คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #60 : The Phonucorn ฟีนูคอน : อัสนีสาป – บทที่ ๑๖
Title :
The Phonucorn อัสนีสาป – บทที่ ๑๖
Author
: พระจันทร์สีทอง
Genre
: Fantasy Romantic Drama
Warnings
: Yaoi – PG 18
Pairing
:
Chen x Minseok
บทที่ ๑๖
The Phonucorn ฟีนูคอน : อัสนีสาป
ซิ่วหมินล้มลุกคลุกคลานไปตามแรงเดินของโทร์ลยักษ์
ขาไถลไปจนเกิดรอยแผลทางยาว แต่ก็ยังเหลือแรงพอที่จะพยุงร่างที่บอบช้ำขึ้นมา
มองไปรอบๆด้วยความสับสน ก่อนจะเลือกวิ่งไปทางแบคฮยอนที่ล้มอยู่ไม่ห่างจากโทร์ลนัก จับร่างนั้นดึงให้ออกมาห่างจากขานั้นอย่างทุลักทุเล
ทั้งเลือดที่แผลก็ไหลไม่หยุด
“ชะ...ช่วยด้วย”
ฟึด!!!
ตุ้ม!!!
“โทร์ล!!!”
เสียงโหยหวนของเจ้าโทร์ลยักษ์ดังขึ้น
หลังจากที่มันล้มลงด้วยปลายแซ่ตวัดเกี่ยวมันไว้กับต้นไม้ใหญ่ ร่างของอี้ชิงที่อยู่ในอุ้งมือนั้นก็พาลร่วงหล่นลงมา
แล้วกลิ้งไปอีกหลายเมตรจนไปกระแทกเข้ากับต้นไม้อีกต้น
สลบไปพร้อมความเจ็บปวดที่แทรกเข้ามาทั่วทุกอณูของร่างกายบางๆนี้
“โทร์ล!!!”
“นักศึกษา!!!”
เสียงอาจารย์หนุ่มที่เข้าไปเห็นเหตุการณ์ร้องขึ้นด้วยความตกใจ
เซฮุนที่เริ่มมีสติถูกลู่ฮานพยุงขึ้นยืน แบคฮยอนกับซิ่วหมินก็กำลังพยุงตนเองที่บอบช้ำเล็กน้อยเดินเข้าไปใกล้เจ้าโทร์ลยักษ์ที่คำรามไม่หยุด
ทุกคนต่างเรียกแร่นักรบออกมาครบมือ
พร้อมที่จะสู้เพื่อการมีชีวิตอยู่แม้จะไม่ใช่สายต่อสู้ก็ตาม
“นักศึกษาทุกคนออกไปก่อน
คุณชานยอลเดี๋ยวช่วยไปประกาศตามนักศึกษาเผ่าโซม่าทุกคนไปพบผมที่โรงเลี้ยงด้วย!”
พวกเขาถูกพาไปที่ห้องพยาบาล และ
ถูกร่ายเวทให้สลบไปเพื่อง่ายต่อการตรวจร่ายกาย ร่างบางฟื้นขึ้นมาเป็นคนแรกหลังจากที่ตรวจร่างกายเพียงยี่สิบนาทีเศษ
ไม่ต่างจากเพื่อนคนอื่นๆที่ตอนนี้กำลังเดินมาที่เตียงของอี้ชิง คนนี้ดูเหมือนจะหนักที่สุดในบรรดาเพื่อนทั้งหมด
ก็เล่นโดนบีบแล้วยังร่วงลงมาจากที่สูงขนาดนั้น
“เอ้า?! ฟื้นแล้วหรอวะ”
“เออดิ”
“มานี่มา ยังไงนายก็เจ็บหนักกว่านั่งลงเลย”
ซิ่วหมินจัดแจงให้เซฮุนนั่งในเก้าอี้ตัวเดียวที่ฝั่งของเขามี
ส่วนอีกฝากของเตียงก็เป็นรุ่นพี่สองคน ที่ครอบครองเก้าอี้ไว้อีกตัวเช่นกัน
ร่างบางเห็นพี่ทั้งสองมานั่งตั้งแต่ก่อนเขาฟื้นแล้ว
จึงไม่กล้าถามออกไปเพราะกลัวจะโดนกล่าวหาว่าเสียมารยาทต่อรุ่นพี่
แต่ดูสายตาของเซฮุนที่มองคริส เขาคิดว่าอีกไม่นานคงได้คลายความสงสัยอย่างแน่นอน
“มีรอยช้ำนิดหน่อย แต่คนเจ็บปลอดภัยดีนะคะ”
คำพูดของคุณพยาบาลสาวดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ
ก่อนที่เธอจะเดินจากไปพร้อมรถเข็นอุปกรณ์แพทย์
แต่ถึงอย่างนั้นเซฮุนและคริสก็ยังไม่มีท่าทางว่าจะพูดอะไรต่อกัน
พวกเขาแค่มองใบหน้าของกันและกันเป็นครั้งคราว
ระหว่างพักการเป็นห่วงร่างของคนที่ยังไม่ฟื้นบนเตียง
เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงทั้งสองถึงคิดจะเปิดปากถามกัน
“พี่! / นาย!”
