ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Phonucorn ตอน มนต์ถันฑิล [ KaiSoo , KaiDO : EXO ]

    ลำดับตอนที่ #57 : The Phonucorn ฟีนูคอน : อัสนีสาป – บทที่ ๑๓

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 172
      0
      10 มิ.ย. 59

     

    Title : The Phonucorn อัสนีสาป – บทที่ ๑๓

    Author : พระจันทร์สีทอง

    Genre : Fantasy Romantic Drama

    Warnings : Yaoi – PG 18

    Pairing :  Chen x Minseok

     

     

    บทที่ ๑๓

    The Phonucorn ฟีนูคอน : อัสนีสาป

     

     

     

     

     

    “และนายก็ควรค่าแก่ความลับของฉันด้วย...”

     

    “เฉิน!

     

    เสียงทุ้มยังไม่ทันได้เอ่ยบอกสิ่งที่ตั้งใจ เสียงหวานของซิ่วหมินที่เกิดสับสนก็ดังขึ้นขัดเสียก่อน ร่างบางไม่ทันได้เตรียมใจไม่ว่าความลับนั้นจะเป็นอย่างที่คิดไว้ หรือ ไม่เคยคาดถึงเลยก็ตาม ตาเรียวสบมองใบหน้าฉงนจากเพื่อนร่วมรุ่นตรงหน้า ไตร่ตรองถึงสิ่งที่กำลังจะรับรู้ว่ามันดีแล้วจริงเหรอ

     

    ...บางครั้งการไม่รู้ก็ดีกว่า...

     

    “เป็นอะไรรึเปล่าซิ่วหมิน?”

     

    “นาย...ไม่คิดเหรอว่าบางที ความลับของคนเราน่ะ มันก็ควรจะเป็นเพียงความลับตลอดไป ถ้าไม่รู้แล้วเรายังรู้สึกสบายใจกว่า ฉันไม่เคยคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ผิดเลยนะ ทุกคนก็ต้องมีเรื่องที่บอกใครไม่ได้ทั้งนั้นแหล่ะ ฉันเข้าใจนะ”

     

    “นายจะไม่เข้าใจถ้ามาบังเอิญรู้ที่หลัง”

     

    เพราะเฉินไม่ได้คิดถึงแค่การมีอยู่ในวันนี้ แต่เขาคิดถึงทุกๆวันที่ร่างบางอยู่ข้างกัน เขาไม่อยากเก็บความลับไว้ เพื่อให้มันมาทำลายความสัมพันธ์ในอนาคต เขาตัดสินใจที่จะทำมันแล้วแม้จะผิดต่อการถือกำเนิดก็ตาม แต่เขาอยากให้ซิ่วหมินรู้ความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับตัวเขา อยากให้ไว้ใจว่าคนที่ไม่เคยมีความรู้สึกรักเป็นของตนเองเช่นเขา จะมอบมันทั้งหมดให้ร่างบางเป็นคนแรก และ คนสุดท้าย

     

    “ทำไมถึงคิดว่าฉันจะไม่เข้าใจล่ะ นายบอกเองว่าฉันแตกต่าง”

     

    “เพราะโลกของนายไม่ได้บอกว่ามันถูก”

     

    ...ความเชื่อที่เป็นเหมือนการฝังหัวมาตั้งแต่เด็ก...

     

    ทุกคนย่อมมีความเชื่อที่แตกต่างกัน เทาอาจจะรับสภาพของร่างโปร่งได้ด้วยคำสอนของชาวเผ่าโบโลนี และ การที่มีบิดาเคยเป็นผู้ล่ามาก่อน แต่สำหรับซิ่วหมินที่ถือกำเนิดในเผ่าปาโกส มันคงไม่มีทางที่จะลบความเชื่อที่ติดมากับดวงจิตนั้นได้เลย

     

    “สรุปว่ายังไงนายก็จะบอกฉันใช่มั้ย”

     

    “ฉันอยากให้นายรู้ แต่ถ้านายไม่อยากรับฟัง...”

