คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #57 : The Phonucorn ฟีนูคอน : อัสนีสาป – บทที่ ๑๓
Title :
The Phonucorn อัสนีสาป – บทที่ ๑๓
Author
: พระจันทร์สีทอง
Genre
: Fantasy Romantic Drama
Warnings
: Yaoi – PG 18
Pairing
:
Chen x Minseok
บทที่ ๑๓
The Phonucorn ฟีนูคอน : อัสนีสาป
“และนายก็ควรค่าแก่ความลับของฉันด้วย...”
“เฉิน!”
เสียงทุ้มยังไม่ทันได้เอ่ยบอกสิ่งที่ตั้งใจ
เสียงหวานของซิ่วหมินที่เกิดสับสนก็ดังขึ้นขัดเสียก่อน
ร่างบางไม่ทันได้เตรียมใจไม่ว่าความลับนั้นจะเป็นอย่างที่คิดไว้ หรือ
ไม่เคยคาดถึงเลยก็ตาม ตาเรียวสบมองใบหน้าฉงนจากเพื่อนร่วมรุ่นตรงหน้า
ไตร่ตรองถึงสิ่งที่กำลังจะรับรู้ว่ามันดีแล้วจริงเหรอ
...บางครั้งการไม่รู้ก็ดีกว่า...
“เป็นอะไรรึเปล่าซิ่วหมิน?”
“นาย...ไม่คิดเหรอว่าบางที
ความลับของคนเราน่ะ มันก็ควรจะเป็นเพียงความลับตลอดไป
ถ้าไม่รู้แล้วเรายังรู้สึกสบายใจกว่า ฉันไม่เคยคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ผิดเลยนะ ทุกคนก็ต้องมีเรื่องที่บอกใครไม่ได้ทั้งนั้นแหล่ะ
ฉันเข้าใจนะ”
“นายจะไม่เข้าใจถ้ามาบังเอิญรู้ที่หลัง”
เพราะเฉินไม่ได้คิดถึงแค่การมีอยู่ในวันนี้
แต่เขาคิดถึงทุกๆวันที่ร่างบางอยู่ข้างกัน เขาไม่อยากเก็บความลับไว้
เพื่อให้มันมาทำลายความสัมพันธ์ในอนาคต เขาตัดสินใจที่จะทำมันแล้วแม้จะผิดต่อการถือกำเนิดก็ตาม
แต่เขาอยากให้ซิ่วหมินรู้ความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับตัวเขา
อยากให้ไว้ใจว่าคนที่ไม่เคยมีความรู้สึกรักเป็นของตนเองเช่นเขา
จะมอบมันทั้งหมดให้ร่างบางเป็นคนแรก และ คนสุดท้าย
“ทำไมถึงคิดว่าฉันจะไม่เข้าใจล่ะ
นายบอกเองว่าฉันแตกต่าง”
“เพราะโลกของนายไม่ได้บอกว่ามันถูก”
...ความเชื่อที่เป็นเหมือนการฝังหัวมาตั้งแต่เด็ก...
ทุกคนย่อมมีความเชื่อที่แตกต่างกัน
เทาอาจจะรับสภาพของร่างโปร่งได้ด้วยคำสอนของชาวเผ่าโบโลนี และ
การที่มีบิดาเคยเป็นผู้ล่ามาก่อน แต่สำหรับซิ่วหมินที่ถือกำเนิดในเผ่าปาโกส
มันคงไม่มีทางที่จะลบความเชื่อที่ติดมากับดวงจิตนั้นได้เลย
“สรุปว่ายังไงนายก็จะบอกฉันใช่มั้ย”
“ฉันอยากให้นายรู้
แต่ถ้านายไม่อยากรับฟัง...”