...แต่ก็ดันมาบังเอิญกล้าพร้อมกันอีก...
ร่างบางสะดุ้งไปตามเสียงที่ดังพอสมควรของคนทั้งสอง
บทอยากจะพูดก็เรียกอีกฝ่ายขึ้นมาเสียพร้อมกัน
แถมยังเรียกเสียงดังจนคนที่ลุ้นอยู่ต่างหูพึ่งไปตามๆกัน สุดท้ายพอเรียกพร้อมกันเลยเป็นเซฮุนที่ต้องยอมให้คริสได้พูดก่อน
ในฐานะที่อย่างน้อยก็แก่กว่าพวกเขาตั้งสองปี
“พี่พูดก่อนเลย”
“นายพูดก่อนก็ได้”
“พี่มาทำไม? ขอบคุณที่มาส่งอี้ชิงนะ
แต่พี่กลับไปได้แล้วมั้ง?”
“เอ่อ...”
“ว่าไง?”
“พวกเราเป็นรุ่นพี่นะ ทำไมแค่นี้จะให้รอไม่ได้”
“แล้วพวกพี่จะรอมันทำไมอ่ะ
มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกพี่เลยนะ”
เซฮุนถามออกไปชนิดที่เรียกว่าประโยคเดียวเอาอยู่ทั้งโฟเธีย
คริสหน้าเสียไปจนชานยอลต้องพูดขึ้นมาช่วยเพื่อนบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นก็ถูกตอกกลับจนหน้าหงายตามกันไปอย่างไม่ยาก
คนน้องเหนือกว่าตีหน้าตายถามกวนอารมณ์เชิงไล่ไปในตัว
จนซิ่วหมินกลัวแทนว่าจะโดนรุ่นพี่แห่งโฟเธียทั้งสองรุมยำ
ตาเรียวสวยไม่กล้าแม้แต่จะสบตารุ่นพี่ที่มองมาด้วยความไม่พอใจ
...ถ้าต้องมาสิ้นชีพวันนี้จะโทษเซฮุนคนเดียวเลยจริงๆ...
“เกี่ยวสิ ฉันเป็นคนช่วยอี้ชิงไว้”
“เดี๋ยวอี้ชิงฟื้นจะบอกให้ว่าพี่เป็นคนไปอุ้มมันมาส่ง
ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับว่ามันจะไม่รู้ เดี๋ยวจะบอกช็อตต่อช็อตเลย”
“เอ๊ะ! ก็ฉันจะอยู่อ่ะ”
สุดท้ายก็เป็นคริสที่เริ่มหมดความอดทนกับการไล่ของเซฮุน
เลยต้องกอดอกมองหน้าของรุ่นน้องเป็นเชิงถาม ว่าจะเอายังไงกันแน่ ถ้าเขาอยากกลับก็เดินกลับเองไปนานแล้ว
เพราะคริสตีหน้าตึงแสดงความไม่พอใจ มือเรียวจึงต้องรีบคว้าร่างของเพื่อนรักไว้แน่น
รู้ว่าเซฮุนก็ไม่ใช่ประเภทที่จะยอมใครได้ง่าย ทำท่าจะอ้าปากต่อไม่จบเหมือนกัน
“ก็พี่ไม่มีเหตุผลที่ต้องอยู่อ่ะ”
“ฉันกับอี้ชิงรู้จักกัน ทำไมฉันจะอยู่ไม่ได้”
“ห๊ะ?! พี่เนี่ยนะรู้จักอี้ชิง”
เพื่อนทั้งสี่มองหน้ากันเหรอหราเป็นเชิงถามกันทางสายตา
ว่าเรื่องพวกนี้มันไปเกิดขึ้นได้ตอนไหน อี้ชิงไม่ใช่แค่ไปรู้จักกับพวกอฟาไตรธรรมดา
แต่รุ่นพี่ทั้งสองตรงหน้าถือว่าเป็นอฟาไตรชั้นสูง
ที่ไม่ชอบอิลคอลลี่แบบพวกเขาเข้าไส้ แถมตอนแรกก็เหมือนคริสจะเกลียดอี้ชิงจนแทบเผาพริกเผาเกลือไล่เลยด้วยซ้ำ
...เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมไม่มีใครรู้?...
