ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Guardian of Dragon เทพกระบี่มังกรจอมราชันย์

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 3 หอตำราธาตุภูผา

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 8.62K
      103
      18 ม.ค. 60

    บทที่ 3 หอตำราธาตุภูผา

    สวนหลังสถาบันวิญญาณฟ้า

     

    ปึกปึก ปึก

    ควับบ

    พรึ่บบ ปึกปึกปัก ฟึบบ

     

                เสียงปะทะของกระบี่ไม้ดังอยู่ต่อเนื่อง ชายหนุ่มทั้งสองที่กำลังปะทะฝีมืออยู่บริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ ตกอยู่ในสายตาของสาวงาม เซี่ยเหว่ยถิง แววตาของหญิงสาวเต็มไปด้วยความสนอกสนใจ ปกติแล้วที่แห่งนี้เป็นที่ที่เซี่ยเหว่ยถิงมักจะมาฝึกวรยุทธ์และนั่งเล่นอยู่บ่อยๆ เพราะเป็นสถานที่ที่เงียบสงบ


                วรยุทธ์กระบี่ของชายคนนั้น..” สายตาของเด็กสายเต็มไปด้วยความชื่นชม


                เด็กหนุ่มทั้งสองผลัดกันรุกผลัดกันรับ น้ำหนักการออกกระบี่ของชายหนุ่มทั้งสองช่างหนักหน่วงยิ่งนัก แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่กระบี่ไม้ที่ดูท่าทางบอบบางซอมซ่อ แต่ก็เปี่ยมไปด้วยพลัง เสียงสายลมที่ถูกกระบี่ตัดผ่านอากาศดังออกมาทุกครั้งที่พวกเขาฟาดฟันกระบี่ออกมา คนหนึ่งนั้นดูจะเป็นรอง ชายอีกคน เพราะมีหลายจังหวะที่เขานั้นถูกหยุดไว้ได้และล้มลงหลายครั้ง


                เฮ้ เฮ้ ใจเย็นสิจินหลง ออมมือให้ข้าบ้างสิ


                มันเป็นการฝึกนะหยางติง ไม่มีการออมมือหรอก ฮ่าๆ


                นี่! ตอนแรกเจ้าบอกข้าเองนะว่า ฝึกซ้อมรับกระบวนท่าของเจ้าแค่สองสามกระบวนท่า แต่นี่มันเป็นสิบแล้วนะโว้ยยย แฮ่กๆๆ


    พรึ่บบ ชึบบ ปัก ปักก ปึกก!

    ฟึบบ ฟุบบบ


                ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เจ้าเป็นคู่ซ้อมเพียงหนึ่งเดียวของข้า ข้าก็อยากให้เราแข็งแกร่งไปพร้อมๆกันไง


                ย้ากก ! ไอเจ้าบ้า ฮวดแรงไปแล้ว


    ชิ้ง! พรวดด พรึ่บบ ปึกปึกปึกปึก  ฟึบบ


                ฮ่าๆ


                ข้าไม่ได้มีพลังกายแข็งแกร่งเช่นเจ้านะ !”


                คิดว่าข้าสนรึไง เจ้าก็รู้ว่าข้านั้นไม่มีทางออมมือ มาๆตั้งใจแล้วหวดมาให้เต็มแรงของเจ้าเลย!” ชายทั้งสองเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อที่ไหลรินออกมาอย่างไม่ขาดสาย

     

