยานพาหนะด้วย....

     



     

         

         จากการขี่ม้าอันเนิ่นนานจนตอนนี้เป็นเวลาโพล้เพล้ท้องฟ้าเป็นสีส้มใสดูสวยเเละเเปลกตาแบบที่ผมไม่เคยพบในโลกของตัวเองมาก่อน ผมรู้สึกได้ถึงความเร็วของม้าที่ชะลอลงจนเป็นวิ่งเหยาะๆเมื่อมาถึงประตูหินบานใหญ่ที่สลักลายสวยงามประณีต ม้าหยุดลงเพื่อรอให้ประตูเปิดรับองค์ชายกลับเข้าเมือง ผมมองประตูที่ค่อยๆเปิดอย่างลุ้นๆ และพอมันเปิดเต็มเหยียดผมก็ต้องอ้าปากค้างด้วยความตะลึง

          อย่างกับเมืองในโลกแฟนตาซีแนะ... สวยชะมัดยาด พวกเขาสร้างของเเบบนี้ได้ยังไงกันนะ

          พื้นถนนที่ทำด้วยหินสีขาวทอดยาวไปจนสุดทางถึงวังหลวงที่สีเงินยวงที่กำลังสะท้อนท้องฟ้าสีส้มยามเย็น บ้านเรือนที่เรียงกันอย่างเป็นระเบียบแต่งเเต้มด้วยโทนสีออ่นๆดูสบายตา หมู่ดอกไม้มากมายที่ขึ้นประปรายอยู่ตามเส้นทางยังเบ่งบานเเม้จะเป็นตอนใกล้คํ่าเเล้วก็ตาม ผู้คนมากมายต่างเเต่งชุดที่สะอ้านสะอ้านไม่เปื้อนมอมเเมมกำลังยิ้มรับองค์ชายที่ควบม้าเข้ามา

          โห….บ้านเมืองสวยงาม ประชาชนมีความสุข... ราชาของที่นี่ต้องเป็นผู้นำที่ดีเเน่

          "สวยใช่ไหมล่ะขอรับ"กระต่ายขาวถาม เมื่อม้าเปลี่ยนจากวิ่งเร็วๆเป็นค่อยๆเดิน มันจึงทำใจยอมรับยานพาหนะชิ้นนี้ได้

          "อืม"ผมตอบรับสั้นๆ

         "ที่นี่คือ 'เอริคาซี อาณาจักรเเห่งความสวยงามอันเป็นนิรันด์' ขอรับ"

         โห...ชื่อเท่ใช่เล่นนี่

          "ส่วนนี้เป็นเเค่เมืองหลวงของเอริคาซีเท่านั้น ยังมีเมืองอื่นๆในอาณาจักรนี้อีกที่สวยไม่เเพ้กันเลยนะขอรับ"เจ้ากระต่ายพูดอวด ผมที่'เป็นใบ้'อยู่ต้องยอมเก็บคำถามเเละความอยากรู้อยากเห็นไว้ในใจ แลัวเปลี่ยนไปมองโน่นนี่ข้างทางเเทน ไม่รู้ว่านานเท่าไรเเต่ผมก็มาถึงวังหลวงจนได้ มองดูจากไกลๆผมว่าสวยเเล้วเเต่พอมองไกล้ๆนี่สวยยิ่งกว่าซะอีก 

          ผมลงจากม้าเมื่อถูกเจ้าอัศวินโฉดกระชากให้ลงมา ผมชักสงสัยเเล้วสิว่าชาติที่เเล้วไปทำอะไรให้ไอ้หมอนี่ถึงได้โมโหกันขนาดนี้นะ ระหว่างที่ผมกำลังมองอัศวินโฉดด้วยสายตาสาบเเช่ง ไมโครก็เดินเข้าพูดกับผม

          "เขาบอกว่าให้ตามมา ขอรับ"

          เมื่อได้ยินล่ามแปลให้ผมก็พยักหน้า แหม ไม่พยักหน้ารับได้ไงก็ดูเจ้าสายตาอาฆาตของเจ้าอัศวินพวกนี้สิ ประมาณว่าถ้าผมกล้าขัดท่านไมโคราคอสท่านนี้เเล้วจะจับไปย่างยังไงยังงั้น

           ผมตามไมโครเข้ามาจนถึงในวัง แต่รู้สึกไม่อยากเหยียบไอ้พื้นมันวาวนี่เลยเเฮะ สภาพผมตอนนี้คำว่า 'โสโครก'คงอธิบายได้ไม่หมด อ๊ะ...ดูเหมือนผมจะไม่ได้ใส่รองเท้าด้วยเเฮะ ก็ร่วงมาที่นี่ตอนอยู่ในบ้านนี่นา... ผมจำใจเหยียบพื้นวัง ก็ช่วยไม่ได้ไมโครเดินไปไกลเเล้วเเนะเดี๋ยวก็ตามไม่ทันซะหรอก

