ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic KHR] D18 Teacher's อาจารย์ที่ (ไม่) รัก

    ลำดับตอนที่ #14 : Chapter 12

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.63K
      12
      16 เม.ย. 56

    Chapter 12

     

     

     

     

     

     

    “ดันเต้”

     

    “เคียวยะ มาได้ยังไงนะ”

     

    ดันเต้ออกอาการงงแบบไม่ปิดบังเมื่อเจอคนที่เขาตามตื้อแทบตายก็ไม่ยอมคุยด้วยมาหากันถึงคอนโดแบบนี้ วันนี้เป็นวันหยุดเขาถึงได้อยู่บ้าน ตอนแรกกะจะออกไปหาเจ้าตัวเขาด้วยแหละ แต่ไม่คิดเลยว่าจะเจอกันแบบนี้

     

    “ผมมาได้ยังไงไม่ต้องสนใจหรอก รู้แค่ว่าผมมีเรื่องจะคุยกับคุณก็พอแล้ว”

     

    “งั้นเข้ามาก่อนสิ”

     

    ฮิบาริเหลือบตามองคนที่ทำท่าทางดีใจที่เห็นเขาเสียเต็มประดาแล้วขยับเปิดทางให้ เจ้าตัวเดินเข้าไปข้างในก่อนจะกวาดตาสำรวจโดยรอบแล้วเดินไปนั่งที่โซฟาตัวยาว

     

    ตั้งแต่วันที่เขาคุยกับแกรนด์เซียวันนั้น เขาก็ไม่ค่อยมีกะจิตกะใจจะทำอะไรเลย มันรู้สึกเจ็บขึ้นมาอีกหลังจากที่คิดว่าทำใจเรื่องนี้ได้แล้ว แต่พอมาเจอผู้หญิงคนนี้และได้ฟังเรื่องนี้อีกมันก็อดรู้สึกไม่ดีขึ้นมาไม่ได้ วันนั้นสุดท้ายแล้วเขาก็พาเธอไปส่งที่บ้าน เพราะเธอมาเที่ยวพักผ่อนที่นี่ บ้านเธอเองก็ดูจะมีฐานะพอสมควร ตอนแรกเขาก็ไม่รู้หรอก แต่พอได้คุยกันเธอก็เล่าอะไรให้เขาฟังเยอะแยะเลย และจากที่สัมผัสมันทำให้เขารู้ว่าที่จริงแล้วเธอเองก็เป็นคนดี เพราะงั้นการที่เธอจะมาโกหกเรื่องนี้กับเขามันแทบจะไม่มีความเป็นไปได้เลย แม้จะรู้สึกขัด ๆ ไปบ้างแต่เขาคิดว่ามันเป็นเพราะเขาอาจจะมีอคติกับเธอนิด ๆ เองแหละ ไม่ได้เป็นเพราะเธอหรอก

     

    “คุณรู้หรือยังว่าแกรนด์เซียมาที่ญี่ปุ่น”

     

    “เอ๊ะ???”

     

    “ไม่รู้สินะ”

     

    ดันเต้มองคนหน้าสวยที่เบือนไปทางอื่นอย่างเจ็บปวด ก่อนที่ตัวเขาจะก้มหน้าลงเพราะไม่รู้จะพูดยังไง พอชื่อผู้หญิงคนนี้ออกมาจากปากของคนรักเก่าแบบนี้แล้วมันเจ็บมากจริง ๆ นะ

     

    “ไม่คิดที่จะไปดูเธฮหน่อยหรอ”

     

    “ฉันไม่มีอะไรต้องคุยกับผู้หญิงคนนั้น ขอโทษนะเคียวยะ แต่เรื่องนี้...”

