ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศึกเทพอสูรมหาสงคราม

    ลำดับตอนที่ #1 : ปฐมบทเริ่มต้น

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.22K
      2
      25 มี.ค. 47

    ศึกเทพอสูรมหาสงคราม

    ตอนที่ ๑  ปฐมบทเริ่มต้น



        ณ. แถบชายฝั่งทะเลตะวันออก จากทะเลที่แสนจะสงบไม่ส่อว่าจะเกิดคลื่นลมใดๆ ฉับพลันท้องทะเลกลับปันป่วน คลื่นม้วนเป็นเกลียว ทั้งๆที่ไม่มีพายุใดก่อตัวขึ้นแม้ตัวน้อย ในเกลียวคลื่นนั้นกลับปรากฏ สิ่งหนึ่งขึ้นมา พร้อมเสียงดังกึกก้อง



    “ กร๊าซๆ ๆๆ”  



    เป็นร่างสัตว์ใหญ่ขนาดยักษ์ ไม่มีขาลำตัวมีเกล็ดคล้ายเกล็ดงู แต่สีเขียวสดใส ใบหน้ายื่นยาวออกมามีฟันที่แหลมคม  ดวงตามีสีแดงคล้ายทับทิม ที่คางมีเครายื่นออกมาเล็กน้อย ลักษณะนี้บ่งบอกถึงหนึ่งในสัตว์ที่ทรงอานุภาพ



    “ นาคราช “  



    นาคตัวใหญ่โผล่พ้นจากน้ำทะเลมายังชายฝั่ง  ยังไม่ทันถึงพื้นทราย ต้นไม้บริเวณรอบข้างกลับโอนเอียงอย่างรุนแรง คล้ายมีลมพายุขนาดใหญ่พัดผ่านมาอย่างรวดเร็ว เกินแรงที่ต้นไม้จะต้านทานได้ ต้นไม้ใหญ่หลายต้นโค่นล้มลง  มีเพียงไม่กี่ต้นที่ยังยืนต้นอยู่ได้  พริบตาเดียวลมพายุกลับสงบคล้ายไม่เคยมีลมพัดมา หากแต่ต้นไม้ที่โค่นล้มเป็นสิ่งที่ยืนยันเรื่องที่เกิดขึ้น มองไปยังบนท้องฟ้ากลับปรากฏสัตว์ใหญ่ขนาดยักษ์อีกตัวหนึ่ง กระพือปีกถลาลมอยู่ ลักษณะคล้ายมนุษย์ มีปีกทั้งสองข้าง นิ้วมือทั้งห้ามีเล็บที่แข็งแกร่ง เท้าทั้งสองกลับมีลักษณะอย่างนก มีนิ้วเท้าเพียงเท้าละ 4 นิ้ว บนหัวสวมมุงกฎ ที่ปากมีจะงอยปากของนกยื่นออกมา ฟันคมกริบ  มองดูงูยักษ์อย่างใจเย็น หากแต่แววตาของนาคใหญ่กลับไม่พอใจ และระแวงคล้ายเจอศัตรูคู่ปรับ

      

    “ ข้ายินดียิ่งนัก ที่ได้พบท่านอีก  อินทรนาคราช “  



    นกยักษ์ตัวใหญ่พูดออกมาแววตาที่ปรากฏคล้ายกับเจอของเล่นที่ถูกใจ



    “ ข้ากลับไม่ยินดีนักที่ได้เจอท่าน สุบรรณ พญาครุฑ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งท้องฟ้า หลังจากข้าบำเพ็ญเพียร

    ตั้งสองพันปี กลับออกมาสู่โลกภายนอกอีกครั้ง กลับเจอท่าน  รู้สึกว่าคงไม่ใช่พรหมลิขิตหรอกนะ “  



    สุบรรณ พญาครุฑหัวเราะชอบใจคล้ายถูกใจความฉลาดของ อินทรนาคราช



    “ ถูกต้องแล้ว อินทรนาคราช ข้ามารอพบท่าน เพราะรู้ว่าท่านจะออกจากการบำเพ็ญตบะในวันนี้และมีเรื่องบางอย่างจะต้องพูดคุยกับท่าน”



    ตามหลักแต่โบราณตั้งแต่พญาครุฑต่อสู้กับพระนารายณ์ แล้วเสมอนั้น แต่ยอมให้ตัวเองเป็นพาหนะของพระนารายณ์ เป็นความชอบที่ยิ่งใหญ่ พระนารายณ์จึงให้พร ให้พญาครุฑ สามารถจับนาคกินเป็นอาหารได้  นับแต่นั้นนาคและเหล่าครุฑไม่เคยจะเป็นมิตรต่อกันเลย การปรากฏตัวของ สุบรรณนั้นทำให้ อินทรนาคราช ไม่ไว้วางใจ จึงสำแดงเดช เนรมิตร่างกายให้สูงใหญ่และประจันหน้ากับสุบรรณเตรียมพร้อมจะรับมือกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น



    “ ท่านมีเรื่องอะไรจะพูดกับข้า ก็ขอให้รีบพูดมาไวๆ ข้าไม่มีเวลาให้กับท่านมากนัก แต่คงไม่ใช่มาบอกข้าว่า เรื่องของท่านที่จะพูดกับข้าก็คือ ท่านไม่ได้กินนาคมาหลายวัน เลยอยากจะได้ข้าเป็นอาหารมื้อแรกของท่านในวันนี้หรอกนะ “



    สุบรรณรู้สึกจะไม่พอใจคำพูดของ อินทรนาคราชสักเท่าไร แต่ยังคงไม่ลงมือใดๆ กับอินทรนาคราช จ้องมองอินทรนาคอยู่สักครู่ก่อนจะพูดออกมาว่า



    “ ข้าไม่ได้มาพบท่านเพื่อจะเอาท่านเป็นอาหาร อย่างที่ท่านคิดหรอก อินทรนาคราช หากแต่ว่าท่านหลบไปบำเพ็ญเพียรตั้งหลายปี คงยังไม่รู้เรื่องหรอกนะว่า ตอนนี้เกิดเหตุการณ์ใดขึ้นบ้าง ? “



    คำพูดของสุบรรณทำให้ อินทรนาคราช รู้สึกฉงนสงสัย พร้อมกับเอ่ยปากถามด้วยความอยากรู้



    “ ท่านหมายถึงอะไร เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เรื่องที่ท่านจะบอกข้าคงเกี่ยวกับตัวท่านหรือไม่ก็ตัวข้าใช่หรือไม่ ? “



    “ ถูกเพียงครึ่งเดียว  ถ้าจะพูดให้ถูกก็หมายถึงความอยู่รอดของทุกเผ่าพันธุ์ในโลกมนุษย์ รวมทั้งสวรรค์  และเผ่าพันธุ์ของเราทั้งสองด้วย “



    อินทรนาคราช ตกใจยิ่ง หากพญาครุฑที่ยิ่งใหญ่ยังวิตกถึงเรื่องนี้ก็แสดงว่า เป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน



    “ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น กันแน่  ท่านได้โปรดบอกข้าเถอะ “  



    สุบรรณพยักหน้าตอบกลับก่อนที่จะกล่าวอย่างยืดยาว



    “ นับตั้งแต่ท่านเข้าบำเพ็ญเพียรสมาธิ ตบะขั้นสูง ในช่วงสองพันปีที่ผ่านมานี้  มีอสูรตนหนึ่งจากอสูรชั้นสวะ กลับพัฒนาฝีมือขึ้น จนมีความสามารถใกล้เคียงที่จะเป็นจ้าวอสูรขึ้นมา “  



    อินทรนาคราช ตะโกนก้องอย่างตกใจก่อนที่จะแผดเสียงขึ้นมา



    “ เป็นไปได้อย่างไร  เพียงชั่วเวลาแค่ไม่ถึงสองพันปี กลับมีอสูรที่เก่งกล้าขนาดนี้ได้ การที่จะมีอสูรที่มีความสามารถใกล้เคียงกลับจ้าวอสูรได้นั้น อย่างน้อยต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นปีไม่ใช่หรือ ? แล้วทำไมอยู่ๆ ในช่วงเวลาแค่นี้กลับมีอสูรที่มีความสามารถถึงเพียงนี้ได้ “



    สุบรรณตอบกลับอินทรนาคด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียด



    “ ตอนแรกข้าก็คิดอย่างท่าน  ข้ารู้สึกถึงความไม่ถูกต้องตั้งแต่ทราบข่าว ข้าก็พยายามสืบเสาะทั้งทางแจ้งและลับ  จนรู้ว่า อสูรตนนี้มีนามว่า  กัลย์ปาอสูร   แต่สิ่งที่ข้าได้รู้กลับผิดคาดกว่าที่ข้าคาดการณ์ไว้นัก “    



    สุบรรณคล้ายอึดอัดในสิ่งที่จะพูดต่อ หยุดบอกเล่าเรื่องราวเป็นเวลานาน



    “ หมายความว่าอย่างไร เรื่องที่ท่านว่าผิดคาดกว่าที่ท่านคาดการณ์ไว้ ? “



    อินทรนาคราช รู้สึกไม่ยินดีกลับกริยาท่าทางของสุบรรณ ทางสุบรรณก็สูดลมหายใจก่อนตอบกลับไป



    “ สิ่งที่ข้าคาดไว้ก็คือ ถ้ามันเป็นแค่อสูรธรรมดาถึงจะใกล้ความเป็นจ้าวอสูร ข้าก็กำจัดมันได้ไม่ยากเพราะอย่างไรซะพลังของมันก็ห่างจากข้ามากอยู่แล้ว แต่ข้ากับพบว่าความจริงว่าที่จริงแล้วอสูรตนนี้ มันก็คือ จ้าวอสูรตนก่อน “



    อินทรนาคราชตกใจอย่างยิ่งเพราะสิ่งที่ได้ฟังจากสุบรรณ พญาครุฑ มันแทบเป็นไม่ได้เลย  เพราะเมื่อเวลาหลายหมื่นปีก่อน  ด้วยการระดมกำลังของเหล่าเทพ รวมทั้งเผ่าพันธุ์วิหคและเผ่าพันธุ์นาคา ได้กำจัดจ้าวอสูรที่ร้ายกาจไปแล้ว  เรื่องนี้ย่อมไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะ อินทรนาคราช เป็นผู้ได้เห็นกับตาตนเองว่า เจ้าอสูรตนก่อนได้ตายไปต่อหน้าต่อตาของตนเอง



    “ มันเป็นไปได้อย่างไรกัน ? ก็ข้าเห็นกับตาตัวเองว่าจ้าวอสูรตนก่อนได้ตายไปแล้ว ต่อหน้าต่อตาของข้า แล้วทำไม ? จู่ๆ ถึง “



    “ ทำไมจู่ๆ ถึงเป็นว่าจ้าวอสูรตนก่อนยังไม่ตายใช่หรือไม่ ? “



    สุบรรณ ชิงตัดหน้าพูดเสียก่อน



    “ ใช่แล้ว ท่านสุบรรณ “  



    อินทรนาคราช รับคำ และตั้งใจฟังต่อไปด้วยหัวใจที่สับสน



    “ อย่างที่ท่านบอกนั้นแหละ จ้าวอสูรตนก่อนได้ตายไปแล้ว  หากแต่ในตอนนั้นก่อนที่มันจะได้พ่ายแพ้แก่พวกเรานั้น มันได้แยกร่างแฝงส่วนหนึ่งของมันออกมา ถึงแม้ร่างหลักของมันจะมลายไปสิ้นแล้วแต่ร่างแฝงของมันตนนี้ สามารถที่จะเติบใหญ่จนเป็นจ้าวอสูร ต่อไปได้ “