“ฉันจะฟังเท่าที่จำเป็น
นายบอกแค่เหตุผลได้มั้ย”
“เหตุผลของฉันมันมากมาย”
“ฉันก็มีเวลามากพอที่จะฟังเหมือนกัน”
“หึหึ”
เรื่องราวของเฉินในระยะเวลาเพียงไม่กี่สิบปีที่ถือกำเนิดนั้น
นับเป็นเหตุผลทั้งหมดที่เขาต้องเป็นผู้ล่า ถึงจะเป็นการตัดสินใจด้วยสมองของเด็ก
แต่เฉินไม่เคยเสียใจในชีวิตที่ตนเองเลือกมาก่อน จนถึงตอนนี้ที่อยากจะเลิกเป็น
ก็ยังคิดว่าชีวิตแห่งการเป็นผู้ล่าช่างแสนวิเศษ
“ฉันโตมาในสถานพยาบาลเด็กเล็กแห่งโบโลนี
จริงๆคือถูกทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลและหลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ส่งฉันไปที่นั่น
โตมากับเด็กๆชาวสายฟ้าอีกไม่กี่คนหรอก นายน่าจะพอรู้ว่าชาวโบโลนีส่วนมากฉลาด และ
ทำงานในธนาคารหลายแห่งของฟีนูคอน หน้าที่พวกนั้นนำเม็ดเงินมหาสารมาให้แก่พวกเรา
เด็กส่วนมากเติบโตมาในบ้านที่ดีและอบอุ่น แต่ก็ไม่ใช่ฉัน”
“ทำไมนายไม่ให้เขาตามหาพ่อแม่ล่ะ”
ร่างบางถามออกไปด้วยความตกใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น
เขารู้ดีว่าการอยู่ในสถานพยาบาลของเด็กไร้บ้านนั้นมันแย่แค่ไหน
ในปาโกสเองก็มีสถานที่คล้ายกัน
แต่ต่างตรงที่ในนั้นไม่มีเด็กที่โตขึ้นมาถึงขนาดจำความได้
เนื่องจากชาวฟีนูคอนผูกกันเป็นสายใย เราสามารถหาพ่อและแม่ที่แท้จริงของเด็กสักคนได้
เพียงแค่ใช้เวทร่ายไม่กี่คำเท่านั้น
...แล้วทำไมเฉินถึงไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ล่ะ?...
“พ่อแม่ของฉันน่ะคงเกลียดฉันมาก
ฉันรู้เพียงแค่พวกที่สถานพยาบาลหาพวกเขาไม่เจอ
พอโตมาอีกหน่อยก็รู้ว่าพวกเขาหนีออกไปจากฟีนูคอนแล้ว
เยี่ยมเลยนะอยากทิ้งลูกจนยอมหนีไปทั่วโลก เพื่อไม่ให้ถูกตามเจอเนี่ย”
แม้เสียงทุ้มจะเอ่ยออกมาอย่างไม่ใส่ใจ
แต่ซิ่วหมินก็จับน้ำเสียงขมขื่นนั้นได้
มือเรียวทาบวางบนตักของร่างโปร่งอย่างให้กำลังใจ
มอบรอยยิ้มอบอุ่นพร้อมใบหน้าที่ส่ายปฏิเสธเบาๆ
“ไม่มีพ่อแม่ที่ไหนอยากทิ้งลูกหรอก
เชื่อสิว่าเขาต้องมีความจำเป็น”
“เหอะ! เอาเถอะนะ
ถึงจะมีความจำเป็นอะไรก็ตามแต่ มันไม่สำคัญสำหรับฉันแล้วนับตั้งแต่สิบขวบ
ฉันคิดวิธีที่จะมีครอบครัวในแบบที่ฉันต้องการ
ทำเรื่องย้ายตัวเองไปอยู่ที่ศูนย์ศิลปะป้องกันตัว ในนั้นมีสายเลือดโฟเธียเกือบร้อยคนที่เข้าฝึก
ฉันเป็นโบโลนีคนเดียวในนั้นจนอายุสิบสอง
เป็นคนเดียวที่ต่อสู้ด้วยตัวเองอย่างไร้เพื่อนฝูง”
“แล้วนายได้สร้างครอบครัวของนายยังไงล่ะ?”