     

    “คุณมันไม่มีความรับผิดชอบ เพราะแบบนี้ผมถึงได้เกลียด”

     

    คนร่างบางพูดสวนขึ้นมาอย่างโกรธ ๆ เขาไม่คิดว่าดันเต้จะเป็นคนแบบนี้เลย ทั้งที่แต่ก่อนเคยเป็นคนดีมากแท้ ๆ หรือว่าเขาจะดูผิดไปที่คนหน้าตาซื่อ ๆ ใจดี และอ่อนโยนแบบนี้จะกลายเป็นคนเลือดเย็นไปได้

     

    “ช่วยฟังฉันหน่อยได้ไหมเคียวยะ กับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด”

     

    “ผมไม่ฟัง มันก็เห็น ๆ กันอยู่แล้วยังจะให้ผมฟังอะไรอีก”

     

    “ฟังเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด เคียวยะไม่ยอมฟังฉันเลยกับเรื่องที่เกิดขึ้น แล้วก็กล่าวโทษว่ามันเป็นความผิดของฉัน จริง ๆ เธอน่าจะรู้ดีที่สุดไม่ใช่หรอว่าฉันเป็นคนยังไง”

     

    ดันเต้พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงและแววตาตัดพ้อ เมื่อเห็นว่าอีกคนไม่ได้พูดอะไรเลยเอื้อมมือไปจับ แต่เพียงแค่แตะกันอีกฝ่ายก็สะบัดมือเขาออกแล้วลุกขึ้นยืนทันที

     

    “คุณเองก็น่าจะรู้เหมือนกันว่าผมเป็นคนมีเหตุผลพอ ถ้าเอาเหตุผลมาคุยกับผม ผมก็จะรับฟังและยกโทษให้ก็ได้ แต่มันต้องไม่ใช่ข้ออ้างและคำแก้ตัว”

     

    “ฉันไม่ได้แก้ตัวและไม่ได้อ้างอะไรทั้งนั้น แต่สิ่งที่ฉันจะบอกมันคือความจริง..เคียวยะ ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครฉันยังไม่รู้เลย แล้วจะไปทำเธอท้องได้ยังไง”

     

    “ผมไม่เชื่อ”

     

    “เคียวยะ”

     

    “ผู้หญิงคนนั้นรู้จักคุณดีมากกว่าผมอีกรู้ไหม เธอรู้เกี่ยวกับตัวคุณทุกอย่าง แล้วยังจะบอกว่าไม่รู้จักกันอีกงั้นหรอ...คุณน่าจะรู้ว่าผมเกลียดคนโกหกมาก แล้วทำไมถึงยังโกหกผม แค่สารภาพออกมามันยากเย็นนักหรือไง!!!

     

    คนหน้าสวยตวาดขึ้นมาก่อนตั้งท่าจะเดินออกจากห้อง แต่ก็ติดที่มือแกร่งเอื้อมมาคว้าข้อมือเขาไว้ได้ซะก่อน เจ้าตัวหันไปเผชิญหน้าด้วยแววตาแข็งกร้าวจนคนร่างสูงชะงักไป

     

    “แล้วกับการที่เคียวยะจะเชื่อใจฉันนะ มันยากเย็นนักหรือไง”

     

    “มันจะไม่ยากเย็นอะไรเลยดันเต้ถ้าคุณยอมรับออกมา”

     

    “สรุปคือเคียวยะต้องการให้ฉันเป็นคนผิดใช่ไหม”

     

    ดวงตาสีส้มแดงจ้องสบกับดวงตาสีดำที่ยังคงแฝงไว้ด้วยอารมณ์โกรธ แต่เขาก็เห็นว่ามันไหวระริกและวาวขึ้นมาเรื่อย ๆ เพราะเริ่มมีหยาดน้ำมาเกาะรวมกัน และอีกไม่นานคงกลายเป็นน้ำตาที่หยดลงอาบแก้มของคนที่เขารัก

     

    มือแกร่งยกขึ้นลูบไล้ใบหน้าของคนร่างเล็กที่เบือนสายตาไปทางอื่นอย่างแผ่วเบาโดยที่เจ้าตัวเองก็ยืนเฉย ๆ ปล่อยให้เขาสัมผัสก่อนที่น้ำตาสีใสจะไหลอาบแก้มทั้งสองข้างช้า ๆ

     

    “ผมต้องการให้คุณรับผิดชอบเธอ”

     