“พี่คริสจำผิดคนรึเปล่าครับ?”
เป็นแบคฮยอนที่ถือว่าเป็นอฟาไตรคนเดียวในกลุ่ม
ที่กล้าถามคำถามนี้ออกไป ทั้งที่ใบหน้าหล่อเริ่มยู่ลงอย่างไม่สบอารมณ์
คริสไม่ชอบที่จะมาถูกซักไซ้ โดยเฉพาะเวลาที่เขาไม่อยากอธิบายเช่นนี้ด้วยแล้ว
“แล้วนี่ใช่ จาง อี้ชิง มั้ยล่ะ”
ตาดุตวัดมองรุ่นน้องร่วมชนชั้นเหมือนจะบอกให้หยุดถามสักที
เพื่อนทั้งสี่เลยจำใจกลืนคำถามลงคอ
แล้วเฝ้ารอให้คนเจ็บฟื้นขึ้นมาตอบคำถามในใจเสียเอง แต่จนผ่านไปเกือบหนึ่งทุ่มแล้ว
อี้ชิงก็ยังหายใจสม่ำเสมออยู่บนเตียง
“ไปซื้อของกินมาให้เซฮุนกันมั้ย”
เสียงหวานเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบอีกครั้ง
เพราะไม่ชอบบรรยากาศที่แสนอึดอัดนี้เลย
ซิ่วหมินรู้แค่ขอเวลาออกไปหายใจหายคอสักหน่อยก็ยังดี
ซึ่งแบคฮยอนที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็เห็นด้วย จึงดึงลู่ฮานตามๆกันมา
ขืนปล่อยให้เพื่อนตัวน้อยอยู่กับเซฮุนและคริส
เกิดมีเรื่องขึ้นคงโดนลูกหลงอย่างแน่นอน
“จะไปซื้อของกินกันเหรอ พี่ไปด้วยได้มั้ย”
“แกหิวหรอชานยอล”
“เออดิ
นี่ไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่บ่ายแล้วนะเว่ย เดี๋ยวจะหาอะไรมาเผื่อแกด้วยแล้วกัน
อยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ยล่ะ”
“ไม่ล่ะ กินไม่ลง”
เพื่อนตัวเล็กทั้งสามมองหน้ากันแล้วก็กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
เพราะคำว่ากินไม่ลงของคริสมันกระแทกหน้าเซฮุน
จนสะเทือนมาโดนพวกเขาทั้งสามคนจนหน้าชา
ชานยอลยักไหล่ให้อย่างไม่สนใจกับสิ่งที่เพื่อนทำ
เดินนำสามรุ่นน้องตัวเล็กออกไปทางโรงอาหารของมหาวิทยาลัย แต่ยังไม่พ้นตัวตึกก็ต้องหยุดฝีเท้าลงตามเสียงสนทนาของคนสองคน
“นายมั่นใจนะว่าฟังชื่อไม่ผิด”
“ไม่ผิดหรอกน่ะ
มีชื่อเพื่อนของซิ่วหมินต้องสี่คน แค่ชื่อเดียวจะไปพลาดได้ไง”
“แล้วเขาไปทำอะไรที่สุสานวะ”
“อาจจะไปตามหานะ...”