“ครอบครัวสำหรับฉันก็คือที่ไหนก็ได้ที่ชุบเลี้ยงฉันให้แข็งแกร่ง
ไม่แพ้ และ เป็นที่ต้องการ ในนั้นฉันเก่งที่สุดสำหรับคนอายุเท่าๆกัน
เพราะเป็นคนเดียวที่ไม่มีเงินมากพอจะเข้าโรงเรียน เลยได้ฝึกตลอดเวลาเลยล่ะ”
“นายเก่งวิชาป้องกันตัวมากจริงๆ”
“แต่แค่เก่งมันไม่มากพอจริงๆสำหรับฉัน
ตอนนั้นฉันแค่สิบสองจะเข้าสิบสามเท่านั้นเอง
แต่มีความทะเยอทะยานมากกว่าผู้ใหญ่ที่รายล้อมหลายเท่า
สุดท้ายฉันก็เลือกทางของตัวเองได้ ทางที่เหมาะกับความถนัดของฉัน
ทำเงินให้ฉันอย่างมหาสาร ทำให้ฉันได้กลับไปเรียนตามโรงเรียนปกติอีกครั้ง”
ร่างโปร่งเลี่ยงที่จะพูดว่าสิ่งที่เขาเลือกให้ตนเองคือการเป็นผู้ล่า
เพราะรู้ดีว่าซิ่วหมินคงไม่อยากได้ยินความจริงมากขนาดนั้น
“ฉันคงดูเห็นแก่ตัวมากสำหรับนาย”
“ก็ไม่หรอก
ฉันเข้าใจว่าทุกคนต้องทำเพื่อความอยู่รอด
พ่อแม่บอกเสมอว่าฉันโชคดีมากแค่ไหนที่เกิดมาในครอบครัวที่พร้อมสำหรับฉัน
ฉันรู้ว่าคนอื่นต้องลำบากหากต้องอยู่โดยลำพัง”
“แค่คำว่าลำบากอาจจะน้อยไปสำหรับสิ่งที่ฉันเคยเจอ
เรียกว่าตรากตำก็ยังไม่แน่ใจว่าจะพอเลย”
“ไม่ขนาดนั้นมั้ง”
“ฉันเคยยอมเป็นกระสอบทรายให้พวกสายเลือดโฟเธียได้ฝึกฝีมือห่วยๆด้วย
ยืนเฉยๆและขยับตามแรงที่ส่งมาก็พอ พวกนั้นไม่ได้สนว่าฉันจะเจ็บมั้ยด้วยซ้ำ
ก็แค่คิดว่าใครแรงเยอะกว่ากัน ความเจ็บของฉันมีค่าแค่ฟีนไม่เท่าไรหรอก”
มือหนาเผลอจับไปที่กระเป๋าของตนเองในเวลานี้
มันน่าแปลกเมื่อคิดถึงวันเก่าๆที่เขาแทบไม่มีฟีนมากพอจะซื้ออะไร
แต่กลับได้นอนหลับในทุกคืนตามที่ร่างกายต้องการ แต่ดูเขาตอนนี้สิ
มีฟีนมากมายสำหรับมื้ออาหารดีๆสักห้ามื้อต่อวัน
แต่กลับจำไม่ได้ว่าคืนสุดท้ายที่ได้นอนคือเมื่อไร
...เมื่อได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง...
“ความเจ็บปวดจะทำให้คนเราแข็งแกร่งนะ”
“ก็จริง
ถ้าไม่มีความลำบากพวกนั้นฉันคงเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง
ที่เติบโตมาอย่างไม่รู้อะไรสักอย่างในชีวิตเท่านั้น”
“สำหรับฉัน นายเก่งมากที่ผ่านมันมาได้”
ซิ่วหมินเอ่ยชมด้วยน้ำเสียงที่บอกให้รู้ว่ามันไม่ง่ายจริงๆที่จะผ่านมา
มือเรียวอีกข้างที่ไม่ได้จับร่างโปร่งไว้ ยกขึ้นมากุมที่หน้าอกข้างซ้ายตลอดการฟัง
ครั้งหนึ่งซิ่วหมินเคยมองว่าเฉินก็แค่เด็กมีปัญหาคนหนึ่งเท่านั้น
คิดว่าทุกชีวิตก็แค่ดำรงมาอย่างง่ายๆเหมือนเขา
คิดว่าทุกอย่างง่ายแม้แต่การเปลี่ยนเฉิน จนวันที่ทำได้ก็ไม่เคยรู้สึกว่ามันยากหนักหนา
เขาไม่ได้ทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ให้เฉินในมุมมองของตนเอง
แต่เมื่อเทียบกับมุมมองของร่างโปร่ง มันคงเหมือนพลอยมีค่าเม็ดแรกในมือ
ที่ไม่อาจจะปล่อยให้หลุดมือไปได้เลย
...ของชิ้นเดียวกันอาจมีค่าต่างกันในมือของอีกคน...
