ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    - ( e x o f i c ) - A D M I SS I O N - ( c h a n b a e k ) -

    ลำดับตอนที่ #18 : - ( a d m i s s i o n 2 0 1 3 ) - s t o r y r e t i r e d - e n d .

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.5K
      4
      5 ต.ค. 56

     

     

    Title : Admission at Heart 

    Auther : แซมซมูเอล


     

    Story RETIRE by CHANYEOL

     

     

    ย้อนกลับไป 2 วันก่อน

     

     

     

    ตู๊ด... ตู๊ด...

     

    สวัสดีครับ ผมปาร์คชานยอลครับเคโระ! 55555555

     

    วันนี้ผมตื่นแต่เช้า มาโทรหาแฟนแต่เช้าครับ ตื่นปุ๊บโทรปั๊บ

     

     

    ไม่ต้องบอกก็คงจะรู้ใช่ไหมครับว่าแฟนผมเป็นใคร

     

     

    ว่าแต่ทำไมแบคฮยอนไม่รับสายผมเลยครับเนี่ย

     

    หรือจะยังไม่ตื่น ?

     

    ก็ไม่น่านะ วันนี้เห็นบอกว่ามีเรียนเช้า

    ผมกดโทรรัวๆ หวังว่าจะได้ยินเสียงปลายสายขึ้นมากดรับด้วยเสียงัวเงียๆ

    บอกตามตรงครับว่าน่ารักโคตร!

    น่ารักกว่านี้ ไม่มีที่ไหนอีกแล้ว #คนหลงแฟนก็เงี่ย

     

    แต่ตอนนี้กดโทรเท่าไหร่ ปลายสายก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะรับสักที จริงๆ ก็อยู่ห้องข้างๆ กัน แต่ผมไม่อยากจะไปเคาะประตูห้องน้องเขาสักเท่าไหร่เลยครับ

     

    หลังจากวันนั้น ผมก็แทบไม่ค่อยกล้าเข้าไปเหยียบห้องนั้นอีกสักเท่าไหร่

     

    ผมหมายถึงวันที่ผมไปอือรือรองอือรือรองคุณแฟนในห้องนั้นแล้วรูมเมทน้องเขากลับมาเห็นนั่นแหละครับ (อือรือรองคืออะไร ผมขอเว้นไว้ในฐานที่เข้าใจ แต่ถ้าไม่เข้าใจ ลองเปิดไปอ่าน Chapter 10 ดูครับ ผมมั่นใจว่าทุกคนจะเข้าใจแน่นอน)

     

    ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ

     

    มันเผลอไปหน่อย ก็เด็กมันน่ารัก ผมจะไปอดใจไว้ได้ยังไงกันล่ะครับ

     

    และเรื่องที่รูมเมทน้องเขากลับมาเห็นนั้นผมก็ไม่คิดจะบอกแบคฮยอนด้วยครับ ผมเชื่อว่าคนนิสัยแบบแบคฮยอนได้อายจนนอนร้องไห้ประหนึ่งโดนจับขึงแล้วดึงขนแน่ๆ

     

     

     

    ครืด ครืดดดดดดดดดดด

     

    อือหือ... กดโทรออกหาแฟนเอาโทรศัพท์แนบหูซะดิบดี แต่ดันมีสายเรียกเข้าแทรกเข้ามาก่อนที่โทรศัพท์ผมมันจะโทรออก สั่นซะใบหูกระดิกสิบริกเตอร์

     

     

    Incoming Calls <ท่านแม่>

     

    “เฮลโลมายเมโลดี้”

    <ตื่นรึยังคะคุณลูกชาย>

    “ตื่นแล้วคร้าบบบบบ”

    <โอเค รีบๆ มาที่บ้านได้แล้ว>

    “ครับผม กำลังจะออกแล้วครับ”

    <ไม่ต้องมาโกหกแม่ แม่รู้นะว่ายังไม่ได้อาบน้ำ>

    “เปล่านะครับ ผมโกหกเป็นที่ไหน”

    <อย่างเราน่ะไม่ใช่โกหกแล้วโกเจ็ดโกแปดนู่นแหละ>

    “ไม่ใช่แล้วครับแม่ ผมน่ะ อาโก... ที่เป็นอาที่เป็นน้องของแม่ลูกของยายที่เป็นเมียของตาที่เป็นหลานของปู่ทวดผม เป็นพ่อของพ่อของแม่อะครับ

    <ชานยอล ลูกทำแม่ปวดขมับแต่เช้า!>

    “หยอกเล่นนะครับแม่ เดี๋ยวผมไปอาบน้ำแล้วจะรีบไปนะครับ”

     

    ผมกดวางสายแล้วแอบขำอยู่คนเดียว ผมคุยเล่นกับแม่แบบนี้เป็นประจำ จนบางครั้งเพื่อนเคยถามผมว่า

     

    นี่มึงคุยกับแม่จริงๆ หรอวะ ถ้ากูคุยกับแม่แบบนี้นะ... กูโดนไล่ออกจากบ้านไปนานละเชี่ย

     

     

    ถือเป็นเรื่องราวดีๆ อีกเรื่องนึงครับ ที่ผมยังไม่โดนไล่ออกจากบ้าน (หัวเราะ)

    แต่ตอนนี้ผมควรรีบอาบน้ำแล้วขับรถกลับบ้านแล้วล่ะ ไม่งั้นผมอาจจะถูกไล่ออกจากบ้านก็เป็นได้ถ้ากลับไปที่บ้านช้า

     

     

     

     

     

     

     

    ผมขับรถมาถึงบ้านตอนเกือบเก้าโมง ไม่อยากจะบอกครับว่าผมใช้เวลาในการขับรถมาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงจากโซลมาอินชอน

    “ทำไมนายไม่พาแฟนมาด้วยล่ะชานยอล”

    “ติดเรียน”

    “น่าจะพามาด้วย ฉันอยากแกล้งแฟนนายยยยย”

    ผมกำลังคุยกับเจสสิก้าลูกพี่ลูกน้องของผมครับ เราสองคนค่อนข้างสนิทกัน จริงๆ ผมไม่ค่อยพูดไม่ค่อยเล่าอะไรให้เธอฟังหรอกและผมก็ไม่รู้ด้วยว่าเธอรู้เรื่องเกือบทุกสิ่งทุกอย่างของผมได้ยังไง

     

    อย่างเช่นเรื่องที่ผมคบกับแบคฮยอน

     

    “สรุปแม่จะให้ผมพาไปไหนหรอครับ?”

