[WF contest] The Biningtons’ Story - [WF contest] The Biningtons’ Story นิยาย [WF contest] The Biningtons’ Story : Dek-D.com - Writer

    [WF contest] The Biningtons’ Story

    เด็กหนุ่มอัจฉริยะของยุคและนักเรียนดีเด่นแห่งสถาบันสอนเวทมนตร์ร่วมมือกันใส่ชุดนักเรียนไปปล้นรถไฟของรัฐบาล แน่นอนว่าจุดประสงค์มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น!

    ผู้เข้าชมรวม

    961

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    12

    ผู้เข้าชมรวม


    961

    ความคิดเห็น


    8

    คนติดตาม


    34
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  6 ส.ค. 61 / 12:16 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    เรื่องสั้นเข้าร่วมประกวด WF Contest ของสนพ. 1168 ค่ะ
    เป็นเรื่องสั้นความยาว 28 หน้า 
    หัวข้อที่เลือกคือ 1. รถไฟที่สามารถเดินทางข้ามเวลาหรือมิติได้ โดยมีเงื่อนไขในการเดินทางว่า...

    นับเป็นงานที่ยากและท้าทายมากตั้งแต่เห็นโจทย์ อยากเขียนสุดๆ พอเห็นโจทย์ พอเขียนออกมาจนได้เลยดีใจมากๆ เลยค่ะ
    ฝากด้วยนะ คิดยังไงก็บอกกันได้ค่ะ

    เรายังส่งอีกเรื่องนะคะ เรื่องนี้>>  http://my.dek-d.com/ald_aruza/writer/view.php?id=1287589 ใครสนใจตามไปอ่านได้จ้า

    สุดท้ายธีมเราเอามาจากบทความนี้น้า ขอบคุณมากๆ ค่า
     themy butter
     
    © themybutter
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      เรื่องสั้นเข้าร่วมประกวด WF Contest ของสนพ. 1168 ค่ะ
      เป็นเรื่องสั้นความยาว 28 หน้า 
      หัวข้อที่เลือกคือ 1. รถไฟที่สามารถเดินทางข้ามเวลาหรือมิติได้ โดยมีเงื่อนไขในการเดินทางว่า...

       

      The Biningtons’ Story

                      ณ ห้องโถงกลางอันงามสง่าของสถาบันเวทมนตร์สตาร์ไลท์ นักเรียนทั้งหมดของโรงเรียนสวมชุดเครื่องแบบเต็มยศและยืนเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบตามชั้นปี ภาพแบบนี้ไม่ใช่ภาพที่เห็นได้ง่ายนัก เพราะปกตินักเรียนของโรงเรียนนี้มักจะแต่งตัวตามใจชอบ หรือไม่ก็สวมเครื่องแบบได้แค่ครึ่งเดียว เพราะดันลืมเสื้อคลุมทิ้งไว้ตามระเบียงหอพัก หรือไม่ก็ปล่อยกองยับยู่ยี่อยู่บนเก้าอี้ในห้องศึกษาอิสระ ส่วนตัวเจ้าของก็วิ่งเป็นลิงอยู่ที่ไหนสักแห่งในสภาพเลอะโคลนทั้งตัว ภาพนักเรียนทั้งโรงเรียนสวมเครื่องแบบถูกต้องตามกฎและยืนเข้าแถวตรงนั้นจึงออกจะเป็นภาพที่ดูเคร่งขรึมและแปลกตาในสถาบันแห่งแสงดาว

                      คงไม่ต้องบอกเพิ่มอีกว่าวันนี้เป็นวันพิเศษ มันคือพิธีจบการศึกษาของสถาบันแห่งแสงดาว วันเดียวที่ทั้งโรงเรียนจะถูกบังคับให้แต่งเครื่องแบบเต็มยศ เข้าแถวตรง ณ ห้องโถงใหญ่ที่ตกแต่งอย่างดีด้วยสีแดงและทอง แต่ถึงอย่างนั้นนักเรียนของสถาบันแห่งแสงดาวก็ไม่เคยทำให้พิธีศักดิ์สิทธิ์ดูศักดิ์สิทธิ์ ชุดเครื่องแบบสีขาวของพวกเขาเลอะเทอะจากการเรียนเวทมาตลอดเทอม เสื้อคลุมของบางคนยับย่นไร้รอยรีด บางคนซักครั้งสุดท้ายวันที่ซื้อ และของบางคนกลายเป็นสีชมพู ยังไม่นับเครื่องแบบนักเรียนตัวในที่มีสภาพเหมือนถูกทดลองเวทมนตร์มาแล้วทุกขนาน พวกเขายืนคุยหัวร่อต่อกระซิกกันไปมาโดยไม่สนใจจะยืนตัวตรงและเงียบตามคำสั่ง ทว่าบรรดาอาจารย์ประจำโรงเรียนก็ไม่ทักท้วงอะไร เนื่องจากรู้ว่าพูดไปก็เท่านั้น ตอนนี้เอาเวลามาเดินกวดขันไปมาเพื่อเฝ้าระวังคนเล่นอะไรแผลงๆ จะดีกว่า

                      ขึ้นครูใหญ่ปราศรัยแสดงความยินดีกับคนที่ได้เลื่อนชั้น และรุ่นพี่ที่จะจบการศึกษาออกไป หลังพูดจบ กรรมการนักเรียนประกาศว่าต่อไปจะเป็นการกล่าวอะไรเล็กๆ น้อยๆ จากตัวแทนนักเรียนที่จบการศึกษาในปีนี้ โดยตัวแทนคือ “ผู้ที่จบการศึกษาด้วยคะแนนสูงสุดในปีนี้ ลีโอ บินนิงตัน”

      เสียงพูดคุยซาลงเล็กน้อย ก่อนทุกคนจะเริ่มซุบซิบกันอีกครั้ง ลีโอเป็นที่ชื่นชอบของคนทั้งโรงเรียน ไม่มีนักเรียนเวทมนตร์คนไหนไม่รู้จักเขา เขาชาญฉลาดและมีพลังเวทล้นเหลือจนเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะแห่งยุคนี้ ทุกคนต่างก็ตื่นเต้นที่จะได้ฟังลีโอพูดสดๆ ในงานจบการศึกษา พวกเขารอโอกาสนี้มาตั้งแต่ลีโอเข้าเรียนชั้นปีหนึ่ง ใช่ ทุกคนรู้ตั้งแต่แรกว่าลีโอต้องได้คะแนนสูงสุดและได้ขึ้นพูดวันนี้...

      ร่างหนึ่งเดินออกจากแถวของนักเรียนชั้นปีที่สี่ ลีโอเผยตัวออกจากฝูงชน เขาเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดี ผมดำตัดเป็นทรงยาวปรกต้นคอ เครื่องแบบของลีโอขาวสะอาด เรียบกริบ แตกต่างจากพวกลิงทโมนทั้งหลายด้านล่างโดยสิ้นเชิง

      ลีโอก้าวขึ้นไปบนเวที แววตาสีดำด้านมองลงมาที่ทุกคนและเริ่มเอ่ยอย่างช้าๆ

      “หากชีวิตคือ A ถึง Z” เขาเอ่ยถ้อยความที่ดูไร้ความหมายและนิ่งไป ทั้งโรงเรียนเงียบเสียงเพื่อฟังเขา

      “โรงเรียนคือสิ่งที่สร้างขึ้นเพื่อทำลายเด็กและทำให้พวกเขาโง่ลง โรงเรียนทุกแห่งสอนเด็กที่ไม่รู้จักตัวอักษรแห่งชีวิตให้เริ่มต้นท่อง Z ถึง A แน่นอนว่ามันเป็นการสอนที่ยากลำบากเพราะมันผิดธรรมชาติของตัวอักษร เด็กๆ พยายามจำจนจะตายคาตำราเรียน เด็กที่น่าสงสารเหล่านั้นไม่รู้เลยว่าเขากำลังท่องตัวอักษรกลับหน้าไปหลัง และพวกเขาท่องในแบบที่ควรจะเป็นจริงๆ ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”

      “เมื่อพวกเขาจบการศึกษาและออกสู่โลกภายนอก พวกเขาก็ต้องล้มทั้งยืนเมื่อพบว่าโลกภายนอกต้องการ Z ถึง A และสิ่งที่พวกเขาเรียนมาใช้การไม่ได้ หรือพวกที่โง่กว่านั้นก็พยายามใช้ Z ถึง A ในโลกที่ต้องการ A ถึง Z โดยที่ไมรู้ว่าตัวเองกำลังไปผิดทาง และเมื่อนั้นชีวิตของพวกเขาก็มีแต่ตกต่ำ จนในที่สุดก็กลายเป็นโจร”

      “นี่แหละคือวัตถุประสงค์ของโรงเรียน” ลีโอชี้นิ้วใส่หน้าทุกคนในห้องโถงที่เงียบกริบไม่มีใครกล้าพูดอะไรสักคำ เด็กหนุ่มยังคงเอ่ยต่อไปด้วยวาจาฉาดฉาน หนักแน่น น้ำเสียงขึ้นลงอย่างน่าฟัง

      “ผมลีโอ บินนิงตัน ในฐานะผู้สอบได้คะแนนสูงสุดและน้องชายของผม ไมธอส บินนิงตัน” เขาผายมือลงไปท่ามกลางผู้ฟัง ณ ที่ซึ่งน้องของเขาเข้าแถวอยู่ “ผู้ได้คะแนนอันดับสองของชั้นปีที่สี่ จะขอทำตามวัตถุประสงค์ของโรงเรียน พวกเราเรียนจบในวันนี้ และต่อจากนี้พวกเราจะเป็นโจร”

      “คอยติดตามผลงานของพวกผมด้วยนะครับ” ลีโอยิ้มให้ทุกคนทั้งโรงเรียนและเดินลงจากเวทีช้าๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นวิ่งด้วยความเร็วสูงออกจากห้องประชุมไปในทันที ครูใหญ่ออกวิ่งตามเขา โดยมีรองครูใหญ่วิ่งไล่หลังมาและฉุดแขนคนแก่อายุห้าสิบไว้

      “ปล่อยฉัน ฉันจะไปฆ่ามัน ไอ้เด็กลีโอนั่น ฉันบอกมันแล้วให้ทำตัวดีๆ!” ครูใหญ่ตะโกนลั่น

      “ใจเย็นๆ ครับ คุณก็รู้อยู่แล้วนี่ครับว่าเขาไม่มีทางทำตัวดีๆ ได้หรอก” รองครูใหญ่พูดและดึงแขนครูใหญ่ไว้สุดกำลัง

      “ฉันล่ะสบายใจที่แกจบไปจากโรงเรียนนี้เสียที แล้วเราจะได้มีช่วงเวลาที่สงบสุขขึ้นบ้าง บินนิงตัน” ครูใหญ่ยังคงโวยวายลั่น

      “เวลาแห่งความสงบในสถาบันแสงดาวงั้นหรือครับ” รองครูใหญ่ส่ายหน้าพึมพำกับตัวเอง “อย่างกับว่าไม่มีหัวหน้าลิงแล้วฝูงลิงจะกลายเป็นหมาตำรวจงั้นแหละ”

       

      “เจ๋ง” เด็กปีสองคนหนึ่งพูดเมื่อพวกเขาได้รับอนุญาตให้ออกจากห้องโถงได้ เจ็ดในสิบของนักเรียนถอดเสื้อคลุมตัวนอกทิ้ง และเก้าในสิบวิ่งออกมา พร้อมทั้งเริ่มยิงลูกไฟใส่กัน

      “ลีโอ บินนิงตันเจ๋งที่สุด” เด็กชายกล่าวต่อด้วยแววตาเคลิ้มฝัน “เก่ง ฉลาด และ...เฮี้ยว ใครก็ปราบเขาไม่ได้”

      “เขาเท่มาก เด็กอายุยี่สิบอันดับหนึ่งของยุคนี้ ว่ากันว่าลีโอไม่เคยต้องเข้าเรียนสักวิชา แต่สอบได้คะแนนสูงสุดเสมอ” คนอื่นๆ รอบบริเวณรีบเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วย เสียงต่างๆ ที่พากันชื่นชมลีโอตะเบ็งเซ็งแซ่

      “ฉันว่าแล้วพิธีจบการศึกษาปีนี้ต้องเจ๋ง เพราะยังไงลีโอก็ต้องได้ขึ้นพูด เขาได้คะแนนสูงสุดแหงอยู่แล้ว ฉันรอดูเขาป่วนพิธีเลยล่ะ”

      “นี่ยังถือว่า...ดีแล้วนะ ครูใหญ่แอชเชอร์กลัวเขาจะจุดไฟเผาโรงเรียนฉลองด้วยซ้ำ”

      “นายเห็นเครื่องแบบเขาไหม ใหม่เอี่ยม! ลีโอไม่เคยใส่เครื่องแบบแม้แต่ครั้งเดียวตลอดสี่ปีที่สตาร์ไลท์ ทุกวันเสื้อยืดดำ ยีนส์สีดำ วุ่นอะไรสักอย่างอยู่ในห้องศึกษาอิสระ”

      “แล้วพิธีจบการศึกษาปีก่อนๆ ล่ะ”

      “เขาโดด”

      เรื่องเล่าเกี่ยวกับลีโอพิสดารมากขึ้นจนเริ่มจะแยกยากว่าอันไหนจริงอันไหนเท็จ และเริ่มจะกลายเป็นเรื่องผีประจำโรงเรียนมากขึ้นทุกที ไมธอสเดินผ่านฝูงชนไปเงียบๆ มุ่งหน้าสู่หอพักนักเรียน

      “นั่นไงไมธอสน้องชายเขา” บางคนชี้ชวนกันดูเขา แต่ไมธอสไม่สนใจ ยังคงสาวเท้าต่อเนื่อง

      “น้องชาย ปีสามเหรอ”

      “ปีสี่ ลีโอแนะนำเขาเมื่อกี้ หูนายไปเดินเล่นหรือไง”

      “ปีสี่ แต่น้อง?” บางคนสับสน

      “ลีโอเว้นว่างหลังจบมัธยมหนึ่งปี รอเข้าเรียนพร้อมน้อง”

      “แล้วเขาไปไหนล่ะระหว่างนั้น”

      “เห็นว่าไปฝึกมนตร์ดำที่อินเดีย”

      “มีคนบอกว่าเขาไปยืนมองสโตนเฮนจ์อยู่ตลอดหนึ่งปีเต็ม”

      ไมธอสส่ายหน้าให้ตำนานไร้สาระ ลีโอไม่ได้รอเขา ตลอดหนึ่งปีหลังเรียนจบมัธยม ลีโออยู่ที่โรงพยาบาล...

      เด็กหนุ่มส่ายหน้าอีกหน ก้าวเท้าต่อไปยังหอพัก พลางคิดถึงข้าวของของพวกเขาสองคนที่เขาต้องเก็บก่อนออกเดินทาง

      “ไมธอสเป็นคนยังไง” บางคนถามเมื่อเขาลับตา

      “นักเรียนดีเด่น สรุปได้เลย ตัดผมเรียบร้อย ใส่แว่น เข้าเรียนทุกคาบ คนโปรดของอาจารย์ ขาประจำห้องสมุด คะแนนสอบเลิศล้ำ ไม่ค่อยพูดกับคนอื่น”

      “พวกแหยน่าเบื่อเหรอ”

      “ใครจะรู้... อย่าลืมว่าไม่มีพวกแหยน่าเบื่อในสถาบันแห่งแสงดาว”

       

      ไมธอสเปิดประตูห้อง “พี่” เขาเรียกเสียงดุตั้งแต่ยังไม่เห็นว่าลีโอทำอะไร

      “นายยังไม่รู้เลยว่าฉันทำอะไร” ลีโอหัวเราะ เขานั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศ สูงจากเตียงหนึ่งเมตร ข้างใต้เขามีข้าวของกองระเกะระกะไปทั่วห้อง เพราะพวกเขากำลังเก็บของจะย้ายออกจากหอพัก

      “อะไรก็ตามผมดุไว้ก่อนหมด” ไมธอสพูด “เก็บของกัน”

      ของทุกอย่างในห้องลอยขึ้น และลงไปอยู่ในกล่องกับกระเป๋าเสื้อผ้าที่เปิดอ้ารอไว้

      “ไม่ใช่อย่างนี้สิ จัดให้เรียบร้อย” ไมธอสพูด เขาขมวดคิ้ว

      ลีโอมองเล็บมือตัวเองและเริ่มกัดมัน “หน้าที่ของนาย ไม่ใช่หน้าที่ของฉัน”

      “ผมล่ะเบื่อพี่จริงๆ เลย” น้องชายเอ่ย นั่งลงตรงหน้ากล่องที่มีของเต็มใบหนึ่งและจัดมันให้เป็นระเบียบ

      “นายเอาแต่พูดอย่างนั้น จนทุกคนในโรงเรียนพากันคิดว่านายเป็นพวกเด็กเรียนงี่เง่าที่พยายามเท่าไหร่ก็ไม่ชนะพี่ชายสักทีจนพาลเกลียดพี่ เขาคิดว่านายเป็นพวกน่าสมเพชกันหมดแล้ว”

      “แล้วมันจริงไหมล่ะ”

      “ไม่จริง” ลีโอตอบเสียงเรียบ เขาหมุนช้าๆ กลางอากาศ จนดูเหมือนกำลังนั่งอยู่บนผนัง เขากัดเล็บมองไมธอสจัดของกล่องแรกจนเสร็จ

      “ผมเกลียดพี่จริงๆ ต่างหาก ไม่มีใครอยู่กับพี่แล้วไม่นึกอยากฆ่าพี่หรอก”

      “ก็จริง” ลีโอพูด เขาร่วงลงมาบนพื้น เอาเชือกมัดปิดกล่องของตัวเอง และปิดกระเป๋าเสื้อผ้าเสีย