เทายังพูดไม่ทันจบก็ต้องจบบทสนทนาไว้เท่านั้น
เมื่อสบตาเข้ากับตาดุดันที่มองมาอย่างจับผิด
ไม่ใช่แค่ชานยอลที่สงสัยว่าคำนั้นที่หายไปคืออะไร
แต่ลู่ฮานเองก็ย่นคิ้วด้วยความสงสัยเช่นเดียวกัน
จะมีก็แค่ซิ่วหมินและแบคฮยอนที่กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่
เพราะสามารถเติมคำในช่องว่างได้เป็นอย่างดี
“ไปตามหาใครที่สุสานเหรอ”
“เปล่าครับ”
“เหรอ แต่ฉันมั่นใจว่าได้ยินแบบนั้นจริงๆนี่”
“พวกผมก็แค่คิดว่าซิ่วหมินจะไปตามหาผู้ล่าน่ะครับ”
“ทำไมต้องไปตามหากันด้วยล่ะ?”
ชานยอลเบี่ยงสายตามาที่รุ่นน้องตัวเล็กสามคนที่ยืนอยู่ด้านหลังแทน
ถ้าเป็นแค่แบคฮยอนคนเดียวเขาอาจไม่สงสัยเท่าไร ก็แบคฮยอนดูเหมือนจะสนใจเรื่องของสิ่งมีชีวิตอยู่แล้ว
ถ้าแค่นิสัยอยากรู้อยากเห็นนั่นอาจจะไม่น่าสงสัยเลยสักนิด
“เอ่อ...คือ”
“ว่าไงล่ะ หาผู้ล่าไปทำไม”
“ไม่เห็นจะแปลกอะไรเลยครับรุ่นพี่
ก็พวกเราทำรายงานเรื่องของผู้ล่า และผมเป็นคนเสนอเองให้ไปหาข้อมูลจากผู้ล่าจริงๆ”
แบคฮยอนเห็นร่างบางและลู่ฮานอึกอัก
ก็กลัวว่าจะหลุดเรื่องของอี้ชิงออกไปอย่างไม่ตั้งใจ
เขาจึงเลือกที่จะพูดคำโกหกออกไปก่อน
เขารู้ว่าอย่างไรชานยอลก็ต้องเชื่อคำพูดของเขาอยู่แล้ว
...ก็แบคฮยอนเป็นแค่รุ่นน้องความคิดบ้าบอของชานยอล...
“เหอะ! นายคิดว่ามันดูฉลาดเหรอที่จะสัมภาษณ์ผู้ล่าน่ะ
ฉันอยู่ที่นี่มาจะสามปีอยู่แล้ว ไม่เคยเห็นผู้ล่าจริงๆสักตน”
ชานยอลพูดดูถูกออกไป
อย่างไม่รู้ตัวเลยว่าอย่างน้อยในกลุ่มสนทนานี้ ก็มีผู้ล่าตัวเป็นๆยืนอยู่ตั้งหนึ่ง
เฉินก้มหน้าหนีสายตาของซิ่วหมินที่มองมา ทั้งที่ตั้งใจจะมาดูว่าร่างบางเป็นอย่างไรบ้าง
แต่เมื่อซิ่วหมินมองมาที่เขาเหมือนหวาดหวั่น
เขาก็เลยพาลไม่กล้ามองดวงหน้านั้นไปด้วย
...กลัวว่าจะเป็นที่รังเกียจสำหรับซิ่วหมิน...
“ผมก็แค่อยากลองดู”
“งั้นก็ยินดีด้วยนะที่การลองดีของนายเกือบทำให้ต้องสิ้นชีพน่ะ
คราวหน้าก็เข้าไปตอนกลางคืนสิ จะได้เจอผู้สิ้นชีพตัวเป็นๆด้วยเลยไง เจ๋งออก!
สารคดีตามติดชีวิตผู้ล่าแห่งโบโลนี แถมสัมภาษณ์สดผู้สิ้นชีพไงล่ะ”
“พี่ชานยอลครับ...”
แบคฮยอนเรียกชื่ออีกคนเสียงแผ่ว
ชานยอลตีหน้าดุใส่ไม่เลิกก่อนจะเดินออกไปจากวงสนทนาด้วยท่าทางหงุดหงิด
จนแบคฮยอนต้องวิ่งตามไปด้วย
ส่วนซิ่วหมินก็ยังไม่เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องโกรธขนาดนั้นเลยเหรอ
“ที่พวกเราเข้าไปในสุสาน มันแย่มากเลยเหรอ”
“ฉันก็ไม่รู้หรอกลู่ฮาน
แต่ถ้าฟังพี่ชานยอลไม่ผิด ก็ดูเหมือนว่าจะใช่”
สองเพื่อนร่วมกลุ่มคุยกันอย่างไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรมาอธิบายการกระทำของรุ่นพี่ดี
จนเทาที่มองตามไปเสร็จหลุดหัวเราะออกมากลางวงสนทนา
สร้างใบหน้าไม่เข้าใจของคนทั้งสามที่อยู่ในเหตุการณ์ได้เป็นอย่างดี
“นายหัวเราะอะไร?”
