คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : Chapter 10
“จะไปทานข้าวที่ไหนดี”
“ตามใจคุณเถอะ จะไปไหนก็ไปแค่กลับมาส่งผมทันสอนตอนบ่ายโมงก็พอ”
“ครับ”
ดันเต้มองนาฬิกาก่อนจะตอบออกมา ตอนนี้เพิ่งจะ 10 โมงครึ่ง แต่ว่าอเลาดิไม่มีสอนแล้ว จะเข้าอีกทีก็ตอนบ่ายโมงซึ่งก็คือห้องของฮิบาริ เคียวยะนั้นแหละ
“งั้นเอาเป็นร้านนี้ก็แล้วกันนะ”
เจ้าตัวว่าแล้วเลี้ยวรถเข้าไปในร้าน ๆ หนึ่ง ซึ่งจัดแต่งแบบเรียบง่ายแถมยังร่มรื่นด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นเรียงแถวดูสบายตา อเลาดิมองภาพตรงหน้าแล้วลืมคิดเรื่องเครียด ๆ ไปแป๊บนึงเลย เจ้าตัวยิ้มออกมาบาง ๆ แล้วเดินเข้าไปข้างใน
ทั้งคู่เลือกที่นั่งด้านในสวนตรงซุ้มดอกไม้ ร้านนี้ดูเงียบสงบดี ลูกค้าบางตาแต่ถยอยเข้ามาเรื่อย ๆ ไม่ได้แออัดเป็นช่วง ๆ เหมือนร้านส่วนใหญ่
“รับอะไรดีคะ”
พนักงานสาวหน้าตาน่ารักเดินมารับออเดอร์ของทั้งสอง เจ้าตัวยิ้มดีใจที่นาน ๆ ทีจะมีคู่ลูกค้าหล่อ ๆ เข้ามาใช้บริการแบบนี้ ส่วนใหญ่จะมีแต่พวกผู้สูงอายุซะมากกว่าที่ชอบบรรยากาศร่มรื่นของที่นี่ ส่วนลูกค้าหนุ่ม ๆ แบบนี้ก็จะตามแฟชั่นไปกินตามร้านน่ารัก ๆ ซะส่วนใหญ่
“รอสักครู่นะคะ”
ดันเต้มองตามพนักงานของทางร้านที่วิ่งหายลับไปในตัวร้านหลังจากที่พวกเขาสั่งรายการอาหารกันไปแล้วกลับมามองคนตรงหน้าที่ดูจะชอบที่นี่ซะเหลือเกิน
“ชอบหรอครับ”
“อืม...สงบดี”
อเลาดิบอกทั้งยังยิ้มไม่หยุด ถึงแม้ว่าจะเป็นยิ้มบาง ๆ ก็เถอะ นั้นยิ่งทำให้ดันเต้ชอบคนตรงหน้าเข้าไปใหญ่
“คุณนี่เหมือนเคียวยะจริง ๆ นะ”
รอยยิ้มบาง ๆ เมื่อครู่หุบฉับลงทันที ดวงตาสีฟ้าสวยตวัดมองคนพูดก่อนจะหลุบลงมาอย่างไม่พอใจ แต่ว่า...แล้วเขาไม่พอใจอะไรกันละ
‘เพราะว่าผมสนใจคุณ’
‘ผมพูดจริง ๆ นะ รู้สึกถูกชะตากับคุณตั้งแต่ตอนเจอกันครั้งที่แล้ว แต่เสียดายที่วันนั้นไม่มีโอกาสได้คุยอะไรกันมากเพราะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นมาก่อน’
ถ้อยคำของอีกฝ่ายแวบเข้ามาในหัว ก่อนจะนำมาปะติดปะต่อกับคำพูดก่อนหน้านั้น แล้วหน้าสวย ๆ ก็ตึงขึ้นมาทันทีจนดันเต้ถึงกับผงะไปอย่างตกใจ
