ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Phonucorn ตอน มนต์ถันฑิล [ KaiSoo , KaiDO : EXO ]

    ลำดับตอนที่ #2 : The Phonucorn ฟีนูคอน : เพลิงพิทักษ์ - บทที่่ ๑

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.8K
      20
      4 มิ.ย. 57

    Title : The Phonucorn เพลิงพิทักษ์ – บทที่ ๑

    Author : พระจันทร์สีทอง

    Genre : Fantasy Romantic Drama

    Warnings : Yaoi – PG 18

    Pairing :  Yifan x Yixing

     

     

    บทที่ ๑
    The Phonucorn ฟีนูคอน : เพลิงพิทักษ์

     

     

     

     

     

     

    “เดี๋ยว!!! หยุดก่อน นั่นลูกชายผม เขาเป็นชาวอเนโมส!

    .

    .

    .

    ทุกการกระทำ ทุกคำพูดยังคงฉายชัดในโสตประสาท หากแต่ไม่อาจเอื้อมคว้าไว้ได้ด้วยมือ อี้ชิงยังคงรู้สึกตัวนับตั้งแต่ที่ร่างกายล่องลอยบนอากาศ และ สัมผัสลงที่พื้นถนนแข็งกร้าน แต่ไม่อาจบรรยายได้ถึงความเจ็บ ที่ไม่แม้แต่แทรกซึมให้ระบมกาย ที่เขารู้สึกมีเพียงความเย็นชื้นของอากาศ และ รู้สึกเหมือนตัวเองไม่ได้นอนอยู่บนพื้นอย่างที่ควรจะเป็น

     

    “คุณจะจองจำดวงจิตนี้ไม่ได้ เขาไม่ใช่วิญญาณอย่างเคย เขาเป็นชาวฟีนูคอน”

     

    คำพูดแปลกๆของผู้เป็นพ่อ ทำให้ตาเรียวสวยมุ่นลงอย่างไม่เข้าใจ เขาพยายามมองสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลของกลุ่มคนนั้น กลุ่มคนที่แต่งกายด้วยชุดหนังสีดำแนบลำตัว กับ ผ้าคลุมไหล่กำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มที่ยาวเพียงปรกไหล่ไว้ นี่คงเป้นครั้งแรกที่อี้ชิงได้เห็นบิดาแต่งตัวเช่นนี้ เขาอยากถามออกไปเหลือเกิน แต่เพราะร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวได้ จึงทำได้เพียงแค่ทอดมองด้วยความสงสัย

     

    ...บางทีตอนนี้กระดูกของเขาอาจจะแตกหลายจุด...

     

    “เราไม่เคยได้รับการยืนยันตัวตนของเขาจากเผ่าอเนโมส ตามกฎเราต้องทำลายดวงจิตของเขาก่อนจะเป็นภัย เขาอาจเป็นแค่พวกฟิสสิเพรสที่กำลังกลายพันธุ์เท่านั้น”

     

    “เขาถูกเรียกตัวจากกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะสายเลือดของเผ่าเรา”

     

    “แต่...”

     

    “นี่คือจดหมายยืนยันสิทธิ์ผู้วิเศษ เขาได้รับมันเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน”

     

    จดหมายที่ร่างบางเห็นเมื่อเช้าถูกหยิบออกมาจากช่องอากาศ ผู้เป็นพ่อรีบแกะซองนั้นด้วยท่าทีร้อนรน พร้อมยื่นไปให้กลุ่มคนตรงหน้าที่รออยู่ ฝ่ามือหนาผายผ่านกระดาษสีครีมนั้น เกิดละอองฝุ่นฟุ้งออกมาจากปลายนิ้วอย่างน่าอัศจรรย์ อี้ชิงเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจ หากจะบอกว่านี่คือมายากล ก็คงต้องยอมรับว่ามันแนบเนียนเหลือเกิน

     

    “เขาคือชาวฟีนูคอน เป็นคนของเผ่าอเนโมส ขอเชิญพี่น้องทั้งหลายอย่าเป็นกังวล!!!"

     

    สิ้นเสียงประกาศก้องของชายที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้า ทุกคนต่างน้อมรับแม้จะมีสายตาเคลือบแคลงใจส่งไปยังร่างบาง แต่ทุกคนก็ยอมสลายร่างปลิวไปกับสายลมที่พัดโชยมา อี้ชิงรู้สึกหัวใจเต้นแรงจนผิดจังหวะที่เห็นดังนั้น ร่างของคนหลายคนจะปลิวหายไปกับสายลมได้อย่างไร...พวกเขาคือตัวอะไรกันนะ!