    ผมไม่สนใจคุยกับเจสสิก้า แล้วหันไปถามแม่ที่เดินลงบันไดมาพอดี

    ผมขับรถมาถึงอินชอนโดยที่ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าแม่จะให้ผมพาไปไหน ก็แม่บอกผมแค่ว่าจะให้ผมขับรถพาไปทำธุระหน่อย ผมก็ตอบตกลงไปอย่างง่ายดาย ก็งี้แหละครับ คนเราเกิดมามีแม่คนเดียว เขาอยากให้ทำอะไรก็ทำ ยังไงก็ได้ ง่ายๆ แต่เหงา

     

    “เปล่าหรอกลูก แม่แค่จะให้ลูกพาเจสซิก้าไปเที่ยวสักหน่อยน่ะ”

     

    ห้ะ...

     

    ผมหันไปมองยัยตัวดีที่ลุกขึ้นยืนยิ้มอย่างภาคภูมิใจ

     

    “เธอหลอกล่อให้แม่โกหกฉันหรอ”

    เจสสิก้ายักไหล่อย่างไม่ยี่ระ อารมณ์ประมาณว่า กูวินแล้ว

    “เอาหน่าชานยอล เจสสิก้ามาเที่ยวบ้านเราทั้งที ลูกก็พาพี่เขาไปเที่ยวหน่อยสิ”

     

    เห้อ... ตกลงแม่เป็นแม่ผมหรือเป็นแม่ของเธอกันแน่นะ

     

     

    “จะไปไหนล่ะ”

    “ฉันอยากไปควนคึมซอง”

    “เธอจะไปทำอะไร นี่มันหน้าฝน”

    “ก็เพราะอย่างนั้นแหละ ฉันถึงอยากไป ฉันไม่อยากไปตอนคนเยอะๆ”

     

    เอากับคนนี้เธอสิครับ จริงๆ อายุเธอมากกว่าผม แต่เพราะเธอมีนิสัยแบบนี้ ผมเลยไม่เคยเรียกเธอว่าพี่สักครั้ง บางทีผมรู้สึกเหมือนมีน้องสาวด้วยซ้ำไป

     

    “อือๆ งั้นแป๊บนึง”

     

    ผมเดินออกมาหลังบ้านเพื่อโทรหาแบคฮยอนอีกครั้ง น่าจะเรียนเสร็จแล้วมั้ง แต่ทำไมถึงไม่โทรกลับหรือจะไปลืมโทรศัพท์ทิ้งไว้ที่ไหน ยิ่งเบ๊อะๆ บ๊องๆ อยู่ด้วย แต่ก็นั่นแหละที่ทำให้ยิ่งดูน่ารักในสายตาผม

     

    แต่ผมพยายามโทรเท่าไหร่ ปลายสายก็ยังไม่รับสายอยู่ดี คงไม่ได้ทำโทรศัพท์หายจริงๆ อย่างที่ผมคิดหรอกใช่ไหม

     

    ผมส่ง message ไปก็ไม่ตอบ ไลน์ก็ไม่ตอบ โทรไปไม่รับ โทรกลับก็ไม่โทร ผมชักจะเป็นห่วงแล้วนะครับ

     

    ผมเดินกลับเข้ามาในบ้านด้วยความรู้สึกหงุดหงิดเพราะความเป็นห่วง ตอนนี้คิ้วผมคงผูกเป็นปมคำว่า EXO เหมือนเชือกรองเท้านักร้องวงนั้นแล้วแหละ

     

    “มาดิ รีบไปรีบกลับ”

    ผมเดินนำหน้าเจสสิก้าออกประตูบ้านมาอย่างรวดเร็ว จนอีกคนแทบจะต้องวิ่งตามผมออกมา

    เห็นผมดีกับน้องแบคฮยอนมากมายขนาดนั้น แต่จริงๆ ผมก็มีด้านมืดของผมอยู่เหมือนกันนะครับ บทจะสนใจก็สนใจ แต่ถ้าไม่สนใจใครก็ไม่สนใจเลยเหมือนกัน

    เรื่องธรรมดาแหละครับ ใครจะไปอารมณ์ดีได้กับทุกคน

    คนที่คุยด้วยเปลี่ยนความรู้สึกเปลี่ยนนิสัยเปลี่ยน

    นั่นแหละครับตัวผม

     

     

     

     

     

    เป็นอย่างที่ผมบอกเลยครับ มาถึงที่หมายปุ๊บ ฝนตกปั๊บ - -

    “เอาไงล่ะทีนี้”

    “ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย ฉันแค่อยากมานั่งกระเช้าดูวิวเฉยๆ ฝนตกก็ช่างมันสิ”

    “งั้นเธอไปนั่งคนเดียวเถอะงั้น ฉันไม่นั่งนะ เป็นโรคกลัวความสูง”

    “ก็ได้!