“อะไรกันครับ”
ดันเต้ถามอย่างไม่เข้าใจ แค่เขาพูดออกไปแบบนั้นต้องทำหน้าน่ากลัวแบบนั้นเลยหรือไง หรือว่าเพราะไม่ชอบให้เอาตัวเองไปเปรียบกับใครงั้นหรอ ถ้าอย่างนั้นเขาคงพูดผิดอย่างไม่น่าให้อภัยไปซะแล้วสิ
“ไม่มีอะไร”
อเลาดิตอบเสียงห้วนก่อนจะสะบัดหน้าหนี ที่บอกว่ารู้สึกถูกชะตาก็เป็นเพราะเขาหน้าตาคล้ายคนรักเก่างั้นสินะ ที่รู้สึกดีด้วยก็คงเป็นเพราะอย่างนั้น แต่ว่า...แล้วเราจะต้องมาคิดมากทำไมเนี้ย
“คุณ...โกรธอะไรผมหรือเปล่า ขอโทษนะครับถ้าเกิดผมพูดอะไรผิดหูคุณไป”
ดันเต้บอกก่อนจะก้มหน้าลงอย่างเสียใจ ดวงตาสีส้มแดงสั่นไหว มือแกร่งทั้งสองข้างกำแน่นจนเห็นข้อขาว ซึ่งอาการทั้งหมดถูกจ้องด้วยดวงตาสีฟ้าที่เบิกกว้างอย่างตกใจ
“ผมไม่ได้โกรธ”
เสียงไม่มั่นคงพูดออกมา แต่เมื่ออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมองกลับเป็นเขาเองที่เบือนหนีเพราะไม่อาจทนสบกับดวงตาสีส้มแดงคู่นั้นได้
“แต่เมื่อกี้...”
“ผมไม่ได้โกรธ แค่กำลังคิดอะไรอยู่เท่านั้นแหละ”
“งั้นหรอ...”
“อาหารที่สั่งได้แล้วคะ”
เสียงของพนักงานเสิร์ฟคนเดิมดังแทรกขึ้นมาก่อนที่อาหารอิตาลีหน้าตาหน้าทานจะวางลงตรงหน้าของทั้งคู่ ทั้งสองคนนั่งทานอาหารเงียบ ๆ จนหมดแล้วค่อยเงยหน้ามองกันอีกครั้งหนึ่ง
“จะสั่งอะไรเพิ่มอีกไหมครับ”
“ไม่เป็นไร ขอบคุณ”
อเลาดิตอบก่อนจะยกน้ำขึ้นดื่ม ดวงตาสีฟ้ามองสังเกตหน้าอีกฝ่ายอย่างลืมตัว โครงหน้าคมเข้มจัดว่าหล่อเหลามากคนหนึ่ง หากแต่ดวงตาสีส้มแดงที่ควรน่ากลัวกลับแฝงไว้ด้วยความอบอุ่น รอยยิ้มอ่อนโยนประดับอยู่บนใบหน้าตลอดเวลาพอ ๆ กับดีโน่ แต่ขานั้นจะออกแนวขี้เล่นซะมากกว่า ไม่ได้แฝงไว้ด้วยความปลอดภัยอย่างคน ๆ นี้ ดีโน่จัดอยู่ในประเภทร้ายลึก ภายนอกดูใจดี ยิ้มเก่ง น่าเข้าใกล้ แต่เขาก็สังเกตเห็นว่ามันแฝงความอันตรายไว้ขนาดไหน ต่างจากคน ๆ นี้ที่ไม่ว่ายังไงเขาก็เห็นแค่ด้านอ่อนโยนเท่านั้น แต่ถ้าจริง ๆ แล้วนิสัยไม่ใช่อย่างที่เขาเห็นเจ้าตัวก็คงจะแสดงละครเก่งน่าดูถึงขนาดทำให้คนอย่างเขาดมกลิ่นความอันตรายไม่ได้เลย
“คุณทานน้อยนะ”
“หือ?”