     

    “ขอบคุณมากนะคิบอม

     

    “ฉันก็แค่ว่าไปตามถูก ไม่เห็นมีอะไรที่ต้องขอบคุณ”

     

    “นายช่วยฉันไว้เสมอ”

     

    “นั่นเป็นเรื่องที่เพื่อนต้องช่วยกันอยู่แล้ว...”

     

    รอยยิ้มแสนอารีนั้นบอกให้รู้ว่าชายสูงวัยทั้งสองเป็นเพื่อนสนิทกันอย่างแน่นอน แต่อี้ชิงก็มั่นใจเหลือเกินว่าเขาไม่เคยเห็นเพื่อนบิดาคนนี้มาก่อน ยิ่งเมื่อชายแปลกหน้าเดินเข้ามาใกล้ ร่างบางก็ยิ่งแน่ใจว่านี่มันประหลาดเหลือเกิน ทำไมเขาถึงเห็นคนตรงหน้าตัวใหญ่เช่นนี้

     

    “...สวัสดีอี้ชิง เราคงจำลุงไม่ได้แล้ว แต่กล่าวต้อนรับสู่เผ่าอเนโมสนะ”

     

    “ฉันไม่อยากให้อี้ชิงรู้เรื่องนี้”

     

    “มันสายไปแล้วดงเฮ เขาได้ตายจากการเป็นมนุษย์ที่นายมอบให้แล้ว ถึงเวลาต้องกลับบ้านแล้วหลานรัก”

     

    ฝ่ามือที่อุ่นเย็นจับมาที่แขนเล็ก หากแต่เมื่ออี้ชิงก้มลงมองมือนั้นกลับพบเพียงความว่างเปล่า เขาไม่เห็นเลือดเนื้อของตัวเองอย่างที่ควร ที่เห็นเพียงฝ่ามือของชายแปลกหน้าที่จับอยู่กลางอากาศ แล้วความรู้สึกที่เหมือนถูกจับแขนนี้คืออะไร อี้ชิงไม่รู้เลยว่าตอนนี้เขากลายเป็นดวงจิตแห่งอเนโมส...เป็นเพียงอากาศธาตุในสายลม

     

    “ฉัน...”

     

    “ไม่ว่าช้าหรือเร็วเขาจะรู้ความจริง ความจริงที่ว่าเขาจากบ้านมานานไปแล้ว นายไม่มีอะไรต้องกังวลหรอก เขาจะชอบมันแน่นอน มันมาจากสัญชาตญาณในตัวเขา”

     

    “ฉันคงฝืนมันไม่ได้อีกแล้ว”

     

    “ใช่ ถึงเวลากลับฟีนูคอนแล้ว...อเนโมส โมโนส ซายโนเดียร์ เมทาโฟร่า”

     

    ภาษาแปลกๆนั้นดังขึ้นจากชายแปลกหน้า ก่อนที่อี้ชิงจะรู้สึกเหมือนตัวเองหลับใหลไปอีกครั้ง หากแต่ความจริงแล้วคิบอมเพียงแค่กอบกุม ร่างที่สบายกลายเป็นลมของร่างบางไว้ ในอุ้งมืออุ่นเย็นของผู้พิทักษ์ ก่อนที่ร่างกายของเขาจะค่อยๆปลิวไปกับสายลมที่พัดผ่าน นำพาร่างของอี้ชิงกลับสู่ดินแดนหลังม่านน้ำ

     

    ...ดินแดนของชาวฟีนูคอน...

     

    <<< The Phonucorn…เพลิงพิทักษ์ >>>

     

    เป็นอีกครั้งที่ม่านตาสวยกระพริบถี่ พร้อมอาการเมื่อยล้าที่เกาะกุมทั้งร่างกาย ลมหายใจที่ยังอุ่นบอกให้รู้ว่าเขายังมีชีวิต อี้ชิงลืมตาขึ้นเต็มตาเมื่อให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้อยู่ในนรก หรือ สวรรค์ หากแต่ภาพที่ปรากฏตรงหน้าก็ไม่คุ้นเคยสักนิด สิ่งแรกที่อี้ชิงทำเมื่อได้สติคือการยกแขนของตัวเองขึ้นมาดู นึกโล่งใจไม่น้อยที่เขายังมีเลือดเนื้อ

     

    ...มันก็คงเป็นแค่ฝันร้ายเช่นทุกที...