      “จัดก่อนสิ” น้องชายดุ

      “จะจัดดีทำไม เราไม่ต้องเอาของไปก็ได้ เราต้องทิ้งมันอยู่แล้ว ที่เอาไปนี่แค่เผื่อไว้ในกรณีที่ได้ย้อนกลับมาเอา เพราะฉะนั้น ช่างมันเถอะ” ลีโอบอก ลุกขึ้นแล้วคว้าแขนไมธอสให้ลุกตาม เขามองเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลของน้องชายและเอ่ยว่า “ได้เวลาปล้นรถไฟแล้ว”

       

      สำหรับผู้คนในประเทศนี้ แสงดาวและเวทมนตร์อาจเป็นความหวังเดียวที่เหลืออยู่ และคงเป็นเพราะเหตุนั้นเองที่ทำให้สถาบันสอนเวทมนตร์แห่งเดียวในประเทศได้รับชื่อว่า “สถาบันแห่งแสงดาว”

      ลีโอและไมธอสหอบข้าวของของตนออกจากโรงเรียนหลังจากเก็บของเสร็จ ก่อนใครๆ ในชั้นปีทั้งหมด ไม่ล่ำลารุ่นน้อง เพื่อนฝูง หรืออาจารย์ ทุกคนเสียดายที่ลีโอไม่มาร่วมปาร์ตี้กลางคืนที่สนามหน้าโรงเรียนกับพวกเขา แต่พวกเขาก็เข้าใจได้ ลีโอ บินนิงตันเป็นมิตรกับทุกคนที่มาทัก แต่ไม่เคยเป็นเพื่อนกับใครเลยแม้แต่คนเดียว

      พวกเขาไม่เสียดายไมธอสที่ออกจะเงียบขรึมมากนัก แต่หลายคนก็ยังเห็นไมธอสเป็นเพื่อนที่ดี และอยากล่ำลาเขาสักคำ ครูอาจารย์หลายคนแทบหลั่งน้ำตาให้การจบการศึกษาของไมธอส และแทบเปิดแชมเปญให้การออกไปจากโรงเรียนของลีโอ (พวกเขาไม่แน่ใจว่าตัวเองสอนอะไรลีโอได้บ้าง จึงไม่อยากใช้คำว่าจบการศึกษา)

      “นายอยากคุยกับพวกเขาหรือเปล่า ถ้านายอยากไปปาร์ตี้งี่เง่านั่น...” ลีโอเกริ่น เขาขยับกระเป๋าที่พาดบ่าไว้ขณะก้าวขึ้นรถม้า กล่องใส่ของลอยหวือตามหลังเขาขึ้นไป

      “แผนปล้นรถไฟของพี่รอไม่ได้” ไมธอสบอก ดึงหูหิ้วกระเป๋าของตัวเองตามขึ้นรถมา เขากำลังจะก้มลงยกกล่องใส่ของ แต่มันลอย (เกือบเสยหน้าเขา) เข้าไปในรถด้วยตัวเอง

      “ผมยกของได้” เขาหันมาบอกพี่ชาย

      “ฉันต่างหากที่ยกของได้” ลีโอพูดและยิ้ม

      ในประเทศนี้ เด็กทุกคนที่จบการศึกษาภาคบังคับ (วรรณคดี ภาษา เลขคณิต ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และอื่นๆ) จากโรงเรียนในเขตที่ตนเองอยู่แล้ว จะเลือกเรียนต่อหรือไม่ก็ได้ หากอยากเรียนต่อก็จะมีสถาบันเฉพาะทางให้เรียน มีทั้งสถาบันด้านวิศวกรรมศาสตร์ การแพทย์ กฎหมาย การปกครอง ล่าม ศิลปะ และอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย และไม่น่าสนใจอีกเยอะแยะ การศึกษาทั้งหมดฟรี เช่นเดียวกับค่ารักษาพยาบาล ดูแลเด็กอ่อนและคนวัยชรา ต้องขอบคุณระบบสวัสดิการชั้นเลิศของประเทศนี้ (แลกกับค่าภาษีมหาโหดที่ทำให้วัยแรงงานอยากตาย)

      หนึ่งในสถาบันที่น่าสนใจคือสถาบันเวทมนตร์สตาร์ไลท์ สถานที่ฝึกสอนคนธรรมดาให้กลายเป็นผู้ใช้เวทมนตร์ ในทำนองเดียวกับที่สถาบันแพทย์สร้างหมอ และสถาบันกฎหมายสร้างทนาย ความเชื่อที่ว่าลีโอไม่เคยเข้าเรียนนั้นผิด เขาเข้าเรียนในช่วงแรกเพื่อให้พอจับทางบางอย่างได้ และเข้าเรียนในช่วงหลัง... แต่น้อยกว่าที่จะศึกษาด้วยตัวเองในห้องศึกษาด้วยตัวเอง (สำหรับทดลองร่ายมนตร์ เป็นห้องที่ออกแบบเพื่อกันน้ำ กันไฟ และกันความวินาศสันตะโรทั้งหลายได้ดีเยี่ยม) หรือห้องสมุด

      “การศึกษาไม่ได้มีทางเดียว” เขามักพูดพลางกัดเล็บ “ฉันคือหลักฐานของความเชื่อนั้น”

      “การสอนแบบป้อนจากครูมันสำหรับคนขี้เกียจไปอ่านเอง” ลีโอชอบพูดและทำให้ไมธอสที่ท่องตำราเรียนอยู่กลอกตาสองรอบเสมอ

      จากการศึกษาด้วยตนเอง ลีโอพบว่านอกจากเวททั่วไปที่ทุกคนใช้กันได้แล้ว ความถนัดของเขาคือการทำให้ของขยับไปมาได้โดยไม่ต้องแตะต้องมัน เขาทำให้มันเลื่อนไปทางซ้าย ขวา และลอยได้เหมือนมีมือล่องหนมาลากดึง จากนั้นเขาก็ยกทุกสิ่ง เขาทำให้ตัวเองบินได้ เขาทำให้รั้วโรงเรียนบินได้ เขาทำให้อาจารย์บินได้

      “เวทจำเป็นสำหรับการโดดเรียน” ลีโอกล่าวเช่นนั้นบ่อยๆ

      จากการศึกษาในห้องเรียน ไมธอสพบว่าความถนัดของเขาคือการจุดพลุ

      นั่นเป็นการพูดให้ไพเราะสำหรับคนที่ถนัดเวทไฟ และถูกพี่ชายขนานนามว่ามีความถนัด “ด้านการวางเพลิง”

      ...อันที่จริงข่าวลือไม่ได้ผิดอะไรนัก ลีโออาจจะจุดไฟเผาโรงเรียนฉลองจริงๆ ก็ได้หากไมธอสยอมให้ความร่วมมือ

      “นายน่าจะให้ฉันวางเพลิงโรงเรียน” ลีโอกัดเล็บและพูดขณะที่รถม้าเคลื่อนไป

      “ผมอาจจุดพลุให้พี่ได้ ถ้าเขาจัดงานกันตอนกลางคืน กลางแจ้ง แต่ผมไม่ย่างสดนักเรียนสองร้อยคนหรอกนะ อีกอย่างเรามีควันมากพอแล้วด้วย” ไมธอสบอก มองออกนอกหน้าต่าง ภาพที่เลื่อนผ่านเข้ามาไม่น่าอภิรมย์นัก เมืองเต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่อง แต่ท้องฟ้าเป็นสีเทาด้วยหมอกและควัน

      ไม่มีใครเห็นท้องฟ้าสีฟ้ามาหลายปีแล้ว ตอนกลางวันพระอาทิตย์ฉายแสงหม่นๆ ผ่านม่านควัน และยามกลางคืนพระจันทร์ก็เจือสีส้มจางๆ เหลือดาวเพียงดวงเดียวที่สามารถส่องแสงลอดม่านควันมาได้ มันถูกเรียกว่าแสงแห่งดาวดวงสุดท้าย... ความหวังของมนุษยชาติ

      ต้นไม้ ดอกไม้ พืชทั้งหมด กลายเป็นเพียงสิ่งของในนิทานมาตั้งนานแสนนานมาแล้ว...

      อากาศที่นี่ไม่บริสุทธิ์ เช่นเดียวกับน้ำ อาหารที่มีแค่เนื้อสัตว์ทำให้ค่าเฉลี่ยอายุคนสั้นลงครึ่งหนึ่ง อาจารย์ใหญ่อายุห้าสิบปีคือคนแก่ที่น่าพิศวงที่ควรคู่กับสถาบันเวทมนตร์

      บางคนเชื่อว่าเวทมนตร์อาจเป็นความหวังที่จะทำให้โลกกลับมางดงามอีกครั้ง สำหรับผู้คนในประเทศนี้ แสงดาวและเวทมนตร์อาจเป็นความหวังเดียวที่เหลืออยู่ และคงเป็นเพราะเหตุนั้นเองที่ทำให้สถาบันสอนเวทมนตร์แห่งเดียวในประเทศได้รับชื่อว่า “สถาบันแห่งแสงดาว”

      “พวกเขาตามืดบอด” ลีโอที่เงียบไปนานเอ่ยขึ้นในที่สุด เขานั่งเท้าคาง มองออกไปนอกรถม้า “พวกรัฐบาล...คนที่ปล่อยให้โลกเป็นแบบนี้ตาบอด ทั้งที่มีอำนาจ แต่กลับใช้อำนาจเพื่อเงินทอง”

      “เพื่อความเป็นอยู่ของพวกเรา” ไมธอสเอ่ย

      “เพื่อเงินชัดๆ”

      “มันไม่มีทางอื่นแล้ว”

      “มันมี” ลีโอบอกทำหน้างอ

      “ทางนั้นเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝัน ทางของคนบ้า” ไมธอสยิ้ม

      ลีโอมองน้องชาย “ถ้างั้นนายก็กลับไปปาร์ตี้ที่โรงเรียน อย่าตามฉันมา”

      เด็กหนุ่มสวมแว่นตานิ่งเงียบ พวกเขาเงียบกันไปกว่าสิบนาที และลีโอก็พูดว่า “ฉันไม่ได้อยากเปลี่ยนโลก ฉันแค่อยาก...”

      เขาห่อตัว ยกขาขึ้นวางบนเก้าอี้รถม้า และดูสั่น...

      “ผมรู้ พี่ ผมรู้” ไมธอสตอบราวกับกำลังปลอบประโลมลีโอให้ใจเย็นลง

      “บางทีมันอาจจะไม่สำเร็จ สุดทางนั่นมันอาจจะไม่มีอะไรเลย” ลีโอเอ่ยช้าๆ แววตาสีดำด้านนั้นสั่นไหว

      “ไม่เป็นไรครับพี่” ไมธอสเอื้อมมือไปแตะเข่าพี่ชาย แต่เขาขยับหนี และเปลี่ยนมาทำหน้าตาขี้เล่นแทนในทันที

      “ถ้ามันไม่สำเร็จ อย่างน้อยเราก็ได้ทำอะไรสนุกๆ” เขาพูดและยิ้ม

      ไมธอสถอนใจ “ผมไม่เรียกการปล้นรถไฟว่าอะไรสนุกๆ”

       

      รถม้าจอดเทียบที่หน้าสถานีรถไฟ วันนี้ดูเหมือนจะมีอะไรไม่ธรรมดาเกิดขึ้นที่นี่ รถม้าที่จอดหน้าสถานีมีแต่รถม้าของพวกคนชั้นสูง สุภาพบุรุษโก้หร่านและสุภาพสตรีที่สวยสง่าเดินเคียงกันมุ่งสู่ชานชาลา เด็กหนุ่มสองคนในชุดเครื่องแบบที่หรูหราของสถาบันแห่งแสงดาวเดินไปในกลุ่มคน ลีโอผิวปาก “โชคดีที่ฉันเก็บรักษาเครื่องแบบเป็นอย่างดี ไม่งั้นไม่มีชุดที่เหมาะสมสำหรับวันนี้แน่ๆ เลย”

      คำพูดตลกของลีโอทำให้ไมธอสหัวเราะเบาๆ เด็กหนุ่มทั้งสองก้าวเดินไปตามชานชาลา ข้าวของลอยตามหลังมาด้วยอำนาจของพี่

      “ตั๋วล่ะ” ลีโอถาม ไมธอสดึงตั๋วรถไฟสีทองสองใบออกมาจากกระเป๋าเสื้อ พี่ชายพยักหน้าด้วยความพอใจ พวกเขาทำงานหนักระหว่างเรียนเพื่อเก็บเงินซื้อสิ่งนี้ ตั๋วทองสำหรับรถไฟขบวนหนึ่งที่จะออกเดินทางเพียงปีละหนึ่งครั้ง...

      “มันอยู่ไหน” ลีโอถาม ดูกระวนกระวายเล็กน้อย เท้าของเขาลอยขึ้นจากพื้นสิบเซนติเมตร ไมธอสกดไหล่เขาเบาๆ เขาจึงรู้ตัวว่าตัวเองกำลังลอยขึ้น

      “ยังไม่มาครับ อีกสามนาที และมันมาตรงเวลาเสมอ” เด็กหนุ่มสวมแว่นตากล่าวขณะดูนาฬิกาพก

      ลีโอมองไปรอบๆ บรรดาผู้คนในสถานีก็ดูกระวนกระวายเช่นกัน พวกเขารอรถไฟขบวนนี้ด้วยความตื่นเต้นเหมือนกันกับเขา ทุกคนคงรอมาทั้งปีเพื่อจะได้ขึ้นรถไฟขบวนนี้ มันเป็นโอกาสพิเศษที่สำคัญอย่างกับของขวัญคริสต์มาส ไม่มีใครรู้ว่ามันกำลังจะถูกปล้น ทุกคนคือคนบริสุทธิ์ และสิ่งที่เขาทำอาจจะทำให้มีคนต้องบาดเจ็บ และแน่นอนทำให้งานกร่อยแน่ๆ

      ลีโอหันไปมองน้องชาย และพูดว่า “ฟังนะ ถ้านายจะหนีจากแผนการของฉัน นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว กลับไปปาร์ตี้โรงเรียนแล้วสารภาพรักกับลิซ่าปีสามซะ ฉันรู้ว่านายชอบเธอ”

      ไมธอสถอนหายใจ “ผมไม่ได้ชอบลิซ่าและพี่เอาแต่พยายามไล่ผมออกจากแผนของพี่ตั้งแต่ก่อนเราจะขึ้นรถม้า”

      ลีโอกัดริมฝีปาก “ฟังนะน้องชาย เราอาจจะกลายเป็นฮีโร่ หรือไม่เราก็อาจจะโดนจับ พี่ให้นายคิดนาทีสุดท้าย”

      “ผมคิดมาห้าปี ผมไม่เปลี่ยนใจตอนนาทีสุดท้ายหรอกครับ” ไมธอสตบบ่าลีโอ รถไฟขบวนนั้นคำรามดังลั่นขณะมันแล่นเข้าเทียบชานชาลา ล้อเหล็กบดขยี้รางราวกับจะหั่นทุกอย่างที่ขวางกั้นเบื้องหน้าให้แหลกสลาย ตัวถังสีดำเลื่อนช้าลงแล้วจอดสนิทด้านหน้าพวกเขา ควันจากหัวรถจักรโรยตัวลงปกคลุมทั่วบริเวณ ประตูสีดำที่ติดขอบสีทองของแต่ละโบกี้เหวี่ยงเปิดออก พนักงานประจำโบกี้ยืนที่ปากประตู ผู้โดยสารคนแรกก้าวขึ้นไป เขาโค้งคำนับและขอตรวจตั๋ว

      “ขอต้อนรับสู่ ดิ อาชาไนย ท่านสุภาพบุรุษ” พนักงานร้องทักพวกเขาและยิ้มให้

      ไมธอสและลีโอก้าวขึ้นไปบนรถ ยื่นตั๋วให้ตรวจและเดินไปยังที่นั่งของตน สองตัวแรกสุดฝั่งซ้ายติดประตูโบกี้

      ในโบกี้มีเก้าอี้สองแถว ติดหน้าต่างฝั่งซ้ายและติดหน้าต่างฝั่งขวา ในแต่ละแถว ที่นั่งจะสลับหน้าหลัง ตัวแรกหันไปสู่ด้านท้ายของรถไฟ ตัวที่สองหันไปสู่ด้านหน้า และตัวที่สามหันหลังชนตัวที่สอง หน้า หลัง หน้า หลัง ไปเช่นนี้ ลีโอนั่งลงตรงข้ามกับไมธอส เบาะกำมะหยี่สีแดงหนานุ่มดูราวกับไม่เคยมีใครนั่งมาก่อน หน้าต่างรถไฟบานยาวได้รับการขัดถูจนใส มองเห็นด้านนอกได้ราวไร้กระจกบัง เด็กหนุ่มเลื่อนข้าวของเข้าไปใต้เก้าอี้ สบตากัน

      เมื่อทุกคนเข้านั่งเก้าอี้ของตัวเองเรียบร้อย ประตูก็ปิดลง รถไฟหอนและเคลื่อนตัวออกจากชานชาลา แรกช้าแต่ต่อมาเร็วดั่งม้าโดนแส้เฆี่ยน ทิวทัศน์พร่าเลือนผ่านสายตาของพวกเขา ลีโอกับไมธอสสบตากัน เด็กหนุ่มสวมแว่นยกมือเช็ดเหงื่อที่ไหลซึมตามขมับ แผ่นหลังของเขาที่นาบกับเบาะกำมะหยี่เปียกชุ่ม มือหนึ่งกำนาฬิกาพกแน่นเหมือนจะบีบมันให้แตก ลีโอกัดเล็บ หายใจสั้นๆ มองไปตามทางเดินอย่างหวาดระแวง

      รถไฟแล่นผ่านตัวเมืองไปเรื่อยๆ ลีโอจ้องออกนอกหน้าต่าง ผู้คนในโบกี้ของเขาพูดคุยกันอย่างตื่นเต้น เด็กหนุ่มเงี่ยหูฟัง มีคนแก่ ผู้หญิง และเด็ก... ครอบครัวที่สุขสันต์ เขากำลังจะปล้นรถไฟ

      นี่ไม่ใช่รถไฟธรรมดา แต่มันคือรถไฟที่มีหัวรถจักรเวทมนตร์ หัวรถจักรเดียวในประเทศที่สามารถวาร์ปไปมิติอื่นได้ ปกติมันไม่ได้ต่อกับโบกี้ชั้นหนึ่งที่หรูหราอย่างนี้ แต่ต่อเข้ากับตัวถังบรรทุกน้ำมัน รัฐบาลใช้มันในการวาร์ปไปยังมิติที่ยังคงมีน้ำมันอยู่ เพื่อบรรทุกน้ำมันกลับมาใช้ บางครั้งมันต่อเข้ากับตู้โดยสารเพื่อส่งบุคลากรไปทำงานยังแหล่งขุดเจาะน้ำมันในมิติอื่น หรือส่งคนในระดับปกครองไปตรวจดูงาน แต่มันจะเปิดให้ประชาชนทั่วไปซื้อตั๋วปีละหนึ่งครั้ง เพื่อเดินทางไปดูบ่อน้ำมัน ตั๋วราคาแพงมหาศาล ผู้คนซื้อมันเพื่อจะได้ลองวาร์ป และลองไปเยี่ยมต่างมิติ เงื่อนไขในการเดินทางมีอย่างเดียว...