อเลาดิเลิกคิ้วขึ้นเมื่อเจอคำวิจารณ์จากคนตรงหน้า เจ้าตัวก้มมองจานอาหารของตัวเองก่อนจะเงยขึ้นมองดันเต้อีกครั้ง เขาก็ทานหมดนะ แล้วมันน้อยตรงไหนกัน
“คือไม่รู้นะ แต่ผมว่าคุณทานอาหารในปริมาณของผู้หญิงนะ...ผมไม่ได้ว่านะ แค่แสดงความคิดเห็น”
ดันเต้รีบพูดแทรกขึ้นมาเมื่อเห็นอีกคนขมวดคิ้วอีกแล้ว คือเขาไม่ได้ว่าจริง ๆ นะ แต่ว่าถ้าเทียบกันแล้วตัวเขาเป็นคนที่ทานอาหารปริมาณปกติอย่างผู้ชายทั่วไป แต่อีกคนกับทานน้อยกว่า ถึงจะหมดจานก็จริงแต่ก็แค่จานเล็ก ๆ ไม่ใช่จานธรรมดาอย่างเขา เห็นอาหารแค่นั้นเขามองแล้วยังไม่รู้สึกอิ่มเลย
“ผมก็ทานของผมปกติ คุณนั้นแหละทานเยอะเกินไป”
“ผมนะปกตินะ ตัวเท่า ๆ กันกับดีโน่เลยเห็นไหมละ แต่คุณนะทั้ง ๆ ที่เป็นคนแถบยุโรปด้วยกันแต่ว่ากลับดูตัวเล็กเหมือนคนเอเชียมากกว่า มีแค่สีตากับสีผมแค่นั้นเองที่มองเป็นชาวต่างชาติ”
“คุณกำลังเสียมารยาทนะ”
“หึ ๆ ขอโทษทีครับ บอกแล้วไงว่าแค่แสดงความคิดเห็น”
อเลาดิค้อนใส่คนที่นั่งขำไปวงหนึ่งใหญ่ ๆ ก่อนจะสะบัดหน้าไปอีกทางหนึ่ง ทำเอาดันเต้ที่เห็นแบบนั้นยิ่งขำหนักกว่าเก่าแล้วก็ต้องยกมือยอมแพ้เมื่อเจอสายตาพิฆาตเข้าไปอีกที
“ยอมแล้วครับ ยอมแล้ว”
ดันเต้ยกสองมือขึ้นเหนือหัวในท่ายอมแพ้แล้วยิ้มกว้างออกมา ยิ่งเห็นตาดุ ๆ ที่ส่งมาก็ยิ่งรู้สึกเอ็นดู เพราะพูดกันตามตรงอเลาดิอายุเท่ากับน้องชายของเขา เพราะงั้นเขาก็จะแก่กว่าอีกฝ่าย 3-4 ปี พอเห็นท่าทางน่ารัก ๆ แบบนี้ก็เลยยิ่งชอบใจเข้าไปใหญ่
“คุณจะเข้าเรื่องได้หรือยัง”
อเลาดิถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจที่ยังเห็นว่าอีกฝ่ายยังยิ้มไม่หุบเลย ไม่รู้จะขำชอบใจอะไรหนักหนา กรามค้างไปแล้วมั้งนั้นนะ
“ครับ ๆ เริ่มได้เลยครับ”
“.....”
“แล้วคุณอยากรู้เรื่องไหนของเคียวยะบ้างละครับ”
“ทุกเรื่องที่คุณรู้”
ดันเต้สบมองดวงตาสีฟ้าสวยที่ฉายแววจริงจังขึ้นมาทันที เขาสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วผ่อนออกมายาว ๆ ก่อนจะเริ่มเล่าเท่าที่ตัวเองได้สัมผัสคน ๆ นี้มา
“เคียวยะเป็นเด็กที่ค่อนข้าง...อืม จะเอาแต่ใจหน่อยนะครับ...”
อเลาดิพยักหน้าเห็นด้วยกับประโยคแรกที่อีกฝ่ายพูดออกมา แต่จะค้านก็ตรงที่ว่าหน่อยนี่แหละ จากที่เขาสัมผัสและเจอมามันเอาแต่ใจมากต่างหาก แต่ก็แค่คิดในใจไม่ได้พูดออกไป
“แต่ก็ไม่รู้นะ ผมว่านั้นเป็นมุมที่น่ารักที่สุดของเขาละ ตอนที่เจอกันเคียวยะมาอยู่ที่อังกฤษ เจ้าตัวเพิ่งจะอายุได้ 14 ปีเอง...แล้วพอดีว่าตอนนั้นผมไปดูงานที่อังกฤษพอดี แล้วก็ชอบไปห้องสมุดของโรงเรียนเจ้าตัวเขาบ่อย ๆ เลยได้เจอกัน...
