ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Phonucorn ตอน มนต์ถันฑิล [ KaiSoo , KaiDO : EXO ]

    ลำดับตอนที่ #7 : The Phonucorn ฟีนูคอน : เพลิงพิทักษ์ - บทที่ ๕

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.02K
      12
      4 มี.ค. 59

    Title : The Phonucorn เพลิงพิทักษ์ – บทที่ ๕

    Author : พระจันทร์สีทอง

    Genre : Fantasy Romantic Drama

    Warnings : Yaoi – PG 18

    Pairing :  Yifan x Yixing

     

     

    บทที่ ๕
    The Phonucorn ฟีนูคอน : เพลิงพิทักษ์

     

     

     

     

     

     

    ณ ห้องทำงานอธิการบดี

     

    “น่าประทับใจจริงๆ ที่ได้ต้อนรับคนดังของมหาวิทยาลัย และ นักศึกษาใหม่จากโลกฟิสสิเพรส สู่ห้องทำงานอันทรงเกียรติของฉันตั้งแต่วันแรก”

     

    คำพูดเชิงประชดประชันจากอธิการบดีสาวคนสวย ทำให้คริสต้องกลอกตาไปรอบๆอย่างนึกหงุดหงิด เขาเองก็ไม่ได้อยากจะมาอยู่ที่นี่สักนิด หากไม่ใช่เพราะร่างบางตัวดีที่นั่งอยู่ข้างกันคิดลองดีกับเขาก่อน

     

    “โบโลนี โมโนส เซดีโอ เอโปเปรสเธียร์!...เวลาผู้ใหญ่พูดกรุณามองที่เขาด้วยนะเด็กดี รักษามารยาทกันหน่อย”

     

    สายฟ้าฟาดจากปลายเล็บสีแดงฉานของท่านอธิการบดีคนสวย มุ่งตรงสู่ร่างสง่าที่ไม่ให้ความสนใจในคำพูดของเธอสักนิด ท่ามกลางสายตาตกใจของอี้ชิง ที่เงยหน้าขึ้นมามองการใช้เวทร่ายนั้นพอดี ดูเหมือนคริสจะกระตุกเกร็งหลังจากถูกสายฟ้านั่นวิ่งเข้าสู่ร่างกาย หลังจากนั้นเขาก็นิ่งไปเพราะถูกเวทร่ายควบคุมให้จ้องตามหญิงสาวเท่านั้น

     

    “ค่อยน่าสงสารขึ้นมาหน่อย”

     

    “แต่นี่มันผิดกฎหมายควบคุมผู้ถือกำเนิดนะครับ”

     

    “บังเอิญว่าห้องอธิการบดีเป็นเขตนอกกฎหมายนั้นน่ะคุณคริส ที่สำคัญคือฉันคือคนกำหนดความเหมาะสมของบทลงโทษที่นี่เสียด้วยสิ”

     

    นี่แหล่ะความหายนะของการต้องเข้ามาในห้องนี้สำหรับคริส กฎหมายคุ้มครองทุกอย่างถือเป็นโมฆะ แถมในสถานศึกษายังให้สิทธิ์อาจารย์ทุกคนใช้เวทร่ายต้องห้ามได้ โดยไม่มีการถูกสอบจากกรมควบคุมของผู้พิทักษ์อีก

     

    ...นี่มันหายนะของเด็กเกเรเลยล่ะ!...

     

    “จริงๆเธอไม่ควรพูดอะไรมากนัก เพราะในที่นี้เธอมีความผิดมากกว่าคุณอี้ชิงเสียด้วยซ้ำ”

     

    “แต่ผมไม่ได้...”

     

    “แค่เผาน่องไก่ของคนอื่นก็เป็นความผิดได้แล้ว แม้เธอจะไม่ได้ใช้เวทร่าย แต่เราสามารถจับกระแสจิตที่จงใจละเลยของคุณได้ และนั่นคือการทำลายทรัพย์สินของทางราชการนะจ๊ะ คนดี”

     

    คำพูดหวานหูแต่อาบไปด้วยยาพิษมากสีจนน่าขนรุก อี้ชิงจ้องมองการขยับปากสีแดงส้มของอธิการบดีสาวราวกับต้องมนต์ เขาไม่ได้โง่พอที่จะประติดประต่อเรื่องไม่ได้ขนาดนั้น พอเข้าใจว่าอาจมีการใช้เวทร่ายอีกแบบที่ไม่ต้องพูด แต่เป็นการควบคุมบางอย่างในสมอง และหากเราปล่อยให้มันเกิดขึ้น ก็ถือว่าเรากระทำผิดอยู่ดี

     

