ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Phonucorn ตอน มนต์ถันฑิล [ KaiSoo , KaiDO : EXO ]

    ลำดับตอนที่ #68 : The Phonucorn ฟีนูคอน : มนต์ถัณฑิล– บทที่ ๓

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 140
      3
      25 ธ.ค. 59

       

    Title : The Phonucorn มนต์ถัณฑิล– บทที่ ๓

    Author : พระจันทร์สีทอง

    Genre : Fantasy Romantic Drama

    Warnings : Yaoi – PG 18

    Pairing :  Kai x DO

     

     

    บทที่ ๓

    The Phonucorn: มนต์ถัณฑิล

     

     

     

     

     

    “ลืมอะไรอีกรึเปล่าคยองซู”

     

    “คิดว่าไม่ครับ”

     

    “ต้องให้อาไปส่งที่มหาวิทยาลัยมั้ย”

     

    “อาครับ...บ...บ~ ผมโตขนาดจะขึ้นปีสามแล้วนะ อาจะต้องไปส่งทำไมกัน ตอนผมเข้าปีหนึ่งก็มีแค่ผมนะที่มีผู้ปกครองไปส่งที่มหาวิทยาลัยน่ะ”

     

    “โอเคๆ ก็อาคิดว่าหลานอาจจะต้องการความช่วยเหลือนิ”

     

    คยองฮีมองหลานชายหน้าง้ำ อดน้อยใจไม่ได้ที่ตนเองกลายเป็นคนน่ารำคาญไปเสียแล้ว ทั้งที่เธอก็แค่ถามดูด้วยความรักเท่านั้น คยองซูเหมือนจะรู้ว่าอาสาวกำลังน้อยใจ จึงเดินเข้าไปกอดและหอมเพื่อเป็นการง้อเธอแทน

     

    “ขอบคุณนะครับอา ผมรักอาที่สุดเลย”

     

    “จ้าๆ ยังไงก็เดินทางดีๆแล้วกัน แล้ววันอาทิตย์จะกลับกี่โมงโทรมาบอกอาก่อนด้วยนะ อาจะได้ซ่อนกุญแจบ้านไว้ให้”

     

    “ครับ ไปนะครับ”

     

    ร่างเล็กเดินออกมานอกบ้านพร้อมกระเป๋าสะพายข้างใบเล็ก แต่เต็มไปด้วยของสำคัญมากมายสำหรับการอยู่หอพักและเรียน

     

    “มหาวิทยาลัยฟีนูคอน”

     

    สิ้นเสียงหวานที่เอ่ยผ่านสายลม ร่างเล็กนั้นก็ค่อยๆถูกพื้นดินดูดหายไป ไม่นานก็กลับมาก่อร่างที่ห้องเดินทางของชาวโซม่าในหอเดินทาง ดินแห้งค่อยๆแตกสลายลงเป็นผงดินอีกครั้ง ใบหน้าหวานมองไปรอบๆด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร มอบให้แก่ทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องร่วมเผ่าพันธุ์ ดวงตากลมโตทอดมองออกไปตามทางเดินครึ้ม สองข้างผนังทำจากหินเก่าขึ้นคราบและโคมไฟดวงน้อยที่จุดจากไฟจริงๆเป็นแสงนำทาง หันมองไปด้านหลังอย่างที่มักทำเป็นประจำ สัญลักษณ์แห่งความเชื่อของชาวฟีนูคอนที่ปักไว้ที่อก มันเด่นชัดบนรอยหินด้านหลัง พร้อมคำกล่าวที่ทำให้ต้องคร่อมศีรษะน้อมรับ

     

    ...เราเชื่อในพื้นดินผู้มอบความมั่นคง ยินดีต้อนรับสู่มหาวิทยาลัยของท่าน...

     

    “ขอเทพโซม่าจงน้อมรับ”

     

    คำภาวนาดังเช่นที่มักทำประจำในเทวสถานกล่าวออกมา ก่อนที่ขาเล็กจะก้าวเดินออกจากห้องเดินทางของเผ่าดิน มองไปที่โถงกว้างเต็มไปด้วยผู้คน มีบ้างบางคนที่เขามองไปแล้วจำได้ว่าเป็นใคร แต่ส่วนมากก็เป็นคนที่แปลกตาจากเผ่าอื่น ทำให้ต้องเดินตัวลีบเล็กหลบมุมออกมาจากโถง เลี่ยงความอึดอัดที่เกิดขึ้นรอบกาย

     

    “คยองซู!!!

