ลำดับตอนที่ #11
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : ความรักที่แสนปวดร้าว
ศึกเทพอสูรมหาสงคราม
ตอนที่ ๑๑ ความรักที่แสนปวดร้าว
    สัณหวัชนาคา ปล่อยมือของเขาที่เกาะกุมมือของ อัคคีนาคา เอาไว้อย่างแสนเสียดายก่อนที่เจ้าตัวเองจะเพิ่งรู้สึกตัวว่าถูกสายตาของผู้คนรอบๆข้างจ้องมองอยู่โดยเฉพาะ มันทยนาคา
“ เจ้าคงไม่โกรธข้านะที่ข้าทำแบบนี้กับเจ้า “ น้ำเสียงของเขาเหมือนประหนึ่งจะอ้อนวอนนาง
ถึงแม้ อัคคีนาคา จะไม่พอใจที่อยู่ๆ สัณหวัชนาคา มาจับมือของนางหากแต่เมื่อรู้ว่าเขาเป็นห่วงนางมากถึงได้ทำแบบนี้ก็พอจะคลายความโกรธที่มีอยู่ลงได้บ้างถึงแม้กระนั้นนางก็ยังปากแข็งอยู่ดี
“ ครั้งนี้ข้ายกโทษให้ท่านครั้งหนึ่ง หากครั้งหน้ามีเหตุการณ์เช่นนี้อีกละก็ ข้าจะ... “
“ เจ้าจะทำอะไร? “ สัณหวัชนาคา ยิ้มกรุ่มกริ๊งถาม อัคคีนาคา
“ น้องสาวข้าก็จะทำให้เจ้ากลายเป็นงูย่างนะสิถามได้ “ มันทยนาคา พูดประชดอย่างไม่ไว้หน้า พร้อมกับเดินเข้ามาหา อัคคีนาคา ส่วน สัณหวัชนาคา ถูก มันทยนาคา ตอกกลับมาเช่นนั้นหน้าตาซีดลงอย่างเห็นได้ชัด
“ รู้สึกความรักของข้าจะมีอุปสรรคใหญ่หลวงขวางทางเสียแล้ว ว่าที่พี่เขยของข้ารู้สึกว่าจะไม่ค่อยชอบหน้าข้าเอาเสียเลย “ สัณหวัชนาคา คิดอยู่ในใจ
ฝ่าย อัคคีนาคา เมื่อเห็นพี่ชายเดินเข้ามาหาก็รีบเดินตรงเข้าไปหา มันทยนาคา เช่นกัน
“ เจ้าพี่เพคะ ทำไมเจ้าพี่ถึงมาอยู่ที่นี้เพคะ? “ อัคคีนาคาถาม
“ พวกพี่ได้ข่าวมาว่ามีกองทัพอสูรยกทัพมาที่นี้ เสด็จอา อินทรนาคราช ทรงเป็นห่วงว่าอาจจะเกิดเหตุร้ายขึ้นกับนครนาคพันธุ์ เสด็จอาจึงให้พี่รีบเดินทางมาหา ท่านบรรณนาคราช เผื่อว่าถ้าเกิดเหตุขึ้นจริงจะได้ช่วยเหลือนครนาคพันธุ์ได้ “  มันทยนาคา ตอบ
มยุราเทวี มีสีหน้าสงสัยไม่เข้าใจ
“ ท่านรู้ข่าวได้อย่างไรว่ามีทัพอสูรยกทัพมาที่นี้? คงไม่ใช่บอกข้าว่ากองสอดแนมของ นครบาดาล ย้ายถิ่นฐานการหาข่าวจากทางน้ำขึ้นมาบนบกหรอกนะ “
มันทยนาคา ยิ้มให้กับนาง ก่อนบอกว่า
“ ไม่ใช่อย่างที่เจ้าเข้าใจหรอก ข่าวนี้พวกข้าไม่ได้เป็นหาข่าวเอง แต่มีคนส่งข่าวให้พวกข้ารู้ “
“ ใครกันที่ส่งข่าวให้พวกท่านรู้? “ มยุราเทวี ถาม
“ จะมีใครซะอีก นอกจากเสด็จลุงของเจ้านะสิ  ที่เป็นคนบอกเสด็จอาของข้า “
“ อะไรนะ! เสด็จลุงข้านะหรือบอก ท่าน อินทรนาคราช? “ มยุราเทวี อุทาน