    “พูดเล่นน่า”

    “แต่ฉันพูดจริงย่ะ ฉันแค่จะให้นายขับรถมาส่ง แล้วก็ไสหัวกลับไปได้แล้ว ฉันนัดกับแทยอนเพื่อนฉันไว้ เชิญนายกลับไปได้เลย เดี๋ยวฉันให้เพื่อนฉันไปส่ง ;p

    เจสสิก้าหันมาแล้บลิ้นใส่ผมแล้วก็เปิดประตูรถกางร่มวิ่งหนีไปในขณะที่ผมยังตั้งตัวไม่ทันว่านี่มันเรื่องอะไร

     

    นี่ผมเป็นแค่คนขับรถประจำตระกูลปาร์คสินะ...

     

    เหนื่อยใจจริงๆ =_=

     

     

    เอาเหอะครับ เขาบอกให้ผมกลับ ผมก็จะกลับ อยากกลับอยู่แล้วล่ะครับ จะรีบกลับไปตามหาแฟน จะจับทำโทษซะให้เข็ด โทษฐานที่ไม่รับโทรศัพท์ ว่าแล้วก็โทรหาอีกสักทีดีกว่า

     

    ท่านกำลังเข้าสู่ระบบฝากข้อความ

     

    =_=...

    คราวนี้หนักกว่าเดิมอีกครับ...

    ปิดเครื่องกันเลยทีเดียว...

     

    ฝนก็ตก รถขับเร็วก็ไม่ได้ กว่าผมจะกลับไปถึงโซลคงมืดแล้ว

     

    ทำไงดีครับ...

    ตอนนี้อารมณ์ผมคือ...

    แฟนหายอยากได้คืน -_-

     

     

     

     

     

    เป็นอย่างที่คาด ผมกลับมาถึงหอก็มืดแล้ว ทั้งๆ ที่โซรัคก็ไม่ได้ไกลจากโซลเท่าไหร่ ปกติขับแบบเต่าๆ หน่อยไม่เกินหนึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้วครับ แต่นี่ไหนจะฝนตก ไหนจะรถติด ชีวิตจะติดลบไปไหนก็ไม่รู้ ยิ่งรีบเหมือนยิ่งช้า

     

    จนตอนนี้แบคฮยอนก็ยังไม่ยอมรับสายผม อยู่ดีๆ ก็หายไปไหนก็ไม่รู้ เมื่อกี้ไปเคาะประตูห้องก็ไม่มีใครมาเปิด

     

    ผมตัดสินใจส่งข้อความไปอีกครั้งและไม่นาน อีกฝ่ายก็ตอบกลับมา แต่มันเป็นข้อความที่ทำให้ผมช็อกซะยิ่งกว่าช็อก

     

     

    ‘พี่ครับ... เราเลิกกันเถอะ...’

     

     

     

    นี่มันเรื่องบ้าอะไรครับ

    ผมรู้สึกช็อค เหมือนโดนค้อนปอนด์มาทุบที่ท้ายทอย มึนงง เป็นคนไม่รู้เรื่องเหี้ยอะไรสักอย่าง อยู่ดีๆ ก็โดนบอกเลิก ผมพยายามโทรไปหาอีกคน โทรเท่าไหร่ก็ไม่รับ อยากรู้ อยากถาม อยากเข้าใจ มันเพราะอะไร ทำไม

     

    “แม่งเอ้ย!!!

     

    เคร้ง!!!!

     

    ผมหัวเสียกับการโทรไปหาแล้วอีกคนไม่ยอมรับสายเป็นร้อยๆ สายแล้ว จนตอนนี้โทรศัพท์ของผมมันได้ลงไปแหลกละเอียดอยู่ที่พื้นแล้ว

     

     

    ทั้งๆ ที่เคยสัญญากันแล้ว ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็จะไม่พูดคำนี้ออกมา...

     

     

    “เรามาทำข้อตกลงอะไรกันหน่อยดีกว่า”

    “อะไรหรอ?” แบคฮยอนทำหน้างง เมื่ออยู่ๆ ผมก็พูดขึ้นมา

    “สัญญากับพี่ได้ไหม ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็จะไม่บอกเลิกเด็ดขาด นอกซะจากว่าจะหมดรักกันแล้ว”

    แบคฮยอนอมยิ้มนิดๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาเพียงเบาๆ แต่ผมก็ได้ยินชัดเจน

    “อื้อ สัญญา”

     

     

     

    ผมแค่นหัวเราะออกมานิดๆ

     

    พอคิดถึงคำสัญญาที่เคยให้ไว้

    ผมคิดว่าผมคงไม่ต้องไปถามแล้วว่าทำไม

    กี่เหตุผลก็ไม่มีความหมายแล้ว

    ตอนนี้จะเป็นเหตุผลอะไรก็คงไม่สำคัญแล้ว

    ในเมื่อเขาบอกออกมาแบบนั้นแล้ว

     

    รักเท่าไหร่ก็ทำได้ปล่อย ผมบอกตัวเองแบบนั้น

    ทั้งที่คิดว่าเข้าใจแล้ว แต่ทำไมมันถึงได้เจ็บขนาดนี้

     

     

     

     

    “ชานยอลครับ ตื่นได้ละครับ มาเรียนทำเหี้ยอะไรครับ มาแล้วก็หลับ เลิกเรียนละครับ”

     

    ผมงัวเงียสะลึมสะลือขึ้นมาจากการหลับใหล พอลืมตามาก็เจอกับหน้าของจงแดเพื่อนร่วมภาคที่เป็นคนปลุกผมให้ตื่นขึ้นมา กำลังมองมาที่ผมด้วยใบหน้าแบบเมื่อยๆ

     

    “อือ”

     

    นอนไม่หลับทั้งคืน นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับผม

    อยากเจอ อยากคุย อยากถามว่าทำไม

    ไม่รักกันแล้วจริงๆ น่ะหรอ

     

    เหอะ... แต่ก็แค่คิด

     

    ความรู้สึกตอนนี้คือเฟลครับ

    มันงง งงจนคิดอะไรไม่ออก

    เหมือนคนติดสตั๊น อยู่ในภาวะมึนงง

    ไม่รู้ว่าควรจะต้องทำอะไร ยังไง กับสิ่งที่เกิดขึ้น

     

     

     

     

    ผมเดินตามเพื่อนคนอื่นๆ มาที่โรงอาหารในมอ

    ถ้าบ่ายนี้ไม่มีเรียน ผมคงขับรถกลับหอนอนไปแล้ว

     

    อยากนอน...