      คุณต้องมีเงินมากพอซื้อตั๋ว

       

      ย้อนถอยไปราวๆ สี่ปีกับอีกห้าหกเดือนก่อนหน้านี้เป็นเวลาที่แผนการของพวกเขาเริ่มต้นขึ้น มันเกิดขึ้นในบ้าน ตอนที่ลีโอกลับมาจากโรงพยาบาล หน้าซีดเซียวแทบจะเป็นสีเทา เขาบอกไมธอสว่าเขาอยากทำอะไร ไมธอสเพิ่งกลับจากโรงเรียน เขาฟังพี่ชายที่จิตใจแหลกสลายของตัวเองพูดและถามแค่ว่า

      “เราจะทำอย่างนั้นได้ยังไง”

      “เราต้องปล้นรถไฟของรัฐบาล” ลีโอตอบเสียงเรียบเหมือนเขากำลังพูดเรื่องปกติที่สุดในโลก “ดิ อาชาไนย เราต้องการวาร์ป”

      ไมธอสรู้สึกเหมือนพี่ชายกลายเป็นบ้าไปแล้ว

      “ทางเดียวที่เราจะได้มันมาคือเราต้องวาร์ป” ลีโอบอก หน้าตาไร้ความรู้สึก ดวงตาสั่น

      “พี่ใจเย็นๆ ก่อน” ไมธอสบอก เขาพยายามเดินไปกอดพี่ แต่ลีโอผลักเขาออก และเริ่มเดินพล่านไปมาอยู่ในห้องและพูดไม่หยุดเหมือนไม่มีสติ

      “มันจะออกไปวาร์ปนอกเขตเมือง เราต้องลงมือหลังจากมันแล่นพ้นเขตเมือง ถ้าทำในเมืองเราจะถูกตำรวจสอย และต้องลงมือก่อนมันจะวาร์ป เพราะเราไม่รู้ว่าที่บ่อน้ำมันมีอะไรบ้าง อาจจะมีกองกำลังอยู่ที่นั่น แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าจังหวะไหนที่มันจะเริ่มวาร์ป เราต้องลงมือตอนห่างเขตเมืองออกไปแค่ไหน ถ้าช้าไปมันจะวาร์ปก่อน แต่ถ้าใกล้เมืองเกินไปก็...” ลีโอปาดคอตัวเอง “ฉันไม่อยากมีเรื่องกับพวกนักเวทในกรมตำรวจแน่นอน”

      “เราต้องเงียบเหมือนหนูเลย จัดการโบกี้เราให้เสร็จ แล้วก็เคลื่อนย้ายไปจัดการโบกี้อื่น อย่าให้หัวขบวนรู้ตัว ทำให้เรียบทั้งคันรถแล้วก็ไปถึงหัวรถจักร ถ้ามันรู้ตัวก่อนมันจะหยุด แล้วตำรวจก็แห่กันมา” ลีโอเคาะนิ้วลงที่รูปที่ตัดจากหนังสือพิมพ์ซึ่งติดอยู่บนผนังห้อง ดูเหมือนเพิ่งติดไว้เมื่อชั่วโมงก่อน “ถ้าเราทำได้ตามที่ว่า พอไปถึงหัวรถจักรจะเจอเจ้านี่ อนาโตลี ฟาน เบอร์ทาลานฟ์ คนเดียวที่ควบคุมการวาร์ป นักเวทระดับพระกาฬ แผนหนึ่ง เราเก็บเขาแล้วควบคุมรถแทน เป็นไปไม่ได้ แผนสอง เขายอมพาเราไปต่อ เป็นไปไม่ได้ สรุปเรามีแผนที่เป็นไปไม่ได้กับเวลาเริ่มลงมือที่ไม่แน่ใจว่าเมื่อไหร่ถึงจะเหมาะ”

      ลีโอนั่งลงกับพื้น เขาดูเหมือนกำลังพังทลาย ไมธอสมองภาพนั้น ตอนแรกเขาคิดว่าพี่คงเหนื่อยมากเลยพูดจาเพ้อเจ้อ หากปล่อยให้พูดไปอีกสักพักคงจะเลิกไปเอง เขาเดินเข้าไปในห้องครัว เริ่มทำอาหารเย็น แต่พอเขายกอาหารออกมา เขาก็เห็นลีโอยังคงนั่งอยู่บนพื้น ร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนเด็กๆ

      “พี่แค่ พี่แค่อยากได้...” เสียงของเขาขาดห้วง พึมพำซ้ำไปมา “ไม่มีทาง ไม่มีทางอีกแล้ว พี่ยอมรับได้แล้ว พี่แค่... มันคงจะดีขึ้น... มันก็แค่... ของนิดเดียวเท่านั้นเอง... ทุกอย่างที่เราต้องทำ...ก็แค่ปล้นรถไฟของรัฐบาล”

      ไมธอสวางอาหารเย็นสองจานลงบนโต๊ะกินข้าว ลีโอกอดตัวเอง พึมพำเหมือนคนบ้า น้ำตาไหลท่วมจนเสื้อด้านหน้าเปียกหมด

      น้องชายเดินมาประคองลีโอให้ลุกขึ้น อีกฝ่ายลุกยืนราวกับตุ๊กตาที่ไร้ความคิดเป็นของตัวเอง ไมธอสพาลีโอไปที่โต๊ะอาหาร ดันให้นั่งลง “พี่เหนื่อยมากพอแล้ว ผมเข้าใจ พี่ไม่ต้องไปโรงพยาบาลอีกก็ได้”

      “เราต้องไป เราต้องไปโรงพยาบาล...” ลีโอพูดเหมือนคนเพ้อ เขาหน้าซีดจนแทบจะกลายเป็นสีเทา ไมธอสกำข้อมือที่ผอมแห้งของพี่ชาย เขาสูงและแข็งแรงกว่าลีโอมาแต่ไหนแต่ไร... แต่... นี่มันคนหรือหุ่นไม้กันนะ ลีโอไปอยู่โรงพยาบาลมานานเกินไป...

      เขาต้องเอาลีโอออกมาจากโรงพยาบาล นั่นคือทั้งหมดที่เขาคิดได้ในตอนนั้น

      เขาไม่สามารถโน้มน้าวลีโอให้เลิกไปโรงพยาบาลได้ เขาพยายามมาหลายเดือนแล้วและมันไร้ผล เด็กหนุ่มกัดริมฝีปาก โรงพยาบาลกำลังจะเปลี่ยนพี่ชายอัจฉริยะของเขาให้กลายเป็นคนบ้า พี่ชายที่เคยเป็นตัวป่วนของโรงเรียนและฉลาดที่สุดกำลังถูกทำลายในห้องสี่เหลี่ยมสีควันบุหรี่คับแคบนั่น

      ถึงแม้เขาจะไม่ฉลาดเท่าพี่ชาย แต่เขาก็ฉลาดพอที่จะหลอกพี่ขายในสภาพนั้น

      “ใช่ครับ เราต้องปล้นรถไฟของรัฐบาล”

      ไมธอสบอกลีโอว่าทางเดียวที่พวกเขาจะสู้กับอนาโตลีผู้คุมหัวรถจักรได้ ก็คือต้องกลายเป็นนักเวทที่เก่งที่สุดของยุคนี้ และทางเดียวที่จะรู้จักเวทมนตร์ก็คือการเข้าเรียนต่อในสถาบันแห่งแสงดาว

      “เราจะเข้าเรียนต่อในสถาบันแห่งแสงดาวด้วยกัน และผมจะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับรถไฟและคำนวณเวลาที่เหมาะสมในการจัดการทุกโบกี้ให้ทันก่อนการวาร์ปให้”

      โรงเรียนประจำ ไมธอสพึมพำกับตัวเอง ลีโอจะติดอยู่ที่นั่น และโรงพยาบาลจะห่างไกลออกไป

      หัวใจของเขาเจ็บแปลบเมื่อคิดเรื่องนี้ แต่เขาจำเป็นต้องรักษาพี่ชายไว้ เขาไม่อยากเสียลีโอไปอีกคน

      เมื่อเข้าโรงเรียน ลีโอคนเดิมก็กลับมา ฉลาด แสบ และป่วน แต่เขาไม่เคยลืมความคิดที่เขาพูดออกมาในวันนั้น “เราต้องปล้นรถไฟนะไมธอส เรามาที่นี่เพื่อสักวันเราจะได้ปล้นรถไฟ” เขาเอ่ยอยู่เสมอ

      ไมธอสเออออตามมาเรื่อยๆ จนในที่สุดเขาก็เชื่อแล้วว่าหลังจบการศึกษา สิ่งเดียวที่พวกเขาควรทำก็คือการปล้นรถไฟ ลีโออาจทำเพื่ออะไรบางอย่าง แต่ไมธอสทำเพื่อลีโอ

      “ถ้าหากเรียนจบแล้วเราสองคนกลับไปอยู่บ้าน พี่ก็จะกลับไปโรงพยาบาล” ไมธอสคิด การหางานธรรมดาๆ ให้ลีโอทำไม่อาจช่วยกันเขาจากโรงพยาบาลแน่นอน จึงต้องมีพันธะที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น

      การปล้นรถไฟมีจุดจบสองทาง หนึ่งคือโดนจับแล้วตายไปซะ หรือสองคือกลายเป็นฮีโร่ ซึ่งฮีโร่ต้องยุ่งเกินกว่าจะไปโรงพยาบาล

      บางทีไมธอสก็รู้สึกว่าตัวเองคิดเหมือนเด็กที่ทำเรื่องบ้าถึงขนาดนี้เพื่อเรื่องเล็กนิดเดียว บางทีพอเรียนจบไป ลีโออาจจะเลิกไปโรงพยาบาลได้เองโดยไม่ต้องปล้นรถไฟก็ได้ พี่โตขึ้นมากแล้ว และมันก็ตั้งสี่ปีแล้วที่มาเรียนที่นี่ เขาอาจคิดถึงเรื่องพวกนั้นน้อยลงมาก...

      แต่ส่วนหนึ่งในใจไมธอสรู้ดีว่ามันไม่ใช่แบบนั้น ลีโอยังอยากไปโรงพยาบาลอยู่ทุกลมหายใจ ดังนั้นแผนการปล้นรถไฟจึงมีแต่ต้องเดินหน้า

      ...และวันนี้มันก็พาเขามาจนถึงจุดนี้ ในรถไฟขบวนนี้ ไมธอสกำนาฬิกาพกแน่น รอเวลาเริ่มการโจมตีครั้งแรกตามที่คำนวณไว้

      “พี่ยังจำห้องในโรงพยาบาลได้อยู่มั้ย” เขาถาม จ้องมองนาฬิกาไม่หยุด

      ลีโอยิ้ม “ทุกรายละเอียด”

      พี่ชายยิ้มแล้วยิ้มอีก “ไม่น่าเชื่อว่าเราใกล้จะได้กลับไปโรงพยาบาลกันแล้วนะ”

      ไมธอสฝืนยิ้ม เขาพยักหน้า และบอกตัวเองในใจอีกครั้งว่าไม่มีทางที่ลีโอจะเลิกไปโรงพยาบาล แผนการยังต้องเดินต่อ เขามองนาฬิกาอีกครั้ง นอกหน้าต่างบ้านเรือนบางตา พวกเขาแล่นผ่านเขตเมืองมาได้สักสิบนาทีแล้ว รถไฟกำลังแล่นเข้าสู่ชนบทที่เงียบสงบ...

      “เริ่มโจมตีโบกี้แรก มีเวลาสิบห้านาที เริ่มใน ห้า สี่ สาม” ไมธอสนับ ลีโอกระโดดผลุงขึ้นยืนตรงกลางระหว่างเก้าอี้สองแถว หลังชนกับผนังด้านหน้าของโบกี้ ไมธอสมองโทรศัพท์สีเขียวแบบแป้นหมุนที่แขวนอยู่ข้างตัวพี่ชาย มันเอาไว้ติดต่อกันภายในขบวน ระหว่างที่เขามอง มันก็หลอมละลายลงไป

      “ทุกคนอยู่ในความสงบ นี่คือการปล้น” ลีโอเอ่ยอย่างเรียบง่ายเหมือนตอนที่เขาพูดสุนทรพจน์ที่โรงเรียน

      ผู้โดยสารทั้งหมดหันมามอง เสียงพูดคุยเงียบลงราวกับปิดสวิทซ์ โดยไม่มีใครจับประตูโบกี้เหวี่ยงเปิดออกเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นจับกระชาก ลมพัดกรูเข้ามาด้านในตามแรงรถไฟที่กำลังวิ่ง “อย่าขยับตัวถ้าไม่อยากเจ็บตัว” ลีโอพูดช้าๆ

      พนักงานประจำโบกี้ยืนอยู่ที่ท้ายโบกี้ เขาหยิบปืนขึ้นมา “ทำอย่างนี้ไม่ฉลาดเลยนะเจ้าหนู ถ้ามันเป็นการเล่นตลกก็กลับไปนั่งที่ซะ”

      ลีโอยกมือขึ้น ปืนบินจากท้ายขบวนเข้าสู่มือเขาที่หน้าขบวน เขาเล็งไปที่พนักงานคนนั้น “ผมไม่อยากฆ่าคุณนะ แต่ผมควบคุมกระสุนให้แล่นเข้าที่ได้เก่งมากซะด้วย เพราะงั้นอยู่นิ่งๆ”

      ชายที่นั่งอยู่ใกล้ลีโอมากที่สุดลุกขึ้นและโถมเข้าทำท่าจะแย่งปืนจากเด็กหนุ่มที่ผอมบาง แต่กลับมีเปลวไฟพุ่งเข้าใส่เขาทำให้เขาต้องผงะถอย เปลวไฟนั้นสลายไปในอากาศได้เองราวกับไม่เคยปรากฏอยู่มาก่อน ไมธอสจ้องชายคนนั้นเขม็งอย่างมุ่งร้าย

      “ใครอยากโดนย่างสดก็เข้ามาเลย” ลีโอพูด ยิ้มเหี้ยม ไมธอสหันกลับมาจ้องนาฬิกาอีกครั้ง “สิบสองนาที” เขาพูดเบาๆ

      ลีโอดีดนิ้ว ชายคนเดิมที่อยู่ใกล้เขาที่สุดลอยหวือผ่านตัวเขาออกทางประตู และถูกวางลงอย่างนิ่มนวลบนพื้นข้างรางรถไฟ รถไฟแล่นผ่านเขาไป ลีโอดีดนิ้วถี่ๆ ผู้ชาย ผู้หญิง คนแก่ เด็ก ลอยออกจากที่นั่ง เลื่อนมาตามทางเดินและผลุบออกนอกประตูไปทีละคนอย่างรวดเร็ว ลงจอดอย่างงดงามไร้ผู้บาดเจ็บด้านนอกตัวรถ และถูกทิ้งไว้ข้างหลัง “นิ่งๆ นิ่งๆ อย่าดิ้นเดี๋ยวผมทำหล่น” ลีโอบอกแต่ละคนที่ยุกยิกต่อต้าน

      ไมธอสลุกขึ้น เดินผ่านผู้คนที่ลอยหวือในอากาศไปทางท้ายขบวน ลีโอดึงพนักงานรถไฟที่ขวางทางน้องชายอยู่ออกไปวางข้างนอก เปิดประตูท้ายขบวนให้ไมธอส มันเป็นประตูเชื่อมไปยังโบกี้ถัดไป เด็กหนุ่มสวมแว่นเดินข้ามทางเชื่อมที่มีลมแรงและเคลื่อนไปมาอย่างน่าหวาดเสียวไปสู่โบกี้ด้านหลังที่มีประตูปิดเอาไว้ ลีโอเปิดประตูอีกครั้ง ไมธอสเดินเข้าไป ขณะที่พี่ชายยังคงขนย้ายคนออกไปอย่างต่อเนื่อง เขาเห็นไมธอสอยู่ไกลๆ สุดสายตา น้องชายเดินเข้าไปในโบกี้ ตะปบมือลงตรงข้างประตูอันเป็นตำแหน่งของโทรศัพท์สีเขียว

