ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Guardian of Dragon เทพกระบี่มังกรจอมราชันย์

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 2 สถาบันวิญญาณฟ้า

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 9.25K
      109
      7 ก.พ. 60

    บทที่ 2 สถาบันวิญญาณฟ้า


    สามปีต่อมา


                ข้าไปก่อนนะขอรับ ท่านปู่โปรดรักษาตัวด้วย


    วันนี้เป็นวันที่สถาบันวิญญาณฟ้าเปิดรับการทดสอบพลังวิญญาณและพลังธาตุ เด็กทุกคนที่อายุ13ปี และอาศัยอยู่ในเมืองวายุจันทราจะต้องเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองซึ่งเป็นที่ตั้งของสถาบันวิญญาณ ตามปกติทั่วไปแล้วแต่ละตระกูลจะมีพลังธาตุประจำตระกูล เช่นตระกูลของท่านเจ้าเมือง ตระกูลวายุจันทรา เป็นตระกูลธาตุวายุ มีเพียงตระกูลกระบี่สวรรค์เท่านั้นที่ทุกคนในตระกูลล้วนแต่มีพลังธาตุที่แตกต่างกันออกไป ทุกคนในเมืองวายุจันทราคาดว่าเป็นเพราะตระกูลกระบี่สวรรค์ทุกคนจะถูกกระบี่ที่มีธาตุต่างๆเลือกเจ้านายของมันเอง เป็นเหตุให้แต่ละคนในตระกูลมีพลังธาตุที่ต่างกัน


    ในสมัยอดีตตระกูลกระบี่สวรรค์เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งเมืองวายุจันทรา  แต่เหตุเพราะอดีตผู้นำตระกูลมีความรักสันโดษจึงต้องการย้ายไปอยู่ทางตอนเหนือของเมืองและไม่ต้องการให้บุคคลอื่นเข้ามายุ่งเกี่ยวกับตระกูลมากจนเกินไปนัก กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปตระกูลกระบี่สวรรค์เริ่มเสื่อมโทรมลง ความแข็งแกร่งของตระกูลในอดีตเริ่มจากหายไป เนื่องจากไม่มีอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์มากพอ หลายหมื่นปีผ่านไป ตระกูลกระบี่สวรรค์ก็กลายเป็นตระกูลเล็กๆทางตอนเหนือที่ไม่มีใครจดจำได้


    การบ่มเพาะพลังของคนในตระกูลส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในชั้นลมปราณก่อตั้งเพียงเท่านั้นดังนั้นอาชีพส่วนใหญ่ของตระกูลกระบี่สวรรค์จึงเป็นการเพาะปลูก และช่างตีเหล็ก และถึงแม้ว่าตระกูลกระบี่สวรรค์จะอัตราการบ่มเพาะพลังที่ต่ำเมื่อเทียบกับตระกูลอื่นๆ แต่ทุกคนในตระกูลล้วนได้รับการฝึกฝนกระบี่ที่เป็นวรยุทธ์ประจำตระกูล ทุกคนในตระกูลเกิดมาล้วนเป็นอัจฉริยะทางด้านกระบี่ทุกคน ด้วยเหตุนี้แม้ว่าตระกูลจะตกต่ำลงเนื่องจากการบ่มเพาะพลัง แต่ทุกคนล้วนมีความทะนงตนในฝีมือกระบี่ เรียกได้ว่าเป็นตระกูลนักรบอย่างแท้จริง นอกจากนี้ตระกูลกระบี่สวรรค์ยังเป็นหนึ่งในตระกูลที่ช่วยดูแลประตูทางทิศเหนือ  ทำหน้าที่กำจัดสัตว์อสูรที่มักจะมาระรานเมืองวายุจันทราอยู่เป็นครั้งเป็นคราว แต่ไม่รุนแรงมากนัก เพราะถึงแม้ว่าเมืองวายุจันทราจะถูกล้อมรอบไปด้วยป่าที่มักจะมีสัตว์อสูรบุกโจมตี แต่เมืองจันทราก็มีทั้งกำแพงสูงล้อมรอบทั้งเมืองละยังมีทั้งผู้ฝึกวรยุทธ์ที่มีฝีมือ ทำให้เมืองจันทราสามารถตั้งอยู่ท่านกลางผืนป่าที่มีสัตว์อสูรนี้ได้อย่างมั่นคง


    จินหลงค่อยๆก้าวลงมาจากรถม้า เขายืนอยู่ใจกลางเมืองที่มีป้ายหินยักษ์สลักตัวอักษร สถาบันวิญญาณฟ้าวันนี้มีผู้คนจากทั่วสารทิศของเมืองเข้ามาเพื่อรับการทดสอบพลัง การทดสอบพลังจะใช้หินวิญญาณในการทดสอบ เป็นการทดสอบพลังวิญญาณอย่างแท้จริง โดยพลังวิญญาณนั้นแบ่งเป็น7ขั้น  ขั้นต่ำของคนที่จะสามารถเข้าเรียนที่สถาบันวิญญาณฟ้าแห่งนี้จะต้องมีพลังวิญญาณขั้นสามขึ้นไปเท่านั้น นอกจากนี้หินวิญญาณยังสามารถบอกลักษณะธาตุของแต่ละคน แบ่งเป็น7ธาตุ ธาตุภูผาสีน้ำตาล ธาตุวายุสีเขียว ธาตุอัคคีสีแดง ธาตุเหมันต์สีฟ้า ธาตุอัสนีสีเหลือง ธาตุแห่งแสงสว่างสีขาว และธาตุแห่งความมืดสีดำ