     

     

    อีกคนจะรู้ตัวรึเปล่า ว่าเขาทำให้ผมเป็นได้มากขนาดนี้

    ตอนนี้อยู่ที่ไหน กับใคร กำลังทำอะไรอยู่ ผมอยากรู้...

     

     

    “ชานยอล มึง ไปห้องคณะบดีกับกูด่วนเลย!

    “หือ”

    “เชี่ย กูกับมึงจะโดนไทร์!!!

    “ห้ะ

     

    เรื่องเหี้ยอะไรอีกครับเนี่ย...

    “มึงอย่ามาตลก ไอ้สัด จะบ่ายแล้วมึงเลยจะอัดรายการก่อนบ่ายครายเครียดรึไง”

    “มึงดูหน้ากูดิ เหมือนพูดเล่นรึไง”

    “อะไรวะ แล้วต้องไปตึกหนะ...”

    ผมลุกขึ้นยืนอย่างงงๆ แต่ก่อนที่ผมจะสนใจอะไร สายตาผมเหลือบไปเห็นใครอีกคน และคนๆ นั้นก็กำลังมองผมอยู่เหมือนกัน

     

    “แบคฮยอน...”

     

     

    ทั้งๆ ที่คิดว่าไม่รู้สึกอะไร เข้าใจทุกอย่าง

    แต่พอเห็นหน้าอีกคนเท่านั้นแหละครับ เหมือนเกราะแตก

     

    ถ้าผมกำลังเล่นฮอนอยู่ ก็คงอารมณ์เหมือน บ้านแตกนั่นแหละครับ (หัวเราะ)

     

    ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่วัน แต่ผมกลับคิดถึง อยากเข้าไปกอด... อยากรู้ว่าเรื่องระหว่างเรามันเกิดอะไรขึ้น แต่อีกใจนึง ก็ไม่อยากได้ยินคำพูดว่าเราเลิกกันที่ออกจากปากของคนที่ผมรักเหมือนกัน เพราะมันอาจจะทำให้ผมเจ็บมากขึ้นไปกว่านี้ เพราะตอนนี้ ผมคิดว่าผมทำเป็นเฉยๆ ไปก็ได้ ไม่ต้องรู้หรอก ว่าเพราะอะไรที่ทำให้ผมต้องเจ็บแบบนี้ แค่รู้สึกเจ็บก็มากพอแล้ว

     

    และตอนนี้แบคฮยอนกำลังหันหลังให้ผม กำลังจะเดินหนีผมไป

    แว้บแรกผมคิดว่าผมจะเดินตามไป ในใจผมคิดแบบนั้นในวินาทีแรก แต่ว่า...

     

    ตอนนี้แบคฮยอนกำลังถูกเซฮุนกอดอยู่

    หมายความว่ายังไง...?

     

    “เชี่ย มึงรีบไปดิวะ”

    “...”

    ท่านปาร์คชานยอลครับ รีบเดินสิครับ มึงจะหยุดทำเชี่ยไร พ่องติดสตั๊นหรอครับ กูรีบครับกูรีบ กูกลัวไม่มีที่เรียน กูอยากไปคุยกับอาจารย์ครับ กูแทบจะกดวินวอร์คเดินอยู่แล้วเนี่ยยยยยยยยยย

    แปปได้ป่ะวะ

    ไม่ได้! มึงมากับกูเดี๋ยวนี้เลย

     

    ผมจ้องตากับรูมเมทของแบคฮยอนอยู่นานพอสมควร สายตานั้นไม่เป็นมิตรอย่างเห็นได้ชัด และผมเข้าใจแววตาแบบนั้นดี ในฐานะลูกผู้ชายด้วยกัน

     

    เหอะ...

     

    ผมโดนเพื่อนลากเดินออกมาจากตรงนั้นอย่างง่ายดาย

    ทั้งที่ใจจริงแล้ว อยากจะเดินเข้าไปต่อยแม่งสักที

    แต่แค่นี้ผมก็พอจะเข้าใจแล้วล่ะครับ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น

    แค่นี้ผมก็รู้สึกเจ็บเหมือนจะขาดใจแล้วล่ะ

     

     

    ที่แท้ก็เป็นแบบนี้

     

     

    มันเป็นความผิดของผมเองครับ... ผิดที่ไว้ใจ...

     

     

     

     

     

     

    นี่มันคงเป็นจุดจบของชีวิตคนๆ นึงครับ

    เมื่อวานโดนบอกเลิก พอมาวันนี้ก็ได้รับรู้เรื่องราวอันโหดร้ายอีกเรื่องนึง

    โดนรีไทร์... หรือโดนไล่ออกดีๆ นี่เอง... (หัวเราะ)

     

    ให้มันได้แบบนี้ดิ ยังมีอะไรอีกไหม ถ้าจะมาก็มาพร้อมกันให้หมดเลยเถอะ

     

    จะเอายังไงกับชีวิตดีล่ะครับทีนี้ ชีวิตแม่งมีแต่เรื่องเหี้ยๆ

    บัดซบเหี้ยๆ... เสียใจจนมันเหมือนไม่รู้สึกอะไร

    เข้าใจความรู้สึกของคนที่มันเสียใจสุดๆ แล้วไหมครับ

    มันรู้สึกชาๆ มากกว่าจะมานั่งร้องไห้ฟูมฟาย

     