“อย่าทำท่าเหมือนสมเพชฉันสิ
ฉันอยากดูเข้มแข็งในสายตาของนายนะ”
“นะ...นายก็เข้มแข็งมากจริงๆนิ”
“ฉันไม่ได้อยากดูเก่ง
ไม่ได้อยากดูเข้มแข็งในสายตาคนอื่นอีกแล้วซิ่วหมิน ตั้งแต่ที่ฉันได้รู้จักนาย
มันเปลี่ยนสิ่งที่ฉันเคยวาดฝันไว้ทั้งหมด”
“ฉันเหรอ เป็นฉันจริงๆน่ะเหรอ”
“นอกจากนายคงเป็นคนอื่นไม่ได้อีกแล้ว
สำหรับฉัน”
ตาคมมองใบหน้าหวานที่ยังเต็มไปด้วยความสับสน
มือหนาวางลงที่กลุ่มผมนิ่มด้วยความรู้สึกยอมรับ
ใจของเขาเต้นแรงขึ้นทุกวันที่ได้เจอกับซิ่วหมิน
เป็นคนที่เดียวที่ทำให้เขารู้สึกมีชีวิตชีวาอย่างประหลาด
“แต่ฉันอาจจะไม่ได้ดีอย่างที่นายคิด”
“แค่เป็นนายก็ดีพอแล้ว”
สองสายตาสอดประสานด้วยความรู้สึกที่ต่างกัน
เฉินอิ่มเอมเหลือเกินที่ได้พูดกับร่างบางทั้งหมด
ส่งผ่านความรู้สึกอัดอั้นสู่ท้องอากาศที่แสนว่างเปล่า
ในวันนี้เขาได้เป็นเพียงเฉินที่ไม่ต้องเก็บซ่อนอะไรต่อซิ่วหมินแล้ว
หากแต่ตาเรียวสวยที่เอ่อคลอด้วยน้ำสีใสนั้น
มันไม่ได้มีความปรีดากับความรู้สึกดีๆที่ได้รับสักนิด มันไม่ง่ายเลยที่เขาจะทระนงในตนเองเหมือนอย่างเคย
เมื่อรู้ว่านี่อาจเป็นสิ่งไม่ควร
...มันดีแล้วเหรอกับความรู้สึกที่เขาได้รับ...
“ฉันไม่รู้หรอกว่านายจะตอบรับมันเช่นไร แต่ถึงยังไงฉันก็เลือกแล้วที่จะทำแบบนี้เพื่อนาย
ต่อให้ต้องกลายเป็นแค่ใครก็ไม่รู้ที่ได้จ้องมองนาย
มันก็อาจจะใกล้กว่าฉันตอนนี้ที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ได้นะ”
“ฉันกลัวนายเสียใจ
ไม่ใช่ว่าเพราะฉันจะปฏิเสธนายหรอกนะ แต่กลัวว่าจะมาเสียใจที่หลังเท่านั้นเอง นายมาไกลมากจริงๆในทางที่นายเลือก
สมควรแล้วเหรอที่จะทำอะไรก็แล้วแต่นั่นเพื่อฉัน ฉันไม่รู้หรอกนะว่ามันคืออะไร แต่ก็นั่นแหล่ะ...ใช้สมองไตร่ตรอง”
เสียงหวานเอ่ยออกไปอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เขาเองก็ไม่อยากจะยอมรับว่าทางที่เฉินเลือกคงเป็นการเป็นผู้ล่าตามที่คิด ไม่มีอาชีพไหนของชาวโบโลนีอีกแล้ว
ที่ต้องใช้ความสามารถในการต่อสู้ และ ใช้แร่นักรบอย่างชำนาญเท่านี้
แต่สิ่งที่ซิ่วหมินไม่ได้รู้ เหมือนๆกับชาวเผ่าอื่นที่ไม่ใช่ชาวโบโลนีไม่รู้
ก็คือการกลับมาเป็นผู้ถือกำเนิดอีกครั้ง
...ราวกับว่าตายแล้วเกิดใหม่...