“ ใช่แล้ว หลังจากที่พวกเจ้าออกเดินทาง เสด็จลุงของเจ้าและเสด็จอาของข้า มีข้อตกลงที่จะแลกเปลี่ยนข่าวสารกันโดยทางพื้นดินและอากาศเป็นหน้าที่ของเสด็จลุงเจ้าส่วนทางแม่น้ำและทะเลเป็นหน้าที่ของพวกเรา เพราะฉะนั้นข้าถึงรู้เรื่องการเดินทัพของพวกอสูรได้อย่างไรละ “
มยุราเทวี ได้ฟังคำตอบแล้วแทบไม่เชื่อว่า เสด็จลุง จะทรงยอมร่วมมือกับ ท่านอินทรนาคราช ได้ เพราะนางรู้ว่าทั้งสองคนมีเรื่องบาดหมางกันมานานแทบจะเรียกได้ว่าถ้าเจอกันเมื่อไรก็เกิดศึกเมื่อนั้นแม้แต่วันที่นางจากมาทั้งสองคนก็ยังตั้งแง่กันอยู่ตลอดเวลาไม่มีทีท่าว่าจะลดราวาศอกให้แก่กันเลยแต่คราวนี้ทั้งสองคนกับร่วมมือกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ
“ คิดไม่ถึงว่าเสด็จลุงจะร่วมมือกับท่านอินทรนาคราชได้ “
“ ทุกอย่างย่อมต้องมีการเปลี่ยนแปลง เวลาและสถานการณ์ เป็นสิ่งที่กำหนดวิธีทางของแต่ละสิ่งในโลกนี้ เจ้าน่าจะเข้าใจดีนะ มยุราเทวี “ มันทยนาคา ตอบ
มยุราเทวี พยักหน้ารับคำพูดของ มันทยนาคา และในใจก็คิดว่าอาจจะมีซักวันที่เสด็จลุงและท่านอินทรนาคราช เลิกเป็นศัตรูกันและกลายมาเป็นมิตรกันได้ ทาง พระราชาตรีภพ และคนอื่นๆอยากรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นจึงทรงตรัสถามพวกนางอีกครั้ง
“ พวกเจ้าจะคุยกันไปถึงเมื่อไร ใจคอจะไม่เล่ารายละเอียดให้พวกข้าฟังบ้างหรือ? “
มยุราเทวี และ อัคคีนาคา ได้ยินรับสั่งของพระราชาตรีภพแล้วก็รีบขอพระราชทานอภัยโทษ
“ หม่อมฉันทั้งสอง ขอพระราชทานอภัยเพคะ “
พระราชาตรีภพทรงรีบรับสั่งตัดบท
“ เอาละ ไม่ต้องมากพิธี รีบเล่าเรื่องให้ข้าฟังได้แล้ว “
“ ก่อนที่จะเล่าเรื่องให้ พระองค์ทรงทราบ หม่อมฉันขอแนะนำพวกนางทั้งสองให้กับทุกคนในที่นี้ได้รู้จักก่อน พระเจ้า “ มันทยนาคา ทูลพระราชตรีภพเสร็จแล้วก็พูดต่อ
“ หญิงสาวที่ยืนอยู่ทางด้านซ้ายของ หม่อมฉัน คือ พระธิดามยุราเทวี หลานสาว ของท่านสุบรรณ ผู้นำแห่งเผ่าพันธุ์วิหค ส่วนหญิงสาว ที่ยืนอยู่ทางด้านขวาของ หม่อมฉัน คือ พระธิดาอัคคีนาคา ลูกของเสด็จลุงจามนาคราช ผู้เป็นแม่ทัพนาคาของนครบาดาล และนางก็ยังมีศักดิ์เป็นน้องสาวของ หม่อมฉันอีกด้วย นอกจากนั้นพวกนางทั้ง ๒ คนยังเป็น ๒ ใน ๗ ของผู้ที่ผ่านการคัดเลือกให้ทำหน้าที่ปราบ จ้าวอสูรกัลย์ปาอสูรด้วย พระเจ้าข้า “