    “ แล้วทำไมในตอนนั้น พวกเราถึงไม่รู้สึกถึงการคงอยู่ของร่างแฝงนั้นเลยล่ะ “



    อินทรนาคราชตั้งข้อสังเกตขึ้นมา



    “ ก็เพราะว่าจ้าวอสูรจงใจผนึก พลังอสูรเอาไว้ทำให้เราเข้าใจกันว่า บริเวณที่ต่อสู้นั้นนอกจากจ้าวอสูรและแม่ทัพมารแล้ว พวกอสูรที่เหลือต่างเป็นอสูรชั้นสวะเท่านั้น หลังจากจ้าวอสูรตายก็เลยไม่คิดมีใครที่จะกำจัดอสูรเหล่านั้นเลย “



    อินทรนาคราช พยักหน้าอย่างเข้าใจ พลางคิดว่า จ้าวอสูรร้ายกาจนัก ไม่คิดว่าจะมีแผนการนี้คงเหลืออยู่ในตอนนั้นได้



    “ แล้วตอนนี้ กัลย์ปาอสูร มีความสามารถถึงขั้นไหน “



    “ อีกไม่กี่วันก็คงจะมีความสามารถเป็นจ้าวอสูร เต็มตัวเหมือนเมื่อหลายหมื่นปีก่อน แต่ยังคงไม่ออกมารุกรานสามโลก “



    อินทรนาคราช แปลกใจและสงสัยว่าทำไมเมื่อมีความสามารถเพียงนั้นแล้วกลับ ยังไม่ออกมาอาละวาดเหมือนเมื่อคราวก่อน



    “ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ในเมื่อ กัลย์ปาอสูร เป็นจ้าวอสูรแล้ว ยังไม่ออกมาแก้แค้นอีก “



    สุบรรณตอบ อินทรนาคราช ให้หายข้องใจว่า



    “ เพราะ กัลย์ปาอสูร กำลังทำพิธี ชุบ หกอาวุธ ฝ่ายมาร อยู่นะสิ ถ้าอาวุธทั้งหก ยังชุบไม่สำเร็จ ตัวมันเองคงไม่ออก ไปสู้รบกับใคร แต่ข้าคาดว่า มันคงจะส่งลูกสมุนของมันออกมารบกวน ในไม่ช้านี้แน่นอน “



    อินทรนาคราช เริ่มเห็นถึงความเดือนร้อนที่จะเกิดขึ้นกับสามโลก  และเริ่มเข้าใจการมาของสุบรรณ กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตรมากขึ้น



    “ แล้วท่าน และข้า  จะต้องทำอย่างไรกับเรื่องนี้ ? “



    สุบรรณ ยิ้มขึ้นพลางมองดู อินทรนาคราช และนึกว่าถึงแม้ตัวเขาและอินทรนาคราช จะเป็นเผ่าพันธุ์ที่เป็นศัตรูกัน หากแต่เมื่อมีเหตุการณ์ที่มีผลกระทบตัวส่วนรวมแล้ว ทั้งเขาและอินทรนาคราช กลับมาเป็นมิตรต่อกันอย่างไม่น่าเชื่อ



    “ ข้าได้นำเรื่องนี้ ปรึกษากับเหล่าเทพทั้งหลายแล้ว และมหาเทพทั้งสามก็ได้มีความเห็นว่า จะส่งเทพ ไปยังโลกมนุษย์ เพื่อจัดการกับกัลย์ปาอสูร โดยเทพทั้งหมดที่มหาเทพจะส่งไป มีดังนี้ เทพแห่งวิหค  เทพแห่งนาคา  เทพแห่งพยัคฆ์  เทพแห่งวายุ  เทพแห่งนารี และเทพแห่งยักษา โดยให้แต่ละเผ่าพันธุ์คัดเลือกทายาทตัวแทนที่จะไปทำหน้าที่ดังกล่าว ข้าจึงมาแจ้งให้ท่านทราบถึงการนี้ “



    อินทรนาคราช พยักหน้าอย่างเข้าใจต้นสายและปลายเหตุ สีหน้าฉายแววที่ส่อถึงว่าสงครามระหว่างเทพและอสูรครั้งนี้ คงอีกนานกว่าสันติสุขจะกลับคืนมายังทั้งสามโลกอีกครั้ง



    “ แล้วเทพผู้ที่จะทำหน้าที่ดังกล่าว จะต้องมีกี่คน และจะต้องนำตัวเทพเหล่านั้นไปยังที่ใด ? “



    อินทรนาคราช กล่าวถามสุบรรณ



    “ ก็แล้วแต่ท่านจะคัดเลือก พอท่านคัดเลือกได้แล้วอีกสามวัน ท่านจงนำพวกเขาไปยังที่เขาไกรลาศ  มหาเทพทั้งสามจะเป็นผู้กำหนดเองว่าจะให้ใครทำหน้าที่นี้บ้าง “



    เมื่อได้ยินดังนั้น อินทรนาคราชก็กระโจนตัวขึ้นสู่ท้องฟ้า พลางกล่าวขึ้นว่า



    “ งั้นก็ตกลงตามนี้  อีกสามวัน ข้าและท่านพบกันเขาไกรลาศ ขอให้ท่านโชคดี ข้าจะรีบไปยังนครบาดาลเพื่อคัดเลือกบุคคลที่จะมาทำหน้าที่นี้ บัดเดี๋ยวนี้ “



    สุบรรณ พญาครุฑ  กระพือปีกอันทรงพลัง พลางพูดกลับอินทรนาคราชว่า



    “ งั้นอีก สามวันเจอกันที่เขา ไกรลาศ  ขอให้ท่านโชคดีเช่นกัน ข้าไปล่ะ “  



    เมื่อบอก อินทรนาคราชเสร็จแล้ว สุบรรณ พญาครุฑ ก็กลับตัวกระพือปีก ถลาตัวไปข้างหน้ามุ่งตรงสู่เขาไกรลาศอัน เป็นที่พำนัก เกิดเสียงลมพัดด้วยพลังมหาศาล  กลับกันทาง อินทรนาคราช กระโจน ตัวลงสู่มหาสมุทรที่กว้างใหญ่ แลเห็นนาคตัวใหญ่ ดำผุดดำว่าย อยู่ในทะเล ก่อนที่จะดำหายลงไปสู่ ใต้ท้องทะเลลึก และสถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า เหลือไว้เพียงแต่ร่องรอยการมาของเขาทั้งสอง และภาระหน้าที่ที่สำคัญยิ่งในเวลานี้



    ........ ลึกลงไปใต้มหาสมุทร นครบาดาล เขตการปกครองของเผ่าพันธุ์นาคา ยามที่รักษาประตูเมืองกำลังเฝ้ายามอย่างเข้มแข็งเพื่อป้องกันผู้บุกรุก  ภายในนครบาดาลนั้น แบ่งการปกครองออกเป็นสามส่วน ส่วนแรกคือ ส่วนรอบนอก เป็นที่พำนักของชาวนครบาดาล ทั้งเหล่านาค และเผ่าพันธุ์เหงือก รวมทั้ง ชาวใต้พื้นน้ำที่เป็นบริวาร ของนครบาดาลแห่งนี้ อันได้แก่ กุ้ง หอย ปู ปลา  ส่วนรอบนอกนี้มีแนวกำแพงเมืองยาวหลายร้อยโยชน์ เป็นปราการด่านแรกสุดที่ผู้บุกรุกจากภายนอกจะผ่านเข้าเมืองบาดาล ด้านหน้าประตูเมืองประดับด้วยมุกเจ็ดเม็ดใหญ่ มุกแต่ละเม็ดมีหน้าที่ในสะกดพลังผู้บุกรุก สร้างเขตอาคมพลังเวทย์ไม่ให้ผู้ใดก่อความเดือนร้อนต่อนครบาดาลได้ ที่กำแพงเมืองมี นาคหนุ่มเป็นทหารป้องกันเมืองจำนวนมาก ประจำในแต่ละป้อมคอยสอดส่องป้องกันภัยให้กับชาวเมืองบาดาล ทางด้านหลังของนครบาดาลติดกับภูเขาใต้ทะเลขนาดยักษ์ไว้สำหรับป้องกันศัตรูที่มาจากด้านหลัง มีทหารประจำการอยู่ไม่มากนัก ส่วนรอบนอกนี้มีอาณาเขตกว้างใหญ่กินพื้นที่หลายร้อยโยชน์  ส่วนที่สอง คือ ส่วนกลาง เป็นที่บัญชาการของเหล่าขุนพลนาค  มีแม่ทัพใหญ่อยู่สามตนคือ จามนาคราช แม่ทัพใหญ่  จันทรนาคราช รองแม่ทัพซ้าย และ จลนันทนาคราช รองแม่ทัพขวา ทั้งสามเป็นพี่น้องกัน มีหน้าที่สำคัญในการป้องกันและดูแลการเกิดกบฏในนครบาดาล  ส่วนสุดท้ายคือ ส่วนใน เป็นเขตในพระตำหนักของเชื้อพระวงศ์นาคา แม่ทัพทั้งสามของนครบาดาลก็เป็นหนึ่งในเชื้อพระวงศ์นาคา    ในขณะนี้มี อานนทนาคราช เป็นผู้ปกครอง โดยส่วนใหญ่แล้วเผ่าพันธุ์นาคาสืบเชื้อสายมาจาก อนันตนาคราช ผู้เป็นใหญ่ในอดีตกาล ส่วน อินทรนาคราช มีศักดิ์เป็นน้องของ อานนทนาคราช เป็นผู้ไม่สนใจในความเป็นไปของนครบาดาลมากนัก และชอบปลีกตัวออกไปบำเพ็ญตบะบารีมากกว่าจะเป็นผู้รักษานครบาดาล จากการบำเพ็ญตบะมาอย่างต่อเนื่องทำให้ร่างกายของอินทรนาคราชแข็งแกร่งดุลเพชร  ไม่มีศาตราวุธใดจะสามารถระคายผิวของ อินทรนาคราชได้ กลับกันกับ อานนทนาคราช เป็นผู้ชื่นชอบในการใช้อาวุธ มี หอกนาควัตร เป็นอาวุธประจำตัว หอกนาควัตร มีฤทธิ์เป็นเพลิงกรด สามารถเผาผลาญศัตรูให้มอดไหม้ได้ภายในพริบตา  ที่กำแพงเมืองขณะเหล่าทหารนาค กำลังเฝ้ายามอยู่นั้น ทหารคนหนึ่งหันไปเห็นสิ่งหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวใกล้เข้ามายังนครบาดาล  



    “ เฮ้ย! เจ้าเห็นอย่างที่ข้าเห็นหรือเปล่า? มีอะไรกำลังมุ่งตรงมายังนครบาดาลของเรานะ “  



    ทหารนาคพูดกำลังเพื่อนที่อยู่ข้างๆ เป็นผลให้นาคอีกคนหนึ่งหันมามองตามที่เพื่อนบอก



    “ ไหนๆ  เออ! จริงด้วย นั้นใครนะ กำลังมาทางนี้ เอ๊ะ! นั้นมันพญานาคราชนี้น่า ข้าว่าข้าคุ้นๆนะ เหมือนข้าจะเคยเห็น พญานาคราชตนนี้ที่ไหนมาก่อน“  



    ทหารนาคอีกคนใช้มือขยี้ตาตัวเองก่อนจะเห็นผู้บุกรุกที่เข้าใกล้นครบาดาล



    “ พวกเจ้าเปิดประตูเมืองให้ข้าเข้าไปเดี๋ยวนี้ “  



    เสียงของผู้บุกรุกตะโกนก้องพร้อมการปรากฏของเจ้าของเสียง คือ อินทรนาคราช นั้นเอง



    “ ท่านอินทรนาคราช  พวกเราเปิดประตูเมืองให้พระองค์เข้ามาเดี๋ยวนี้ เร็วเข้า “



    นาคหนุ่มผู้เป็นยามเฝ้าประตูตะโกนบอกให้เหล่าทหารที่รักษาประตูเมืองเปิดประตูรับ อินทรนาคราช ทันที