     

    เสียงเรียกที่คุ้นเคยดังมาจากด้านหลัง เรียกให้ร่างเล็กที่เกือบเดินพ้นประตูโถงต้องหันไปมองอีกครั้ง ไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากเพื่อนที่เขาไปเลือกซื้อของด้วย ข้างกันนั้นคือเพื่อนร่วมชั้นเรียนอีกคนของเขาเอง จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเดินเข้าไปหาคนทั้งสอง ก่อนที่เขาจะไม่มีใครคบในชั้นเรียน

     

    ...แค่เก่งเกินไปก็จะไม่มีใครอยากคบอยู่แล้ว...

     

    “เมื่อกี๊นายจะไปไหนน่ะ ไม่รู้เหรอว่าพวกเรานัดกันตรงนี้ทั้งรุ่นเลย”

     

    “เหรอ? ขอโทษนะไม่ได้ตามข่าวเลย”

     

    “แอลี่บอกว่าบอกนายแล้วนะคยองซู สงสัยยัยขี้อิจฉานั่นจงใจให้นายมีปัญหาอีกตามเคยแน่ๆ”

     

    “ช่างเขาเถอะนะอึนจี”

     

    “จะเป็นคนดีมากไปแล้วนะคุณคยองซู ต่อให้นายดีจนตายยังไง ยัยไร้สำนึกนั่นก็ไม่เลิกแกล้งนายหรอก จนกว่านายจะทำตัวเองให้โง่ๆเหมือนพวกหล่อน”

     

    “หึหึ ถูกใจจริงๆเลยยัยอึนจี แม่พวกนั่นเป็นแบบที่เธอพูดไม่มีผิด”

     

    “อย่าไปว่าเขาเลยฮยอนชิก บางทีพวกนั้นเขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจ”

     

    “เหอะ! ทำมาตั้งแต่ปีสองเนี่ยนะไม่ได้ตั้งใจ กลับไปสวดภาวนาที่เทวสถานแล้วเชื่อไปคนเดียวเถอะ ว่าแต่วันนี้ยัยพวกนั้นยังไม่มาเลย แปลกเหมือนกันนะ”

     

    อึนจีมองไปรอบๆด้วยความแปลกใจ ปกติหากเป็นวันเปิดเทอมวันแรก แม่พวกสาวเปรี้ยวประจำคณะจะต้องมาส่องหนุ่มๆตั้งแต่หัววัน แต่ตอนนี้กลับไม่มีวี่แววของแม่พวกนั้นเลยแม้แต่เงา

     

    “นั่นสิ แปลกจัง?...”

     

    <<< The Phonucorn…มนต์ถัณฑิล >>>

     

    “กรี๊ด!!!

     

    เสียงหวีดร้องดังขึ้นขณะที่ร่างของหญิงสาวสองคนกำลังห้อยอยู่บนต้นไม้ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเธอขึ้นไปติดอยู่บนนั้นได้อย่างไร แม้แต่ตัวของพวกเธอเองก็ยังคงกรีดร้องอย่างไม่เข้าใจเช่นกัน รู้แค่เพียงเธอสลบไปเพราะเวทร่าย และ ตื่นขึ้นมาในสภาพนี้เสียแล้วตั้งแต่เช้าตรู่

     

    “ใครมันกล้าทำฉัน กรี๊ด...ด...ด!!!

     

    “ช่วยด้วย!!!

     

    “กรี๊ด...ด...ด!!!

     

    ตาคมมองผลงานชิ้นเอกของตนเองจากมุมหนึ่งของตึก จงอินทำแบบนี้เพราะรู้ดีถึงความประพฤติของสองสาวที่มีต่อร่างเล็ก ตั้งใจจะคิดบัญชีให้ตั้งแต่ก่อนปิดเทอมเมื่อหลายเดือนก่อน แต่เพราะติดงานด่วนก้อนโตที่รับไว้ ถึงต้องปล่อยให้ความไม่พอใจได้มาระบายเอาเสียเดี๋ยวนี้

     

    “หึหึ เอาให้คอแตกก่อนแล้วค่อยช่วยแล้วกัน”

     

    ...แกล้งคยองซูก็ต้องได้รับกรรมแบบนี้...