    น้ำเสียงมั่นคงกล่าวออกมา ก่อนที่ดวงตาสีรัตติกาลจะเงยขึ้นสบด้วยแววปวดร้าว น้ำตายังคงไหลลงมาอย่างไม่ขาดสาย และที่ร้องไห้ก็เป็นเพราะพอคิดไปถึงเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้น ช่วงเวลาที่เคยอยู่ด้วยกันมันก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา เสียใจที่ช่วงเวลาเหล่านั้นมันช่างสั้นเหลือเกิน เขายอมรับเลยว่าตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันกับดันเต้เขามีความสุขมาก อาจจะมีเขาที่ง๊องแง๊งไปบ้างแต่ดันเต้ก็ตามใจเขาตลอด เวลาเห็นเขาอารมณ์เสียก็จะยอมตามน้ำไปกับเขาเสมอ ไม่เคยขัดใจกันเลย

     

    เขารู้ รู้ว่าตัวเองก็ยังคงโหยหาคน ๆ นี้ แม้จะไม่ได้คบกันลึกซึ้งทางร่างกายอย่างคู่อื่น ๆ แต่ทางด้านจิตใจกับผูกพันกันมาก ถ้าให้พูดตรง ๆ คือแม้แต่จูบดันเต้ก็ยังไม่เคยจูบเขา เจ้าตัวบอกว่าจะขอเก็บรักษาตัวเขาไว้ก่อน เพราะรักมาก ถึงอยากให้ได้เวลาที่สมควรแล้วค่อยมีเรื่องแบบนั้น อย่างมากที่สุดที่ดันเต้เคยทำก็คือกอดกันหรือหอมแก้มกันก็แค่นั้นเอง และเพราะอย่างนั้น ดีโน่ถึงเป็นคนที่ได้จูบแรกของเขาไป

     

    “ไม่แน่นะ ถ้าคุณทำอย่างนั้น...ผมอาจจะยอมยกโทษให้คุณก็ได้”

     

    เจ้าตัวพูดจบก็ผละตัวออกมาแล้วตั้งท่าจะเดินออกไป เป็นจังหวะเดียวกับที่คน ๆ หนึ่งเปิดประตูเข้ามาพอดี

     

    “ดันเต้ฉันซื้อไวน์ตัวใหม่มาฝากพี่ด้วยละ...”

     

    เสียงพูดขาดหายไปเมื่อดวงตาสีอำพันเงยขึ้นมองตรงหน้า เป็นเพราะก่อนเข้ามาเขาพูดทั้งที่ไม่ได้มองเพราะต้องเปิดปิดประตู แต่พอเห็นแค่นั้นแหละ ของทุกอย่างที่ถือมาก็ตกลงพื้นก่อนที่เจ้าตัวจะถลาเข้าไปคว้าคนตัวเล็กออกห่างจากพี่ชายทันที

     

    “นี่มันเกิดอะไรขึ้น”

     

    “ปล่อย”

     

    คนโดนจับแยกยกมือขึ้นผลักอกคนหัวทองออกแต่สู้แรงไม่ได้จึงได้แต่ฮึดฮัดอย่างไม่พอใจแต่ดีโน่ก็ไม่ได้สน ตอนนี้เขาต้องการคำตอบจากปากของพี่ชายมากกกว่า

     

    “เคลียร์กันนะ แต่ยังไม่เข้าใจกัน”

     

    “เคลียร์อะไร ทำไมเคียวยะถึงร้องไห้”

     

    “บอกให้ปล่อยไงเล่า”

     

    เสียงโวยวายของคนร่างเล็กทำให้ดีโน่ต้องก้มหน้ามองดุ ๆ แต่มีหรือที่คนโดนดุจะกลัว เจ้าตัวกลับจ้องตอบอย่างเผ็ดร้อนแถมยังไม่ยอมลงให้อีกด้วย ดวงตาสีอำพันและสีรัตติกาลจ้องกันอย่างดุเดือดก่อนที่ดีโน่จะกระชากแขนคนตัวเล็กให้เดินตามออกจากห้อง

     

