ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    {Attack On Titan Fic:Levi x Eren } My sweet puppy

    ลำดับตอนที่ #14 : บทที่สิบสี่ เรื่องบังเอิญ

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.01K
      14
      23 ก.พ. 57

    บทที่สิบสี่ เรื่องบังเอิญ

     

    กว่าจะรู้ตัวว่าเป็นเวลาหกโมงเย็นแล้วก็ต่อเมื่อเจ้าออลโอมันบ่นว่าเหนื่อยและก็หิวนั่นแหละ มิเกะก้มมองนาฬิกาข้อมือก่อนจะบอกเลิกการซ้อมในเมื่อมีนัดกับเจ้าเพื่อนซี้ที่ร้านคุณนายแม่อยู่นี่นา

    “พวกแกอาบน้ำเสร็จแล้วรีบตามไปล่ะ ฉันล่วงหน้าไปก่อน” ตะโกนบอกเจ้าพวกที่อยู่ในห้องอาบน้ำแล้วสะพายเป้เดินออกจากห้องชมรมคนเดียว

    “เฮีย สั่งชาเขียวนมสดไว้ให้หน่อยดิ” เสียงออลโอแว่วตอบมา มิเกะยกเท้าถีบประตูห้องน้ำดังโครมแล้วตะโกนตอบเสียงดัง

    “โผล่หัวไปสั่งเองสิวะ” เดินจากมาโดยไม่ฟังเสียงบ่นงึมงำจากคนที่อยู่ในห้องอาบน้ำ เมื่อเดินพ้นประตูโรงเรียนสิ่งแรกที่เขาสัมผัสได้ก็คือกลิ่นหอมอ่อนๆอบอุ่นอย่างหนุ่มเจ้าสำอางค์ของน้ำหอมยี่ห้อเบอร์เบอรีบริท กลิ่นที่ครั้งหนึ่งเคยสัมผัสแล้วจะไม่มีวันลืม

    “ยังอยู่อีกเหรอ....” เอ่ยถามคนที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมตั้งแต่เมื่อสองชั่วโมงก่อนขำๆ นึกไม่ถึงว่าเจ้าหมอนี่มันเอาจริงแฮะ

    “ก็คุณบอกเองว่าให้เคลียร์กันหลังจากเสร็จธุระ ผมก็เลยรอ” เจ้าหนุ่มนั่นหยิบแว่นสายตาขึ้นสวมขณะที่ตอบมาด้วยมาดนิ่งๆ กะลุยเดี่ยวด้วยสินะใจเด็ดใช้ได้นี่

    “งั้นก็ตามมา”

    ไม่ได้มีท่าทีอิดออดหรือหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ชายผู้นั้นเดินตามมิเกะไปเงียบๆ ขึ้นรถประจำทางไปสองสายเดินอีกประมาณสิบนาทีก็มาถึงร้านเบเกอร์รีเล็กๆที่ตกแต่งอย่างน่าเอ็นดู เสียงพูดคุยข้างในดังลอดออกมาเบาๆ ปกติคนก็เยอะอยู่แล้ว ยิ่งวันนี้ลูกชายเจ้าของร้านมาเอง ร้านเล็กๆแห่งนี้คนก็เลยยิ่งแน่นกันไปใหญ่ มิเกะเหลือบมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหลังเงียบๆ เพิ่งจะเห็นสีหน้าฉงนสงสัยของเขาก็ตอนนี้เอง

    “เข้ามาสิ” เปิดประตูให้อีกฝ่ายเดินนำเข้าไปก่อนอย่างใจดี ทันทีที่เดินเข้าไปในร้านก็มีเด็กหนุ่มร่างสูงหน้าตาน่าเอ็นดูวิ่งเข้ามารับทันที

    “สวัสดีครับ กี่ที่ดีครับ” ยังไม่ทันได้ตอบอะไรคนที่นำทางมาถึงนี่ก็เป็นฝ่ายตอบขึ้นก่อน

    “แขกพี่น่ะเอเลน หาโต๊ะให้ทีนะ”