          ผมวิ่งเหยาะๆตามองค์ชายไปโดยมีสาวใช้ในวังมองมาด้วยสายตาจิกกัด เเน่ล่ะก็รอยเท้าผมประทับพื้นวังเป็นทางเลยนี่นา ถ้าผมไม่ตามองค์ชายเข้ามาคงโดนสาวใช้พวกนั้นรุมเอาไม้ถูพื้นฟาดเเน่ๆ

          เดินมาเรื่อยๆผมก็ชมความสวยงามของวังไปด้วย ข้างในนี้เป็นสีขาวขุ่นเเทบทั้งหมด บันไดวนทอดยาวขึ้นไปถึงชั้นบนสุดมีพรมเเดงปูตลอดทาง ซึ่ง...ผมกำลังทำให้มันกลายเป็นพรมเช็ดเท้าอยู่ ตลอดทางมีคนมองผมมาตลอด ดูอย่างสาวใช้คนนั้นสิค้อมหัวรับองค์ชายอยู่ดีๆ แต่เเล้วก็ต้องสะดุดกึกเมื่อมาเจอเงาะป่า(?)ที่เดินตามมาด้วย  จากบันไดวนเปลี่ยนมาเป็นทางเดินเรียบๆระหว่างทางไมโครหยุดเรียกสาวใช้คนนึงเเล้วเขาก็ชี้มาทางผม สาวใช้มองมาทางผมด้วยใบหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกแล้วเธอก็เดินออกไปตามด้วยไมโครที่เดินไปอีกทางผมทำท่าจะเดินตามไมโครไปแต่กระต่ายขาวก็บอกให้หยุดซะก่อน

          "เดี๋ยวก่อนขอรับ เขาบอกให้คุณไปอาบนํ้าน่ะ"เมื่อบักกี้พูดจบสาวใช้คนเมื่อกี้ก็เดินออกมาพร้อมด้วยผ้าเช็ดตัวเเละชุดเปลี่ยน เธอยื่นให้ด้วยใบหน้าสะอิดสะเอียนเต็มทน แล้วผายมือไปทางประตูบานหนึ่งที่อยู่ข้างหน้าผมนี่เอง น่าจะเป็นห้องนํ้าสินะ ผมเดินเข้าไปในห้องนั้นตามคำเชิญของสาวใช้

          "เฮ้อ...ฉันพูดได้เเล้วใช่ไหม"

          ผมถอนหายใจออกมาเหมือนได้สูดอากาศบริสุทธิ์ ตอนนี้ผมอยู่ในห้องนํ้าที่ใหญ่กว่าห้องนอนผมซะอีกอ่างนํ้าเป็นวงกลมอยู่ตรงกลางนั้นโรยด้วยกลีบกุหลาบและกลิ่นหอมออ่นๆ ผมวางเสื้อผ้าลงเตรียมเปลี่ยนชุด แต่พอมองไปทางกระต่ายที่ยังยืนหัวโด่อยู่ทำให้ผมไม่กล้าถอดเสื้อ   

         "เอ่อ... ขอโทษนะ เเต่ช่วยหันหลังไปได้ไหม" ต่อให้เป็นตัวผู้ก็เถอะ... แต่อย่ามาจ่องกันเส่!!!

         "โอ๊ะ ขออภัยขอรับ" เจ้ากระต่ายกระโดดกลับหัวไปมองผนัง ผมจึงถอดเสื้อผ้าได้อย่างสบายใจ แล้วก็ลงไปแช่ในอ่างนํ้าใสๆที่... มีสีดำแผ่ขยายมาจากตัวผม

         "ให้ตายเหอะ เลือดไอ้ตัวนั้นมันจะเข้มไปไหนเนี่ย"ผมบ่นออกมาพลางมองหมึกสีดำที่แผ่ขยายไปทั่วอ่างอาบน้ำ

         "เเล้วจากนี้จะทำยังไงต่อล่ะขอรับ"

         "ก็ต้องหาทางกลับไปบ้านน่ะสิ ถึงฉันจะอยากมาที่นี่ เเต่เมทริซยังอยู่นี่นา ทิ้งเธอไว้คนเดียวไม่ได้หรอก ว่าเเต่...ถ้าฉันกลับไปบ้านจะกลับไปโลกของฉัน เวลามันจะยังเท่าเดิมรึเปล่า" แบบว่ากลับไปเป็นเด็กเหมือนในนาเนียอ่ะ

         "ไม่ขอรับ หนึ่งวันของที่นี่เท่ากับหนึ่งวันของที่นั่น แต่ไม่ต้องห่วงไปหรอกขอรับ ถ้ากระผมมีพลังเวทย์พอซะอย่าง จะย้อนเวลาให้ท่านไปอยู่กับน้องสาวเหมือนเวลาเดิมที่ยังไม่มาที่นี่ก็ได้"

         "งั้นตอนนี้ก็ต้องช่วยนายก่อนสินะ ถึงจะกลับไปได้ นายล่ะมีแผนรึเปล่า"

         "คิกๆๆ มีเเน่อยู่เเล้วขอรับ แต่ก่อนอื่น ... กระผมขอถามอะไรซักอย่าง สัญญาได้ไหมขอรับว่าจะตอบความจริง" ผมมองเจ้ากระต่ายที่หันหลังอยู่ ถึงจะไม่เห็นหน้าเเต่ดูขากนํ้าเสียงของเขาเเล้วน่าจะเอาจริง

          "อืม ว่ามาสิ"

          "คนในครอบครัวของท่าน... มีใครเป็นคนของโลกนี้รึเปล่าขอรับ??"