    “โอ้ยปล่อยนะ อย่ามาทำตัวแย่ ๆ แบบนี้ใส่ผม”

     

    “ดีโน่ นายจะพาเคียวยะไปไหนนะ”

     

    “ฉันเองก็มีเรื่องต้องเคลียร์กับหมอนี่เหมือนกัน พี่ไม่ต้องรอกินข้าวนะ”

     

    พูดจบก็จัดการอุ้มคนร่างบางขึ้นพาดบ่าทันทีเพราะเจ้าตัวแรงเยอะเหลือเกิน แถมยังพยศซะเกินรับด้วย ขืนปล่อยให้ดิ้นไปแบบนี้ตลอดทางมีหวังเขาคงได้หมดแรงก่อนลากอีกฝ่ายไปขึ้นรถแน่ ๆ

     

     

     

     

    “นั่งเฉย ๆ ไม่ได้หรือไง!!!

     

    ดีโน่ตวาดขึ้นมาอย่างหัวเสีย เป็นแบบนี้มาตั้งสิบกว่ารอบแล้วนะที่ตั้งท่าจะกระโดดลงจากรถทั้ง ๆ ที่มันยังวิ่งอยู่แบบนี้ ตอนแรกพอเห็นเขาก็ต้องรีบคว้ามือเจ้าตัวไว้ข้างหนึ่งส่วนอีกข้างหนึ่งก็ใช้บังคับพวงมาลัยซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ได้อยู่เฉย ๆ ให้เขาจับที่ไหนแต่ดันดิ้นไปดิ้นมาซะนี่แล้วพอเหนื่อยก็นิ่งไปเอง แต่พอเขาปล่อยมือเพื่อที่จะมาเปลี่ยนเกียร์เจ้าตัวก็ตั้งท่าจะเปิดประตูกระโดดลงไปอีกเดือดร้อนให้เขาต้องรีบคว้ามือไว้อีก แล้วมันก็เป็นเหตุการณ์ที่วนเวียนอยู่อย่างนี้จนเขาชักจะโมโหขึ้นมาซะแล้ว

     

    “ไม่ได้!!! จะลง!!!

     

    ฮิบาริตะคอกขึ้นมาบ้าง เรื่องอะไรจะโดนตวาดอยู่ฝ่ายเดียวละ เขาเองก็ว้ากเป็นนะ ว้ากมาก็ต้องว้ากกลับ แถมกับเจ้าอาจารย์หัวทองนี่ก็ยังมีคดีเก่ากันอยู่ด้วย แล้ววันนี้ยังจะมาบังคับพาขึ้นรถออกมาแบบนี้อีกเขาไม่ยกโทษให้แน่

     

    “โว้ย!!!!

     

    คนผมทองสบถออกมาอย่างอารมณ์เสียก่อนจะจอดรถเข้าข้างทางเมื่อทนไม่ไหว โชคดีที่ถนนเส้นนี้ไม่ค่อยมีรถสัญจร คือจริง ๆ ตั้งแต่ขับมาเขาก็ยังไม่เห็นรถสักคันเลยด้วยละถึงได้เข้าจอดแบบกะทันหันแบบนี้ได้ ซึ่งพอรถจอดปุ๊บคนที่นั่งข้าง ๆ ก็กระโดดลงปั๊บ เห็นแบบนี้ดีโน่เลยรีบลงจากรถแล้ววิ่งไปตะครุบตัวอีกฝ่ายไว้เพื่อกันไม่ให้หนี

     

    “ปล่อยนะ บอกให้ปล่อยไง”

     

    “ไม่ปล่อย เธอจะอยู่นิ่ง ๆ ไม่เป็นเลยหรือไง จะดิ้นทำไมนัก”

     

    “ไม่อยากให้ดิ้นก็ปล่อยสิ ผมจะกลับบ้าน ปล่อยน้า!!!

     

    “ปัดโธ่เว้ย บอกให้อยู่เฉย ๆ ไง!!!