    “อ๋อ....ได้ครับ สองที่นะครับ” เอเลนเดินนำชายหนุ่มทั้งสองไปยังโต๊ะด้านหลัง ดูเหมือนว่าผู้ชายร่างสูงใหญ่บึกบึนสองคนที่เดินเข้ามาในร้านเบเกอร์รีจะเรียกรอยยิ้มเล็กๆจากเหล่าหญิงสาวได้ไม่น้อย สำหรับมิเกะถือว่าเป็นเรื่องปกติไปแล้ว แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ที่เจ้าหนุ่มผมทองนี่มันดูชิลเสียเหลือเกิน ถ้าเป็นคนอื่นเจอแบบนี้เข้าคงแผ่นแน่บออกจากร้านไปแล้ว เอเลนยื่นเมนูส่งให้ชายหนุ่มผมทองคนนั้นในขณะที่มิเกะเอ่ยขึ้น

    “พี่เอาเหมือนเดิมนะ”

    “ครับ....งั้นอีกห้านาทีผมจะมารับออเดอร์นะครับ” เอเลนบอกในขณะที่ชายหนุ่มผมทองส่ายหน้า

    “พี่เอาแบบเดียวกันกับเขาแล้วกันครับ” เห็นได้ชัดว่าพี่ชายท่านนี้คงจะไม่มีอารมณ์อยากจะกินอะไรเท่าไหร่นักถึงได้สั่งแบบส่งๆไปแต่ก็ยังอุตส่าห์คงความสุภาพไว้ทุกกระเบียดนิ้ว เอเลนรับออเดอร์แล้วหลบฉากออกมาปล่อยให้สองหนุ่มทำสงครามสายตากันอยู่เงียบๆ

    “เอเลน มิเกะมันมากับใคร” และคำถามแรกที่ได้รับก็มาจากนานาบะนั่นเอง

    “ไม่รู้สิครับ ผมไม่ได้ถาม” เอเลนยิ้มตอบซื่อๆ

    “ชุดฟอร์มนั่น มันเด็กอินเตอร์ไฮนี่หว่า โคตรหล่อ แลดูไฮโซชะมัด มิเกะมันไปรู้จักได้ไงเนี่ย”

    “อยากรู้เธอก็ไปถามมันสิ” นานาบะลุกขึ้นตั้งท่าจะเดินเข้าไปถามอย่างที่รีไวแนะนำจริงๆเป็นจังหวะเดียวกับที่ ออลโอ กุนเธอร์และเอิร์ดเข้ามาถึงพอดี

    “กลับมาแล้วครับ!!!” ออลโอแหกปากดังมาก่อนใครเพื่อนขณะที่คุณนายแม่เองก็กล่าวทักทาย นานาบะรีบปราดไปจิกคอคนที่เพิ่งมาถึงพอดี

    “แกบอกมาสิ ผู้ชายคนนั้นมันเป็นใคร!!!

    “เหยด!!!!” ออลโอถึงกับตาโต

    “นั่นมันคนที่เราเพิ่งจะมีเรื่องด้วยนี่หว่า” คำว่ามีเรื่องดันไปลอยเข้าหูหัวหน้าผู้เย็นชาพอดี นัยน์ตาคมเข้มตวัดมองคนในสังกัดที่ดูจะหน้าซีดลง ซีดลงเรื่อยๆแล้วเอ่ยเสียงเข้ม

    “โฮ่ย!!! พวกแก คายออกมาให้หมด”

     

    หลังจากที่ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากของออลโอแล้ว นานาบะที่สุมหัวอยู่กับกลุ่มเพื่อนก็เอ่ยขึ้น

    “สองคนนั้นมันดูไม่เหมือนคนจะมาตีกันเลยนี่หว่า”

    “มันก็บอกอยู่ว่ามาเคลียร์กัน แต่ถ้าพวกมันมาอาละวาดในร้านฉัน ฉันไม่เลี้ยงมันไว้ทั้งคู่แน่” รีไวบอกขณะที่จับตามองสองคนนั้นเงียบๆ

    “เอ่อ....จะเป็นอะไรมั้ยครับพี่ถ้าผมจะยกกาแฟไปเสิร์ฟตอนนี้”

    “เอเลนไปเถอะ ไม่มีอะไรหรอก”

    ถึงพี่รีไวจะบอกว่าไม่มีอะไร แต่ผมก็รู้สึกกังวลจริงๆนะ ในเมื่อสองคนนั้นดูซีเรียสกันจริง

