ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [GOT7] LES VACANCES. #BNIOR #JACKJAE #YUGMARK #MARKBAM

    ลำดับตอนที่ #9 : 0 8 | il y a bien longtemps. [2]

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.33K
      9
      6 พ.ค. 58




    08 | il y a bien longtemps. [2]

     

     

    วันนี้เป็นวันเปิดภาคเรียนวันแรกของทางมหาวิทยาลัย สองขาเรียวรีบวิ่งไปยังโรงจอดจักรยานหลังหอพัก ก่อนจะปั่นด้วยความเร็วที่ไม่มากนักเพราะยังมีเวลาเหลือเฟือสำหรับการรับน้องในวันแรก พอให้มีเวลาชื่นชมถนนหนทาง

    ดวงตาเล็กเรียวเก็บเกี่ยวบรรยากาศรอบๆตัว ตั้งแต่หอพักมาจนถึงด้านในมหาวิทยาลัย ตอนนี้เป็นเวลาเจ็ดโมงครึ่ง นักศึกษาภายในมหาวิทยาลัยจึงมีอยู่ไม่มากนัก แต่ก็ไม่ได้น้อยจนเกินไป และดูเหมือนว่าวันนี้คงจะคึกคักเป็นพิเศษ เพราะบรรดารุ่นพี่ของหลายๆคณะที่ยืนกระจายกันเป็นกลุ่มๆพร้อมด้วยอุปกรณ์สันทนาการมากมาย ซึ่งไม่ต้องบอกก็คงจะรู้ดีว่า กำลังจะมีการรับน้องเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า

    ร่างเล็กรีบปั่นจักรยานเพื่อมุ่งตรงไปยังอาคารเรียนของคณะตน แต่ก็ต้องชะงักเมื่อมาหยุดอยู่ที่ทางแยกตรงหน้าที่ไม่มีป้ายบอกทางใดๆ

     

    แล้วจะไปถูกมั้ยเล่า !

     

    คนปั่นจักรยานได้แต่คิดอยู่ในใจ ก่อนจะเลือกสุ่มไปทางขวามือที่ไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่นัก ถนนหนทางที่ค่อนข้างโล่งทำให้เขาไม่ต้องคอยขับหลบผู้คนที่เดินอยู่บนถนนหรือหลบจักรยานคันอื่น

     

    แกร่ก !

     

    อะไรเนี่ย เฮ้ย !”

     

    เจ้าของจักรยานถึงกับร้องเสียงหลงเมื่อได้ยินเสียงแปลกๆ ตามมาด้วยจักรยานที่เริ่มเสียสมดุลเพราะไม่สามารถปั่นไปข้างหน้าได้ ร่างเล็กจึงรีบหักหลบจักรยานเข้าข้างทาง ก่อนจะเดินลงมาเช็คสภาพและพบว่าที่มาของเสียงแปลกๆคือโซ่ของจักรยานที่หลุดออกมา

     

    แย่แล้วไงเช้าขนาดนี้ร้านซ่อมจักรยานยังไม่เปิดแน่ๆ

     

    ช่วยไม่ได้ ค่อยเอาไปให้ร้านซ่อมหลังเลิกเรียนก็แล้วกัน

     

    เขาทำได้แค่ถอนหายใจอย่างเซ็งๆ แล้วจึงตัดสินใจเข็นจักรยานเดินต่อเพื่อไปยังอาคารเรียน โชคดีที่เขาเผื่อเวลาเอาไว้เยอะ ทำให้ไม่ต้องมากังวลว่าจะไปทำกิจกรรมรับน้องไม่ทัน

    แต่ที่น่าหงุดหงิดใจก็คงจะไม่พ้นสภาพอากาศที่เริ่มร้อนขึ้นทุกขณะ อีกทั้งตอนนี้เป็นเวลาเกือบแปดโมง แสงแดดยามเช้าที่อ่อนในตอนแรกก็เริ่มทวีความร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ มือบางต้องคอยหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับหยาดเหงื่อที่ไหลท่วมใบหน้าและเรือนผมเป็นระยะๆ

    เจ้าของจักรยานที่เดินเข็นจักรยานคู่ใจบ่นกระปอดกระแปดตลอดทาง ยิ่งเวลาผ่านไป นักศึกษาที่เริ่มเข้ามาในมหาวิทยาลัยก็เริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ แต่แล้วเขาก็ต้องรู้สึกแปลกใจ เมื่อก้มมองนาฬิกาข้อมือและพบว่า เขาใช้เวลาเดินมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่กลับไม่มีวี่แววว่าจะเดินไปถึงอาคารเรียนเสียที

     

    คงไม่ใช่ว่า

     

    มิชินกอ อานียา~

     

    หืม ?

     

    โอนึลบัม มิจีรยอ บุทซับซอ นัน นมทึลรียา

     

    มิชิน ซารัมทึล (Crazy!) Go Crazy! (Go Crazy!)

     

     

    โอเค เขาคิดว่าเขาไม่ได้หูฝาด

     

    เสียงแหบๆที่ร้องเพลงอยู่ไม่ไกลจากเขามากนักเรียกความสนใจให้เขา รวมไปถึงทุกคนในบริเวณนั้นหันไปมองได้เป็นอย่างดี

    ชายหนุ่มร่างสันทัดสวมสแน็ปแบ็คสีดำ ที่ความสูงออกจะไปทางความสูงมาตรฐานของผู้ชายทั่วไปกำลังเดินร้องเพลงในขณะที่เสียบหูฟัง ซึ่งนั่นอาจจะทำให้เจ้าตัวไม่รู้ว่าเสียงที่กำลังร้องอยู่นั้นมันไม่ใช่การฮัมเพลงในลำคอหรือร้องเบาๆ แต่ความดังของเพลงที่ร้องมันมากพอที่จะทำให้ทุกคนหันไปมอง อีกทั้งยังยืนเต้นด้วยท่าทางแปลกๆกลางถนนอยู่คนเดียวอีกด้วย

     

    เป็นบ้าแน่ๆ

     

    นั่นคือความคิดแรกที่แล่นเข้าในหัวของร่างเล็ก แต่ตอนนี้เวลาของเขามีไม่มากพอที่จะมาสนใจอะไรอีก เขาจึงรีบเดินเข็นจักรยานไปข้างหน้าต่อ

     

    เฮ้ นายน่ะ !”

     

    เสียงเรียกจากด้านหลังไม่ได้ทำให้เขารู้ตัวแม้แต่น้อย หากแต่มือที่แตะลงมาที่ไหล่ทำให้เขารับรู้ว่า เขากำลังถูกใครคนหนึ่งเรียก และเมื่อหันไป ก็ทำให้ร่างเล็กต้องอ้าปากค้าง เพราะคนที่สะกิดเขากลับเป็นผู้ชายคนที่เขาเพิ่งนินทาไปในใจเมื่อครู่นี้

     

    ถ้านึกไม่ออก ก็คนที่ยืนร้องเพลงแล้วเต้นท่าบิดมอเตอร์ไซค์อยู่กลางถนนเมื่อครู่นี้นั่นล่ะ

     

    ครับ ?ร่างบางเจ้าของจักรยานทำหน้างุนงงแต่ก็ยังตอบรับ

    จักรยานโซ่หลุดเหรอ ?ชายหนุ่มที่ตัวเตี้ยกว่าเล็กน้อยถามพร้อมชี้ไปที่จักรยานที่อีกคนกำลังเข็นอยู่

     

    ถ้าโซ่ไม่หลุดจะมาเดินเข็นให้เมื่อยมั้ยล่ะ

     

    ครับแน่นอนว่าเขาเลือกที่จะตอบสิ่งที่ไม่ตรงกับที่ใจคิดออกไป

    ขอดูหน่อยดิ เดี๋ยวซ่อมให้

    หา ? ยังไม่ทันที่ร่างเล็กจะพูดอะไรต่อ เขาก็ถูกผู้ชายแปลกหน้าที่หน้าตาแปลกๆแต่ดูดีเดินแทรกเข้าไปนั่งก้มมองบริเวณที่ยึดโซ่จักรยาน

    ฝากกระเป๋าหน่อยและคนที่อาสาซ่อมจักรยานให้เขาก็โยนกระเป๋าเป้เข้ามาในมือของเจ้าของจักรยานเสียดื้อๆ

    เดี๋ยวสิคุณ ผมยังไม่ได้บอกเลยว่าจะให้คุณซ่อมให้นะ

    สบายใจได้ ฉันไม่ได้คิดค่าซ่อมหรอก อากาศร้อนๆแบบนี้จะเดินเข็นจักรยานไปถึงคณะตัวเองเลยรึไง

     

    ตอบเพียงแค่นั้น ชายแปลกหน้าที่สวมสแน็ปแบ็คก็ลงมือจัดการกับโซ่จักรยาน คราบน้ำมันสีดำที่อยู่บนโซ่เลอะเทอะเต็มฝ่ามือหนาทั้งสองข้าง และอีกไม่กี่นาทีต่อมา จักรยานของเขาจึงกลับมาใช้งานได้ดังเดิม

     

    ใช้ได้ละ คราวหน้าปั่นระวังๆหน่อยก็แล้วกัน

    ขอโทษที่ทำให้คุณเสียเวลานะครับใบหน้าหวานแสดงสีหน้ารู้สึกผิดนิดๆเมื่อเห็นว่าคนที่อาสาซ่อมจักรยานให้เขาใบหน้าท่วมไปด้วยเหงื่อ อีกทั้งมือที่เลอะไปด้วยคราบสีดำ ร่างบางจึงรีบส่งกระดาษทิชชู่ให้

    ไม่เป็นไรหรอกน่า~ หน้าตาแบบนี้อยู่ปีหนึ่งล่ะสิ

    ใช่ครับ ผมอยู่ปีหนึ่ง

    ถ้างั้นฉันก็เป็นรุ่นพี่ของนายหนึ่งปี ฉันอยู่ปีสอง แล้วนายเรียนคณะอะไรล่ะ ?