พอสิ้นคำของ มันทยนาคา เท่านั้นทุกคนต่างส่งเสียงอืออึง ต่างคาดคิดไม่ถึงว่าพวกนางจะมีฐานะที่สูงส่งและยังมีภาระหน้าที่ที่สำคัญถึงเพียงนี้
“ ข้าคงไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม? เจ้าบอกว่าพวกนางเป็นผู้ที่ผ่านการคัดเลือกให้ปราบจ้าวอสูรกัลย์ปาอสูรอย่างนั้นหรือ? “ สัณหวัชนาคา พูดและถามไปด้วย
“ เจ้าฟังไม่ผิดหรอก พวกนางเป็นผู้ที่ผ่านการคัดเลือกจริงๆ “ มันทยนาคา ตอบ
สัณหวัชนาคา ได้รับคำยืนยันจาก มันทยนาคา จึงมองดู อัคคีนาคา อย่างเต็มตาอีกครั้งในใจนอกจากจะชื่นชมแล้วยังเพิ่มความรักที่มีต่อนางมากขึ้นอีกด้วย
“ คิดไม่ถึงเลยว่าคนที่ข้ารักจะมีความสำคัญมากขนาดนี้ หากว่าข้าสามารถช่วยเหลือนางในการทำศึกนี้ได้ แม้ต้องแลกด้วยชีวิต ข้าก็จะไม่เสียใจเลย “  สัณหวัชนาคา คิดและมุ่งมั่นเหลือเกินว่าไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามเขาจะต้องปกป้องหญิงสาวอันเป็นที่รักของเขาให้ได้
“ เมื่อเสด็จพี่ของหม่อมฉัน แนะนำหม่อมฉันทั้งสองให้กับทุกคนได้รู้จักแล้ว หม่อมฉันจะขอเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนนี้ให้ทุกคนฟัง ขอให้ตั้งใจฟังเรื่องที่หม่อมฉันจะเล่าให้ดีนะเพคะ “ อัคคีนาคา บอกต่อทุกคน
จากนั้นพวกนางทั้งสองต่างพากันเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นพร้อมทั้งอธิบายสถานการณ์ในขณะนี้ให้ฟังหลายคนต่างมีสีหน้าตื่นตกใจเมื่อได้รับรู้เรื่องราวจากพวกนาง
“ พี่คิดไม่ถึงเลยว่าพวกอสูรจะแยกกันออกไปสี่ทางอย่างนี้ พวกเจ้าคงลำบากแย่ที่จะต้องหาทางปกป้องนครถึง๔นครในขณะเดียวกัน “ มันทยนาคา พูดออกมาด้วยความเห็นใจพวกนางและเป็นห่วง อัคคีนาคา ยิ่งนักเพราะกลัวว่าจะพลาดท่าเสียทีให้กับเหล่าอสูร
“ ไม่ต้องห่วงพวกหม่อมฉันหรอกเพคะเจ้าพี่ อย่างไรพวกหม่อมฉันก็จะสู้กับพวกอสูรให้ถึงที่สุด พวกเราทั้ง ๘ คน จะไม่ยอมให้พวกอสูรกำแหงไปมากกว่านี้เพคะ “
คำตอบของ อัคคีนาคา สะดุดความคิดของ มันทยนาคา
“ พวกเราทั้ง ๘ คน???  เจ้าหมายความว่าไง อัคคีนาคา บอกพี่มาสิ? “ มันทยนาคา ถาม
“ เทพผู้ทำหน้าที่ปราบกัลย์ปาอสูร ไม่ได้มี ๗ คนอย่างที่ทุกคนเข้าใจความจริงแล้วมี ๘ คน คนที่ ๘ พวกเราเพิ่งพบกับเขาระหว่างเดินทาง “ มยุราเทวี ตอบแทน