    “อย่าทำหน้าสงสารคุณคริสแบบนั้นเลยคุณอี้ชิง เพราะเธอเองก็เพิ่งจะใช้ดวงจิตปล่อยลมใส่เขามาเหมือนกัน สรุปคือพวกเธอสองคนจงใจไม่ควบคุมกระแสจิตเพื่อทำร้ายกันเอง ความผิดร้ายแรงทั้งคู่”

     

    ร่างบางอ้าปากค้างเมื่อรู้ว่าตัวเองก็เพิ่งทำบางอย่างที่เรียกว่าจงใจ ทั้งที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพิ่งจงใจทำอะไรออกไป เขาก็แค่คิดว่าอยากแก้แค้นร่างสง่า แล้วน้องไก่ไหม้ๆนั่นก็บินไปหาอีกคนเองเท่านั้น...เป็นความจงใจที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์

     

    “นายตายแน่!

     

    เสียงทุ้มดังมาจากคนที่นั่งอยู่ข้างกัน แม้สายตาคมกริบยังคงจ้องมองไปที่หญิงสาว แต่คำพูดเชือดเฉือนนั้นมุ่งตรงมาที่อี้ชิง ปากบางเบะใส่อย่างนึกหมั่นไส้หนัก อยากจะหันไปถามพ่อคุณจริงๆว่าตนเองต่างจากเขาตรงไหน ยิ่งสภาพที่ถูกเวทร่ายให้ขยับไปไหนไม่ได้ด้วยนั้น มันดูน่าเวทนากว่าเขาหลายเท่า

     

    “บทลงโทษของคุณคริสคือออกพิทักษ์ให้ผู้ล่าที่สุสาน จนกว่าจะถึงคืนเพ็ญของวันจันทร์จรัส ส่วนคุณอี้ชิง...เนื่องจากคุณเพิ่งมาจากโลกของฟิสสิเพรส เราจึงขอยกบทลงโทษของคุณไว้ก่อน เหลือเพียงการตักเตือนเท่านั้น"

     

    “นี่มันไม่ยุติธรรม!!!

     

    ร่างสง่ายืนขึ้นพร้อมใบหน้าหล่อที่หันมาจ้องใบหน้าสวยของคนข้างๆอย่างโกรธเกรี้ยว เวทร่ายที่ควบคุมอยู่สลายด้วยแรงอำนาจที่เหนือกว่าของไฟร้าย จนอธิการสาวต้องเคลื่อนกลายมาแยกทั้งสองห่างออกจากกันคนละมุมห้อง เธอเคลื่อนกายเร็วปานสายฟ้ามาหยุดตรงหน้าคริส เพราะรู้ดีว่าพลังอำนาจของสายเลือดโฟเธียจากตระกูลอฟาไตรนั้นน่ากลัวแค่ไหน

     

    “เขาทำผิด ต้องได้รับการตักเตือนเช่นกันสิครับ!

     

    “แต่เขาเพิ่งเข้ามาอยู่ในฟีนูคอน เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำอะไรลงไป เราต้องให้โอกาสผู้ถือกำเนิดใหม่ ตามกฎการปฏิบัติต่อผู้ถือกำเนิดในช่วงร้อยราตรีแรก”

     

    “ไหนคุณบอกว่าที่นี่กฎหมายใช้ไม่ได้!

     

    “แต่กฎนี้เป็นกฎหลัก ฉันขอสั่งให้เธอเชื่อฟัง โบโลนี...”

     

    “อย่ามาใช้เวทร่ายหลอกเด็กนั่นกับผมอีก!

     

    พรึบ!!!

     

    คริสกล่าวอย่างรู้ดีว่าเธอพยายามจะทำอะไร แต่เขาจะไม่ยอมให้เธอใช้มันได้อย่างครั้งแรก เปลวไฟรุกโชนรอบร่างสง่าเหมือนเป็นเกราะป้องกันภัย ให้เขาได้เดินออกไปจากห้องอธิการบดีอย่างง่ายดาย โดยไม่ลืมที่จะหันมาพูดอย่างคนแพ้ไม่เป็นกับร่างบาง

     

    “ฉันจะยอมโดนลงโทษเพียงคนเดียวตามกฎโง่ๆนั่น ในฐานะที่ฉันเป็นนักศึกษาของที่นี่ แต่สำหรับนาย จาง อี้ชิง นายจะต้องโดนดีแน่ๆ!

     

    ปัง!

     

    ประตูไม้ถูกปิดลงเสียงดังพร้อมความร้อนที่ดับมอดไป อี้ชิงยังคงจ้องมองไปที่ประตูบานนั้น จะเรียกว่าหวาดกลัวกับคำขู่นั้นก็คงไม่ได้ เพราะเขาไม่รู้ว่าจะต้องกลัวอะไร แต่เรียกว่ากำลังกังวลมากกว่าที่รู้สึกเหมือนโดนเกลียดมากขึ้น

     

    “หลานคนนี้ของฉันไม่น่ารักเอาเสียเลยนะ”

     

    “หลานเหรอครับ?”