    “คาราเมลมัคคิอาโต้สองที่ได้แล้วครับ”

    “ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มผมทองคนนั้นกล่าวขณะที่รับแก้วกาแฟไปดูดเบาๆ

    “อร่อยนะครับ”

    “ขอบคุณมากครับ ถ้าต้องการอะไรเพิ่มเติมเรียกได้นะครับ”

    รอจนกระทั่งเอเลนเดินห่างออกไปแล้วถึงได้เอ่ยสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจออกไปตรงๆ

    “พาผมมาที่นี่ทำไม ไหนบอกว่าจะเคลียร์กัน”

    “ก็กำลังเคลียร์อยู่นี่ไง ถือว่าไถ่โทษแทนคนของฉันที่เสียมารยาทกับพวกนาย” มิเกะกล่าวกับอีกฝ่ายเรียบๆขณะที่หนุ่มผมทองก็พยักหน้ารับ

    “เรื่องทั้งหมดมันเป็นเพราะความสะเพร่าของทางผมเองมากกว่า”

    “งั้นก็ถือว่าเจ๊ากัน.....มิเกะ ซาคาเรียส”

    “เอลวิน สมิธ” แนะนำตัวกันอย่างเป็นทางการพร้อมจับมือกันเสร็จสรรพ

    “เฮ้ย พวกแก อย่ามัวสุมหัวกันอยู่ตรงนั้น รู้หรอกน่าว่าอยากรู้จัก มาทางนี้สิ เพื่อนฉันเอง สามคนนั้นนายเคยเห็นแล้ว ออลโอ กุนเธอร์ เอิร์ด ยัยทอมถึกนี่นานาบะ ไอ้เด็กม้านั่นแจน ไอ้เตี้ยหน้ามึนนั่นรีไว ไอ้หนูเด็กเสิร์ฟนั่นแฟนมันเอเลน” คำว่าแฟนที่ได้ยินทำให้สาวๆในร้านหูผึ่งกันเป็นแถว

    “ใครบอกว่าเป็นแฟน” ถ้อยคำตัดรอนเรียบๆทำให้เกิดความเงียบอึดอัดชั่วขณะ

    “เอเลนเป็นคนรักของฉันต่างหาก”ว่าพลางโอบเอวบางของเด็กหนุ่มลงมานั่งตักหน้าตาเฉย ไม่ได้มีท่าทีเคอะเขินใดๆเลยแม้แต่น้อย

    “พี่ครับ ปล่อยสิครับ ผมต้องไปเสิร์ฟกาแฟนะครับ” เอเลนบอกเสียงเบาพยายามขืนตัวออกแต่กลับถูกกอดไว้แน่นกว่าเดิม

    “คุณนาย ใช้งานว่าที่ลูกสะใภ้หนักไปแล้วนะ” พี่รีไวหันไปตะโกนใส่คุณแม่ที่กำลังทำออเดอร์ตามสั่งอยู่ เธอปิดปากหัวเราะโฮะๆเสียงเบาแล้วตะโกนตอบมา

    “เป็นลูกสะใภ้บ้านนี้ต้องทำได้ทุกอย่างนะจ๊ะ นอกจากเอเลนน่ะแม่ไม่ปลื้ม” ทั้งแม่ทั้งลูกเปิดตัวกันออกขนาดนั้น เป็นอันว่าสาวๆในร้านได้เลิกจิ้นกันสักที หลังจากนี้ก็คอยตามฟินคู่นี้กันอย่างเดียวล่ะ

    เอลวินมองสองหนุ่มต่างวัยที่แอบกุ๊กกิ๊กกันเล็กน้อยแล้วเงียบสนิท

    “ก็อย่างที่ฉันบอก ไอ้เตี้ยมันหน้ามึนไม่รู้จักอาย ไหนๆรู้จักกันแล้วนายก็ทำใจเถอะ หลังจากนี้คงมีภาพแสลงตาให้ได้เห็นอีกเยอะ” เอลวินพยักหน้ารับขณะที่ก้มดูดกาแฟในแก้วไปพลาง

    “เด็กๆ ไหนๆก็ลูกชายแม่กันทั้งนั้น ตามสบายนะจ๊ะ วันนี้สั่งได้เต็มที่ฟรีแน่นอน”