     

    “ก็บอกว่าให้ปล่อยไงเล่า ฟังภาษาคนไม่เข้าใจหรืองะ...อุ๊บ”

     

    เสียงตะโกนถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอเมื่ออีกฝ่ายประกบริมฝีปากลงมา ลิ้นร้อนสอดเข้าไปในโพรงปากเล็กในจังหวะที่อีกฝ่ายกำลังตกใจ มือแกร่งยกขึ้นบีบคางเรียวไว้เมื่อเจ้าตัวมีท่าทีจะขัดขืน

     

    “หยุด..นะ แฮ่ก อือ”

     

    คนหน้าสวยสะบัดหน้าหลุดมาได้แค่แป๊บเดียวก่อนจะถูกครอบครองริมฝีปากไว้อีกครั้ง มือทั้งสองข้างยกขึ้นดันหน้าอกอีกฝ่ายให้ถอยออกแต่นอกจากจะไม่เป็นผลแล้วยังทำให้ถูกแขนที่โอบเอวอยู่รั้งตัวให้เข้าไปใกล้ยิ่งขึ้น ริมฝีปากเผยอออกเพื่อรับอากาศเข้าปอดเมื่ออีกฝ่ายผละออกไปแต่ก็แค่นิดเดียวแล้วสอดลิ้นเข้ามาในจังหวะนั้น ลิ้นร้อนกวาดเลียไปทั่วโพรงปากแถมยังเกี่ยวกระหวัดหยอกล้อกับลิ้นของเขาด้วยทำเอาความรู้สึกสับสนตีปนกันยุ่งไปหมด

     

    “แฮ่ก ๆ อือ...พอ อือ”

     

    เจ้าตัวสะบัดหน้าไปมาเมื่อดีโน่ยังคงตามมาปล้ำจูบเขาไม่เลิก จูบกันจนริมฝีปากบางช้ำจนแดงแถมยังบวมขึ้นมาอีกนิดให้มองดูเซ็กซี่กว่าเดิม

     

    “อุ๊บ...อือ”

     

    เสียงครางในลำคอของคนร่างเล็กที่ดังขึ้นยิ่งทำให้ดีโน่หยุดตัวเองไม่ได้ เขายังคงวนเวียน นัวเนียอยู่กับริมฝีปากสีหวานที่ตอนนี้ดูเซ็กซี่ขึ้นเป็นกอง ก่อนจะพรมจูบไปทั่วใบหน้าหวานที่ตอนนี้คนเป็นเจ้าของกำลังหอบอย่างเอาเป็นเอาตายจนไม่มีเวลามาปัดป้องเขา

     

    “ปล่อย...นะ”

     

    เสียงเบาหวิวดังลอดริมฝีปากคนร่างบางออกมาเมื่อเจ้าตัวเริ่มหายใจได้สะดวกขึ้น ดวงตาสีดำสนิทเงยขึ้นสบกับอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ ที่จริงคงได้มีซัดกันสักยกท่าไม่ติดว่าตอนนี้แข้งขาอ่อนแรงจนแทบไม่มีแรงยืน นี่ยังดีที่อีกคนยังรั้งเอวเขาไว้อยู่ ไม่อย่างนั้นคงได้ล้มก้นจ้ำเบ้าไปแล้วแน่ ๆ ทำไมแค่โดนจูบมันถึงหมดแรงได้ขนาดนี้เนี้ย ยังกับโดนสูบวิญญาณออกจากร่างเลย

     

    “โว้ย!!! อย่ามามองอย่างเชิญชวนแบบนี้ได้ไหม ถ้าความอดทนฉันหมดขึ้นมารู้ไหมว่าอะไรมันจะเกิดขึ้น”

     