    ไม่รู้ว่าจะเสียใจกับเรื่องไหนก่อนดี

    และควรทำยังไงต่อไปดี

     

     

    ก๊อก ก๊อก ก๊อก

     

    ผมหันไปมองที่หน้าประตูตามเสียงเคาะที่ดังขึ้น แต่ผมก็แค่มอง ตอนนี้ไม่อยากเจอใคร และไม่อยากสนทนากับใครทั้งนั้น

     

    อยากอยู่คนเดียว

     

    เวลาเสียใจ ผมไม่ต้องการให้ใครมาปลอบ ไม่ต้องให้ใครมาสงสาร

    เพราะความสงสารมักมาคู่กับความสมเพชเสมอ

     

     

    ผมจะโทรไปบอกแม่เลยดีไหมนะ

    ทำใจไม่ได้เลยว่ะ ไม่รู้ว่าควรจะพูดว่าอะไรดี

     

     

     

    ก๊อก ก๊อก ก๊อก

     

     

    เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้นอีกครั้ง ซึ่งมันทำให้ผมเริ่มหงุดหงิด ผมทิ้งตัวนอนลงบนเตียง หลับตา และไม่คิดจะสนใจเสียงนั้น

     

    ก๊อก ก๊อก ก๊อก

     

     

    อะไรวะ ใครแม่งมาเคาะอยู่ได้...

     

     

    ก๊อก ก๊อก ก๊อก

     

     

    ผมตัดสินใจลุกเดินไปเตะที่ประตูสวนกับเสียงเคาะจากอีกฝั่งแรงๆ อย่างโมโห เคาะอยู่ได้ ถ้าเขาไม่เปิดประตูห้องก็น่าจะคิดได้ไม่ใช่รึไงว่าเขาไม่อยู่ นอนอยู่ แล้วก็น่าจะไปๆ ได้แล้ว พอเตะเสร็จผมก็เอื้อมมือไปที่ลูกบิด เตรียมจะเปิดประตู แต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงที่ดังมาจากอีกฝั่งของประตู

     

     

    “พี่ครับ ผมขอโทษ”

     

     

    แบคฮยอน...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    เปิดการศึกษาปีการศึกษา 2014

     

    วันนี้เป็นวันแรกของการเปิดเทอมและการเริ่มต้นใหม่กับการเป็นเด็กปีหนึ่งอีกครั้งของผม

     

    เริ่มต้นใหม่กับที่เดิม...

    ผมตัดสินใจแอดกลับเข้ามาเรียนที่มหาวิทยาลัยเดิม คณะเดิมและเอกเดิม

     

    คณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาคโยธา

     

    ไม่ใช่ว่าฝังใจอยากกลับมาแก้ไขอะไรหรอก แต่มันเป็นสิ่งที่ผมเลือกไปแล้ว ต่อให้เลือกใหม่อีกกี่ครั้ง ผมก็ยังจะเลือกอยู่ดี แต่มันก็แอบเจ็บใจนิดๆ นะครับ เพื่อนคนอื่นอยู่ปีสามกันแล้ว แต่ผมพึ่งได้เข้ามาเรียนปีหนึ่ง

    เอาเถอะครับ ถือซะว่าเป็นบทเรียน

    บทเรียนราคาแพงทีเดียวครับ (หัวเราะ)

     

    “ชานยอล วันนี้มึงจะไปเจอพี่รหัสมึงป่ะ”

    “ไปดิ มึงรู้ป่ะวะว่าใคร”

    “รู้”

    “ใครวะ”

    “แต่กูไม่บอก”

     

    เชี่ยแทมินแม่งกวนตีน

     

    “แต่มึงไปเถอะ”

    “เออ”

     

     

    ตลกดีนะครับ ปีที่แล้วผมยังเป็นพี่รหัสคนอื่นอยู่เลย ปีนี้ต้องมาเป็นน้องรหัสอีกแล้ว กลายเป็นผมมีพี่รหัสสองคนในมหาวิทยาลัยเดิมคณะเดิม รู้สึกเป็นคนราคา 45 บาท (คนพิเศษ - ธรรมดา 40 พิเศษ 45 #ราคาอาหารตามสั่ง) ขึ้นมาทันทีเลยครับ

     

     

    “กูไปเรียนละ”

    “เหยด กลับมาเรียนใหม่แล้วเป็นคนดีหรอมึง เข้าเรียนทุกคาบเชียว”

    “เออดิ กูไม่อยากเจอแบบเดิม โดนไทร์ไม่เท่าไหร่ ตอนโทรไปบอกที่บ้านนี่กูต้องนั่งทำใจตั้งนาน เครียดเหี้ย”

    “เออว่ะ แล้วแม่มึงว่าไงบ้างวะ”

    “ก็ไม่ว่าไง บอกให้กลับไปช่วยงานที่บ้านรอเรียนใหม่”

    “แล้วเรื่อง... น้องแบคฮยอน...”

    “จบไป”

    “มึงจบไง น้องเขาจบกับมึงป้ะล่ะ กูเจอน้องเขาทุกครั้ง แม่งโคตรน่าสงสาร น้องเขาฝากกูมาขอโทษมึงเป็นหมื่นๆ ครั้งได้แล้วมั้ง มึงใจแข็งทำไมวะ ทำไปเพื่ออะไร มึงยังรักน้องเขาอยู่ กูก็ดูออก ไม่ต้องทำเป็นมาหลอกตัวเอง”

    “กูไม่ได้ใจแข็ง มึงก็รู้ว่ากูเป็นคนยังไง กูจบคือกูจบ”

    “มึงแน่ใจ?”