    มนุษย์ศาสตร์ครับ

    “Really !?! ฉันก็อยู่คณะนี้นะ แต่อยู่ภาคอินเตอร์ Oh my god !” ชายแปลกหน้าอุทานออกมาเป็นภาษาอังกฤษ อีกทั้งสำเนียงการพูดภาษาเกาหลีที่ยังดูแปลกๆ ทำให้เขาเดาว่า ผู้ชายคนนี้น่าจะไม่ใช่คนเกาหลี

    ก็ครับ ถ้ายังไงผมขอตัวนะครับ ใกล้จะได้เวลารับน้องแล้ว ขอบคุณที่ช่วยซ่อมจักรยานนะครับยอมรับเลยว่าเขาไม่ค่อยอยากเสวนากับผู้ชายแปลกๆคนนี้เท่าไหร่นัก ยิ่งถ้าไม่ใช่คนเกาหลี เขายิ่งไม่ค่อยอยากจะคุยด้วยเท่าไหร่ เพราะถึงแม้ว่าเขาจะเรียนอยู่คณะนี้ แต่ก็ใช่ว่าภาษาอังกฤษของเขาจะแข็งแรงเสียเมื่อไหร่

    เดี๋ยวสิร่างบางรีบปั่นจักรยานออกไป แต่ก็ถูกชายหนุ่มแปลกหน้าที่เพิ่งซ่อมจักรยานให้เขาหมาดๆตะโกนเรียก ซึ่งเขาก็ทำทีเป็นไม่ได้ยิน

     

    เขายังคงปั่นจักรยานต่อไป แต่ก็ยังช้ากว่ารุ่นพี่คนนั้นที่วิ่งไล่ตามจักรยานของเขามาติดๆ และร่างเล็กก็เกือบเบรกจักรยานแทบไม่ทัน เมื่อจู่ๆรุ่นพี่แปลกหน้าคนดังกล่าววิ่งแซงจักรยานขึ้นมาแล้วกระโดดตัดหน้ารถจักรยานของเขา

     

    เอี๊ยด !!

     

    ทำบ้าอะไรของคุณเนี่ย !!” เจ้าของจักรยานตะโกนใส่คนที่เพิ่งทำการกระทำห่ามๆไปเมื่อครู่ ใบหน้าหวานชักสีหน้าเล็กน้อย

    แฮ่กๆ คือ…”

    คุณจะบ้ารึเปล่า ! กระโดดตัดหน้ารถจักรยานแบบนี้ ถ้าผมเบรกไม่ทันจะทำยังไง !”

    คือคือ…” คนที่มีท่าที่เหนื่อยหอบพยายามทำหน้าเหมือนจะนึกอะไรสักอย่าง

    “…”

    คือ… Left ภาษาเกาหลีมันเรียกว่าอะไรวะ…” ประโยคหลังนั้น ชายหนุ่มไม่ได้พูดกับคนที่กำลังนั่งจักรยาน แต่เขากำลังพึมพำกับตัวเอง ซึ่งทำให้อีกฝ่ายเดาว่า คนๆนี้จะพยายามสื่อสารอะไรสักอย่างด้วย แต่กลับนึกภาษาเกาหลีไม่ออก

    ทางซ้าย…”

    นั่นแหละๆ คือฉันจะบอกนายว่า คณะมนุษย์ศาสตร์อยู่ทางซ้ายของสี่แยก ท่าทางนายจะเลี้ยวมาผิดทางนะ ทางนี้มันอาคารเรียนคณะแพทย์

     

    เพล้ง !

     

    เสียงเศษหน้าที่แตกกระจายจนหมอแทบจะไม่รับเย็บ เมื่อเหลือบมองนาฬิกาจึงพบว่า ตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะเก้าโมงแล้ว และเหลือเวลาอีกแค่ 30 นาทีก่อนจะถึงเวลารับน้องของทางคณะ และถ้าจะเดินทางย้อนกลับไป ก็ต้องใช้เวลาอย่างต่ำ 10 นาที

     

    จะไปคณะมนุษยศาสตร์ใช่มั้ยล่ะ อยู่อีกฝั่งนู่นเลยไม่พูดเปล่า คนแปลกหน้าท่าทางแปลกๆยังทำปากจู๋พร้อมชี้นิ้วไปอีกทางแล้วเขย่งเท้าเป็นเชิงว่า มันอยู่ไกลมากๆเลยนะ

    “…”

    หลงทางอ่ะดิ ฮ่าๆ คณะนายอยู่ทางนู้น ไปได้แล้วไป เดี๋ยวไปสายโดนรุ่นพี่ทำโทษไม่รู้ด้วยนะ

    ขอบคุณมากครับ

    ไม่เป็นไร ไปก่อนนะ นี่ก็ต้องไปทำกิจกรรมรับน้องเหมือนกัน โชคดี บ๊าย~

     

    ชายคนดังกล่าวโบกมือให้ ก่อนจะล้วงกระเป๋าลงไปหยิบของบางอย่างออกมา และของที่ว่าก็คือรองเท้าโรลเลอร์เบลด ร่างหนาสวมใส่มันอย่างชำนาญ แล้วจึงรีบวิ่งออกไปท่ามกลางสายตาผู้คนมากมาย ไม่เว้นแม้แต่เขาเช่นกัน

     

    นี่ฉันเสียเวลากับคนบ้าไปชั่วโมงกว่าเลยเหรอเนี่ย !”

     

    เจ้าของดวงตาเล็กเรียวก้มมองนาฬิกาข้อมืออีกครั้งก่อนจะบ่นออกมา แล้วจึงรีบปั่นจักรยานย้อนกลับไปที่คณะ

    แม้ว่าจะมาถึงที่คณะแบบเส้นยาแดงผ่าแปด แต่ก็ถือว่าทันเวลาพอดี รุ่นพี่ในคณะกำลังเรียกให้รุ่นน้องปีหนึ่งนั่งรวมตัวกันเป็นแถว อุปกรณ์สันทนาการจำนวนมากถูกนำมาวางเพื่อเข้าสู่กิจกรรมรับน้องอย่างเป็นทางการ โชคดีที่นักศึกษาในคณะของเขามีแต่ผู้หญิงเสียส่วนใหญ่ และรุ่นพี่ชายที่ไม่ได้มีมาดดุดัน หรือฮาร์ดคอร์เหมือนกับพวกคณะวิศวะฯ ทำให้การรับน้องเป็นไปอย่างเรียบง่าย ไม่ได้มีการว้ากหรือเล่นกันแบบรุนแรงเท่าไหร่นัก และตอนนี้ก็เริ่มจากการแนะนำตัวรุ่นน้องทีละคน

     

    เฮ้ย ฝั่งอินเตอร์รับน้องเสร็จแล้วเหรอวะ ??

     

    เสียงของรุ่นพี่ผู้ชายคนหนึ่งในคณะของเขาตะโกนถามข้ามหัวกลุ่มรุ่นน้องปีหนึ่งที่นั่งพื้นอยู่ ดังนั้นคู่สนทนาของรุ่นพี่จึงตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนที่พร้อมใจกันหันไปมอง และพบว่า มีนักศึกษาชายหญิงที่น่าจะเป็นรุ่นพี่ของพวกเขาประมาณ 9 – 10 คนกำลังเดินตรงมายังสถานที่ที่คณะของเขากำลังทำกิจกรรมกันอยู่ และจากคนในกลุ่มนั้น เขาก็สังเกตว่า มีคนที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย

     

    ถ้านึกไม่ออกก็คนบ้าที่ยืนเต้นอยู่กลางถนนเมื่อเช้านี้นั่นแหละ

     

    อะไรนะยังนึกไม่ออกเหรอ ก็คนที่ซ่อมจักรยานให้ผมไง

     

    ไม่ต้องถามต่อแล้วนะ

     

    เออ คณะพวกเราคนมันน้อย เล่นอะไรมากไม่ได้ ก็เลยแวะมาดูภาคปกติหนึ่งในรุ่นพี่ของภาคอินเตอร์ตอบ

    จะดูก็ดูตามสบาย เมื่อกี๊แนะนำตัวถึงใครแล้วนะครับ ?รุ่นพี่ที่เป็นหัวหน้าสันทนาการหันมาถามรุ่นน้องปีหนึ่งที่นั่งหน้าสลอน ก่อนที่การแนะนำตัวจะดำเนินต่อไป จนกระทั่งมาถึงคิวของเขาซึ่งอยู่เกือบท้ายสุด

    โอ้ว้าว ผู้ชายส่วนน้อยในคณะซะด้วยเสียงแซวจากรุ่นพี่ดังขึ้นทันทีที่เขาลุกขึ้น

     

    กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด~

     

    เสียงกรี๊ดกร๊าดจากรุ่นพี่ รวมไปถึงเพื่อนร่วมรุ่นชั้นปีเดียวกันดังขึ้น ยิ่งทำให้ร่างเล็กที่เพิ่งยืนขึ้นประหม่ามากขึ้นไปอีก เนื่องจากเป็นผู้ชายส่วนน้อยในคณะ และหน้าตาของเขาก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ด้วยซ้ำ ออกจะไปทางหน้าตาดีและน่ารักพอสมควร จึงไม่แปลกที่ผู้หญิงในคณะจะพร้อมกันกรี๊ดและเตรียมตั้งตำแหน่งให้เป็นหนึ่งในสมบัติของคณะ

     

    โอ้น้องมึน ! ยู้ฮูวววว~ จำฉันได้เปล่า ?

