ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    " YOU are the ONE " รักเราหวานซะ

    ลำดับตอนที่ #116 : บทที่หนึ่งร้อยแปด -- เข้าใจ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 978
      2
      17 ก.ค. 55

    บทที่หนึ่งร้อยแปด

     

                    เวลายังคงผ่านไปเรื่อยๆ...เขาเปิดเรียนได้สองเดือนกว่าแล้ว ตอนนี้เป็นรุ่นพี่ปีสามอย่างเต็มตัวและเรียนหนักมากกว่าเดิม แต่ถึงยังไงก็ยังน้อยกว่าพี่สนมากเพราะฝ่ายนั้นไม่มีแม้กระทั่งวันหยุดเสาร์อาทิตย์เลยด้วยซ้ำ เพราะต้องตื่นแต่เช้าไปราวด์คนไข้ทุกวันซ้ำยังอยู่เวรบ่อยอีกต่างหาก อาจจะเป็นปกติของมนุษย์ที่เมื่อใดรู้สึกว่าได้รับความรักน้อยลง คนเราจะพยายามออดอ้อนงอแงเหมือนครั้งยังเป็นเด็กเพื่อให้ได้รับความรักหรือการเอาใจใส่เท่าเดิม ยอมรับว่าแต่ก่อนเขาเองก็ไม่ใช่คนแบบนี้หรอก พอเริ่มไม่หวานก็เลยรู้สึกว่าอะไรบางอย่างมันขาดหายไป จึงทำให้เผลองอแงร้องขอความรักในแบบฉบับของเขาออกไปบ้าง แต่พอตอนนี้เขาเริ่มเข้าใจมากขึ้นและยอมรับว่าความรักทำให้เขาโตมากพอที่จะตระหนักถึงเหตุผลว่า...ทำไมถึงต้องเป็นแบบนี้...ทำไมต้องทำแบบนี้...

    เพราะพี่สนไม่ได้รักเขาน้อยลง เราไม่ได้รักกันน้อยลง แค่เราต่างมีหน้าที่ที่ต้องทำเท่านั้นเอง...

     

    พอได้มาอยู่ด้วยกันจึงรู้และเข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายยุ่งและไม่มีเวลาอย่างที่บอกจริงๆ เห็นมาถึงห้องทีไรก็ดูท่าทางอิดโรย พอกินข้าวเสร็จก็หลับเป็นตาย บางวันพอตีสี่ตีห้าก็เห็นตื่นมาเขียนรายงานก่อนไปราวด์อีก เป็นอย่างนี้อยู่ตลอด โชคดีที่อยู่ด้วยกันจึงรู้ว่าพี่สนทำอะไรบ้าง...ถ้าห่างกันแบบเมื่อก่อน มีหวังเขาต้องคิดมากอีกแน่

     

                    ช่วงนี้ก็เลยต้องดูแลเอาอกเอาใจอีกฝ่ายเป็นพิเศษเพราะรุ่นพี่คงจะเหนื่อยมาก ถ้าวันไหนพี่สนอยู่เวรเขาก็จะพยายามเอาข้าว ขนมหรือน้ำไปบริการให้ถึงที่ เพราะกว่าฝ่ายนั้นจะลงเวรเขาก็นอนหลับสนิทพอตื่นเช้ามาก็ไม่เจอกันแล้ว หรือถ้าเป็นวันหยุดก็อยากให้พี่สนได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ส่วนใหญ่เราจะอยู่ในห้องด้วยกันสองคน นอนเล่น กินข้าว ดูทีวี หยิบหนังที่เช่ามาหลายวันแล้วมาเปิดดูเสียที บ้างก็ต่างคนต่างอ่านหนังสือของตัวเองไป ปล่อยให้ฝ่ายนั้นได้ทำงานที่คั่งค้างอยู่ให้เสร็จ นานๆครั้งจึงจะออกไปเดินห้าง กินข้าว ดูหนังเวลาที่เบื่อๆหรือเมื่อมีเรื่องโปรดเข้าฉายเท่านั้น ช่วงนี้เขาเองก็ไม่งอแง ไม่โกรธไม่งอนเรื่องไร้สาระเหมือนแต่ก่อน อยู่กันด้วยความเข้าใจ ทุกอย่างก็เลยราบรื่นไม่ได้มีปัญหาอะไร  

    ชีวิตดำเนินอย่างนี้ไปเรื่อยๆตลอดสองเดือน จนพี่สนสอบศัลย์และเมดเสร็จ

                   

    “ จบปีห้าแล้วโว้ยยยย !!! ” ฝ่ายนั้นตะโกนด้วยความสะใจ เมื่อเราเดินออกมาจากคณะด้วยกันในวันที่รุ่นพี่สอบเสร็จเป็นวันสุดท้าย

                    “ ยังสักหน่อย พึ่งเรียนปีห้ามาได้สามเดือนเอง ” เขารีบแย้ง

                    “ ผ่านเมด ผ่านศัลย์ได้ ก็ถือว่าผ่านปีห้าแล้วล่ะ นอกนั้นอ่ะ...เบาๆ ” รุ่นพี่ยักคิ้วให้