          คำถามของบักกี้ทำผมอึ้งไปครู่นึง และสมองเริ่มหมุนติ้ว

          "นายหมายความว่ายังไง"

          "ตอนแรกกระผมก็ไม่ค่อยเเน่ใจ... แต่พอเห็นท่านใช้เวทย์มนต์ได้อย่างไม่ติดขัดกระผมก็มั่นใจมากขึ้น ท่านเอริคขอรับ...ไม่มีมนุษย์คนไหนในโลกของคุณใช้เวทย์มนต์ได้หรอกขอรับ นอกซะจากมีสายเลือดของคนในโลกนี้"

          ผมยิ่งฟังกระต่ายพูดก็ยิ่งตกใจ ผมว่าเขาไม่มีอารมณ์มาล้อเล่นทั้งที่ยังใช้นํ้าเสียงเเบบนี้เเน่ ถ้านี่เป็นเรื่องจริง หรือว่า...

         "ฉันไม่รู้... อาจจะเป็นพ่อก็ได้" แน่นอนว่าเขาคือบุคคลที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด เพราะพอพ่อมา ผมก็โดนดีดมาอยู่นี่ แต่... ทำไม เเละก็เพราะอะไรกัน หรือไม่เเน่เมทริซอาจจะรู้เรื่องนี้ด้วย?? ไม่ๆๆ เลิกคิดได้เเล้วน่า เฮ้อ.... ผมสะบัดหัวไล่ความคิดที่กำลังฟุ้งซ่านออก อย่างไงซะมันก็ยังเป็นเเค่ 'มีโอกาสเป็นไปได้' เท่านั้น

          "แต่ฉันก็มีคำถามอยากจะภามนายเหมือนกันนะ"ผมเปลี่ยนไปถามเจ้ากระต่ายบ้างระหว่างที่แช่อยู่ในนํ้า "ทำไมนายถึงพูดภาษาของโลกฉันได้ล่ะ??"  ตอนแรกผมก็คิดว่าอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้ที่กระต่ายจากต่างมิติพูดภาษาเดียวกันกับผมแต่พอมาถึงที่นี่จริงๆ ผมก็เริ่มสงสัยในตัวของเขา

          "อ๋อ เรื่องนี้นี่เองจริงๆแล้วกระผมเคยออกมาเที่ยวอยู่มิติของท่านเมื่อหลายปีก่อนน่ะขอรับ กระผมชอบโลกของท่านนะขอรับเลยขออยู่ยาวพร้อมเรียนภาษาไปด้วยเลย"

          …นายไปเรียนมาจากที่ไหนฟะ ถึงได้มีคำว่า 'ขอรับ'กับ'กระผม'อยู่ด้วย??

          "แล้วกระผมก็อยากแนะนำให้ท่านเรียนภาษาของที่นี่ด้วย กระผมคิดว่าจำเป็นต้องใช้แน่ๆ"

          "จะพยายามแล้วกัน"

          หลังจากคำแนะนำของกระต่ายผมก็ลุกขึ้นมาจากอ่างอาบน้ำแล้วเช็ดตัวให้เรียบร้อย ผมเอาชุดที่สาวใช้ให้มาขึ้นมาดูมันเป็นชุดลำลองหลวมๆสีขาวสะอาด แต่เสื้อผ้าของที่นี่ก็ไม่ได้แตกต่างจากโลกของผมเท่าไรมีกางเกงมีเสื้อ อืม แบบนี้ค่อยดีหน่อย และผมก็หยิบกางเกงขึ้นมาสวม

          ก๊อกๆๆ

          "เอริค"

         ระหว่าที่ผมกำลังหยิบเสื้อขึ้นมาสวมต่อจากกางเกงเสียงของไมโครก็ดังอยู่หลังประตูผมหันไปมองบานประตูซึ่งดูเหมือนจะลืมอะไรบางอย่างไป

          อย่าเข้ามานะเว้ย !!!! ผมไม่ได้ล็อกประตู !!!!

           ตะโกนในใจไปก็เท่านั้น เพราะไอ้องค์ชายหัวดำนี่เปิดเข้ามาแล้ว…. ผมควรจะดีใจรึเปล่าที่ใส่กางเกงทันแต่ท่อนบนของผมตอนนี้เปลือยล่อนจ้อน และยิ่งกว่านั้นสาวใช้ที่เดินตามไมโครมาด้วย คนที่เคยมองผมด้วยสายตาทิ่มแทงนักหนาตอนนี้กลายมาเป็นหวานละลายซะทันตาเห็น แต่โดนสาวมองมาแบบนี้ผมไม่ว่าหรอก แต่ไอ้เจ้าชายน่ะ แกจะตะลึงทำไมฟะ!!! เพศเดียวกันนะเว้ย!!!



    ----------------------------------------------------------------------------------------------------------

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×