     

    ยังไม่ทันที่ร่างเล็กจะได้แนะนำตัว ก็มีเสียงแปลกๆที่เขาค่อนข้างคุ้นเคยเนื่องจากเพิ่งได้ยินมาเมื่อเช้านี้ดังขึ้น และพบว่า ผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นกำลังโบกไม้โบกมือพร้อมยิ้มแป้นให้เขาอยู่

     

    ผมไม่ได้ชื่อมึนครับเจ้าของฉายาที่ถูกตั้งให้อย่างไม่เต็มใจหันไปตอบ ก่อนจะหันกลับมา สวัสดีครับ ผมชื่อชเวยองแจ อยู่สาขาวรรณคดีครับ

     

    เสียงกรี๊ดกร๊าดจากนักศึกษาผู้หญิงดังขึ้นมาอีกรอบ ก่อนที่กิจกรรมรับน้องจะดำเนินต่อไป โดยที่มีนักศึกษารุ่นพี่ภาคอินเตอร์เข้ามาร่วมกิจกรรมด้วย อุปกรณ์ต่างๆทั้งแป้ง สีผสมอาหาร ถูกนำมาป้ายจนเละเทะเต็มหน้าของทุกคน แต่กิจกรรมสานสัมพันธ์ในวันนี้ก็ทำให้ทุกคนในคณะรู้จักกันมากขึ้น

    กิจกรรมถูกดำเนินไปจนถึงเวลาเที่ยงวัน ก่อนที่ทุกอย่างจะเสร็จสิ้นลง เพื่อให้รุ่นน้องทุกคนเตรียมตัวสำหรับกิจกรรมเลือกชมรมในช่วงบ่ายต่อ

    เอกสารการเลือกชมรมถูกแจกจ่ายให้ปีหนึ่งทุกคน เมื่ออ่านรายละเอียดแล้ว จึงทราบว่า ทางมหาวิทยาลัยแห่งนี้มีชมรมให้เลือกมากมาย ทั้งกีฬา ภาษา หรือกิจกรรมอาสา ตามแต่ความถนัดและความชอบของแต่ละคน โดยมีเงื่อนไขว่า เมื่อกรอกเอกสารเสร็จแล้ว ให้ทุกคนนำเอกสารฉบับนี้ไปยื่นให้ประธานชมรมด้วยตนเองในช่วงบ่ายของวันนี้

    เนื่องจากยองแจยังไม่รู้จักใครมากนัก เขาจึงเลือกที่ออกมานั่งที่โต๊ะหน้าคณะคนเดียว โดยที่สายตายังคงนั่งอ่านรายละเอียดของแต่ละชมรม ก่อนจะตัดสินใจติ๊กเครื่องหมายลงไปที่ช่องหน้าชมรมหนึ่ง แล้วเดินตรงไปยังห้องชมรมซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตึกของคณะมากนัก

     

    ห้องสมุด

     

    ป้ายไม้ขนาดใหญ่ที่ติดอยู่ด้านบนอาคารที่บ่งบอกถึงสถานที่ชัดเจน และเป็นสถานที่ของชมรมที่ยองแจเลือก เอกสารรับสมัครนักศึกษาเข้าร่วมชมรมถูกยื่นให้ประธานชมรมซึ่งเป็นรุ่นพี่ปีสี่ ก่อนจะได้รับอนุมัติให้เข้าเป็นหนึ่งในสมาชิกของชมรมนี้

    ชมรมที่ยองแจตัดสินใจเลือกคือ ชมรมบรรณารักษ์ เพราะยองแจมีนิสัยรักการอ่าน และชอบบรรยากาศของห้องสมุด และเท่าที่ดูจากรุ่นพี่ร่วมคณะแล้วแต่ละคนล้วนมีลักษณะคล้ายยองแจแทบทั้งสิ้น ในมือถือหนังสือกันคนละเล่มสองเล่ม อีกทั้งท่าทางที่ดูสงบเสงี่ยมเรียบร้อยกันทุกคน จึงทำให้ยองแจรู้ว่าเขาตัดสินใจไม่ผิด

     

    เสียเมื่อไหร่

     

    ความคิดทุกอย่างถูกหยุดลงทันที เมื่อประตูห้องสมุดถูกเปิดออก และเขาก็พบว่า คนที่กำลังเดินเข้ามาในห้องสมุดตอนนี้เป็นผู้ชายที่มีท่าทางไม่เหมาะกับห้องสมุดแม้แต่นิดเดียว ทั้งการทักทายที่ค่อนข้างจะโหวกเหวกโวยวาย รวมไปถึงการแต่งตัวที่ไม่ค่อยจะเรียบร้อยเท่าไหร่นัก และที่สำคัญคือใส่สแน็ปแบ็คสีดำบนศีรษะเสียด้วย

     

    บอกแบบนี้ก็คงคุ้นๆกันแล้วใช่มั้ยล่ะ

     

    ขอโทษที่มาช้านะทุกคน ว้าว !! ยองแจ !! อย่าบอกนะว่านายก็อยู่ชมรมนี้เหมือนกันผู้ชายคนเดิมทักทายทุกคนรอบห้องสมุด ก่อนจะทักทายเขาด้วยใบหน้าที่ดูจะตื่นเต้นเป็นพิเศษ

    ก็ ใช่ครับ อย่าบอกนะว่าคุณก็…”

    ฉันก็อยู่ชมรมนี้เหมือนกัน ไงล่ะ ? อึ้งอ่ะดิคนตรงหน้าพูดก่อนจะหัวเราะออกมา

     

    ไม่ใช่อึ้งธรรมดา อึ้งมากเลยต่างหาก

     

    บอกเลยว่าชเวยองแจอึ้งมาก

     

    ลืมแนะนำตัวเลย ว่าจะบอกชื่อตั้งอยู่ใต้อาคารแล้ว ฉันชื่อแจ็คสันนะ เรียกพี่แจ็คสันก็ได้ ไม่ต้องเรียกคุณหรอก ฟังแล้วมันเขินๆชอบกลชายแปลกหน้าที่กำลังจะไม่ใช่คนแปลกหน้าอีกต่อไปแนะนำตัวยืดยาวด้วยท่าทีที่เป็นมิตร

    ครับยินดีที่ได้รู้จักครับ

     

    และนั่นเป็นวันแรกที่ยองแจและแจ็คสันได้รู้จักกัน แม้ว่าทั้งสองคนจะเรียนกันคนละสาขา และแจ็คสันเรียนอยู่ภาคอินเตอร์ แต่กิจกรรมของชมรมก็ทำให้ทั้งสองคนได้เจอกันบ่อยขึ้น หลังจากผ่านไปเกือบหนึ่งเทอม แจ็คสันกับยองแจก็ค่อยๆสนิทกันมากขึ้น จากการที่ทำกิจกรรมของชมรมร่วมกัน อีกทั้งยังเรียนคณะเดียวกัน จึงมีบางเซคที่ต้องเข้าเรียนร่วมกันอีกด้วย

    สำหรับแจ็คสันแล้ว ยองแจเป็นเพื่อนชาวเกาหลีคนแรกในรั้วมหาวิทยาลัยที่เขารู้สึกสนิทใจ แม้ว่าตัวของแจ็คสันเองจะเป็นคนที่อัธยาศัยดีและเข้ากับทุกคนได้ แต่เพื่อนสนิทของเขาส่วนใหญ่มักจะเป็นชาวต่างชาติหรือนักเรียนเกาหลีนานาชาติเสียมากกว่า

    และสำหรับยองแจนั้น แจ็คสันก็ถือว่าเป็นชาวต่างชาติคนแรกที่เขาคุยด้วย อาจจะเป็นเพราะนิสัยของคนเกาหลีแท้ที่ไม่ค่อยนิยมคบเพื่อนต่างชาติเนื่องจากความแตกต่างทางภาษาและวัฒนธรรม แต่แจ็คสันมักจะเป็นฝ่ายเข้าหาเขาก่อน ดังนั้นยองแจจึงไม่ได้ตั้งแง่หรือใจร้ายพอที่จะปฏิเสธมิตรภาพที่รุ่นพี่ต่างชาติคนนี้หยิบยื่นมาให้

    นิสัยของทั้งสองคนค่อนข้างแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว ยองแจเป็นคนรักสงบ เวลาว่างส่วนใหญ่ของยองแจมักจะหมดไปกับการอ่านหนังสือ ในขณะที่แจ็คสันนั้นไม่สามารถอยู่นิ่งๆเงียบๆได้นาน เขามักจะชวนคนนู้นคนนี้คุยอยู่ตลอดเวลา

    วันนี้เป็นเวรจัดหนังสือในห้องสมุดของยองแจกับแจ็คสัน (ซึ่งแจ็คสันแอบไปขอเปลี่ยนเวรกับเพื่อนคนหนึ่งเพื่อให้ได้อยู่วันเดียวกับยองแจ) ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเศษๆ และห้องสมุดก็ปิดแล้ว ทั้งห้องสมุดจึงเหลือเพียงแค่เขาสองคน

     

    ผมถามพี่จริงๆเถอะ คิดยังไงถึงเข้าชมรมบรรณารักษ์เนี่ยยองแจที่กำลังจัดหนังสืออยู่โดยต้องปีนบันไดขึ้นไปตัดสินใจถามรุ่นพี่หนุ่มที่นั่งเรียงหนังสืออยู่บนพื้น

    เอาแบบดูดีหรือตรงๆล่ะ ?

    แบบดูดีก็ได้ยองแจตอบพร้อมแอบหัวเราะเบาๆ

    ถ้าแบบดูดีก็ห้องสมุดมันสงบดี

    แล้วถ้าแบบตรงๆล่ะ ?

    เงียบแบบนี้นอนหลับสบายดี ไร้เสียงรบกวน

     

    คำตอบหน้าตายของแจ็คสันทำเอายองแจถึงกับหลุดขำออกมา ร่างเล็กค่อยๆเอื้อมลงไปรับกองหนังสือจากแจ็คสันที่อยู่บนพื้น เนื่องจากความสูงของบันไดเหล็กที่เขากำลังนั่งอยู่ ทำให้ยองแจค่อนข้างหวาดเสียวพอสมควร

     

    ระวังหน่อยยองแจ เดี๋ยวก็ร่วงหรอก

    รู้แล้ว…”

     

    อีกหนึ่งความจริงของยองแจก็คือ เขาเป็นโรคกลัวความสูง และบันไดเหล็กที่ไม่ค่อยจะแข็งแรงนี้ก็สูงเมตรกว่าๆ ยิ่งทำให้ยองแจกลัวมากขึ้นเป็นสองเท่า แต่ถ้าเลือกแล้ว เขายอมเป็นคนเรียงหนังสือบนชั้นเองจะดีกว่า เพราะถ้าหากให้แจ็คสันขึ้นมาทำในส่วนนี้แทน ยองแจเอาหัวเป็นประกันเลยว่า หนังสือต้องเละอย่างแน่นอน

    ยองแจยังคงก้มลงไปรับหนังสือจากแจ็คสันเรื่อยๆโดยที่ตัวนั่งอยู่บนบันไดเหล็กที่ความสูงเมตรกว่า และก็เป็นโชคร้ายของยองแจที่บันไดเกิดเสียสมดุลในขณะที่ยองแจกำลังก้มตัวลงมารับหนังสือจากมือของแจ็คสัน

     

    ยองแจ ระวัง !!!!!”