    “คุณนายแม่ขา หนูก็เป็นลูกชายด้วยเหรอคะ” นานาบะยกมือถามแสร้งทำหน้างอ

    “นานาบะเป็นลูกสาวคนสวยก็ได้จ้า ถ้าหนูพอใจ” โดนแซะกลับเบาๆหญิงสาวถึงกับหัวเราะร่วน

    “แหมคุณแม่ล่ะก็!!!” ท่าทางแอ๊บแบ้วที่ไม่ค่อยจะเข้ากับบุคลิกของเธอเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆได้เป็นอย่างดี

    “อย่าทำเลยเจ้ อุจาดตา เรื่องแบ้วๆปล่อยเป็นหน้าที่เอเลนจะเหมาะกว่าน่า”

    “หุบปากเก็บปากแกไว้กินชาเขียวนมสดดีกว่ามั้ยออลโอ หรือถ้าแกเบื่อเคี้ยวข้าวฉันจะช่วยเลาะฟันให้ฟรีๆเอาป่ะวะ”ว่าแล้วก็วิ่งไล่เตะกันรอบร้านให้วุ่นวายกันยกใหญ่

    “หืม....หัวเราะแล้วนี่” มิเกะเอ่ยยิ้มๆขณะที่มองหน้าเอลวินไปด้วย

    “อ่อ....แค่รู้สึกว่าเธอเหมือนเพื่อนผมมาก นิสัยเหมือนกันเด้ะ ถ้ารู้จักกันคงเข้าขากันดีน่ะ”

    “วันหลังก็พามาสิ จะได้สนิทกันไว้” เอลวินก้มหน้าดูดกาแฟตอบเสียงเบาจนคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันแทบจะไม่ได้ยิน

    “คงไม่มีวันหลังอีกแล้วล่ะ”

     

    ใช่แล้ว การพบกันครั้งนี้เป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น และคงไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน......

     

     

    เสียงเคาะประตูเรียกความสนใจจากชายหนุ่มให้ละสายตาจากหนังสือเล่มหนา มือใหญ่หยิบแว่นเลนส์ใสที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมาสวมแล้วลุกไปเปิดประตูห้องให้

    “รบกวนรึเปล่าคะ” เด็กสาวร่างเล็กผมบลอนด์ทองยืนส่งยิ้มให้ชายหนุ่มที่หน้าประตูห้อง มือใหญ่ยกลูบกลุ่มผมนุ่มของเด็กสาวด้วยความเอ็นดู

    “เข้ามาสิคริส”

    “หนูไม่รู้ว่าพี่ชายกำลังอ่านหนังสืออยู่ ขอโทษนะคะ”

    “ไม่เป็นไร พี่ก็อ่านของพี่อยู่เรื่อยๆ”

    “วันนี้พี่ชายกลับค่ำนะคะ มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ”

    “ฮันซี่ ก่อเรื่องนิดหน่อย แต่ไม่มีปัญหาอะไร” เอลวินตอบขณะที่ปิดหนังสือที่กำลังอ่านลงเบาๆ เด็กสาวมองปกหนังสือแว่บหนึ่งก่อนจะเอ่ยถามเสียงแผ่ว

    “พี่ชายยังไม่เลิกคิดที่จะเป็นหมอเหรอคะ คุณแม่ก็บอกเอาไว้แล้วว่า......”

    “พี่ก็แค่อ่านเล่นๆแก้เบื่อไปเท่านั้นแหละคริส พี่ไม่ทำอะไรที่มันขัดใจกับคุณแม่หรอก” เอลวินตอบขณะที่กระชับแว่นสายตาบนปลายจมูก

    “ถ้าหนูโตกว่านี้ คงจะพอช่วยอะไรพี่ชายได้บ้าง”

    “ไม่จำเป็นเลยคริส พี่อยากให้น้องใช้ชีวิตอย่างมีความสุขที่สุด น้องไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้น พี่จัดการทุกอย่างได้”

    เสียงเคาะประตูห้องขัดการสนทนาของสองพี่น้องเมื่อหญิงสาววัยกลางคนรูปร่างผอมเพรียวใบหน้าสวยแลดูคมดุรวบผมสีบลอนด์ทองของเธอเป็นมวยสูงเรียบตึงทุกกระเบียดนิ้วเดินเข้ามาในห้อง