     

    “อื้อ...อ...อ~”

     

    ร่างบางชันตัวขึ้นมองไปรอบๆห้องสีขาวด้วยความแปลกใจ เท่าที่จำบ้านของเขาหลังเล็กและแถวชานเมือง แต่ตอนนี้สิ่งที่เห็นคือห้องกว้าง และ นอกหน้าต่างนั่นก็ดูเจริญอย่างผิดหูผิดตา...ทุ่งนาของคุณตาชอนดงไปไหนแล้ว?

     

    เทาเล็กก้าวลงจากเตียงนอนนุ่มสัมผัสกับพื้นพรม ยิ่งทำให้รู้สึกไม่คุ้นชินกับความละมุนของบ้านหลังนี้เข้าไปใหญ่ ไม่ใช่ว่าไม่ชอบที่ได้อยู่ในบรรยากาศแสนผ่อนคลาย แต่เขาแค่ไม่รู้สึกแตกต่างเท่านั้น เหมือนที่นี่ไม่ใช่โลกใบเดิม

     

    “หือ?”

     

    เสียงแหบดังขึ้นแสดงความตกใจ มือเรียวทาบลงที่ข้างแก้มของตัวเองด้วยความแปลกใจ เมื่อมองเห็นใบหน้าของตัวเองที่สะท้อนกับกระจกหน้าต่าง ใบหน้าของเขาโปร่งแสง เหมือนมีสายลมหรือฝุ่นบางอย่างถูกกักเก็บไว้ข้างใน แต่เมื่อสัมผัสก็ยังรู้สึกถึงเนื้อหนังของตัวเอง สมองสั่งการให้หาคำตอบด้วยการเดินเข้าไปที่กระจกบานใหญ่มุมห้อง

     

    “นี่มันเกิดอะไรขึ้น!

     

    เหมือนโลกหมุนเหวี่ยงเร็วกว่าเคย ร่างบางตัวแข็งทื่อไปอย่างฉับพลัน เมื่อเห็นใบหน้าของตนเองใสราวกับแก้ว และ มีอากาศหมุนวนอยู่ภายใน ทั้งที่คอก็เป็นเนื้อหนังไม่ผิดเพี้ยน จะมีบางส่วนเท่านั้นที่ยังคงเป็นจุดใสๆเหมือนใบหน้า

     

    “อะไร...มันคืออะไรกัน!

     

    ความหวาดกลัวและสับสนตีตื้นจนยากจะหนีพ้น เท้าเล็กหมุนวนมองไปรอบๆอย่างหาที่พึ่ง ก่อนที่บานประตูไม้สีเข้มจะเปิดออก พร้อมร่างของบิดาที่เหมือนจะวิ่งเข้ามา หลังจากได้ยินเสียงของลูกน้อย ผู้เป็นพ่อสวมกอดหวังเพียงปลอบประโลมร่างบางไว้ ไม่อยากให้อี้ชิงต้องกังวลใจกับการเปลี่ยนแปลง

     

    “ใจเย็นลูกรัก ใจเย็น”

     

    “นี่มันอะไรครับพ่อ ผมเป็นอะไร?!

     

    “ลูกยังเป็นลูกอี้ชิง ทุกอย่างจะเรียบร้อย”

     

    “แต่หน้าของผม...!

     

    “ไม่คนดีของพ่อ แค่ธาตุของลูกยังไม่คืนสภาพเท่านั้น สายลมจะช่วยให้มันเป็นปกติในไม่ช้า เหลืออีกนิดหน่อยลูกก็จะหายแล้ว”

     

    “หาย?! หายจากอะไรครับพ่อ ผมกลายเป็นตัวอะไรกันแน่!

     

    แววตาที่แสนรวดร้าวมองไปที่ดงเฮอย่างวอนขอคำตอบ ยิ่งเห็นลูกชายไม่เป็นตัวของตัวเองผู้เป็นพ่อยิ่งคิดไม่ตก ว่าจะพูดอย่างไรดีเพื่อให้อี้ชิงเข้าใจ

     

    ...เข้าใจว่าเขาไม่ได้เปลี่ยนไป จากสิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด...

     

    “บอกเขาไปสิดงเฮ ว่าเขาคือชาวฟีนูคอน เขาคือคนของเผ่าอเนโมส ไม่ได้กลายเป็นอมนุษย์หน้าสมเพช ถึงต้องทำน้ำเสียงเช่นนั้น...”