                    “ พึ่งสอบเสร็จเอง ยังไม่ได้ประกาศผลเลย รู้ได้ไงว่าผ่าน ”

                    รุ่นพี่แกล้งมาล็อกคอเขาไว้แน่น  “ นี่จะให้กำลังใจกันหรือเปล่าครับ ? ”

                    ณัฐหัวเราะ  “ โอ๊ย ! งั้นยอมให้ผ่านก็ได้ ”

                    “ ดีมากครับ อย่างพี่น่ะ...ไม่ตกหรอก แต่....ถ้าตกก็ค่อยมาแก้วันหลังเอาก็ได้ ไม่มีปัญหา ฮ่ะ ๆ ๆ ”

                    เขาแอบลอบมองรุ่นพี่ ถึงจะพูดอย่างนั้นเขาก็รู้ดีว่าพี่สนไม่สอบตกง่ายๆหรอก คนหัวดีอย่างนี้อ่ะ ดีไม่ดีจะได้เกรดเยอะด้วยซ้ำไป

                    “ ที่สำคัญ ได้หยุดตั้งสองวันแน่ะ...มีเสาร์อาทิตย์กับเขาสักที เยส !! ” ฝ่ายนั้นชูกำปั้น ดูก็รู้ว่าท่าทางดีใจมาก ไม่ได้เห็นพี่สนอารมณ์ดีแบบนี้มานานแล้ว รู้สึกมีความสุขไปด้วยจริงๆ

                    “ งั้นพี่สนก็จะได้ตื่นสายแล้วสิ ”

                    “ อืม จะนอนให้ตื่นสักเที่ยงเลย ”

     

    ฝ่ายนั้นทำอย่างที่พูดจริงๆ เพราะวันถัดมาพี่สนนอนดึกและตื่นสายจนเกือบบ่าย เขาทำอาหารเช้าไว้รอเก้อจนกลายเป็นอาหารกลางวันแทน เห็นสีหน้าหลังตื่นนอนที่สดชื่นแล้วก็อดแซวที่จะไม่ได้

    “ พี่สนนอนเยอะเผื่อวันพรุ่งนี้เลยหรือไง ”

    ฝ่ายนั้นเกาหัวงงๆเดินออกมาจากห้องนอน แต่ก็ยังไม่วายที่จะเข้ามากอดเอวเขาเหมือนอย่างเคย

    “ หอมจัง ที่รักทำอะไรกินเหรอ ? ”

    “ แกงจืด...เดี๋ยวรออุ่นให้ร้อนแปบนึงนะ พี่สนไปอาบน้ำก่อนสิ ”

    รุ่นพี่เข้ามาหอมขมับหนึ่งฟอด  “ น่ารักที่สุด ”

    เขาเบ้ปาก อยู่ดีๆก็มาชมกัน “ ไม่ต้องเลย ไปอาบน้ำก่อน ตัวเหม็นจะตาย ”

                    “ เดี๋ยวนี้สั่งเยอะนะเรา ”

                    “ ทำไม ? ” เขาตอบกลับแทบจะในทันที

                    “ ก็...ปล๊าววว ”

                    รุ่นพี่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แล้วหยิบผ้าเช็ดตัวหายเข้าไปในห้องน้ำทันที   โธ่...นึกว่าจะแน่

     

    แล้วเราก็มานั่งกินอาหารเที่ยงด้วยกันสองคน แต่เป็นอาหารเช้าของรุ่นพี่ เพราะเป็นวันหยุดฝ่ายนั้นจึงดูอารมณ์ดีอย่างบอกไม่ถูก อยากให้พี่สนเป็นแบบนี้ไปตลอดจัง ไม่อยากให้เครียดเรื่องการเรียนเลย แต่ก็ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก ก็เรากำลังเรียนหมอกันอยู่นี่นา

    “ วันจันทร์พี่สนก็เปิดเทอมแล้วเหรอ ? ”

    “ ใช่ ปิดแค่สองวันเอง ยังไม่ทันได้หายเหนื่อยเลย ”  ปิดเทอมอะไรเนี่ย...แค่สองวัน !

     “ แล้วต่อไปพี่สนเรียนอะไรอ่ะ ? ”

    “ ก็พวก EYE(ตา) , ENT(หู คอ จมูก) , COM MED (เวชศาสตร์ชุมชน) อ่ะ ”

    “ จะเหนื่อยเหมือนช่วงเมื่อกี้มั้ย ? ”

    รุ่นพี่เผยยิ้ม  “ ไม่แล้ว บล็อกนี้อ่ะ สบายขึ้นเยอะ อยู่เวรนานๆครั้ง มีวันหยุดเสาร์อาทิตย์ด้วยนะ ”

    “ จริงเหรอ ?! ” เขายิ้มกว้างโดยไม่รู้ตัว

    “ ดีใจขนาดนั้นเลยเหรอ ? ”

    “ ก็ณัฐเห็นพี่สนเหนื่อยอ่ะ ไม่อยากให้เครียดแบบนั้นแล้ว อยากให้พักบ้าง ”