     

    ขายาวก้าวออกไปจากบริเวณของเหยื่ออย่างไม่สนใจเสียงร้องนั้น ปล่อยให้พวกเธอห้อยหัวเป็นค้างคาให้คนทั้งมหาวิทยาลัยเห็นสักครึ่งวัน ส่วนเขาก็กลับมาที่ลานหน้าโถงเดินทาง ที่เปิดโต๊ะสำหรับลงทะเบียนเลือกคณะอยู่ ร่างสูงหยุดยืนที่หน้าโต๊ะที่มีป้ายสองคณะอยู่ข้างกัน

     

    “การหาสิ่งของไม่ใช่แค่เรื่องเล็กๆสำหรับกระทรวงทุกกระทรวงบนฟีนูคอนแน่นอนค่ะ ความลับจะต้องอยู่ต่อไปหากไม่มีคณะของพวกเรา แต่พวกคุณจะรู้ได้ยังไงคะ ว่าพวกมันสมควรเป็นความลับอย่างนั้นจริงๆ ความลับพวกนั้นอาจนำหายนะมาสู่การดำรงชีวิตของพวกเราชาวฟีนูคอนก็ได้ ดังนั้นหากทุกคนอยากเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือฟีนูคอน และ ไม่อยากตกงานหลังจากเรียนจบ ทางคณะการสืบค้นยินดีต้อนรับค่ะ”

     

    เสียงประธานรุ่นปีสี่คณะการสืบค้นที่แสนเรื่องชื่อ กำลังยืนอยู่บนโต๊ะและประกาศก้องให้ทุกคนได้รู้ถึงความสำคัญของคณะตนเอง ในขณะที่ข้างกันกลับเป็นเด็กหนุ่มท่าทางนิ่งขรึม ทำเพียงนั่งอ่านหนังสืออยู่หน้าป้ายขนาดพอดีที่ทางมหาวิทยาลัยทำมาให้

     

    ...คณะสัตวะวิทยาและสิ่งมีชีวิต...

     

    “เอาไงดีล่ะ”

     

    ถึงจะคิดมาอย่างดีแล้วว่าอย่างไรก็จะเลือกตามแนวทางของตนเอง แต่พอทั้งสองตะมาอยู่ติดกันเช่นนี้ ก็เกิดอาการลังเลขึ้นมาเสียดื้อๆ ขายาวเดินเข้ามาใกล้โต๊ะที่ใช้ร่วมกันตัวนั้น แต่ยังไม่ยอมวางกระดาษในมือลงที่ฝั่งใด

     

    “คิม จงอิน!!!

     

    เสียงของหญิงสาวที่เพิ่งกระโดดลงจากโต๊ะดังขึ้น จงอินสะดุ้งให้เมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อของตนเอง รู้ว่าหญิงสาวกำลังจะพูดอะไรออกมา เขาเองก็รู้จักเธอไม่ใช่น้อย การบ้านสืบข่าวจบปีสามของเธอ ก็เป็นเขาเองที่ตามข่าวให้

     

    “นายจะมาอยู่คณะของเราใช่มั้ย มันแน่นอนเลยนะว่านายต้องได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งแน่นอน นายเก่งที่สุดในมหาวิทยาลัยเลยเรื่องสืบค้นน่ะ ตัดสินใจถูกแล้วล่ะน้องชายของฉัน!

     

    หญิงสาวพูดเองเออเองและดึงกระดาษในมือร่างสูงไปอย่างไม่เสียเวลาถาม เห็นแล้วว่าจงอินเลือกคณะของเธอไว้จริงๆด้วย ก็รีบหันไปส่งใบสมัครนั้นให้เลขาทันที โดยที่จงอินยังยืนหน้าเหวออยู่ตรงหน้าของเธอ

     

    “โควตาของเราต้องมีนายในนั้นแน่นอน”

     

    “อ่า...ครับ?”