    “คริสต้า ลูกมาทำอะไรที่นี่”

    “หนู....หนูมาคุยกับพี่ชายค่ะ” เด็กสาวตอบด้วยน้ำเสียงตื่นๆ

    “แม่ว่าลูกควรจะอาบน้ำและทำการบ้านให้เสร็จก่อนที่จะถึงเวลาอาหารเย็นนะ ถ้ายังมัวเอ้อระเหยอยู่แบบนี้จนการบ้านไม่เสร็จ เย็นนี้ก็ไม่ต้องกินข้าว”

    “ค่ะ คุณแม่ หนูจะไปเดี๋ยวนี้ค่ะ” คริสต้ารีบออกไปจากห้องในขณะที่ผู้เป็นแม่ส่ายหน้า

    “เด็กคนนั้นชอบทำตัวไร้สาระเหมือนพ่อไม่มีผิด”

    “ผมเรียกน้องมาเองครับ คุณแม่อย่าโทษน้องเลย” เธอถอนหายใจกับคำแก้ตัวแทนน้องสาวของลูกชายคนโปรดก่อนจะปรายตามองเอลวินตั้งแต่หัวจรดเท้า

    “นี่ลูกอาบน้ำแล้วเหรอ”

    “ก็....ครับ คือว่า เหงื่อมันออกเยอะ ผมก็เลย.....”

    “ถอดเสื้อผ้าออก!!!” ผู้เป็นแม่เริ่มชักสีหน้าบึ้งตึงตะคอกเสียงเข้ม

    “ได้ยินมั้ย แม่บอกให้ลูกถอดเสื้อผ้าออกเดี๋ยวนี้!!!

    เอลวินก้มหน้านิ่งขณะที่ค่อยๆปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตนออกจนเหลือแต่ตัวเปล่าเปลือยต่อหน้ามารดา ผู้เป็นแม่เดินเข้าห้องน้ำไปเปิดน้ำอุ่นใส่อ่างขณะที่บ่นไม่หยุด

    “ไม่ไหวเลยจริงๆลูกคนนี้ ทั้งๆที่เที่ยวเล่นตะลอนๆอยู่ทั้งวันไหนจะเหงื่อไหนจะฝุ่น อาบน้ำเองแบบนี้จะสะอาดได้ยังไงกัน เข้ามาสิลูก”

    เธอเรียกลูกชายคนโปรดให้ลงไปแช่ในอ่างน้ำขณะที่เธอค่อยๆใช้ฟองน้ำขัดผิวลูบไล้ผิวกายขาวผ่องกำยำสมส่วนของลูกชายเบาๆ

    “วิ่งเล่นตะลอนๆมาทั้งวันแบบนี้ ถ้าแม่ไม่อาบให้มันก็ไม่สะอาดหรอกนะลูก เธอพูดขณะที่เทยาสระผมแล้วลงมือนวดเส้นผมนุ่มของเอลวินเบาๆ

    “เป็นไงบ้างจ๊ะ ที่โรงเรียนวันนี้มีใครแกล้งอะไรหรือเปล่า แล้วคุณครูสอนดีมั้ย ถ้าไม่แม่จะบอกให้ทางโรงเรียนเปลี่ยนคุณครูคนใหม่มาสอนให้”

    “ไม่ครับเพื่อนๆดีกับผม คุณครูก็สอนสนุกดีครับ”

    “ดีแล้วจ้ะ ถ้ามีปัญหาอะไรลูกต้องรีบบอกแม่ทันทีเลยนะ เอ๊ะ....ตรงนี้สกปรกอีกแล้วเหรอเนี่ย เห็นมั้ยเจ้าลูกคนนี้ถ้าไม่ยอมให้แม่อาบน้ำให้ก็จะปล่อยให้ตัวเองสกปรกอยู่แบบนี้แหละ ไหนแยกขาออกสิจ๊ะ”

    เธอถือที่โกนหนวดพร้อมละเลงครีมโกนหนวดลงบนท้องน้อยส่วนล่างของลูกชายก่อนจะลงมือโกนขนสีอ่อนที่บ่งบอกถึงภาวะการเจริญเติบโตแต่เธอกลับเห็นว่าเป็นสิ่งสกปรกที่อยู่บนตัวลูกชายอย่างเบามือด้วยความระมัดระวัง