“.....”
“ตอนเจอทีแรกผมก็โดนฟาดหน้าด้วยทอนฟาของเขาจนหงายหลังล้มลงไปนอนนับดาวที่พื้นทันที เพราะผมจะหยิบหนังสือชั้นบนตรงกับที่เจ้าตัวเขายืนอยู่พอดี เขาเลยนึกว่าผมจะลวนลาม เลยเสยเข้ามาซะเต็มแรง...จากนั้นเขาเลยโดนบรรณาลักษณ์ของห้องสมุดนั้นให้พาผมไปนอนในห้องพยาบาลของโรงเรียน...วันนั้นผมโดนบ่นเป็นชุดเลยที่ทำให้เขาต้องมาเสียเวลาอยู่เฝ้าผมเพราะอาจารย์คุมห้องพยาบาลไม่อยู่...”
“จากนั้นพวกคุณก็คบกันหรอ”
“เกือบสามเดือนนะครับที่ผมตามจีบเขา”
ดันเต้ตอบออกมาด้วยรอยยิ้มเมื่อนึกไปถึงวันเวลาเหล่านั้น แล้วเขาก็ตั้งสติใหม่แล้วเริ่มเล่าต่อเกี่ยวกับสิ่งที่คนตรงหน้าอยากรู้
“...ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันนะ ผมก็ไม่รู้อะไรมากนักหรอกนะว่าทางบ้านเขามีปัญหาอะไรเพราะเขาไม่ค่อยเล่าอะไรให้ฟังเลย เจ้าตัวเขาเป็นคนหงุดหงิดง่ายผมเลยไม่กล้าถาม แต่ก็พอจะรู้บ้างว่าเขาไม่ค่อยถูกกับพ่อสักเท่าไหร่...”
“.....”
“...ผมเดาเอานะ จะว่ามันเป็นความรู้สึกก็ได้ และตามความรู้สึกของผมเคียวยะเป็นเด็กน่าสงสาร เขาดูเป็นเด็กขี้เหงา ที่ทำตัวแบบนั้นจริง ๆ แล้วไม่คิดอะไรมากนักหรอก เหมือนเป็นการเรียกร้องความสนใจมากกว่า เพราะคนที่บ้านไม่ใส่ใจ ถึงได้ทำเรื่องแบบนี้ เหมือนกับอย่างน้อยก็ยังมีคนมองมีคนสนใจเขาอยู่ โดยที่ไม่รู้ว่าวิธีการเรียกร้องแบบนี้มันค่อนข้างจะไม่ดีกับตัวเองเท่าไหร่...น่าจะประมาณนั้นแหละครับ”
“อืม”
อเลาดิพยักหน้ารับที่อีกฝ่ายพูดก่อนจะก้มหน้าลง จมอยู่กับความคิดของตัวเองเกี่ยวกับเรื่องของคนที่ถูกกล่าวถึง จากที่สัมผัสมาเขาก็คิดแบบนั้นแหละ เพราะงั้นถึงได้อยากรู้ว่าแล้วเหตุผลอะไรถึงทำให้เป็นแบบนั้น
“คุณอยากจะรู้อะไรอีกไหม”
“ผม...จริง ๆ ก็อยากรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับเขานั้นแหละ”
ดันเต้มองหน้าอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้อีกฝ่ายตาโตขึ้นมาเพราะสนใจบวกกับตกใจเพราะไม่คิดว่าเขาจะยอมพูด
“ถ้าผมจะเล่าถึงเหตุการณ์ที่ทำให้ผมและเคียวยะเลิกกัน คุณจะฟังไหม”