     

    “ไปนั่งแทนที่รองประธานหน่อยสิ ถ้าคนที่ยังไม่ตัดสินใจเห็นนายเลือกคณะของเรา มันต้องเป็นการกระตุ้นที่ดีมากแน่นอนเลย”

     

    เธอไม่ได้เอ่ยขออย่างสุภาพ แต่มันเหมือนเป็นการบังคับให้จงอินเข้าไปนั่งรับใบสมัครมากกว่า แน่นอนว่าเขาก็เป็นคนดังของรั้วมหาวิทยาลัยไม่น้อย มีผู้วิเศษกว่าครึ่งที่เป็นลูกค้าของเขามาก่อน ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ของฟีนูคอนก็ตาม ที่สำคัญคือทุกคนเห็นว่าเขานั้นเห็นแก่เงินมากแค่ไหน คณะที่เขาจะเข้าเรียนมันย่อมนำฟีนมากมายมาสู่กระเป๋าเขาอย่างแน่นอน

     

    “ตั้งแต่เช้าพี่ได้คนสมัครแค่นี้เองเหรอครับ”

     

    มือหนาหยิบเอากระดาษสี่ห้าแผ่นขึ้นมาดูด้วยความแปลกใจ เขาคิดว่าคณะของเขาควรเป็นคณะแรกๆที่จะต้องเกินจำนวนจนต้องเรียกคัดเสียอีก หญิงสาวที่เตรียมปีนโต๊ะอีกครั้งหันมามองด้วยหน้าไม่สบอารมณ์

     

    “ตั้งแต่เช้าอะไร นี่มันก็ยังเช้ามากอยู่เลยแท้ๆ แล้วก่อนจะว่าคณะของเราไม่มีคนเรียนนะ รบกวนหันไปมองโต๊ะโล่งๆที่อยู่ข้างๆกันด้วย”

     

    “เหอะ! แล้วคณะของเธอเขาไม่ได้สอนมารยาทในการพูดถึงผู้อื่นรึไง?”

     

    เสียงของชายหนุ่มที่นั่งเงียบมาตั้งแต่ต้นเปรยขึ้น พร้อมมือที่รวบหน้าหนังสือของตนเองให้ปิดลง แสดงท่าทางไม่สบอารมณ์กับคำพูดนั้น แต่ก็ไม่ได้ตั้งท่าจะเอาเรื่องเหมือนรุ่นพี่สาวที่แทบจะพุ่งเข้าใส่

     

    ...สองคณะนี้ไม่ถูกกันเหรอ?...

     

    “นี่มันอะไรกันวะเนี่ย?”

     

    ร่างสูงได้แต่เบือนหน้าหนีสงครามสายตา แล้วหันมาสนใจเพื่อนร่วมรุ่นอีกสี่คนที่มาสมัครไว้ ดูรายชื่อแล้วก็เป็นคนที่เขาคิดไว้เกือบจะทั้งหมด พยายามไม่ใส่ใจเสียงโวยวายของหญิงสาวที่พยายามเรียกรุ่นน้องเข้าคณะ และมีบางช่วงด่ากระทบโต๊ะข้างๆที่กลับไปอ่านหนังสือตามเดิม ไม่อยากจะเงยหน้าขึ้นมารับรู้อะไรอีก จนกระทั่งได้ยินเสียงหวานที่คุยเล่นกับเพื่อนๆของตนเองอยู่ไม่ไกล

     

    “...จริงเหรอ ฉันไม่คิดเลยว่าปิดเทอมจะต้องทำอะไรมากขนาดนั้น”

     

    “ต้องทำสิคยองซู ก็เมืองของฉันมันเต็มไปด้วยหิมะนี่ ถ้าไม่เล่นปาหิมะล่ะก็เหมือนไปไม่ถึง”

     

    “ฉันไม่เคยไปปาโกสมาก่อนเลยอึนจี เป็นสถานที่ที่น่าสนใจนะ”

     

    ...คุณหนูอยากไปปาโกสเหรอ?...

     

    ตาคมลอบมองใบหน้าหวานขณะพูดเล็กน้อย พยายามสังเกตว่าคยองซูอยากจะไปอย่างที่พูดจริงมั้ย จงอินเคยไปที่เมืองน้ำแข็งไม่กี่ครั้ง แต่ก็จำได้ว่าเป็นสถานที่ที่เขาไม่ค่อยพอใจเท่าไร ดินที่นั่นอยู่ใต้กองน้ำแข็งสูงเท่าเข่า ก่อร่างขึ้นมาแล้วแทบไม่ยอมแตกสลายง่ายๆ ต้องเรียกให้คนที่ไม่รู้จักมาทุบให้เสียตั้งนาน

     