     

    “เขาเป็นลูกของพี่สาวคนโตของฉัน ฉันเป็นน้องสาวคนละพ่อของแม่คริส”

     

    “ความสัมพันธ์ภายในบ้านคงไม่ราบรื่นสินะครับ”

     

    ร่างบางพูดอย่างเข้าใจ ก่อนจะเดินเข้าไปพยุงเธอที่ดูอ่อนแรงลงนิดหน่อยให้นั่งลงบนเก้าอี้ทำงาน มองหาบางอย่างเช่นยาเพื่อจะเอามาช่วยเธอ โดยลืมไปเลยว่าที่นี่ไม่มีอะไรที่เขารู้ดีสักอย่าง ไม่มียาพาราที่รักษาได้ทุกอย่างเหมือนโลกฟิสสิเพรส

     

    “ฉันต้องการสายฟ้า คริสหลอมธาตุของฉัน มันทำให้ฉันรู้สึกอ่อนแอ”

     

    “ผะ...ผมเป็นธาตุลมครับ”

     

    “มีเพื่อนเป็นสายฟ้าบ้างมั้ย?”

     

    ใบหน้าสวยส่ายปฏิเสธเบาๆอย่างรู้สึกผิดที่ไม่อาจช่วยได้ จำนวนคนที่เขารู้จักตอนนี้มันช่างน้อยนิดเหลือเกิน แค่ชาวอเนโมสหนึ่ง ชาวปาโกสสอง และ ชาวเนโรอีกหนึ่งเท่านั้น อธิการสาวถอนหายใจอย่างระอา เธอรู้ตัวว่าคงขอความช่วยเหลือผิดคนเสียแล้ว เด็กใหม่แบบนี้มีคนรู้จักบ้างรึเปล่าก็ไม่รู้

     

    “งั้นช่วยไปตาม ฮวัง จื่อเทา จากหอพักเขตร้อนได้มั้ย?”

     

    <<< The Phonucorn…เพลิงพิทักษ์ >>>

     

    “จาง อี้ชิง!

     

    เสียงเรียกที่คุ้นเคยจากเซฮุนดังขึ้นเป็นคนแรก ตั้งแต่ขาเล็กยังไม่ก้าวพ้นบานประตูของหอพักเลยด้วยซ้ำ แม้จะมืดมากแล้วกว่าอี้ชิงจะหาวิธีตามคนที่ชื่อจื่อเทาเจอ แล้วพาไปส่งที่ห้องอธิการบดีอีกครั้งเสร็จ แต่เมื่อกลับมาถึงหอพักเพื่อนๆของเขา รวมถึงเด็กที่พูดจาแปลกๆตอนนั้นก็ยังอยู่รอกันครบ

     

    “นายโอเครึเปล่าอี้ชิง นายโดนลงโทษยังไง ลู่ฮานบอกว่าเห็นพี่คริสเดินตามพวกผู้ล่าเข้าไปทางสุสาน”

     

    เป็นแบคฮยอนที่เดินมาประคองเหมือนร่างบางเป็นคนป่วย ทั้งที่อี้ชิงก็แค่กำลังงงเลยไม่รู้จะตอบอะไรคำถามไหนก่อน นอกจากถูกขอให้ไปตามพ่อหนุ่มผิวเข้มจากเขตร้อน เขาก็ไม่ได้เจออะไรมากกว่านั้นเลย คนที่น่าเป็นห่วงคือคนที่ลู่ฮานเจอเข้าไปในสุสานต่างหาก คงไม่ใช่บทลงโทษธรรมดาแน่

     

    “...แต่สำหรับนาย จาง อี้ชิง นายจะต้องโดนดีแน่ๆ!

     

    คำขู่สุดท้ายยังคงดังก้องอยู่ในหัว แต่เทียบไม่ได้เลยกับสายตาดุดันที่พร้อมจะแผดเผาเขาทุกเมื่อนั่น เมื่อถูกแบคฮยอนพามานั่งกลางวงล้อมของเพื่อนๆ อี้ชิงจึงอดเก็บความสงสัยไว้ไม่ได้

     

    “ในสุสานมีอะไรเหรอ?”

     

    “ก็พวกผีน่ะ หลายเผาพันธุ์ หลายเชื้อชาติ มันยากที่จะควบคุม ส่วนมากจะเป็นความรับผิดชอบของผู้ล่าจากเผ่าโบโลนี พวกนั้นสามารถโดนน้ำได้ระดับหนึ่ง และ ทนความร้อนได้เช่นกัน จึงง่ายกว่าถ้าเจอพวกผีพราย หรือ ผีที่เป็นดวงจิตของโฟเธีย”

     

    “ผู้ล่าคือใคร?”