      ลีโอย้ายคนทั้งขบวนออกไปได้หมด เขาลอยผ่านโบกี้พุ่งเข้าโบกี้ด้านหลัง มันเป็นโบกี้บรรทุกของที่มีพนักงานสามคน สามคนนี้เห็นว่าบรรดาผู้โดยสารลอยออกมานั่งแปะอยู่ตามพื้นข้างรางรถไฟ คนเหล่านั้นดูตกใจ หวาดกลัว หรือไม่ก็โกรธ พวกพนักงานจึงจะเริ่มคิดว่ามีบางอย่างไม่ปกติเกิดขึ้น ดังนั้นไมธอสต้องรีบมาให้ถึงก่อนที่พวกเขาจะโทรไปแจ้งหัวขบวน และเมื่อลีโอมาถึง ประตูด้านหลังสุดของรถไฟก็เปิดออก ทั้งสามคนลอยออกไปตกอยู่ไกลๆ เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ก่อนหน้านี้

      “เร็วกว่ากำหนด” ไมธอสดูนาฬิกาแล้วเก็บมันลงในกระเป๋า เริ่มเดินกลับไปยังหน้าขบวน ลีโอคว้าแขนไมธอส และพาน้องลอยไปแทน 

      “ผมเข้าใจแล้วว่าผู้โดยสารพวกนั้นรู้สึกยังไง” เด็กหนุ่มขยับแว่นให้เข้าที่และนวดคอตัวเองขณะที่ลีโอเปิดประตูด้านหน้าโบกี้อีกครั้ง

      “โบกี้ต่อไปจะเข้าทางด้านหลังนะ” ไมธอสเตือน

      มีโบกี้ผู้โดยสารสี่โบกี้ ขณะนี้ เหลือสามโบกี้

       

      พวกเขาปรากฏตัวที่ด้านหลังของโบกี้ ทางเดินทอดยาวสู่ประตูด้านหน้าของโบกี้ ซ้ายมือเป็นห้องเล็กๆ ซึ่งเป็นส่วนเตรียมอาหารและส่วนพักผ่อนของพนักงาน ขวามือเป็นห้องน้ำขนาดเล็ก

      “บินไอ้น้อง” ลีโอส่งไมธอสไปข้างหน้าโดยไม่สนใจเสียงร้องประท้วงของน้องชาย ไมธอสลงจอดด้านหน้าสุดของโบกี้ ตะปบมือเข้าที่โทรศัพท์ มันหลอมละลาย ผู้โดยสารหลายคนร้องอย่างตกใจ ลีโอหันมาที่พนักงานประจำขบวนที่นั่งพักอยู่ในห้องด้านซ้ายมือ เขากระดิกนิ้ว ปืนลอยหวือเข้ามือเขา “นี่มันอะไรกั...” ตัวพนักงานที่ยังพูดไม่จบประโยคลอยไปด้านหน้า ประตูด้านข้างตัวรถเปิดออก และเขาก็ถูกส่งออกไป

      เสียงกรีดร้องดังต่อเนื่อง “ทุกคนอยู่ในความสงบ” ไมธอสตะโกน มือซ้ายของเขาลุกไหม้ “ไม่ร้องไม่เจ็บ นั่งอยู่กับที่ ไม่มีใครโดนย่างสด ขอบคุณครับ”

      ลีโอเดินจากท้ายขบวนมาหัวขบวน ค่อยๆ ลำเลียงคนที่เขาเดินผ่านออกไปนอกตู้รถไฟ ชายร่างใหญ่สองสามคนพยายามขัดขืนและพุ่งเข้าใส่เขา แต่ลีโอหมุนพวกเขากลางอากาศ “ระวังคอหักนะ” เด็กหนุ่มยิ้มขี้เล่นแล้วก็ดีดนิ้วส่งพวกเขาออกนอกประตู “เคลียร์”

      เหลือสองโบกี้

       

      โบกี้ต่อมาไม่มีอะไรต่างจากโบกี้เดิมมากนัก ลีโอส่งทุกคนออกไปข้างนอกแล้วและก้าวเข้าสู่โบกี้ต่อไป ตอนนี้เองที่เริ่มมีปัญหา

      พวกเขาทำตัวเหมือนเดิม เด็กหนุ่มทั้งสองปรากฏตัวที่ท้ายขบวนและประกาศว่า “นี่คือการปล้น ขอให้ทุกคนอยู่อย่างสงบ แล้วจะไม่มีใครเจ็บตัว” ประตูด้านข้างโบกี้เปิดผางออก ลีโอส่งไมธอสไปจัดการโทรศัพท์ เขาเหวี่ยงพนักงานออกไปข้างนอก เก็บปืนกระบอกที่สี่ไว้ในเสื้อคลุม และทันใดนั้น กระแสไฟฟ้าสีเงินก็ลากยาวจากประตูห้องน้ำถึงประตูห้องเตรียมอาหาร กั้นเขาไม่ให้เดินหน้าต่อไป

      ชายหนุ่มท่าทางสุขุมในชุดสีน้ำตาลยืนขึ้นและจ้องมาที่เขา “สตาร์ไลท์ไม่เคยสอนให้ใช้เวทในทางที่ผิด กล้ามากนะคุณรุ่นน้องที่ใส่ชุดนักเรียนมาปล้นรถไฟ อย่าทำให้ศิษย์เก่าขายหน้าแบบนี้สิ”

      ไมธอสตวัดมือ ลูกไฟสีแดงฉานพุ่งเข้าใส่ชายคนนั้น เขาก้มหลบ และลุกขึ้นอีกครั้ง กระแสไฟฟ้าสีเงินพุ่งจากปลายนิ้วของเขาไปที่ไมธอส ลีโอเห็นน้องชายกรีดร้อง ร่างกระตุก

      “เมธี่!” เขาตะโกนชื่อเล่นสมัยเด็กของน้อง ไมธอสล้มลงช้าๆ หัวใจของลีโอเหมือนถูกบิด เขาระเบิดพลังออกมา กระจกหน้าต่างทั้งหมดแตกออกในคราวเดียว ผู้โดยสารทั้งหมดถูกกระชากให้ลอยขึ้นติดเพดานแล้วเหวี่ยงออกหน้าต่างไปข้างนอก การลงจอดไม่รับประกันความปลอดภัย ลีโอวิ่งผ่านกระแสไฟฟ้า ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดแต่ยังวิ่งต่อไปจนถึงตัวไมธอสที่ล้มอยู่บนพื้น ไม่มีรอยไหม้ตามเนื้อตัว ดูเหมือนเพียงแค่สลบไปเท่านั้น ชุดเครื่องแบบเปลี่ยนเป็นสีดำไปเพียงบางส่วน ชุดเครื่องแบบของสตาร์ไลท์ทนทายาทต่อเวทมนตร์ทุกประการ สายฟ้าสีขาวเงินฟาดเปรี้ยงผ่านหน้าต่างที่แตกเข้ามาโดนเบาะกำมะหยี่เป็นรอยไหม้ ชายคนนั้นยังคงพยายามต่อสู้แม้ว่ารถไฟจะแล่นไกลออกมาและทิ้งเขาไว้เบื้องหลัง

      “อย่ามาผดุงคุณธรรมตอนนี้ได้ไหม” ลีโอพูด เขารู้ว่าตอนนี้รถไฟมาไกลเกินระยะที่จะยิงกระแสไฟฟ้าใส่ได้แล้ว แต่ถ้าส่งมาตามราง หรือยิงใส่ท้ายรถแล้วให้มันแล่นมา... ไม่ สมองของอัจฉริยะปฏิเสธ อย่างนั้นก็เสี่ยงฆ่าผู้โดยสารทั้งรถ ชายคนนั้นไม่เป็นปัญหาแล้วสำหรับตอนนี้ แต่ไมธอส...

       

      ที่ตู้ด้านหน้าสุดของขบวนรถไฟ

      “เสียงอะไร” ชายคนหนึ่งถามขึ้น

      “จัดคนสักสามคน ไปดูด้านหลังสิ” ชายที่นั่งอยู่ด้านหน้าสุดออกคำสั่ง ชายสามคนที่นั่งอยู่ด้านหลังสุดลุกขึ้นเดินไปปลดล็อคประตูไปสู่ทางเชื่อม และเดินออกไป คนที่เหลืออยู่ในโบกี้เดินตามมา และกดล็อคประตูโบกี้จากด้านใน...

       

      ลีโอนั่งลงไปเขย่าน้อง ไมธอสลืมตาขึ้น

      “ให้ตายเถอะครับพี่ ผมบอกแล้วอย่าเรียกผมว่าเมธี่” น้องชายยันตัวลุกขึ้น และมองเศษกระจกในโบกี้ ลมพัดเข้ามาทางหน้าต่างทุกบาน แรงและดังหวีดหวิวอย่างน่ากลัวจนรถไฟสั่นไปมา

      “นายโอเคไหม”

      “ผมทนความร้อนได้มากพอ เลยโอเคพอประมาณ” เด็กหนุ่มขยับแว่น “ปัญหาคือตอนนี้ข้างหน้าน่าจะรู้แล้วว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น เสียงกระจกแตกไม่ใช่ของเบา”

      และสายฟ้าที่ยิงเข้ามาทางหน้าต่างเมื่อกี้คงเห็นชัดไม่ใช่น้อยสำหรับโบกี้ด้านหน้า ลีโอคิดแต่ไม่บอกน้อง

      “เราต้องเปลี่ยนแผนแล้ว เลิกเงียบ จัดการให้ไวที่สุดก่อนมีคนโทรไปหัวขบวน” ลีโอพูด เปิดประตู ทั้งสองข้ามทางเชื่อมอีกครั้ง ด้านหน้านี้คือตู้เสบียง ตู้ที่ทุกคนกำลังนั่งกินอาหาร...

      ลีโอเหยียบเท้าเข้าที่ตู้เสบียง “สวัสดีคุณสุภาพบุรุษ” พนักงานเสิร์ฟเรียกเขา “ตู้ด้านหลังเรียบร้อยดีไหมครับ เรากำลังจะไปตรวจดู เราได้ยินเสียง...”

      “เสียงแบบนี้ใช่ไหม” ลีโอพูด แล้วกระจกหน้าต่างก็แตกอีกรอบ ทุกคนลอยออกนอกหน้าต่างสองฝั่งไป กระแทกลงบนพื้น

      “ลงจอดไม่นิ่มนวลนะพี่” ไมธอสติง

      “ไม่มีเวลาแล้ว” ลีโอเหาะข้ามโบกี้ ลากน้องชายที่ไม่พร้อมนักมาด้านหลัง ประตูหน้าโบกี้เปิด ไมธอสเผาโทรศัพท์ที่พวกเขาเพิ่งจะลอยผ่านไปตามหน้าที่ซึ่งพี่ชายสั่งไว้ พวกเขาข้ามทางเชื่อมและพบชายสวมหมวกทำอาหารคนหนึ่งยืนอยู่บนนั้น ดูเหมือนกำลังจะเดินมาดูต้นเหตุของเสียง ลีโอชี้ไปที่พื้นข้างรางรถไฟ แล้วเขาก็ลงไปอยู่ที่นั่นในทันที ประตูครัวเปิด พ่อครัวที่กำลังทำอาหารกันง่วนอยู่ด้านในนั้นทุกคนกำลังหยุดมือ เพราะเสียงที่เกิดขึ้นและ...

      เพราะมีผู้มาเยือนที่ไม่คาดฝัน ลีโอและไมธอสเบิ่งตากว้าง เขาไม่คิดว่าจะได้พบคนเหล่านี้ในโบกี้ห้องครัว

      ทหารของรัฐบาลในชุดปฏิบัติการสีดำพร้อมอาวุธ

       

      ทำไมมีทหารมาอยู่ในรถไฟ ลีโอคิดแต่ไม่มีเวลาพูดแล้ว เขายกมือขึ้น ปืนกลสามอันหลุดจากมือทหาร ตู้เก็บเนื้อสดเปิดผางออก ปืนเข้าไปประจำการอยู่ในนั้น ประตูตู้ปิดผึง ทั้งสามคนวิ่งเข้ามาหาลีโอ ไมธอสกางกำแพงไฟกั้นระหว่างพี่ชายกับผู้โจมตี  ลีโอยื่นมือตรงไปในอากาศ ทหารสามนายเลื่อนไปติดประตูด้านข้างของโบกี้ ประตูเปิดออก พวกเขากระเด็นออกไป ลีโอปัดมือไปทางซ้าย ส่งพวกเขาลงพื้นโดยไม่ให้ถูกรถไฟทับ ไมธอสลดกำแพงไฟลง

      “ทุกคนอยู่ในความสงบ” ลีโอพูด กระจกหน้าต่างแตกดังเปรี๊ยะ พ่อครัวสิบกว่าคนลอยหวือออกไปพร้อมกับเนื้อดิบ มีด จาน หม้อซุป และหม้อสตูว์ ดูเป็นภาพที่จัดองค์ประกอบศิลป์ได้สวยงาม

      “เคลียร์หมดทุกตู้ภายในเวลาที่กำหนด” น้องชายเก็บนาฬิกาพกใส่กระเป๋า ลีโอเดินไปสู่ประตูด้านหน้าช้าๆ จิ้มนิ้วลงในสตูว์ที่ยังค้างอยู่ในหม้อใบหนึ่งและเอานิ้วมาดูด “พี่ชักหิวแล้วนะไอ้น้อง”

      ไมธอสมองลีโอ พี่ชายหน้าซีดลง เขาเหนื่อยแล้ว...

      และที่รอพวกเขาอยู่ คือการสู้กับอนาโตลีผู้คุมหัวรถจักร... ซึ่งสองพี่น้องยังไม่แน่ใจว่าจะชนะได้

      ไมธอสกัดฟัน เขายังมีแรงเหลือมากพอ และเขาจะย่างสดอนาโตลี

      แม้ว่าพี่ชายจะสั่งให้ปฏิบัติการนี้ปราศจากการฆ่าคนก็ตาม

       

      ที่ตู้ด้านหน้าสุดของขบวนรถไฟ

      “มีบางอย่างเกิดขึ้น” คนล็อคประตูเอ่ยขึ้นเมื่อได้ยินเสียงกระจกแตกต่อเนื่อง “จะให้คนไปดูเพิ่มไหมครับ”

      “ไม่ต้องก็ได้ จากความเร็วที่เกิดขึ้นในแต่ละตู้ มันคงใกล้มาหาเราแล้วล่ะ เตรียมตัวรอมันเข้ามาดีกว่า” ชายที่นั่งอยู่หน้าสุดบอก

      “...ทุกคนเตรียมตัวนะ”

       

      ตามที่หาข้อมูลกันไว้หลังจากตู้เสบียงที่เป็นร้านอาหารแล้วก็จะเป็นครัวและหลังจากนั้นก็คือหัวรถจักร

      “หลังจากตรงนี้ต้องเป็นหัวรถจักรแล้วสินะ ฟังนะ เห็นอนาโตลี นายซัดเขาให้หมอบก่อนเขาจะรู้ตัว เพราะถ้าเขาตั้งตัวแล้ว เราสู้ไม่ได้แน่ เอา สาม สอง หนึ่ง” ลีโอเปิดประตู

      ภาพที่เห็นเบื้องหลังประตูทำให้เด็กหนุ่มสองคนนิ่งอึ้ง เพราะแทนที่มันจะเชื่อมเข้ากับหัวรถจักร มันกลับเชื่อมเข้ากับโบกี้อีกหนึ่งโบกี้

      “หมายความว่ายังไงไมธอส ข้อมูลของนายบอกว่ามันต้องไม่มีแล้ว” ลีโอร้อง

      “ข้อมูลของผมรวบรวมมาจากผู้โดยสารที่ขึ้นรถในปีก่อนๆ ดังนั้นมันอาจจะเป็นอะไรที่พวกผู้โดยสารไม่รู้ อย่าง...ตู้บรรทุกของอีกตู้ก็ได้พี่” ไมธอสพูด แต่เขาไม่ได้คิดเช่นนั้นเลย

      ตู้บรรทุกของอยู่ท้ายขบวนไปแล้ว และผู้โดยสารที่มีสิ่งของขนาดใหญ่ก็รู้ดีว่าสัมภาระของตนถูกเก็บไว้ที่นั่น รวมกับของจำเป็นในการบริการอื่นๆ ข้าวของพวกนั้นมันควรอยู่ใกล้ผู้โดยสาร ไม่ใช่แอบอยู่หลังครัว และในครัวก็มีส่วนสำหรับเก็บวัตถุดิบมากเกินพอแล้ว

      ไมธอสก้าวไปที่ทางเชื่อม “ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร เราต้องรีบเปิดแล้วจัดการให้เสร็จ ไม่งั้นเราจะเสียเวลา และรถไฟจะวาร์ป เราต้องไปถึงตัวอนาโตลีก่อนจะวาร์ป” เด็กหนุ่มแตะประตูแต่ลีโอดึงมือเขาออก จ้องหน้าไมธอส

      “ฉันคิดอย่างหนึ่งมาตลอด ข้อมูลเรื่องรถไฟที่นายรวบรวมมา...ฉันคิดว่าการป้องกันมันน้อยเกินไป...” ลีโอพูด หน้าของเขาซีดลงเรื่อยๆ “นี่คือรถไฟของรัฐบาล หัวรถจักรนี้คือสิ่งมีค่าของรัฐบาล ถ้าไม่มีมันประเทศของเราล่มจมแน่ และพวกเขาไม่น่าปล่อยให้คนที่ไหนก็ได้ที่มีเงินขึ้นรถไฟนี้โดยไร้การป้องกัน ต่อให้อนาโตลีเก่งแค่ไหนเขาไม่มีทางลุยเดี่ยว อาจจะมีโจร ขบวนการผู้ก่อการร้ายห้าสิบคน เขาต้องเตรียมการป้องกัน ตู้ที่อยู่ตรงหน้าเรานี้ ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม มันป้องกันหัวรถจักร และไม่ง่ายที่จะจัดการแน่ๆ”

      ไมธอสเข้าใจสิ่งที่พี่พูดในทันที หน้าเขาถอดสี “ทหาร...”