    “แม่บอกแล้วนะว่าอย่าปล่อยให้ตัวเองสกปรก ถ้าแม่ไม่ดูแลให้แล้วใครจะดูแลลูกของแม่ได้ล่ะ” เธอยิ้มขณะที่เอลวินพยักหน้ารับเบาๆ

    เขารู้ดีว่าเรื่องแบบนี้มันไม่ปกติ รู้ว่าแม่ของเขาเองก็ไม่ปกติ แต่เพิ่งจะรู้จริงๆก็เมื่อก่อนหน้านี้ไม่นานนี่เอง เมื่อวันหนึ่งขณะที่กำลังคุยกันเรื่องการไปทัศนศึกษาของโรงเรียนกับฮันซี่ แล้วเขาก็บอกว่าต้องขออนุญาตแม่และยังต้องทำนู่นนี่นั่นจิปาถะ ฮันซี่จึงได้พูดกับเขาด้วยสีหน้าตกใจและน้ำเสียงเคร่งเครียด

    “รู้อะไรมั้ย เอลวิน ไม่มีแม่ที่ไหนจะบังคับขู่เข็ญลูกชายตัวเองได้ขนาดนั้น และก็ไม่มีแม่คนไหนลงมืออาบน้ำให้กับลูกชายอายุสิบแปดด้วยตัวเองหรอกนะ”

    หลังจากนั้นเป็นต้นมาเขาจึงเพิ่งสังเกตได้ว่า ที่จริงแล้ว แม่ของเขานั้นไม่ปกติ แม่ยังคงมองเขาเป็นเด็กชายตัวเล็กๆที่ต้องคออยประคบประหงมอยู่เสมอ แต่จะให้ต่อต้านหรือขัดใจนั้นยิ่งไม่มีสิทธิ์เพราะมีแต่จะสร้างความโกรธเคืองให้เธอมากขึ้นไปอีก

    เอลวินยืนมองผู้เป็นแม่เลือกเสื้อผ้าในตู้ของเขาด้วยสีหน้าพออกพอใจอยู่เงียบๆ เมื่อเจอชุดที่ถูกใจเธอก็นำมาจับตกแต่งใส่บนตัวเขาด้วยสีหน้ารื่นเริงราวกับกำลังเล่นแต่งตัวตุ๊กตา

    “ลูกชายของแม่หล่อมาก” เธอยิ้มขณะที่หยิกแก้มเขาเบาๆ เอลวินยิ้มขื่นรับคำชม

    “ทำไมจนป่านนี้ยังไม่ติดกระจกอีกล่ะลูก ห้องลูกไม่มีกระจกสักบานแล้วจะส่องได้ยังไง”

    “ผมไม่ชอบกระจกครับ อีกอย่างไม่มีก็ไม่ยุ่งยากอะไรเพราะยังไงคุณแม่ก็คอยเช็คความเรียบร้อยให้ผมอยู่แล้ว” ผู้เป็นแม่ยิ้มกว้างด้วยความปลาบปลื้มใจ

    “คนดีของแม่ น่ารักมากจ้ะ ลงไปทานข้าวข้างล่างนะจ๊ะ แม่ไปตามน้องก่อน รีบตามลงไปนะลูก”

    “ครับ” เอลวินยิ้มรับจวบจนร่างของมารดาออกพ้นไปจากประตูห้องร่างสูงถึงได้ทิ้งตัวลงกับเตียงนุ่มอย่างหมดแรง