“ เป็นความจริงหรือ? “
“ จริงเพคะเจ้าพี่ เขามีชื่อว่า น้ำทิพย์ที่สาม “ อัคคีนาคา บอก
พอ มันทยนาคา รู้ชื่อของ เทพคนที่ ๘ เท่านั้น มันทยนาคา มีสีหน้าแปลกๆ และทวนชื่อของเขาอย่างช้าๆ
“ น้ำทิพย์ที่สาม ? “
เมื่อเห็นท่าทางของพี่ชายผิดสังเกต อัคคีนาคา ก็อดถามไม่ได้
“ เจ้าพี่ทรงรู้จัก น้ำทิพย์ที่สามหรือเพคะ? “
“ พี่ไม่รู้จักหรอก แต่ถ้าเป็นเสด็จอาอินทรนาคราชหรือเสด็จพ่อคงพอจะรู้อะไรบ้าง แต่ที่แน่ๆ น้ำทิพย์ที่สาม ไม่ใช่น่าจะใช่ชื่อของเขา แต่น่าจะเป็นชื่อตำแหน่งอะไรสักอย่างหนึ่งมากกว่า พวกเจ้าเคยถามเขาบ้างหรือเปล่า? “ มันทยนาคา ถาม
“ พวกข้าเคยถามเขาแล้ว แต่เขาจำเรื่องราวของตัวเองไม่ได้เลย ทุกวันนี้เขาเองก็ยังตรอมใจอยู่กับประวัติความเป็นมาของตัวเอง “ มยุราเทวี บอก พร้อมกับเดินเข้าไปหา บรรณนาคราช ที่นั่งฟังเรื่องราวของพวกนางมานานแล้ว ส่วน มันทยนาคาและคนอื่นๆยังอึ้งอยู่กับคำตอบที่ได้รับ
“ แล้วท่านบรรณนาคราช พอจะรู้เรื่องราวของ น้ำทิพย์ที่สาม บ้างหรือไม่เพคะ? “
“ ตระกูลเทวะ “ บรรณนาคราช กล่าวออกมาอย่างช้าๆ ในแววตาทอประกาย
“ อะไรนะเพคะ? “ มยุราเทวี ถามทวนอีกครั้งหนึ่ง ตั้งแต่นางเกิดมาเพิ่งจะเคยได้ยินชื่อของตระกูลเทวะเป็นครั้งแรก
“ ข้าเองก็ไม่รู้เรื่องราวมากนัก ถ้าข้าเดาไม่ผิดเขาคงเป็นคนของตระกูลเทวะ เรื่องนี้ต้องถาม ท่านสุบรรณ ท่านอินทรนาคราช ท่านอานนทนาคราช และพระพันปีคีตรนาคราช เท่านั้น ถึงจะได้คำตอบ “ บรรณนาคราช ตอบ พร้อมกับลุกขึ้นเล่าเรื่องราวที่พอจะรู้ให้พวกนางฟัง
“ ตระกูลเทวะ เป็นข้ารองบาทของพระนารายณ์มาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล ว่ากันว่าเป็นตระกูลที่แปลกประหลาดมาก ในแต่ละรุ่นจะมีเพียงแค่ ๑ คนเท่านั้นที่จะเป็นผู้นำตระกูลได้ เท่าที่ข้ารู้ ว่ากันว่าต้นตระกูลเทวะเมื่อก่อนเป็นเทพทั้งหมด แต่ต่อมาทายาทรุ่นหลังๆกลับมาหลงรักหญิงสาวในโลกมนุษย์ ทำให้ทายาทรุ่นหลังจากนั้นมีสภาพเป็นกึ่งเทพกึ่งมนุษย์ เรื่องจะจริงเท็จแค่ไหนข้าไม่สามารถยืนยันได้ที่ข้ารู้มาก็แค่คำเล่าขานเท่านั้น “
ถึงแม้จะเป็นแค่คำเล่าขานแต่ก็สามารถยืนยันได้ในระดับหนึ่ง
“ ถ้าที่ท่านบรรณนาคราช กล่าวมาเป็นจริงแล้วละก็ ไม่ผิดแน่นอน น้ำทิพย์ที่สาม เป็นมนุษย์แต่เขามีพลังมากกว่าพวกเราเสียอีก “ มยุราเทวี พูดบอกพลางใช้ความคิด