     

    “ฉันจะฟังเท่าที่จำเป็น นายบอกแค่เหตุผลได้มั้ย”

     

    “เหตุผลของฉันมันมากมาย”

     

    “ฉันก็มีเวลามากพอที่จะฟังเหมือนกัน”

     

    “หึหึ”

     

    เรื่องราวของเฉินในระยะเวลาเพียงไม่กี่สิบปีที่ถือกำเนิดนั้น นับเป็นเหตุผลทั้งหมดที่เขาต้องเป็นผู้ล่า ถึงจะเป็นการตัดสินใจด้วยสมองของเด็ก แต่เฉินไม่เคยเสียใจในชีวิตที่ตนเองเลือกมาก่อน จนถึงตอนนี้ที่อยากจะเลิกเป็น ก็ยังคิดว่าชีวิตแห่งการเป็นผู้ล่าช่างแสนวิเศษ

     

    “ฉันโตมาในสถานพยาบาลเด็กเล็กแห่งโบโลนี จริงๆคือถูกทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลและหลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ส่งฉันไปที่นั่น โตมากับเด็กๆชาวสายฟ้าอีกไม่กี่คนหรอก นายน่าจะพอรู้ว่าชาวโบโลนีส่วนมากฉลาด และ ทำงานในธนาคารหลายแห่งของฟีนูคอน หน้าที่พวกนั้นนำเม็ดเงินมหาสารมาให้แก่พวกเรา เด็กส่วนมากเติบโตมาในบ้านที่ดีและอบอุ่น แต่ก็ไม่ใช่ฉัน”

     

    “ทำไมนายไม่ให้เขาตามหาพ่อแม่ล่ะ”

     

    ร่างบางถามออกไปด้วยความตกใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขารู้ดีว่าการอยู่ในสถานพยาบาลของเด็กไร้บ้านนั้นมันแย่แค่ไหน ในปาโกสเองก็มีสถานที่คล้ายกัน แต่ต่างตรงที่ในนั้นไม่มีเด็กที่โตขึ้นมาถึงขนาดจำความได้ เนื่องจากชาวฟีนูคอนผูกกันเป็นสายใย เราสามารถหาพ่อและแม่ที่แท้จริงของเด็กสักคนได้ เพียงแค่ใช้เวทร่ายไม่กี่คำเท่านั้น

     

    ...แล้วทำไมเฉินถึงไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ล่ะ?...

     

    “พ่อแม่ของฉันน่ะคงเกลียดฉันมาก ฉันรู้เพียงแค่พวกที่สถานพยาบาลหาพวกเขาไม่เจอ พอโตมาอีกหน่อยก็รู้ว่าพวกเขาหนีออกไปจากฟีนูคอนแล้ว เยี่ยมเลยนะอยากทิ้งลูกจนยอมหนีไปทั่วโลก เพื่อไม่ให้ถูกตามเจอเนี่ย”

     

    แม้เสียงทุ้มจะเอ่ยออกมาอย่างไม่ใส่ใจ แต่ซิ่วหมินก็จับน้ำเสียงขมขื่นนั้นได้ มือเรียวทาบวางบนตักของร่างโปร่งอย่างให้กำลังใจ มอบรอยยิ้มอบอุ่นพร้อมใบหน้าที่ส่ายปฏิเสธเบาๆ

     

    “ไม่มีพ่อแม่ที่ไหนอยากทิ้งลูกหรอก เชื่อสิว่าเขาต้องมีความจำเป็น”

     

    “เหอะ! เอาเถอะนะ ถึงจะมีความจำเป็นอะไรก็ตามแต่ มันไม่สำคัญสำหรับฉันแล้วนับตั้งแต่สิบขวบ ฉันคิดวิธีที่จะมีครอบครัวในแบบที่ฉันต้องการ ทำเรื่องย้ายตัวเองไปอยู่ที่ศูนย์ศิลปะป้องกันตัว ในนั้นมีสายเลือดโฟเธียเกือบร้อยคนที่เข้าฝึก ฉันเป็นโบโลนีคนเดียวในนั้นจนอายุสิบสอง เป็นคนเดียวที่ต่อสู้ด้วยตัวเองอย่างไร้เพื่อนฝูง”

     

    “แล้วนายได้สร้างครอบครัวของนายยังไงล่ะ?”