    “มากๆ นายจะต้องชอบ เอาเป็นว่าฉันเชิญนายไปบ้านของฉันนะ หากว่านายสนใจจะมาในปิดเทอมหน้า พวกสัตว์ของเราส่วนมากจะจำศีลอยู่ตลอดเวลา จะมีบ้างที่เราพาพวกมันออกมาจากจำศีล แต่ไม่นานมันก็จะกลับไปเหมือนเดิมนั่นแหล่ะ”

     

    “ฉันไม่เคยเห็นสัตว์จำศีลมาก่อน จริงรึเปล่าที่ว่ามันไม่ต้องทานอาหารอะไรเลยน่ะ”

     

    “ไม่รู้สิ พอดีวิชาจำศีลอยู่ในการเรียนเทอมนี้ไง นายลืมอีกแล้วเหรอคยองซู”

     

    “นั่นสินะ จริงด้วย”

     

    ร่างเล็กเกาท้ายทอยแก้เก้อ ดูน่าเอ็นดูในสายตาของเพื่อนๆหลายคน และเพราะบทสนทนานั้นเองที่ทำให้คนที่นั่งเป็นหิวข้างจงอิน ยอมขยับขึ้นไปมองกลุ่มรุ่นน้องร่วมคณะของเขา

     

    “จริงๆพวกมันก็ยังกินอาหาร แต่กินจากที่เก็บสะสมในร่างกายน่ะ”

     

    “รุ่นพี่คิมบอม สวัสดีครับ”

     

    รุ่นพี่หนุ่มจากคณะสัตวะวิทยาคร่อมศีรษะรับคำทักทายของรุ่นน้อง ก่อนจะลุกขึ้นยืนเล็กน้อยบิดไปมา ดูเหมือนว่าก้อนหินกำลังฟื้นคืนชีพไม่มีผิด

     

    “รุ่นพี่เหนื่อยเหรอครับ ถ้าอย่างนั้นไปพักผ่อนก็ได้นะครับ”

     

    “ฉันต้องอยู่ต้อนรับน้องๆสิ”

     

    “แต่...”

     

    เสียงหวานพูดต่อไมได้ กลัวว่าจะทำลายกำลังใจของคนในคณะ เพราะมันแน่นอนอยู่แล้วว่าคงมีคนน้อยมากที่จะเข้ามาสมัครคณะของพวกเขา มันก็เป็นแบบนี้อยู่ทุกปีอยู่ ต่อให้ไม่มีคนนั่งเฝ้าโต๊ะก็คงไม่เป็นอะไร

     

    “แต่...ผมจะเฝ้าแทนให้นะครับ ผมก็อยากเห็นหน้าน้องๆของเราเหมือนกันนะครับ รุ่นพี่ไปพักผ่อนเถอะครับ”

     

    “เอางั้นเหรอ? งั้นก็คงต้องฝากไว้ด้วยนะ”

     

    คิมบอมกล่าวฝากรุ่นน้องให้ดูแลต่อ เพราะเขาเองก็คงไม่ไหวแล้วที่จะต้องมานั่งเฝ้าจนถึงครึ่งวันเช้า สุดท้ายเลยกลายเป็นหน้าที่ของคยองซูเพียงคนเดียว เพื่อนร่วมรุ่นคนอื่นก็อ้างเหตุผลเดียวกันแล้วหายไป

     

    ...ฉันต้องไปจัดของ...

     

    “เฮ้อ~”

     

    “ถ้าคิดว่าไม่จำเป็นต้องเฝ้า รุ่นพี่จะเฝ้าไปทำไม”

     

    เสียงทุ้มของคนที่นั่งฟังมาตั้งแต่ต้นถามขึ้น ไม่ได้อยากจะแสดงตัวให้ร่างเล็กเห็น แต่แค่ไม่เข้าใจว่าทำไมคยองซูถึงใจดีนัก ไม่ต้องเป็นคนที่เรียนคณะสัตวะวิทยาก็ยังรู้ว่าแค่ตั้งตะกร้าก็พอแล้ว เพราะเอกสารสมัครไม่มีทางล้นจากตะกร้านั้นได้หรอก

     

    “จะ...จงอิน?”