    เฮ้ย !!!!”

     

    แจ็คสันที่เห็นท่าไม่ดีรีบทิ้งกองหนังสือในมือแล้ววิ่งเข้ามาจับบันไดที่ทำท่าจะล้ม แต่ยองแจที่ไม่ทันตั้งตัวทำให้ไม่ได้หาที่ยึดเหนี่ยวเอาไว้ ส่งผลให้ยองแจเสียหลักและร่วงหล่นลงมาจากบันได

     

    ยองแจ !!!!”

     

    แจ็คสันรีบวิ่งเข้าไปรับอีกคนที่กำลังจะร่วงลงมาจากบันได ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของยองแจที่ตกใจสุดขีด แจ็คสันวิ่งเข้ามารับอีกคนได้ทันเวลา แต่ด้วยแรงของยองแจที่ตกลงมาจากที่สูง ส่งผลให้ทั้งคู่ลงไปนอนกองกับพื้น

     

    แล้วก็เป็นเหตุให้แจ็คสันต้องมานั่งจุมปุ๊กทายาอยู่ที่เคาท์เตอร์ของห้องสมุด

     

    เนื่องจากหัวของแจ็คสันกระแทกกับชั้นหนังสือในช่วงที่เข้าไปช่วยยองแจ ทำให้ศีรษะกลมของชายหนุ่มพองนูนขึ้นมาเล็กน้อย ถ้าเรียกตามภาษาทั่วไปก็คือ หัวโน นั่นล่ะ มือบางค่อยๆป้ายยาลงบนศีรษะของอีกคนเบาๆ โดยที่แจ็คสันดูจะยังมีอาการมึนๆอยู่เล็กน้อย

     

    ผมขอโทษนะพี่แจ็คสัน

    ไม่เป็นไรหรอกน่า ยองแจไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วล่ะแจ็คสันตอบพลางลูบศีรษะป้อยๆ

    ไม่เป็นไรอะไรล่ะ พี่เจ็บตัวเพราะผมแบบนี้ คิดว่าผมจะสบายใจรึไงยองแจชักสีหน้าเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำตอบจากอีกคน

    แล้วถ้ายองแจเจ็บตัว คิดว่าพี่จะสบายใจรึไง ?

    “…”

     

    ตึกตัก

     

    คำตอบของแจ็คสันทำให้ยองแจที่รู้สึกผิดกลับนิ่งไป พร้อมกับอาการแปลกประหลาดที่กำลังเกิดขึ้นในตัวยองแจตอนนี้ ที่จู่ๆหน้าอกข้างซ้ายของยองแจกลับทำงานหนักอย่างไม่ทราบสาเหตุ อีกทั้งใบหน้าขาวที่ขึ้นสีแดงเล็กน้อย

     

    แล้วพี่จะมารู้สึกผิดทำไมล่ะ…”

    ช่างเหอะ ยองแจเจ็บตรงไหนบ้างรึเปล่า ?

    “…”

     

    มีเพียงการส่ายหน้าของยองแจเบาๆแทนคำตอบ แต่ยองแจก็ต้องตกใจอีกครั้ง เมื่อแจ็คสันใช้มือทั้งสองข้างจับไปทั่วตัวของเขา ทั้งศีรษะ ใบหน้า แขน ขา พร้อมด้วยสายตาที่เหมือนกับกำลังตรวจสอบว่าเขาไม่ได้โกหก

     

    ผมไม่ได้เจ็บตรงไหนจริงๆ

    เช็คเพื่อความแน่ใจไง ถ้าไม่เจ็บก็ดีแล้ว แจ็คสันว่า ก่อนที่ทั้งคู่จะจัดการกับหนังสือที่เหลืออีกเล็กน้อย หลังจากที่จัดการกับหนังสือที่เหลือเรียบร้อย ทั้งคู่จึงแยกย้ายกันกลับหอพัก แจ็คสันอาศัยอยู่หอพักของทางมหาวิทยาลัย ส่วนยองแจพักอยู่หอพักนอกด้านหน้ามหาวิทยาลัย ดังนั้นทั้งคู่จึงไม่ได้เดินกลับด้วยกัน

     

    หลังจากกลับมาที่หอพัก ยองแจยังคงไม่ลืมเหตุการณ์รวมไปถึงสีหน้าของอีกคนตอนที่อยู่ในห้องสมุด และอาการแปลกๆที่หัวใจของเขาเต้นไม่หยุดจนกระทั่งถึงตอนนี้ เหตุการณ์นั้นเล่นซ้ำไปซ้ำมาโดยที่ยองแจยังคงหาคำตอบไม่ได้ว่าเป็นเพราะอะไร จนกระทั่งสติของยองแจถูกดึงกลับมาหลังจากได้ยินเสียงแจ้งเตือนโปรแกรมแชทชื่อดังดังขึ้นจากสมาร์ทโฟน

     

    JS  Wild & Sexy : นอนยัง~~~

     

    ข้อความสั้นๆที่เด้งขึ้นมากลับทำให้ยองแจที่กำลังมองจอโทรศัพท์เผลอหลุดยิ้มออกมา แต่เมื่อเหลือบไปเห็นชื่อคนส่ง รอยยิ้มของร่างบางก็ยิ่งมากขึ้นไปอีก จนดวงตาเรียวเล็กหยีเป็นเส้น ก่อนที่นิ้วเรียวจะพิมพ์ข้อความตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม

     

    CYJ_96 : ยังครับ

     

    แม้ว่ายองแจกับแจ็คสันจะคุยไลน์กันทุกวัน แต่วันนี้เป็นวันแรกที่ยองแจนั่งรอข้อความตอบกลับของอีกฝ่ายอย่างใจจดใจจ่อ ทั้งๆที่ปกติเขาออกจะรำคาญด้วยซ้ำที่แจ็คสันมักจะชอบส่งข้อความมาหาทุกคืน และถ้ายองแจทำเป็นเมิน แจ็คสันก็จะชอบรัวสติกเกอร์มาให้เขาอีกต่างหาก

     

    JS  Wild & Sexy : กินข้าวยัง ?

    CYJ_96 : ถามแบบนี้ทุกวันไม่เบื่อรึไง ?

    JS  Wild & Sexy : *สติกเกอร์หมีร้องไห้*

    JS  Wild & Sexy : ก็อยากรู้นี่

    CYJ_96 : แฟนก็ไม่ใช่ ยุ่งจัง

    CYJ_96 : *สติกเกอร์กระต่ายทำหน้าเอือม*

    JS  Wild & Sexy : เบื่ออ่ะ ปีสองงานเยอะ

    JS  Wild & Sexy : *สติกเกอร์หมีร้องไห้*

    CYJ_96 : ก็ไปทำงานสิ

    JS  Wild & Sexy : ไล่อีกแล้ว ไปก็ได้ -3-)

    JS  Wild & Sexy : *สติกเกอร์หมีนอนหลับ*

    JS  Wild & Sexy : ฝันดีล่วงหน้า :P

     

    ยองแจกำลังจะกดพิมพ์ข้อความตอบกลับ แต่แล้วก็ต้องหยุดเมื่อมีสายโทรซ้อนเข้ามาจากเพื่อนร่วมคณะเกี่ยวกับเรื่องงาน และยองแจก็ต้องทิ้งโทรศัพท์ไว้บนห้องชั่วคราวเพื่อลงไปคุยเรื่องงานกับเพื่อนที่ชั้นล่างของหอพัก ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ยองแจจึงเดินกลับขึ้นมาบนหอพักพร้อมกองเอกสารนับร้อยแผ่นที่เขาหอบขึ้นมา และหลังจากที่เข้ามาในห้องแล้วพบโทรศัพท์อยู่บนเตียง ก็ทำให้ยองแจนึกขึ้นได้ว่า เขากำลังแชทคุยกับอีกคนอยู่

     

    และหลังจากเปิดจอโทรศัพท์ดู ทุกอย่างเป็นไปตามที่ยองแจคาดการณ์เอาไว้เป๊ะๆ

     

    JS  Wild & Sexy : ทำไมอ่านแล้วไม่ตอบ

    JS  Wild & Sexy : ใจคอจะไม่บอกฝันดีหน่อยรึไงเล่า

    JS  Wild & Sexy : เฮ้ ตอบหน่อยสิ

    JS  Wild & Sexy : หลับแล้วเหรอ ?

    JS  Wild & Sexy : ไม่มีทางอ่ะ นายอ่านอยู่ใช่มะ มันขึ้น Read อย่ามาแกล้งหลับนะ

    JS  Wild & Sexy : ยองแจอา

    JS  Wild & Sexy : *สติกเกอร์หมีร้องไห้*

    JS  Wild & Sexy : เหงาจังเยย (.___.)

    JS  Wild & Sexy : อ่านแล้วไม่ตอบเหรอ

    JS  Wild & Sexy : *สติกเกอร์กระต่ายโกรธ*

    JS  Wild & Sexy : *สติกเกอร์คนร้องไห้*

    JS  Wild & Sexy : *สติกเกอร์หมีไฟลุก*

    JS  Wild & Sexy : *สติกเกอร์ก็อตซิลล่าพ่นไฟ*

    JS  Wild & Sexy : *สติกเกอร์คนนั่งเขี่ยพื้น*

    JS  Wild & Sexy : …

    JS  Wild & Sexy : นี่ จะไม่ตอบจริงๆเหรอ ?