                คิกคิกคิก


                เจ้าเอาเปรียบเขานี่นา


    เด็กสาวแอบยืนหัวเราะอยู่เงียบๆ ข้าว่าชายคนแรก แข็งแกร่งเกินไป แลดูน่าสงสารชายอีกคนยิ่งนัก เพราะตัวชายคนนั้นช่างดูน่าเวทนาไม่เพียงแต่หยาดเหงื่อ แต่ทั้งตัวคลุกไปด้วยดินโคลนและใบไม้ สภาพยิ่งอย่างกับผ่านศึกสงครามมา ตรงข้ามกับชายอีกคนที่แม้จะมีหยาดเหงื่อเช่นกัน แต่ไม่มีแม้แต่ร่องรอยฝุ่นเล็กๆเลยแม้แต่น้อย วรยุทธ์ฝีมือกระบี่ของเขาช่างพริ้วไหวดั่งสายน้ำ ดูนุ่มนวลโอนอ่อนทั้งการโจมตีและตั้งรับ เด็กสาวไม่เคยเห็นวรยุทธ์ที่ทั้งงดงามและแข็งแกร่งเช่นนี้มาก่อน นางจึงมีความสนใจในชายคนนี้มากที่ไม่เพียงมีฝีมือดี แต่หน้าตาก็ดีเช่นกัน ถ้าเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงนางมั่นใจว่านางต้องรู้จัก ด้วยฝีมือและหน้าตารูปลักษณ์ของเขา ทำไมกันนะข้าถึงไม่เคยเห็นชายคนนี้มาก่อน เขามาจากตระกูลใดกัน เด็กสาวยืนมองอยู่พักใหญ่ก็ตัดสินใจเดินจากไป



    วันต่อมา


    ณ ลานกว้างของสถาบันวิญญาณฟ้า



                บริเวณลานกว้างเต็มไปด้วยผู้คนที่ผ่านการทดสอบพลังวิญญาณและได้เข้าเป็นศิษย์ของสถาบันวิญญาณฟ้า


                ข้าเป็นอาจารย์ของพวกเจ้า มีนามว่า ซือหวินเค่อ ต่อไปนี้หากเจ้ามีอะไรสงสัยให้ถามข้าได้ เพราะข้ามีหน้าที่ดูแลพวกเจ้าทุกคนในที่นี้ ก่อนอื่นทุกคนคงจะรู้ระดับพลังวิญญาณและธาตุของตัวเองแล้ว แต่ข้านั้นยังไม่รู้ ฉะนั้นแล้ว


                พรึ่บ!

                หินวิญญาณพลันปรากฏขึ้นตรงหน้าของศิษย์ทุกคน


                จงแสดงพลังของเจ้าอีกครั้ง


                หลังจากที่ทุกคนใส่พลังลงไปจนเกิดแสงสีของแต่ละธาตุ อาจารย์หวินเค่อก็สะบัดมืออีกครั้ง พลันหินวิญญาณตรงหน้าของศิษย์ทุกคนก็หายไป


                ดี ขั้นแรกข้าจะอธิบายถึงพลังธาตุก่อน พลังธาตุของคนเรานั้นจะมีทั้งหมด 7 ธาตุ ตามที่พวกเจ้ารูกันนั้นแหละ อัคคี วายุ เหมันต์ อัศนี ภูผา แสงสว่าง ความมืด แต่ละธาตุจะมีคุณสมบัติแตกต่างกันออกไปซือหวินเค่อพูดและอธิบายถึงลักษณะธาตุต่างๆไปจนจบหลังจากนั้นก็เริ่มที่จะพูดถึงเรื่องการบ่มเพาะพลัง


                วันนี้พอแค่นี้ พวกเจ้าสามารถไปรับวง แหวนมิติ และหยกศิลาคนละ10 ก้อนต่อเดือน ที่หอตำราหยกศิลานั้นใช้สำหรับการบ่มเพาะพลัง ผู้ฝึกฝนวรยุทธ์จำเป็นจะต้องใช้มันมาก

     