    ดีโน่ตวาดขึ้นมาอย่างหัวเสียก่อนจะปล่อยอีกคนให้เป็นอิสระ ซึ่งพอเขาปล่อยปุ๊บ เจ้าตัวก็ล้มแพละ ทำเอาเขาต้องขยี้หัวตัวเองอย่างหงุดหงิดแล้วช่วยพยุงขึ้นมา เจ้าตัวเขาจะรู้ไหมนะว่าตอนนี้กำลังทำสีหน้ายั่วยวนขนาดไหน ไอ้นัยต์ตาฉ่ำ ๆ ที่เงยสบขึ้นมาถึงเขาจะรู้ว่าคงจะแสดงความไม่พอใจใส่แต่รู้ไหมว่ามันปรือปรอยขนาดไหน ไหนจะเสียงพูดที่ออกมาอีก แล้วยังไอ้อาการหอบน้อย ๆ นั้นด้วย เจอแบบนี้เข้าไปใครไม่มีอารมณ์ก็โคตรเทพเลยละ(หยาบคายไปนิดขอโทษนะคะ)

     

    “ใครเขาไปมองอย่างเชิญชวนกันเล่า”

     

    เจ้าตัวพูดเสียงแข็งก่อนจะสะบัดตัวให้หลุดออกมายืนประจันหน้ากับอีกฝ่าย นี่มันเป็นครั้งที่สามแล้วนะที่อยู่ ๆ ก็โดนจูบแบบนี้ คดีเก่ายังไม่เคลียร์ คดีที่ลากเขามาแบบนี้ก็ยังไม่ได้สะสาง แล้วยังจะมาเพิ่มคดีใหม่ให้ตัวเองอีก วันนี้ถ้าไม่ได้ซัดกันสักยกละก็เขาไม่ยอมแน่

     

    “ฮึ้ย!!! ทำไมเธอถึงไม่พูดกับฉัน”

     

    “อะไร แล้วนี่ไม่ได้พูดกันอยู่หรือไง”

     

    “อย่ามากวน ฉันหมายถึงตอนอยู่โรงเรียน”

     

    ดีโน่ตีเสียงขรึมถาม แต่ขอโทษคนโดนขรึมใส่ยิ่งอารมณ์แรงขึ้นกว่าเดิมเมื่อโดนถามแบบนี้ เจ้าตัวกำลังคิดในใจว่าใครกันแน่ที่ไม่ยอมพูดยอมอธิบาย มาทำแบบนั้นทิ้งไว้แล้วหายหัวไปเลย

     

    “ใครกันแน่ที่ไม่พูด อยู่ ๆ อาจารย์ก็มาทำแบบนั้นกับผมแล้วก็หายไปไม่ทักไม่พูดไม่อธิบายอะไรให้ผมฟังเลย”

     

    “ฉันจะส่งสัญญาณให้เธอตามมาคุยกันหลายครั้งแล้ว แต่พอมองไปเธอก็สะบัดหน้าหนี”

     

    “จะโทษว่าเป็นความผิดผมงั้นหรอ รู้ไหมว่าผมจ้องอาจารย์อยู่ตั้งนานแต่อาจารย์ก็เมินผมตลอด ผมก็เลยหันไปทางอื่น จะไปรู้ได้ยังไงว่าอยู่ ๆ จะหันมาส่งสัญญาณให้”

     

    เจ้าตัวพูดพร้อมสะบัดหน้าไปทางอื่นอย่างเชิด ๆ ดีโน่เกาหัวอย่างไม่รู้จะพูดยังไง สรุปว่าที่ไม่ได้คุยกันเพราะมองกันคนละทางแถมเวลามองยังไม่ตรงกันซะงั้น

     

    “งั้นก็มาคุยกันให้รู้เรื่อง”

     

    “จะให้คุยอะไร ผมไม่มีอะไรจะคุย”

     

    “ตามมาคุยกันในรถ”

     

    “ไม่ตาม จะกลับบ้าน”

     

    ดวงตาสองคู่จ้องกันนิ่งก่อนที่ดีโน่จะกระชากแขนคนร่างเล็กโดยที่คนโดนยังไม่ทันตั้งตัวแล้วโยนลงเบาะหลังก่อนจะตามมาคร่อมทับไว้โดยที่ตัวยังยืนอยู่นอกรถแต่แขนสองข้างท้าวไว้ข้างลำตัวคนร่างบางเพื่อปิดทางหนี

     

    “ปล่อยนะ บอกว่าผมจะกลับบ้านไง”

     

    “ฉันไม่ให้กลับ ถ้ายังพูดกันไม่รู้เรื่องก็ไม่ต้องกลับ”