     

    อี้ชิงถามออกไปด้วยความสงสัยหนัก เขาได้ยินคำนี้มาตลอดชั่วโมงกว่าที่ผ่านมา แต่ไม่รู้ว่าพวกนี้ทำอะไรกันแน่ ทำไมท่านอธิการถึงต้องสั่งให้คริสไปคุ้มครอง

     

    “เหมือนยมทูตของฟีนูคอน สมชุดคลุมสีดำสนิทประกายม่วงเมื่อต้องแสงจันทร์ ไม่มีใครเคยเห็นร่างกายของพวกเขา ไม่รู้ว่าพวกเขาคือใคร รู้แค่พวกเขาอยู่ที่นี่กับพวกเรา อาจเป็นนักศึกษาคนใดคนหนึ่งของมหาวิทยาลัย กระจายตัวอยู่ในทุกๆเขตในฐานะประชากรของเราทั้งที่ไม่ใช่ บางตำนานบอกว่าเขาทำงานเพื่อล้างบาปให้เทพีแห่งเขา แต่ไม่มีที่ไหนกล่าวถึงความผิดของเทพีโบโลนี”

     

    “หรือมันอาจจะไม่ใช่ความผิดของพระนางก็ได้”

     

    เป็นอีกครั้งที่คำพูดของเด็กหนุ่มคนนี้ดังขึ้นสร้างความสงสัยให้กับทุกคน ตาสวยหันไปมองใบหน้าเรียบเฉยที่ไม่มองตอบเขาสักนิด มือบางนั้นยังคงบรรจงถักไหมพรมที่วางอยู่ในตะกร้าข้างตัว มันเป็นแบบนี้ตั้งแต่ที่อี้ชิงเดินเข้ามาแล้ว จนร่างบางลืมไปเสียสนิทว่าในห้องนี้ยังมีอีกคนที่เขาไม่รู้จักชื่ออยู่ด้วย

     

    “นายหมายถึงอะไร นายพูดเหมือนไม่เชื่อในคัมภีร์ถือกำเนิด ตั้งแต่เมื่อช่วงอาหารค่ำแล้วนะ”

     

    “ฉันไม่ได้บอกว่าฉันไม่เชื่อในคัมภีร์ถือกำเนิด แต่ฉันไม่เชื่อในเรื่องที่ไม่มีอยู่จริงต่างหากล่ะ”

     

    “นายจะบอกอะไรพวกเรา”

     

    “ก็แค่จะบอกว่า อย่าเชื่อในเรื่องที่นายไม่ได้รู้ได้ด้วยตัวเอง คนทุกคนมีชะตาชีวิตที่ถักทออยู่ น่าจะเชื่อในสิ่งที่จำเป็นกับชีวิตก็พอแล้ว”

     

    พูดจบเขาก็ลุกเดินจากไปพร้อมตะกร้าไหมพรมของตัวเอง โดยมีสายตาไม่เข้าใจของอี้ชิงมองตามไปด้วย บางอย่างในคำพูดนั้นบอกว่าเขาควรเชื่อในคำพูดนั้น เพราะมันหมายถึงปัจจุบัน แต่เพื่อนของเขาดูไม่มีใครสนใจคำพูดนั้นสักนิด อาจจะเป็นการโชคดีที่ร่างบางไม่รู้จักคัมภีร์ผู้ถือกำเนิด เพราะไม่มีตำนานใดที่เขารู้และไม่มีตำนานใดที่เป็นจริงหรือเท็จสำหรับเขา

     

    “ฉันว่าหมอนั่นน่ะประหลาด พูดแต่อะไรประหลาดๆ”

     

    “แต่มันก็จริงของมันนะซิ่วหมิน ทำไมเราไม่เคยสงสัยว่าตำนานพวกนั้นจริงรึเปล่า ทั้งที่พวกเราไม่เคยเจอมันด้วยตัวเอง บางอย่างอาจถูกบิดเบือนเพื่อปกป้องเผ่าพันธุ์ของตัวเองก็ได้”

     

    “แต่ฉันเชื่อในสายเลือดแห่งปาโกสนะเซฮุน ฉันเชื่อในตำนานของเผ่าเรา”

     

    คำพูดของแบคฮยอนเรียกทุกสายตาให้หันมาสนใจเขาแทน มือน้อยประสานกันแน่นแล้วก้มหน้าอย่างกังวล อี้ชิงมองดูรูมเมทคนใหม่อย่างพอเข้าใจ ไม่แปลกที่คนที่โตมากับความเชื่อนั้นจะเชื่ออย่างฝังใจ เขาไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องใหญ่อะไร คนเราหลายศาสนาก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ ที่สำคัญคือเรายังอยากเป็นเพื่อนกันมั้ยมากกว่า