    “กูไปละ”

     

     

    พอคิดถึงวันนั้น วันที่ทุกอย่างมันแย่ วันที่ทุกอย่างมันเฟลไปหมด

    วันที่ผมรู้สึกไม่เหลือใคร ถ้าไม่เจอกับตัวเองก็ไม่รู้หรอกครับว่าผมเสียใจแค่ไหน

     

    เหอะ...

     

    ขอบคุณที่ทิ้งกันในวันที่ผมไม่เหลืออะไร

    เวลาที่มันคิดถึงวันนั้น ผมก็ไม่อย่างสนใจอะไรอีกแล้ว

    แต่บางทีผมก็หลอกความรู้สึกตัวเองไม่ได้เหมือนกัน

    ว่าผมยังรู้สึกว่า... ผมยังรัก... ยังคิดถึง... อยู่ตลอดเวลา

    แต่ก็ยังจดจำความเจ็บปวดในวันนั้นได้ดีเช่นเดียวกัน

    วันที่อีกคนหันหลังเดินจากผมไป

     

     

     

     

     

     

    หลังเรียนเสร็จตอนแรกผมว่าจะเบี้ยวนัดพี่รหัส (ทั้งๆ ที่ตามศักดิ์แล้วเขาเป็นน้อง) กลับไปนอนหอแล้ว แต่พอคิดถึงตอนผมโดนเบี้ยวเหมือนกันเมื่อปีที่แล้ว ก็เลยรู้สึกมีจิตสำนึกขึ้นมาทันที

     

    แต่พอมาถึงที่นัดหมายเท่านั้นแหละครับ

    ยิ่งกว่าติดสตั๊น...

     

    ก็คิดอยู่เหมือนกันว่าทำไมถึงนัดมาที่สระเป็ดปลอม

    ที่ๆ ที่ผมเคยพาเขามาไงล่ะครับ

     

     

    ที่ๆ ผมบอกว่าผมชอบ ที่ๆ ผมเคยพูดว่ามันคืออาณาเขตของผม ที่ผมอยากพาคนสำคัญของผมมาที่นี่

    แต่หลังจากวันนั้น ผมก็ไม่เคยพาใครมาอีกเลย

     

    และในวันนี้ ผมก็กลับมาอยู่ที่นี่อีกครั้ง... กับคนเดิม

     

     

     

     

     

     

    Story retire by Baekhyun

     

     

    วันนี้เป็นวันที่ผมจะได้เจอกับพี่เขาอีกครั้ง

    ผมควรจะทำตัวยังไงดีครับ

     

    เกือบสิบเดือนแล้วที่เราไม่ได้เจอกัน

    เกือบสิบเดือนแล้วที่เราไม่ได้คุยกัน

    เกือบสิบเดือนแล้วที่เราเลิกกัน

    เกือบสิบเดือนแล้วที่พี่เขาหายไปจากชีวิตผม

     

    เป็นสิบเดือนที่ผมพยายามติดต่อพี่เขามาตลอด

     

     

    และตอนนี้พี่เขายืนอยู่ตรงหน้าผมแล้ว

     

    จะเริ่มต้นพูดยังไงดีนะ

     

     

    พี่ชานยอลหยุดนิ่งไปพักนึง ก่อนจะเดินมานั่งฝั่งตรงข้ามของม้านั่งโต๊ะกลมที่ผมนั่ง

    เราสองคนนั่งมองหน้ากันอยู่นาน ไม่รู้ว่าเวลามันผ่านไปเท่าไหร่แล้ว นั่งมองหน้ากันโดยที่ไม่เอ่ยอะไรออกมา

     

    “พี่... สบายดีไหมครับ...”

    “อืม...”

     

    พี่ชานยอลตอบเพียงสั้นๆ ดูไม่ใส่ใจ

    ดูเหมือนไม่ใช่คนๆ เดิมที่ผมรู้จัก

     

    นี่ใช่พี่ชานยอลที่ผมคุ้นเคย ใช่คนที่ผมรู้จัก

    ใช่คนที่ผมรักจริงๆ น่ะหรอ... ทำไมเขาถึงเย็นชากับผมได้ขนาดนี้

     

    ผมคงทำผิดมากเลยใช่ไหม

    เราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้งไม่ได้อีกแล้วงั้นหรอ

     

    ร่างสูงลุกพรวดขึ้นยืนก่อนจะหันหลังให้ผมและทำท่าจะเดินออกไปจากตรงนี้ นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวด การแสดงออกทุกอย่างจากอีกคน มันชัดเจนเหลือเกินครับ ชัดเจนเหลือเกิน ว่าเขาไม่อยากเห็นหน้าผม ไม่อยากเจอผม ไม่อยากพูดคุยกับผม และไม่อยากจะฟังสิ่งที่ผมกำลังจะพูด

    แต่... ผมก็ยังอยากที่จะพูดมันออกไป แม้ว่าอีกคนจะไม่อยากฟังก็ตามที

     

    “ผมเชื่อนะ ว่าเรื่องที่เราเจอกันมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ผมเชื่อว่าเรื่องที่เรารักกันมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ผมเชื่อมาตลอด ตั้งแต่วันที่พี่บอกกับผม... จนวันนี้... ผมยังเชื่อมาตลอด...”

     

    พอได้พูดออกไปน้ำตาของผมมันก็ค่อยๆ ไหลลงมาจากหางตา ทุกคำพูดมันกลั่นออกมาจากความรู้สึกจริงๆ สาเหตุที่น้ำตาไหลออกมา นั่นคงเพราะตากำลังพยายามอธิบายสิ่งที่ปากไม่สามารถพูดออกไปได้ทั้งหมด

    ร่างสูงหยุดนิ่งและยังคงยืนหันหลังให้ผมอยู่เหมือนเดิม ผมควรจะทำยังไงดี ไม่อยากคิดเลยว่าตอนนี้พี่เขาไม่รักผมแล้ว

     

    “ผมขอโทษ... กลับ... มาเป็นเหมือนเดิม... ได้ไหมครับ...”