     

     แจ็คสันจัดเป็นหนึ่งในประเภทมนุษย์ถล่มไลน์ และยองแจก็เปิดหน้าห้องแชทที่คุยกับแจ็คสันค้างเอาไว้ มันเลยกลายเป็นว่าข้อความที่แจ็คสันส่งมาหาถูกขึ้นว่า Read หมดแล้ว และนั่นก็เป็นที่มาที่ทำให้เขาถูกถล่มสติกเกอร์ใส่จากอีกฝ่าย

     

    CYJ_96 : ขอโทษทีพี่ ลงไปเอางานที่เพื่อนมา

    JS  Wild & Sexy : งอนอยู่ พรุ่งนี้ซื้อขนมมาให้ด้วย (‘__’)

    JS  Wild & Sexy : *สติกเกอร์หมีทำหน้าเจ้าเล่ห์*

    CYJ_96 : …

    JS  Wild & Sexy : ไปทำงานก่อนนะ งานเยอะ ฝันดีๆ ดูแลตัวเองด้วย

    CYJ_96 : ฝันดีครับ

    JS  Wild & Sexy : *สติกเกอร์คนนอนหลับ*

     

    ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความสั้นๆ แต่ยองแจกลับยิ้มออกมาหลังจากที่อ่านทุกประโยค รวมไปถึงสติกเกอร์ที่ดูจะไร้สาระทั้งหลาย แต่กลับทำให้ยองแจนั่งยิ้มจนเหมือนคนบ้าอยู่หน้าโทรศัพท์คนเดียว และนั่นทำให้ยองแจค่อนข้างมั่นใจแล้วว่า ความรู้สึกของเขาในตอนนี้มันเป็นอย่างไร

     

    ไม่ต้องอาศัยหลักการทางวิทยาศาสตร์

     

    ไม่ต้องนั่งเสียเวลาหาคำตอบ

     

    เขาก็รู้ตัวแล้วว่า เขากำลังชอบรุ่นพี่แจ็คสันอยู่แน่ๆ

     

     

    .

    .

    .

     

     

    เฮ้ย นี่ซื้อมาให้จริงดิ พี่ล้อเล่น แจ็คสันที่นั่งบนโต๊ะกับเพื่อนถึงกับตกใจ เมื่อยองแจเดินเข้ามาหาที่โต๊ะหน้าคณะพร้อมกับถุงใบเล็กใบหนึ่งที่มีเอแคลร์หนึ่งกล่องกับนมสดหนึ่งขวด

    ก็…”

    เอาละเว้ยแจ็คสัน มีเด็กส่งขนมให้ถึงที่เลยว่ะเพื่อนคนหนึ่งบนโต๊ะออกปากแซว

    น้องน่ารักด้วยอ่ะ โอ๊ย อิจฉาจัง

    เฮ้ยๆ ตลกแล้วพวกมึง นี่รุ่นน้องกูเว้ย ชื่อยองแจแจ็คสันหันไปแว้ดใส่เพื่อนที่นั่งแซวเขาอย่างสนุกปาก โดยที่ยองแจทำได้แค่ยืนยิ้ม

     

    รุ่นน้อง

     

    จะคิดมากทำไมล่ะยองแจ ก็เป็นรุ่นน้องจริงๆนี่

     

    คราวหน้าไม่ต้องซื้อนะ มันเปลือง ขอบใจมาก แล้วก็ขอทำโทษทีนึงข้อหาไม่ยอมตอบไลน์เมื่อคืนนี้…”

    ทำโทษ ? ทำโทษอะไรพี่ ?

    นี่แน่ะ !” มือหนาเอื้อมเข้าหยิกแก้มกลมป่องของยองแจโดยใส่ความหมั่นเขี้ยวลงไปเต็มที่ แก้มนุ่มยืดย้วยไปตามแรงดึงของรุ่นพี่หนุ่มจนผิวขาวๆขึ้นสีแดง

    ไอ้แจ็คสัน มึงแม่ง ! ฮิ้วววว~เพื่อนคนหนึ่งบนโต๊ะโวยวายเมื่อเห็นสิ่งที่แจ็คสันกำลังทำ

    โอ๊ยยยย ความแรงของมันอ่ะ ดูสิ !!” ผู้หญิงอีกคนบนโต๊ะเองก็ออกตัวแซวไม่แพ้กัน

    อี้ อ๋มเอ็บ (พี่ ผมเจ็บ)ยองแจพูดอู้อี้ในขณะที่ยังคงถูกอีกคนดึงแก้มอยู่

    ไม่ยอมตอบไลน์ นี่แหละบทลงโทษ

     

    ถึงจะพูดแบบนั้น แต่แจ็คสันก็ใช้มือขยี้หัวรุ่นน้องเบาๆหลังแกล้งจนพอใจ โดยมีเสียงแซวจากเพื่อนร่วมโต๊ะดังเป็นระยะๆ ส่วนตัวของยองแตที่ถูกอีกคนแกล้งก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตายืนสงบสติอารมณ์นิ่งๆโดยที่ใบหน้าขาวร้อนผ่าว จนเขาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตากับคนเป็นรุ่นพี่

     

    มึงระวังไว้นะแจ็คสัน รุ่นน้องในวันนี้จะเป็นเมียในวันหน้า

    กูบอกว่ารุ่นน้องกูไง รุ่นน้องเว้ย รุ่นน้อง !”

    พี่ งั้นผมขอตัวก่อนนะ…”

     

    ยองแจที่จู่ๆก็เปลี่ยนอารมณ์จากหน้ามือเป็นหลังมือสร้างความงุนงงให้แจ็คสันเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะเข้าใจว่ายองแจคงมีเรียนในตอนเช้า จึงไม่ได้ซักถามอะไร ร่างเล็กจึงเดินแยกตัวออกมาจากโต๊ะของพวกรุ่นพี่

     

     

    กูบอกว่ารุ่นน้องกูไง รุ่นน้องเว้ย รุ่นน้อง ! ’

     

    เออ ! รู้แล้วว่ารุ่นน้อง ย้ำอยู่ได้ !”

     

    กระเป๋าหนังสือถูกเขวี้ยงทิ้งลงบนเตียง ก่อนที่ยองแจจะทิ้งตัวลงไปนอนบนเตียงเช่นเดียวกัน เขาไม่รู้ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น จนถึงขนาดที่ทำให้เขาหงุดหงิดตลอดวัน แต่ที่ยองแจมั่นใจที่สุด ก็คงจะไม่พ้นประโยคที่แจ็คสันพูดในตอนเช้าที่วนเวียนเข้ามาในหัวของเขาตลอดทั้งวัน

    โชคดีที่สัปดาห์ถัดมาเป็นสัปดาห์สุดท้ายของชีวิตนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งของยองแจ และเนื่องจากจะมีการสอบไฟลนอล ทำให้เขากับแจ็คสันไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย เพราะต่างฝ่ายต่างก็ยุ่งกับการอ่านหนังสือ และสุดท้ายการสอบไฟนอลก็ผ่านพ้นไปด้วย

    ในช่วงปิดเทอม ยองแจกลับไปอยู่บ้านที่มกโพ ซึ่งในระหว่างนั้น เขาก็กลับมาคุยกับแจ็คสันในไลน์เหมือนเดิม โดยที่อีกฝ่ายบอกว่า กำลังอาศัยอยู่บ้านที่ฮ่องกง ซึ่งเป็นบ้านเกิดของแจ็คสัน และถึงแม้ว่ายองแจจะพยายามไม่คิดอะไรเกินเลย แต่การที่คุยกับอีกคนทุกวัน แม้ว่าจะคุยกันผ่านตัวอักษร จึงทำให้ยองแจไม่สามารถทิ้งความรู้สึกที่เขามีให้อีกคนได้แม้แต่น้อย

    จนกระทั่งเปิดเทอมปีการศึกษาใหม่ ปีนี้ยองแจอยู่ปีสอง ส่วนแจ็คสันขึ้นปีสาม และก็เป็นความบังเอิญที่ยองแจถูกรุ่นพี่ชมรมการแสดงทาบทามไปให้ช่วยเขียนบทละครเวที จากการที่พวกเขาได้ทดลองอ่านนิยายออนไลน์ที่ยองแจเขียนในช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา ซึ่งความบังเอิญในครั้งนี้ ก็คงไม่พ้นที่แจ็คสันถูกเพื่อนลากแกมบังคับให้มาเป็นสต๊าฟคุมนักแสดงของงานนี้เช่นกัน

     

    พี่เพิ่งรู้ว่ายองแจเป็นคนเขียนบทเรื่องนี้นะเนี่ยแจ็คสันที่ก้มหน้าก้มตาอ่านบทละครพูดขึ้น

    ผมก็ไม่คิดว่าพี่จะมาเป็นสต๊าฟงานนี้เหมือนกัน หน้าพี่ไม่ค่อยเหมาะกับพวกงานแบบนี้เท่าไหร่

    ย้า !! หมายความว่ายังไงน่ะ !?!”

    ล้อเล่นหรอกน่า พี่ว่าบทละครมันเป็นยังไงบ้าง มีตรงไหนแปลกๆมั้ย ?

    ก็ไม่นะ

    “…”

    พี่ชอบ…” พูดได้แค่นั้น แจ็คสันก็เงยหน้าขึ้นมามองเจ้าของบทประพันธ์ที่นั่งอยู่ตรงข้าม

    “…”

    “…”

    ผมก็ชอบ…”

     

    พี่

     

    เหมือนกัน

     

    แน่นอนว่ายองแจไม่มีความกล้าพอที่จะพูดคำหลังออกไปแน่นอน บรรยากาศบนโต๊ะจึงถูกเข้าครอบงำด้วยความเงียบทันที ดวงตาทั้งสองคู่ยังคงจ้องมองกัน โดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว

     

    เอ้า ก็ต้องชอบสิ ถ้าคนเขียนไม่ชอบก็มันแปลกๆมั้ยล่ะ ?เป็นแจ็คสันที่ทำลายความเงียบลงพร้อมหัวเราะออกมา

    อืมก็จริงของพี่ยองแจพยักหัวเบาๆ ทั้งที่ในใจของเขามันกลับหนักอึ้งจนไม่รู้จะจัดการกับมันอย่างไร เพราะตั้งแต่ที่ยองแจรู้จักกับแจ็คสันมา มีหลายครั้งที่ยองแจรู้สึกไม่ชอบในความไม่ชัดเจนของตัวเอง แต่รอยยิ้มกับเสียงหัวเราะของแจ็คสันก็มีอิทธิพลมากเกินกว่าที่ยองแจจะไม่ชอบความรู้สึกนั้น

     

    เพราะเขาชอบมันและเขาก็ไม่อยากสูญเสียมันไป

     