     

    “จะยังไงก็ช่างเถอะ ว่าแต่นายโดนลงโทษอะไรกันแน่อี้ชิง อย่าบอกนะว่าให้ไปนั่งเฝ้าสุสานนั่น”

     

    เพราะคำพูดของเซฮุนที่สร้างความสงสัย ทำให้ทุกสายตาหันมามองร่างบางด้วยความกังวลอีกครั้ง มันไม่ง่ายเลยที่ผู้วิเศษจะเข้าไปในสุสาน ยิ่งผู้วิเศษที่ไม่รู้จักวิธีใช้แร่นักรบแบบอี้ชิงด้วยแล้ว...เหมือนส่งกันไปตายเล่น

     

    “ฉันไม่ได้ถูกลงโทษอะไร ท่านอธิการบดีบอกว่ายกโทษให้เหลือแค่ตักเตือน เพราะฉันฉันเพิ่งเข้ามาอยู่ที่นี่น่ะ”

     

    “แล้วนายถามถึงเรื่องสุสานทำไมล่ะ?”

     

    “เพราะฉันคิดว่ามันไม่ยุติธรรมกับพี่คริสที่ต้องเข้าไปในนั้น ฉันก็เป็นคนหนึ่งที่หาเรื่องเขาด้วยเหมือนกัน แต่เขาถูกลงโทษให้ไปพิทักษ์ผู้ล่าจนกว่าจะถึงวันจันทร์จรัสอะไรสักอย่าง”

     

    อี้ชิงอธิบายออกไปอย่างไม่แน่ใจนักว่าเขาพูดถูกมั้ย และ ไม่รู้ด้วยว่านี่คือโทษที่ร้ายแรงมากขนาดไหน เขาก็แค่รู้สึกผิดที่ทำให้ร่างสง่าต้องลำบากกว่าเดิม ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากเข้าไปช่วยคริสรับบทลงโทษนั้น

     

    “หยุดคิดที่จะเอาพวกเราเข้าไปเกี่ยวกับบทลงโทษนี้ โดยเฉพาะตัวนายเองนะ อยู่ห่างๆหมอนั่นไว้น่ะดีที่สุด ถ้าอยากมีชีวิตปีหนึ่งที่ปลอดภัยน่ะนะ อีกสามคืนก็ถึงวันจันทร์จรัสแล้ว เก่งอย่างหมอนั่นไม่จำเป็นต้องใช้เวทชุบชีวิตหรอกน่ะ”

     

    “แต่เรามีส่วนผิด”

     

    “นายเอาเวลาที่รู้สึกผิดไปหัดใช้แร่นักรบให้เป็นก่อนวันประลองเถอะไป”

     

    “นั่นสิอี้ชิง ยังไงพี่คริสเขาก็ไม่เดือดร้อนกับเรื่องนี้หรอก”

     

    ดูเหมือนความคิดของเพื่อนทุกคนจะตรงกันคืออย่ายุ่งกับคริสอีก อี้ชิงเองก็จนปัญญาที่จะออกความเห็นของตนเอง จึงต้องเดินตามแบคฮยอนกลับห้องไปอย่างรู้สึกค้างคาอยู่ไม่น้อย...อะไรคือความยุติธรรมที่เขาได้รับ

     

    <<< The Phonucorn…เพลิงพิทักษ์ >>>

     

    “ชั้นเรียนแร่นักรบในวันนี้ ขอเสนอบทเรียนแสนง่าย การผูกพันธะสัญญา

     

    เสียงฮือฮาดังขึ้นรอบร่างบางที่ยิ่งกว่าสงสัยในตอนนี้ เขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับแร่คริสตัลเม็ดน้อยในมือ รู้แค่ว่ามันเรียกว่าอะไรก็ถือว่ามหัศจรรย์มากแล้ว อย่าให้พูดถึงวิธีใช้มันเลย

     

    “ประจำที่ด้วยค่ะนักศึกษา!

     

    คำประกาศกร้าวทำให้นักศึกษาต่างเงียบลง แล้วเดินเข้าไปประจำที่ของตัวเอง ที่มีเพียงโต๊ะไม้แปะรหัสนักศึกษาไว้ อี้ชิงไม่รู้ว่าจะทำอะไรก่อนดี ที่ทำได้ก็แค่ทำตามลู่ฮานไปเท่านั้น ร่างเล็กวางแร่นักรบลงบนโต๊ะ อี้ชิงก็วางบ้างขนาดลู่ฮานอมยิ้มตอนมองแร่คริสตัลหลายอันของตนเอง อี้ชิงยังทำบ้างราวกับกลัวจะพลาดจุดสำคัญ

     