     

    สองพ่อลูกหันไปมองผู้มาใหม่ด้วยสายตาที่ต่างกัน ดงเฮวอนขอเหลือเกินให้เธอหายไปกับสายลมตอนนี้ หากแต่อี้ชิงกลับมองด้วยความอยากรู้ว่าหญิงชรานี่เป็นใคร แล้วทำไมถึงมีใบหน้าและรอยยิ้มที่คล้ายบิดาของเขานัก

     

    “...หลานควรดีใจที่เราได้กลับมาอยู่ด้วยกัน ป้ารอมาตลอดให้หลานรู้เรื่อง”

     

    “เรื่องอะไรครับ? แล้วคุณ...เป็นป้าของผมจริงเหรอ?”

     

    “แน่นอนสิคนเก่ง ป้าเป็นป้าแท้ๆของหลาน ลี ดาเฮ ศาสตราจารย์วิชาการเดินทางแห่งมหาวิทยาลัยฟีนูคอน ผู้คุมกฎแห่งผู้พิทักษ์...

     

    “ดาเฮออกไปก่อนได้มั้ย ผมขอคุยกับอี้ชิงตามลำพัง”

     

    ผู้เป็นพ่อพูดขึ้นเมื่อเห็นแววตาที่สับสนกว่าเดิมของลูกชาย ดงเฮไม่คิดว่าอี้ชิงพร้อมที่จะรับรู้เรื่องราวทั้งหมดตอนนี้ ใครจะรับได้ที่ต้องรู้ว่าตัวเองกำลังมาเกิดใหม่ ในโลกที่ไม่เคยรู้ว่ามีอยู่ แถมเต็มไปด้วยบุคคลที่มีความเชื่อที่แตกต่างกัน พี่สาวของเขาเองก็เป็นพวกลัทธิเชื่อถือในอเนโมสนิยมเสียด้วย

     

    “อย่าไล่ฉันแบบนั้นสิ เธอไม่รู้วิธีพูดที่ถูกต้อง ฉันช่วยได้...”

     

    “อย่าทำแบบนั้นดาเฮ อี้ชิงยังพร้อม!

     

    “แต่ฉันพร้อม...อเนโมส โออีล เซดีโอ ชโลโนส~”

     

    ภาษาที่ไม่เคยบัญญัติไว้ในโลกมนุษย์ดังขึ้นอีกครั้ง อี้ชิงคิดว่ามันคล้ายภาษากรีก แต่ลักษณะการออกเสียงนั้นคล้ายภาษาอิตาลี เท่าที่จำได้คือครั้งแรกหลังจากได้ยินภาษาคล้ายกันนี้ เขาก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย แต่ครั้งนี้เขายังลืมตาตื่นแล้วเฝ้ามองกลุ่มลมที่พวยพุ่งออกมาจากอุ้งมือเล็กที่ผายออกทั้งสองข้าง เกิดพายุลูกย่อมระหว่างช่องอากาศ และกลายเป็นภาพบางอย่างค่อยๆชัดขึ้นที่กลางพายุนั้น

     

    “นั่นคือหลานอี้ชิง ในวันแรกที่หลานมาที่นี่ ธาตุของหลานอ่อนแออยู่ในอุ้งมือของคิบอม วันที่สองมวลสารเริ่มก่อร่างกลายเป็นกายนี้อีกครั้ง และ เช้าวันนี้เองที่ร่างกายของหลานเริ่มกลับคืน แต่สายลมนี้ช่างอ่อนแรงเหลือเกิน เราไม่คิดว่าหลานจะฟื้นก่อนที่กายจะกลับคืน”

     

    ดาเฮบรรยายภาพต่างๆที่ดำเนินไปอย่างใจเธอนึก ก่อนจะผายมือหมุนวนผ่านกลุ่มพายุ เพื่อเก็บสายลมนั้นไว้ในร่างกายของเธออีกครั้ง การทำงานของเวทร่ายก็คงคล้ายกับการหมุนเวียนพลังงาน เมื่อเราใช้มันก็สามารถกักเก็บมันคืนได้อีกบางส่วน

     

    “ลูกกำลังจะตายพ่อปล่อยให้เขาทำลายดวงจิตของลูกไม่ได้ ลูกหลับไปสามวัน คุณหมอมาที่นี่เมื่อเช้าบอกว่าลูกอาจจะฟื้นพรุ่งนี้ เราคิดว่าไม่น่ามีปัญหา แต่ลูกฟื้นตัวเร็ว”

     

    “นั่นเพราะหลานคุ้นเคยกับเผ่าเรา สายเลือดของฟีนูคอนโหยหาลมหายใจ”

     

    ร่างบางเหลือบมองหญิงชราอีกครั้ง ก่อนจะหันมามองผู้เป็นพ่อด้วยแววตาที่สับสนหนัก เขารู้สึกเหมือนรู้ว่าตัวเองกลายเป็นอะไร แต่ก็อยากได้คำอธิบายสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นเช่นกัน