“ฉันไตร่ตรองมาอย่างดีแล้วจริงๆ”
“ฉัน...”
“อย่าคิดมาก ขอแค่กำลังใจจากนาย
ขอแค่เชื่อในฉันต่อจากนี้ก็พอ”
<<<
The Phonucorn…อัสนีสาป >>>
ห้องอธิการบดี
ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก
“ท่านอธิการบดีครับ
นักศึกษาชาวโบโลนีขอเข้าพบครับ”
“หือ? ใครกันที่มาขอเข้าพบฉันเวลานี้”
อธิการสาวเงยหน้ามองเวลาหนุ่มด้วยแววตาดุดันปนสงสัย
ดูเหมือนที่นี่จะไม่ใช่ห้องพักครู ที่ไม่ว่าเด็กคนไหนก็เข้ามาพักได้
แล้วเด็กแบบไหนกันที่จะเดินขึ้นมาที่นี่
“สวัสดีครับ”
“เฉิน...”
เพียงเห็นหน้าร่างโปร่งที่เดินเข้ามาหลังคำอนุญาต
อธิการสาวก็ถึงกับต้องหายใจเข้าจนเต็มปอด เธอรู้อยู่แล้วว่าสักวันต้องมีวันนี้อย่างแน่นอน
วันที่เฉินจะเดินเข้ามาหาเธอที่นี่
เพื่อบอกให้เธอเตรียมพบกับปัญหาใหญ่ที่จะตามมาอีกครั้ง
เพราะมีผู้ล่าหลายคนที่เปลี่ยนไปเมื่อเข้ามาอยู่ที่สุสานแห่งนี้
รวมถึงเธอที่ครั้งหนึ่งก็เคยดำรงอยู่ในสถานะเดียวกันด้วย...ทางเลือกของผู้มีสิทธิ์
“...มาพบฉัน มีอะไรเหรอ”
“เรื่องนี้คงต้องพูดกันแค่สองคนนะครับ”
“ได้สิ คุณออกไปก่อนนะฮีชอล”
“ครับ”
เมื่อเลขาหนุ่มปิดประตูลง
ขายาวก้าวเข้ามายืนตรงหน้าโต๊ะทำงาน จ้องตาสวยคู่นั้นอย่างไม่มีความสับสนในดวงตา
แม้เธอจะรู้สึกไม่ดีนักแต่ก็มอบรอยยิ้มให้เด็กหนุ่มอย่างเป็นมิตร เปิดบทสนทนาก่อนด้วยเรื่องทั่วๆไปที่เธอพอจะรู้มาบ้างเกี่ยวกับการทำงานของเฉิน
“ได้ยินมาว่าเธอทำหน้าที่ได้ดีมาก
แม้แต่การไปตรวจโทร์ลก็เป็นไปอย่างราบรื่นด้วยใช่มั้ย
พวกผู้รับใช้ต่างพูดกันเป็นเสียงเดียว”
“ก็คงต้องเป็นเสียงเดียวจากคยองซูอยู่แล้วนิครับ”
เสียงทุ้มตอบกลับไปอย่างติดตลก
เมื่อนึกถึงเพื่อนร่วมงานพาร์ทธามของเขา
มีเพียงคยองซูเท่านั้นที่อยู่ในคอกกับเขาเสมอ
ผู้รับใช้อะไรนั่นเขาก็เห็นเพียงแค่วันแรกที่มาสั่งงานเท่านั้น
จากที่ตั้งใจจะไปๆโดดๆก็เลยอดสงสารเจ้าตัวเล็กคยองซูไม่ได้
เพราะแค่หน้าที่ดูแลโทร์ลพวกนั้นให้หลับ ก็ดูจะหนักไปสำหรับแขนขาเล็กๆนั่นแล้ว
“เข้ากันได้ดีมั้ยกับคยองซู”
“ก็ดีครับ”
“เธอน่าจะชอบสุสานนี้นะ”
“จริงๆแล้วมันเป็นสุสานที่ดีที่สุดที่ผมเคยทำงานมาเลยครับ
แทบไม่มีเรื่องวุ่นวายภายในสุสานเลย”
“แล้วเธอมาวันนี้มีอะไรล่ะ”
อธิการสาวทำใจดีสู้เสือถามเรื่องที่รู้ดีอยู่แก่ใจออกไป
เฉินเองก็ระบายยิ้มกลับเพราะรู้ดีว่าเธอก็คงรู้อยู่แล้ว
แต่ที่ถามคงอยากได้เพียงคำยืนยันจากเขาก็เท่านั้น
“ผมจะออกจากการเป็นผู้ล่าครับ”
“เฮ้อ~”
เสียงลมหายใจพรูออกจนหมดปอด
รอยยิ้มบางๆยังถูกส่งไปให้อย่างอารี เธอจะไม่พูดออกไปว่ามันเป็นไปไม่ได้
เพราะไม่ว่าจะด้วยวิธีใดที่เธอรู้ว่าเกี่ยวกับการกลับมาเป็นผู้ถือกำเนิด
เธอก็รู้ว่าเด็กหนุ่มนี้สามารถทำได้ทั้งนั้น
“เธอรู้มั้ยว่ามาบอกฉันแล้วมันเปล่าประโยชน์”
“ผมคิดว่าไม่”
“ทำไม?”