     

    “สวัสดีครับ รุ่นพี่คยองซู”

     

    “นายมาทำอะไรตรงนี้ล่ะ ไม่ไปเลือกคณะของตัวเองเหรอ”

     

    “เลือกแล้ว และกำลังทำงานให้คณะอยู่”

     

    มือหนาชูเอกสารการสมัครที่ตอนนี้ก็เข้ามาได้ปึกเล็กแล้วให้คยองซูดู ร่างเล็กเหลือบตามองป้ายคณะที่อยู่ข้างกันเล็กน้อย เมื่อเห็นชื่อคณะก็ทำได้แค่ยิ้มบางๆออกมา ดูเหมือนว่าจงอินจะเลือกคณะที่ตนเองเหมาะอย่างที่คิดไว้เลย

     

    “เป็นคณะที่บอกความเป็นตัวนายดีนะ”

     

    “รุ่นพี่ก็ด้วย”

     

    จงอินไม่ได้ประชดหรือคิดจะดูถูกความชอบของคยองซู เขาแค่คิดแบบนั้นเลยบอกออกไปตามตรง เขาไม่เคยเห็นใครที่ตั้งใจเรียนคณะสัตวะวิทยาและสิ่งมีชีวิต แล้วดูเหมาะสมกับคณะของตนเองมากเท่าคยองซูอีกแล้ว ถ้าจะนิยามก็เหมือนคนอื่นแค่เป็นก้อนหินประดับตะเรียนแทบทั้งนั้น แต่คยองซูดูสดใสและแตกต่างจากคนอื่น

     

    ...และมันคงเป็นแบบนี้แค่ในสายตาของจงอิน...

     

    “ขอบคุณนะครับ”

     

    “รุ่นพี่เป็นคนสุภาพเสมอเลยนะครับ”

     

    “นายเองก็เหมือนกันนิ”

     

    “ที่บ้านอาจจะใช่ แต่ผมไม่ได้ดีแบบนั้นตลอดนิ”

     

    “นั่นสินะ”

     

    คยองซูหลบสายตานั้นด้วยความรู้สึกเศร้าใจอย่างประหลาด ไม่รู้ทำไมเขาถึงคิดว่าจงอินเหมือนจงใจบอกเขาแบบนั้น บอกให้เขารู้ตัวว่าจงอินจะไม่สุภาพกับเขาเหมือนเดิม แต่มันก็ถูกแล้วในเมื่อเขาไม่ใช่คุณหนูในความคิดของร่างสูงอีกแล้ว

     

    “ละ...แล้วปีนี้ นายได้อยู่ห้องไหนล่ะ”

     

    ร่างเล็กตัดสินใจเงยหน้าขึ้นมาเปลี่ยนเรื่องเสียดื้อๆ เพราะคิดขึ้นมาได้ว่านักศึกษาที่ขึ้นชั้นปีที่สอง จะได้รับห้องประจำจนกว่าจะจบปีสี่กับรูมเมทที่ลงชื่อร่วมกันไว้ ส่วนมากก็จะเป็นคนเดิมกับที่ถูกจับได้ตั้งแต่ปีหนึ่ง

     

    “ได้ยินว่าอยู่ชั้นสี่ครับ แต่ยังไม่ได้ตรวจดู”

     

    “ชั้นเดียวกับฉันเลยนะ”

     

    “เหรอครับ”

     

    ร่างสูงตอบรับเสียงเรียบ ไม่ได้มีท่าทีอยากจะยินดีหรือยินร้ายกับสิ่งที่ได้ยิน ทั้งที่ในใจกำลังพยายามเก็บซ่อนความปิดปกติของเขาไว้ เขารู้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่านี่คือชั้นเดียวกับคยองซู ถึงแอบลอบเข้ามาเปลี่ยนรายชื่อห้องพร้อมๆกับที่แกล้งยัยรุ่นพี่สองตัวร้ายนั่น จนตอนนี้ห้องของเขาก็อยู่ข้างร่างเล็กเป็นที่เรียบร้อย

     

    “ดูเหมือนงานนายจะยุ่งนะ ฉันไม่รบกวนนายดีกว่า”

     

    คยองซูพูดออกไปเสียงแผ่ว เพราะรู้สึกถึงความไม่เป็นที่ต้องการจะร่วมสนทนาจากจงอิน ร่างสูงพอได้ยินแบบนั้นก้หันไปมองคนที่หน้าเสียอย่างรู้สึกผิด เขาไม่ควรแสดงกิริยาเหมือนคยองซูน่ารำคาญเช่นนี้เลย

     

    ...ขอโทษนะครับ...