    “ พี่ดูเครียดขนาดนั้นเลยเหรอ ? ”

    เขาพยักหน้าช้าๆ  “ มาก ”

    “ ฮ่ะ ๆ จริงเหรอเนี่ย ไม่รู้ตัวเลย...แต่ไม่ต้องห่วงหรอก จากนี้ไปพี่ก็จะไม่หนักมากแล้ว จะมีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น โอเคมั้ย ? ” ฝ่ายนั้นตบหัวเขาเบาๆ

    “ จริงนะ ”

    “ อืมม...อยากไปเที่ยวไหนมั้ยล่ะ ? ”

    เขาเอียงหน้าถามด้วยความสงสัย “ ไปเที่ยวไหนเหรอ ? ”

    “ หมายถึงวันหยุดเสาร์อาทิตย์อ่ะ...ถ้าวันไหนว่าง อยากไปเที่ยวกันมั้ย ? ”

    “ อื้มม อยากไป ” เขาพยักหน้าเร็วๆ

    “ งั้นเดี๋ยวจะพาไปเที่ยวละกัน พาเครียดมานานแล้ว ฮ่ะ ๆ ”

     

    ร่างเพรียวได้แต่อมยิ้มด้วยความดีใจ...แฟนของเขานี่น่ารักที่สุดเลย

     

    *******************************

     

    เวลาผ่านไปเรื่อยๆจนมาถึงช่วงปลายปี อุณหภูมิลดลงจนอากาศหนาวเย็นอย่างเห็นได้ชัด ฤดูหนาวมาเยือนเราอีกครั้งแล้ว เสื้อกันหนาวตัวเก่าถูกรื้อกลับมาใส่ใหม่เพื่อมอบความอบอุ่นให้ร่างกาย รุ่นพี่ตั้งใจจะพาไปซื้อเสื้อผ้าใหม่แต่เขาก็รีบปฏิเสธ เพราะเสื้อกันหนาวทุกตัวที่อยู่ในตู้ก็ยังอยู่ในสภาพดีและอุ่นเหมือนเดิม จะไปซื้อให้เสียเงินเสียทองอีกทำไม ฝ่ายนั้นก็เออออตามไม่ได้ว่าอะไรมาก เพราะพี่สนอ่ะตามใจเขาอยู่แล้ว

     

    แม่เขายังคงโทรมาถามข่าวคราวอยู่เป็นประจำเกือบทุกวัน ไม่ใช่แค่นั้นเพราะหลายครั้งยังมีการโทรมาเครื่องพี่สนโดยตรงอีกต่างหาก ไม่รู้ว่าไปได้เบอร์กันมาจากไหน ถ้าแม่โทรหาเขาไม่ติดจะโทรหาพี่สนทันทีและก็พบว่าอยู่ด้วยกันเกือบตลอดเวลา จนเดี๋ยวนี้ไม่ว่าโทรเครื่องไหนก็ได้คุยทั้งสองคน จนเหมือนพี่สนจะกลายเป็นลูกรักอีกคนไปแล้ว

     

    เขาจำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งแม่เคยถามว่า...นี่อยู่ด้วยกันตลอดเวลาเลยเหรอ ? เขาเลยบอกแม่ออกไปตามตรงว่าย้ายออกมาอยู่กับพี่สนที่หอพักข้างนอกได้สักพัก ไม่ได้อยู่กับจัมโบ้แล้ว ทั้งที่ในความเป็นจริงย้ายมาได้จะสองปีแล้ว ฝ่ายนั้นพอรู้ความจริงก็ดุเขาสักเล็กน้อย บอกว่าทำไมไม่บอกแม่ก่อน ไปอยู่กินฟรีแบบนั้นไม่เหมาะสมเลย ไหนจะเปลืองค่าน้ำค่าไฟอะไรตั้งเยอะแยะ เขาจึงอธิบายไปว่า ช่วยๆกันออกคนละส่วน ถึงแม้ในความเป็นจริงแล้วส่วนของเขาจะน้อยมากก็เถอะ แต่สุดท้ายแม่ก็ยอมเข้าใจแต่โดยดี เขาเองก็คิดว่าแม่ไม่ได้กังวลเรื่องนั้นหรอก ดูท่าแล้วเหมือนจะ ห่วง เขามากกว่า ออกมาอยู่ด้วยกันสองคนกับรุ่นพี่แบบนี้ ช่วงหลังจึงพยายามโทรตามเช็คทางฝ่ายพี่สนเสียมากกว่า แม่ลืมไปหรือเปล่าว่าเขาเอง...ก็ไม่ใช่ลูกสาวซะหน่อย

     

    ช่วงนี้อากาศกำลังหนาวเย็นได้ที่ ขณะกำลังเดินกลับด้วยกันในตอนเย็นหลังเลิกเรียนวันศุกร์ อยู่ดีๆรุ่นพี่ก็ถามขึ้นมา

    “ เราไปเที่ยวกันดีกว่า ”

                    “ หืออ ? ”