     

    พูดออกไปอย่างนั้นเพราะคิดว่ามันอาจจะทำให้อีกคนเปลี่ยนใจ ไม่เดินหันหลังทิ้งผมไปจากตรงนี้

     

    “ไม่ต้องขอโทษแล้ว พอเถอะ”

    236 ครั้ง”

    “...”

    236 ครั้ง ที่ผมบอกกับพี่ว่าขอโทษ... ผมเชื่อว่าสักวันนึงพี่จะยกโทษให้ผม ผมตั้งใจว่าไม่ว่านานแค่ไหนผมก็ยังจะรอ ผมตั้งใจไว้แล้ว... ว่าจะไม่รักใครอีก... นอกจากพี่ ไม่ใช่เพราะรู้สึกผิดกับเรื่องที่ทำลงไป แต่เพราะผมรู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่มีพี่อยู่ข้างๆ พอไม่มีพี่อยู่ด้วย ผมรู้สึกเหมือนผมกำลังจะเป็นบ้าทุกครั้งที่ผมคิดถึงพี่”

    “...”

    “คำขอโทษจากผม 236  ครั้ง มันทำให้พี่ยกโทษให้ผมได้บ้างไหมครับ แค่สักนิดก็ยังดี”

     

    น้ำตาไหลออกมาจากตาของผมไม่ขาดสาย ผมก้มหน้าลงและยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาออกจากหน้าอย่างเหนื่อยล้า ทุกครั้งที่ผมเจอพี่แทมินผมถามหาพี่เขาทุกครั้ง และผมก็ได้แต่ฝากพี่แทมินไปขอโทษทุกครั้ง เพราะผมไม่สามารถติดต่ออีกคนได้เลย ไม่ว่าจะทางไหนก็ตาม เขาปิดกั้นผมไปหมดทุกอย่าง เหมือนอยู่กันคนละโลก

     

    อยากกลับไปเป็นเหมือนเดิม... ตอนที่ยังรักกัน... ผมได้แต่หวังแบบนี้

     

    ผมกำลังร้องไห้หนักขึ้นเรื่อยๆ ผมรู้สึกได้ว่าตัวของผมกำลังสั่นไปทั้งตัว สิ่งที่อยากพูดก็พูดออกไปหมดแล้ว ไม่รู้ว่าอีกคนกำลังทำหน้าแบบไหนเพราะตอนนี้ผมทำได้แค่ก้มหน้าและปาดน้ำตาที่ไหลลงมาไม่ขาดสาย

     

    ฟึ่บ!

     

    ผมยืนนิ่งและเบิกตาขึ้นเมื่อร่างสูงก็ดึงผมเข้าไว้ในอ้อมกอด

    อ้อมกอดที่ผมคิดถึงมาตลอดสิบเดือนที่ผ่านมา

     

    “พอแล้ว... พอได้แล้วครับ”

    “...”

    “ไม่ต้องขอโทษแล้ว”

    “ผมขอโทษ”

     

    ผมรู้สึกได้ว่าเสียงที่อีกคนเปล่งออกมาก็สั่น เช่นเดียวกับเสียงของผม

     

    “รู้ไหมว่าพี่พยายามมาแค่ไหนกับการทำเป็นไม่สนใจ... พี่ต้องเปิดดูข้อความที่ส่งเราส่งมาบอกเลิกทุกครั้งที่อยากจะมาหา อยากจะมาเจอ อยากเห็นหน้า อยากได้ยินเสียง”

    “ผม...”

    “แต่วันนี้พี่รู้แล้วว่าพี่ทำไม่ได้”

    “...”

    “คิดถึง”

    “...”

    “ยิ่งไม่ได้เจอก็ยิ่งคิดถึง...”

    “...”

    “...ยิ่งรู้ว่ารักมากแค่ไหน”

     

    ใจผมเต้นแรงตึกตัก หูผมไม่ได้ฝาดไปใช่ไหม พี่เขากำลังพูดแบบที่ผมได้ยินจริงๆ ใช่ไหม... ผมกอดร่างสูงแน่น เพราะกลัวว่านี่จะเป็นความฝัน กลัวว่าจะเป็นแค่สิ่งที่ผมเพ้อฝันไปเอง

     

    “ต่อไปนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พี่ก็จะไม่ยอมปล่อยเราอีกแล้วนะ ต่อให้อยากจะไปแค่ไหน พี่ก็จะไม่มีวันยอม... เข้าใจไหม”

    “ต่อให้พี่ไล่ ผมก็จะไม่ไปเหมือนกัน”

     

    ผมพูดออกไปแบบไม่คิดจะปิดบังอะไรอีกแล้ว ต่อให้มันจะดูแก่แดดซักแค่ไหนก็ช่างเถอะ ตอนนี้ผมไม่สนใจอะไรแล้ว แค่คนๆ นี้ยังอยู่ข้างๆ ผมก็พอ ผมคิดแค่นั้น

     

    “ไม่ไหวแล้ว”

    “ครับ?”

    “น่ารักเกินไปแล้ว”

     

    ร่างสูงยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาออกจากแก้มของผม ก่อนจะก้มลงมาจูบเบาๆ ที่ข้างแก้มและค่อยๆ เลื่อนปากมาประกบกับปากของผมและผมเองก็ไม่ได้ปฏิเสธรสจูบที่อีกคนมอบให้ จูบเนิ่นนานอยู่อย่างนั้นซ้ำๆ อย่างไม่รู้จักเบื่อ... ก่อนจะได้ยินเสียงรถที่กำลังจะขับผ่านใกล้เข้ามา ผมจึงค่อยๆ ดันอีกคนออก

     

    เราสองคนยืนจ้องหน้ากันอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งอีกฝ่ายเอ่ยประโยคที่ทำให้ผมยิ้มออกมา

     

    “รัก... รักมาตลอด”

    พี่ชานยอลพูดพร้อมกับระบายยิ้มออกมาบางๆ...