    “เอาล่ะนักศึกษา ในที่นี้ทุกคนคงเคยผ่านการใช้แร่นักรบพื้นฐานกันมาแล้ว ยกเว้นคุณอี้ชิง เพราะฉะนั้นนอกจากคุณอี้ชิง อาจารย์อนุญาตให้ลองฝึกการผูกพันธะสัญญาจนกว่าจะหมดคาบ เพื่อใช้สอบคะแนนย่อยท้ายคาบค่ะ ส่วนคุณอี้ชิงตามอาจารย์มาที่ห้องโถงนะคะ”

     

    อาจารย์สาวพูดจบก็เก็บสมุดนำอี้ชิงออกไป ร่างบางหยิบแร่นักรบของตัวเองกับตำราเรียนเล่มหนาตามไปอย่างไม่เข้าใจนัก แต่ก็ขอบคุณที่ทุกคนไม่เร่งรัดให้เขาต้องเข้าใจทุกอย่างตั้งแต่ครั้งแรก ห้องโถงกว้างมีเพียงสองศิษย์อาจารย์กับพื้นที่โล่งจนน่ากลัว

     

    “อาจารย์ชื่อโซราเป็นเพื่อนของคุณป้าของเธอ ท่านฝากฝังอาจารย์มา”

     

    “ขอบคุณครับ ผมต้องขอบคุณที่ให้ความกรุณาต่อผมนะครับ”

     

    “คุณป้าของเธอกังวลมากว่าหลานจะสามารถเข้ากับการเรียนการสอนได้มั้ย และ ฉันในฐานะอาจารย์คนแรกของเธอที่นี่ ได้ให้คำมั่นสัญญาไปแล้วว่าเธอจะไม่มีปัญหาในชั้นเรียนของฉัน เรามาดูกันดีกว่าว่าเธอรู้จักแร่นักรบแค่ไหน”

     

    อี้ชิงเอียงคอเล็กน้อยอย่างไม่เข้าใจนัก มือเรียวหยิบเอาแร่คริสตัลสีใสบริสุทธิ์ออกมาให้โซราดู คิ้วได้รูปของหญิงสาววัยกลางคนขมวดมุ่นกับแร่ที่เห็น ดูเหมือนเด็กน้อยตรงหน้าจะไม่ธรรมดาเสียแล้ว

     

    แร่นักรบสีใสเต็มไปด้วยสายลมที่ไหลเวียนอยู่ข้างใน แสดงถึงความแปรปรวนที่ยากจะหาตัวจับได้ เป็นแร่ที่พบมากในผู้ที่มีความชำนาญในการใช้แร่นักรบ จนไม่สามารถระบุได้ว่าจะเป็นสายไหนมากกว่ากัน มันเป็นไปได้ยากที่จะเป็นแร่นักรบอันแรกของเด็กสักคนหนึ่ง ยิ่งดูน่าแปลกใจเมื่อเกิดกับเผ่าอเนโมสที่เกินครึ่งเลือกสายปกป้องจนสิ้นชีพ

     

    “เธอมั่นใจรึเปล่าว่าคนขายหยิบไม่ผิด”

     

    “ไม่ผิดครับ คุณลุงคนขายก็กังวลมากตอนที่หยิบให้ผม”

     

    “เธอได้มันมาจากไหน”

     

    “ร้านของจาซังในตลาดอฟาคอลเพรสครับ”

     

    โซราสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด เมื่อรู้ที่มาของแร่นักรบในมือร่างบาง จาซังมีชื่อเสียงเรื่องการเลือกแร่นักรบมาก เขาไม่เคยเลือกมันพลาดแต่ก็ยากจะอธิบายสิ่งตรงหน้า

     

    “ฉันไม่รู้ว่าเธอแสดงอะไรให้เขาดูถึงได้รับเลือกมา แต่...ก็ลองดูแล้วกัน”

     

    อาจารย์สาวเดินถอยห่างออกไปท่ามกลางความสงสัยที่มากมายในใจ ร่างบางรู้สึกไม่ปลอดภัยหลังจากคำพูดนั้น แต่ก็ไม่อาจพูดออกมาได้ถึงความกังวลในใจ มองเธอถอยห่างออกไปอย่างหวาดระแวง

     

    “ใช้มือข้างที่ถนัด เรายังไม่รู้ว่ามันจะออกมาเป็นอะไร”

     

    ...หมายความว่ายังไงที่ว่าออกมาเป็นอะไร?...