    “ เอี๊ยดๆๆๆ “



    เสียงจากการเปิดประตูเมืองดังก้อง พร้อมกับเสียงเหล่าทหารร้องตะโกน



    “ ท่านอินทรนาคราช กลับมาแล้ว ๆๆ “  



    เสียงของเหล่าทหาร ทำให้ชาวนครบาดาล โห่ร้องการกลับมาของ อินทรนาคราช   ฉับพลันเมื่อ อินทรนาคราช เข้ามาในเมืองก็กลายสภาพจากนาคตัวใหญ่เป็นหนุ่มใหญ่  ร่างกายกำยำ สวมอาภรณ์สีเขียว ที่หน้าผากคาดแถบผ้าสีเขียวมีเม็ดทับทิมสีแดงประดับอยู่ตรงกลาง ผมยาวประบ่า แลดูสง่างาม แล้วรีบพาร่างตนเองไปยัง หอประชุมศึกนาคาเพื่อพบกับสามแม่ทัพใหญ่  



        ในหอประชุมศึกนาคา สามแม่ทัพได้ยินเสียงโห่ร้องยินดีของการกลับมาของ อินทรนาคราช ต่างรีบจะออกไปพบอินทรนาคราช แต่อินทรนาคราช นั้นเข้ามาในหอประชุมศึกนาคาเสียก่อน



    “ ยินดีต้อนรับ การกลับมาของท่านอีกครั้ง อินทรนาคราช ข้ากำลังจะออกไปพบท่านอยู่พอดี ไม่ได้พบท่านเสียนาน ท่านยังคงดูหนุ่มแน่นเหมือนเดิม “  



    จันทรนาคราช เอ่ยกล่าวชม แม้ไม่ได้พบ อินทรนาคราชมานานแล้ว แต่ อินทรนาคราช ก็ยังดูเป็นหนุ่มเหมือนเป็นหนุ่มอมตะ ผิดกลับตัวเอง ถึงแม้ว่าร่างกายจะแข็งแรงแต่ใบหน้าก็มีแวว ถึงสังขารที่ชรามากขึ้น  แต่กระนั้น จันทรนาคราช ก็ยังดูสง่างามสมวัย



    “ ข้าก็ยินดีเช่นกันที่ได้พบท่าน ทั้งสามอีก จามนาคราช  จันทรนาคราช และจลนันทนาคราช แต่เวลานี้ข้าขอให้พวกท่านทั้งสามไปตามเสด็จปู่รวมทั้งเหล่าพญานาคราชผู้เป็นใหญ่ในนครบาดาล มาพบข้าและเจ้าพี่ ในตำหนักในก่อน รบกวนพวกท่านทำตามที่ข้าขอร้องด้วย “    



    สามพี่น้องหันมามองหน้ากันด้วยความสงสัยว่าเหตุใด อินทรนาคราชถึงร้อนรนนัก คุยกันไม่นานกลับจะรีบพบ อานนทนาคราช ผู้เป็นพี่ชาย และให้พวกตนไปตาม พระพันปี คีตรนาคราช และยังเรียกประชุมเหล่าพญานาคราชด้วย แต่ทั้งสามก็กระทำตามแต่โดยดีโดยต่างแยกย้ายกันไปติดตาม พระพันปี คีตรนาคราช และเหล่าพญานาคราชทั้งหลาย ส่วนอินทรนาคราช รีบเข้าไปพบ อานนทนาคราชในตำหนักใน



        ......ตำหนักใน เป็นที่พำนักของเจ้านครบาดาลทุกรุ่น ภายในตำแหน่ง มีเสาอยู่ทั้งหมด ๔๒ ต้น แกะสลักลวดลายอย่างสวยงาม ภายในมีม่านผ้าแพรสีเขียว มองดูข้างบน คล้ายมีกระจกใส สามารถมองเห็นน้ำทะเลที่อยู่รอบนอกตัวนครบาดาลได้  ที่ด้านหน้าของตำหนักในมีบัลลังก์นาคประจำตำแหน่งเจ้านครบาดาลอยู่ตรงกลาง ซ้ายและขวาเป็นที่นั่งแขกที่เข้ามาเยือนนครบาดาลหรือเหล่าพญานาคที่เข้าว่าราชการ ใกล้ๆ กับบัลลังก์นาค มีที่นั่งสำหรับนาคผู้อาวุโส  เป็นที่ปรึกษาของเจ้านครบาดาล  ขณะที่ อานนทนาคราช กำลังอ่านคัมภีร์พระเวทย์อยู่นั้น อินทรนาคราช ผู้เป็นน้องก็เข้ามาในตำหนักใน ผู้เป็นพี่ชายเงยหน้าขึ้นจากการอ่านคัมภีร์ แลเห็นน้องชายแต่ไกล ด้วยความดีใจ ที่ไม่ได้พบ น้องชายมาเป็นเวลานาน รีบลุกขึ้นจากบัลลังก์นาค เข้าไปสวมกอดน้องชายทันที



    “ ฮะๆๆ น้องรัก  เจ้าหายไปตั้งนาน พี่นึกว่าเจ้าจะไม่กลับมายังนครบาดาลเสียแล้ว พี่กำลังคิดว่าหากเจ้ายังไม่กลับมาจะให้ท่าน จามนาคราช   ออกไปตามหาเจ้า  ตอนนี้เจ้ากลับมาแล้ว พี่ดีใจจริงๆ”



    อานนทนาคราชคลายมือตนเองออกจาก น้องชาย อินทรนาคราช ก็ทำความเคารพ ผู้เป็นพี่ ก่อนมองดูพี่ชายตนเองอีกครั้ง ไม่เจอกับพี่ชายเป็นเวลานาน อานนทนาคราช ผู้เป็นพี่ดูชราไปเยอะกว่าที่คิด แม้ท่าทางและแววตา จะยังดูไม่อิดโรย แต่จากสภาพที่เห็นตอนนี้คงใกล้เวลาที่พระองศ์จะสละบัลลังก์นาคแห่งนี้ให้ พระโอรส องค์ใดองค์หนึ่งใน สองพระองค์   ขึ้นครองนครบาดาลในไม่ช้านี้อย่างแน่นอน



    “ หม่อมฉัน ก็ดีใจยิ่งนัก ที่ได้พบเจ้าพี่อีกครั้ง หลังจากหม่อมฉันออกจากการบำเพ็ญตบะ ตอนแรกคิดว่าจะ เที่ยวชมความงามในโลกมนุษย์เสียก่อนจะกลับมาหาเจ้าพี่ “



    “ เจ้านี้ ร้ายนัก แทนที่จะกลับมาหาพี่ กลับคิดไปเที่ยวเล่นบนโลกมนุษย์ซะนี้ อย่างน้อยเจ้าน่าจะกลับมาหาเสด็จปู่ก่อน แล้วค่อยไปเที่ยว เสด็จปู่บ่นคิดถึงเจ้าอยู่ตลอดเวลารู้ไหม ? “



    อานนทนาคราช อดที่จะตัดพ้อ น้องชายตัวเองไม่ได้ แม้อินทรนาคราช จะยังไม่คิดกลับมาหาตน แต่ก็น่าจะกลับมาหา พระพันปี คีตรนาคราช ผู้เป็นปู่เสียก่อน  อินทรนาคราช เองก็เหมือนจะรู้ความผิดของตนเองรีบขอโทษต่อ อานนทนาคราช



    “ ขอประทานอภัยให้กับหม่อมฉันด้วย ที่ไม่ได้คิดถึงว่าเสด็จปู่จะเป็นห่วงหม่อมฉัน แต่ในเวลานี้หม่อมฉันมีเรื่องจะปรึกษากับเจ้าพี่และเสด็จปู่เป็นการด่วน เรื่องนี้สำคัญมาก ขอให้เจ้าพี่ได้โปรดไตร่ตรองเรื่องนี้ด้วย “  



    อานนทนาคราช ผู้เป็นพี่ขมวดคิ้ว สงสัยว่า อินทรนาคราชจะพูดถึงเรื่องใด แม้ยังไม่ทราบเรื่องจากปากของน้องชาย แต่ตนเองก็คิดว่าต้องเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ไม่เช่นนั้น อินทรนาคราช คงไม่ กระวนกระวาย เช่นนี้แน่ ยังไม่ทันจะได้เอ่ยถามกลับพบว่าเหล่าบรรดา เครือญาตินาคาของตนเองเข้ามาในตำหนักใน อย่างมากมาย รวมถึงเสด็จปู่ คีตรนาคราช และ สามแม่ทัพใหญ่ของนครบาดาลด้วย



    “ อินทรนาคราช  เจ้านั้นเอง  เจ้ากลับมาหาปู่แล้ว  “  



    คีตรานาคราช ตรงเข้าไปหาหลานชาย  ดีใจที่ได้พบ อินทรนาคราช  หลังจากที่ไม่พบอินทรนาคราช มานานมากแล้ว



    “ หม่อมฉัน ถวายบังคม เสด็จปู่ ขอให้เสด็จปู่ประทานอภัยที่หลานกลับมาหาเสด็จปู่ช้าด้วย “



    พระพันปี  คีตรนาคราช ผู้เป็นปู่พิศมอง อินทรนาคราช อย่างเต็มตา พบว่าแม้จะไม่ได้พบหลานชายมานาน แต่ อินทรนาคราช ก็ยังดูไม่เปลี่ยนไปมากนัก จากสมัยเด็กๆ บางทีแลดูแล้วนับวันจะดูสง่างามกว่า อานนทนาคราช ผู้เป็นพี่ชายเสียอีก



    “ ปู่ไม่โกรธเจ้าหรอก แต่ว่าเจ้าทำไม ? ให้ แม่ทัพนาคาไปตามปู่และเหล่าพญานาคราช มาหาเจ้าในวันนี้ด้วยล่ะ มีเรื่องสำคัญอะไรอย่างงั้นหรือ ถึงจะต้องรีบร้อนพบพวกเราขนาดนี้ ทั้งๆที่ตัวเจ้าเองก็เพิ่งจะกลับมาได้ไม่นาน”



    คีตรนาคราชถามขึ้นหลังจากได้พูดคุยกับหลานชาย และสงสัยว่าทำไม อินทรนาคราช ถึงต้องรีบร้อนจะพบตน และยังเรียกเหล่าพญานาคราช มาประชุมกันในตำนักในด้วย แทนที่จะประชุมกันที่หอประชุมศึกนาคาเหมือนเมื่อก่อน เพราะที่ตำหนักในเหมาะที่จะใช้รับแขกบ้านแขกเมืองหรือพูดคุยด้านการบริหารเมืองบาดาลเสียมากกว่า ไม่สะดวกเท่าที่หอประชุมศึกนาคา



    “ ขอให้เสด็จปู่และเจ้าพี่ และทุกท่านตั้งใจฟังในเรื่องที่หม่อมฉันจะเล่าต่อไปนี้ เรื่องที่หม่อมฉันจะเล่าให้ฟังเกี่ยวข้องกับการคงอยู่ของพวกเราเผ่านาคา และเหล่าเทพด้วย “



    ทั้งตัว พระพันปี คีตรนาคราช และ อานนทนาคราช รวมทั้งเหล่าพญานาคราช ตนอื่นๆ ต่างตกใจในคำพูดของ อินทรานาคราช



    “ น้องพี่ นี้มันเรื่องอะไรกันแน่ รีบบอกให้พี่และเสด็จปู่รู้เถอะ “  



    อานนทนาคราช รู้สึกร้อนใจรีบถามด้วยความอยากรู้



    “ เรื่องที่หม่อมฉันจะเล่า เป็นเรื่องที่ได้ฟังจากปากของผู้ยิ่งใหญ่แห่งท้องฟ้า “



    อินทรนาคราช เริ่มเล่าเรื่องราวให้กับ อานนทนาคราชฟัง



    “ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งท้องฟ้า  เจ้า..... เจ้าหมายถึง สุบรรณ อย่างงั้นหรือ ? “  



    พระพันปี คีตรนาคราช  พูดออกมาด้วยความตกใจและสงสัยว่า ทำไม อินทรนาคราช ถึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับ เผ่าพันธุ์วิหค ผู้เป็นศัตรูกับเผ่าพันธุ์นาคาได้