“ จริงอย่างที่ นกยูง พูด น้ำทิพย์ที่สาม ร้ายกาจมากแค่เขาคนเดียวก็แทบจะถล่มกองทัพอสูรทั้งกองทัพได้แล้ว ยิ่งพลังสิงห์ที่มีอยู่ในตัวของ น้ำทิพย์ที่สาม น่ากลัวจนหม่อมฉันแทบไม่อยากนึกถึง “ อัคคีนาคา พูดพร้อมกับคิดถึงเมื่อตอนครั้งแรกที่นาง มยุราเทวี พยัคฆ์วารี เปมิกา และน้ำทิพย์ที่สามได้พบกันและต่อสู้กันเกือบเป็นเกือบตาย
“ ถ้าเป็นแค่พลังสิงห์ก็ดีสิ “  บรรณนาคราช พูดออกมาเหมือนกับจะแย้งในสิ่งที่นางพบเห็นมา
“ หมายความว่าอย่างไรเพคะ ท่านบรรณนาคราช? “ มยุราเทวี ถามสีหน้าบ่งบอกถึงความสงสัยและไม่เข้าใจในคำพูดของบรรณนาคราช
“ พลังประจำตัวของคนในตระกูลเทวะ แต่ละคนอาจจะเหมือนหรือไม่เหมือนกันก็ได้ ถ้าเจ้าบอกว่า น้ำทิพย์ที่สาม มีพลังสิงห์เป็นพลังประจำตัว พี่น้องคนอื่นๆของเขาอาจจะมีพลัง เป็น คชสีห์ พยัคฆ์ หงส์ ครุฑ หรือแม้กระทั่ง นาคา อย่างพวกเราก็ได้ พลังของคนในตระกูลเทวะไม่มีทางคาดเดาได้เลยว่าจะเป็นพลังในรูปแบบไหน “
“ อะไรนะเพคะ “ สองสาวงามต่างพูดขึ้นพร้อมกัน พวกนางคิดไม่ถึงเลยว่าจะมีเรื่องแบบนี้ในโลกด้วย
“ ก็อย่างที่ข้าบอกนั้นแหละ พวกเจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่พวกเจ้า “ บรรณนาคราช บอกพวกนาง
แม้จะเชื่อยากแต่วิชาของน้ำทิพย์ที่สาม ที่พวกนางเรียนรู้และนำมาใช้ในสายตาของพวกนางก็รู้สึกแปลกประหลาดอยู่แล้ว หรือถ้าจะพูดให้ถูกวิชาของเขาเป็นวิชาที่ผิดแปลกจากวิชาทั่วไปในโลกด้วยซ้ำ
“ พวกเราพักเรื่องของ น้ำทิพย์ที่สามกันก่อนดีกว่า ว่าแต่ว่าพวกเจ้าจัดการอย่างไรต่อไปกับทัพอสูรที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้ “ บรรณนาคราช เอ่ยถามความคิดเห็นของพวกนาง
“ กองทัพที่ยกมาล้อมพวกเราในครั้งนี้มีจำนวนมาก อีกทั้งพวกอสูรมีความสามารถในการรบมากกว่าพวกเราหลายเท่า เท่าที่ทำได้ในตอนนี้ หม่อมฉัน ได้แต่เพียงขอให้เทพพิทักษ์นครกางอาณาเขตพระเวทย์ปกป้องนครเอาไว้และปรุงน้ำทิพย์ไว้ใช้ในยามทำศึกเท่านั้น ตอนแรกหม่อมฉันเป็นห่วงว่าจะมีพวกอสูรสืบข่าวปลอมตัวอยู่ในนครตรีสุวรรณแต่การปรากฏตัวของพวกเหล่าอสูรที่ถูกพวกเราฆ่าตายไปคิดว่าคงจะไม่มีอสูรสืบข่าวหลงเหลืออยู่ในนครแล้วเพคะ “ มยุราเทวี ตอบ