“ไม่ตลกกันเหรอวะ
ดูก็รู้แล้วว่าพี่ชานยอลเขาประชดออกมาเพราะเป็นห่วงนี่
นี่ฉันเพิ่งรู้นะว่าสองคนนั้นเขาคบกันเหรอ
พ่อแง่แม่งอนนี่มันตามแบบฉบับหนังไทยเอเชียร์สไตล์มาเองเลยนะเว่ย ฮะฮะฮ่า”
“คบกัน?”
เสียงหวานหลุดออกมาอย่างไม่เข้าใจ
ซิ่วหมินค่อนข้างมั่นใจว่าแบคฮยอนไม่เคยพูดเรื่องคนรักสักครั้ง
ในวันที่เฉินมาตามแบคฮยอนไปคุย เขายังเผลอคิดเลยว่านี่เฉินมาจีบแบคฮยอน
โดยใช้เขาเป็นสะพานอยู่รึเปล่า
“พูดจาอะไรเพ้อเจ้อของนาย
สองคนนั้นดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบกันนิ”
“แต่เมื่อกี๊มันเหมือนมากนะเว่ย”
“ก็...ไม่รู้สิ”
“นายก็คิดเหมือนกันสินะ
แต่ช่างเรื่องสองคนนั้นไปเถอะ ถ้าคบกับคนดังขนาดพี่ชานยอลเพื่อนสนิทพี่คริส
ฉันว่าอีกไม่นานหรอกเรื่องมันต้องหลุดออกมาบ้างล่ะ เดาไปเองก็มีแต่จะปวดหัวเปล่าๆ”
“แล้วพวกนายมาทำอะไรที่ตึกเรียนตอนนี้”
...ตรงประเด็นสมเป็นลู่ฮานจริงๆ...
ร่างโปร่งกลืนน้ำลายลงคอ
แล้วมองใบหน้าหวานที่มองมาอยู่เหมือนกันนิ่ง รวบรวมความกล้าที่เหลือน้อยเต็มที
ก้าวไปอีกสองสามก้าวให้ใกล้ร่างบางมากขึ้น
“ฉันมาหาซิ่วหมิน ฉันเป็นห่วง”
“หือ?”
ลู่ฮานร้องออกมาด้วยเสียงที่แสดงความแปลกใจ
เขารู้ว่าเพื่อนร่วมชั้นทั้งสองสนิทกันอยู่พอสมควร แต่ก็ไม่รู้ว่าเพื่อนกันต้องพูดคำว่าเป็นห่วง
แล้วมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความหวานซึ้งขนาดนี้เลยหรืออย่างไร
จะหันไปขอความเห็นจากเทาก็ดูไร้ประโยชน์
เพราะร่างสูงกำลังกอดอกดูปฏิกิริยาของเฉินด้วยรอยยิ้มชอบใจ
...นี่เขาพลาดอะไรไปอีกแล้วรึเปล่า?...
“รู้มาว่านายมีเรื่องในสุสาน”
“อ่า...”
“มะ...ไม่ได้เป็นอะไรจริงๆใช่มั้ย”
“อื้ม แค่มีแผลแค่เล็กน้อยเท่านั้นเอง”
“เป็นก็บอกมันว่าเป็นนะซิ่วหมิน
รู้มั้ยว่าพอฉันเดินไปบอกว่านายอยู่ห้องพยาบาล หมอนี่ก็ลากฉันออกมาจากโต๊ะอาหาร
แล้วลากมาจนถึงตึกนี้ในเวลาเพียงไม่กี่นาทีเลยนะ สงสัยกลัวว่าถ้าช้ากว่านี้นายจะเจ็บหนัก”
เทาเอ่ยแซวออกไปอย่างนึกสนุก
เรียกค้อนก้อนโตจากตาคมนั้นไม่ยาก ต่างจากซิ่วหมินที่ไม่ได้โกรธอะไร
แต่กลับเขินจนแก้มทั้งสองข้างแดงปลั่ง ต่อให้แสงไม่เยอะมากมายก็ยังเห็นได้ชัด
...เขาก็แค่คิดว่าอากาศตอนเย็นมันร้อนขึ้นมาเท่านั้น...