    งานแสดงละครเวทีของชมรมการแสดงผ่านพ้นไปด้วยดี และก็เป็นช่วงที่ยองแจเริ่มเขียนหนังสือส่งสำนักพิมพ์ ทำให้ยองแจไม่ค่อยมีเวลาคุยกับแจ็คสันเหมือนเดิม ในขณะที่แจ็คสันซึ่งอยู่ปีสามก็อยู่ในช่วงที่ต้องทำงานและโปรเจคต์อย่างหนัก ยิ่งทำให้ทั้งคู่ไม่ได้คุยกันมากขึ้นไปอีก จะมีบ้างที่แจ็คสันไลน์มาหา แต่ยองแจที่ไม่ค่อยมีเวลาตอบกลับจึงมาเห็นมันทีหลัง และกว่าจะได้ตอบ ก็หลังจากนั้นสักสองสามวัน

    หลังจากที่ยองแจมีโอกาสได้พบแจ็คสันอีกครั้งในช่วงกีฬาภายใน ก็ทำให้ยองแจได้ทราบว่า แจ็คสันย้ายหอพักไปอยู่อีกห้องหนึ่ง ซึ่งต้องเปลี่ยนรูมเมทใหม่ และก็ทำให้ทั้งคู่ได้กลับมาคุยกันอีกครั้ง เพราะแจ็คสันมักจะมาปรึกษาเรื่องพฤติกรรมของรูมเมทที่เป็นนักศึกษาแพทย์

     

    แล้วทำไมพี่ต้องเอาเรื่องรูมเมทของพี่มาปรึกษาผมล่ะ…” นั่นคือคำถามที่ยองแจถามแจ็คสัน เมื่อเขารู้สึกว่าพักหลังๆมานี้ บทสนทนาของเขากับแจ็คสัน จะต้องมีรูมเมทคนใหม่เข้ามาเกี่ยวข้องทุกครั้ง

    พี่รู้สึกว่า รูมเมทคนนั้นคล้ายๆยองแจ ก็เลยคิดว่า ถ้าปรึกษายองแจน่าจะดีที่สุด

     

    นั่นคือเหตุผลที่แจ็คสันบอกกับยองแจ และก็ทำให้ยองแจเลิกสงสัยไปในที่สุด อีกทั้งเจ้าตัวยังบอกว่า คุยกับเขาแล้วสบายใจ ก็ยิ่งทำให้ยองแจไม่กล้าปฏิเสธแจ็คสันมากขึ้นไปอีก

    และความห่างเหินระหว่างแจ็คสันกับยองแจก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อยองแจขึ้นชั้นปีที่สาม และแจ็คสันเข้าสู่ชั้นปีที่สี่ ยองแจที่วุ่นกับการเขียนนิยายส่งสำนักพิมพ์ควบคู่ไปกับการเรียน และแจ็คสันที่ต้องเร่งทำโปรเจคต์จบและฝึกงานไปด้วย จากการส่งไลน์คุยกันจึงเปลี่ยนเป็นการส่งข้อความทางโทรศัพท์แทน และหลังจากที่ทุกอย่างลงตัว แจ็คสันจึงนัดยองแจออกมาพบหลังจากที่ไม่ได้เจอกันพักใหญ่

     

    :: From : Jackson Hyung ::

    เจอกันที่ร้านกาแฟหน้ามหาลัยนะ คิดถึงมาก

     

    นั่นคือข้อความที่ยองแจได้รับจากแจ็คสัน แม้ว่าจะสองจิตสองใจ เพราะยองแจก็มีงานอยู่ค่อนข้างเยอะ แต่สุดท้ายยองแจก็เลือกที่จะทำในสิ่งที่ตัวเขาเองต้องการมากกว่า

    แจ็คสันที่นั่งรออยู่ในร้านกาแฟก่อนแล้วโบกมือทักทายยองแจที่เพิ่งเดินเข้ามา ก่อนที่แจ็คสันจะจัดการพูดคุยสัพเพเหระทั้งเรื่องที่ทำงานที่เขากำลังฝึกงาน เรื่องเรียน สารพัดเรื่องเท่าที่เจ้าตัวจะนึกได้ โดยที่ยองแจได้แต่นั่งฟังเงียบๆพร้อมอมยิ้มไปด้วย เพราะท่าทีที่ยังเหมือนเดิมของแจ็คสัน ทำให้ยองแจไม่รู้สึกว่าห่างเหินกับคนเป็นรุ่นพี่เท่าไหร่นัก

     

    แล้วนี่ยองแจเขียนหนังสือเป็นยังไงบ้าง ?แจ็คสันเริ่มเปลี่ยนมาถามถึงเรื่องของยองแจแทน

    ก็ดีครับแต่ช่วงนี้งานเยอะ เลยไม่ค่อยมีเวลา

    เดี๋ยวปีสี่จะยิ่งกว่านี้อีก เหนื่อยมาก บอกเลย

    แล้วช่วงนี้ พี่แจ็คสันสบายดีมั้ย ?

    ก็อย่างที่เห็น หน้าโทรมมาก ขอบตาดำปี๋เลยแจ็คสันพูดพลางชี้ไปที่ขอบตาของตน

    มันก็ไม่ได้ดูแย่ขนาดนั้นนะ

    นี่พี่รู้จักยองแจมาจะสามปีแล้วใช่ป่ะ ?

    ใช่ครับ ทำไมเหรอ ?

    ไวเนอะ อีกสองเดือนพี่ก็เรียนจบแล้ว สงสัยคงจะเหงาแย่เลย

    หลงตัวเองจัง เห็นแบบนี้ผมก็มีเพื่อนนะพี่

    พี่นี่แหละที่จะเหงา

    ถ้าคิดถึงก็แวะมาหาที่มหาลัยสิยองแจพูดทีเล่นทีจริง แต่ในใจของเขาก็แอบหวังลึกๆ พร้อมทั้งรอฟังคำตอบของรุ่นพี่ที่อยู่ตรงหน้า

    มันก็ต้องคิดถึงอยู่แล้วป่ะ…”

    “…”

    เออ ยองแจ พี่มีเรื่องจะปรึกษาว่ะ

    เรื่องอะไรเหรอครับ ? ถ้าเรื่องเงิน ผมไม่รับปรึกษานะ

    จะบ้ารึไง เรื่อง…”

    “…”

    ยองแจเคยชอบใครซักคนป่ะ ?

     

    คำถามของแจ็คสันทำให้ยองแจที่กำลังดูดกาแฟเย็นเกือบสำลักออกมาพร้อมทั้งมองหน้าอีกคน และตอนนี้ยองแจก็รู้ตัวแล้วว่า เขาเริ่มเก็บความรู้สึกที่มีให้กับอีกคนต่อไปไม่ไหว ร่างเล็กวางแก้วกาแฟ เตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ประโยคถัดมาก็ทำให้ยองแจต้องหยุดความคิดนั้นไป

     

    คือ มีเรื่องจะปรึกษาหน่อย

    “…”

    พี่ว่า…”

    “…”

     

    พี่ชอบจินยองว่ะ

     

    จินยองหมายถึง รูมเมทพี่น่ะเหรอ ?

     

    ยองแจแกล้งถามไปแบบนั้น แต่ในความเป็นจริงเขารู้เกี่ยวกับจินยองดี จะเป็นเพราะใครถ้าไม่ใช่แจ็คสันที่มาเล่าให้เขาฟังเป็นประจำ ทั้งยังบอกว่าคนๆนั้นนิสัยเหมือนเขาราวกับถอดแบบออกมา

    ริมฝีปากบางค่อยๆเม้มเข้าหากันพร้อมสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อสงบสติอารมณ์ มือบางที่ถือแก้วกาแฟเอาไว้ค่อยๆว่างแก้วกาแฟลง ความรู้สึกชาวาบไปทั้งตัวในตอนนี้ทำให้ยองแจรู้เคว้งอย่างบอกไม่ถูก แต่ยองแจก็เก่งพอที่จะเงยหน้าขึ้นมายิ้มจนตาหยีให้อีกคน

     

    ชอบก็จีบเขาสิ ยากตรงไหนล่ะบางทียองแจก็นึกอยากจะตบปากตัวเองที่พูดอะไรตรงข้ามกับใจโดยสิ้นเชิง

    ยากสิ ถึงได้มาถามนี่ไง

    “…”

    จินยองโลกส่วนตัวสูงจะตาย แถมดูไม่ค่อยเปิดใจรับใครด้วย

    แล้วพี่ไปชอบเขาได้ยังไงล่ะ ?

    ก็ไม่รู้เหมือนกัน มันมีความรู้สึกว่า พอมองจินยองแล้วสงสาร คือจินยองเคยเล่าให้ฟังว่าไม่มีเพื่อน แล้วจินยองก็เป็นคนนิสัยดี ถึงจะนิ่งๆก็เถอะ แล้วพอมองก็ยิ่งอยากดูแลเค้า อยากปกป้องเค้า ประมาณนี้แหละ ยองแจรู้ว่าสิ่งที่แจ็คสันพูดคือความจริงทุกอย่าง แจ็คสันไม่ใช่คนโกหกหรือปิดบังความรู้สึกของตัวเอง แววตาที่เต็มไปด้วยความจริงใจของแจ็คสันคือคำตอบที่ชัดเจน

     

    แล้วพี่มาปรึกษาผมทำไมล่ะ ผมก็ใช่ว่าจะช่วยพี่ได้นะ

    ก็เคยบอกแล้วไง ว่าเห็นจินยองแล้วมันนึกถึงนายทุกที ก็เล่นนิสัยถอดแบบออกมาเหมือนกันขนาดนั้น นิ่งๆ เงียบๆเหมือนกัน แถมยังเดาใจยากด้วย ถึงได้มาถามไง

    “…”

    เฮ้ย ไม่ต้องทำหน้าจริงจังขนาดนั้น คำถามนี้ไม่มีคะแนน ฮ่าๆ

    ผมก็ไม่รู้นะ แต่ถ้าชอบเขาก็บอกไปเถอะ ดีกว่าปล่อยให้เขาไม่รู้อะไรเลย มันเจ็บกว่ากันเยอะ และนั่นก็เป็นคำตอบที่ยองแจให้ไป มันเป็นสิ่งเดียวที่เขาคิดได้ แต่เขากลับทำมันไม่ได้แม้แต่น้อย

    พี่ควรเสี่ยงใช่มั้ย ?