      “เราเหลือเวลาเท่าไหร่ก่อนจะวาร์ป” พี่ชายถาม

      “ครึ่งชั่วโมง”

      ลีโอสบตาไมธอส และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เราตายแน่”

      เขามองหน้าน้องและกล่าวต่อไป “ลงรถตอนนี้ยังทันนะ นายก็แค่ทำมันกลายเป็นรถไฟเปล่า เด็กเล่นสนุก โทษไม่หนักหนา ไม่สิ หนักแน่ คนที่กล้าแหยมกับรถไฟของรัฐบาล แต่อย่างน้อยก็ไม่ถึงตาย พี่จะส่งนายลง”

      “ไม่ครับ ผมไม่ไปถ้าพี่ไม่ไป” ไมธอสคว้าข้อมือลีโอ จับแน่น “ผมบอกแล้วไง เกมนี้ถ้าเราทำสำเร็จเราจะกลายเป็นวีรบุรุษ ถ้าเราพลาดเราก็ตาย ผมเตรียมตัวตายตั้งนานแล้ว”

      “เราเสียเวลาไม่ได้แล้ว” เด็กหนุ่มสวมแว่นหันไปที่ประตู บานนี้มันล็อคจากด้านใน หมายความว่าไม่อนุญาตให้เข้าออก แม้แต่พนักงาน ไม่ใช่ตู้บรรทุกของ...

      ไมธอสจับประตู และมันหลอมละลาย ไหลลงไปตามพื้น ลีโอกระโดดลอยขึ้น เหล็กร้อนๆ ลวกไปทั่วทางเชื่อม ไมธอสยืนอยู่ที่นั่น มีของเหลวหนืดๆ ร้อนร้อยองศาท่วมถึงเข่า ราดลงไปยังรางรถไฟ กลิ่นไม้หมอนไหม้กระทบจมูก

      ทุกคนด้านในหันมามอง พวกเขาลุกจากที่นั่งในทันที หันมาทางเด็กทั้งสอง ยกปืนขึ้นประทับบ่า มันคือโบกี้โดยสาร เก้าอี้สองแถวซ้ายขวาอย่างที่เคยเห็นสี่ตู้ที่ผ่านมา...

      เพียงแต่ว่า ผู้โดยสารทั้งหมดของตู้นี้เป็นทหารในชุดเครื่องแบบดำปิดหน้าและพร้อมยิง

      โดยไม่ต้องสอบถามใดๆ ก่อน พวกเขาลั่นไก หัวรถจักรของรัฐบาลสำคัญกว่ากฎห้ามฆ่าคนบริสุทธิ์ และคนบริสุทธิ์ประเภทไหนกันเล่าที่จะบุกมาถึงตู้ทหารและหลอมประตูจนละลายเช่นนั้น

      เด็กหนุ่มอัจฉริยะยกมือขึ้นราวกับกำลังห้ามไม่ให้พวกเขายิง แต่ลีโอไม่ได้ห้ามคน

      กระสุนทั้งหมดหันหัวลงปักพื้นรถไฟ กระสุนถูกกราดยิงออกมาอีกครั้ง ลีโอสกัดมันอีกหน ปักลงพื้น เขาชี้มือขึ้นในอากาศ ปืนในมือของคนเหล่านั้นลอยขึ้นไปติดเพดานรถไฟและค้างอยู่อย่างนั้น ลีโอฉวยจังหวะที่ทหารแต่ละคนเงยหน้ามองอย่างงุนงงกระโดดขึ้นหลังคา ยกไมธอสให้กระโดดขึ้นตามมา

      “เราวิ่งบนหลังคาไปจนถึงหัวรถจักรได้ไหมครับ” ไมธอสถาม

      “นายจะพาทหารทั้งกองร้อยไปด้วยกับเราหรือไงล่ะ โดนสอยแหงแซะสิ” ลีโอโวย

      “แล้วตอนนี้ทำยังไง” น้องชายถาม

      “คิด!” เสียงตะโกนตอบยังไม่ทันขาดคำดี ร่างในชุดดำร่างหนึ่งก็ปีนขึ้นหลังคาตามพวกเขามาติดๆ ลีโอวาดมือในอากาศ ส่งทหารคนแรกลอยออกไป เขาดันให้นายทหารออกห่างไปไกลขึ้นเรื่อยๆ ไกลกว่าที่ส่งผู้โดยสารและพนักงานคนอื่นๆ และจงใจปล่อยลงกระแทกพื้น เขาหันมาและส่งคนที่สองให้ออกไป ลมบนหลังคารถไฟแรงมาก พัดเครื่องแบบสีขาวทองให้กระพือไปในสายลมที่เจือควันสีดำจากหัวรถจักร

      “ซัดร่วงให้หมด” ไมธอสบอกพี่

      “ถ้ามันง่ายอย่างนั้นก็ดี...” ลีโอพูดยังไม่ทันขาดคำ กระจกหน้าต่างก็แตกออกโดยที่เขาไม่ได้ทำ น้ำจำนวนมหาศาลราวกับคลื่นม้วนออกจากกระจากสาดเข้าใส่พวกเขาบนหลังคารถไฟ คลื่นนั้นแรงพอที่จะสาดไมธอสและทหารอีกสามสี่คนให้กระเด็นออกจากการเกาะกุม

      “เมธี่” ลีโอลอยหวือขึ้นและลากน้องชายลอยเข้าหาตัว

      “เกลียดชื่อนี้จริงๆ เลย” ไมธอสพึมพำ

      “มีผู้ใช้เวทอยู่ในโบกี้” ลีโอตะโกน

      “ผมรู้ครับ คงไม่ใช่พนักงานดับเพลิงหรอก”

      “อนาโตลี” ลีโอพึมพำกับตัวเอง ข้อมูลเวทที่ถนัดของอนาโตลีไม่เคยเปิดเผยสู่สาธารณะ เขาไม่คิดว่าจะเป็นน้ำ...

      “เด็กที่ลอยได้คงไม่ปลิวจากหลังคารถไฟง่ายๆ สินะ” เสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลังของพวกเขา ชายหนุ่มในชุดทหารสีดำแต่ไม่ปิดหน้ายืนอยู่ในคลื่นที่สาดออกมาจากหน้าต่าง เขาสาดตัวเองขึ้นมายืนบนหลังคารถและปล่อยให้น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำตามธรรมชาติ เขายืนนิ่งบนรถไฟที่แล่นไวจนส่ายอย่างรุนแรง แต่ใบหน้าคมคายที่ไว้หนวดสวยดูนิ่งสงบ เส้นผมสีน้ำตาลทองเปียกปอนลู่ลงติดหน้าผากและแก้ม น้ำหยดติ๋งๆ ลงจากเสื้อผ้าของเขา แววตาสีเขียวจ้องมายังเด็กหนุ่มทั้งสอง ลีโอจ้องตาตอบ รู้สึกไม่สบายใจ คนๆ นี้แลดูสงบเกินไปสำหรับเหตุการณ์ตรงหน้า

      นี่สินะปฏิกิริยาของคนที่มีฝีมือระดับประเทศ ลีโอกัดฟันนึกในใจ

      ทหารคนแล้วคนเล่ายังคงปีนขึ้นมาบนหลังคา ลีโอส่งพวกเขาออกไปไกลแสนไกลตามลำดับที่โผล่กันขึ้นมา  เขาลองดันนักเวทออกจากขบวน แต่ชายคนนั้นก็ยังใช้คลื่นพาตัวเองกลับมาได้เหมือนเก่า  ทหารในโบกี้ไม่ปีนขึ้นมากันอีก คงรู้ว่าขึ้นมาไปก็เสียเปล่า ...พวกเขาคงเชื่อว่านักเวทคนนี้จะเก็บลีโอกับไมธอสได้

      ลีโอคิดอะไรขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง เขาส่งน้องลงไปที่ข้อต่อทางเชื่อมระหว่างหัวรถจักรกับโบกี้ที่ตัวเองยืนอยู่ “ตัดให้ขาดจากกันซะ”

      “ถ้าคิดว่าจะง่ายขนาดนั้น” ชายคนนั้นหัวเราะ คลื่นจำนวนมหาศาลโถมลงจากเพดานใส่ไมธอสที่อยู่ตรงทางเชื่อม ลีโอกระโดดหนีน้ำไปเกาะบนหัวรถจักรแทน คลื่นสาดลงใส่หัวไมธอสซึ่งเปียกอยู่แล้วจากรอบแรกให้เปียกซ้ำอีกหน

      “พี่ แบบนี้จุดไฟไม่ขึ้นหรอก” เด็กหนุ่มสวมแว่นพยายามใช้นิ้วเช็ดน้ำบนเลนส์ออก “มองไม่เห็นด้วย”

      ลีโอไม่ตอบ เขากำลังมองไปยังมือของนักเวท สายน้ำขนาดเท่าท่อดับเพลิงก่อตัวขึ้นในมือของชายคนนั้น มันหมุนอย่างรวดเร็ว ตรงปลายแหลมขึ้นๆ จนดูเหมือน...หัวสว่าน

      “โอ้ ไม่ตลกแล้ว” ลีโอเลื่อนขึ้นไปอยู่สูงกว่าเดิมสองเมตร น้ำสายนั้นพุ่งออกจากมือนักเวทเหมือนมังกร เลื้อยตามการบินหนีของเขา

      “โอ้ โอ้ โอ้ ไม่สนุกเลย การที่เราไม่ฆ่าแต่อีกฝ่ายกะจะทะลวงไส้เลยเนี่ย ไม่ยุติธรรมแฮะ” ลีโอหันไป พยายามผลักมังกรหัวสว่านให้เงยหน้าขึ้น แต่มันถูกจับให้กดลงเหมือนเดิมภายในเวลาไม่นาน เขาเงยหน้ามันขึ้นอีก ลอยถอยหลังหนี และมันก็ตามมาไม่หยุดหย่อน จนตอนนี้เขาลอยห่างออกจากรถไฟมากเกินไปแล้ว...

      นักเวทจ้องไปที่ลีโอ ขณะเดียวกันคลื่นน้ำจากตัวเขาก็สาดลงไปที่ไมธอสเป็นระยะๆ เด็กหนุ่มคนน้องไม่มีทางหลบไปไหนได้ เขายืนอยู่บนพื้นที่ทางเชื่อมแคบๆ บนรถไฟที่กำลังวิ่ง และตอนนี้แผ่นเหล็กที่เขายืนอยู่ก็เปียกชุ่มชวนลื่นเอาการ

      “ถ้าร่วงก็โดนล้อเหล็กเหยียบนะ” ไมธอสบอกตัวเอง จับส่วนประกอบของหัวรถจักรแน่น แต่มันเปียกและชวนให้หวาดเสียวดีไม่น้อย

      นักเวทคนนั้นมองลีโอ และควบคุมสว่านน้ำให้พยายามทะลวงกลางร่างเขา เด็กหนุ่มลอยถอยหลังหนีไปพลาง พยายามหันหัวสว่านให้ไปทางอื่นไปพลาง ส่วนไมธอสนั้นเมื่อพี่ชายอยู่ไกลก็ไปไหนไม่ได้ เขาทำได้แค่เกาะทางเชื่อมที่เปียกจนลื่นไปหมดให้แน่นพอที่จะไม่ร่วงตกลงไป

      คลื่นน้ำจำนวนมากกว่าเดิมโถมขึ้นเหนือหลังคา เตรียมจะถล่มลงที่ไมธอส มันคงแรงมากพอจะพัดเด็กหนุ่มลงไปสังเวยล้อเหล็กที่ฟาดรางอยู่ข้างล่างนั่น

      “หยุด วิชอว์” เสียงหนึ่งฟาดกลางอากาศและทำให้คลื่นที่โถมตัวขึ้นค้างอยู่ราวกับกลายเป็นน้ำแข็ง นักเวทชุดดำหันไปยังร่างที่ขึ้นมานั่งอยู่ข้างปล่องของรถไฟตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

      “ฉันบอกพวกเขากี่ครั้งแล้วว่าอย่าส่งนักเวทสายน้ำมาคุมรถไฟ นายกะจะให้น้ำไหลลงไปในตัวเครื่องหรือไง พังหมดสิครับท่าน” ชายหนุ่มผมทองยาวสลวยในชุดพนักงานขับรถไฟสีกรมท่าขลิบทองขยับหมวกของตนอย่างเหนื่อยหน่าย นักเวทชุดดำจ้องชายหนุ่มผมทองและทำให้คลื่นขนาดยักษ์หายไป แต่สว่านที่เตรียมทะลวงลีโอยังคงอยู่

      “เป็นฉากการตายที่สวยแน่ๆ” ชายผมทองพูดเมื่อหันไปเห็นลีโอ เขาดีดนิ้ว ลีโอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง แต่อยู่ๆ เขาก็มาอยู่บนหัวรถจักร ถูกชายในชุดพนักงานขับรถคนนี้ล็อคคอไว้แน่น

      นี่ต่างหากอนาโตลี ฟาน เบอร์ทาลานฟ์ ลีโอรู้ได้ในทันที เขาหันไปมองชายไว้หนวด ในกองกำลังปกป้องหัวรถจักรมีนักเวทมาด้วย รัฐบาลเองก็คงเตรียมการรัดกุมรอบคอบสินะ...

      แล้วทำไมเขาถึงกลับมาอยู่ที่นี่ ลีโอคิด ถูกดึงให้ลอยกลับมาอย่างรวดเร็วงั้นรึ ไม่ เขาเชี่ยวชาญด้านนี้ เขาต้องรู้ถ้าตัวเองลอยกลับมา แต่นี่มันเหมือนเขาอยู่ตรงนั้น แล้วก็ กะพริบตา เขามาอยู่ตรงนี้

      มันเหมือนกับ วาร์ป...

      เขาคิดอะไรขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง และสิ่งที่เขาคิดได้ก็ทำให้เรี่ยวแรงเหมือนจะหายไปหมดทันที

      สว่านน้ำพุ่งกลับมาทางเขาอย่างรวดเร็ว ติดตามลีโอตามคำสั่งของเจ้านาย อนาโตลีมองหน้าวิชอว์ ชายในชุดทหารพยักหน้าเหมือนจำยอม สว่านถอยห่างออกมาหนึ่งเมตรและนิ่งค้างในระยะนั้น แต่ยังคงหมุนช้าๆ อยู่ตรงหน้าลีโอ

      “ผู้โดยสารของเราไปไหน ฆ่าหมดแล้วเหรอ ถ้าฆ่าคนเยอะขนาดนั้นในเวลาแค่นั้นได้ แค่วิชอว์ทำไมไม่เอาให้เหี้ยน” อนาโตลีหันมาถามลีโอในอ้อมแขน ส่วนวิชอว์จ้องหน้าอนาโตลีเหมือนจะบ่นแต่ไม่ได้พูดอะไร

      “ทิ้งไว้ตามทาง ทุกคนปลอดภัยดี” ลีโอบอก

      “ปล้นหมดตัวแล้ว” อนาโตลีถาม

      “เปล่า”

      “จะเอาอะไร” อนาโตลีถาม “ไม่ใช่การมาสังหารหมู่บูชาลัทธิ ไม่ใช่เพื่อเงิน ในรถนี่ไม่มีอะไรให้เอาสักอย่าง ทำเพื่ออะไรเนี่ย”

      “ฆ่าพวกผมซะ” ลีโอพูด ขาเขาอ่อนลง เขารู้แล้วว่าแผนการครั้งนี้ไม่มีทางสำเร็จได้อีกแล้ว เขารู้ตั้งแต่เขาอยู่ในอ้อมแขนของอนาโตลี...

      “ฉันอยากรู้ว่าพวกนายทำเรื่องบ้านี่ทำไม มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่ปล้นรถไฟที่ไม่มีอะไรขบวนนี้ และคนบ้ามีจุดประสงค์เสมอ” อนาโตลีล็อคคอลีโอแน่นขึ้น

      “พูดไปก็ตายอยู่ดี ผมยอมตายเดี๋ยวนี้ดีกว่าเสียศักดิ์ศรีให้คุณหัวเราะ” ลีโอตะโกน “ฆ่า ผม ซะ”

      “ทำไมฉันต้องหัวเราะนายด้วยล่ะ” อนาโตลีถาม แต่ลีโอนิ่งเงียบ

      “จะให้ตามที่ขอก็แล้วกัน” วิชอว์พูด สว่านหมุนไวขึ้นอีกครั้ง แต่อนาโตลีส่งเสียงปราม

      “จุ๊ๆ วิชอว์ เพื่ออะไรล่ะ เด็กนี่ไม่ได้อะไรไปเลย ไม่มีใครตาย สิ่งที่พวกนายต้องปกป้องก็ยังปกติดี เราต้องจับตายคนไม่มีทางสู้งั้นหรือ เข้าคุกก็พอแล้วมั้ง รุ่นน้องสตาร์ไลท์แท้ๆ เมตตาหน่อยสิ”

      “ตกลงทำเพื่ออะไรกันหา” อนาโตลีหันมาถามลีโออีกครั้ง

      “เมื่อกี้ได้ยินเด็กอีกคนเรียกนาย นายเป็นพี่ชายใช่ไหม นี่คุณพี่ ฉันอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้นะ วิชอว์ชอบวิสามัญในที่เกิดเหตุ นายจะพูดหรือว่านายจะให้น้องตายล่ะ...”