“เอ่อ...จริงๆก็ไม่อยากขัดหรอกนะ
แต่ตอนนี้ฉันเริ่มหิวขึ้นมาจริงๆแล้วล่ะ จะเป็นอะไรมั้ยถ้าจะขอให้เดินไปคุยไป”
“นายหิวเหรอลู่ฮาน งั้นเดี๋ยวฉันจะพานายไปเอง
เราเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันนะ น่าจะทำความรู้จักกันไว้มากๆ”
“แต่ว่า ซิ่วหมินเขา...”
“เดี๋ยวให้เฉินอยู่เป็นเพื่อนซิ่วหมินเอง
นายมากับฉันเถอะน่า เดี๋ยวฉันจะโชว์ป๋าฉลองความสนิทสนมของเราเอง”
ร่างสูงไม่ได้จับมือลู่ฮานพาไปอย่างเป็นมิตรตามที่พูดสักนิด
แต่กลับดึงแขนเล็กนั้นจนแทบจะหลุดติดมือตนเองไปแทน
ตากลมโตหันมามองซิ่วหมินอย่างขอความช่วยเหลือ แต่ตอนนี้ร่างบางเอาแต่ก้มหน้า
โสตประสาทมีแต่คำว่าเป็นห่วงของคนตรงหน้า ที่ทำให้เสียงรอบข้างหายไปหมด
หายไปเหมือนความตั้งใจที่บอกว่าจะไม่คุยเล่นกับเฉินอีกแล้ว
มันน่าแปลกที่เราสามารถให้อภัยคนๆหนึ่งง่ายแสนง่าย
เพียงคำพูดธรรมดาที่เขามอบมาให้เช่นนี้
“เราไปหาที่นั่งคุยกันมั้ย”
“เอ่อ...จริงๆเราน่าจะเดินไปกับพวกเขานะ”
“นายหิวเหรอ?”
“ก็ไม่เชิงหรอก
แต่ลู่ฮานเพิ่งจะโดนเทาลากไปนิ”
“ไม่เป็นอะไรหรอก
เทามันเป็นพวกหลงเด็กหน้าตาน่ารักอยู่แล้ว อย่างลู่ฮานก็ อยู่ในเกณฑ์นั้นนะ
มันไม่ทำอะไรรุนแรงเกินไปหรอก”
เสียงทุ้มพยายามพูดติดตลก
เมื่อคลายความกังวลจากตอนแรกที่คิดว่าร่างบางเจ็บหนัก
จากที่เดินมาที่นี่รวดเร็วไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
กลายเป็นรู้สึกล้าที่ขาจนอยกจะนั่งลงทันที
แต่จะให้นั่งห่างตาซิ่วหมินก็ไม่อยากทำเหมือนกัน
...ตอนนี้เขาเป็นห่วงจนไม่อยากให้คลาดสายตา...
“ถ้างั้นก็ต้องยิ่งรีบไปห้าม
เกิดสองคนนั้นเกิดถูกใจกันเพื่อนฉันก็แห้วน่ะสิ”
ซิ่วหมินทำท่าจะเดินไปขั้นระหว่างเพื่อนสองคนที่ห้างไปไกลแล้ว
เพราะคิดว่าสิ่งที่ร่างโปร่งพูดเป้นความจริง
แล้วเขาก็ยังรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเพื่อนรักของเขาอย่างเซฮุน
ดูท่าจะพอใจกับลู่ฮานที่เป็นคู่กัดไม่น้อย แต่ก็ติดที่มือหนาที่จับอยู่ที่ข้อแขน
ไม่ยอมให้เขาได้ไปไหนง่ายๆ จนอดหันมามองด้วยความสงสัยไม่ได้
“ฉันต้อง...”