“ อย่างไรก็จะประมาทไม่ได้ ข้าจะให้  สัณหวัชนาคา พาคนใน นาคพันธุ์ ออกตรวจหาพวกอสูรภายในนครว่ายังหลงเหลืออีกหรือไม่? ถ้าเกิดพวกมันหลงเหลืออยู่พวกมันอาจจะหาทางสืบข่าวการศึกของพวกเราส่งไปให้ทัพอสูรที่ล้อมพวกเราอยู่ก็เป็นได้ “ บรรณนาคราช บอกพวกนาง
“ ดี พระเจ้าข้า อย่างน้อยเราก็จะได้หมดห่วงเรื่องภายในนครตรีสุวรรณ จะได้จัดการเรื่องศึกที่อยู่นอกนครเพียงอย่างเดียว“ พระโอรสสุรเสน ทูลบอก ท่านบรรณนาคราช หากแต่สายตายังจับจ้องพวกนางไม่วางตา
ระหว่างนั้นมีอำมาตย์สองคนที่เดินตรวจตราอยู่ภายในนครหลังจากเกิดเหตุการณ์เมื่อครู่ เข้ามาเข้าเฝ้าพระราชาตรีภพ
“ หม่อมฉัน อำมาตย์มนตรี หม่อมฉัน อำมาตย์พัลลภ ถวายบังคมพระเจ้าข้า “
“ ท่านทั้งสองคนมาก็ดีแล้ว ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง? “ พระราชาตรีภพ ทรงตรัสถาม
“ ขอเดชะ สถานการณ์ภายในสงบลงแล้วพระเจ้าข้า แต่ภายนอกนครยังมีเหล่าอสูรล้อมนครของพวกเราไว้อยู่ พระเจ้าข้า “ อำมาตย์มนตรี ทูลถวายรายงาน
“ พวกท่านทั้งสอง มีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับศึกนี้บ้าง “ พระราชาตรีภพทรงตรัสถาม
สองอำมาตย์ใหญ่ต่างอึดอัดที่จะพูดเกี่ยวกับการศึกในที่นี้
“ พวกท่านไม่ต้องเป็นห่วง ทุกคนในที่นี้ล้วนต้องการช่วยเหลือและปกป้องนครตรีสุวรรณทั้งนั้นพวกท่านมีความคิดเห็นอะไรก็บอกมาเถอะ “ พระราชาตรีภพทรงตรัส
“ พระเจ้าข้า “ อำมาตย์ทั้งสองรับพระกระแสรับสั่ง
“ ในการทำศึกแต่ละครั้งเป็นการยากยิ่งนักที่จะสามารถคาดเดาสถานการณ์ต่างๆ ได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นบ้าง สิ่งที่ที่ใช้ในการทำนายศึกมีอยู่ด้วยกัน ๕ ประการ “
อำมาตย์มนตรีพูดบอก อำมาตย์พัลลภ พูดเสริม
“ ปัจจัยทั้ง ๕ ได้แก่ เหตุผล สภาพอากาศ พื้นที่ ขุนพล และกฎ  เหตุผลคือ ความเป็นหนึ่งเดียว สภาพอากาศ คือการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล พื้นที่ คือชัยภูมิ ขุนพล คือ ความสามารถของเหล่าทหาร และสุดท้าย กฎ คือ ข้อบังคับที่เข็มแข็ง “
อัคคีนาคา ฟังคำพูดของ อำมาตย์ทั้งสองรู้สึกปวดหัวจนต้องร้องห้าม
“ พอๆก่อน ข้างงไปหมดแล้วมันเกี่ยวอะไรกับการทำนายการทำศึกด้วย “
อำมาตย์พัลลภ อธิบายให้ฟัง