                    “ ก็ไปไม่ต้องไกลมาก ไปเช้าวันเสาร์ กลับมาสักเย็นวันอาทิตย์ ณัฐติดอะไรหรือเปล่า ? ” ฝ่ายนั้นหันหน้ามาถาม

                    “ อืมม...ไม่นะ ” เขาส่ายหัว เพราะงานทุกอย่างก็ทำส่งหมดแล้ว เหลือแค่อ่านหนังสือเตรียมสอบตามปกติเท่านั้นแหละ แต่ตอนนี้...แค่ได้ยินว่าจะได้ไปเที่ยวเขาก็รู้สึกตื่นเต้นซะแล้ว

    “ ไปเที่ยวไหนเหรอ ? ”

    “ อืมม...ไปเพชรบูรณ์กันมั้ย ไปน้ำหนาวกัน ”

    “ ไกลมั้ย ? ”

    “ ไม่ไกลหรอก แค่สามชั่วโมงก็ถึงแล้ว ”

    ร่างเพรียวเผยยิ้มพยักหน้าหงึกหงัก  “ ไป ”

    ฝ่ายนั้นยิ้มกว้างเข้ามากอดคอเขาไว้หลวมๆแล้วเราก็ออกเดินอย่างอารมณ์ดีไปตามทาง เราจะได้ไปเที่ยวด้วยกันสองคนอีกแล้ว...ดีใจจังเลย

     

    ****************************

     

                    วันถัดมา...เราทั้งคู่ตื่นนอนกันตั้งแต่เช้า เก็บของเท่าที่จำเป็นแล้วอาบน้ำแต่งตัว ใช้เวลาเพียงไม่นานก็เสร็จจึงขับรถออกจากหอ ก่อนจะไปก็ไม่ลืมที่จะแวะปั๊มเพื่อเติมน้ำมันและเช็คลมยางให้พร้อม ซื้อกาแฟและขนมเพื่อเป็นเสบียงสักเล็กน้อย เพียงเท่านี้ก็พร้อมแล้วสำหรับการเดินทางของเราสองคน

    โชคดีที่อากาศไม่ร้อนมาก ขับรถไปตามถนนสายใหญ่ไปเรื่อยๆ เปิดเพลงฟังพูดคุยกันไปตลอดทาง พอเริ่มหิวก็แวะกินอาหารเช้าในช่วงสาย เร็วกว่าที่ใจคิดเพราะไม่นานเราก็มาถึงที่หมายเมื่อรุ่นพี่ขับรถเลี้ยวเข้ามาในบริเวณเส้นทางเขาที่ถูกรายล้อมด้วยต้นไม้สูงใหญ่ร่มรื่นตลอดสองข้างทาง พลันรู้สึกว่าข้างนอกอากาศต้องดีมากแน่ๆ

    “ ณัฐขอเปิดกระจกนะ ”

    “ เอาสิ ” ฝ่ายนั้นจึงลดกระจกลงให้ทั้งสองข้าง ขับช้าๆให้ลมเย็นเข้ามาปะทะใบหน้า...รู้สึกสดชื่นดีจังเลย

    ไม่นานก็มาถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติน้ำหนาว เราลงจากรถเพื่อไปติดต่อเรื่องที่พัก คุยกับพี่เจ้าหน้าที่สักพักก็ตัดสินใจเช่าเต้นท์พร้อมที่นอนสำหรับคนสองคน ขนของขึ้นรถแล้วจึงขับลึกเข้าไปด้านในเพื่อหาที่นอนพักสำหรับคืนนี้ทันที

    เพราะมาถึงกันค่อนข้างเร็ว จึงมีโอกาสเลือกหาที่พักเหมาะๆก่อนคนอื่น หลังจากเปลี่ยนใจมาสองครั้งบริเวณพื้นราบโล่งเตียนที่ไม่ใกล้และไม่ไกลจากห้องน้ำจนเกินไปก็ถูกเลือกได้ในที่สุด บริเวณนี้ค่อนข้างร่มรื่นและไม่รกจนเกินไป เราทั้งสองคนจึงหยิบอุปกรณ์ทั้งหมดจากในรถมาและงมอยู่กับการกางเต้นท์อยู่นาน ถึงจะเหนื่อยแต่ก็สนุกดีเพราะไม่เคยกางเต้นท์มาก่อน ได้ทำช่วยกันถึงจะผิดบ้างถูกบ้างแต่ในที่สุดก็สำเร็จเป็นรูปร่างจนได้ เรามองเต้นท์ที่ถูกกางอย่างเรียบร้อยพร้อมที่นอนด้านในแล้วจึงยิ้มให้กัน ก่อนที่จะเก็บของที่เหลือขึ้นรถแล้วไปยังจุดหมายใหม่ทันที

    เพราะถามจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวมาแล้วจึงพอรู้ข้อมูลว่ามีกิจกรรมอะไรบ้าง เวลาที่เหลือก่อนที่จะค่ำเราจึงเลือกที่จะเดินป่าดูธรรมชาติกันก่อน มีนักท่องเที่ยวร่วมเดินทางกับเราประมาณสี่ห้าคน ต่างคนต่างเดินกันไปตามทางข้างหน้าไม่ได้สนใจกันสักเท่าไหร่ พี่สนจึงถือโอกาสนั้นเดินกุมมือเขาไปตลอดทาง เขาแอบอมยิ้มกับตัวเองเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร

    อากาศตอนนี้เริ่มจะเย็นลงแล้ว อยู่ท่ามกลางธรรมชาติร่มรื่นพร้อมกับคนรักแบบนี้ทำให้เขารู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก เราทั้งคู่เดินจูงมือแกว่งกันไปอย่างสบายอารมณ์ ก่อนที่จะเดินขึ้นบันไดยาวเพื่อไปถึงหุบเขาสูงชันด้านบน พอมาถึงยิ่งสัมผัสได้ว่าอุณหภูมิเริ่มลดลงอย่างชัดเจน เราทั้งสองคนตัดสินใจนั่งพักบนโขดหินขนาดใหญ่มองลงไปยังวิวทิวทัศน์ด้านล่างเห็นแต่ต้นไม้ขนาดเล็กนิดเดียวเพราะที่ที่เราอยู่ค่อนข้างสูงมากพลันรู้สึกหวาดเสียวอย่างบอกไม่ถูก นักท่องเที่ยวคนอื่นหลังจากชื่นชมธรรมชาติและถ่ายรูปแล้วก็พากันเดินทางกลับ เหลือแค่เราสองคนที่ยังนั่งกันอยู่บนโขดหินอย่างสบายใจไม่รีบร้อนเท่าใดนัก

     

    “ ถ่ายรูปกันสักหน่อยมั้ย ? ” รุ่นพี่ถาม

    “ อื้มม ”  ร่างเพรียวพยักหน้ายิ้ม

     

    เราถ่ายรูปคู่ด้วยกันหลายภาพเพื่อเก็บเป็นไว้เป็นความประทับใจจนแสงของธรรมชาติเริ่มจะหมด เพราะไม่มีอะไรต้องห่วง...เพราะบรรยากาศค่อนข้างเป็นใจ เพียงแค่สบตากันเท่านั้นร่างทั้งสองก็โน้มตัวเข้าจูบกันโดยไม่ได้มีใครเริ่มก่อนราวกับมีแรงดึงดูดบางอย่าง จูบที่แสนโรแมนติกและอ่อนโยนท่ามกลางอากาศหนาวเย็นทำให้รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ร่างเพรียวหลับตาพริ้มจนอีกฝ่ายผละริมฝีปากออกก่อน

     

    “ ค่ำแล้วนะ ”

    “ งั้น...เรากลับกันเถอะ ” เขาตอบกลับทั้งที่ยังรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว

     

                    พี่สนลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมืออีกข้างมาให้ ร่างเพรียวมองแล้วจึงเผยยิ้ม ก่อนที่จะยื่นมือกลับไปให้ฝ่ายนั้นจับเช่นกัน

    “ ระวังนะ ”

     

    ถ้าเดาไม่ผิดพวกเขาคงเดินทางกลับเป็นคู่สุดท้าย ตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดลงแล้วแต่ยังพอมองเห็นทางบ้าง อากาศหนาวเย็นจนต้องกุมมือกระชับพลางกอดแขนอีกฝ่ายไว้แน่น ไม่นานก็เดินมาถึงปากทาง เราจึงขับรถกลับศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเพื่อหาอาหารกินกันที่นั่น แวะซื้อของที่ร้านของฝากกันสักเล็กน้อย พี่สนซื้อหมวกไหมพรมสีขาวรูปหมีให้เขาหนึ่งใบด้วย น่ารักและก็นุ่มดี แต่ก็ไม่รู้จะเอาไปใส่ตอนไหนถ้าไม่ใช่ช่วงที่มาเที่ยวแบบนี้ เขาจึงเลือกเสื้อยืดสีดำที่สกรีนคำว่าน้ำหนาวตรงกลางอกให้ฝ่ายนั้นด้วยหนึ่งตัว พอฟ้ามืดสนิทแล้วเราทั้งสองคนจึงตัดสินใจขับรถกลับที่พักกันทันที

     

    อากาศที่มหาลัยว่าหนาวแล้วแต่ที่นี่หนาวกว่ามาก ยิ่งกลางคืนแบบนี้ไม่ต้องพูดถึง ตัวสั่นปากสั่น ใส่เสื้อสองชั้นก็ยังไม่พอ พูดแต่ละครั้งออกมาเป็นไอกันเลยทีเดียว เขาอุตส่าห์พยายามจะอยู่แต่ในเต้นท์ไม่ออกไปไหน แต่พี่สนก็ยังชวนออกไปอาบน้ำ เขาอิดออดอยู่นานแต่สุดท้ายฝ่ายนั้นก็กึ่งลากกึ่งจูงพามาถึงหน้าห้องน้ำจนได้ หลังจากแยกกันคนละห้องแล้ว เขาก็ได้แต่ยืนกลั้นใจหน้าอ่างอาบน้ำอยู่นาน...สมกับที่เรียกว่าน้ำหนาวจริงๆ ทันทีที่น้ำกระทบตัวเขาก็แทบสะดุ้งโหยง รีบเทๆสาดๆใส่ตัวอย่างรวดเร็ว เพราะถ้าไม่อาบก็กลัวจะนอนไม่สบายตัว หลังจากนั้นก็รีบเช็ดตัวใส่เสื้อผ้าแล้ววิ่งออกมาจากห้องน้ำทันที เห็นพี่สนยืนรออยู่ก่อนแล้ว ฝ่ายนั้นเห็นท่าทางของเขาก็หัวเราะร่วนเลยน่ะสิ