“...ถ้าถามจริง ๆ ผมก็อยากฟัง แต่ถ้ามันจะทำให้คุณรู้สึกไม่ดีอีกผมไม่ฟังก็ได้นะ”
“ไม่เป็นไรหรอก เท่าที่ดูผมว่าคุณดูเป็นห่วงเขามาก จะว่าไงดีละตามความรู้สึกผมคิดว่ามันมากกว่าความเป็นอาจารย์กับลูกศิษย์...แต่ไม่ได้คิดไปถึงเชิงชู้สาวนะ”
ดันเต้รีบปฏิเสธเมื่อเห็นสายตาไม่พอใจจากคนหน้าสวย เขารีบยิ้มหวานให้อย่างประจบทันที และก็ได้ผลเมื่อฝ่ายนั้นถอนหายใจแล้วเบือนหน้าไปทางอื่นไม่เอาเรื่องเขาต่อ
“สรุปคุณจะฟังไหม”
“ถ้าคุณเต็มใจเล่าผมก็ยินดีฟัง”
อเลาดิหันกลับมาจ้องหน้าอีกคนต่อ ใบหน้าคมคายยังคงประดับไว้ด้วยรอยยิ้ม แต่เขาเห็นว่ามันหม่นลงเมื่อเริ่มเล่าถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น แถมดวงตาสีส้มแดงนั้นยังฉายแววร้าวลึกออกมาให้เห็นอีกด้วย
“ผมกับเคียวยะตอนนั้นเราก็เป็นไปด้วยดี ถึงแม้เจ้าตัวจะติดนิสัยเอาแต่ใจแต่ผมก็ชอบและยอมตามใจเขาทุก ๆ อย่าง เขาเองถึงจะดื้อจะรั้นไปบ้างแต่ก็เป็นคนที่น่ารัก เขาเป็นคนปากไม่ค่อยตรงกับใจเท่าไหร่คอยดูแลผมแต่ก็ไม่ยอมรับซึ่งนั้นก็เป็นอีกอย่างที่ทำให้ผมรักเขา...แต่แล้ววันหนึ่ง...”
“.....”
“...อยู่ ๆ เขาก็เดินเข้ามาในห้อง ดวงตาฉายออกมาว่าเกลียดและแค้นผมอย่างมาก แต่แค่นั้นไม่ได้ทำให้ผมตกใจไปกว่าใบหน้าสวยที่ผมชอบนองไปด้วยน้ำตา...ตลอดเวลาที่คบกันเคียวยะไม่เคยร้องไห้ให้ผมเห็นเลยสักครั้ง...”
“แล้วยังไง?”
คนหน้าสวยถามขึ้นมาเบา ๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไปนาน แล้วความเจ็บปวดที่สื่อออกมาทางสายตานั้นก็มากกว่าเดิมเมื่อเขาเล่ามาถึงตรงนี้ ดวงตาสีส้มแดงวาวขึ้นเพราะตอนนี้มันเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำใส ๆ แต่ก็ไม่ได้ไหลออกมา
“...เคียวยะบอกว่าเกลียดผม และเขาจะไม่อยู่กับผมอีกแล้ว เขาบอกว่าให้เราเลิกกันและห้ามให้ผมมาให้เขาเห็นหน้าอีก...ตอนนั้นบอกตามตรงว่าผมตกใจมาก ความรู้สึกมันอึดอัดและเจ็บมาก ๆ แต่ถามว่าโกรธไหมผมไม่ได้โกรธนะ ตอนนั้นนอกจากตัวเองแล้วผมยังรับรู้ได้เหมือนกันว่าเคียวยะเองก็เจ็บปวดไม่ต่างจากผมหรืออาจจะมากกว่า...”