    อือลองเสี่ยงไปเถอะ จริงๆนะ ไม่งั้นจะมานั่งเสียใจทีหลัง

     

    แบบนี้ไงแบบที่ผมเป็นอยู่ไงล่ะ

     

    พี่แจ็คสัน คือ…”

    เอ้อ ว่าจะถามพอดี มีอะไรอยากจะพูดรึเปล่า เห็นทำหน้าเหมือนคนอยากจะพูดอะไรมาตั้งนานแล้ว

    คือ…”

    “…”

    ผม…”

    “…”

    ผมช…”

     

    R R R R ~

     

    ยังไม่ทันที่ยองแจจะได้พูดอะไรต่อ โทรศัพท์ของแจ็คสันก็ดังขึ้น ยองแจจึงรีบก้มหน้าก้มตากินขนมที่เหลือต่อเพื่อละความสนใจจากคนที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่

     

    เข้าใจแล้ว เดี๋ยวไปรับนะ รออยู่หน้าคณะนั่นแหละแจ็คสันพูดกับคนปลายสายก่อนจะวางสายไป

    พี่จินยองเหรอครับ ?

    ใช่แล้วและก็เป็นอีกครั้งที่ยองแจทายไม่ผิด สีหน้าและรอยยิ้มของแจ็คสันตอนมองสายเข้ามันบ่งบอกทุกอย่างชัดเจนอยู่แล้ว

    ยองแจ เดี๋ยวพี่ต้องไปรับจินยองแล้วนะ มื้อนี้พี่เลี้ยง ขอบใจที่อุตส่าห์มาหา ไว้วันหลังมาเจอกันอีกนะ

     

    ผมมีสิทธิ์ยื้อพี่ด้วยเหรอ

     

    ยองแจได้แต่ถามคำถามนั้นอยู่ในใจ แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่พยักหน้าพร้อมกล่าวขอบคุณคนเป็นรุ่นพี่ที่เดินไปจ่ายเงินที่เคาท์เตอร์และเดินออกจากร้านไป ดวงตาเล็กเรียวได้แต่มองตามคนที่ออกจากร้านไปจนลับตา ในขณะที่มือยังคงใช้ช้อนเขี่ยขนมในจาน ทั้งๆที่ขนมตรงหน้าเป็นของโปรดของเขา แต่เขากลับไม่มีอารมณ์จะกินมันต่อแม้แต่น้อย

     

    ผมน่ะ…”

     

    ชอบพี่นะ

     

    ชอบมาตั้งนานแล้ว

     

    อึกฮึก

     

    น้ำตาของร่างเล็กค่อยๆหยดลงมาบนจานขนมอย่างไม่ขาดสาย แขนเสื้อที่ถูกใช้เป็นผ้าเช็ดหน้าแทน พยายามกลั้นเสียงสะอื้นที่ร่างกายของเขาไม่สามารถควบคุมมันได้อีกต่อไป

    และในวันนั้นก็เป็นวันสุดท้ายที่ยองแจได้พบกับแจ็คสัน ก่อนที่เขาจะตัดสินใจย้ายตารางเรียนทั้งหมดไปไว้ในช่วงค่ำด้วยเหตุผลที่เขาบอกกับคนอื่นๆว่า จะใช้เวลาในช่วงกลางวันเขียนหนังสือนิยายเพื่อหารายได้ แต่ในความเป็นจริงเขาก็แค่อยากจะหลบหน้ารุ่นพี่คนนั้นเพื่อที่จะได้ลืมทุกอย่างๆ

    จนกระทั่งมาถึงวันจบการศึกษาของนักศึกษาชั้นปีที่สี่ ทั้งผู้ปกครองและรุ่นน้องทั้งหลายพากันมาร่วมงานเพื่อแสดงความยินดีให้รุ่นพี่ที่เรียนจบในวันนี้ บรรยากาศในงานที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น ทั้งช่อดอกไม้ ของขวัญ ที่เกลื่อนกลาดไปทั่วงาน รวมไปถึงนักศึกษาทุกคนที่พากันถ่ายรูปกับคนรู้จักเพื่อเก็บเป็นที่ระลึก

    ยองแจนำของขวัญไปมอบให้พี่รหัสและรุ่นพี่ในคณะหลายๆคนที่เขารู้จัก ในขณะที่สายตาก็แอบมองหานักศึกษารุ่นพี่อีกคนที่จบการศึกษาในวันนี้เช่นกัน และพบว่า แจ็คสันอยู่ไม่ไกลจากตรงที่เขายืนเท่าไหร่นัก แต่ภาพที่ยองแจเห็นก็ทำให้เขาเลือกที่จะไม่เดินเข้าไปหา

    แจ็คสันกำลังยืนถ่ายรูปคู่กับรูมเมทของเขาอย่าง จินยอง ที่มาแสดงความยินดีให้กับแจ็คสันที่เรียนจบในวันนี้ ส่วนตัวของจินยองจะต้องเรียนอีกสองปีจึงจะจบการศึกษาอย่างเป็นทางการ สีหน้าและรอยยิ้มของแจ็คสันที่เต็มไปด้วยความสุขยิ่งทำให้ยองแจไม่กล้าเดินเข้าไป

    แต่ดูเหมือนว่ายองแจกำลังจะต้องเปลี่ยนเป็นฝ่ายเดินหนี เมื่อแจ็คสันหันกลับมา และเห็นยองแจกำลังยืนอยู่ไม่ไกลนัก ร่างหนาของคนเป็นรุ่นพี่กระโดดหยองๆเพื่อส่งสัญญาณให้ยองแจ แน่นอนว่ายองแจเห็น แม้ว่าอยากจะเดินเข้าไปหา แต่ถ้าหากเขาทำแบบนั้น ความพยายามตลอดสองเดือนที่ผ่านมาที่เขาพยายามหลบหน้าแจ็คสันจะสูญเปล่าทันที ร่างเล็กจึงตัดสินใจเดินหันหลังกลับแกล้งทำเป็นไม่เห็นคนที่กำลังโบกมือเรียกเขาในตอนนี้แทน

     

    ยองแจอา~แจ็คสันที่ไม่ยอมแพ้พยายามตะโกนเรียกยองแจท่ามกลางคนหมู่มาก

    “…”

     

    ยองแจเลือกที่จะทำเป็นไม่สนใจ ก่อนจะรีบเปลี่ยนจากการเดินเร็วเป็นวิ่งออกมาจากบริเวณที่จัดงาน จนเมื่อแน่ใจว่าตรงที่เขายืนไม่มีใครเห็นแล้ว ร่างเล็กจึงปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใคร น้ำตาที่ยองคิดว่ามันเป็นความอ่อนแอของเขาไหลลงมาไม่ขาดสาย ความรู้สึกในใจที่ปนเปกันไปหมดทำให้ยองแจไม่รับรู้บรรยากาศรอบข้างอีกต่อไป

     

    ทำไมวะ ทำไม ทำไม !!”

     

    ทำไมเป็นผมไม่ได้วะ !!!”

     

    คำพูดตัดพ้อหลายประโยคพรั่งพรูออกมาจากคนที่กำลังนั่งร้องไห้อยู่บริเวณมุมตึกเพียงลำพัง ยองแจใช้เวลาอยู่คนเดียวพักใหญ่เพื่อสงบสติอารมณ์ ก่อนจะเดินกลับเข้ามาในงานอีกครั้งเพื่อเตรียมบอกลารุ่นพี่ปีสี่ในคณะของตน

     

    ยองแจ หายไปไหนมาวะ ? คนที่พูดประโยคนี้ไม่ใช่คนที่เขาแอบหวังว่าจะให้เป็น แต่เป็นเพื่อนร่วมคณะของเขาที่กำลังยืนอำลารุ่นพี่

    ไปห้องน้ำ คนมันเยอะ ทำไมเหรอ ?

    พี่แจ็คสันเค้าแหกปากเรียกนายแทบตาย

    เหรอเมื่อกี๊คนเยอะ เสียงดัง สงสัยฉันจะไม่ได้ยินและยองแจก็โกหกคำโตออกไปอีกครั้ง

    พี่เค้าจะถ่ายรูปกับนาย แต่นายดันไม่อยู่ ตอนนี้พี่เค้ากลับไปแล้ว เห็นว่าจะรีบไปเก็บของเพราะต้องขึ้นเครื่องกลับฮ่องกงคืนนี้

    “…”

    เค้าก็เลยฝากไอ้นี่มาให้ เอ้า !”

     

    ซองกระดาษสีน้ำตาลขนาดเล็กถูกส่งมาให้ยองแจ แต่ยังไม่ทันจะได้เปิดดู เขาก็ถูกเพื่อนๆเรียกรวมตัวเพื่อทำการบูมอำลาและแสดงความยินดีให้พี่ปีสี่

    หลังจากเลี้ยงฉลองกันจนถึงสี่ทุ่มกว่าๆ ยองแจจึงกลับมาที่หอพักเพื่อเตรียมพักผ่อน และเขาก็นึกขึ้นได้ ในกระเป๋ามีซองกระดาษที่เขาได้รับมาเมื่อช่วงเช้า ร่างเล็กยืนชั่งใจอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจเก็บซองกระดาษที่ได้มาไว้ในลิ้นชักใต้โต๊ะ แล้วจึงทิ้งตัวลงนอนบนเตียง

    สมาร์ทโฟนคู่ใจถูกนำมาเสียบชาร์จแบต และเมื่อเปิดสัญญาณอินเทอร์เน็ต การแจ้งเตือนจากแอพลิเคชั่นต่างๆก็เด้งขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่ก็จะเป็นรูปถ่ายที่ถูกแท็กมาจากรุ่นพี่กับเพื่อนๆ ร่วมไปถึงข้อความแสดงคำขอบคุณสำหรับของขวัญจากพวกรุ่นพี่ แต่ที่ทำให้ยองแจสนใจเป็นพิเศษ ก็คงจะไม่พ้นการแจ้งเตือนโปรแกรมแชทจากคนๆหนึ่ง และยองแจก็ไม่ใจแข็งพอที่จะเมินมันอีกต่อไป

     

    JS  Wild & Sexy : ใจร้าย ไม่ยอมมาหา

    JS  Wild & Sexy : เรียกก็ไม่หันด้วย

    JS  Wild & Sexy : หายไปไหนมา ยืนรอตั้งครึ่งชั่วโมงเลยนะ

    JS  Wild & Sexy : *สติกเกอร์หมีร้องไห้*

    JS  Wild & Sexy : วันสุดท้ายแล้วแท้ๆ ทำไมไม่มาหา ของขวัญก็ไม่เอามาให้ #โป้ง

     

    ข้อความเหล่านี้ถูกส่งมาราวๆสิบเอ็ดโมง ซึ่งยองแจไม่ได้เปิดสัญญาณอินเทอร์เน็ตในช่วงนั้น ก่อนจะเลื่อนอ่านลงมาเรื่อยๆ และพบว่ายังมีข้อความอีกจำนวนหนึ่งที่ถูกส่งมาประมาณช่วงสองทุ่ม

     

    JS  Wild & Sexy : จะกลับฮ่องกงแล้วนะ

    JS  Wild & Sexy : ไม่รู้จะมาเกาหลีอีกทีเมื่อไหร่ แต่อย่าลืมกันล่ะ

    JS  Wild & Sexy : ของขวัญของยองแจ พี่ฝากเพื่อนไปให้แล้ว เปิดดูด้วย ตั้งใจทำมาก

    JS  Wild & Sexy : จะขึ้นเครื่องแล้วนะ

    JS  Wild & Sexy : เฮ้ ใจคอจะไม่มาอำลากันหน่อยรึไง

    JS  Wild & Sexy : นี่

    JS  Wild & Sexy : ตอบหน่อยเถอะ จะไปแล้วนะ

    JS  Wild & Sexy : *สติกเกอร์หมีร้องไห้*

    JS  Wild & Sexy : ย้า !!!!!!!!!!!!!!