    ใช่ว่าเขาจะชอบที่แม่ดูแลเขาแบบนี้ ถึงจะไม่พอใจแค่ไหนก็พูดออกไปไม่ได้ เพราะหากแม่โมโหเธอก็คงไม่พ้นอาละวาดฟาดงวงฟาดงาใส่คริสต้าและคนรับใช้ในบ้านแทนแน่ๆ แบบนั้นจะยิ่งแย่ไปใหญ่ จะมีทางไหนที่จะหยุดพฤติกรรมนี้ของแม่ได้บ้าง คุณพ่อเองที่ปกติก็ไม่ค่อยจะกลับบ้านอยู่แล้วพอมีปากเสียงกับคุณแม่แล้วก็หายไปเลย แล้วแบบนี้เขาจะไปปรึกษาใครได้บ้างล่ะ ที่ทำได้ตอนนี้ก็มีเพียงแต่ต้องจำยอมเท่านั้น ส่วนหนึ่งก็อดนึกโทษตัวเองไม่ได้ว่าที่เรื่องทุกอย่างมันล่วงเลยมาจนป่านนี้มันก็เป็นเพราะเขาเองที่ไม่เคยเอะใจอะไรมาก่อน คิดอยู่เสมอว่าแม่ทุกคนก็ดูแลลูกแบบนี้ทั้งนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะคำพูดของฮันซี่เขาก็ยังคงจะเชื่อแบบนั้นอยู่ต่อไป

    ไม่เคยคิดว่าแม่ของเขาจะผิดปกติ

    “หรือบางที เราเองก็อาจจะผิดปกติไปด้วย” ได้แต่พึมพำกับตัวเองเสียงเบาขณะที่หลับตาลง

    ใช่แกมันไม่ปกติ….

    เสียงในหัวที่ดังตอบกลับมาทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งสุดตัว กวาดตามองหารอบห้องว่าเสียงเมื่อครู่นี้มาจากใครแต่ก็พบว่าในห้องนี้มีเพียงตนแค่คนเดียว เอลวินส่ายหน้ากระชับแว่นตาที่สวมอยู่แล้วตัดสินใจเดินออกจากห้องไปด้วยความเงียบเชียบ

    บางที เขาอาจจะแค่คิดมากเกินไปก็ได้

     

     

    หลังจากไล่เจ้าพวกเพื่อนตัวดีจอมกินฟรีกลับไปจนหมดก็เป็นเวลาปิดร้านสักที เอเลนกำลังเก็บกวาดทำความสะอาดโต๊ะในขณะที่คุณแม่จิกหูลูกชายตัวดีแอบไปคุยกันสองคนหลังร้าน

    “แม่พอเถอะ ดึงอยู่ได้ จะดึงให้ส่วนสูงผมลดลงไปอีกรึไง” มือใหญ่ปัดเอามือเรียวของมารดาที่จิกติ่งหูเขาออกด้วยความหงุดหงิด

    “เล่ามาเลยนะ เล่ามาให้หมดเลย ไปทำอีท่าไหนกันมา นานาบะบอกว่าลูกถูกแทงด้วยนี่”

    “เอเลนถูกดักทำร้าย ผมเข้าไปช่วย แผลไม่ลึกมากหรอกไม่ต้องห่วง” ผู้เป็นแม่หรี่ตามองลูกชายหน้านิ่งอย่างจับผิด

    “เอเลนนี่นะถูกลอบทำร้าย น้องจะเคยไปมีเรื่องอะไรกับใครที่ไหน ถ้าเป็นเรานี่พอว่า”

    “เพราะผมนี่แหละ พวกนั้นถึงเล่นงานเอเลน”

    “ว่าแล้วเชียว” หมั่นเขี้ยวจนต้องจิกเล็บลงบนกล้ามแขนแน่นๆของเจ้าลูกชายตัวดี

    “แต่ก็เพราะแบบนั้นถึงทำให้เราเข้าใจกัน แม่ก็น่าจะพอใจแล้วนี่”

    “ก็ให้ลุ้นด้วยจนเมื่อยตุ้ม ลงเอยกันได้แม่ค่อยเบาใจหน่อย ดูแลลูกชายคนเล็กของแม่ให้ดีนะเข้าใจใช่มั้ย อย่าทิ้งน้องไว้คนเดียวอีก แกไม่เห็นหรอกนะว่าก่อนหน้านี้เอเลนเป็นไงบ้าง”

    “รู้หรอกน่า ที่เรียกมาจะพูดแค่นี้ใช่มั้ย” รีไวหยิบกระเป๋าขณะที่คว้าแขนเอเลนแล้วลากจนเด็กหนุ่มแทบจะปลิวติดมือไปตามหลัง

    “เดี๋ยว แกน่ะเก็บของย้ายออกไปจากห้องซะ พรุ่งนี้จะมีคนเช่าใหม่มา แม่ให้เขาไปอยู่ห้องแก”