     

    “ครอบครัวสำหรับฉันก็คือที่ไหนก็ได้ที่ชุบเลี้ยงฉันให้แข็งแกร่ง ไม่แพ้ และ เป็นที่ต้องการ ในนั้นฉันเก่งที่สุดสำหรับคนอายุเท่าๆกัน เพราะเป็นคนเดียวที่ไม่มีเงินมากพอจะเข้าโรงเรียน เลยได้ฝึกตลอดเวลาเลยล่ะ”

     

    “นายเก่งวิชาป้องกันตัวมากจริงๆ”

     

    “แต่แค่เก่งมันไม่มากพอจริงๆสำหรับฉัน ตอนนั้นฉันแค่สิบสองจะเข้าสิบสามเท่านั้นเอง แต่มีความทะเยอทะยานมากกว่าผู้ใหญ่ที่รายล้อมหลายเท่า สุดท้ายฉันก็เลือกทางของตัวเองได้ ทางที่เหมาะกับความถนัดของฉัน ทำเงินให้ฉันอย่างมหาสาร ทำให้ฉันได้กลับไปเรียนตามโรงเรียนปกติอีกครั้ง”

     

    ร่างโปร่งเลี่ยงที่จะพูดว่าสิ่งที่เขาเลือกให้ตนเองคือการเป็นผู้ล่า เพราะรู้ดีว่าซิ่วหมินคงไม่อยากได้ยินความจริงมากขนาดนั้น

     

    “ฉันคงดูเห็นแก่ตัวมากสำหรับนาย”

     

    “ก็ไม่หรอก ฉันเข้าใจว่าทุกคนต้องทำเพื่อความอยู่รอด พ่อแม่บอกเสมอว่าฉันโชคดีมากแค่ไหนที่เกิดมาในครอบครัวที่พร้อมสำหรับฉัน ฉันรู้ว่าคนอื่นต้องลำบากหากต้องอยู่โดยลำพัง”

     

    “แค่คำว่าลำบากอาจจะน้อยไปสำหรับสิ่งที่ฉันเคยเจอ เรียกว่าตรากตำก็ยังไม่แน่ใจว่าจะพอเลย”

     

    “ไม่ขนาดนั้นมั้ง”

     

    “ฉันเคยยอมเป็นกระสอบทรายให้พวกสายเลือดโฟเธียได้ฝึกฝีมือห่วยๆด้วย ยืนเฉยๆและขยับตามแรงที่ส่งมาก็พอ พวกนั้นไม่ได้สนว่าฉันจะเจ็บมั้ยด้วยซ้ำ ก็แค่คิดว่าใครแรงเยอะกว่ากัน ความเจ็บของฉันมีค่าแค่ฟีนไม่เท่าไรหรอก”

     

    มือหนาเผลอจับไปที่กระเป๋าของตนเองในเวลานี้ มันน่าแปลกเมื่อคิดถึงวันเก่าๆที่เขาแทบไม่มีฟีนมากพอจะซื้ออะไร แต่กลับได้นอนหลับในทุกคืนตามที่ร่างกายต้องการ แต่ดูเขาตอนนี้สิ มีฟีนมากมายสำหรับมื้ออาหารดีๆสักห้ามื้อต่อวัน แต่กลับจำไม่ได้ว่าคืนสุดท้ายที่ได้นอนคือเมื่อไร

     

    ...เมื่อได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง...

     

    “ความเจ็บปวดจะทำให้คนเราแข็งแกร่งนะ”

     

    “ก็จริง ถ้าไม่มีความลำบากพวกนั้นฉันคงเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ที่เติบโตมาอย่างไม่รู้อะไรสักอย่างในชีวิตเท่านั้น”

     

    “สำหรับฉัน นายเก่งมากที่ผ่านมันมาได้”

     

    ซิ่วหมินเอ่ยชมด้วยน้ำเสียงที่บอกให้รู้ว่ามันไม่ง่ายจริงๆที่จะผ่านมา มือเรียวอีกข้างที่ไม่ได้จับร่างโปร่งไว้ ยกขึ้นมากุมที่หน้าอกข้างซ้ายตลอดการฟัง ครั้งหนึ่งซิ่วหมินเคยมองว่าเฉินก็แค่เด็กมีปัญหาคนหนึ่งเท่านั้น คิดว่าทุกชีวิตก็แค่ดำรงมาอย่างง่ายๆเหมือนเขา คิดว่าทุกอย่างง่ายแม้แต่การเปลี่ยนเฉิน จนวันที่ทำได้ก็ไม่เคยรู้สึกว่ามันยากหนักหนา เขาไม่ได้ทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ให้เฉินในมุมมองของตนเอง แต่เมื่อเทียบกับมุมมองของร่างโปร่ง มันคงเหมือนพลอยมีค่าเม็ดแรกในมือ ที่ไม่อาจจะปล่อยให้หลุดมือไปได้เลย

     

    ...ของชิ้นเดียวกันอาจมีค่าต่างกันในมือของอีกคน...