     

    “ น้ำหนาวกำลังดีเลยเนอะ ”  ยังมีหน้ามาพูดแบบนี้อีก

    “ กำลังดีอะไรล่ะ หนาวจนตัวเกือบแข็งเลยเนี่ย ” เพราะตอนนี้เขามือสั่นปากสั่นไปหมดแล้ว พี่สนน่ะแหละ อ้างว่ามาถึงถิ่นทั้งที ต้องลองอาบน้ำดูจะได้รู้ว่าหนาวจริงหรือเปล่า เป็นไงล่ะ อภิมหาหนาวสมใจเลย

    “ ป่ะ เข้าไปในเต้นท์กัน จะได้อุ่นๆ ”

     

    รุ่นพี่เข้ามาโอบกอดเขาเอาไว้ เราเดินผ่านผู้คนหลายกลุ่มที่นั่งเล่นกันอยู่หน้าเต้นท์ บ้างก็กินอาหาร บ้างก็นั่งพูดคุยสังสรรค์กัน เขาได้แต่เดินก้มหน้างุดๆไปตามทางพอมาถึงเต้นท์ของตัวเองก็รีบกระโดดเข้าข้างในทันที พอพี่สนเข้ามาแล้วเขาก็รีบรูดซิปให้แน่นทุกด้านเพราะกลัวลมหนาวจะพัดเข้ามา วางเสื้อผ้าไว้มุมหนึ่งแล้วรีบมุดตัวเข้าไปในผ้าห่มทันที

    “ อย่าพึ่งนอน ผมยังไม่แห้งเลย ” พี่สนบอก

    เขาดึงผ้าห่มขึ้นสูงจนถึงครึ่งหน้า ไม่ยอมขยับตามที่ฝ่ายนั้นบอก ตอนนี้ด้านในเต้นท์ค่อนข้างมืด มีเพียงแสงจันทร์ที่เป็นแสงสว่างเดียวลอดทะลุผ่านเข้ามาเท่านั้น เห็นแต่รุ่นพี่พยายามจัดเก็บของให้เรียบร้อยเพื่อเตรียมนอน แล้วหยิบผ้าขนหนูแห้งมาหนึ่งผืนในมือ

    “ ไม่เอาอ่ะ หนาว ”

    “ ก็หนาวสิ ผมยังไม่แห้งเลย ลุกขึ้นมาให้พี่เช็ดผมให้ก่อน ”

    ร่างเพรียวนอนกลิ้งตัวไปมาให้ผ้าห่มพันตัวจนกลายเป็นดักแด้แล้วจึงยอมลุกขึ้นมานั่ง เห็นแต่หัวโผล่พ้นผ้าห่มออกมา รุ่นพี่ยิ้มและส่ายหัวในท่าทางนั้น จึงเข้ามาจัดการเช็ดผมให้

    “ เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก ยิ่งอากาศหนาวๆอยู่ด้วย ”

    “ แต่พี่สนก็หัวเปียกนี่นา ”

    “ อืม เดี๋ยวพี่เช็ดเองก็ได้ ”

    “ ณัฐเช็ดให้ไม่ได้นะ...ไม่มีมือ ” เขาแลบลิ้น เพราะตอนนี้เขากลายร่างเป็นดักแด้ไปแล้วน่ะสิ

    “ ห่มขนาดนี้แล้วพี่จะห่มอะไรล่ะเนี่ย ? ”

    “ ก็ห่มด้วยกันนี่แหละ มาเป็นดักแด้ด้วยกัน มา ๆ ”

     

    พอฝ่ายนั้นเช็ดผมให้เขาจนเกือบแห้งดี เขาก็ล้มตัวลงนอนทันที พี่สนก็นั่งเช็ดผมให้ตัวเองไป จัดเก็บเสื้อผ้าของเราทั้งคู่ให้เรียบร้อย แล้วจึงเข้ามานอนข้างกัน

                    เขาแบ่งผ้าห่มนวมผืนใหญ่ที่เราเตรียมกันมาเองให้อีกฝ่ายด้วย พี่สนขยับตัวเข้ามาใกล้และกอดเขาเอาไว้แน่นเพื่อมอบความอบอุ่นให้ พอนอนกอดกับรุ่นพี่แล้วรู้สึกว่า...อุ่นกว่าผ้าห่มตั้งเยอะแน่ะ ไหล่ก็กว้าง ตัวก็หนา  บังเขาซะเกือบมิดเลย