    “ ใช่แล้ว พระเจ้าข้า เสด็จปู่ นี้เป็นสิ่งที่หม่อมฉันได้ฟังจากปากของ สุบรรณ พญาครุฑ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งท้องฟ้า “  



    .....จากนั้น อินทรนาคราช ก็เริ่มเล่าเรื่องราวต่างๆ ตั้งแต่ตนเองออกจากการบำเพ็ญตบะและได้พบกับ สุบรรณ พญาครุฑ รวมทั้งเรื่องการกำเนิดของ กัลย์ปาอสูร และการคัดเลือกเหล่าเทพในการปราบ กัลย์ปาอสูร ในครั้งนี้ เหล่าพญานาคราชต่างฟังเรื่องราวจากปากของ อินทรนาคราช อย่างใจจดใจจ่อ จนเมื่อ อินทรนาคราช เล่าจบ ต่างนิ่งกันอยู่ครู่ใหญ่ก่อน จามนาคราช ผู้เป็นแม่ทัพ นครบาดาลจึงเป็นผู้ที่คิดขยับพูดเป็นคนแรก



    “ ข้าไม่คิดเลยว่าเรื่องราวที่ได้ฟังจากปากของท่านจะเกินคาด ถึงขนาดนี้ “  



    พูดจบจามนาคราช ถอนลมหายใจออกเฮือกใหญ่ บ่งบอกถึงความกังวลในใจไม่น้อย แม้กระทั่งเหล่าพญานาคราชตนอื่นๆ ในดวงตาก็ปรากฏแวววิตกถึงสถานการณ์ขณะนี้อย่างเห็นได้ชัด



    “ อย่างไรซะ พวกเราทั้งหมดก็ต้องเผชิญหน้ากับมันให้ถึงที่สุด    ตามที่ข้าคิดเป้าหมายแรกของมันอาจจะเป็นพวกเรา   หรือไม่ก็เผ่าพันธุ์วิหค  หรือบางทีมันอาจจะคิดจ้องเล่นงานพวกเหล่าเทพอยู่ก็เป็นได้ “  



    พันธานาคราช  ผู้เป็นนาคราช อยู่ขึ้นไปทางทิศเหนือของมหาสมุทร ออกความคิดเห็น



    “ ก็อาจจะเป็นอย่างที่ท่านคิดนะ พันธานาคราช  แต่อย่างไรตอนนี้เราก็ต้องคัดเลือก ผู้ที่จะไปปราบอสูรตนนี้ภายในอีกสามวันให้ได้  ทุกท่านมีความเห็นว่ากระไรกันบ้าง “  



    จลนันทนาคราช เอ่ยถามความคิดเห็นของผู้อื่น ทางฝ่าย พระพันปี คีตรนาคราช ก็พูดขึ้น



    “ ตอนนี้ในนครบาดาลแห่งนี้ ผู้ที่มีความสามารถที่จะต่อกรกับ กัลย์ปาอสูรได้ เท่าที่ข้าคิด ก็มีเพียง สามแม่ทัพนาคา  อินทรนาคราช  อานนทนาคราช วิเชียรนาคา นาคาผู้พิทักษ์ทิศตะวันออก  กัณจนาคา และ มันทยนาคา บุตรของ อานนทนาคราช เท่านั้น “  



    “ ข้าไม่เห็นด้วย ที่จะให้สามแม่ทัพนาคา ออกไปรับศึกนี้  สามแม่ทัพนาคาเป็นกำลังหลักของนครบาดาล หากสามแม่ทัพนาคา ออกจากนครบาดาลไปก็ไม่มีใครที่จะประกันความปลอดภัยให้กับ พวกเราเผ่าพันธุ์นาคาได้ “



    ขันธรานาคา นาคาผู้พำนักในแถบตะวันตกกล่าวขึ้น พลางพูดต่อไปว่า



    “ ส่วน อานนทนาคราช เป็นเจ้าเมืองนครบาดาลแห่งนี้ หากออกไปปราบกัลย์ปาอสูร นครบาดาลก็ขาดเสาหลักที่มั่นคงทำให้ ศัตรูจากภายนอกเข้ามารุกรานได้เช่นกัน ตามความเห็นของข้า ผู้ที่จะเหมาะที่ทำหน้าที่นี้คงมีแต่ อินทรนาคราช วิเชียรนาคา กัณจนาคาและมันทยนาคา เท่านั้น ทุกท่านเห็นว่าอย่างไร? “



    เหล่าพญานาคราชได้แต่ฟังความคิดเห็นของ ขันธรานาคา หากแต่ยังไม่ได้ตกลงใดๆ ว่าจะให้ผู้ใดเป็นผู้ที่ออกไปปราบกัลย์ปาอสูร



        ในขณะที่ ตำหนักในกำลังวุ่นวายกับการคัดเลือกผู้ปราบกัลย์ปาอสูร กลับกันทางฟากตะวันออกของตำนักในก็มีเหตุการณ์วุ่นวายไม่น้อยเช่นกัน  บรรดาพี่เลี้ยงของเราธิดานาคราช กำลังไล่จับ เจ้าหญิงผู้เป็นนายอย่างเหน็ดเหนื่อย



    “ ฮะๆๆ  เร็วสิ พี่ปลาใหญ่ พี่กุ้งน้อย จับพวกเราให้ได้สิ “  



    เสียงตะโกนเจื่อยแจ้ว ของเหล่าธิดานาคสมุทร ตะโกนหลอกล่อเหล่าพี่เลี้ยงให้หัวหมุน แลเห็นหญิงสาวรูปร่างเพรียวบางอยู่ สี่คน เคลื่อนตัวหลบการไล่จับของ เหล่านางกำนัลพี่เลี้ยง



    “ พระธิดา ทั้งสี่พระองค์หยุดก่อนเถอะเพคะ หม่อมฉันสองคน เหนื่อยแทบจะขาดใจอยู่แล้ว เพคะ “



    เสียงตัดพ้อของพระพี่เลี้ยงปลาใหญ่ ดังขึ้น พลางทรุดตัวลงนั่งอย่างเหนื่อยอ่อน พอหันไปข้างหลังกลับพบนางกำนัลผู้เป็นลูกน้องนั่งหัวเราะอยู่ใกล้ๆ จึงเริ่มหันมาเล่นงานเหล่านางกำนัลที่เหลือ



    “ ชะช้า นางพวกนี้หัวเราะกันอยู่ได้ รีบห้ามพระธิดาสิยะหล่อน เดี๋ยวข้าจะฟ้อง ท้าว อานนทนาคราช ผู้เป็นใหญ่ในนครบาดาล ลงโทษพวกเจ้าให้หลังลายเชียว ฐานที่พวกเจ้าไม่ดูแลพระธิดาทั้งสี่ให้ดี  ยังนิ่งอยู่อีกนางพวกนี้เนี๊ย “



    นางกำนัลได้ยินพระพี่เลี้ยง ปลาใหญ่  พูดดังนั้น ต่างรีบตามพระธิดาทั้งสี่พระองค์กลับมาโดยไว เพราะกลัวว่าเรื่องจะถึงพระกรรณของ ท้าวอานนทนาคราช  หากแต่พระธิดาทั้งสี่กลับไม่ยอมให้เหล่าพี่เลี้ยงจับตัวได้ง่ายๆ



    “ โอย   ฉันจะเป็นอยู่ลมอยู่แล้วนะ แม่ปลาใหญ่  ทำไมพระธิดาทั้งสี่พระองค์ซนกันอย่างนี้ก็ไม่รู้ ฉันจะตายเสียให้ได้ “  



    พระพี่เลี้ยงกุ้งน้อยหัวหน้าพระพี่เลี้ยงอีกคนหนึ่งนั่งทรุดอยู่ใกล้ๆ กับ พระพี่เลี้ยงปลาใหญ่



    “ นี้ แม่กุ้งน้อย บ่นให้น้อยๆ หน่อยเถอะ แล้วรีบๆ หายเหนื่อย จะได้ตามพระธิดากลับมา เดี๋ยวแทนที่จะได้ลงหวายแม่พวกนั้นจะเป็นว่าเราสองคนถูกลงหวายกันเสียเอง “



    พูดจบปลาใหญ่ก็ลุกขึ้นไปตามพระธิดาทั้งสี่พระองค์ ปล่อยให้ กุ้งน้อยนางกำนัล คว่ำขม้ำอยู่ตรงนั้นแทน ส่วนกุ้งน้อยหลังจากยันตัวลุกขึ้นมาได้ พลางบ่นไล่หลัง ปลาใหญ่ ว่า



    “ โอยๆ แม่ปลาใหญ่นะแม่ปลาใหญ่ จะไปก็ไม่บอกไม่กล่าวดูสิ ลุกขึ้นไปได้ ไปให้เราล้มอยู่ตรงเนี้ย พระธิดาเพคะ รอหม่อมฉันด้วย “



    พูดจบพระพี่เลี้ยงกุ้งน้อยก็ตามไล่หลัง พระพี่เลี้ยงปลาใหญ่ไปติด ๆ ทาง พระธิดา อีกสามพระองค์ก็หลอกล่อเหล่าพี่เลี้ยงไปเรื่อยๆ ไม่ยอมให้เหล่านางกำนัลพี่เลี้ยงจับตัวได้



    “ ไม่มีทาง พวกเราไม่ยอมให้พวกเจ้าจับได้ง่ายๆหรอก หากพวกเจ้ายังจับตัวพวกเราไม่ได้ล่ะก็ พวกเราก็จะออกไปเล่นกันข้างนอกล่ะนะ “



    ข้างนอกของพระธิดา ก็หมายถึง นอกนครบาดาลนั้นเอง สำหรับนาคที่มีฤทธิ์มากแล้วย่อมไม่เป็นอันตรายใด ๆที่จะออกไปข้างนอก หากว่าเป็นนาคที่ยังไม่มีฤทธิ์มากนัก ออกไปอาจจะพบกับอันตรายได้ โดยเฉพาะนางนาค เพราะอาจจะออกไปเจอ กับพวกเผ่าพันธุ์วิหค หากเคราะห์ร้าย ก็อาจถูกจับกิน  หากเคราะห์ดีก็อาจหนีรอดกลับมายังนครบาดาลได้ แต่ถ้าเคราะห์ดีหน่อยก็อาจจะไม่ได้ถูกจับกิน แต่อาจได้เป็นชายาของเผ่าพันธุ์วิหคตนใดตนหนึ่งก็ได้  เหมือนอย่างนางนาคหลายๆตนที่ขึ้นไปแล้วไปต้องใจพวกเผ่าพันธุ์วิหคตนใดตนหนึ่ง พวกพี่เลี้ยงได้ยินดังนั้นต่างตกใจกลัวว่านอกจากจะหลังลายแล้ว อาจจะตัดหัวก็เป็นได้ ต่างพากันไล่จับและห้ามพระธิดาทั้งสามกันอย่างชุลมุน



    “ ว้าย ไม่ได้นะเพคะ พระธิดา จะออกไปข้างนอกนครบาดาลไม่ได้นะเพคะ ไม่อย่างนั้นหม่อมฉันตายแน่ “



    พระพี่เลี้ยงกุ้งน้อยได้ยินรีบไล่จับพระธิดาทั้งสาม แต่ก็ยังจับพระธิดาทั้งสามไม่ได้



    “ พี่กุ้งน้อย ก็จับให้ได้สิจ๊ะ ถ้าจับไม่ได้พวกเราก็จะออกไปแล้วละนะ “  



    หนึ่งในพระธิดาทั้งสามยังพูดไม่จบกับถูกมือใครคนหนึ่งจับไว้ พระธิดาองค์นั้นทำท่าทางไม่พอใจหันไปมองคนที่จับคล้ายจะหาเรื่องแต่พอเห็นชัดเท่านั้นกลับหน้าถอดสี ไม่กล้าแม้แต่จะตอบโต้