      ข้อเสนอของอนาโตลีทำให้ลีโอต้องยอมกลืนศักดิ์ศรี หากเขากับน้องยังพอมีทางรอด เขาก็ควรคว้าทางนั้น

      “ผมคาดการณ์ผิด” ลีโอพูดช้าๆ

      “นายคิดอะไรผิดล่ะ” อนาโตลีถามอย่างขี้เล่น เป็นครั้งแรกที่ลีโอเจอคนที่เก่งกว่าเขา และขี้เล่นยิ่งกว่าเขา และเขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมไมธอสถึงไม่ชอบนิสัยนี่เอาซะเลย

      ลีโอกัดฟัน ตอบเบาๆ “...มันไม่มีแกนวาร์ป”

      เพียงเท่านั้นอนาโตลีก็ระเบิดหัวเราะออกมาดังลั่น ปล่อยให้วิชอว์ตามบทสนทนาไม่ทัน อัจฉริยะสองคนคุยกันเอง เข้าใจกันเอง

      “เดี๋ยวๆ เด็กนี่ต้องการอะไร” วิชอว์ถาม

      “หัวช้าจริงๆ วิชอว์” อนาโตลีส่ายหน้า “เขาคิดว่ารถไฟคันนี้วาร์ปได้ และเขาคิดจะฆ่าพวกเราเพื่อควบคุมรถไฟแทน วาร์ปไปที่บ่อน้ำมันเอง แต่ไม่ มันคือความคิดที่ผิด รัฐบาลบอกประชาชนว่ารถไฟคันนี้วาร์ปได้ แต่ความจริงคือ ฉันต่างหากที่วาร์ปได้ ฉันวาร์ปรถไฟทั้งขบวนไปที่มิติอื่น และเมื่อมันเป็นอย่างนั้น ถ้าเขาฆ่าฉัน ทุกอย่างก็จบ ใช่แล้วเด็กน้อยเธอคิดผิดอย่างที่เธอเพิ่งรู้นั่นแหละ วิชอว์กับลูกน้องเขาไม่ได้อยู่ที่นี่เพื่อปกป้องหัวรถจักร เขามาปกป้องฉัน...ซึ่งความจริงไมจำเป็น”

      “และผมไม่มีทางเปลี่ยนใจคุณได้ใช่ไหม” ลีโอถามอนาโตลี

      “ไม่แน่นะ เธออยากไปบ่อน้ำมันทำไมล่ะ” อนาโตลีถามกลับ

      “ผมไม่ได้อยากไปบ่อน้ำมัน ผมอยากได้ดอกไม้” ลีโอบอก และอยู่ๆ เขาก็ยิ้มอย่างขมขื่น

      “ดอกไม้?” อนาโตลีถาม

      “ครับ ดอกไม้”

      คำตอบของลีโอทำให้อนาโตลีนิ่งไป เขาเหม่อมองสองข้างทางที่รถไฟแล่นผ่านด้วยความเร็วสูง

      “ที่บ่อน้ำมันไม่มีดอกไม้หรอก” วิชอว์พูด “มันก็เหมือนที่นี่แหละ แห้งแล้ง เป็นทะเลทราย”

      “เขาไม่ได้หมายถึงที่นั่น” อนาโตลีดุวิชอว์ “เขาหมายถึงที่แห่งอื่น”

      นักเวทผมยาวก้มมองคนที่เขาล็อคเอาไว้ “แม้แต่รัฐบาลยังไม่อยากทำโครงการนี้เลยนะไอ้หนู”

      “พวกเขาตามืดบอด...” ลีโอเอ่ย จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าอ้อมแขนนั้นคลายความแน่นลง

      “นายอยากเปลี่ยนโลกรึ” อนาโตลีถามเสียงแผ่ว

      “เปล่าครับผมแค่...” ลีโอกำลังจะตอบ ตอนที่เขารู้สึกว่ารถไฟกระตุกอย่างแรง และวิชอว์ดูห่างออกไปข้างหลัง นักเวทชุดดำร้องด้วยความโมโห ลีโอมองภาพวิชอว์ที่ห่างออกไปทุกทีและตระหนักว่าพวกเขาต่างหากที่กำลังเคลื่อนไหว พวกเขาแล่นมาข้างหน้าและวิชอว์หยุดนิ่งไม่ตามมาด้วย เพราะ...

      ทางเชื่อมระหว่างหัวรถจักรกับโบกี้ที่วิชอว์ยื่นอยู่ถูกตัดขาดแล้ว

      “สู้ตอนนี้แล้วมันจะได้อะไรขึ้นมาหรือเมธี่” ลีโอพึมพำกับตัวเอง

      “มันเพิ่งแห้งครับพี่ และผมก็ทำตามคำสั่งพี่เสมอ เพราะหนึ่งคนยังดีกว่าสองคน” ไมธอสบอก และมังกรที่ทำจากไฟตัวหนึ่งก็เลื้อยขึ้นจากทางเชื่อมฉกเข้าหาอนาโตลี... แน่นอนว่าต้องผ่านลีโอที่ถูกล็อคไว้ไปก่อน

      “อย่าสั่งให้ไฟของนายเผาใครถ้านายไม่เห็นว่าพี่อยู่ไหน” ลีโอตะโกนลั่น “พี่อยู่ระหว่างเขากับมันโว้ย”

      มังกรผงะออกมา ไมธอสที่ปีนขึ้นมาที่ด้านบนได้โผล่หัวขึ้นมานิดหนึ่งและมองภาพด้านบนอย่างสนใจ

      “เปลี่ยนแผนไอ้น้อง ฆ่าเขาเราจบ เขาคือแกนวาร์ป” ลีโอตะโกน เอาเท้าเตะไล่มังกรไฟไปกลายๆ

      “เปลี่ยนแผนครับพี่ชาย ช่างเรื่องดอกไม้เถอะ ผมจะเผาเขาแล้วเราก็หนี” ไมธอสบอก

      “เปลี่ยนแผนเด็กๆ ฉันเอาด้วย” อนาโตลีปล่อยลีโอออก และหันไปจับปล่องรถไฟ “เกาะแน่นๆ เราจะวาร์ปแล้ว อย่าให้หลุด”

      “อะไรนะ” ลีโอถาม

      ไมธอสนิ่ง ยังไม่เข้าใจว่าอะไรเกิดขึ้น เขาเคยเห็นพี่ชายทำเรื่องบ้าๆ มามากมาย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคนทำ

      เรื่องบ้ากว่าพี่

                      “ไปตามหาดอกไม้กัน” อนาโตลีเอ่ย เขาจับปล่องรถไฟแน่น “เกาะ...ดี...ดี...”

                      “อย่าคิดจะทิ้งกันง่ายๆ” วิชอว์ตะโกน เขาใช้คลื่นส่งตัวเองมาจากโบกี้ที่หยุดแล้วและลงจอดราบเรียบบนหัวรถจักร

      “โอ๊ย ฉันเกลียดนาย” อนาโตลีบ่น

      “ผมจะจัดการเด็กสองคนนี้ แล้วเรากลับไปทำงานตามปกติ” วิชอว์พูด

      “ไม่เอา ฉันเข้ากับพวกเขาแล้ว” อนาโตลีบอกอย่างไม่สมกับอายุที่เขามี แต่ดูเหมือนวิชอว์จะชินแล้ว

      “อย่าเอาแต่ใจสิครับ” ชายไว้หนวดเอ่ยอย่างสงบ “ผมจะหาอะไรให้คุณสนุกกว่านี้”

      แววตาสีม่วงของอนาโตลีจ้องตาวิชอว์ และเจ้าของดวงตาก็ขยับยิ้ม เอ่ยว่า “ไม่มีอะไรสนุกกว่าการตามหาดอกไม้แล้ว วิชอว์”

      นักเวทชุดดำรู้นิสัยอนาโตลีดี ถ้าเขาลองได้ของถูกใจเข้าแล้วยังไงเขาก็ไม่ยอมเปลี่ยนใจแน่ ต่อให้ฆ่าเด็กพวกนี้ซะอนาโตลีที่อยากได้ดอกไม้ก็จะหนีไปหาดอกไม้อยู่ดี ทางเดียวที่จะทำได้ตอนนี้คือปล่อยให้ทำไปก่อน พอเบื่อก็ค่อยพากลับ

      “งั้นผมขออนุญาตเดินทางไปด้วย คุ้มครองคุณตามคำสั่งรัฐบาล” วิชอว์บอก “ถ้าเสียคุณ ประเทศเราแย่แน่”

      “จะไปคุมไม่ให้ฉันหนีล่ะสิ คอยเอากลับมาทำงาน” อนาโตลีทำหน้าบึ้ง “ไม่ วิชอว์ ฉันวาร์ปนายกลับบ้านไปหาเมียนะ ตกลงนะ”

      “ผมหย่าไปสองอาทิตย์ก่อน กรุณา-อย่า”

      “ฉันวาร์ป ฉันกำหนด ฉันไม่เอานายไป” อนาโตลีชี้หน้าวิชอว์

      “คุณเข้ากับพวกเรานะ” ลีโอเอ่ย “คุณควรถามเรา...สักนิด”

      “นายคิดว่าจะควบคุมฉันได้เหรอ” คนขับรถไฟถาม

      “เดี๋ยวครับ คือ เขาเข้ากับเราแน่แล้วใช่ไหม คือผมตามไม่ทัน” ไมธอสถามพี่

      ลีโอมองหน้าน้อง เขารู้สึกปวดหัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาเอ่ยออกมาช้าๆ

      “นายรู้จักพี่ นายก็รู้ว่าพี่พูดอะไร พี่หมายความว่าอย่างนั้นแหละ ไม่ว่ามันจะบ้าขนาดไหน ถ้าพี่บอกว่าเราสองคนจะใส่ชุดนักเรียนมาปล้นรถไฟของรัฐบาล พี่หมายความว่าอย่างนั้น และคนๆ นี้” เขาชี้อนาโตลี “เป็นยิ่งกว่าพี่”

      “ผมอยากถอนตัวจากการเดินทางครั้งนี้ขึ้นมาเลย” ไมธอสคราง

      “เราขัดเขาไม่ได้หรอก อีกอย่างเราต้องพึ่งเขาในการวาร์ป ตอนนี้คงได้แต่ร่วมเดินทางกันไปแล้วล่ะ” ลีโอกระซิบกับน้อง

      “อนาโตลี เอาผมไปด้วย” วิชอว์พูดเสียงดุ

      “ไม่ มีเหตุผลสองข้อ หนึ่ง เพราะนายตามมาคุ้มกันฉัน ซึ่งมันไม่จำเป็น สอง เพราะนายตามมาเพื่อจะเอาฉันกลับไปทำงาน ซึ่งฉันไม่อยาก” อนาโตลีกล่าว ยกมือขึ้น วิชอว์รู้ตัวว่าเขากำลังจะถูกวาร์ปกลับตัวเมือง เขาจึงรีบขัด “ไม่ครับ ไม่ๆ”

      ลีโอกับไมธอสมองตาวิชอว์ คนๆ นี้ดูสงบนิ่งแม้แต่ในสถานการณ์ที่เขาน่าจะรู้สึกปวดหัวสุดๆ อย่างนี้ มีอย่างที่ไหนพวกเดียวกันกลายเป็นพวกอื่นซะเฉยๆ วิชอว์แทบไม่มีเวลาคิดตอนที่เขาพูดกับอนาโตลีว่า

      “ผมไม่อยากกลับบ้าน ผมเพิ่งหย่าสองอาทิตย์และไม่อยากกลับบ้าน คุณเข้าใจนี่ อนาโตลี เอาผมไปที่ไหนก็ได้ที สุดขอบโลก ปลายสายรุ้ง ผมไปทุกที่ อย่าส่งผมกลับไปที่นั่น...”

      อนาโตลีมองหน้าวิชอว์ นิ่งคิดก่อนจะพูด

      “รับข้อเสนอ...” เขาชี้ไปทางห้องควบคุม “นายไปด้วยได้ ไม่ใช่เพราะฉันเชื่อเรื่องที่นายพูด ฉันรู้ว่านายพูดเพื่อให้ฉันคิดว่ามันบ้าบอดีและเอานายไปด้วย ฉันรู้ว่านายจงใจพูด แต่เห็นแก่การที่นายคิดแผนนี่และยอมพูดประโยคบ้านั่นออกมา มูลค่าของมันเท่าตั๋วรถไฟ เราไปด้วยกัน...แล้วอย่าขัดใจฉันละวิชอว์”

      “ตกลงครับ” นักเวทชุดดำพยักหน้า

      ไมธอสนิ่งคิด

      “พระเจ้า เขาคุมอนาโตลีได้” ลีโอพึมพำ “ถึงจะไม่เหนือกว่า แต่อย่างน้อยก็ได้สิ่งที่เขาต้องการไปล่ะ”

      ไมธอสยังคงนิ่งคิด

      “เป็นอะไรรึเปล่า” ลีโอถามน้อง

      “เปล่าครับ” ไมธอสตอบ แต่ในหัวของเขาคิดอะไรอย่างบ้าคลั่งและหันไปมองวิชอว์อย่างชื่นชม

      ไมธอสคุมพี่ไม่ให้ไปโรงพยาบาลได้ด้วยการปล้นรถไฟ แต่วิชอว์แค่มีปัญหากับภรรยาก็คุมอนาโตลีได้แล้ว ช่างเก่งกาจเสียจริงๆ เด็กหนุ่มมองนักเวทชุดดำด้วยดวงตาเป็นประกายวิบวับ ส่วนลีโอก็มองหน้าน้องอย่างงุนงง

       

      “โอเค สรุปเราตกลงกันแล้วนะ วิชอว์ นายช่วยทำให้ตัวเองกับเด็กสองคนนี้แห้งขึ้นหน่อยที” อนาโตลีบอก วิชอว์ส่ายหน้าแต่ดีดนิ้ว น้ำถูกดึงออกจากเสื้อผ้าและผมของลีโอกับไมธอสภายในพริบตา นักเวทชุดดำยกมือขยี้ผมลวกๆ

      “ถ้าแห้งขึ้นแล้ว งั้นเราเข้าไปข้างในหัวรถจักรกันเถอะ  ไม่อยากวาร์ปแบบมีใครหลุดไประหว่างทาง”

      “แล้วทำไมเมื่อกี้รีบวาร์ปจัง” วิชอว์ถาม

      “หนีวิชอว์” อนาโตลีตอบและทำให้คนถามกุมขมับ

      พวกเขาทั้งสี่กลับเข้าไปอยู่ในหัวรถจักรของอนาโตลีตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ลีโอกลืนน้ำลาย ความเก่งกาจของอนาโตลีทำให้เขาชักแหยง ที่ผ่านมาเขาเคยแต่ทำให้คนอื่นแหยงมาตลอด แต่ตอนนี้สถานการณ์กลับกันแล้ว

      ภายในหัวรถจักรกว้างกว่าที่คิด มีแผงควบคุม เก้าอี้ควบคุม และที่ว่างด้านหลังที่เป็นม้านั่งยาวตัวหนึ่ง นั่งได้สองคนก็หรูแล้ว สรุปคือสามารถบรรจุทั้งสี่คนอยู่ได้อย่างค่อนข้างเบียดเสียด ไมธอสมองสำรวจไปรอบๆ และพบบางสิ่ง “ไม่มีถ่านหินเก็บไว้หรือครับ เราจะไปได้ไกลขนาดไหนโดยไม่มีเชื้อเพลิง”

      เห็นๆ อยู่ว่า ดิ อาชาไนยพ่นควันโขมง ดังนั้นมันต้องสันดาปถ่านหิน ทว่าในหัวรถจักรนี้กลับไม่มีถ่านหินเก็บไว้เลย ไมธอสจึงสงสัยว่าแล้วถ้าไม่มีแหล่งพลังงาน พวกเขาจะไปได้ไกลแค่ไหน

      “เชื้อเพลิง” อนาโตลีส่ายหน้ายิ้มๆ เขานั่งลงบนที่นั่งคนขับ ลีโอมองเก้าอี้ที่รูปร่างแปลกพิกลตัวนั้นแล้วครางออกมา

      “ทั้งคันรถ” ลีโอตะโกน “ลากรถบรรทุกน้ำมันทั้งคันรถ ไป กลับ ข้ามมิติ ทุกวัน” เด็กหนุ่มกรีดร้องเหมือนเสียสติ

      อนาโตลีพยักหน้า ยิ้มไปด้วย พยักหน้าไปด้วย “ใช่ ลีโอ ใช่”

      ลีโอหันหาไมธอส เขาทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อ

      “เกิดอะไรขึ้นครับพี่” น้องชายงง

      “รถไฟขบวนนี้เคลื่อนที่โดยใช้เวทมนตร์เป็นพลังงาน มันสูบพลังจากเขา ลากถังบรรทุกน้ำมัน ไปกลับ ข้ามมิติทุกวัน” ลีโออธิบาย

      ไมธอสมองหน้าอนาโตลี นึกถึงพลังจำนวนมหาศาลที่ผู้ชายคนนี้มี เขารู้สึกแข้งขาอ่อน

      “ช่างเรื่องนั้นเถอะน่า ว่าแต่แผนการของพวกนายว่ายังไงบ้าง มีเบาะแสอะไรบ้างมั้ย มิติสุดท้ายที่ยังมีพืชอยู่คือที่ไหน”

      “เราจะไปตลาดมืดที่ดาวเหนือดวงที่สองครับ” ไมธอสบอก “ที่นั่นมีพืชขายอยู่”

      วิชอว์ส่ายหน้า “ในตลาดมืดมีแค่ดอกไม้แห้ง กับพืชที่ถนอมเอาไว้ด้วยการดองหรืออบ มันก็แค่ของเก่าที่ตกค้างจากประวัติศาสตร์”

      “สองปีก่อนมีดอกหญ้าดอกหนึ่ง สดๆ หลุดออกมาในตลาดมืด” ไมธอสกล่าว “เราจะไปหาว่าข่าวนี้จริงไหม ผมรู้ว่ามันถูกขายผ่านร้านไหน และเราจะเค้นคอถามเขาว่ามันมาจากไหน”

      “น่าสนใจ จุดหมายแรก ตลาดมืดดาวเหนือดวงที่สองสินะ เอ้า ไป” อนาโตลีพูดและยิ้ม

      ไม่มีใครได้ทันเตรียมตัว รถไฟกระชากตัวอย่างแรง อนาโตลีกำลังพาทุกคนวาร์ป...โดยไม่บอกล่วงหน้า ไม่สิ ก็บอกแล้วแต่...