    จินหลงกำหินวิญญาณไวในมือพลางปล่อยพลังเข้าไปในหินวิญญาณ เกิดแสงสีน้ำตาลพุ่งออกมาจากหินแยกเป็นสี่เส้น


    พลังวิญญาณขั้นสี่ ธาตุภูผา ผ่านการทดสอบ!” จินหลงถอนหายใจด้วยความโล่งอก


    โอ้ว นั้นมัน.


    คุณหนูเซี่ยเหว่ยถิงบุตรสาวท่านเจ้าเมือง ตระกูลวายุจันทรานี่ จริงสินะนางอายุ 13 ต้องมาเข้ารับการทดสอบพลังวิญญาณเช่นกัน


    เด็กสาวสวมชุดผ้าแพรไหมสีฟ้าอ่อนเดินตรงไปรับหินวิญญาณเพื่อทำการทดสอบ เซี่ยเหว่ยถิง นางนั้นมีใบหน้าที่งดงามแววตาอ่อนโยน และมีรูปลักษณ์ที่สมกับความเป็นหญิงสาวทำให้ทุกสายตานั้นถูกสะกดได้ด้วยการเคลื่อนไหวของนาง เซี่ยเหว่ยถิงได้ชื่อว่าเป็นสาวงามที่สุดแห่งเมืองนี้ก็ว่าได้ จินหลงนั้นเพิ่งเคยได้เห็นนางเป็นครั้งแรก พลันหัวใจหยุดเต้น นางนั้นอย่างกับนางฟ้านางสวรรค์ที่ลงมาจุติบนพื้นดิน ดวงหน้าอันอ่อนโยนและกลิ่นกายหญิงสาวหอมอ่อนๆที่โชยออกมา ทำให้จินหลงนั้นเข่าอ่อนแถบจะลงไปนั่งอยู่กับพื้นเลยทีเดียว


    พะ พะ ..พลังวิญญาณขั้นหก ธาตุวายุ .. ผ่านนน


    โอ้ เสียงฮือฮาดังขึ้นทันทีที่มีการประกาศผลการทดสอบ


    สมกับเป็นบุตรสาวท่านเจ้าเมือง


    มีพรสวรรค์ยิ่งนัก


    ทั้งงดงามและมีพรสวรรค์ น่ายินดีจริงๆ


    ผู้ประกาศการทดสอบถึงกับห้ามการสั่นของเสียงไม่ได้ เนื่องจากโดยปกติแล้วคนส่วนใหญ่จะมีพลังวิญญาณอยู่ในขั้นที่สามและสี่ เพียงเท่านั้น หลายหมื่นคนถึงจะปรากฏพลังวิญญาณขั้นห้า พลังวิญญาณขั้นห้านับได้ว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์แล้ว แต่นี่นางกับมีพลังวิญญาณขั้นที่หกนับได้ว่านี่คือสุดยอดอัจฉริยะผู้มากด้วยพรสวรรค์อย่างแท้จริง พลังวิญญาณนั้นยิ่งมีขั้นสูงจะทำให้มีการบ่มเพาะพลังที่รวดเร็วตามไปด้วย


    จินหลง! จินหลงใช่ไหม


    เสียงตะโกนดังแทรกขึ้นมาทำให้จินหลงนั้นหันไปมอง เด็กหนุ่มตรงหน้าที่วิ่งเข้ามาหาจินหลงด้วยสีน่าตื่นเต้น เด็กหนุ่มตรงหน้าใส่เสื้อผ้าเก่าๆ เขามีชื่อว่า มู่หยางติง ตระกูลมู่เป็นตระกูลที่อยู่ทางเหนือเช่นเดียวกับตระกูลซุน และเช่นเดียวกันตระกูลมู่เป็นเพียงตระกูลเล็กๆซึ่งค่อนข้างที่จะยากจนเมื่อเทียบกับตระกูลซุนแล้ว ตระกูลมู่นั้นยากจนตกต่ำซะจนไม่มีตระกูลใดที่อยากจะคบค้าสมาคมด้วย มีเพียงแต่ตระกูลซุนเท่านั้นที่ติดต่อกับพวกเขา มู่หยางติงเป็นเพื่อนเล่นกับซุนจินหลงมาตั้งแต่เด็กๆ ทั้งคู่ผูกพันกันมาก จินหลงนั้นมองหยางติงดั่งน้องชายคนหนึ่ง เพราะหยางติงนั้นเกิดหลังเขาเล็กน้อยแต่ด้วยความที่หยางติงเป็นเด็กหัวอ่อนจึงถูกเด็กจากตระกูลอื่นๆกลั่นแกล้งอยู่เสมอ นั่นเป็นเหตุให้จินหลงจึงต้องคอยช่วยเหลือเขา