     

                    “ อุ่นขึ้นมั้ย ? ” ฝ่ายนั้นถาม

                    ร่างเพรียวพยักหน้าหงึกๆน่ารักน่าชัง  “ อุ่นมาก ”

     

                    พี่สนเข้ามาหอมแก้มเขาฟอดใหญ่ ก่อนที่จะไล้เรื่อยมาประทับที่ริมฝีปากบางเบา รู้สึกถึงสัมผัสเย็นชืดแปลกๆเพราะอากาศหนาว เรามองสบตากันภายใต้ความมืด เขาเอื้อมมือลูบไล้ใบหน้าอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนที่เราจะประกบจูบกันอีกครั้ง

                     รสสัมผัสแสนหวานกับจังหวะจูบที่อ่อนโยน ทำให้ร่างของเขาอ่อนระทวยได้ในทันใด ความรู้สึกอุ่นร้อนแผ่ซ่านจากใบหน้าไปจนทั่วร่างกาย ไม่รู้สึกหนาวเหมือนอย่างเคยแล้ว รุ่นพี่เปลี่ยนมานอนคร่อมร่างของเขาตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่ทราบได้ จูบที่แสนหวานจึงกลายเป็นจูบที่ร้อนแรงยิ่งขึ้น

             

     

    ******************************

     

                    นาฬิกาปลุกส่งเสียงดังตั้งแต่ตีห้าเพราะเราทั้งสองคนตั้งใจจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกัน พี่สนกดปิดนาฬิกาแทบจะในทันที แต่เขาก็พยายามกลั้นใจลุกขึ้นมาอย่างงัวเงีย ตอนนี้อากาศหนาวมากและคิดว่าข้างนอกคงหนาวมากกว่านี้หลายเท่าแน่

                    “ พี่สน ? ”

                    เขาเขย่าร่างด้านข้างเบาๆ พี่สนส่งเสียงอือออเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

                    “ จะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันมั้ย ? ”

                    “ ................................ ”

                    ไม่มีเสียงตอบกลับ ไหนๆก็อากาศหนาวซะขนาดนี้ ความขี้เกียจจึงชนะทุกสิ่ง เขาล้มตัวลงนอนขดซุกในผ้าห่มแทบจะในทันที สักพักคนด้านข้างก็ลุกขึ้นมานั่งซะอย่างนั้น

                    “ ณัฐ ป่ะ ”

                    “ ลุกช้าอ่ะ ณัฐจะนอนต่อแล้ว ”

                    “ ไปกันเถอะ พี่อยากถ่ายรูปเก็บไว้ ”

                    เขาจึงลุกขึ้นมานั่งอย่างฝืนใจ จนฝ่ายนั้นหยิบเสื้อกันหนาวและถุงเท้าจากในกระเป๋ายื่นมาให้ เขาจึงต้องยอมแต่งตัวแต่โดยดี ใส่เสื้อกันหนาวทับอีกชั้นและถุงเท้าเพื่อเพิ่มความอบอุ่น ใส่หมวกหมีที่ฝ่ายนั้นซื้อให้ และไม่ลืมที่จะเอาผ้าพันคอมาด้วย หลังจากที่เราแต่งตัวกันเสร็จแล้ว ก็ขับรถออกไปยังที่หมายกันทันที

                    โดยปกติจะมีรถที่ทางอุทยานจัดเตรียมไว้ให้จากที่พักเพื่อไปส่งอยู่แล้ว แต่พอสอบถามเจ้าหน้าที่ตั้งแต่เมื่อวานก็ได้ความว่าถ้ารู้ทางก็สามารถขับรถออกมากันเองได้ เราสอบถามเรื่องเส้นทางไว้พร้อมแล้วจึงไม่มีปัญหาอะไรมาก ติดอยู่ตรงที่ทางมันค่อนข้างมืดและอากาศก็หนาวมากนี่แหละ

                    พอมาถึงที่หมาย ก็พบว่ามีรถนักท่องเที่ยวคนอื่นจอดอยู่หลายคันเหมือนกัน เราลงจากรถแล้วส่องไฟฉายเดินไปตามเส้นทางเพื่อขึ้นไปยังบริเวณหุบเขาด้านบนทันที เดินไม่ไกลมากนักก็มาถึงลานกว้างด้านบนที่มองลงข้างล่างแล้วคงจะสูงมากพอสมควร ท้องฟ้าตรงหน้ามีแสงสีส้มสะท้อนประกายออกมาให้ได้เห็นบ้างแล้ว เรารีบหาจุดนั่งพักที่เหมาะๆเพื่อชมความงามนั้นอย่างตั้งใจ

                    ไม่นานพระอาทิตย์ก็โผล่พ้นขอบฟ้าออกมา สวยงามจนรู้สึกคุ้มค่าที่ตื่นมาตั้งแต่เช้า เอาชนะกับความง่วงและความหนาวเพื่อมาเชยชม รุ่นพี่ยกกล้องถ่ายรูปเพื่อมาเก็บภาพไว้เป็นระยะ บ้างก็หันมาถ่ายรูปเขา บ้างก็ถ่ายพระอาทิตย์สลับกันไป พระอาทิตย์น่ะก็น่าถ่ายอยู่หรอก แต่สภาพหลังตื่นนอนหน้าก็ยังไม่ล้างของเขาเนี่ย มันน่าถ่ายด้วยเหรอ