      ทุกอย่างในรถไฟเริ่มลอยเคว้งคว้างและกระแทกกับผนังรอบๆ ลีโอใช้พลังของตัวเองลอยขึ้นบนอากาศเพื่อความปลอดภัย เขายกมือเรียกน้องให้ลอยขึ้นด้วยโดยไม่ได้หันไปมอง ไมธอสใช้มือยันไม่ให้หัวตัวเองกระแทกกำแพง และบ่นว่า “พี่” ออกมาเบาๆ

      วิชอว์กระเด็นไปกระแทกม้านั่งยาวด้านหลัง เขาสบถใส่อนาโตลีแบบหัวเสียแต่ชินแล้ว

      “วาร์ปมาทุกวันยังไม่ชินอีกเหรอตาหนวดข้างหลังน่ะ” อนาโตลีถาม รถไฟกดหัวลงอีกครั้ง

      “เป็นครั้งแรกที่ได้อยู่ในนี้นี่” วิชอว์ตอบและร้องอูยอีกครั้งหลังหัวรถจักรกระแทกลงที่พื้นและทำให้ทุกคนข้างในสะเทือนเอาการ

      ลีโอมุดลงต่ำทันก่อนที่หัวเขาจะกระแทกเพดาน แต่เขาไม่ได้พาไมธอสลงมาด้วย เลยได้ยินน้องร้องเสียงหลงตามหลังการกระแทก

      “ยินดีต้อนรับสู่ดาวเหนือดวงที่สอง” อนาโตลีบอก ดับเครื่องยนต์ และชี้ออกนอกหน้าต่าง

      ลีโอกับไมธอสหันไปดูข้างนอก พวกเขาจอดลงตรงกลางลานกว้างซึ่งเป็นที่จอดของพาหนะประหลาดทุกอย่าง มีผู้คน (ทั้งที่เหมือนคนและที่ไม่เหมือนคน) เดินออกจากยวดยานของเขา มุ่งไปยังทางเข้าตลาดซึ่งมีตึกแถวโย้เย้ที่ดูเหมือนจะไม่เป็นมุมฉากสักหลังตั้งเบียดกันและซ้อนกันไปมาอย่างกับลังเก่าๆ ในห้องเก็บของ ด้านหน้าของทุกตึกและหน้าต่างทุกบานจากชั้นสองและชั้นสามเป็นร้านค้าขายบางอย่างเสมอ โต๊ะถูกกาง กระดานถูกต่อยื่นออกมา สินค้าวางเรียงเป็นตั้ง พ่อค้าแม่ขายร้องเรียกลูกค้าพัลวัน สินค้ามีตั้งแต่ของธรรมดาจนถึงของที่ไม่น่าจะหาได้ในมิติใดๆ ทุกตารางนิ้วถูกใช้เพื่อการค้า แม้แต่บนศีรษะของคนที่เดินผ่านไปยังเทินถาดเหล็กที่วางขายไส้กรอกย่างร้อนๆ และพายเนื้อ ที่นี่คือที่ปล่อยของจากทั่วทั้งจักรวาล

      “ร้านไหนคือร้านที่มีดอกไม้” วิชอว์ถาม

      “มือโจรกับแมวขโมยสามตัว” ไมธอสตอบ

      “สมเป็นร้านที่โจรปล้นรถไฟแนะนำ” นายทหารพยักหน้าอย่างสุขุม

       

      มือโจรกับแมวขโมยสามตัวเป็นร้านขายของซอมซ่อในตรอกลึก ตัวร้านตีขึ้นด้วยไม้กระดานทับกันไปมาอย่างไร้แบบแผน ประตูกระจกแตกไปครึ่งหนึ่งและปล่อยให้ลมที่เหม็นกลิ่นขยะพัดกรูเข้ามาฟาดกระดิ่งลมให้ส่งเสียงหนวกหูตลอดเวลา ชั้นวางของไม้โย้เยยืนแทบไม่อยู่วางอยู่ทั่วไป ข้าวของที่วางขายล้วนแต่ดูไม่ออกว่ามันคืออะไร ซอกหลืบที่ลมไม่พัดผ่านส่งกลิ่นอับๆ เด็กหนุ่มสองคนในชุดนักเรียนของสถาบันอันทรงเกียรติ ชายหนุ่มตัดผมสั้นเรียบร้อยในชุดทหารและพนักงานขับรถไฟหน้าตาสะสวยจึงดูเป็นสิ่งที่เข้ากันไม่ได้โดยสิ้นเชิงกับร้านแห่งนี้

      “มีอะไรให้รับใช้” เจ้าของร้านที่ซุกตัวอยู่ในผ้าคลุมผืนใหญ่สีเทาจนดูไม่ต่างอะไรจากกองผ้าเก่าๆ พูดขึ้น เขายืนอยู่หลังเคาน์เตอร์คิดเงินที่เป็นโต๊ะไม้ผุๆ ราขึ้น

      “สองปีก่อนมีคนเอาดอกไม้สดมาขายที่นี่ใช่ไหม” ลีโอถาม ไมธอสจ้องเจ้าของร้านเขม็ง ส่วนอนาโตลีเดินวนไปวนมาในร้าน ดูโน่นดูนี่ที่ท่าทางจะถูกใจ วิชอว์มองอนาโตลี พยายามระวังไม่ให้คนในความดูแลขโมยของ

      “ขายออกไปหมดแล้ว” เจ้าของร้านตอบเสียงแหบทะลุออกมาจากกองผ้าที่คลุมจนมองหน้าไม่เห็น

      “คนที่เอามาขาย เขาได้มันมาจากไหน” ลีโอถาม

      “เป็นความลับทางธุรกิจ พ่อค้าไม่เปิดเผยความลับจนตัวตาย”

      “จะเอาเงินเท่าไหร่”

      “ความลับทางธุรกิจประเมินค่าไม่ได้”

      “ประเมินราคามา” ลีโอขู่ฟ่อ

      อนาโตลีลากแขนวิชอว์มาหน้าเคาน์เตอร์ ยิ้มหวานให้กองผ้า “นายรู้จริงๆ รึเปล่าว่าเขาเอามาจากไหน”

      อีกฝ่ายเงียบ อนาโตลียิ้ม ชี้ไปที่นายทหาร “นี่วิชอว์ เขาชอบทรมาน”

      “หา” นายทหารพูด อนาโตลีไม่สนใจ เขามองมือเจ้าของร้านที่โผล่พ้นกองผ้าคลุมมาวางอยู่บนเคาน์เตอร์

      “วิชอว์ ฉันอยากเห็นนิ้วเขาไม่มีเลือด” อนาโตลีเอ่ย ใช้ศอกกระแทกวิชอว์เบาๆ

      ผู้ควบคุมน้ำถอนหายใจ ฉับพลัน เลือดในนิ้วของพ่อค้าไหลกลับสู่แขนช้าๆ มือนั้นกลายเป็นสีขาว

      “เฮ้ย มือฉัน” เจ้าของร้านร้อง

      “ดอกไม้” อนาโตลีโน้มตัวข้ามเคาน์เตอร์ “มาจากไหน”

      “ความลับทางธุรกิจ...” อีกฝ่ายยังคงยืนยัน

      “ถ้ายืนยันจะไม่พูดจนตัวตาย นายก็ไม่มีประโยชน์ วิชอว์ ชิ้นต่อไปที่ฉันอยากให้ไม่มีเลือด คือหัวใจ...” อนาโตลีบอก

      “ก็ได้” นายทหารตอบอย่างไม่เต็มใจ และพ่อค้าก็ร้องโหยหวนขึ้นมาว่า “ไม่ ฉันยอมบอกแล้ว เขาบอกว่าเขาเจอดาวอีกดวงที่ด้านหลัง Coe-401 ไอ้บ้านั่นอาจจะโกหกก็ได้ ไม่เคยมีใครไปได้ไกลขนาดนั้น!

      ทั้งสี่เดินออกจากร้านพร้อมกับสิ่งที่ต้องการ อนาโตลีฮัมเพลง ลีโอกับไมธอสรู้สึกว่าพวกเขามากับโจรมากกว่าคนของรัฐบาล

      “ผมชอบวิสามัญแต่ไม่ได้ชอบทรมาน มันไม่ใช่วิถีของผู้สง่างาม” วิชอว์จิ้มอนาโตลีและพยายามอธิบาย

       

      “มันโกหกหรือเปล่า ทุกคนรู้ว่าไม่มีอะไรอยู่ไกลกว่าโคลเอ้” วิชอว์พูดทันทีที่ทุกคนกลับมาที่รถไฟกันอีกครั้ง

      โคลเอ้ คือชื่อเล่นของ Coe-401 ดาวดวงสุดท้ายของจักรวาล รัฐบาลของทั่วโลกรวมตัวกันสำรวจเอกภพมาเป็นเวลานานแล้ว และโคลเอ้คือสถานที่ที่ไกลที่สุดที่ยานสำรวจสามารถไปถึง ทุกคนเรียกมันว่า พรมแดนของจักรวาล

      “นั่นคือสิ่งที่ทหารคิด แต่พวกนักเดินทางแดนเถื่อนมีแผนที่อีกฉบับ นักเวทที่วาร์ปได้ของทั่วจักรวาลนี้ไม่เปิดเผยข้อมูลให้รัฐบาลทั้งหมดหรอก” อนาโตลีพล่าม ทิ้งตัวลงในเก้าอี้ควบคุม และรถไฟก็เดินเครื่องออกจากตลาดนัด มุ่งออกจากตัวเมือง

      “เรากำลังไปไหน” วิชอว์ทำเสียงดุตอบ

      “หาที่วาร์ป ฉันไม่ชอบวาร์ปจากในเมือง เดี๋ยวมีอะไรติดไปด้วย ถ้าลงในเมืองน่ะพอไหว แค่ระวังร่วงใส่คนหน่อยก็เรียบร้อย”

      “ผมหมายถึงเรื่องโคลเอ้ คุณรู้อะไรที่คุณไม่ได้บอกรัฐบาล” นายทหารขมวดคิ้ว

      “ยังมีดาวอีกหลายดวงที่อยู่ในจักรวาลแต่รัฐบาลไม่รู้ มันเป็นแหล่งทรัพยากรมืดที่ภาครัฐยังไม่ได้ฉกฉวย แต่พวกคนเถื่อนวิ่งเล่นกันจนปรุ” อนาโตลีบอก “ดูเหมือนว่าหนึ่งในนั้นจะเป็นอารยธรรมโบราณอารยธรรมสุดท้ายที่ยังคงมีพืชเหลืออยู่ งานของเราคือหาดวงดาวหลังโคลเอ้ให้พบ”

       “ใครจะไปรู้ว่ามันอยู่ที่ไหน” ไมธอสพูดเครียดๆ

      “ใช่ คงรู้ได้ยาก ถ้าหากเราไม่มีแผนที่เอกภพฉบับนักสำรวจ ไม่ใช่แผนที่จากกรมแผนที่ทหาร” อนาโตลีพูดอย่างเคร่งขรึม

      “แล้วจะหาแผนที่แบบนั้นมาจากไหน ใครคือนักสำรวจที่คุณว่า” ไมธอสบ่นต่อ แต่วิชอว์ขมวดคิ้ว จ้องอนาโตลีอย่างเริ่มระแคะระคาย ส่วนลีโอเริ่มจะขำน้องตัวเองขึ้นมาแล้ว แต่เขากำลังกลั้นหัวเราะไว้

      “นักสำรวจคือบรรดาคนที่วาร์ปได้” อนาโตลีตอบสบายๆ “กลับไปเอาของที่บ้านแป๊บนะ”

      ทุกคนยืนนิ่ง มองอากาศตรงที่อนาโตลีหายไปอย่างเงียบงัน ไม่รู้จะพูดอะไรดี และทำอะไรไม่ได้เมื่ออนาโตลีไม่อยู่ สามนาทีต่อมา อนาโตลีกลับมายืนอยู่ที่เดิมพร้อมพูดว่า

      “สวัสดีเด็กๆ แผนที่จักรวาลกลับมาแล้วจ้า เอ้า เรามาหาดาวที่ว่ากัน”

      อนาโตลีกางแผนที่บนหน้าปัดรถไฟ “ฉันรู้จักที่นั่นจากคำบอกเล่าของนักเดินทางระหว่างมิติที่เคยเจอกัน เขาบอกว่าเลยจากดาวดวงสุดขอบในแผนที่เอกภพของทหาร ยังมีดาวอีกดวงอยู่ ฉันจึงมาร์กมันไว้ตรงนี้ ตามคำบอกเล่าของเขา” ปลายนิ้วของอนาโตลีชี้จุดสีม่วงที่ขอบกระดาษด้านบนซ้าย “แต่ฉันไม่เคยไปที่นั่น มันไกลเกินไป ไม่คิดว่าที่นั่นจะมีพืชเหลืออยู่ บางทีนักเดินทางอาจปิดเรื่องนี้จากคนของรัฐบาล”

      “ทำไมล่ะ” ไมธอสถาม

      “เพราะรัฐบาลจะหยิบฉวยทรัพยากรทุกอย่างมา พวกเขาจะทำลายมัน” อนาโตลีบอก “เรากำลังจะพารัฐบาลไปทำลายอารยธรรมพืชแห่งสุดท้ายในเอกภพ เด็กๆ มีใครอยากถอนตัวไหม”

      ลีโอจ้องตาอนาโตลี “ผมไม่สนเรื่องใหญ่โตอะไรทั้งนั้น ไปเอาดอกไม้มาให้ได้ก็พอ”

      อนาโตลีมองหน้าลีโอ ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ทันใดนั้น เขาพยักหน้าและนั่งลงบนที่นั่งคนขับ

      “ทุกคนหาที่นั่งให้เรียบร้อยดีกว่า มันจะเป็นการวาร์ปที่ยาวนาน...กว่าปกติ”

      วิชอว์ทิ้งตัวลงบนพื้น ไมธอสกับลีโอเผ่นไปเกาะม้านั่งยาวข้างหลัง และโดยไม่ปล่อยให้ใครเตรียมตัว ดิ อาชาไนยก็วาร์ปอีกครั้ง หลังการกระแทกกระทั้นอันยาวนานที่ทำให้ผู้โดยสารต่างพากันฟกช้ำดำเขียว พวกเขากระชากลงบนที่โล่ง สุดลูกหูลูกตามีแต่ดินสีดำสนิท

      ลีโอเปิดประตูหัวรถจักร และลงมายืนข้างนอก เขารู้สึกตกใจจนก้าวกลับเข้าไปในโบกี้อีกครั้ง

      “เกิดอะไรขึ้นพี่” ไมธอสถาม

      “อากาศ” ลีโอตะกุกตะกัก

      อนาโตลีหายวับออกไปจากหัวรถจักร และปรากฏตัวข้างนอกเพราะพวกลีโอขวางประตูอยู่ เขาหายใจ “มันบริสุทธิ์กว่าในเมืองของเราอย่างเทียบไม่ได้ บริสุทธิ์จนนึกว่าจะบาดปอดเอาแล้วสิ” อนาโตลีสูดลมหายใจเข้าเต็มที่ เหยียดแขนและยิ้มให้เด็กๆ “พวกเด็กที่ไม่เคยไปมิติอื่นเลยแม้แต่อากาศที่ดีกว่าก็ตกใจงั้นรึ”

      ลีโอกับไมธอสได้ยินอย่างนั้นก็ก้าวลงมาจากรถช้าๆ พวกเขาหายใจอย่างกล้าๆ กลัวๆ อากาศที่หอมและบริสุทธิ์ทำให้รู้สึกไม่ชิน วิชอว์เดินตามลงมา เขากระตุกนิดหน่อยและมองหน้าอนาโตลี

      “ก็บอกจะพาเที่ยวตั้งหลายครั้งแล้ว ก็ไปๆ กลับๆ แต่บ่อน้ำมันกับเมืองสีเทานั่นอยู่ได้” อนาโตลีกล่าว “ดาวดวงอื่นอากาศสะอาดกว่าเราเยอะนะ” นักเวทมองไปรอบๆ และพูดต่อ “แต่ที่นี่อากาศดีอย่างผิดสังเกตเลย พืชต้องอยู่สักที่ในดินแดนนี้แน่ๆ ขึ้นรถกันเถอะ แล้วขับดิ อาชาไนยไปทั่วๆ ดู”

      เมื่ออนาโตลีบอกเช่นนั้น ทุกคนจึงกลับขึ้นไปบนรถ

       

      มิตินี้กลางวันกลางคืนสั้นกว่าโลกของพวกเขามาก เดินทางไปได้ไม่นานดวงอาทิตย์ตกลงแล้ว ฟ้าเปลี่ยนเป็นชามบรรจุกลางคืน รถไฟวิ่งไปข้างหน้าเรื่อยๆ ไร้ที่สิ้นสุด ไมธอสหลับบนม้านั่งยาวด้านหลัง อีกสองคนเดินไปเดินมารอบๆ อาจเป็นครั้งแรกที่ดิ  อาชาไนยวิ่งข้ามคืนและข้ามวัน อนาโตลีดูเหน็ดเหนื่อย วิชอว์ถามว่าจะเปลี่ยนคนให้เชื้อเพลิงไหม แต่ไม่รู้ทำไมอนาโตลีจึงเกิดรำคาญและส่งวิชอว์ขึ้นไปอยู่บนหลังคา

      “เก่งนักก็ระวังฟุบคาที่ล่ะ และขอบอกว่าข้างบนอากาศดีกว่าเยอะเลย” สิ่งพูดจากด้านบนทำให้ลีโออยู่ไม่สุข เปิดประตูลอยขึ้นไปเกาะหลังคาอีกคน