     

    “อย่าทำท่าเหมือนสมเพชฉันสิ ฉันอยากดูเข้มแข็งในสายตาของนายนะ”

     

    “นะ...นายก็เข้มแข็งมากจริงๆนิ”

     

    “ฉันไม่ได้อยากดูเก่ง ไม่ได้อยากดูเข้มแข็งในสายตาคนอื่นอีกแล้วซิ่วหมิน ตั้งแต่ที่ฉันได้รู้จักนาย มันเปลี่ยนสิ่งที่ฉันเคยวาดฝันไว้ทั้งหมด”

     

    “ฉันเหรอ เป็นฉันจริงๆน่ะเหรอ”

     

    “นอกจากนายคงเป็นคนอื่นไม่ได้อีกแล้ว สำหรับฉัน”

     

    ตาคมมองใบหน้าหวานที่ยังเต็มไปด้วยความสับสน มือหนาวางลงที่กลุ่มผมนิ่มด้วยความรู้สึกยอมรับ ใจของเขาเต้นแรงขึ้นทุกวันที่ได้เจอกับซิ่วหมิน เป็นคนที่เดียวที่ทำให้เขารู้สึกมีชีวิตชีวาอย่างประหลาด

     

    “แต่ฉันอาจจะไม่ได้ดีอย่างที่นายคิด”

     

    “แค่เป็นนายก็ดีพอแล้ว”

     

    สองสายตาสอดประสานด้วยความรู้สึกที่ต่างกัน เฉินอิ่มเอมเหลือเกินที่ได้พูดกับร่างบางทั้งหมด ส่งผ่านความรู้สึกอัดอั้นสู่ท้องอากาศที่แสนว่างเปล่า ในวันนี้เขาได้เป็นเพียงเฉินที่ไม่ต้องเก็บซ่อนอะไรต่อซิ่วหมินแล้ว หากแต่ตาเรียวสวยที่เอ่อคลอด้วยน้ำสีใสนั้น มันไม่ได้มีความปรีดากับความรู้สึกดีๆที่ได้รับสักนิด มันไม่ง่ายเลยที่เขาจะทระนงในตนเองเหมือนอย่างเคย เมื่อรู้ว่านี่อาจเป็นสิ่งไม่ควร

     

    ...มันดีแล้วเหรอกับความรู้สึกที่เขาได้รับ...

     

    “ฉันไม่รู้หรอกว่านายจะตอบรับมันเช่นไร แต่ถึงยังไงฉันก็เลือกแล้วที่จะทำแบบนี้เพื่อนาย ต่อให้ต้องกลายเป็นแค่ใครก็ไม่รู้ที่ได้จ้องมองนาย มันก็อาจจะใกล้กว่าฉันตอนนี้ที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ได้นะ”

     

    “ฉันกลัวนายเสียใจ ไม่ใช่ว่าเพราะฉันจะปฏิเสธนายหรอกนะ แต่กลัวว่าจะมาเสียใจที่หลังเท่านั้นเอง นายมาไกลมากจริงๆในทางที่นายเลือก สมควรแล้วเหรอที่จะทำอะไรก็แล้วแต่นั่นเพื่อฉัน ฉันไม่รู้หรอกนะว่ามันคืออะไร แต่ก็นั่นแหล่ะ...ใช้สมองไตร่ตรอง”

     

    เสียงหวานเอ่ยออกไปอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาเองก็ไม่อยากจะยอมรับว่าทางที่เฉินเลือกคงเป็นการเป็นผู้ล่าตามที่คิด ไม่มีอาชีพไหนของชาวโบโลนีอีกแล้ว ที่ต้องใช้ความสามารถในการต่อสู้ และ ใช้แร่นักรบอย่างชำนาญเท่านี้ แต่สิ่งที่ซิ่วหมินไม่ได้รู้ เหมือนๆกับชาวเผ่าอื่นที่ไม่ใช่ชาวโบโลนีไม่รู้ ก็คือการกลับมาเป็นผู้ถือกำเนิดอีกครั้ง

     

    ...ราวกับว่าตายแล้วเกิดใหม่...