“นายอยู่กับฉันได้มั้ย
นายรู้มั้ยว่าใจของฉันมั่นเพิ่งสงบเมื่อเห็นว่านายปลอดภัยนี่เอง”
“เอ่อ...กะ...ก็ได้”
“ขอบคุณนะซิ่วหมิน”
ร่างโปร่งเดินนำไปจนถึงม้านั่งข้างๆตึกเรียน
จับซิ่วหมินที่ตอนนี้เหมือนจิตไม่อยู่กับตัวนักให้นั่งลงข้างกัน
มองใบหน้าหวานนั้นอย่างสำรวจร่างบางอีกครั้ง
เพราะที่เขาได้ยินมาจากรุ่นพี่ร่วมหอพัก ดูเหมือนจะเป็นการบาดเจ็บครั้งยิ่งใหญ่
ยิ่งรู้ว่าเป็นแผลที่ได้มาจากโทร์ลอาละวาท
เขายิ่งกลัวว่าจะเป็นอันตรายมากเข้าไปอีก
...คืนนี้ก็ตั้งใจจะไปดูหน้าโทร์ลยักษ์ที่ทำซิ่วหมินเจ็บตัวอยู่...
“โชคดีมากเลยนะที่แค่ถลอกนิดหน่อยน่ะ
ฉันตกใจมากเลยนะที่รู้เรื่อง”
“อื้ม โชคดีมากจริงๆที่อาจารย์เข้ามาพอดี”
“แล้วจริงๆพวกนายเข้าไปทำอะไรในนั้น”
“คือ...”
ร่างบางอึกอักขึ้นมาทันทีที่ต้องมาพูดถึงสาเหตุที่พวกเขาเข้าไปอยู่ในนั้น
มันดูไม่มีเหตุผลไหนจะดีพอที่จะเข้าไปในสุสานเลย
ไม่มีผู้วิเศษคนไหนที่อยากไปอยู่ในนั้นจนกว่าจะสิ้นชีพ
“บอกไม่ได้เหรอ?”
“ก็ไม่ใช่ว่าบอกไม่ได้หรอก
มันเป็นความลับของเพื่อนฉันน่ะ”
“ไม่ใช่เรื่องของนายแน่นะ”
“อื้ม เป็นเรื่องของเพื่อนๆน่ะ”
“งั้นไม่ต้องบอกก็ได้
อะไรที่ไม่เกี่ยวกับนายฉันก็ไม่สนใจมันหรอกนะ”
เฉินส่งยิ้มไปให้อย่างจริงใจ
เขาไม่ได้โกหกในคำพูดใดเลย
ถ้าเรื่องที่เขาไม่รู้ไม่เกี่ยวกับความปลอดภัยอะไรของร่างบาง
ถึงเขาจะไม่ได้รู้มันไปตลอดก็ไม่เป็นอะไร
...ตอนนี้เขาเหมือนมีโลกทั้งใบชื่อซิ่วหมิน...
“นายคงหิวแล้วใช่มั้ย
ขอโทษนะที่ฉันดึงดันจะคุยกับนายแบบนี้”
“ไม่เป็นอะไร ฉันเข้าใจนะ”
“ฉันจิตตกมากที่หลายวันมานี้นายไม่มองหน้ากันเลย
กลัวว่าจะไม่ได้มองหน้านายตรงๆอีกแล้ว ดีใจมากเลยที่วันนี้นายยิ้มให้ฉันอีกครั้ง”
ถึงจะเป็นรอยยิ้มบางๆเพราะซิ่วหมินยังเหนื่อยกับเรื่องที่ผ่านมาอยู่
แต่เขาก็พอใจแล้วที่ได้คุยกันบ้าง
ไม่ใช่ว่าเขาต้องกลายเป็นแค่คนอื่นสำหรับซิ่วหมินอย่างที่กลัว
เพราะถ้าเป็นแบบนั้นเขาคงไม่ต่างจากสิ้นชีพไปแล้วทั้งกาย
“นี่...นายถามอะไรฉันตั้งเยอะแยะแล้ว
จะเป็นอะไรมั้ยถ้าฉันจะถามอะไรนายบ้าง”
“จะถามเกี่ยวกับอะไรล่ะ”
“เรื่องงานของนายน่ะ
ยะ...อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ คือฉันไม่ได้คิดรังเกียจหรืออยากจะเซ้าซี้นะ
แต่เพราะวันนี้มีเรื่องเหลือเชื่อกับฉันมากมาย เป็นเรื่องที่ฉันไม่คิดว่ามันจะใกล้ตัวฉันขนาดนี้
จนฉันอดคิดไม่ได้ว่าทำไมฉันถึงขี้ขลาดนักกับแค่ยอมรับความจริง
ในเมื่อนายอยากจะบอกฉันให้รู้ ก็แค่ขอให้นายรู้ว่าฉันพร้อมที่จะฟังมันแล้ว”
“อยากให้ฉันเล่าเรื่องของผู้ล่างั้นเหรอ”
เสียงทุ้มพูดออกไปไม่ดังและไม่เบาจนเกินไป
รอบมองปฏิกิริยาของคนข้างกายว่าตอบสนองต่อคำนี้เช่นไร
พอเห็นว่าซิ่วหมินแค่ถอนหายใจออกมาเบาๆ เขาก็อดที่จะรู้สึกโล่งอกตามไปด้วยไม่ได้
...ก็ถือว่าการพูดตรงๆครั้งแรกไม่แย่อย่างที่คิด...