“เพราะหนังสือเล่มนี้มีคนทำได้ทั้งหมดสิบสองคน
และ...”
มือหนาวางหนังสือเล่มเล็กลงบนโต๊ะทำงานของหญิงสาวอย่างเบามือ
ทั้งที่ตาคมยังจ้องแววตาสวยที่วูบไหวนั้นอย่างไม่ลดละ
ออกแรงเพียงน้อยนิดให้หนังสือไปอยู่ตรงหน้าของเธอ ก่อนจะพูดต่อ
“...หนึ่งในนั้น มีชื่อของคุณ”
เฮือก!!!
ร่างของหญิงสาวสูงวัยที่ยังสวยสะพรั่งสะดุ้งอย่างแรงเมื่อรู้ว่าเธอโดนจับได้เสียแล้ว
นี่คือความลับที่เธอเก็บซ่อนมาแสนนาน การเป็นผู้ล่าของเธอมันไม่เหมือนคนอื่นๆ
ของเธอมันเป็นมาด้วยสายเลือดที่ตกทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น
และเธอก็เป็นเพียงคนเดียวที่เลือกที่จะปฏิเสธสิ่งที่เทพีโบโลนีมอบให้มา
...สายเลือดเทวาแห่งโบโลนี...
“นะ...น่ายินดีนะที่เธอค้นพบหนังสือเล่มนี้
แต่ฉันไม่คิดว่าฉันควรจะบอกอะไรเธอ”
“ทำไมละครับ เพราะอะไร?”
เฉินถามออกไปอย่างไม่เข้าใจนัก
ทั้งที่เขาเคยมั่นใจว่าอธิการบดีสาวน่าจะเป็นคนที่พร้อมช่วยเขามากกว่าใคร เธอคือคนที่ผลักเขาเข้าไปในลานพิธีจันทร์จรัส
มอบโอกาสที่เขาไม่เคยสนใจมองสู่สายตา แต่แล้ววันหนึ่งก็ดันเขาให้เดินกลับมาทางเดิม
ทั้งที่เขาตัดสินใจจะก้าวไปหามันแล้ว
...นี่มันไม่มีความยุติธรรมเลยสักนิด...
“แต่ผมต้องการให้คุณช่วย
ไม่ได้คิดว่าคุณจะต้องพาผมไปออกล่าหรอกนะครับ แต่ช่วยบอกผมหน่อย
คุณทำยังไงถึงสามารถตามล่าได้มากขนาดนั้นในเวลาเพียงน้อยนิด”
“ฉันก็ทำเหมือนๆคนอื่น”
“ไม่ มันไม่เหมือน!”