     

    “ฉันไตร่ตรองมาอย่างดีแล้วจริงๆ”

     

    “ฉัน...”

     

    “อย่าคิดมาก ขอแค่กำลังใจจากนาย ขอแค่เชื่อในฉันต่อจากนี้ก็พอ”

     

    <<< The Phonucorn…อัสนีสาป >>>

     

    ห้องอธิการบดี

     

    ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก

     

    “ท่านอธิการบดีครับ นักศึกษาชาวโบโลนีขอเข้าพบครับ”

     

    “หือ? ใครกันที่มาขอเข้าพบฉันเวลานี้”

     

    อธิการสาวเงยหน้ามองเวลาหนุ่มด้วยแววตาดุดันปนสงสัย ดูเหมือนที่นี่จะไม่ใช่ห้องพักครู ที่ไม่ว่าเด็กคนไหนก็เข้ามาพักได้ แล้วเด็กแบบไหนกันที่จะเดินขึ้นมาที่นี่

     

    “สวัสดีครับ”

     

    “เฉิน...”

     

    เพียงเห็นหน้าร่างโปร่งที่เดินเข้ามาหลังคำอนุญาต อธิการสาวก็ถึงกับต้องหายใจเข้าจนเต็มปอด เธอรู้อยู่แล้วว่าสักวันต้องมีวันนี้อย่างแน่นอน วันที่เฉินจะเดินเข้ามาหาเธอที่นี่ เพื่อบอกให้เธอเตรียมพบกับปัญหาใหญ่ที่จะตามมาอีกครั้ง เพราะมีผู้ล่าหลายคนที่เปลี่ยนไปเมื่อเข้ามาอยู่ที่สุสานแห่งนี้ รวมถึงเธอที่ครั้งหนึ่งก็เคยดำรงอยู่ในสถานะเดียวกันด้วย...ทางเลือกของผู้มีสิทธิ์

     

    “...มาพบฉัน มีอะไรเหรอ”

     

    “เรื่องนี้คงต้องพูดกันแค่สองคนนะครับ”

     

    “ได้สิ คุณออกไปก่อนนะฮีชอล”

     

    “ครับ”

     

    เมื่อเลขาหนุ่มปิดประตูลง ขายาวก้าวเข้ามายืนตรงหน้าโต๊ะทำงาน จ้องตาสวยคู่นั้นอย่างไม่มีความสับสนในดวงตา แม้เธอจะรู้สึกไม่ดีนักแต่ก็มอบรอยยิ้มให้เด็กหนุ่มอย่างเป็นมิตร เปิดบทสนทนาก่อนด้วยเรื่องทั่วๆไปที่เธอพอจะรู้มาบ้างเกี่ยวกับการทำงานของเฉิน

     

    “ได้ยินมาว่าเธอทำหน้าที่ได้ดีมาก แม้แต่การไปตรวจโทร์ลก็เป็นไปอย่างราบรื่นด้วยใช่มั้ย พวกผู้รับใช้ต่างพูดกันเป็นเสียงเดียว”

     

    “ก็คงต้องเป็นเสียงเดียวจากคยองซูอยู่แล้วนิครับ”

     

    เสียงทุ้มตอบกลับไปอย่างติดตลก เมื่อนึกถึงเพื่อนร่วมงานพาร์ทธามของเขา มีเพียงคยองซูเท่านั้นที่อยู่ในคอกกับเขาเสมอ ผู้รับใช้อะไรนั่นเขาก็เห็นเพียงแค่วันแรกที่มาสั่งงานเท่านั้น จากที่ตั้งใจจะไปๆโดดๆก็เลยอดสงสารเจ้าตัวเล็กคยองซูไม่ได้ เพราะแค่หน้าที่ดูแลโทร์ลพวกนั้นให้หลับ ก็ดูจะหนักไปสำหรับแขนขาเล็กๆนั่นแล้ว

     

    “เข้ากันได้ดีมั้ยกับคยองซู”

     

    “ก็ดีครับ”

     

    “เธอน่าจะชอบสุสานนี้นะ”

     

    “จริงๆแล้วมันเป็นสุสานที่ดีที่สุดที่ผมเคยทำงานมาเลยครับ แทบไม่มีเรื่องวุ่นวายภายในสุสานเลย”