     

    “ดาเฮพี่ออกไปก่อนได้มั้ย ผมต้องคุยกับอี้ชิง”

     

    “ได้สิ ยังไงฉันก็ได้ทำหน้าที่ป้าแล้วนิ”

     

    หญิงชราที่ดูไม่อ่อนแรงสมวัยนักเดินออกไปอย่างอารมณ์ดี ทิ้งไว้เพียงสองพ่อลูกที่เดินกลับมานั่งลงบนเตียงอีกครั้ง ดงเฮสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ รวบรวมความกล้าเพื่ออธิบายสิ่งที่ค้างในใจของร่างบางตอนนี้

     

    “แม่ของลูกเขาเป็นฟิสสิเพรสหมายถึงมนุษย์ธรรมดาน่ะ เราพบกันตอนที่พ่อไปตรวจตราในเกาหลีใต้”

     

    “ตรวจตรา พ่อไม่ได้ทำงานให้ไปรษณีย์เหรอครับ?”

     

    “ไม่ใช่ งานของพ่อคือการเป็นผู้พิทักษ์คล้ายตำรวจ แต่เรามีหน้าที่ทำให้ผู้วิเศษคล้ายคลึงกับฟิสสิเพรส เราเก็บกวาดดวงจิตที่จะกลายพันธุ์ แต่ไม่มีธาตุที่ใช้ถือกำเนิด เมื่อพวกฟิสสิเพรสมีดวงจิตที่แข็งแรงเขาจะกลายธาตุ แต่เพราะจิตใจมนุษย์นั้นไม่สามารถเหลื่อมซ้อนกับธาตุเดียวได้ ทำให้ร่างกายของเขาไม่สามารถประกอบได้”

     

    “เหมือนตอนที่ผมประสบอุบัติเหตุ”

     

    “ไม่เหมือน ลูกมีธาตุที่ถือกำเนิด ลูกเป็นคนของเผ่าอเนโมส”

     

    “อะไรคืออเนโมสครับ?”

     

    ดวงตาของผู้เป็นพ่อวิตกหนักเมื่อคำถามที่กลัวที่สุดมาถึง คำถามที่จะนำไปสู่ปัญหาที่มากมายหลังจากนี้ เมื่ออี้ชิงได้รู้ความจริงเกี่ยวกับตัวของเขาเอง

     

    “ลูกเป็น...ธาตุลม”

     

    “ผมเหรอ?...เรื่องนี้พ่อรู้ตั้งแต่เมื่อไร”

     

    “ตั้งแต่ลูกคลอด ตั้งแต่แม่เสียชีวิต พ่อก็รู้มาตลอดว่าว่าลูกพิเศษ”

     

    “เพราะผมเป็นอเนโมส นี่คือเหตุผลจริงๆที่แม่ต้องตายเหรอครับ”

     

    “มัน...ยากที่จะอธิบาย”

     

    ทุกคำพูดช่างเหมือนคมดาบที่กรีดอยู่ในลำขอของดงเฮ เขาเสียใจเสมอเมื่อนึกถึงหญิงสาวผู้เป็นที่รัก แต่หากความเจ็บปวดนั้นต้องถูกเก็บไว้ เพื่อปกป้องลูกชายจากเผ่าพันธุ์ที่แท้จริงมาตลอดหลายปี

     

    “ผมอยากกลับ...”

     

    “เราจะไม่ไปไหนอีกแล้วอี้ชิง ลูกกลับไปที่บ้านเดิมไม่ได้แล้ว ทุกคนคิดว่าลูกถูกไฟเผาตายแล้ว ถ้าลูกกลับไปลูกจะถูกผู้ล่ากำจัด พ่อเสียใจที่ทุกอย่างกลายเป็นแบบนี้ แต่เราเหลือกันแค่สองคน...พ่อจำเป็นต้องพาลูกกลับมา”

     

    เหมือนโลกทั้งใบพลิกกลับ น้ำตามากมายไหลอาบแก้มเนียนด้วยความเสียใจ อี้ชิงไม่แม้แต่จะยินดีที่ได้กลายเป็นผู้มีพลังวิเศษ ไม่ปรีดากับการได้รู้ความคิดบ้าๆของตัวเองกำลังเป็นจริง เพราะทั้งหมดนั่นคือเครื่องยืนยันว่าเขาเสียมารดาไปด้วยตัวเขาเอง

     

    “ลูกอาจจะต้องการเวลาปรับตัวแต่เราจะอยู่ที่นี่ให้ได้”

     