    “ เมื่อกี้ เจ้าบอกแม่ว่าจะออกไปที่ไหนนะ เมธาวดี “  



    พระธิดาเมธาวดี ไม่กล้าแม้จะสบตาพระมารดามองไปยัง พระสหายอีกสองพระองค์ต่างถูกพระมารดาของแต่ละพระองค์ จับตัวไว้



    “ เจ้านี้ซนนักนะ เห็นทีจะต้องให้ เสด็จพ่อ กักบริเวณเจ้าไว้ถึงจะสมกับที่เจ้าทำความผิด “



    พระนางรัญญานาคินี ทรงตรัสกับพระธิดาของพระนาง ส่วนพระธิดาเมธาวดีทรงส่งแววตาอ้อนวอนคล้ายของความเห็นพระทัยจากพระมารดา



    “ เจ้าไม่ต้องอ้อนวอนแม่เสียให้ยาก อย่างไรซะ แม่ก็ไม่ใจอ่อนยอมยกโทษให้เจ้าแน่ “  



    พระนาง รัญญานาคินี ทรงรู้ทันชิงตรัสพูดเสียก่อน



    “ หม่อมฉันว่า พระพี่นางไม่ตกกังวลหรอกนะ เพคะ อย่างไรพระธิดาเมธาวดีคงไม่กล้าพูดอย่างเมื่อกี้อีกแล้วเพคะ “



    พระนางอินทราณี พระชายาของ จลนันทนาคราช ทรงตรัสขึ้นขณะที่อีกเมื่อหนึ่งกุมพระหัตถ์ของพระธิดา กุสุมาวดี พระธิดาของพระนางเอาไว้



    “ เจ้าก็เหมือนกันนะกุสุมาวดี แม่ให้เจ้ามาเป็นเพื่อนเล่นกับพระธิดาเมธาวดีนะ แต่ไม่ได้ให้เจ้าเออ ออ ที่จะออกไปข้างนอก กับพระธิดาเมธาวดีด้วย “  



    พระนางอินทราณี หันมาดุพระธิดากุสุมาวดี พระธิดาของตนเองก่อนที่พระธิดากุสุมาวดีจะเอ่ยตอบพระมารดาว่า



    “ หม่อมฉันก็อยากไปข้างนอกนี้เพคะเสด็จแม่อยากเห็นว่าข้างนอกนครบาดาล มีอะไรน่าดูบ้าง ? “



    อินทราณีชายา ได้ฟังคำตอบจากพระธิดาก้มตัวใช้มือหยิกที่แขนของกุสุมาวดีก่อนพูดกับกุสุมาวดีว่า



    “ กุสุมาวดี ลูกไม่รู้หรือข้างนอกอันตรายแค่ไหน แล้วยังจะออกไปอีก “



    “ แล้วเจ้าล่ะ กรรณิการ์นาคี มีอะไรจะแก้ตัวกับแม่บ้าง “



    พระนางกิณยราตี พระชายา ของ จันทรนาคราช ตรัสถามพระธิดาของพระองค์เอง



    “ หม่อมฉันไม่มีอะไร จะแก้ตัวเพคะ หม่อมฉันทำผิดจริงๆ ที่คิดจะออกจากนครบาดาล “



    พระธิดากรรณิการ์นาคีตรัสตอบพระมารดา ทำให้พระนางทรงอมยิ้มในบรรดาพระธิดาทั้งสี่พระองค์ กรรณิการ์นาคี รู้สึกว่าจะหัวอ่อนที่สุด เมื่อจับได้ว่ากระทำผิดก็ไม่เคยจะมีข้อแก้ตัวใดๆ และยอมรับโทษแต่โดยดี



    “ นี้แม่กุ้งน้อย แม่ปลาใหญ่ แล้ว อัคคีนาคา ลูกข้าหายไปไหน ก็ไหนพวกเจ้าบอกข้าว่า อัคคีนาคามาเล่นอยู่กับ เมธาวดี  กุสุมาวดี กรรณิการ์นาคี แล้วนี้ลูกข้าหายไปไหนแล้วล่ะ? “  



    พระนางมัณนิยา พระชายาของ จามนาคราช ทรงตรัสถามกลับนางกำนัลพี่เลี้ยงทั้งสองคน ส่วน พระพี่เลี้ยงกุ้งน้อย และพระพี่เลี้ยงปลาใหญ่ ต่างมองหน้ากันและเพิ่งสังเกตเห็นว่า พระธิดาอัคคีนาคา ทรงหายตัวไป  ก่อนหันกลับมาทูลตอบพระนางมัณนิยา



    “ เมื่อตะกี้ พระธิดา อัคคีนาคา ทรงเล่นอยู่กับพระธิดาทั้งสามพระองค์อยู่เลยนะเพคะ แต่ตอนนี้หม่อมฉันทั้งสองไม่ทราบว่าพระธิดา อัคคีนาคา ทรงหายไปไหนแล้วเพคะ “



    พระนางมัณนิยาได้ฟังเช่นนั้นทรงตกพระทัยยิ่ง พลางตรัสสั่งให้เหล่านางกำนัลรีบออกตามหา พระธิดา อัคคีนาคา โดยเร็ว



    “ แล้วพวกเจ้าจะรออะไรกันอยู่อีก รีบตามหา อัคคีนาคี เดี๋ยวนี้เร็วเข้า ถ้าหากอัคคีนาคาออกไปนอกนครบาดาลแล้วล่ะก็ ข้าจะให้ เสด็จพี่ จามนาคราช ลงโทษพวกเจ้าให้หนักเชียว รีบแยกย้ายออกกันตามหาเดี๋ยวนี้ “



    พระพี่เลี้ยงทั้งสองและเหล่านางกำนัลพากันออกไปตามหา พระธิดา อัคคีนาคา ส่วนพระธิดาทั้งสามพระองค์ที่เหลือ ถูกพระมารดาของแต่ละพระองค์พากลับไปคุมตัวที่พระตำหนักที่ประทับเมื่อเสร็จจากการคุมตัวพระธิดาทั้งสามแล้ว พระนางทั้งสี่ก็ออกแยกย้ายกันตามหา พระธิดาอัคคีนาคา ทันที



        .......ใกล้ๆ กับทางเข้าตำหนักในแลเห็นหญิงสาวรูปร่างผอมบาง นางหนึ่ง ที่ตัวมีบ่วงนาคบาศก์ ติดอยู่ ผมยาวสยายถึงกลางหลัง แขนข้างซ้ายสวมกำไลรูปนาค ใส่เสื้อสีเหมือนไข่มุก ส่วนด้านล่างแลเห็นผ้านุ่งคล้ายกางเกง สีของเนื้อผ้าออกสีเขียวมรกต กำลังยืนลับๆล่อๆ อยู่ตรงทางเข้าของตำหนักใน



    “ เอ วันนี้เสด็จลุง อานนทนาคราช จะทรงอยู่ไหมนะ  แล้วทำไมในตำหนักในวันนี้มันถึงเงียบๆ อย่างนี้ล่ะ มีแต่ยามเฝ้าหน้าประตูอยู่สองคนเอง ? “



    หญิงสาวคิดพลางมองเข้าไปข้างใน ก่อนตัดสินใจ แอบเดินเข้าย่องเข้าไปอย่างเงียบๆ โดยยามทั้งสองไม่ทันสังเกต เมื่อหญิงสาวเดินเข้ามาเรื่อยๆ จนถึงเขตที่ประทับของ อานนทนาคราช คนแรกที่เห็นในตำหนักในคือ เสด็จลุงของ ตนเอง อานนทนาคราช และ คีตรนาคราช ผู้เป็นทวด ร่วมถึงพระญาติผู้ใหญ่จำนวนมาก และยังมี กัญจนาคา และมันทยนาคา ลูกของ อานนทนาคราช ผู้เป็นพี่ชายของนางทั้งสอง รวมอยู่ด้วย หากแต่ที่สะดุดตาและไม่คุ้นหน้า  กลับเป็นบุรุษร่างกายกำยำ ผู้ห่มอาภรณ์สีเขียว ผมยาวประบ่า ที่หน้าผากคาดผ้ามีเม็ดทับทิมสีแดงติดอยู่ตรงกลาง



    “ นั้นใครนะ ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย ข้าเข้ามาตอนช่วงประชุมอย่างนี้ คงได้รับโทษหนักแน่ ขืนออกไป ดี ไม่ดี เสด็จพ่อจะโกรธเอาด้วย ทางที่ดีแอบฟังอยู่ตรงนี้ดีกว่า “



    นางแอบอยู่ตรงนั้นและตั้งใจฟังที่เหล่าพญานาคราช กำลังพูดคุยกันอยู่



    “ ก็อย่างที่ ขันธรานาคา พูดนั้นแหละ ข้าเห็นด้วยกับความเห็นของขันธรานาคา ในการปราบกัลย์ปาอสูร ผู้ที่จะเหมาะสมที่สุดในตอนนี้ ก็คงมีแต่ อินทรนาคราช  วิเชียรนาคา กัญจนาคา และ มันทยนาคาเท่านั้น ทุกท่านเห็นว่าอย่างไร “



    จันทรนาคราช กล่าวถามพญานาคราชทุกตนในเวลานี้  



    “ ความเห็นของ จันทรนาคราช ข้าก็เห็นด้วยเช่นกัน ว่าแต่ว่า พวกท่านสี่ ขัดข้องประการใดหรือไม่ที่จะเป็นตัวแทนของพวกเราในการเข้าพิธีคัดเลือกผู้ ปราบกัลย์ปาอสูร ในครั้งนี้ “  



    พันธานาคราช กล่าวถามขึ้น



    “ ส่วนตัวของแล้ว ข้าไม่ขัดข้องที่จะให้ลูกของข้างทั้งสองทำหน้าที่ในการเข้าพิธีคัดเลือกผู้ปราบกัลย์ปาอสูร ในครั้งนี้ “  



    อานนทนาคราช พูดแล้วหันไปลูกชายทั้งสอง ส่วนลูกชายทั้งสองคล้ายเตรียมคำตอบไว้ให้พ่อก่อนแล้ว



    “ ถ้าเสด็จพ่อจะตรัสถามลูกทั้งสองว่า ลูกทั้งสองจะกระทำหน้าที่ดังกล่าวหรือไม่ ลูกขอตอบว่าลูกและเจ้าพี่กัญจนาคา จะทำหน้าที่ในการเข้าพิธีคัดเลือกผู้ปราบอสูรตนนี้แทนเสด็จพ่อเอง พระเจ้าข้า “



    มันทยนาคาตอบ ผู้เป็นบิดา  อานนทนาคราช ถึงกับยิ้มและทรงตรัสกับลูกชายทั้งสองว่า



    “ พ่อดีใจนักที่ลูกทั้งสองของพ่อมีความกล้าหาญที่จะต่อสู้กับ อสูรร้ายเช่น กัลย์ปาอสูร ไม่เสียแรงที่ หนึ่งในพวกเจ้าจะได้ครอบครองนครบาดาลแห่งนี้ “



    “ แล้วเจ้าล่ะ วิเชียรนาคา ขัดข้องประการได้หรือไม่ ที่จะกระทำหน้าที่ดังกล่าว “



    พระพันปี คีตรนาคราช หันมาวิเชียรนาคา เพื่อต้องการความแน่ใจ



    “ เสด็จปู่ ไม่ต้องห่วง หม่อมฉันพร้อมที่จะเสียสละ เพื่อพวกเราเผ่าพันธุ์นาคาทุกคน ไม่ว่ากัลย์ปาอสูรจะร้ายกาจแค่ไหน อย่างไร ข้าก็จะไม่ให้มันมารุกรานพวกเราเผ่าพันธุ์นาคาได้อย่างแน่นอน”



    ขณะที่พระพันปี คีตรนาคราช กำลังจะถามอินทรนาคราช ซึ่งเป็นผู้บอกเล่าเรื่องราวของกัลย์ปาอสูร  ฉับพลันสีหน้า อินทรนาคราช กับแปรเปลี่ยน กระโดนออกจากที่ประชุมกลางคัน พร้อมตะโกนว่า