     

    “แล้วเธอมาวันนี้มีอะไรล่ะ”

     

    อธิการสาวทำใจดีสู้เสือถามเรื่องที่รู้ดีอยู่แก่ใจออกไป เฉินเองก็ระบายยิ้มกลับเพราะรู้ดีว่าเธอก็คงรู้อยู่แล้ว แต่ที่ถามคงอยากได้เพียงคำยืนยันจากเขาก็เท่านั้น

     

    “ผมจะออกจากการเป็นผู้ล่าครับ”

     

    “เฮ้อ~”

     

    เสียงลมหายใจพรูออกจนหมดปอด รอยยิ้มบางๆยังถูกส่งไปให้อย่างอารี เธอจะไม่พูดออกไปว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่ว่าจะด้วยวิธีใดที่เธอรู้ว่าเกี่ยวกับการกลับมาเป็นผู้ถือกำเนิด เธอก็รู้ว่าเด็กหนุ่มนี้สามารถทำได้ทั้งนั้น

     

    “เธอรู้มั้ยว่ามาบอกฉันแล้วมันเปล่าประโยชน์”

     

    “ผมคิดว่าไม่”

     

    “ทำไม?”

     

    “เพราะหนังสือเล่มนี้มีคนทำได้ทั้งหมดสิบสองคน และ...”

     

    มือหนาวางหนังสือเล่มเล็กลงบนโต๊ะทำงานของหญิงสาวอย่างเบามือ ทั้งที่ตาคมยังจ้องแววตาสวยที่วูบไหวนั้นอย่างไม่ลดละ ออกแรงเพียงน้อยนิดให้หนังสือไปอยู่ตรงหน้าของเธอ ก่อนจะพูดต่อ

     

    “...หนึ่งในนั้น มีชื่อของคุณ”

     

    เฮือก!!!

     

    ร่างของหญิงสาวสูงวัยที่ยังสวยสะพรั่งสะดุ้งอย่างแรงเมื่อรู้ว่าเธอโดนจับได้เสียแล้ว นี่คือความลับที่เธอเก็บซ่อนมาแสนนาน การเป็นผู้ล่าของเธอมันไม่เหมือนคนอื่นๆ ของเธอมันเป็นมาด้วยสายเลือดที่ตกทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น และเธอก็เป็นเพียงคนเดียวที่เลือกที่จะปฏิเสธสิ่งที่เทพีโบโลนีมอบให้มา

     

    ...สายเลือดเทวาแห่งโบโลนี...

     

    “นะ...น่ายินดีนะที่เธอค้นพบหนังสือเล่มนี้ แต่ฉันไม่คิดว่าฉันควรจะบอกอะไรเธอ”

     

    “ทำไมละครับ เพราะอะไร?”

     

    เฉินถามออกไปอย่างไม่เข้าใจนัก ทั้งที่เขาเคยมั่นใจว่าอธิการบดีสาวน่าจะเป็นคนที่พร้อมช่วยเขามากกว่าใคร เธอคือคนที่ผลักเขาเข้าไปในลานพิธีจันทร์จรัส มอบโอกาสที่เขาไม่เคยสนใจมองสู่สายตา แต่แล้ววันหนึ่งก็ดันเขาให้เดินกลับมาทางเดิม ทั้งที่เขาตัดสินใจจะก้าวไปหามันแล้ว

     

    ...นี่มันไม่มีความยุติธรรมเลยสักนิด...

     

    “แต่ผมต้องการให้คุณช่วย ไม่ได้คิดว่าคุณจะต้องพาผมไปออกล่าหรอกนะครับ แต่ช่วยบอกผมหน่อย คุณทำยังไงถึงสามารถตามล่าได้มากขนาดนั้นในเวลาเพียงน้อยนิด”

     

    “ฉันก็ทำเหมือนๆคนอื่น”

     

    “ไม่ มันไม่เหมือน!