     

    ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาอีกนับจากนั้น จนกระทั่งทั้งสองแยกย้ายกันไปพักกลางวันในที่ของตนเอง ตาคมมองตามร่างเล็กที่ห่างออกไปด้วยใจวูบโหวง เขาไม่ชอบการเฝ้ามองคยองซูเดินจากกันเลย แต่เขาก็ไม่เคยทำอะไรให้ดีขึ้นได้ หลังจากเห็นครั้งแรกเมื่อเกือบสามปีก่อน เขาก็เริ่มทำตัวให้ชินชากับการมองแผ่นหลังนั้น

     

    ...มองตามไปด้วยความเจ็บปวดเหมือนทุกครั้ง...

     

    “มองอะไรน่ะจงอิน?”

     

    “ครับ? ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมก็แค่มองอะไรไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น”

     

    “แปลกคน? แต่ก็เอาเถอะ เดี๋ยวพี่เลี้ยงขอบคุณที่ช่วยงานแล้วกัน”

     

    “เอางั้นเหรอ”

     

    “เออล่ะ เดี๋ยวยกของไปเก็บแล้วไปกินกันเลย!

     

    <<< The Phonucorn…มนต์ถัณฑิล >>>

     

    ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก

     

    เสียงเคาะประตูจากมือบาง เรียกให้คนที่นั่งอยู่ในห้องต้องหันไปมองทางประตูด้วยความสงสัย พอเห็นว่าเป็นรูมเมทร่างเล็กตั้งแต่ปีหนึ่ง เขาก็ทำเพียงทักทายกันเล็กน้อย

     

    “สวัสดีคยองซู นี่นายหายไปไหนของนายมาเนี่ย เพื่อนๆของนายเขาก็มากันนานแล้วนี้ ไหนบอกว่านัดกันเจอที่โถงเดินทางไง”

     

    “พอดีไปช่วยที่คณะรับสมัครรุ่นน้องปีสองน่ะ แล้วนายมานานแล้วเหรอซองแจ”

     

    คยองซูตอบคำถามพร้อมถามกลับ เดินไปทิ้งตัวลงบนที่นอนฝั่งที่ยังไม่ได้จัดของตนเอง ซองแจทำท่าคิดว่าเขามาตั้งแต่เวลาเท่าไร ก่อนจะหันมาตอบรูมเมทของเขา

     

    “ก็ก่อนนายสักชั่วโมงกว่าได้มั้ง สวนกับฮยอนชิกที่หน้าหอด้วย ตอนแรกเลยคิดว่านายจะมาถึงก่อนแล้วเสียอีก”

     

    “เฮ้อ~”

     

    “ถอนหายใจยังกับฟีนูคอนจะถล่มอย่างนั้นแหล่ะ นี่นายไปทำงานช่วยคณะของนายมา หรือว่าเพิ่งจะไปออกรบมากันแน่ล่ะนั่น”

     

    “ฉันไปรบกับจิตใจของตัวเองมาด้วยต่างหาก”

     

    “พูดจาเพ้อเจ้อสมเป็นคยองซูจริงๆ เด็กเนิร์ดนี่เป็นนิยามของคำว่าประหลาดกันไปหมดทุกคนเลยรึเปล่านะ”

     

    ร่างเล็กบิดตัวเข้าหาผนังหนีคำว่าเด็กเนิร์ดที่ซองแจพูดถึง เขาไม่ชอบคำพูดที่เหมือนใครๆก็พยายามบอกว่าเขานั้นแสนเก่ง ทั้งที่ตัวเขาก็แค่อยากเป็นนักศึกษาธรรมดาของคณะสัตวะวิทยาเท่านั้น

     

    ...มันยากมากหรือไง!!!...

     

    “ขอโทษๆ โกรธอีกแล้วรึไง แค่แซวเล่นเฉยๆหรอกน่า”

     

    “เหอะ!

     

    ท่าทางแสนงอนที่ไม่เคยทำใส่คนอื่นมาก่อน ถูกส่งออกไปให้เพื่อนร่วมห้องที่สนิทมาตั้งแต่ปีหนึ่งอีกครั้ง ก่อนที่ซองแจจะปาหมอนใส่ร่างเล็กอย่างแรงเป็นการขอโทษ ซึ่งคยองซูก็เข้าใจความหมายของการกระทำนั้นเป็นอย่างดี จึงยอมหันมามองหน้าซองแจตาเขียว ขว้างหมอนกลับไปคืนแต่ก็ไม่ได้แรงอะไรมากมาย

     

    “หายโกรธกันแล้วสินะ”

     

    “...”