    “ ใครกัน?  บังอาจมาแอบฟังการประชุมของพวกเราเหล่า พญานาคราช  “



    อินทรนาคราช ใช้มือทั้งสองที่แกร่งดุลเพชร จะจับตัวหญิงสาวลึกลับ หญิงสาวลึกลับ กลับไม่ยอมให้ถูกจับตัวได้ง่ายๆ สะบัดมือทั้งสองเข้าต่อสู้ พลันบังเกิดเพลิงกรด อยู่ที่มือทั้งสองของนาง พร้อมระรัวซัดหมัดของนางทั้งสองเข้าที่อกของ อินทรนาคราช  ตัวอินทรนาคราช ที่แกร่งดุลเพชร ก็ยังรู้สึกความร้อนที่ได้รับ



    “ อะไรกัน ในนครบาดาลแห่งนี้ มีใครที่มีความสามารถสร้างเพลิงกรดได้ขนาดด้วย ? ยังไม่พอเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ อีกต่างหาก  หากตัวข้าไม่แกร่งดุลเพชรแล้ว ไม่แน่อาจจะ ต้องมาตายด้วยฝีมือของนางก็เป็นได้ “



    อินทรนาคราช ยังไม่ยอมแพ้ เนรมิต ดาบโค้ง เล่มหนึ่ง หมายจะฟัน หญิงสาวผู้นี้ ให้ขาดไปสองท่อน สาวสวยก็ตอบโต้อย่างไม่ยอมแพ้ ใช้หมัดอัคคี ต้านรับดาบอันคมกริบของ อินทรนาคราชไว้ตลอดเวลา ไม่ว่า อินทรนาคราชจะจู่โจมจากทางด้านไหน กลับถูกหมัดอัคคี ของสาวน้อย สกัดไว้ได้หมดสิ้น อินทรนาคราชโมโหเป็นทวีคูณ กำลังคิดที่จะใช้พิษนาคา เล่นงานนางอยู่ กลับได้ยินเสียงของ จามนาคราช แม่ทัพใหญ่ร้องห้าม พร้อมๆ กับยามเฝ้าประตูทางเข้าตำหนักในวิ่งเข้ามาดูเหตุการณ์ภายในตำหนักเนื่องจากได้ยินเสียงการต่อสู้ที่เกิดขึ้น



    “ เดี๋ยวก่อน อินทรนาคราช นั้น อัคคีนาคา ลูกสาวของข้าเอง ไม่ใช่ศัตรูที่ไหนหรอก พวกเจ้าสองคนปล่อยให้ลูกข้าเข้ามาได้อย่างไร พอเสร็จประชุมแล้วข้าจะลงโทษพวกเจ้าให้หนัก พวกเจ้าสองคนออกไปให้พ้นหน้าข้าเดี๋ยวนี้ “



    ยามเฝ้าประตูสองคนหน้าถอดสี รู้ถึงความผิดของตนรีบออกจากตำหนักในไปเฝ้าประตูตำหนักตามเดิม ทางด้าน อินทรนาคราช ก็ตกใจและรีบหยุดลงมือ ขณะที่ อัคคีนาคา กระโดนเข้าไปหาผู้เป็นพ่อ



    “ เสด็จพ่อเพคะ ถ้าเสด็จพ่อห้ามไม่ทัน สงสัยลูกต้องตายแน่ๆ เลยเพคะ “



    อัคคีนาคารีบฟ้องเสด็จพ่อ เหมือนกับว่านางเป็นเด็กเล็กๆ แล้วถูกผู้ใหญ่รังแก



    “ เจ้าไม่ต้อง มาฟ้องพ่อเลย อัคคีนาคา เจ้าแอบเข้ามาในตำหนักในรู้ไหมมีโทษแค่ไหน? ยังไม่พอเจ้ายังมาแอบฟังการประชุมของพวกพ่ออีก “



    จามนาคราช ตวาดกลับไป อัคคีนาคา ไม่กลัวยังทำท่าทางทะเล้น เหมือนกับว่าตัวเองไม่ได้ทำผิดแต่อย่างใดๆ เลยในการเข้ามาแอบฟังการประชุมของ จามนาคราช ผู้เป็นพ่อ



    “ ลูกไม่ได้แอบเข้ามาซักหน่อย ลูกเข้ามาหาเสด็จลุง อานนทนาคราช ต่างหาก ทุกทีลูกก็เข้ามาเสด็จลุงเวลานี้ พวกเสด็จพ่อเองต่างหากที่ผิด อยู่ๆก็มาประชุมตอนที่ลูกเข้ามาหาเสด็จลุง “



    อัคคีนาคา ร้ายกาจมาก พูดกลับจากที่ตัวเองต้องผิด กลับเป็นฝ่ายถูกอย่างไม่น่าเชื่อ  อินทรนาคราช เห็นว่า ถ้ายังจะลงโทษ อัคคีนาคา อีก ก็เหมือนตัวเองจะเข้าหน้ากับ จามนาคราช ไม่ได้ เพราะเมื่อกี้เพิ่งลงมือกับ ลูกสาวของเขา มาหยกๆ จึงพูดเข้าข้างอัคคีนาคา



    “ เอาเถอะ จามนาคราช เป็นความผิดของข้าเอง ที่ใจร้อนลงมือกับลูกสาวท่าน โปรดให้อภัยแก่ข้าด้วย “



    จามนาคราช ได้ยินเช่นก็ตกใจเพราะที่จริงแล้วเป็นความผิดของ อัคคีนาคา ไม่ใช่ความผิดของ อินทรนาคราช จึงรีบขอโทษต่อ อินทรนาคราช



    “ ไม่ใช่ความผิดของท่านหรอก อินทรนาคราช ต้องโทษข้าต่างหากที่อบรมลูกไม่ดีเอง ทำให้นางเอาแต่ใจถึงขนาดนี้ “



    อัคคีนาคา ทนไม่ไหว ที่ทั้งสองโยนความผิดกันไปกันมาอยู่นั้นเอง จึงพูดตัดบทขึ้น



    “ นี้ เสด็จพ่อ เห็นไหม ? ท่านพี่ ท่านนี้ เขายังไม่โทษลูกเลย สรุปว่าไม่มีใครผิดก็แล้วกัน ว่าแต่ท่านพี่ท่านนี้เป็นใครเหรอ เพคะ ลูกไม่เคยเห็นหน้าเลย ? “



    พอทุกคนได้ยินอัคคีนาคาเรียก อินทรนาคราช ว่าเป็นท่านพี่ แม้แต่ พระพันปี คีตรนาคราช ผู้เป็นทวด ยังอดหัวเราะไม่ได้ จากสถานการณ์ที่ตรึงเครียดเมื่อครู่กลับกลายเป็นเรื่องตลกขบขันไป แต่ทางด้านสาวน้อยแล้วกลับรู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง



    “ พระพันปี หัวเราะอะไรหรือเพคะ หม่อมฉันพูดอะไรผิดหรือเพคะ ? “  



    “ โอ๊ะ อัคคีนาคา  เจ้านะพูดผิดอย่างอย่างมาก ผิดอย่างมหันต์ เจ้าไปเรียก อินทรนาคราช ว่าท่านพี่ได้อย่างไรกันหึ “  



    คีตรนาคราช ตอบอัคคีนาคาไปแต่ก็อดขันความเข้าใจผิดของเหลนตนเองไม่ได้



    “ ทำไม จะเรียกไม่ได้เพคะ พระพันปี  หน้าตาของท่านพี่ ก็ยังหนุ่มยังแน่น อย่างมากก็มีอายุห่างจากหม่อมฉันไม่มากเท่าไร หรือพระพันปี จะให้หม่อมฉันเรียกท่านพี่ท่านนี้ว่าเสด็จลุงเพคะ“



    อานนทนาคราชเห็นว่าเรื่องราวจะไปกันใหญ่  ก่อนที่ อัคคีนาคาจะปล่อยไก่ไปมากกว่านี้ จึงบอกความจริงกับหลานสาวว่า



    “ ถูกต้องแล้ว อัคคีนาคา เจ้าต้องเรียก อินทรนาคราชว่า เสด็จลุง เพราะอินทรนาคราช เป็นน้องชายของลุงเอง “



    อัคคีนาคา ได้ยินคำพูดจากปากของ เสด็จลุง ตกใจอย่างยิ่งเพราะ ไม่คิดว่า อินทรนาคราช จะเป็นเสด็จลุงของตนอีกคนหนึ่ง เหตุที่อัคคีนาคา ไม่เคยเห็นหน้าของ อินทรนาคราช เพราะว่า อินทรนาคราช ออกจากนครบาดาลไปนานแล้ว ก่อนที่ อัคคีนาคา จะเกิดเสียอีก และก็ไม่เคยกลับเข้ามายังนครบาดาลอีกเลย อีกทั้งตัวอัคคีนาคาเอง ก็ไม่เคยสนใจว่า ในนครบาดาลแห่งนี้จะมีใครเป็นญาติของตนเองบ้าง กับ อินทรนาคราช เอง นางก็เคยได้ยินมาบ้างว่า นางยังมีเสด็จลุงของนางอีกพระองค์หนึ่ง ที่อยู่นอกนครบาดาล แต่นางไม่สนใจที่จะรู้จักเสด็จลุงที่หายตัวไป จึงไม่ได้ใส่ใจ ว่าเสด็จลุงของตนเอง เป็นญาติฝ่ายไหน? ชื่ออะไร? อัคคีนาคา รับรู้แต่เพียงแต่ว่า มีเพียง อานนทนาคราช เท่านั้นที่เป็นเสด็จลุงของตนเอง พอมาเจอกับ อินทรนาคราช ที่ยังดูเป็นหนุ่ม จึงคิดว่าเป็นลูกหลาน คนใดคนหนึ่งในเครือญาติของนาง



    “ ประทานอภัย ให้กับหม่อมฉันด้วยเพคะ เสด็จลุง อินทรนาคราช หม่อมฉันไม่ทราบว่า พระองค์คือ เสด็จลุงของหม่อมฉันอีกพระองค์หนึ่ง จึงได้อาจหาญกระทำการกับพระองค์ดังเมื่อครู่นี้“  



    ความทะเล้นของ อัคคีนาคา หายไปหมด เมื่อได้รู้ความจริงจาก อานนทนาคราช ผู้เป็นเสด็จลุง กลับกันที่ อินทรนาคราช ไม่รู้จะทำหน้าอย่างไรต่อหลานสาวที่เจอกันครั้งแรก



    “ ให้มันได้อย่างนี้สิ  ข้าอายุห่างจาก เจ้าพี่ อานนทนาคราช  เพียงแค่ สามปี เอง หลานข้ากลับมา เรียกข้าเป็น ท่านพี่เสียนี้  ถ้ารู้อย่างนี้ตั้งแต่แรก ข้าคงไม่บำเพ็ญเพียรจน ร่างกายคงสภาพเดิมอย่างนี้หรอก”



    อินทรนาคราช นึกในใจ ก่อนพูดกับ อัคคีนาคา ด้วยน้ำเสียงที่แกม เอ็นดูในความซื่อของหลานสาว



    “ ลุงไม่โกรธ เจ้าหรอก การที่เจ้าเข้าใจผิด เป็นเรื่องที่ไม่แปลก เพราะลุงกับเจ้าก็เพิ่งจะพบกันเป็นครั้งแรก ความเข้าใจผิดก็ย่อมเกิดขึ้นได้ “



    อัคคีนาคาเห็นว่า อินทรนาคราช ไม่โกรธตน ก็รู้สึกดีใจ แต่นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้จึงถาม อินทรนาคราช



    “ หม่อมฉันดีใจมากเพคะ ที่เสด็จลุงทรงไม่โกรธ หม่อมฉัน แต่ หม่อมฉันสงสัยเพคะ ที่ว่าเสด็จลุง และ เสด็จอาวิเชียรนาคา กับ เจ้าพี่ กัญจนาคา เจ้าพี่มันทยนาคา จะเข้าร่วมพิธีคัดเลือกผู้ปราบ กัลย์ปาอสูร นั้น กัลย์ปาอสูร เป็นใครหรือเพคะ? “



    สิ้นคำพูดของ อัคคีนาคาทำให้ทุกคนนึกถึงเรื่องที่ประชุมกันค้างไว้ หากแต่มองหน้ากัน เหมือนกำลังชั่งใจว่า จะบอกเรื่องราวให้ อัคคีนาคา รับรู้ต่อจากการที่นางแอบฟังหรือไม่ ?