    JS  Wild & Sexy : *สติกเกอร์ก็อตซิลล่าพ่นไฟ*

    JS  Wild & Sexy : นี่ก้าวขาซ้ายขึ้นเครื่องบินแล้วนะ

    JS  Wild & Sexy : ตอนนี้กำลังก้าวขาขวาเข้าไปแล้วนะ

    JS  Wild & Sexy :

    JS  Wild & Sexy : จะไปแล้วจริงๆนะ

    JS  Wild & Sexy : จะไม่มาลากันจริงๆเหรอ

    JS  Wild & Sexy : ไปแล้วนะ

    JS  Wild & Sexy : คิดถึง

    JS  Wild & Sexy : ดูแลตัวเองด้วย

    JS  Wild & Sexy : โชคดีนะ ตั้งใจเรียนด้วย

    JS  Wild & Sexy : อย่าลืมเปิดซองของขวัญนะ

    JS  Wild & Sexy : *สติกเกอร์หมีบ๊ายบาย*

    JS  Wild & Sexy : *สติกเกอร์รูปหัวใจ*

     

    หน้าจอโทรศัพท์ทเต็มไปด้วยคราบน้ำตาของยองแจ ก่อนที่มันจะถูกวางลงบนเตียง ยองแจไม่ใช่คนใจร้ายพอที่จะปฏิเสธคำขอของคนเป็นรุ่นพี่ ยองแจไม่ใช่คนเข้มแข็งพอที่จะฝืนใจของตัวเอง และในที่สุด ยองแจก็เป็นฝ่ายแพ้ตัวเองอีกครั้ง เมื่อเขาตัดสินใจเดินไปหยิบซองกระดาษที่ได้รับมาจากเพื่อนของเขา

    ร่างเล็กค่อยๆบรรจงแกะซองกระดาษออกเพื่อให้เสียหายน้อยที่สุด บนซองถูกเขียนชื่อคนรับไว้อย่างชัดเจน พร้อมด้วยตัวการ์ตูนหน้าตาประหลาดที่ยองแจคิดว่ามันเป็นศิลปะที่ตลกที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมา แต่มันก็เป็นสิ่งที่เขาเชื่อว่า อีกคนตั้งใจทำมันมาให้เขา

    กระดาษเอสี่ที่พับใส่ไว้ในซองถูกคลี่ออกมา ลายมือภาษาเกาหลีที่ยาวเหยียด รวมไปถึงเนื้อความในจดหมาย ทำให้ยองแจร้องไห้ออกมาอีกครั้ง

     

    ยองแจอา~ พี่เรียนจบแล้วนะ ดีใจกับพี่หน่อยสิ คิคิ เรารู้จักกันมาสามปีแล้ว ไวมากเลยนะ พี่อยากจะบอกว่า ยองแจเป็นเพื่อนเกาหลีคนแรกที่พี่รู้สึกสนิทใจ ส่วนเหตุผลน่ะเหรอ ? ก็เพราะยองแจน่ารักไง จริงๆนะ ไม่ได้โกหก สาบานด้วยเกียรติของคนหล่อประจำฮ่องกงเลย ขอบคุณยองแจที่ทำให้ชีวิตในเกาหลีของพี่มีสีสัน ขอบคุณที่เป็นที่ปรึกษา เป็นเพื่อนที่ดี เป็นน้องที่น่ารัก เป็นแม่ที่คอยบ่นคอยไล่ให้ไปทำการบ้าน ถึงจะมีช่วงหนึ่งที่เราห่างกันไปบ้างเพราะไม่มีเวลา แต่พี่ไม่เคยไม่นึกถึงยองแจเลย แล้วพี่ก็เชื่อว่ายองแจไม่มีทางลืมพี่เหมือนกันใช่มั้ย ? (อย่าตอบว่าใช่นะ ไม่งั้นโกรธ) ขอบคุณจักรยานคันนั้นที่โซ่หลุด เพราะมันทำให้พี่ได้รู้จักยองแจ พี่ดีใจที่ได้รู้จักเด็กดีอย่างยองแจ แล้วก็หวังว่าต่อไปจะได้เจอกันอีก อย่าลืมกันนะ ว่าที่นักเขียนคนเก่ง ขอให้เป็นนักเขียนตามความฝัน แล้วก็ขอให้หนังสือขายดิบขายดี ขอฟรีซักเล่มจะดีมาก สุดท้ายนี้ ขอให้ยองแจเป็นยองแจที่น่ารักของพี่แจ็คสันตลอดไป โชคดีนะ

     

    ปล. มีของขวัญแนบไปให้ด้วย หวังว่าจะชอบนะ

     

    จาก พี่แจ็คสัน คนหล่อพ่อทุกสถาบันในฮ่องกง

     

     

    ยองแจค่อยๆล้วงลงไปในซองกระดาษอีกครั้ง ก่อนจะพบว่ามีรูปถ่ายโพลารอยด์ใบหนึ่งที่เป็นรูปของแจ็คสันโพสต์ท่าทางตลกๆ แต่ยองแจกลับมองว่ามันเป็นสิ่งที่มีค่ามากสำหรับเขา และรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา เมื่อเห็นข้อความที่เขียนไว้บนรูปโพลารอยด์ใบนั้น

     

    จะได้ไม่ลืมกันให้เด็กโง่ของแจ็คสันฮยอง :P





    /กราบแรงๆสามสิบทีติด

    ขออภัยที่ลงช้านะตัวเอง #ร้องไห้แรง
    สัญญาว่าจะลงตั้งแต่หกโมงเย็น
    สุดท้ายก็เลทไม่เป็นท่าเลย
    โดนลูกค้าสั่งแก้งาน นี่เพิ่งจะแก้เสร็จ
    อยากจะพ่นไฟใส่ลูกค้าเหลือเกิน
    แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่ก้มหน้าแล้วตอบว่า "ได้ค่ะ เดี๋ยวหนูแก้ให้นะคะ"
    /พ่นไฟใส่ลูกค้ารัวๆ

    สัปดาห์ที่ผ่านๆมางานยุ่งมากถึงขนาดที่ต้องปิดทวิตไปชั่วคราว
    อีกทั้งยังโดนแฟนทิ้งแบบไม่ทราบสาเหตุ (นี่พูดจริง)
    จนตอนนี้ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไม 55555555555555555
    แถมเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคมที่ผ่านมาก็ไปออกบูธขายของมาด้วย
    หมดพลังมากจริงๆ แถมมาเจอลูกค้างี่เง่าอย่างที่เจอในตอนนี้
    บอกเลยว่าเซ็งระดิบพระกาฬ
    (ขออภัยที่บ่นจุ๊กจิ๊กๆนะคะ T v T)

    เป็นยังไงกันบ้างคะสำหรับตอนนี้
    อนุญาตให้สาปพี่แจ็คได้เต็มที่เลยค่ะ กร๊ากกกกกกกกก
    แล้วก็มีอะไรมาให้ทายเล่นๆด้วย คำถามก็คือ...

    มาทายกันว่า คิดว่าแจ็คสันรู้มั้ยว่าน้องยองแจชอบตัวเอง ?
    ถ้าคิดว่ารู้ กด 1 ถ้าคิดว่าไม่รู้ กด 2
    และถ้าใครคิดว่าแจ็คสันชอบยองแจ ให้กด 3


    เอาสิ ให้ทายเลย เต็มที่เลย
    เดี๋ยวจะเฉลยในอีพีท้ายๆ หุหุหุ
    สงสารยองแจเนาะ ทำไมพิแจ็คทำกับน้องแบบนี้ล่ะค่ะ #ตะปบรัวๆ
    เดี๋ยวมารอดูตอนต่อๆไปนะคะ
    แล้วคุณจะรู้ว่า ความโลกกลมยังไม่สิ้นสุดเพียงเท่านี้
    หิหิหิหิหิหิหิ

    ปล. ด้วยความที่หายไปนาน แถมยังลงเลทอีก
    รอบนี้เลยจัดให้แบบจุใจ อ่านให้หายอยาก ให้เอียนกันไปเลย กรั่กๆ
    สำหรับแชปนี้มีทั้งหมด 32 หน้าเวิร์ด
    จำนวน 8992 คำ (ตอนเดียวนะ !!!!)
    งานนี้รับรองว่าประเทศไทยค่าเฉลี่ยการอ่านพุ่งขึนเกิน 8 บรรทัดต่อไปแน่นอน กร๊ากกกกกกก

    ปล.ของปล. เพลงที่พิแจ็คสันร้องในช่วงแรกคือ Go crazy ของ 2PM ค่ะ
    มีใครทายถูกมั้ยเอ่ย 555555555

    สุดท้ายนี้ เจอกันได้ที่แท็กเดิม #ฟิคโลกกลม เหมือนเดิมค่า


     

    O W E N TM.
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×