     

    “คะ...ครับ”

     

    เสียงหวานรับคำอย่างไม่เต็มเสียงนัก แต่ก็ทำตามที่อาจารย์สาวสั่งไม่ขัด มือเรียวกำแร่นักรบไว้แน่นเตรียมรับสิ่งที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน ตามองตรงไปที่หญิงสาวที่ก็หยิบแร่นักรบออกมาถือด้วยเช่นกัน

     

    “นี่คือแร่นักรบอันแรกของฉัน ตอนนั้นฉันอยู่มัธยมปลายปีแรก มันสวยแล้วก็เข้ากับฉันได้มากกว่าแร่นักรบชิ้นอื่น สิ่งที่ฉันกำลังจะพูดต่อไปนี้เธอต้องจำมันให้แม่น เธอจะได้รับเมื่อมอบให้ร่างกายเราเป็นหนึ่งเดียวกับมัน เธอต้องเชื่อว่าแร่นักรบเป็นร่างกายของเธอ เป็นเลือดเนื้อที่ไหลเวียนเป็นชีวิต ทำได้ใช่มั้ย?”

     

    “คะ...ครับ”

     

    “พูดตามฉัน จาง อี้ชิง...ข้าแต่เทพอเนโมสผู้ศักดิ์สิทธิ์ ร่างกายนี้ข้าขอมอบเพื่อป้องปักษ์ ขอแร่นักรบจงโปรดคุ้มครองกายข้าราวกับเป็นดวงจิตของมัน ข้าขอสาบานจะผูกพันธะสัญญากับเจ้าชั่วนิรันดร์”

     

    สิ้นคำพูดของเธอ แร่นักรบในมือนั้นก็ค่อยๆสลายไปกับอากาศ เลื้อยพันเกี่ยวรอบแขนเรียวสวย ก่อนที่จะไหลออกมาราวกับสายลมกำลังก่อตัวเป็นรูปร่างของหอก แต่สุดท้ายมันกลับกลายเป็นขวานอันใหญ่ที่มีด้ามจับยาวสีเงิน เป็นสีเดียวกับแร่นักรบก้อนเล็กในมือไม่ผิดเพี้ยน อี้ชิงเหลือกตามองด้วยความตกใจ ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าสิ่งแร่นักรบของเขาจะกลายเป็นอะไร

     

    “พูดเหมือนที่ฉันพูดสิอี้ชิง แต่จงจำไว้อย่างหนึ่งว่าหลังสิ้นการผูกพันธะสัญญาแร่นักรบนั้นจะกลายเป็นของเธอตลอดกาล มันจะเป็นมิตรที่ซื่อสัตย์กับเธอเพียงคนเดียว โปรดอย่าทิ้งมันไม่เช่นนั้นเธอจะต้องสูญสิ้นเลือดเนื้อ เพื่อชดใช้ต่อการทรยศมิตรของเธอ”

     

    “คะ...ครับ”

     

    ร่างบางไม่อาจรู้ได้เลยว่าอาวุธนั้นจะเป็นมิตรของเขาได้เช่นไร หากแต่ก็เชื่อว่าทุกสิ่งในฟีนูคอนอยู่กันด้วยการพึ่งพาซึ่งกันและกัน ทุกคนซื่อสัตย์ต่อวาจาและการกระทำเสมอ มันเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเรียนรู้มาก่อนใจโลกใบเดิม...ความไว้ใจอย่างไม่สิ้นสุด

     

    “ลองดูสิ แล้วเธอจะรู้สึกดี”

     

    “ข้าแต่เทพอเนโมสผู้ศักดิ์สิทธิ์ ร่างกายนี้ข้าขอมอบเพื่อป้องปักษ์ ขอแร่นักรบจงโปรดคุ้มครองกายข้าราวกับเป็นดวงจิตของมัน ข้าขอสาบานจะผูกพันธะสัญญากับเจ้าชั่วนิรันดร์...”

     

    เหมือนมีสายลมเย็นโอบอุ้มร่างกายที่หลับตาสนิท อี้ชิงไม่มีความกล้ามากพอที่จะลืมตามองสิ่งที่กำลังเกิดกับตัวเอง เขาแค่รู้สึกได้ถึงการสลายไปของวัตถุในมือ แต่มันไม่ได้หายไปไหนจากกายเขาเลย มันแค่ไหลเวียนเข้าไปในเส้นเลือด หยอกล้ออย่างซุกซนกับร่างกายของเขาทุกซอกทุกมุม ก่อนที่จะเดินทางกลับมาที่เดิมของมันเพื่อก่อร่าง ความรู้สึกหนักอึ้งเล่นงานที่ปลายนิ้วทั้งสองข้าง อี้ชิงไม่รู้หรอกว่าโซราก็รู้สึกเช่นเดียวกันรึเปล่า แต่เมื่อสายลมค่อยๆสลายไปเขากลับรู้สึกถึงวัตถุบางอย่างที่อยู่บนมือทั้งสองข้าง

     

    “นี่มันอะไรกันเนี่ย!

     

    ...เกิดอะไรขึ้นกับตัวเขาอย่างนั้นเหรอ?!...