    “ เจ้ากลับไปได้แล้วอัคคีนาคา นี้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เจ้ายังเด็ก การที่พวกเราไม่ลงโทษเจ้าก็นับว่าเจ้าโชคดีแล้ว แต่ในฐานะพ่อ ข้าจะต้องลงโทษเจ้าแน่ เจ้าจงไปรอรับโทษของเจ้าอยู่ที่ตำหนักกับเสด็จแม่ของเจ้าเดี๋ยวนี้ “



    อัคคีนาคา หน้าเจื่อนลง อย่างเห็นได้ชัด แม้จะไม่พอใจที่ไม่ได้รับรู้เรื่องราวต่อ หากแต่ยังไม่ยากขัดใจเสด็จพ่อในตอนนี้ จึงคิดจะกลับตำหนักตามรับสั่งของเสด็จพ่อ แต่ อินทรนาคราช กลับบอกต่อ จามนาคราช อย่างไม่น่าเชื่อ



    “ ไม่เป็นไรหรอก จามนาคราช ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว อัคคีนาคาได้รู้เรื่องราวแล้ว ก็ควรให้นางรับรู้เถอะ อย่างไรซะ นางก็เป็นเผ่าพันธุ์นาคา ก็ต้องรับรู้ความเป็นไปของนครบาดาลอยู่ดี และท่านก็ไม่จำเป็นต้องลงโทษนางหรอก ถือว่าเห็นแก่ข้าก็แล้วกัน “



    จามนาคราช ไม่อยากจะขัดใจกับ อินทรนาคราช และใจจริงก็ไม่อยากลงโทษลูกตัวเอง แต่เนื่องจากตัวเองเป็นถึงแม่ทัพนาคา การที่ลูกทำผิดแล้วไม่ปราม ผู้อื่นจะติฉินได้ เมื่อ อินทรนาคราช ขอร้องจึงไม่กล้าขัดใจ



    “ ถือว่าเจ้าโชคดีนะ อัคคีนาคา ที่ท่าน อินทรนาคราช ทรงขอร้องพ่อไว้ ไม่อย่างนั้น อย่างหวังว่าพ่อจะยกโทษให้ “



    อัคคีนาคา ดีใจที่ไม่ได้ถูกทำโทษ และยังได้อยู่รับรู้เรื่องราวต่อ จึงขอบพระทัย อินทรนาคราช



    “ หม่อมฉัน ขอบพระทัย เสด็จลุงเพคะ ที่เมตตาต่อหม่อมฉัน “



    อินทรนาคราช รู้สึกจะเอ็นดู อัคคีนาคาเป็นพิเศษ ยิ้มให้กับ อัคคีนาคา ก่อนพูดกับเสด็จปู่ ต่อ



    “ เสด็จปู่ พระเจ้าข้า หม่อมฉันว่าเรามาคุยกันต่อถึงเรื่อง กัลย์ปาอสูร ดีกว่า “



    หลังสิ้นคำพูดของอินทรนาคราช เหล่าพญานาคราช ต่างพูดคุยถึงเลือกการคัดเลือกบุคคลปราบ กัลย์ปาอสูรต่อ ส่วน อัคคีนาคา ก็ได้รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ จากปากของ กัญจนาคา และ มันทยนาคา ผู้เป็นพี่ชาย ทำให้เข้าใจว่าเหตุใด อินทรนาคราช ผู้เป็นเสด็จลุงที่หายตัวไปนาน ถึงกลับมายังนครบาดาลในเวลานี้



    “ ตกลงว่า ข้าจะให้ อินทรนาคราช วิเชียรนาคา กัญจนนาคา และมันทยนาคา เป็นผู้เข้าร่วมพิธีคัดเลือกผู้ปราบ กัลย์ปาอสูร ในครั้งนี้ “  



    พระพันปี คีตรนาคราช ประกาศ ออกมาเมื่อสรุปได้ว่าจะให้ใครจะเป็นผู้ทำหน้าที่เข้าพิธีคัดเลือกผู้ปราบ กัลย์ปาอสูร



    “ ข้าขอให้พวกเจ้าทุกคน โชคดีในการเข้าพิธีคัดเลือกผู้ปราบ กัลย์ปาอสูร ในครั้งนี้ “  



    พระพันปี คีตรนาคราช กล่าวอวยพรให้กับเหล่าทายาทของตน ขณะที่อัคคีนาคาเอ่ยปากกับเสด็จลุง อินทรนาคราช



    “ เสด็จลุงเพคะ  หม่อมฉันมีเรื่องขอร้อง เสด็จลุง ขอให้ทรงเมตตาแก่หม่อมฉันด้วยเพคะ “



    “ เจ้ามีอะไรจะขอกับลุงหรือ ? อัคคีนาคา “



    อินทรนาคราชสงสัยว่า อัคคีนาคาจะขอให้อะไรจากตน



    “ หม่อมฉัน ขอตามเสด็จออกไปเที่ยวที่เขาไกรลาศ ในวันคัดเลือก เหล่าเทพที่ปราบกัลย์ปาอสูร ด้วยเพคะ “



    จามนาคราช ผู้เป็นพ่อแทบจะตวาด อัคคีนาคา เพราะลูกสาวตนเองขอที่จะติดตาม อินทรนาคราช ไปเที่ยวเล่นที่เขาไกรลาศ ในขณะพวกเขาไปเขาไกรลาศเพื่อที่จะทำการคัดเลือกเทพผู้ปราบอธรรม กำลังคิดที่จะเข้าไปกระชาก อัคคีนาคามาอยู่แล้ว กับชะงักเมื่อได้ยินคำพูดของ อินทรนาคราช



    “ ได้สิ อัคคีนาคา ลุงจะพาเจ้าไปเขาไกรลาศเอง แต่เจ้าต้องฝึกพระเวทย์ เพชรมหากาฬ กับลุงสำเร็จก่อน ลุงถึงจะพาเจ้าไปด้วย ท่านคงไม่ขัดข้องนะ จามนาคราช ที่ข้าจะพา อัคคีนาคาไปด้วย“



    จามนาคราช ไม่รู้จะขัด อินทรนาคราช อย่างไร จึงไม่ห้าม หลังจากการประชุมเสร็จ ต่างก็แยกย้ายกันกลับไปทำงานตามหน้าที่ของตนเอง ส่วน กัญจนาคา มันทยนาคา และ อัคคีนาคา ต่างพากันแยกย้ายกลับไปหาเสด็จแม่ของตนเอง ส่วน จามนาคราช ยังพูดคุยกับ อินทรนาคราช



    “ ตอนแรกข้าไม่เห็นด้วยหรอกที่ท่านจะพา อัคคีนาคาไป แต่เมื่อท่านขอร้อง ข้าก็ไม่รู้จะขัดท่านได้อย่างไร “



    จามนาคราช พูดกับ อินทรนาคราช ในความรู้สึกของตนเองไม่ค่อยอยากจะให้ อัคคีนาคา ออกไปนอกเมืองบาดาลนัก



    “ ท่านไม่ต้องห่วงหรอก ข้าจะดูแล อัคคีนาคาเป็นอย่างดี และพระเวทย์ที่ข้าจะสอนให้กับอัคคีนาคา วิเศษนัก จะทำให้นางสามารถต้านทานศาตราวุธได้ทุกชนิด “



    จามนาคราช รู้สึกว่า อินทรนาคราช จะเอ็นดูลูกสาวของตนเองมาก จึงอดถามไม่ได้



    “ ข้ารู้สึกว่าท่านจะ เอ็นดู อัคคีนาคามากนะ ทำไมท่านถึงเอ็นดูลูกสาวข้ามากถึงขนาดนี้ “



    อินทรนาคราช ยิ้มให้กับ จามนาคราช เข้าใจความรู้สึกของพ่อที่เป็นห่วงความปลอดภัยของลูก



    “ อาจเป็นเพราะว่า ข้ายังไม่ได้แต่งงาน พออายุปูนนี้แล้วกลับรู้สึกว่าขาดอะไรไปอย่างหนึ่ง ข้าเองก็ถูกชะตากับอัคคีนาคาอย่างบอกไม่ถูก บางที ข้าอาจเห็นว่า ถ้าข้ามีลูกสาวคง จะเหมือนกับอัคคีนาคา ก็เป็นได้ “



    จามนาคราช เพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่า อินทรนาคราช มีความเป็นพ่ออยู่ในตัวสูงมาก แม้จะไม่เคยเขาต้องใจหญิงใด แต่ท่าทางที่แสดงออกกลับเหมือนว่า กลับว่ามีลูกสาวที่ซุกซนที่ต้องคอยดูแลอยู่ใกล้ๆตลอดเวลา



    “ ข้าดีใจยิ่งนัก ที่ท่านเห็นว่า อัคคีนาคา เหมือนเป็นลูกสาวของท่าน ในตอนแรกข้าคิดว่า ท่านจะชอบลูกสาวของข้าเสียอีก ถึงได้เอ็นดูนางขนาดนั้น “



    “ ฮะๆๆ  ข้าว่าท่านคงแก่แล้วจริงๆนั้นแหละ ถึงได้หวงลูกสาวขนาดนี้ ไม่แน่นะต่อไปท่านอาจจะทำตัวดุๆ ถือไม้ตะพด คอยไล่หนุ่มๆ ที่มากเกาะแกะ กับลูกสาวท่านก็เป็นได้ “



    จามนาคราช ยิ้มอย่างยอมรับในความจริง อัคคีนาคา เป็นลูกสาวคนเดียวของเขาย่อมจะหวงลูกสาวเป็นธรรมดา



    “ บางทีนะ จามนาคราช เมื่อข้าพาอัคคีนาคา ไปที่ถึงเขาไกรลาศ ความงามของอัคคีนาคา อาจจะต้องใจพวกเหล่าเผ่าพันธุ์วิหคก็เป็นได้ ดีไม่ดี สุบรรณ อาจจะยอมลดตัวลงมาขอเป็นลูกเขยท่านก็ได้”



    ได้ยินที่ อินทรนาคราช พูดดังนั้น จามนาคราช ถึงหน้าถอดเสีย ยิ้มไม่ออก เมื่อนึกถึงผู้ที่จะมาเป็นลูกเขยตามคำพูดของ อินทรนาคราช



    “ ให้ข้าตายเสียก่อนเถอะ ยังไงข้าก็ไม่ยอมให้ ลูกสาวข้าไปแต่งงานกับพวกเผ่าพันธุ์วิหคนั้น ข้ายังไม่อยากที่จะมีหลาน ตัวเป็นนาคแต่มีปีก หรือ ตัวเป็นนกหัวเป็นนาคแบบนั้นหรอก “



    อินทรนาคราช แทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่ กระวัต นึกไปถึง สุบรรณ   หากสุบรรณรู้ว่า เขากล่าวคำพูดเช่นนี้ออกมา ดีไม่ดีแทนที่จะได้รบกับ กัลย์ปาอสูร ตัวเองอาจจะได้รอยแผล จากคมเล็บของสุบรรณก่อนก็เป็นได้



    ขณะที่ อินทรนาคราช กำลังนินทา สุบรรณ อยู่นั้น สุบรรณที่พำนักอยู่ที่เขาไกรลาศ กลับจามออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุย พลางคิดในใจว่า