                    เขาพึ่งสังเกตว่ามีพ่อค้าแม่ค้ามาขายอาหารเช้าพวกนม โอวัลติน ขนมปัง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและอาหารอีกมากมายหลายอย่างให้กับท่องเที่ยวที่มาชมพระอาทิตย์ขึ้นที่บนเขาด้วย ได้แต่มองด้วยความแปลกใจว่าเอาของพวกนั้นขึ้นมาได้ยังไงตั้งมากมาย แต่เขาก็ไม่ได้ซื้อหรอก เพราะเราตั้งใจจะกินอาหารเช้ากันที่ร้านอาหารแถวบริเวณศูนย์นักท่องเที่ยวใกล้ที่พักกัน

                    พอช่วงสายหน่อย อุณหภูมิก็เริ่มอุ่นสบายมากขึ้น หลังจากกินอาหารเช้าจนเสร็จ เราก็กลับไปอาบน้ำแต่งตัวกันบนที่พักทันที ก่อนที่จะช่วยกันเก็บของ เก็บเต้นท์และที่นอนทั้งหมดขึ้นรถเพื่อเอาไปคืนที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว และเป้าหมายต่อไปคือเดินป่าเพื่อไปดูน้ำตกกันก่อนที่จะเดินทางกลับนั่นเอง

     

                    เราแวะจอดรถข้างทางตามป้าย แล้วจึงเดินต่อเข้าไปตามทางด้านใน เส้นทางเล็กและแคบพอสมควร นักท่องเที่ยวไม่เยอะเท่าไหร่ เราจึงจับมือเดินกันไปตลอดทางคอยประคองเพื่อไม่ให้ล้มเพราะเส้นทางลาดชันและขรุขระพอสมควร ช่วงใกล้เที่ยงแดดเริ่มร้อนจนเหงื่อไหลซึมตามแผ่นหลังและใบหน้า ยังดีที่เมื่อเช้าตัดสินใจอาบน้ำไม่งั้นจะเหนียวตัวมากกว่านี้ซะอีก เดินเข้ามาไกลประมาณสองกิโลในที่สุดก็มาถึงจุดหมายเสียที

                    เรานั่งพักเหนื่อยดูน้ำตกด้วยกัน เห็นกลุ่มนักท่องเที่ยววัยรุ่นกลุ่มหนึ่งเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน ยิ่งบริเวณที่น้ำตกลงมาจากที่สูงด้วยความแรงและเร็วตรงนั้น เห็นแล้วก็อดที่จะอยากเล่นด้วยไม่ได้ ถ้าให้น้ำกระแทกหัวและตัวคงจะรู้สึกดีไม่น้อย แต่เพราะเราไม่ได้เตรียมเสื้อผ้าเพื่อมาเล่นน้ำด้วย จึงต้องอดไปตามระเบียบ

                    หลังจากถ่ายรูปกันจนเสร็จ เราก็เดินกลับออกมากันทันที ขากลับจะค่อนข้างเร็วเพราะคุ้นเคยเส้นทางมากขึ้น จากที่เดินจูงมือกันเมื่อตอนขามาตอนนี้ก็ไม่ต้องแล้ว เพราะอากาศร้อนมากจนเหงื่อไหลท่วมตัว ต่างคนจึงรีบเดินจ้ำอ้าว พอออกมาถึงปากทางและได้ขึ้นรถเท่านั้นแหละ เขาก็เปิดแอร์เร่งให้ความเย็นปะทะหน้าทันที ทำไมอากาศกลางวันกับกลางคืนถึงต่างกันถึงขนาดนี้นะ

     

                    “ กลับกันเลยมั้ย ? ”

                    “ อื้มม ” เขาพยักหน้าอย่างอ่อนแรง

     

                    แล้วรถก็ขับเคลื่อนออกมาเพื่อมุ่งหน้าเดินทางกลับ ถึงทริปครั้งนี้จะสั้นแต่ก็ยอมรับว่าสนุกดี อากาศที่นี่ในตอนกลางคืนหนาวเย็นอย่างไม่น่าเชื่อ ยิ่งการได้อาบน้ำเย็นเฉียบแบบเมื่อคืนนั้น พอคิดย้อนกลับไปก็เป็นประสบการณ์ที่ดีเหมือนกันที่ได้ลอง เขามองใบหน้าคนด้านข้างที่ตั้งใจขับรถไปตามทางอย่างอารมณ์ดี

     

    แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ เขาคิดว่า...ไม่ว่าจะไปเที่ยวที่ไหนบนโลกใบนี้ก็คงสนุกได้ทั้งนั้นแหละ ขอแค่ได้ไปกับพี่สนก็พอ...

     

    **********************************

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×