ร่างโปร่งตะคอกออกมาเสียงดังตามแรงอารมณ์
พร้อมพลิกหนังสือไปที่หน้าก่อนสุดท้าย
ที่มีชื่อและระยะเวลาที่ใช้ในการทำขั้นตอนต่างๆ ผู้ล่าหลายสิบคนแรกใช้เวลาหนึ่งถึงสองปีต่อหนึ่งคน
แต่หญิงสาวเพียงคนเดียวที่ลงชื่อในหนังสือเล่มนี้
กลับทำมันได้ในเวลาเพียงสองเดือนเท่านั้น
“คุณทำมันได้ไวกว่าผู้ชายที่แข็งแกร่งหลายเท่าเลยนะ
ผมมั่นใจว่าคุณตัวแค่นี้ไม่มีทางที่คุณจะล่าดวงจิตได้ไวกว่าพวกเขาแน่”
“อย่าดูถูกสตรีเพศสิ
เธอก็น่าจะรู้ว่าเทพีโบโลนีก็ทำสงครามเก่งกว่าพี่ชายคนไหนๆ
แล้วทำไมฉันจะล่าเก่งกว่าพวกนั้นไม่ได้”
“คุณโกงใช่มั้ย”
“ง่ายกว่าการโกงเยอะวิธีที่ฉันทำน่ะ
สิ่งที่คนพวกนั้นไม่เคยสนใจในหนังสือเล่มนี้ สิ่งที่เธอเองก็ยังมองข้าม”
...สิ่งที่สำคัญแต่ดูเหมือนไม่สำคัญ...
เฉินนิ่งไปอย่างใช้ความคิด
ตอนนี้เขาสับสนไปหมดทั้งสิ่งที่คัมภีร์แห่งการถือกำเนิดบอก และ
เรื่องราวที่อ่านมาจากหนังสือเล่มนี้
อะไรที่ผู้หญิงตรงหน้าเขาทำและแตกต่างจากคนอื่นๆทำ
“เหอะ! ทีนี้เธอคงรู้แล้วสินะ
ว่าฉันไม่ใช่แค่ผู้หญิงธรรมดาที่ทำได้ ถ้ายังคิดไม่ออกตอนนี้ อยากเอาเวลาไปทบทวนต่อในสุสานมั้ยละ
เชิญ...”
หญิงสาวพูดอย่างเหนือกว่ากล่าวไล่ออกไปอย่างสุภาพ
หากแต่ไม่กี่ก้าวที่กำลังจะถึงประตู
ความคิดหนึ่งที่ยังติดค้างก็โหมกระพือขึ้นมาในห้วงความจำ
ดูเหมือนสิ่งที่ต่างที่สุดก็คือยอดของดวงจิตที่ชำระล้างไป
ตาคมหันกลับมามองอธิการบดีสาวอีกครั้ง ก่อนจะยกยิ้มกับสิ่งที่เขาเริ่มรู้
“ผมไม่ต้องการกลับไปที่สุสานแล้วล่ะ”
“ธะ...เธอ”
“คุณล้างมลทินของเทพีโบโลนียังไงเหรอครับ”
คำถามที่เอ่ยออกไปอย่างตรงจุด ทำให้ใบหน้าสวยซีดลงอีกครั้งหนึ่ง
เธอไม่ทันคิดว่าหากเฉินรู้วิธีของเธอขึ้นมาเธอควรจะทำอย่างไร
เพราะกว่าเธอจะหาทางลัดสู่การหลุดพ้นได้นั้นก็เกือบเดือนเช่นกัน
“เธอไม่ควรรู้”
“ทำไมผมถึงไม่ควรรู้”
“เพราะเธอไม่สามารถทำได้”
การทำพิธีล้างมลทินต้องมีคุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่งจากสองข้อ
ที่เธอมีแต่อย่างน้อยหนึ่งข้อคือการเป็นสายเลือดเทวาแห่งโบโลนี
ส่วนอีกข้อที่เธอรู้ดีว่าเด็กหนุ่มแทบไม่มีโอกาสทำได้
...ฆ่าฟีนิกส์แห่งโฟเธีย...