    “ เอ๊ะ! อะไรกัน ทำไมอยู่ดีๆ ข้าถึงได้จามออกมาได้อย่างนี้ สงสัยต้องมีใครกำลังนินทา ข้าอยู่อย่างแน่นอน ใครกันนะ ? หรือว่าจะเป็น อินทรนาคราช  คงไม่มั๊ง ? ป่านนี้เจ้างูเขียวนั้นคงง่วนอยู่กับการหาผู้ที่จะปราบกัลย์ปาอสูรซะมากกว่าที่จะเอาเวลาอันมีค่ามานินทาข้า เสียเวลาเปล่าๆ “



    ทางฝ่าย จามนาคราช กำลังคุยกับ อินทรนาคราช อยู่ดีๆ จู่ๆ อินทรนาคราช ก็จามออกมา



    “ อินทรนาคราช ท่านเป็นอะไรนะ ? อยู่ๆ ก็จามออกมา ไม่สบายไปหรือเปล่า ? “



    จามนาคราช ถามด้วยความสงสัย เพราะ อินทรนาคราช ไม่เคยมีอาการอย่างนี้



    “ ข้าไม่เป็นไรหรอก สงสัยว่าคงจะมีอะไรไปเข้าจมูกของข้านะ ข้าถึงได้จามออกมาอย่างนี้ “



    พลางคิดในใจว่า



    “ ไม่ใช่เจ้านกยักษ์นั้น รู้หรอกนะว่าข้ากำลังนินทาเขาอยู่นะ “



    จามนาคราชเห็นว่า อินทรนาคราช ไม่เป็นอะไร ก็คลายกังวลลง พุดคุยกับ อินทรนาคราช ต่อ



    “ อย่างน้อย ข้าก็ยังไม่ต้องกังวลว่า ข้าจะได้ลูกเขยเป็น พวกนกยักษ์มีปีกนั้นหรอก เพราะ อัคคีนาคา ไม่ค่อยชอบพวกนกยักษ์นั้นอยู่แล้ว เคยเปรยๆ ให้ข้าฟังบ่อยๆ ว่า ถ้าหากข้อพรได้ล่ะก็ จะขอให้พวกนาคเปลี่ยนจากถูกนกยักษ์กิน เปลี่ยนไปกินนกยักษ์แทนบ้าง อยากจะรู้ว่าเนื้อพวกมันอร่อยบ้างหรือเปล่า ? “



    อินทรนาคราช ขำกับความคิดของหลานสาว ซึ่งดูเข้าทีไม่น้อย แต่ถ้าให้ ตัวเองกินสุบรรณ คงจะกินไม่ลง เพราะคิดว่าเนื้อของสุบรรณคงไม่อร่อยเท่าไร ดีไม่ดีอาจทั้งเหนียวและเคี้ยวยากอีกต่างหาก ทางสุบรรณที่พำนักอยู่ที่เขาไกรลาศ ขณะนี้ก็ยังจามไม่หยุดพลางบ่นว่า



    “ ข้าว่าคงไม่มีใครนินทาอยู่แน่ๆ  แต่สงสัยข้าจะเป็นไข้หวัดนกซะมากกว่า ช่วงนี้กำลังระบาดอยู่ด้วย ฮัด เชยๆๆ  เห็นทีข้าต้องขึ้นไปบนสวรรค์หาเทพสรรยาให้ช่วยรักษาอาการเสียแล้ว ”



    กำลังคุยกับ จามนาคราช อยู่เพลินๆ อินทรนาคราช นึกถึงเรื่องที่จะถาม จามนาคราช ขึ้นมาได้ซึ่งเกี่ยวกับ อัคคีนาคา จึงถาม จามนาคราช อย่างไม่อ้อมคอม



    “ จามนาคราช ข้าสงสัยว่า ทำไม ? อัคคีนาคา ถึงมีวิชาบังคับเพลิงกรดได้ ในหมู่พวกเราเผ่าพันธุ์นาคา ข้ายังไม่เคยเห็นใครมีความสามารถขนาดนี้เท่ากับอัคคีนาคาบุตรสาวท่านเลย “



    “ ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ตั้งแต่ อัคคีนาคาเกิดมา นางก็มีพลังแห่งอัคคีตั้งแต่เกิด  นับวันจะยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่นางก็สามารถควบคุมได้อยู่ตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้ข้าจึงตั้งชื่อให้กับนางว่า อัคคีนาคา อย่างไรล่ะ “



    อินทรนาคราช ตะลึงแทบจะไม่เชื่อในคำพูดของ จามนาคราช หากไม่เห็นด้วยตาตนเอง ในรอบหลายพันหลายหมื่นปี เผ่าพันธุ์นาคา จะมีความสามารถทางการบังคับน้ำมากกว่า ในบรรดาวิชาที่เกี่ยวกับเพลิงกรดนั้น มีไม่มาก อย่างเช่น จุดเพลิงด้วยพลังจิต ก็จัดเป็นแค่วิชาพื้นฐาน สูงที่สุดเท่าที่เคยเห็นก็คือ พิษนาคา แต่เพลิงกรด ของ อัคคีนาคา ตามที่ อินทรนาคราชเห็น อย่างน้อยๆ น่าจะเทียบกับ เทพอัคคี บนสวรรค์ได้



    “ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเรื่องจริง แล้วข้าเห็นบ่วงนาคบาศก์ที่ติดตัวอัคคีนาคาอยู่ล่ะ แปลกมากข้าไม่เคยเห็นบ่วงนาคบาศก์แบบนี้มาก่อนเลยในนครบาดาล “



    “ บ่วงนาคบาศก์อันนี้ เป็นของวิเศษที่พระอิศวร ประทานให้กับเสด็จปู่ คีตรนาคราช เมื่อห้าร้อยปีก่อน ทำจากเทพโลหะที่แข็งแกร่งสามารถเปลี่ยนสภาพเป็นอาวุธได้ตามใจต้องการ ในตอนแรก เสด็จปู่คิดว่าจะมอบให้ กัญจนาคา หรือ มันทยนาคา แต่ทั้งสองกลับไม่สามารถยกบ่วงนาคบาศก์ นี้ได้ เสด็จปู่ก็เลยไม่คิดจะให้ใครอีก แต่มีอยู่วันหนึ่ง อัคคีนาคา แอบเขาไปเล่นในห้องของ เสด็จปู่ เห็นบ่วงนาคบาศก์นี้เข้า นึกสนุกไปหยิบขึ้นมาเล่น ในตอนแรกข้าเองก็ไม่คิดว่า อัคคีนาคา จะหยิบขึ้นมาได้ มารู้ก็ตอนที่อัคคีนาคานำมาให้ข้าดูนั้นแหละ แม้แต่ข้าเองก็ยังไม่สามารถจะยกบ่วงนาคบาศก์นี้ได้เลย  แต่ อัคคีนาคา  สามารถหยิบบ่วงนาคบาศก์ที่พระอิศวรผู้เป็นเจ้าประทานให้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ เสด็จปู่ก็เลยให้บ่วงนาคบาศก์อันนี้เป็นของขวัญกับ อัคคีนาคา นับแต่นั้น บ่วงนาคบาศก์ อันนี้จึงตกเป็นของ อัคคีนาคา  “



    อินทรนาคราช ฟังเรื่องราวของ อัคคีนาคาอย่างไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ กำลังคิดจะขยับถาม จามนาคราช กลับได้ยินเสียงของ จันทรนาคราช มาทางด้านหลังว่า



    “ อินทรนาคราช เสด็จปู่บอกให้ท่านเข้าไปพบที่ อุทยานนาคา ทรงอยากรู้ว่าท่านไปทำอะไรบ้าง ตอน ท่านบำเพ็ญตบะบารมีอยู่ ? “



    อินทรนาคราช ได้ยินเช่นจึงยุติการพูดคุยกับ จามนาคราช และบอกว่า



    “ เอาไว้วันหน้า ข้ากับท่านคุยกันใหม่ ตอนนี้ข้าคงต้องไปพบเสด็จปู่ก่อนแล้ว “



    จามนาคราชยิ้มตอบ อินทรนาคราช พร้อมกล่าวคำอำลา อินทรนาคราช  และ จามนาคราชก็ไปทำ

    หน้าที่ของตนต่อที่หอประชุมศึกนาคา ส่วน อินทรนาคราช และ จันทรนาคราช เดินตรงไปที่อุทยานนาคา เพื่อพบกับ คีตรนาคราช เสด็จปู่ของตนเอง



        ......ตำหนักที่ประทับของพระนาง รัญญานาคินี หลังจากการกลับมาของ พระธิดาอัคคีนาคา  อัคคีนาคา กำลังถูกล้อมถามด้วยความอยากรู้ของเหล่าสหายรัก



    “ โอ้โห ทำไมเจ้า โชคดีอย่างนี้ล่ะ อัคคีนาคา พวกเรานะ ข้างบนก็ยังไม่เคยได้ขึ้นไป แถมในอีกสามวันข้างหน้าเจ้าก็จะได้ไปเที่ยวถึงเขาไกรลาศ “



    เมธาวดี เอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น และอยากจะไปเที่ยวเช่นเดียวกับ อัคคีนาคา



    “ นั้นนะสิ รู้อย่างงี้ข้าตามอัคคีนาคา ไปด้วยดีกว่า ตอนนี้จะไปไหนก็ไม่ได้ติดแหง่ก อยู่นี้ แถมไม่พอเสด็จแม่ยังจะลงโทษให้พวกเรา ร้อยมาลัยทุกวันอีก ข้าเบื่อจะแย่อยู่แล้ว “  



    กุสุมาวดี ทั้งบ่นและเขยิบตัวเข้ามาใกล้อัคคีนาคา พลางคิดว่าจะให้อัคคีนาคาช่วยให้ตนได้ไปเที่ยวบ้าง



    “ กุสุมาวดี ข้าว่าเจ้าอย่างหวังจะให้ อัคคีนาคา ขอร้องให้ เสด็จลุง อินทรนาคราช พาไปจะดีกว่า เพราะเสด็จพ่อและเสด็จแม่คงไม่ยอมให้พวกเราไปกับ อัคคีนาคาแน่ “



    กรรณิการ์นาคี ออกความเห็นและรู้ว่าไม่มีโอกาสที่จะออกไปเที่ยวอย่าง อัคคีนาคา แน่นอน



    “ กรรณิการ์นาคี ข้าว่าเจ้าไม่ต้องตอกย้ำก็ได้ ข้ารู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ข้าก็อดอิจฉา อัคคีนาคาไม่ได้นี้นา เจ้าเองก็อยากออกไปข้างนอกไม่ใช่เหรอ? “



    กุสุมาวดี ย้อน กรรณิการ์นาคี เข้าให้ และเพิ่งจะได้ยินเสียงของ อัคคีนาคา บ่นขั้นบ้าง



    “ พวกเจ้าเลิกทะเลาะกันได้ไหม ? เอาเป็นว่า ข้าจะไปเที่ยวเผื่อ พวกเจ้าก็แล้วกัน ส่วนพวกเจ้าอยู่ทางนี้ก็ร้อยมาลัยไป ขอให้สนุกกับการร้อยมาลัยอยู่กับพี่ปลาใหญ่ พี่กุ้งน้อยก็แล้วกันนะ”



    พูดจบ อัคคีนาคา ก็วิ่งปรือออกไปจากตำหนัก หากแต่ได้ยินเสียงกระฟัดกระเฟียด ของพระธิดาทั้งสามพระองค์ไล่หลังมาว่า



    “ ระหว่างเจ้าไปเที่ยว กับ เจ้าเที่ยวเผื่อข้า มันต่างกันตรงไหน ? “



    อัคคีนาคา ไม่ได้สนใจในคำพูดของทั้งเพื่อนรักทั้งสาม หากแต่คิดถึงวันที่จะได้ออกไปเจอ โลกภายนอกและเขาไกรลาศที่ชุมนุมของเหล่าเทพว่าจะสวยงามเพียงใด ในใจเหมือนจะติดปีกบินไปยังเขาไกรลาศเสียเดี๋ยวนี้



    จบตอนที่ ๑ ครับ



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×