     

    ร่างโปร่งตะคอกออกมาเสียงดังตามแรงอารมณ์ พร้อมพลิกหนังสือไปที่หน้าก่อนสุดท้าย ที่มีชื่อและระยะเวลาที่ใช้ในการทำขั้นตอนต่างๆ ผู้ล่าหลายสิบคนแรกใช้เวลาหนึ่งถึงสองปีต่อหนึ่งคน แต่หญิงสาวเพียงคนเดียวที่ลงชื่อในหนังสือเล่มนี้ กลับทำมันได้ในเวลาเพียงสองเดือนเท่านั้น

     

    “คุณทำมันได้ไวกว่าผู้ชายที่แข็งแกร่งหลายเท่าเลยนะ ผมมั่นใจว่าคุณตัวแค่นี้ไม่มีทางที่คุณจะล่าดวงจิตได้ไวกว่าพวกเขาแน่”

     

    “อย่าดูถูกสตรีเพศสิ เธอก็น่าจะรู้ว่าเทพีโบโลนีก็ทำสงครามเก่งกว่าพี่ชายคนไหนๆ แล้วทำไมฉันจะล่าเก่งกว่าพวกนั้นไม่ได้”

     

    “คุณโกงใช่มั้ย”

     

    “ง่ายกว่าการโกงเยอะวิธีที่ฉันทำน่ะ สิ่งที่คนพวกนั้นไม่เคยสนใจในหนังสือเล่มนี้ สิ่งที่เธอเองก็ยังมองข้าม”

     

    ...สิ่งที่สำคัญแต่ดูเหมือนไม่สำคัญ...

     

    เฉินนิ่งไปอย่างใช้ความคิด ตอนนี้เขาสับสนไปหมดทั้งสิ่งที่คัมภีร์แห่งการถือกำเนิดบอก และ เรื่องราวที่อ่านมาจากหนังสือเล่มนี้ อะไรที่ผู้หญิงตรงหน้าเขาทำและแตกต่างจากคนอื่นๆทำ

     

    “เหอะ! ทีนี้เธอคงรู้แล้วสินะ ว่าฉันไม่ใช่แค่ผู้หญิงธรรมดาที่ทำได้ ถ้ายังคิดไม่ออกตอนนี้ อยากเอาเวลาไปทบทวนต่อในสุสานมั้ยละ เชิญ...”

     

    หญิงสาวพูดอย่างเหนือกว่ากล่าวไล่ออกไปอย่างสุภาพ หากแต่ไม่กี่ก้าวที่กำลังจะถึงประตู ความคิดหนึ่งที่ยังติดค้างก็โหมกระพือขึ้นมาในห้วงความจำ ดูเหมือนสิ่งที่ต่างที่สุดก็คือยอดของดวงจิตที่ชำระล้างไป ตาคมหันกลับมามองอธิการบดีสาวอีกครั้ง ก่อนจะยกยิ้มกับสิ่งที่เขาเริ่มรู้

     

    “ผมไม่ต้องการกลับไปที่สุสานแล้วล่ะ”

     

    “ธะ...เธอ”

     

    “คุณล้างมลทินของเทพีโบโลนียังไงเหรอครับ”

     

    คำถามที่เอ่ยออกไปอย่างตรงจุด ทำให้ใบหน้าสวยซีดลงอีกครั้งหนึ่ง เธอไม่ทันคิดว่าหากเฉินรู้วิธีของเธอขึ้นมาเธอควรจะทำอย่างไร เพราะกว่าเธอจะหาทางลัดสู่การหลุดพ้นได้นั้นก็เกือบเดือนเช่นกัน

     

    “เธอไม่ควรรู้”

     

    “ทำไมผมถึงไม่ควรรู้”

     

    “เพราะเธอไม่สามารถทำได้”

     

    การทำพิธีล้างมลทินต้องมีคุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่งจากสองข้อ ที่เธอมีแต่อย่างน้อยหนึ่งข้อคือการเป็นสายเลือดเทวาแห่งโบโลนี ส่วนอีกข้อที่เธอรู้ดีว่าเด็กหนุ่มแทบไม่มีโอกาสทำได้

     

    ...ฆ่าฟีนิกส์แห่งโฟเธีย...