พูดมาถึงตรงนี้ดันเต้ก็หลับตาลงแล้วหยาดน้ำใส ๆ ก็หยดลงสู่แก้ม เห็นแบบนั้นอเลาดิเลยเอื้อมมือไปเช็ดให้อย่างไม่รู้ตัวจากนั้นก็กุมมืออีกฝ่ายไว้อย่างให้กำลังใจ เขาเองก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะแต่งเรื่องขึ้นมาหรือเปล่า แต่จากน้ำเสียงและแววตาที่สื่อออกมามันทำให้เขาเชื่อหมดใจว่าคน ๆ นี้ไม่ได้โกหกแม้แต่นิดเดียว แม้แต่ความรู้สึกที่ว่าเจ็บปวดตอนที่พูดถึงเขาเองยังพลอยรู้สึกเสียใจและใจหายตามไปด้วย เพราะงั้นเขาเชื่อ เชื่อว่าคน ๆ นี้รู้สึกแบบนั้นจริง ๆ และจากที่เจอ ๆ มาเขาเห็นว่าแววตาคู่นี้สื่อออกมาถึงความเจ็บปวด และโหยหาคนที่ชื่อ ฮิบาริ เคียวยะ แค่ไหน
ร่างสูงยิ้มออกมานิดให้คนที่กุมมือตัวเองอย่างจะบอกว่า ‘ไม่เป็นไร’ จากนั้นเขาก็เริ่มเล่าต่อถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูดีกว่าตอนแรกเมื่อได้รับกำลังใจจากคนตรงหน้า
“...ตอนนั้นนะ จะบอกว่าผมแทบก้มกราบก็ได้เพราะไม่อยากให้เขาไป ได้แต่บอกขอโทษทั้งที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำอะไรผิด จนในที่สุดเขาก็พูดกับผม เขาหันมาบอกผมทั้งที่ตัวเขายังร้องไห้ไม่หยุด ผมจำได้ว่าตอนนั้นคุกเข่ากอดเอวเขาจากด้านหลัง และเขาก็หันมาเป็นจังหวะเดียวกับที่น้ำตานั้นหยดลงบนหน้าผมพอดี จะว่ามันเป็นการถ่ายทอดอารมณ์กันก็ได้ เพราะผมสัมผัสได้เลยว่าความเจ็บปวดของเขาจากการบอกเลิกผมครั้งนี้มันมากมายขนาดไหน...”
“.....”
“...เขาหันมาแล้วบอกผมว่า...‘ไปอยู่กับผู้หญิงคนนั้นซะ ไปดูแลลูกของคุณกับผู้หญิงคนนั้นให้ดี’...พอพูดได้แค่นั้นเขาก็แกะมือผมแล้วเดินออกไป...”
“คุณ...”
อเลาดิเรียกอีกฝ่ายอย่างตกใจ ดวงตาสีฟ้าสวยเบิกกว้างเมื่อฟังมาถึงตรงนี้ มือที่กุมมืออีกฝ่ายอยู่บีบแน่นขึ้นอย่างลืมตัว งั้นก็หมายความว่าผู้ชายคนนี้...
“ตกใจใช่ไหม...ผมเองก็ตกใจที่เขาพูดแบบนี้”
ดันเต้ถามด้วยรอยยิ้มขมขื่นก่อนจะมองหน้าอีกคนที่บีบมือเขาแน่นเหมือนไม่รู้สึกตัว แล้วถามออกมาเสียงแผ่วเบาราวกับหาเสียงตัวเองไม่เจอว่า...
“คุณทำผู้หญิงท้องแล้วไม่รับผิดชอบหรอ”
............................................................................
Writer talk : อะไรนะ!!! เฮียดันเต้ เฮียทำผู้หญิงท้องแล้วไม่รับผิดชอบหรอ ทำแบบนี้ได้ยังไงกันนะ มิน่าละเคียว ๆ ถึงได้เกลียดขนาดนั้นนะ เห็นว่าหน้าตาซื่อ ๆ แบบนี้ไม่คิดเลยนะว่าจะเป็นคนอย่างนั้นไปได้นะ
ตัดอารมณ์มาที่ฉากเวลาสองคนนี้อยู่ด้วยกันดีกว่า บรรยากาศมันแลจะดูหวานแปลก ๆ เนาะว่าไหม อเลาจังก็ซึนเบา ๆ ส่วนเฮียดันเต้ก็...ไม่รู้จะพูดยังไงดีแต่น่ารักชะมัดเลย ชอบอะ(เพ้อไปแล้วละ)
ปล.ตอนหน้ามีตัวละครใหม่ด้วยละ ถ้าอยากรู้ว่าเป็นใครก็อย่าลืมติดตามนะคะ
ความคิดเห็น