     

    “อย่ามาบังคับผมนะ”

     

    “ฉันจะบังคับ เพราะงั้นก็นอนลงไปแล้วตั้งใจฟัง”

     

    “เรื่องอะไรผมจะต้องฟังด้วยเล่า”

     

    เจ้าตัวโวยวายก่อนจะพยายามลุกขึ้นแต่ก็ลุกไม่ได้เมื่อดีโน่โถมตัวทับลงมา มือแกร่งสอดเข้าโอบไหล่บางแล้วดึงให้ลอยขึ้นจากนั้นจับมือสองข้างไพล่ไว้ข้างหลังโดยใช้มือข้างหนึ่งล็อกไว้ด้วยกันแล้วผลักให้คนตัวเล็กนอนลงไปอีกครั้งโดยที่ตัวเองก็ใช้น้ำหนักตัวทับไว้

     

    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทำเอาฮิบาริได้แต่อ้าปากคาง เขาไม่เคยถูกพันธนาการโดยที่ตามการกระทำเหล่านั้นไม่ทันเลยมาก่อน แต่ตั้งแต่รู้จักคน ๆ นี้มาเขาโดนทำแบบนี้มากี่ครั้งแล้วนะ

     

    “ทีนี้จะอยู่เฉย ๆ แล้วฟังได้หรือยัง”

     

    “มะ ไม่ฟัง”

     

    ทั้งที่ตอนนี้กลัวแทบตายแต่จะให้แสดงความอ่อนแอให้คนอื่นเห็นมันไม่ใช่เรื่องที่ฮิบาริจะทำ เจ้าตัวทำใจดีสู้เสือตอบออกไปแม้เสียงจะฟังดูสั่น ๆ ก็ตาม

     

    “กล้ามากนะ ที่ยังคงดื้อไม่หยุดแบบนี้”

     

    ดีโน่พูดด้วยเสียงเย็นเหยียบจนคนฟังถึงกับสะท้านไปทั้งกาย และยิ่งสั่นอย่างช่วยไม่ได้เมื่ออีกฝ่ายก้มหน้าลงมากระซิบที่ข้างหูพร้อมทั้งเป่าลมใส่

     

    “สงสัย ฉันคงต้องลงโทษซะหน่อยแล้ว”

     

     

     

     

    ....................................................................................



     

    Writer talk : สวัสดีคะทุกคน สวัสดีวันปีใหม่ไทยนะคะ(รู้สึกจะเลยมาแล้วละ) เป็นไงบ้างเอ่ยกับวันสงกรานต์ ไปเที่ยวกันมาสนุกไหมเอ่ย จะบอกว่าไรท์เตอร์ไม่ได้ไปไหนเลยอะ อยู่บ้านตลอดศกเลย สีผิวก็เลยเหมือนเดิม ไม่เหมือนน้องชายไรท์เตอร์ ไอ้หมอนั้นมันดำปิ๊ดปี๊เลย ฮ่า ๆ ๆ สมน้ำหน้ามัน(รู้สึกว่าจะเริ่มเผยธาตุแท้ออกมาเรื่อย ๆ)
     

    เรามาคุยกันเรื่องฟิคนี้กันบ้างดีกว่า ไรท์เตอร์จะบอกว่า ตอนหน้ามัน NC นะเอ่อ...เหมือนเดิมนะคะ ใครอยากอ่านฉากนั้นก็มาทิ้งเมลล์ไว้ได้เลยนะคะ เอิ่ม...จะบอกว่า ไรท์เตอร์กำลังคิดว่าจะเอาฉาก NC ไปไว้ในเว็บอื่นดีไหมนะ แล้วทำลิงค์ไว้ให้ทุกคนจะได้ไม่ต้องเสียเวลารอเมลล์ของไรท์เตอร์ด้วย แต่ว่าตอนนี้ยังไม่รู้จะไปลงที่ไหน เอาเป็นว่าก็ทนรอเมลล์ของไรท์เตอร์ไปก่อนแล้วกันเนาะคะ ^^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×