    หอตำราสถาบันวิญญาณฟ้า


                บริเวณห้องโถงกลางของหอตำรามีทางเข้าเป็นประกายแสงเจ็ดสีถูกแบ่งแยกออกเป็นเจ็ดเส้นทางตามลักษณะธาตุทั้งเจ็ด คนที่มีคุณสมบัติตามธาตุเหล่านั้นเท่านั้นถึงจะสามารถเดินผ่านเข้าไปได้ หยางติงนั้นแยกไปทางเข้าที่มีแสงสีแดงเจิดจ้าหอตำราธาตุอัคคี ส่วนจินหลงนั้นไปทางแสงสีน้ำตาลหอตำราธาตุภูผา ก่อนหน้านี้อาจารย์หวินเค่อบอกกับศิษย์ทุกคนว่า แต่ละคนนั้นสามารถเข้าไปเลือกเคล็ดวิชาที่ใช้สำหรับการบ่มเพาะพลังซึ่งจะแยกออกเป็นธาตุต่างๆในหอตำราได้อย่างอิสระ บางคนอาจจะได้เคล็ดวิชาที่สุดยอดบางคนอาจจะได้เคล็ดวิชาขยะ มันขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ของแต่ละคนไม่มีใครล่วงรู้ได้


                บริเวณภายในหอตำราธาตุภูผา เหมือนหลุดเข้ามาอยู่ในถ้ำใหญ่ๆ ตามผนังถ้ำมีหนังสือเปล่งแสงเรืองรอง มีทั้งหนังสือที่ลอยอยู่เต็มบริเวณ ทั้งเล่มที่ดูใหม่สะอาดเอี่ยม เล่มที่ถูกฝังอยู่ในดิน ฝังอยู่ตามผนัง หรือกองหนังสือหลายๆชั้นที่วางทับถมกัน ท่านอาจารย์กล่าวว่าธาตุภูผาเป็นธาตุที่ผู้บ่มเพาะพลังล้วนมีร่างกายที่แข็งแกร่งดุดภูผา แต่มันก็แค่นั้นเพราะธาตุภูผาในเจ็ดธาตุ เป็นธาตุที่ถือว่าอ่อนแอที่สุด ไม่มีใครต้องการมัน แต่ข้าไม่สนหรอก ข้าเชื่อว่าแต่ละธาตุมันต้องมีจุดเด่นจุดด้อยอยู่แล้ว ก่อนอื่นข้าต้องเปล่งพลังธาตุภูผาออกมาก่อนในเคล็ดวิชาเป็นผู้เลือกสินะ


                เกิดแสงเรืองรองสีน้ำตาลขึ้นครอบคลุมรอบตัวของจินหลง เวลาล่วงเลยผ่านไปซักพัก จินหลงลืมตาขึ้น มองไปเบื้องหน้า ทุกอย่างตรงหน้ายังคงเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เป็นไปได้อย่างไรกัน ทำไมถึงไม่มีเคล็ดวิชาสำหรับข้ากัน ข้าไม่ถูกเลือกจากเคล็ดวิชาที่อยู่ในนี้เลยงั้นหรอ


    เมื่อคิดดังนั้นจินหลงจึงค่อยๆก้าวเดินไปข้างหน้า และพยายามเปล่งพลังธาตุแห่งภูผาครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อให้เคล็ดวิชาเลือกตนเอง แต่จนแล้วจนรอดผ่านไปราวสองชั่วยาม หาได้มีเคล็ดวิชาแสดงตนออกมา แม้ว่าจินหลงจะลองเข้าไปใกล้หนังสือที่เป็นเคล็ดวิชา เขาทั้งลองจับเล่มที่ดูสะอาด เล่มที่ขาดหรือแม้แต่ขุดเล่มที่อยู่ในดิน แต่เมื่อเขาลองเปิดเล่มหนังสือ กลับไม่มีตัวอักษรปรากฏอยู่เลย นั่นหมายความว่าเขาไม่ได้ถูกเลือกจากเคล็ดวิชานั้นๆ


                ข้าไม่ยอมแพ้หรอก ถ้าพวกเจ้าไม่ยอมเลือกข้าดีดีละก็ ข้าจะไม่ยอมออกไปจากที่นี่เด็ดขาด ให้มันรู้กันไปสิว่ามันจะไม่มีเคล็ดวิชาสำหรับข้า เห็นทีจะต้องทำการขุดถ้ำครั้งใหญ่ซะแล้วจินหลงยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม พลันแขนข้างขวาปรากฏสัญลักษณ์กระบี่ กระบี่ไม้พุ่งออกมาอยู่ในมือขวาของจินหลง จินหลงหลับตาทำสมาธิก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้น


                เปรี้ยง! ฉวะ!