    “ห๊ะ!!! แล้วแม่จะให้ผมไปอยู่ที่ไหนล่ะ”

    “ก็เรื่องของแก ชีวิตแก จัดการเอาเองสิยะ”

     

    ชายหนุ่มสองคนเดินจูงมือกันเลียบถนนทางเดินเท้าไปเรื่อยๆท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดงไม่ได้มีท่าทีรีบร้อนแม้แต่น้อย แต่ดูเหมือนชายหนุ่มหน้าคมจะกำลังอยู่ในภาวะอารมณ์ขุ่นมัวได้ที่เพราะใบหน้าหล่อเหลานั้นแลดูบึ้งตึงเสียเหลือเกิน

    “พี่จะทำยังไงครับ” เอเลนเอ่ยถามชายหนุ่มข้างกาย อีกฝ่ายถอนหายใจเสียงเบาก่อนตอบ

    “ฉุกละหุกขนาดนั้น พี่ไม่มีเวลาเตรียมตัวหรอก จะหาห้องใหม่มันต้องใช้เวลา ยัยคุณนายแกล้งกันชัดๆ แทนที่จะบอกกันล่วงหน้าก่อน”

    “ถ้าพี่ไม่รังเกียจ จะย้ายมาอยู่ด้วยกันก็ได้นะครับ” เพียงประโยคเดียวนี้ดังขึ้น ก็แทบจะทำให้ขาสั้นๆของชายหนุ่มถึงกับสะดุดฝุ่นกันเลยทีเดียว รีไวเงยหน้าจ้องมองเด็กหนุ่มเงียบๆ

    “คือ....เอ่อ ผมหมายถึงว่า จนกว่าจะหาห้องใหม่ได้ พี่ย้ายมาอยู่ห้องผมก่อนก็ได้นะครับ พี่อาจจะรำคาญก็ได้ที่มีผมอยู่ใกล้ๆ แต่ว่าก็แค่ทนไปก่อนจนกว่าจะ........”

    มือใหญ่กดเอาท้ายทอยเด็กหนุ่มช่างจ้อให้ก้มลงมาจูบปิดปากหนักๆอย่างหมั่นเขี้ยวแล้วกระซิบข้างแก้มใสคนที่เขินจนแดงไปทั้งตัวเบาๆ

    “อย่าไปชวนผู้ชายคนไหนมานอนห้องแบบที่กำลังทำตอนนี้อีกนะ....พี่หวง” ฟันคมขบลงบนปลายจมูกรั้นของเด็กหนุ่มเบาๆ เอเลนพยักหน้าหงึกหงัก ยกมือลูบปลายจมูกแดงเป็นรอยเล็กๆของตัวเอง

    รีไววาดแขนโอบเอวบางของเด็กหนุ่มอย่างถือสิทธิ์ขณะที่ออกเดินอีกครั้ง

    “อันที่จริง พี่ก็ไม่ใช่พวกเคร่งประเพณีอะไรมากมายใช้ชีวิตคู่อยู่ก่อนแต่งก็ไม่มีปัญหา เพราะยังไงตอนนี้เราก็เรียนกันอยู่ ค่อยๆปรับตัวเข้าหากัน ศึกษากันไปเรื่อยๆก็เป็นความคิดที่ไม่เลวเหมือนกันนะ”

    “เอ่อ ผมหมายถึงว่า มาอยู่ห้องเดียวกันไปก่อน.....ไม่ได้หมายถึงอะไรแบบนั้นเลยนะครับ”

    “ไม่เป็นไร เอเลนไม่ต้องเขิน พี่เข้าใจๆ”

    ไม่ครับ พี่ไม่เข้าใจมันเลยสักนิด คิดเองเออเองทั้งนั้น.......

    เอเลนอยากจะเถียงกลับไปเหลือเกินแต่ก็รู้ว่ามันเปล่าประโยชน์ รีไวไม่ใช่คนที่จะยอมอะไรให้ใครง่ายๆ(ยกเว้นเอเลนไว้คน) แต่จะว่าไป

     

    คำว่า ชีวิตคู่แม้จะดูเร็วไปนิดแต่ก็เป็นคำที่ฟังแล้วชวนจั๊กจี้ดีเหมือนกันแฮะ

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×