    หยางติง ผลการทดสอบของเจ้าล่ะ


    ข้าผ่าน พลังวิญญาณขั้นสาม ธาตุอัคคีหยางติงกล่าวด้วยเสียงที่ยินดีตื่นเต้น


    ยินดีด้วยนะ


    แล้วเจ้าล่ะ เจ้าธาตุอะไร ข้างี้นะอยากรู้มากเลย เพราะว่าตระกูลเจ้าพลังธาตุไม่หมือนกันซักคน


    ข้านั้นมีพลังวิญญาณขั้นสี่ ธาตุภูผาน่ะ เพราะเหตุนี้กระบี่ข้าถึงเป็นกระบี่ไม้ล่ะมั้ง


    ธาตุภูผางั้นรึ ข้าว่ามันก็เหมาะกับเจ้าดีนะ ธาตุภูผาเป็นธาตุที่คนคนนั้นจะมีร่างกายที่แกร่งดั่งภูผา กระบี่ไม้ก็ดูจะเข้ากันดีกับธาตุนี้


    “…”


    “…”


    หยางติง.. เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอก สามปีมานี้ข้าพยายามฝึกฝนกระบี่ของข้าอย่างสุดความสามารถ ไม่ว่าตัวข้าจะมีธาตุอะไร ความตั้งใจในการฟื้นฟูตระกูลย่อมไม่เปลี่ยนแปลงแน่นอน เจ้าเองก็ด้วยนะ ข้าเชื่อว่าเจ้าทำได้


    ข้าก็หวังเช่นนั้นเขายิ้มออกมาด้วยความขมขื่น


    หยางติงทราบดีว่ากระบี่ไม้นั้นเป็นจุดที่ทำให้จินหลงต้องผิดหวัง เขาจึงต้องฝึกฝนวรยุทธ์หนักกว่าทุกคนในตระกูลซุน เขาได้แต่แอบมองจินหลงฝึกฝนวรยุทธ์อยู่ห่างๆ และทุกๆครั้งจินหลงมักจะฝึกฝนจนร่างกายทรุดโทรม สลบไป ก็เป็นหยางติงนี่แหละที่แบกจินหลงกลับไปที่ตระกูลทุกครั้ง

     


    ห้าวันต่อมา


    หอพักผู้ฝึกวรยุทธ์


                นี่จินหลงเจ้าควรจะพักผ่อนบ้างนะ ห้าวันมานี้ เจ้าเอาแต่ฝึกฝนวรยุทธ์ตลอดเลย เดี๋ยววันพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันเปิดเรียนแล้วนะ เจ้าควรเตรียมพร้อมร่างกาย


                ข้ารู้แล้ว ข้ากะว่าจะฝึกต่ออีกสองชั่วยามแล้วก็จะพักแล้วล่ะ ขณะที่จินหลงตอบกำลังกวัดแกว่งดาบไม้ที่อยู่ในมือ จินหลงกับหยางติงได้อยู่ห้องเดียวกัน จินหลงคิดว่านี่เป็นเรื่องที่โชคดีมาก เพราะถ้าเขาได้อยู่กับคนอื่นเขาคงไม่ได้ฝึกฝนวรยุทธ์อย่างอิสระเช่นนี้


                จริงสิ หยางติง เจ้ามาลองรับกระบี่ของข้าซักสองสามกระบวนท่าทีสิ


                โหยย เจ้ามือหนักจะตาย ข้าว่าท่ามาฝึกรับกระบวนท่าของเจ้าในห้องพักเล็กๆนี่ ข้าวของได้เสียหายพอดี ข้าไปว่าที่สวนหลังสถาบันดีกว่า


                ฮ่าๆ เจ้าก็พูดเกินไป แต่เอาเถอะ ข้าเห็นด้วยว่าเราควรจะย้ายที่


                จินหลงเก็บกระบี่ไม้เข้าไปที่แขนขวาเช่นเดิมเกิดแสงสีทองสว่างวาบพร้อมกับสัญลักษณ์กระบี่ ก่อนจะค่อยๆจางหายไปพร้อมกระบี่ในมือ ส่วนหยางติงนั้นเดินไปหยิบกระบี่ไม้ที่จินหลงเป็นคนทำให้จากข้างเตียง หยางติงนั้นไม่ได้เป็นคนในตระกูลซุนจึงต้องใช้กระบี่ไม้ธรรมดา ด้วยอานิสงค์ที่เขาต้องฝึกฝนวรยุทธ์เป็นเพื่อนกับจินหลงอยู่เป็นเวลานานสามปี ทำให้เขาเองก็พอจะมีฝีมือกระบี่อยู่บ้าง ถึงแม้จะไม่ได้เก่งกาจเทียบเท่ากับจินหลง แต่ก็เหนือกว่าหลายๆคนเช่นกัน หลังจากนั้นทั้งคู่ได้ก้าวเดินไปยังบริเวณหลังสถาบัน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×