      “ไม่ชอบที่แคบๆ?” วิชอว์ถามเด็กหนุ่ม

      “น่าเบื่อ” ลีโอตอบ วิชอว์เกือบจะยิ้ม เมื่อได้รับคำตอบที่แสนจะคุ้นเคย

      รถไฟแล่นไปเรื่อยๆ หมอกสีดำของ ดิ อาชาไนย โรยลงบนเส้นผมแต่พวกเขาเริ่มชินชาเกินกว่าจะยี่หระ สามลมฟาดปะทะใบหน้า เกือบทำให้ชาและเจ็บปวด แต่ก็ยังดีกว่าอุดอู้อยู่ในหัวรถจักร ทั้งสองคนมองวิวรอบตัวซึ่งเป็นทุ่งดินโล่งๆ สีดำสนิท มองไปข้างหน้าเห็นเพียงแต่สีดำของแผ่นดินกับสีดำของท้องฟ้าที่ฉายภาพดาวสีเงินหลายล้านดวง ลีโอย่นหัวคิ้ว คิดไม่ออกว่าฟ้ากับดินจบกันตรงไหนกันแน่ ในเมื่อทั้งหมดล้วนเป็นสีดำไปหมดอย่างนี้

      “ถ้าเราเจอต้นพืชจริงๆ แม้แต่ตะไคร่เขียวหรือมอส หรือเฟิร์น” วิชอว์พูดชวนคุย “พวกคุณสองคนจะกลายเป็นวีรบุรุษที่เปลี่ยนแปลงอนาคตโลกเลยนะ แต่ถ้าเราไม่เจออะไร พวกคุณสองคนจะกลายเป็นผู้ก่อการร้ายที่จับผมกับอนาโตลีเป็นตัวประกัน”

      “ใครจับใครนะ” ลีโอถามกลับ ยักคิ้ว

      “ผมรู้มันเป็นไปไม่ได้เรื่องที่อนาโตลีจะโดนจับเป็นตัวประกัน แต่รัฐบาลจะออกข่าวอย่างนั้น แล้วก็ประหารคนต้นเรื่องซะ” วิชอว์ชี้หน้าพวกเขาและถามต่อ “นี่ ทำไมถึงบ้าบิ่นขนาดคิดจะไปตามหาพืชล่ะ”

      “ไม่ได้ตามหาพืชฮะ” ลีโอบอก “เราสองคนตามหาดอกไม้ ถ้าเราเจอแค่มอสหรือเฟิร์น เราจะไม่หยุด เราจะไปต่อไป”

      “ต้องเป็นพืชชั้นสูงถึงขั้นพืชดอกเลยหรือ” วิชอว์ถาม

      “ต้องเป็นดอกไม้” ลีโอพูด

      “ถ้าจะปรุงยาสูตรลับอะไรสักอย่าง ดอกไม้แห้งในตลาดยังพอหาได้ จะเอาดอกไม้สดไปทำอะไรล่ะ มนตราอะไรที่ต้องการพลังอำนาจมากขนาดนั้น”

      “รู้ใช่มั้ยฮะว่า สมัยก่อนดอกไม้ไม่ใช่ของหายากขนาดนั้น ไม่ทรงพลังอะไรเลย” ลีโอถาม เลิกคิ้ว

      “เคยเชื่อนิทานหลอกเด็กเรื่องมีต้นไม้ต้นใหญ่อยู่หรอกนะ สมัยที่ยังอายุเก้าขวบน่ะ” วิชอว์เหม่อมองท้องฟ้า “แต่ตอนนี้ โลกที่เห็นมามากมายทำให้ไม่เชื่ออีกแล้วล่ะว่าต้นไม้จะสูงกว่าฟุตหนึ่งได้ เพราะแค่ต้นอ่อนหรือหญ้า ยังไม่เคยเห็นเลยด้วยซ้ำ และผมไม่เชื่อในสิ่งที่ผมไม่เคยเห็น”

      ลีโอมองไปข้างหน้า และจู่ๆ เขาก็ลุกยืนขึ้น จ้องเขม็งไปในความมืด ก่อนจะกระซิบเสียงแผ่ว “งั้นคุณต้องเชื่อแล้วล่ะ”

      วิชอว์ยังไม่เข้าใจว่าเด็กหนุ่มพูดอะไร แต่ลีโอกระโดดออกจากหัวรถจักร และลอยไปข้างหน้าไกลแสนไกล นักเวทหนุ่มยืนขึ้นมองตาม และสิ่งที่ปรากฏเลือนรางในความมืดก็ทำให้เขาต้องกลืนน้ำลาย

      “ใช่หรือ” วิชอว์ไม่เคยเห็นสิ่งนั้นมาก่อนเขาจึงไม่แน่ใจว่ามันคือสิ่งที่เขาคิดจริงๆ แต่อนาโตลีวาร์ปออกจากหัวรถจักรและมุ่งไปตรงที่ลีโอลอยอยู่ วิชอว์อยากจะใช้คลื่นส่งตัวเองตามไป ทว่าเขากลัวว่าน้ำจำนวนมากจะทำลายสิ่งที่บอบบางนั้น จึงได้แต่ยืนอยู่บนหัวรถจักร รอให้รถไฟเคลื่อนเข้าไปใกล้มัน

      ไมธอสตื่นแล้วและกำลังเกาะหน้าต่างดู สิ่งที่ปรากฏให้เห็นในสายตาช้าๆ คือพี่ชายกับอนาโตลีกำลังลอยอยู่เหนือพื้นดินที่มีอะไรบางอย่างปกคลุมอยู่ เด็กหนุ่มเขม้นมองฝ่าความมืด และพบว่ามันคือดอกไม้ สดเหมือนภาพในหนังสือ ต่างจากแบบแห้งเหี่ยวที่เขาเคยเห็น ดอกไม้พวกนี้ยังไม่กลายเป็นสีน้ำตาล และยังมีชีวิต มีจำนวนมากมายเกินกว่าจะนับด้วยนิ้วมือ

      มันคือภาพที่ไม่เคยมีใครในโลกของเขาเคยเห็นมาก่อน ภาพที่ไม่มีใครเชื่อว่ามันจะมีจริง

      และมัน...งดงาม

      “ทุ่งดอกไม้...” ไมธอสเอ่ยกับตัวเอง

      “ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเลย” วิชอว์รำพึง

      อนาโตลีกับลีโอหันมามองหัวรถจักรที่ใกล้เข้ามา อนาโตลีวาร์ปกลับมาหยุดรถก่อนที่มันจะแล่นเข้าทับดอกไม้ ลีโอกลับมารับไมธอสลงจากรถ และลอยขึ้นเหนือดอกไม้เหล่านั้นเพื่อจะได้ไม่เหยียบย่ำมัน พี่ชายก้มลงเด็ดดอกไม้ขึ้นมาและยื่นให้น้อง

      พระอาทิตย์ที่โคจรเร็วหมุนวนกลับมาอีกครั้ง ไมธอสเห็นแสงสีส้มแตะขอบฟ้า และแตะดอกไม้แต่ละดอก อนุญาตให้พวกเขาเห็นสีสันอันงดงามของมันอีกครั้ง ไมธอสเห็นแสงอาทิตย์แตะโหนกแก้มของพี่ชายตัวเอง และเห็นว่าดอกไม้ที่ลีโอกำลังยื่นให้เขานั้นเป็นสีขาวบริสุทธิ์

      เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเจอดอกไม้จริงๆ เขาคิดว่าตัวเองจะตายในภารกิจนี้ แต่วันนี้ ต่อหน้าเขา คือสิ่งที่คนทั้งโลกไม่เคยเห็น

      วิชอว์กับอนาโตลีกลับไปในรถไฟ และเอากล่องใบหนึ่งออกมาเก็บดอกไม้จำนวนหนึ่งไปแบบที่ยังเป็นต้นมีรากอยู่ในดิน “เราจะเอาสิ่งนี้ไปให้รัฐบาล การเดินทางมาสำรวจและใช้ประโยชน์จากที่นี่คงเริ่มขึ้นในอีกไม่นาน” อนาโตลีเอ่ยกับลีโอ

      ลีโอยิ้ม ไม่ตอบอะไร เขาลอยขึ้นลงและเด็ดดอกไม้ดอกแล้วดอกเล่าจากต้น ส่งให้ไมธอสซึ่งกำมันไว้ในมือ อนาโตลีรอให้เด็กๆ เก็บดอกไม้กันจนพอใจ และบอกว่า “ฉันจะพาพวกเธอกลับบ้าน พวกเธอคงต้องไปที่ทำการของรัฐบาล รายงานสิ่งที่พวกเธอพบ อาจจะต้องอยู่ร่วมในการแถลงข่าวให้ประชาชน และจากนั้นพวกเธอคงเป็นคนดังที่มีภารกิจตามมาอีกมากมาย”

      ลีโอส่ายหน้า “พวกคุณไปเถอะ เราไม่ไปหรอก เราอยากมุ่งหน้าไปตามจุดประสงค์ของเรา”

      “จุดประสงค์” อนาโตลีถาม

      “ความจริงพวกนายอยากได้ดอกไม้เพื่ออะไรกันแน่” วิชอว์สงสัย

      “คุณจะใจดีพอจะพาเราไปที่ที่เราอยากไปไหมครับ” ลีโอถามอนาโตลี

      “เธออยากไปไหนล่ะ”

      “โรงพยาบาลรัฐกรีนริง” ลีโอบอกและยิ้มอย่างสงบ ไมธอสมองพี่ชาย ดูเหมือนลังเลแต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไร

       

      พวกเขาย้อนกลับมาสู่โลก อนาโตลีและวิชอว์ส่งสองพี่น้องที่โรงพยาบาล เอ่ยถามย้ำอีกครั้งให้ตรงไปหารัฐบาลด้วยกันดีกว่า แต่ลีโอยืนยันว่า “พวกผมมีภารกิจสำคัญกว่าต้องทำที่นี่” พูดจบ ลีโอก็กำดอกไม้ที่เก็บมาวิ่งเข้าไปในโรงพยาบาลโดยไม่รอน้อง อนาโตลีกับวิชอว์มองตาม ลำบากใจที่ลีโอไม่ไปด้วย

      ไมธอสยืนยันกับเจ้าหน้าที่รัฐทั้งสองว่า ยังไงเสียเดี๋ยวลีโอกับเขาก็ต้องตามไปอย่างแน่นอน

      “ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมไม่มีทางยอมให้พี่อยู่ในโรงพยาบาลตลอดไปแน่ แต่ตอนนี้ พวกเราคงต้องไปพบเธอก่อนครับ เราไม่ได้พบเธอมานานมากแล้ว ไม่ใช่แค่พี่ แต่ผมเองก็คิดถึงเธอมากๆ เหมือนกัน”

      “เธอ” อนาโตลีเอียงคอ

      ไมธอสยิ้ม และเอ่ยช้าๆ ด้วยแววตาที่แสนเศร้า “แม่ของพวกผมครับ”

       

      ไมธอสเดินเข้าไปในห้องโรงพยาบาลที่เขาเองก็ยังจำได้ดี มันมืด แสงไฟนีออนสีควันบุหรี่ดูมัวๆ อากาศหนัก เย็น และหายใจลำบาก เงียบจนน่าอึดอัดไม่มีเสียงอื่นใดนอกจากเสียงปี๊บที่ดังเป็นระยะของเครื่องช่วยหายใจ ลีโอยืนอยู่ข้างเตียง จับมือเธอ เอาดอกไม้ใส่ในแก้วน้ำ ยื่นให้เธอได้ดู และเอ่ยเล่าเรื่องล้านสิ่งที่ตนประสบมาราวกับว่าเธอฟังรู้เรื่อง

      แม่ของพวกเขากลายเป็นผู้ป่วยนอนไม่ได้สติมาตั้งแต่ห้าปีก่อน หลังอุบัติเหตุที่คร่าชีวิตพ่อ และยังพรากชีวิตแม่ไปอีกครึ่งหนึ่ง หลังจากนั้นลีโอที่เรียนจบการศึกษาขั้นพื้นฐานแล้วเข้าออกโรงพยาบาลอยู่ตลอดเวลา ทั้งที่มีนางพยาบาลที่จะคอยดูแลแม่อยู่แล้ว ไมธอสที่ยังเรียนอยู่มาหาแม่น้อยกว่า แต่ลีโออยู่กับร่างที่ไร้สติและไม่ตอบสนองตั้งแต่เช้ายันค่ำ

      หลังจากนั้นพี่ชายก็เสียสติให้กับห้องสี่เหลี่ยมอันทึบทึม เงียบเหงา และเยียบเย็นของโรงพยาบาล เขากลับมาบ้านและถามน้องว่า ทำไมเขาสองคนถึงไม่มีดอกไม้ไปเยี่ยมแม่บ้างล่ะ มันคงจะสดใสกว่านี้ถ้าห้องของแม่มีดอกไม้

      ไมธอสงงไปเหมือนกัน เพราะว่าธรรมเนียมการเยี่ยมกันด้วยดอกไม้นั้นมันเป็นของเมื่อหลายร้อยปีที่แล้วตอนที่ยังคงมีพืชอยู่บนโลก แต่อยู่ๆ พี่ชายของเขาก็อยากได้ดอกไม้ พูดง่ายๆ คงต้องบอกว่าลีโอสติฟั่นเฟือนไปแล้ว

      ทางเดียวที่จะช่วยลีโอไม่ให้ฟั่นเฟือนไปมากกว่านั้น คืออย่าให้เขาไปโรงพยาบาลอีก และทางเดียวที่ไมธอสคิดออกคือพาพี่ไปโรงเรียนประจำ และทางเดียวที่พี่จะไปโรงเรียนประจำ ไมธอสต้องปล่อยให้พี่ฟั่นเฟือนต่อไปเรื่องดอกไม้

      ใครจะคิดเล่าว่าพี่ชายอัจฉริยะของเขาจะสามารถไปหาดอกไม้มาให้แม่ได้จริงๆ เขายืนมองพี่ชายคุยกับแม่ที่นอนนิ่งงัน และเขาก็เดินเข้าไปใกล้ ลูบแก้มแม่ช้าๆ

      ไมธอสเองก็คิดถึงแม่เหมือนกัน แต่เขาคิดว่าภายในร่างนี้ไม่มี “แม่” อีกต่อไปแล้ว ลีโอเท่านั้นที่ทำราวกับว่าเธอยังมีชีวิตอยู่

      เขาอยากหันหลังแล้วทิ้งเธอไว้ที่นี่ ไม่มองกลับมาอีกตลอดกาล เพราะเขาคิดว่าจิตสำนึกของเธอได้ตายไปแล้ว เหลือไว้เพียงกายหยาบเท่านั้น แต่เขาก็ไม่อาจแน่ใจจริงๆ ได้ บางที “แม่” อาจจะยังคงอยู่ที่นั่น...และมันยากสำหรับไมธอสที่จะคิดว่าแม่ถูกขังอยู่ในห้องนี้โดยขยับตัวไม่ได้มาห้าปีแล้ว แค่คิดแบบนั้น หัวใจเขาก็รู้สึกราวกับถูกบีบรัดจนแทบแตกสลาย เขาจึงเลือกจะเพิกเฉยมันเสีย ทำเป็นว่าความคิดเช่นนั้นไม่มีอยู่ในจิตใจของเขา

      น้องชายรู้ดีว่าลีโอก็คิดเรื่องพวกนี้เหมือนกัน และมันหนักหนาจนไม่แปลกหรอกที่จะทำให้พี่ของเขาสูญเสียเหตุและผลไป ...ทางออกของลีโอคือพยายามทำราวกับแม่โต้ตอบเขาและยังมีชีวิต

      ภาพตรงหน้าก็ทำให้ไมธอสรู้สึกลำบาก มันเหมือนลีโอกำลังเป็นบ้า และความคิดนั้นก็ทำให้ไมธอสทำใจลำบากจริงๆ

      เด็กหนุ่มลูบผมแม่อย่างเบามือ จากนั้นจึงลูบหัวของพี่ชายอย่างรักและสงสาร ลีโอยังคงพูดกับแม่ เอาดอกไม้ไปเคลียแก้มของแม่ และพูดต่อไปเรื่อยๆ เล่าเรื่องอนาโตลีกับวิชอว์ให้แม่ฟัง เรื่องลิซ่าผมแดงปีสามที่ไมธอสคิดว่าลีโอชอบ เรื่องอาจารย์ใหญ่จอมเฮี้ยบที่โรงเรียน...เรื่องราวสัพเพเหระร้อยเรื่องที่แม่ไม่มีวันได้ยิน

      ไมธอสมองภาพนั้น เขาหวังว่าภารกิจจากรัฐบาลที่พวกเขาจะได้รับในฐานะผู้พบพืชพรรณ จะทำให้ลีโอยุ่งพอที่จะดึงพี่ของเขาออกจากโรงพยาบาล เขาจะพยายามดึงพี่ออกจากที่นี่ แม้ว่าการพรากพี่ไปและทิ้งให้แม่อยู่คนเดียวในห้องสีเทาขาวจะทำให้เขาเจ็บปวดในหน้าอกมากเพียงไหน แต่เขาก็จะต้องทำ

      เขาเสียแม่ไปแล้ว และไม่อาจเสียพี่ชายได้อีกคน สถานการณ์นี้กดดันเท่าสงคราม และเมื่อพี่ชายมีสภาพดังที่เห็น มันจึงเป็นสงครามที่โดดเดี่ยวสำหรับเด็กหนุ่ม

      เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องเผชิญกับสภาพนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าจะต้องสู้รบในสงครามจิตใจครั้งนี้อีกกี่เดือน กี่ปี

      แต่ไมธอสรู้ว่าเขาจะต้องไม่มีวันยอมแพ้ เขาไม่อาจทิ้งลีโอไว้ในสภาพนี้

      เขาลูบผมพี่ชายอีกครั้ง ลีโอชวนแม่คุยราวกับไม่รู้สึกถึงตัวตนของเขา พี่ชายคนเดิมก่อนเข้าสถาบันแห่งแสงดาวย้อนคืนมาอีกครั้ง ไมธอสมองภาพนั้น น้ำตาไหลลงมาตามแก้ม หยดลงบนกลีบดอกไม้ที่พวกเขาอุตส่าห์ไปหามา

       

      //////////// จบบริบูรณ์////////

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×