    “ผมก็รัก... และรอมาตลอด”

     

    ผมยิ้มออกมาแบบเก็บความดีใจไว้ไม่อยู่

     

    ดีใจที่ได้กลับมาที่ตรงนี้อีกครั้ง

    ดีใจที่ได้อยู่ในอาณาเขตของปาร์คชานยอลอีกครั้ง

    ดีใจที่ได้กลับมารักกันอีกครั้ง

     

    ดีใจที่ได้คนๆ นี้กลับคืนมา

     

     

     

     

     

    END.

     

    เห้ยยยยย จบแล้วจริงดิ

    ฮั่นแน่.... แถมให้อีกนิดนะ จุ๊บๆ

     

     

     

     

    SpeciaL Retire by CHANYEOL

     

    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...

    มีเด็กนักเรียน ป.1

    กับเด็กนักเรียน ป.2

    บ้านของทั้งสองคนอยู่ติดกันเลยต้องเดินมาโรงเรียนและเดินกลับบ้านด้วยกันทุกๆ วัน

    แต่ทว่า... ในวันที่หิมะตกหนัก เป็นวันที่อากาศแสนจะเหน็บหนาว

    พี่ ป.2 ได้ทำถุงมือของเขาหาย

    น้อง ป.1 จึงได้ยอมสละถุงมือข้างนึงให้กับพี่ข้างบ้าน

    และทั้งคู่ก็ใส่ถุงมือกันคนละข้างเดินกลับบ้านมาด้วยกัน

     

    แต่ในเช้าของอีกวัน มือของเด็กน้อยใจดีที่ยอมสละถุงมือข้างนึงให้กับพี่ข้างบ้านของเขานั้นบวมแดงเพราะทนต่ออากาศเหน็บหนาวตอนเดินกลับบ้านด้วยกันเมื่อวานนี้

    ซึ่งนั่นมันคงจะเจ็บมาก เพราะเด็กน้อยไม่สามารถจะเขียนหนังสือได้เลย

     

    และนับจากวันนั้น เด็กนักเรียน ป.2 หรือปาร์คชานยอลก็สัญญากับตัวเองว่า

    เขาจะขอเป็นคนดูแล น้อง ป.1 หรือ บยอนแบคฮยอนให้ดี

     

    แต่พอจบ ป.3 ครอบครัวปาร์คชานยอลนั้นต้องย้ายบ้านจากโซลไปอยู่ที่อินชอนตามที่ทำงานของพ่อ

     

    แต่เขาก็ยังจำและคิดถึงเด็กน้อยตัวเล็กๆ ที่ชื่อว่า บยอนแบคฮยอนอยู่เสมอ

     

    จนกระทั่งวันหนึ่ง มีเรื่องปาฏิหาริย์เกิดขึ้น!

     

    ทั่งคู่ก็ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง

     

    แม้ว่าเด็ก ป.1 คนนั้น จะจำเขาไม่ได้แล้วก็ตาม

    แต่พี่ ป.2 คนนี้ ยังจดจำทุกสิ่งทุกอย่างและคำสัญญาของตัวเองได้ดี

     

     

    ใครอาจจะคิดว่าสิ่งที่เด็กน้อยคนนั้นทำเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ น้อยๆ

    แต่สำหรับปาร์คชานยอลแล้วมันมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึงเลยล่ะครับ

     

     

    รักแรกพบไม่ได้เกิดขึ้นภายใน 8.2 วินาทีหรอกครับ

    แต่มันเกิดขึ้นตั้งแต่ 11 ปีที่แล้ว

     

    Goodbye Baby Goodbye.

     

     

     

     

     

    พบกันใหม่ปีการศึกษาหน้า

     

    ไม่ใช่ละ... 5555555555555

    กว่าจะจบได้ เฮ้อ...

    ไม่รู้จะพูดอะไรดี ขอบคุณที่มหาวิทยาลัยรีไทร์เรา เลยบังเกิดพล็อตตอนจบนี้ขึ้นมา

    ถือเป็นเรื่องราวดีๆ หลังการโดนไทร์ก็แล้วกัน...

     

    วันที่ 14 กย. นี้อย่าลืมไปเจอกันที่งานตลาดฟิคนะ

    ไปอุดหนุนเราเยอะๆ นะ... ถือว่าสมทบทุนช่วยเด็กยากไร้

    หาตังค์ไปเรียนปีการศึกษาหน้า...

     

    แล้วก็... มีสเป HunBaek ในเล่มด้วยนะ

    ส่วนในเพจเดี๋ยวเอามาลงให้แน่นอน ไม่ต้องห่วง แต่ขอเป็นหลังส่งหนังสือเสร็จก่อนน้า

     

    อยากให้ในหนังสือมันมีอะไรที่ดูพิเศษกว่าในเพจบ้าง...

    แต่เราก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดไม่เอามาลง orz

     

     

    ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอด ฟิคเรื่องแรกของเรา... ถ้าไม่มีคนอ่านมันก็คงจะไม่จบ

    เราจำทุกคอมเมนต์ที่เป็นกำลังใจให้เรา

    โดยเฉพาะช่วงที่โดนรีไทร์... เวลาเรามาอ่านคอมเมนต์บางทีก็ยิ้มนะ -.-

     

    ขอบคุณมากๆ ขอบคุณจริงๆ

    รักนะ <3


    เอ้อ.... แท็กฟิคเรื่องนี้ #ฟิคอมช
    พึ่งคิดได้ ลืมบอก นี่ก็ตอนจบละ
    เม้ามอยตอนจบอะไรยังไง ก็แท็กได้น้า

     THE★ FARRY 

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×