     ฉับบบบ


                จินหลงค่อยๆเริ่มกวัดแกว่างกระบี่รอบๆถ้ำ  ฟาดฟันตัดอากาศอย่างรุนแรง เนื่องจากเขามีพลังธาตุภูผาประกอบกับวรยุทธ์กายามังกรสีชาดที่เขาได้ฝึกฝนมาถึงสามปี ตอนนี้เขาบรรลุถึงขั้นที่สองแล้ว ทำให้พลังกายเขามีมากกว่าคนทั่วไป จริงๆแล้วเขานั้นออมพลังไว้ตลอดทุกครั้งที่เขาฝึกฝนร่วมกันกับหยางตง เพราะเขารู้ดีว่าหยางตงไม่สามารถรับแรงกระแทกจากการลงดาบของเขาอย่างแน่นอน ตั้งแต่เริ่มฝึกวรยุทธ์กายามังกรสีชาดเขาก็เริ่มรู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของวรยุทธ์นี้ แต่บัดนี้จินหลงได้ระเบิดพลังออกมาอย่างเต็มที่ เขามีความคิดว่าหากเขาแสดงพลังที่แท้จริงออกมา เคล็ดวิชาต้องเลือกเขาแน่ๆ จินหลงอาละวาดไปทั่วถ้ำ เกิดแรงสั่นสะเทือน เศษหินเศษดินกระจายไปทั่วบริเวณ หากแต่หนังสือเคล็ดวิชาทั้งหมดกลับอยู่ในสภาพปก ไม่มีผลกระทบแม้แต่น้อย


                จินหลงขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด ข้าอยู่ในถ้ำนี้ถึงสามชั่วยามด้วยกัน งั้นมาดูกันถ้าข้าอาละวาดอยู่ในนี้ต่อไปเรื่อยๆมันจะเป็นเช่นใดกัน

     

    ห้าวันต่อมา


                แฮ่กๆ

                ฉวะ!

                ตุบบ


                เสียงหอบหายใจด้วยความเหนื่อยล้า ดังออกมาจากจินหลงก่อนที่จินหลงจะค่อยๆหมดสติไป หลังจากอาละอาดทั่วบริเวณถ้ำทั้งวันทั้งคืนสุดท้ายจินหลงก็ลงไปนอนหมดสติอยู่บริเวณลึกสุดของถ้ำ จินหลงนั้นอยู่ในถ้ำแห่งนี้เป็นเวลาห้าวันแล้ว เขาทั้งไม่ได้กินได้ดื่มเลยแม้แต่น้อย หากไม่ใช่เพราะเขามีธาตุภูผาและฝึกวรยุทธ์กายาสีชาดมา เขาคงหมดสติไปนานแล้ว


    หึหึ ไอเจ้าเด็กบ้า สมน้ำหน้า! บังอาจมาอาละวาดในถ้ำของข้า!”


    เสียงลึกลับดังก้องกังวานไปทั่วทั้งถ้ำ เป็นเสียงที่แสดงความกร้าวกราดและโมโห ปรากฏดวงตาดวงใหญ่ขึ้นที่บริเวณผนังของถ้ำ เป็นดวงตาใหญ่ยักษ์ของสอง ทอแสงสีน้ำตาล ดูล้ำลึกและน่าเกรงขาม


    เอ๊ะนั่นมัน...


    “….”