     

    นั่นคือสิ่งแรกที่เข้ามาในหัวของร่างบาง เสียงร้องที่แสดงอาการตกใจของอาจารย์สาว กับ เสียงวิ่งที่เข้ามาใกล้มากขึ้นทุกที ทำให้อี้ชิงจำต้องลืมตาขึ้นมามองทั้งที่รู้สึกกลัวเหลือเกิน กลัวจะลืมตาขึ้นมาพบตัวเองเหมือนในวันแรกที่รู้ว่าเขาเป็นใคร กลัวที่จะไม่สามารถอยู่ต่อไปได้แม้แต่ในฟีนูคอน

     

    “จิตของเธอสับสน ทำไมมันถึงเกิดขึ้นได้ล่ะ?”

     

    เพราะคำพูดพวกนั้นทำให้อี้ชิงต้องรีบมองไปที่มือทั้งสองข้าง ตอนนี้มือข้างขวาของเขาถือแซ่ที่ด้ามจับเป็นแท่งคริสตัลติดกับตัวแซ่ที่เป็นเหล็กไหล ส่วนมือซ้ายก็ถือโล่คริสตัลขนาดใหญ่ไว้เช่นกัน ตอนนี้แม้แต่ตัวของเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาถึงมีของถึงสองอย่างในมือเช่นนี้

     

    “ผมเป็นอะไรเหรอครับ มันไม่ดีเหรอครับ?”

     

    “อาจจะดี แต่มันไม่ปกติ ฉันไม่เคยพบคนที่สามารถแยกแร่นักรบเป็นอาวุธได้ถึงสองอย่างเช่นนี้ ฉันว่าแล้วว่าแร่นักรบของเธอต้องทำอะไรได้มากกว่าแร่ทั่วไป เธออาจสั่งสมสายเลือดบริสุทธิ์ อย่าเพิ่งให้ใครรู้ว่าเธอทำเช่นนี้ได้ฉันจะคุยกับดาเฮก่อน ส่วนเธอเก็บมันและห้ามใช้แร่นักรบของเธอจนกว่าทุกอย่างจะถึงบทสรุป เธอต้องออกไปหาแร่นักรบของสายใดสายหนึ่งมาใช้ก่อนวันประลองชัย เพื่อความปลอดภัยของเธอเอง”

     

    โซราพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียดก่อนจะหมุนตัวแล้วเดินกลับออกไปจากห้องโถง ปล่อยให้อี้ชิงยืนมองตามเพราะไม่รู้วิธีเก็บแร่นักรบในมือทั้งสองชิ้น

     

    “ฉันจะซ่อนพวกแกได้ยังไงล่ะ?”

     

    คำพูดที่ตั้งใจแค่บ่นกับตัวเอง กลายเป็นเหมือนคำถามสำหรับสหายใหม่ อาวุธในมือทั้งสองค่อยๆสลายเป็นลมแล้วไหลเวียนกลับเข้าไปในร่างกายของอี้ชิง ก่อนจะหยอกล้อกับร่างบาง ราวกับจงใจปลอบใจไม่ให้ต้องกังวลกับพวกมัน แล้วกลายเป็นกำไลข้อมือสีเงิน และ จี้ที่อี้ชิงคุ้นตาดีว่าคือแร่นักรบในตอนแรกนั้นเอง

     

    “ขอบคุณนะที่เข้าใจฉัน”

     

    จี้แร่นักรบสั่นไหวเล็กน้อยเหมือนตอบรับคำพูดของร่างบาง ตาสวยหันซ้ายหันขวาแล้วตัดสินใจที่จะเดินกลับไปที่ชั้นเรียน ที่เพื่อนๆคงกำลังมีความสุขอยู่กับแร่นักรบของตัวเอง โดยไม่รู้เลยว่าตอนนี้ก็มีคนอีกคนที่ห้อยตัวนึกสนุกอยู่ที่เพดานเช่นกัน

     

    “สองสายในหนึ่งบุรุษแห่งอเนโมส ข่าวใหญ่ของพวกโฟเธียแน่ๆ หึหึ”

     

    <<< The Phonucorn…เพลิงพิทักษ์ >>>

     

    The Phonucorn – Chapter 5

    สวัสดีค่ะนักอ่านทุกคน

    ดีใจนะที่หลายคนบอกเข้าใจเรื่องมากขึ้นหลังจากอ่านไปเรื่อยๆ แอมก็อยากให้ทุกคนเรียนรู้ไปพร้อมๆกับอี้ชิงเหมือนกันไง ถ้าบอกทริคทั้งหมดของเมืองมันก็จะไม่สนุกใช่มั้ยคะ ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ที่เป็นกำลังใจให้เสมอนะคะ^^

     

     

     

     © themy butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×