     

    “บอกผมเถอะครับ อย่างน้อยคุณควรให้ผมได้พยายามไม่ใช่เหรอ”

     

    “มันเป็นเรื่องที่ยากมาก ต่อให้เธอเก่งแสนเก่งก็ตามที”

     

    แม้จะพูดออกไปอย่างนั้น แต่ก็อดที่จะสงสารร่างโปร่งที่เข้ามาหาเธออย่างมีความหวังในตอนแรกไม่ได้ เธอไม่ได้อยากจะเป็นคนแล้งน้ำใจกับสายเลือดโบโลนีด้วยกัน แต่เพราะการให้ความหวังที่เป็นไปไม่ได้นั้น มันโหดร้ายกว่าการทำลายความหวังเสียตั้งแต่ตอนนี้หลายเท่า การทำร้ายบางครั้งก็จะช่วยปกป้องไม่ให้เจ็บสาหัสได้

     

    “กลับไปซะ ถึงเธอจะยังยืนยันที่จะกลับมาเป็นผู้ถือกำเนิดก็ตาม แต่อย่ามาคาดหวังอะไรกับฉันอีกเลย คนที่จะช่วยเธอได้ไม่ใช่ฉันหรอกนะเฉิน อาจจะเป็นใครในสิบเอ็ดรายชื่อนั้นได้ แต่คงไม่ใช่ฉัน”

     

    “คุณใจร้ายจริงๆ อธิการบดีที่แสนดีในวันแรกที่ผมเข้ามาที่นี่ ไปอยู่ที่ไหนในตัวคุณแล้วเหรอครับ”

     

    “เธอยังอยู่ในตัวฉันขอให้เชื่อเถอะ ฉันสามารถช่วยเธอได้ทุกเรื่องที่เธอต้องการ ความหวังและโอกาส เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่สำหรับการใช้ชีวิตนะเฉิน แต่อย่าหวังว่าจะได้โอกาสมากจนเกินตัวไป มันจะทำร้ายเธอเอง”

     

    มือบางวางลงที่ข้างแก้มของเด็กหนุ่ม อยากจะเอ่ยคำขอโทษนับพันครั้งให้สาสมกับสิ่งที่เธอทำร้ายเขา เธอหยิบยื่นความหวังนั้นไปหลอกหล่อร่างโปร่งจนติดกับ ก่อนจะรู้ตัวว่าเธอต้องการมันมากกว่าใครแล้วเก็บมันคืนมา เหมือนเธอกำลังปล่อยให้เด็กน้อยร้องไห้กลางสนามเด็กเล่น ส่วนเธอก็หัวเราะร่าด้วยความสนุก

     

    ...หากแต่ตอนนี้เธอไม่ได้สนุกกับมันเท่านั้น...

     

    “ถึงฉันจะไม่ช่วยเรื่องนี้ แต่เธอก็ยังมีโอกาสที่จะกลับมาเป็นผู้ถือกำเนิดธรรมดานะ”

     

    “ผมรอนานขนาดนั้นไม่ได้ มีคนๆหนึ่งที่เขาอาจจะไม่สามารถรอผมนานได้ขนาดนั้น และอีกอย่างดวงจิตที่ผมแลกมา มันมากเสียจนผมไม่สามารถหลุดพ้นไปจากตรงนี้ได้เลยนะครับ คุณ...จะไม่ช่วยผมจริงๆเหรอครับ”

     

    “ฉันทำไม่ได้จริงๆ ถึงอยากช่วยก็คงไร้ประโยชน์”

     

    ร่างโปร่งก้มหน้ามองพื้นอย่างคิดไม่ตก ไม่รู้ว่าจะหาทางล้างมลทินให้กับเทพีโบโลนีได้อย่างไร แต่เมื่ออยู่นิ่งๆกับตนเองสักพักก็เหมือนเขาจะคิดอะไรขึ้นมาได้

     

    ...ไม่มีอะไรบนโลกฟีนูคอนที่ไร้ตัวตน...

     

    “เธอควรจะกลับไปพักผ่อน”

     

    “ท่านอธิการบดีครับ”

     

    “หือ?”

     

    “คัมภีร์แห่งการถือกำเนิดจะพอช่วยผมได้มั้ย?”

     

                         <<< The Phonucorn…อัสนีสาป >>>

     

    The Phonucorn – Chapter 3.14

    สวัสดีค่ะนักอ่านทุกคน

    ขอบคุณทุกกำลังใจนะคะ ขออภัยที่ลงช้าค่า ช่วงนี้มีสอบกับเตรียมรับปริญญาเลยทำให้ไม่มีเวลามากพอลง แต่ตอนนี้รับเสร็จแล้วจะรีบลงให้เลยนะคะ^^

     

     © themy butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×