     

    “ว่าแต่นายได้ยินเรื่องรุ่นน้องห้องข้างๆ ที่เขาย้ายมาอยู่แทนรุ่นพี่ปีสี่เมื่อปีที่แล้วรึยัง เห็นว่าคนหนึ่งเป็นโฟเธีย อีกคนเป็นชาวโซม่านะ นายอาจจะรู้จักเขาก็ได้”

     

    “หือ?”

     

    ตากลมโตเผลอเบิกกว้างขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น อดคิดไปเองไม่ได้ว่าข้างห้องของเขาอาจจะเป็นร่างสูงก็ได้ ในเมื่อจงอินบอกเองว่าเขาก็อยู่ชั้นสี่เช่นกัน แล้วบนชั้นนี้คยองซูก็ไม่รู้จักปีสี่ที่จบไปแล้วห้องอื่นเลย

     

    “ตกใจอะไร ก็แค่รุ่นน้องจะมาอยู่ข้างห้อง”

     

    “เรียนคณะอะไรพอจะรู้มั้ยซองแจ”

     

    “จะไปรู้ได้ยังไง ตอนเขาติดป้านประกาศห้อง ปีสองยังไม่ได้เลือกคณะกันเลย”

     

    “นั่นสิ อยากรู้จังว่าจะใช่มั้ย”

     

    “ใช่อะไร?”

     

    ซองแจถามร่างเล็กด้วยความแปลกใจ เขาคิดว่าเขาเห็นแววตามีความสุขของเพื่อนตัวน้อยกำลังทอประกายออกมา ทั้งที่คยองซูที่เขารู้จักนั้นมักจะทำสายตาว่างเปล่ากับเกือบทุกเรื่องที่เขาพูดด้วยซ้ำ

     

    “มะ...ไม่มีอะไรหรอก”

     

    “คิดว่าฉันโง่เหรอ?”

     

    “ปะ...เปล่า...”

     

    ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก

     

    เสียงเคาะประตูหยุดร่างของซองแจที่กำลังจะเข้ามาเอาคำตอบ ให้หันไปทางประตูและเปิดมันออก คยองซูมองตามไปด้วยความแปลกใจ ปกติห้องของพวกเขาไม่ค่อยมีคนแวะเวียนมาสักเท่าไร แต่นี่กลับดังตั้งแต่วันแรกที่เข้าหอเลยเหรอ

     

    “สวัสดีครับ ผมรุ่นน้องปีสองอิลฮุนจากโฟเธีย เข้ามาอยู่ห้องข้างๆพวกพี่ ฝากเนื้อฝากตัวเลยนะครับ”

     

    เด็กหนุ่มคนแรกกล่าวฝากเนื้อฝากตัวจบก็คร่อมศีรษะลง มือทั้งสองยื่นเค้กมาให้ซองแจที่รับมาอย่างงงๆ ก่อนจะใช้แขนนั้นกระทุ้งไปที่สีข้างของเพื่อนร่างสูง ที่กำลังยืนหน้าง้ำอยู่ข้างกัน

     

    “จะ...จงอิน”

     

    เสียงหวานครางออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ ว่าสิ่งที่เขาคิดไปนั้นจะเป็นจริงขึ้นมาได้ ร่างสูงที่ดูท่าทางเหมือนจะเหนื่อยอยู่ไม่น้อย จากเม็ดเหงื่อที่เกาะพราวตามร่างกาย ตาคมดูไม่พร้อมที่จะมาทักทายรุ่นพี่ข้างห้อง อย่าที่รูมเมทของเขากำลังทำเลยสักนิดเดียว แต่สุดท้ายจงอินก็ยอมเอ่ยออกมาอย่างรักษามารยาท

     

    “สวัสดีครับ จงอินจากโซม่าครับ”

                        

    <<< The Phonucorn…มนต์ถัณฑิล >>>

    The Phonucorn – chapter 4.3

     

    สวัสดีค่ะนักอ่านทุกคน

    ขอบคุณทุกกำลังใจค่ะ ไม่รู้มนต์ถันฑิลสนุกถูกใจมั้ยเอ่ย แต่อย่างไรฝากติดตามด้วยนะคะ หายไปนานคงยังไม่ลืมคุณหนูกับทาสรับใช้นะคะ^^

     

     

      CR.SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×