    กายามังกรสีชาด! เจ้าเด็กนั่น มันฝึกวรยุทธ์กายามังกรสีชาด!” เสียงเจ้าของดวงตาลึกลับพูดขึ้นมาด้วยเสียงที่ตกอกตกใจ สายตาของมันกวาดสายตาไปทั่วร่างกายของเด็กหนุ่มด้วยแววตาอันลึกซึ้ง มันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเปล่งแสงสีน้ำตาลพุ่งจากดวงตายักษ์เข้าไปที่จินหลงที่ยังคงนอนหมดสติ ก่อนที่แสงจะค่อยๆซึมหายเข้าไปบริเวณกลางหน้าผาก


    ถ้าเจ้ารอดล่ะก็นะ…”


    เกิดแสงสว่างจ้าทั่วทั้งถ้ำ พลันดวงตาสีน้ำตาลใหญ่ยักษ์ก็ค่อยๆจางหายไป พร้อมกับร่องรอยต่างๆบริเวณรอบๆถ้ำที่เละเทะ และรอยขีดข่วนจากกระบี่ไม้ที่จินหลงได้ทำไว้ ค่อยๆหายไป กลับกลายเป็นสภาพปกติ อย่างกับไม่เคยเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นเลย

     

    อ๊ากกกกกกกกกกกกกก


    ร่างกายของจินหลงเกิดการเกร็งชักกระตุก ร่างกายของเขาราวกับถูกภูผาทับมันทั้งหนักหน่วงและเจ็บปวด ร่างกายของเขาจมลงไปในพื้นดิน อย่างกับมีแรงโน้มถ่วงมหาศาลทับ ผลักดันตัวเขาให้ยิ่งจมลงไปใต้พื้นดิน ร่างของจินหลงจมทะลุพื้นดินลงไปกว่าร้อยเมตรกล้ามเนื้อและเส้นเลือดของเขาราวกับได้รับผลกระทบ จินหลงกระอักเลือดออกมา ทั้งๆที่เขาหมดสติไปก่อนหน้านี้ แต่จู่ๆร่างกายของเขาก็หนักอึ้ง จนรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งเพราะความเจ็บปวดที่ถาถมเข้าใส่


    นี่มัน.. มัน มันเกิดอะไรขึ้น!”


    จินหลงเต็มไปด้วยความงุนงงไร้เรี่ยวแรง เจ็บปวด เขาไม่สามารถหยุดร่างกายของเขาไม่ให้ถูกพื้นดินดันลงไป เขาพยายามชูมือขึ้นตะเกียกตะกายเพื่อที่จะลุกขึ้น หากแต่เข้าไม่สามารถหยุดได้ เขายังคงถูกพลังแรงโน้มถ่วงกดดันให้เขาแนบติดไปกับพื้นและค่อยๆจมลงสู่เบื้องล่าง ร่างกายที่ถูกบดขยี้ไปกับพื้น ทำให้ทั่วทั้งร่างของจินหลงได้รับบาดเจ็บสาหัด เส้นเลือดแตกไปทั่วร่างกาย กระดูกร้าวกับแตกหักดั่งถูกบดจนแตกละเอียด เลือดท่วมทั้งร่าง


    บริเวณภายในถ้ำ ตรงที่ซึ่งเคยมีร่างของจินหลงนอนสลบอยู่ บัดนี้เกิดหลุมขนาดใหญ่ ลึกลงไปหลายพันหลายหมื่นเมตร จินหลงจมลงไปพร้อมๆกับเสียงโหยหวนที่ร้องออกมาเพราะความเจ็บปวดทางร่างกายที่สุดแสนจะทน ก่อนที่เสียงร้องของจินหลงจะค่อยๆแหบแห้งหายไป


    ภายในมิติถ้ำแห่งนี้ ทุกคนที่เข้ามาให้หอตำราธาตุ จะถูกแยกออกไปคนละมิติๆ ซึ่งทำให้ในห้องนั้นๆไม่มีใครสามารถเข้ามาได้ แม้จะเข้า หอตำราเดียวกัน แต่จะถูกแยกกันไปคนละที่ ดังนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในถ้ำนี้ ไม่มีใครล่วงรู้ได้เลย

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×