    อ้อมกอดของบิดานั้นอุ่นกว่าเคยรู้สึก เหมือนมีสายลมเพียรกระซิบที่ข้างหูว่าเขาจะทิ้งคนๆนี้ไปได้อย่างไร ร่างบางเหลือเพียงพ่อที่รักเขามากที่สุด และ ความจริงที่ว่าเขาคือไม่ใช่ฟิสสิเพรส...เขาคือชาวอเนโมส

     

    “เย็นนี้พ่อมีคนที่อยากแนะนำให้ลูกรู้จัก เขาจะช่วยให้ลูกอยู่ที่นี่ได้ง่ายขึ้น”

     

    “ครับ”

     

    “พักผ่อนนะเด็กดี อเนโมส โมโนส ซายโนเดียร์ โคเดมิส~”

     

    ...พักผ่อนเพื่อต่อสู้กับความจริง...

     

    ร่างบางทิ้งตัวลงกับเตียงอีกครั้ง ค่อยๆเข้าสู่ห้วงนิทราโดยไม่อาจรู้เลย ว่านี่คือฤทธิ์ของเวทร่ายแรกจากบิดา ดงเฮห่มผ้าให้ลูกชายสุดรักพร้อมบรรจงจูบที่หน้าผากมน ส่งต่อพรแห่งการถือกำเนิดให้ลูกน้อย

     

    <<< The Phonucorn…เพลิงพิทักษ์ >>>

     

    “ปีนี้มีแต่พวกอิคคอลลี่ตัวแสบเพียบ สายเลือดอฟาไตรกลายเป็นติ่ง”

     

    คำพูดที่แสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจดังขึ้น ก่อนที่ร่างกายสูงโปร่งของผู้พูดจะปรากฏขึ้น กลางกลุ่มไฟโชติช่วงบนแท่นหินกลางสวนหย่อม ขายาวก้าวเร็วผ่านพื้นหญ้าชื้นแฉะที่เกิดจากฝนของพวกโบโลนี มาหยุดนั่งลงบนม้านั่งข้างร่างสง่าของเจ้าของบ้าน ในมือถือกระดาษปึกใหญ่เข้ามาด้วย

     

    “ไม่อยากจะเชื่อว่ากระทรวงศึกษาจะทำแบบนี้กับเผ่าอฟาไตรได้ ทั้งที่มหาลัยก็ใช้พื้นที่ของเขตแดนเราตั้งครึ่งผืน!

     

    กระดาษปึกหนาถูกโยนขึ้นอากาศ แต่มันไม่ได้ร่วงหล่นตามแรงโน้มถ่วง พวกมันเพียงแค่ล่องลอยผ่านกันไปมาในอากาศ แล้วเรียงลำดับรายชื่อกว่าร้อยนั้นยาวลงมาทีละแผ่น โชว์จำนวนสีที่แตกต่างของนักศึกษาปีหนึ่งที่แบ่งตามธาตุ แหล่ะประเภทของการถือกำเนิดไว้อย่างชัดเจน

     

    “เห็นแล้วอยากเผาให้หมด!!!

     

    พรึบ!!!

     

    เสียงนั้นไม่เพียงเอ่ยด้วยความโมโห แต่มือข้างหนึ่งก็ผายออกพร้อมเรียกชื่อธาตุแสดงตน จนเกิดประกายไฟลุกโชนบนฝ่ามือ ปลายนิ้วเคลื่อนไหวควบคุมทิศทางของเปลวไฟเตรียมส่งมันไปยังกระดาษเวทตรงหน้า ถ้าไม่ติดที่เจ้าของบ้านวางมือทับเปลวไฟนั้นจนมอดไปเสียก่อน

     

    ฉ่า!!!

     

    “นายจะเผาสนามของคุณแม่รึไง เดี๋ยวฉันก็โดนบ่นหูชาอีก”

     

    แววตาดุดันมองเพื่อนที่กำลังอารมณ์ร้อนอย่างตำหนิ ก่อนที่เขาจะละมือมาลูบไปตามพื้นดาบเงาในมือต่อ ดวงตาคมกริบละมุนขึ้นกว่าเมื่อครู่อย่างเห็นได้ชัด

     

    ...เขาหลงใหลในการต่อสู้เป็นที่สุด...