“สิ่งที่ทำให้ฉันเป็นคือเรื่องราวทั้งหมดที่เคยเล่าให้นายฟังไปนั่นแหล่ะ
ไม่มีอะไรอีกแล้วที่ฉันปิดบังนายหรอก”
“ละ...แล้วเรื่องที่นายบอกว่าทำไม่ได้แล้ว
มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่นาย...เอ่อ...เป็นผู้ล่ามั้ย?”
“ยอมรับนะว่าเกี่ยว
นายก็น่าจะพอรู้มาบ้างว่าผิวหนังของผู้ล่าเป็นกรด มันจะตอบสนองต่ออุณหภูมิและแสง
ฉันไม่สามารถใส่เสื้อผ้าธรรมดาของพวกนักศึกษาได้ ถึงเลือกที่จะใส่ชุดของชาวปาโกส
ร่างกายตอนกลางวันที่ถึงเป็นของฉันแต่ก็ตอบรับต่อเสียงกระซิบของผู้ล่าอยู่ดี
มันทำให้ฉันไม่สามารถควบคุมการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังได้
โดยเฉพาะตอนกลางคืนมันก็ยิ่งหนัก
นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผ้าคลุมของผู้ล่าถึงต้องปิดกายไว้ทั้งหมด มันเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราแตกต่างจากชาวปาโกสทั่วไป”
“นายคงต้องลำบากมากที่เป็นแบบนี้”
“ไม่เลย
จริงๆจะเรียกว่าชินจนกลายเป็นว่าชอบที่จะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าหนาๆ”
“หึหึ...เอ่อ...แล้วเรื่องที่เกี่ยวกับฉันล่ะว่าไง”
“ใจร้อนจังกำลังจะเล่านะ...ก็เพราะเป็นแบบนี้ไงล่ะ
ฉันไม่ได้มีชีวิตเป็นของตัวเองนะ แล้วจะให้ฉันเอานายมาผูกติดได้ยังไง
ฉันพยายามหาวิธีที่จะหยุดการเป็นผู้ล่า ฉันเคยมีหวัง มันเหมือนใกล้แค่เอื้อมเลยล่ะ
แต่อยู่ๆก็ไกลแสนไกลจนฉันไม่ทันตั้งตัว ฉันต้องขอโทษนายจริงๆที่ทำตามที่พูดไม่ได้”
ใบหน้าคมหมองลงด้วยความเศร้าใจ
ตาเรียวสวยมองภาพนั้นแล้วสงสารเฉินจับใจ
ซิ่วหมินรู้ว่าเฉินต้องใช้ความกล้าแค่ไหนที่จะยอมรับความรู้สึกรัก
เขาคงใช้เวลานานมากจริงๆที่จะหาทางออก
ในขณะที่เขาทำได้แค่โวยวายเมื่อไม่ได้คำตอบที่พอใจ
พอคิดได้แบบนี้ก็อยากจะขอโทษอีกคนออกไปเช่นกัน
“ฉันก็ต้องขอโทษนายเหมือนกันที่ไม่เข้าใจนาย
แต่นายอย่างเพิ่งหมดหวังนะ ฉันจะเป็นกำลังใจให้ไม่ว่ามันจะยากแค่ไหน”
“แต่ฉันคงทำไม่ได้
นายอาจจะต้องรออย่างเสียเวลา”
“ทำไมล่ะ”
“คือ...ฉันจะสามารถเป็นผู้ถือกำเนิดได้
ฉันต้องฆ่าฟีนิกส์”
<<<
The Phonucorn…อัสนีสาป >>>
The
Phonucorn – Chapter 3.17
สวัสดีค่ะนักอ่านทุกคน
ขอบคุณทุกกำลังใจนะคะ ^^
ความคิดเห็น