“บอกผมเถอะครับ
อย่างน้อยคุณควรให้ผมได้พยายามไม่ใช่เหรอ”
“มันเป็นเรื่องที่ยากมาก
ต่อให้เธอเก่งแสนเก่งก็ตามที”
แม้จะพูดออกไปอย่างนั้น
แต่ก็อดที่จะสงสารร่างโปร่งที่เข้ามาหาเธออย่างมีความหวังในตอนแรกไม่ได้
เธอไม่ได้อยากจะเป็นคนแล้งน้ำใจกับสายเลือดโบโลนีด้วยกัน
แต่เพราะการให้ความหวังที่เป็นไปไม่ได้นั้น
มันโหดร้ายกว่าการทำลายความหวังเสียตั้งแต่ตอนนี้หลายเท่า การทำร้ายบางครั้งก็จะช่วยปกป้องไม่ให้เจ็บสาหัสได้
“กลับไปซะ
ถึงเธอจะยังยืนยันที่จะกลับมาเป็นผู้ถือกำเนิดก็ตาม
แต่อย่ามาคาดหวังอะไรกับฉันอีกเลย คนที่จะช่วยเธอได้ไม่ใช่ฉันหรอกนะเฉิน
อาจจะเป็นใครในสิบเอ็ดรายชื่อนั้นได้ แต่คงไม่ใช่ฉัน”
“คุณใจร้ายจริงๆ อธิการบดีที่แสนดีในวันแรกที่ผมเข้ามาที่นี่
ไปอยู่ที่ไหนในตัวคุณแล้วเหรอครับ”
“เธอยังอยู่ในตัวฉันขอให้เชื่อเถอะ
ฉันสามารถช่วยเธอได้ทุกเรื่องที่เธอต้องการ ความหวังและโอกาส
เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่สำหรับการใช้ชีวิตนะเฉิน
แต่อย่าหวังว่าจะได้โอกาสมากจนเกินตัวไป มันจะทำร้ายเธอเอง”
มือบางวางลงที่ข้างแก้มของเด็กหนุ่ม
อยากจะเอ่ยคำขอโทษนับพันครั้งให้สาสมกับสิ่งที่เธอทำร้ายเขา
เธอหยิบยื่นความหวังนั้นไปหลอกหล่อร่างโปร่งจนติดกับ
ก่อนจะรู้ตัวว่าเธอต้องการมันมากกว่าใครแล้วเก็บมันคืนมา
เหมือนเธอกำลังปล่อยให้เด็กน้อยร้องไห้กลางสนามเด็กเล่น
ส่วนเธอก็หัวเราะร่าด้วยความสนุก
...หากแต่ตอนนี้เธอไม่ได้สนุกกับมันเท่านั้น...
“ถึงฉันจะไม่ช่วยเรื่องนี้
แต่เธอก็ยังมีโอกาสที่จะกลับมาเป็นผู้ถือกำเนิดธรรมดานะ”
“ผมรอนานขนาดนั้นไม่ได้
มีคนๆหนึ่งที่เขาอาจจะไม่สามารถรอผมนานได้ขนาดนั้น และอีกอย่างดวงจิตที่ผมแลกมา
มันมากเสียจนผมไม่สามารถหลุดพ้นไปจากตรงนี้ได้เลยนะครับ
คุณ...จะไม่ช่วยผมจริงๆเหรอครับ”
“ฉันทำไม่ได้จริงๆ
ถึงอยากช่วยก็คงไร้ประโยชน์”
ร่างโปร่งก้มหน้ามองพื้นอย่างคิดไม่ตก
ไม่รู้ว่าจะหาทางล้างมลทินให้กับเทพีโบโลนีได้อย่างไร แต่เมื่ออยู่นิ่งๆกับตนเองสักพักก็เหมือนเขาจะคิดอะไรขึ้นมาได้
...ไม่มีอะไรบนโลกฟีนูคอนที่ไร้ตัวตน...
“เธอควรจะกลับไปพักผ่อน”
“ท่านอธิการบดีครับ”
“หือ?”
“คัมภีร์แห่งการถือกำเนิดจะพอช่วยผมได้มั้ย?”
<<<
The Phonucorn…อัสนีสาป >>>
The
Phonucorn – Chapter 3.14
สวัสดีค่ะนักอ่านทุกคน
ขอบคุณทุกกำลังใจนะคะ ขออภัยที่ลงช้าค่า
ช่วงนี้มีสอบกับเตรียมรับปริญญาเลยทำให้ไม่มีเวลามากพอลง แต่ตอนนี้รับเสร็จแล้วจะรีบลงให้เลยนะคะ^^
ความคิดเห็น