     

    “ขอโทษครับนายน้อยอู๋ กระผมลืมตัวนิ นึกว่าอยู่บ้านตัวเอง”

     

    “อย่านึกว่าบ้านตัวเองบ่อย ครั้งที่แล้วฉันโดนทำโทษให้ปลูกหญ้าเกือบหมด”

     

    คริส กลอกตาอย่างระอาเมื่อนึกถึงช่วงเวลาราวๆสองสัปดาห์ก่อน ชานยอลเป็นลูกชายของหัวหน้ากระทรวงผู้พิทักษ์ รู้เรื่องกฎหมายดีพอๆกับผู้เป็นบิดา แล้วยังเป็นนักเรียกร้องสิทธิอฟาไตรชื่อดังของมหาวิทยาลัยเสียด้วย

     

    ต่างจากคริสที่ไม่ค่อยสนใจเรื่องสิทธิ์ของผู้ถือกำเนิดมากนัก เขามองว่าการแบ่งชนชั้นถือกำเนิดเป็นเรื่องเข้าใจยาก สิ่งที่เขาต้องรู้ก็แค่ อฟาไตร คือพวกถือเลือดศักสิทธิ์ตั้งแต่กำเนิด อิลคอลลี่ พวกผู้วิเศษที่ผสมจากหลายๆธาตุ แต่ก็ยังถูกจำกัดเผ่าพันธุ์อยู่ และ ฟิสสิเพรส พวกมนุษย์ไร้เวทร่ายที่มีมากกว่าพวกเขาหลายเท่า ที่สำคัญจริงๆคือเราเกิดในธาตุใดต่างหาก

     

    ...จะสำคัญอะไรว่าชนชั้นใด ขอให้เป็นชาวโฟเธียก็พอ!...

     

    “ขอโทษน่ะ ก็คราวที่แล้วเด็กผีเลือดเย็นนั่นกวนประสาทฉันก่อน”

     

    “ทำไมนายเรียกแบคฮยอนแบบนี้ ยังไงเขาก็เป็นอฟาไตรไม่ใช่รึไง”

     

    คราวนี้เป็นชานยอลเสียเองที่กลอกตาระอา เพียงแค่นึกถึงเจ้าของใบหน้าเรียวเล็กแสนเย่อหยิ่งนั้น เขาก็จับอุณหภูมิน้ำแข็งของเจ้านั่นได้แล้ว

     

    “อฟาไตรปลอมน่ะสิ ชาวเราที่ไหนกันที่วันๆเอาแต่ชื่นชมพวกอิลคอลลี่ เด็กนั่นคือผู้มีความคิดต่อต้านการดำรงเผ่าพันธุ์ของเลือดศักดิ์สิทธิ์”

     

    “บางที...เด็กนั่นอาจจะคิดถูก ที่ทำแบบนั้นก็ได้”

     

    เสียงทุ้มเอ่ยออกมาราวกับต้องการบอกเพียงใจของเขาเอง มือกร้านผายมือปลุกธาตุของตนเองผ่านดาบคมในมือ บรรจงลูบผ่านมันให้เปลวไฟหลอมเหล็กกล้า จนกลายเป็นศิลาเพลิงเม็ดน้อยในมือ

     

    “นายเคยคิดมั้ยชานยอล บางทีการเกิดเป็นอฟาไตรกำลังจองจำนาย”

     

    “อะไรของนายวะ?”

     

    “บางทีการที่เราแค่เป็นประชาชนชั้นสองของฟีนูคอนมันอาจจะดีกว่า”

     

    ชานยอลนิ่งไปเพราะเข้าใจความหมายที่เพื่อนกำลังพูด ถึงเขากับคริสจะเติบโตมาในเขตพิเศษของผู้ถือกำเนิดเป็นอฟาไตร แต่ถ้าเทียบกันแล้วชีวิตเขานั้นแสนเสรี ต่างจากร่างสง่าที่เกิดมาด้วยจิตใจของผู้พิทักษ์ ตามการถือกำเนิดในธาตุไฟอย่างสมบรูณ์แบบ

     

    “การเกิดเป็นอฟาไตรไม่ได้จองจำนายหรอกคริส แต่สิ่งที่นายถืออยู่ต่างหากล่ะ ที่มันกำลังรวมดวงจิตนายไว้...”

     

    มือกร้านค่อยๆคลายสิ่งที่อยู่ในมือออก ตาคมหม่นลงเมื่อมองศิลาสีแดงฉานในมือของตนเอง เขารู้ว่าการผูกตัวเองไว้กับแร่นักรบนั้นเป็นความคิดที่ผิดมหันต์ แต่การมีอาวุธไว้ข้างกายเสมอทำให้เขารู้สึกปลอดภัย สงบสุข และ ไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดที่ผ่านเข้ามา แม้มันจะแลกด้วยความสุขชั่วนิรันดร์ก็ตาม

     

    “...พวกเราชาวโฟเธียเกิดมาเพื่อเป็นผู้พิทักษ์คริส เราไม่ใช่ผู้ล่าแบบชาวโบโลนีเสียหน่อย พวกเราไม่จำเป็นต้องพกแร่นักรบก็ได้ นั่นจะปลอดภัยกับดวงจิตของนายมากกว่า นายก็รู้ว่ามันไม่เป็นผลถึงนายจะฝืนทำก็ตาม มันถูกกำหนดไว้แล้ว”

     

    คำพูดของร่างสูงนั้นราวกับหลุดมาจากคัมภีร์การถือกำเนิดไม่มีผิด ชานยอลคงท่องพวกมันอย่างขึ้นใจแล้ว ว่าสายเลือดแห่งไฟชาวโฟเธียนั้นเกิดมาเพื่อสิ่งประสงค์ใด

     

    “เราทุกคนคือผู้ล่าชานยอล คนอ่อนแอเท่านั้นที่จะวางอาวุธทั้งที่มีแรงเหลือ หากเราเชื่อว่าสายเลือดแห่งโฟเธียศักดิ์สิทธิ์จริง!

     

    พรึบ!

     

    กระดาษเวทที่เขียนรายชื่อของว่าที่นักศึกษาปีหนึ่งไว้ไฟลุกท่วม ด้วยน้ำมือของคริสที่กล่าวห้ามในตอนแรก ชานยอลมองนิ่งรู้ว่าพลาดแล้วที่พูดเรื่องต้องห้ามนี้ เพื่อนของเขาเชื่อว่าสายเลือดแห่งโฟเธียแข็งแกร่งที่สุด...และคริสก็แข็งแกร่งอย่างน่ากลัวเช่นกัน

     

    “ไม่ว่าจะมีพวกเผ่าอื่นมากแค่ไหน ฉันจะทำให้นายเห็นเองว่าการเป็นโฟเธียเท่านั้นที่สำคัญกว่า ไม่ว่าเราอยู่ชนชั้นถือกำเนิดใด ชาวโฟเธียจะต้องไม่พ่ายแพ้ต่อพวกเผ่าอื่นโดยเฉพาะพวกอเนโมส!

     

    ดวงตากร้าวมองไปที่เพื่อนเพื่อยืนยันคำพูดของตนเอง ร่างสง่าผายมือทั้งสองข้างออกในอากาศจุดเปลวไฟขึ้นทั้งสองมือ สายลมที่พัดผ่านช่างน่ารังเกียจสำหรับคริส เขาไม่ได้อยากหายใจด้วยอากาศพวกนี้

     

    ...เพราะนั้นยิ่งย้ำว่าชาวโฟเธียอ่อนแอกว่าพวกอเนโมส...

     

    “เห็นมั้ยชานยอล ฉันคืออัคนีและกาฬวาตจะไม่มีวันชนะฉันได้ ฉันจะไม่มีวันเป็นธาตุของพวกอเนโมส พวกเราไม่ได้เป็นไปตามคำทำนายเพ้อเจ้อนั่น!

     

    พรึบ!!!

     

    ด้วยความโกรธที่กำลังโหมกระพือในใจ ทำให้ธาตุในกายแสดงตนออกมาหลอมกายของคริสไว้ ร่างสง่ากอดตัวเองแน่นไม่แม้แต่จะเอ่ยเสียงร้องออกมา ทั้งที่ทรมานเหลือเกินกับไฟนี้...แต่เขาคือชาวโฟเธียเขาคือไฟ!!!

     

    “ฉันจะทำให้นายเห็น...ชะ...ชานยอล ไฟของพวกเราจะต้องอยู่เหนือคำสาปนั่น อ๊าก...ก...ก...ก!

     

    เสียงคำรามลั่นเมื่อร่างกายไม่อาจทนต่อไฟพิษได้ ทุกสิ่งบนโลกล้วนเป็นคุณและเป็นโทษในตัวของมัน ไฟก็เช่นเดียวกัน หากปล่อยให้เพลิงแค้นโหมกระหน่ำก็จะเผาไหม้ดวงจิตของผู้ถือกำเนิดได้ ไม่มีใครอยู่เหนือกฎแห่งฟีนูคอนได้...แม่แต่เทพีโฟเธีย

     

    <<< The Phonucorn…เพลิงพิทักษ์ >>>

     

    The Phonucorn – Chapter 1

    สวัสดีค่ะนักอ่านทุกคน

    วันนี้รีบมารีบไป ฟ้าลงกลัวไฟดับมากเลยอ่า...า...า ต้องขอบคุณทุกกำลังใจเลยนะคะ^^

     

     

     © themy butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×