“ ในการทำศึกแต่ละครั้งจะต้องมีเหตุผลในการทำศึกที่ชัดเจนแน่นอนเป็นหนึ่งเดียวว่าทำศึกเพื่ออะไรเพื่อรวมใจของผู้คนให้ต่อต้านข้าศึกที่เข้ามารุกราน นอกจากนั้นต้องวิเคราะห์สภาพอากาศและสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยว่าขณะนี้เราได้เปรียบหรือเสียเปรียบในด้านใด ชัยภูมิที่ดีจะมีผลในการรบไม่ว่าจะตั้งรับหรือรุกรนถอยรวมถึงความสมบูรณ์ของแหล่งน้ำและเสบียงอาหาร ขุนพลมีหน้าที่ทำยุทธวิธีต่อสู้กับเหล่าศัตรูโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนร่วมและการใช้กำลังรบอย่างมีประสิทธิภาพ กฎเป็นข้อบังคับเพื่อจะควบคุมการเหล่าทหารให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัด “
“ หากว่าปัจจัยทั้ง ๕ ไม่เป็นไปตามที่ควรจะเป็นจะทำให้การทำศึกแต่ละครั้งพวกเราไม่อาจจะกำชัยชนะได้เลย “ อำมาตย์มนตรี บอกพวกนาง
“ ถ้าอย่างนั้นในสมรภูมิความเร็วและความคล่องตัวในการเดินทัพล้วนเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินแพ้ชนะใช่หรือไม่? “ มยุราเทวี ถามอำมาตย์ทั้งสอง
“ ใช่แล้ว พระเจ้าข้า “
“ นกยูง นี้เจ้าก็เข้าใจด้วยเหรอ? “ อัคคีนาคา ถามขณะสีหน้ายังงงและสงสัยอยู่
“ อืม “ มยุราเทวี ตอบพลางพูดต่อไป
“ เมื่อใช้หลักปัจจัยทั้ง ๕ ในตอนนี้เราเสียเปรียบพวกอสูรทางด้านกำลังทหาร กำลังของพวกเราอสูรมีมากกว่าพวกเราและความสามารถในการรบยังเหนือกว่าพวกเรามาก อุปมาอุปไมย เหมือนกองโจรใหญ่ที่มีฝีมือรอบตัว เหล่าสมุนโจรแต่ละคนล้วนเชี่ยวชาญในการปล้นและมีความเร็วในการหลบหนีมาก ฉะนั้น..... “
“ ฉะนั้นถ้าจะกำจัดโจรใหญ่ต้องเปลี่ยนให้ตัวเองเป็นโจรเสียก่อนใช่ไหม? “ อัคคีนาคา ถาม
“ เข้าใจอะไรเร็วดีนี้ “  มยุราเทวี ยิ้มให้กับ อัคคีนาคา นางรู้สึกว่า อัคคีนาคา เป็นเด็กที่หัวไวกว่าที่นางคิดเสียอีก
“ สิ่งที่เราเสียเปรียบในขณะนี้กองกำลังที่มีประสิทธิภาพในการรบกับเหล่าอสูร พูดง่ายๆ ก็คือ เหล่าเสียเปรียบทางด้านกำลังทหาร ก่อนอื่นเราต้องหากำลังทหารที่พอต่อสู้ได้ทัดเทียมกับเหล่าอสูรเสียก่อน “ มยุราเทวี บอกทุกคน และหันมาถาม บรรณนาคราช
“ ท่านบรรณนาคราช เพคะ กำลังทหารของนครนาคพันธุ์มีจำนวนเท่าไรเพคะ “
“ ในตอนนี้มีประมาณแค่ ๑๐๐,๐๐๐ เท่านั้น “ บรรณนาคราช ตอบ
“ ถ้าเทียบตอนที่ วัลวากี ยกทัพมาแค่ ๑ ใน ๕ ของ ทัพอสูร “ มยุราเทวี เริ่มคิดหนัก
“ ข้าพอมีวิธีจะหากำลังเสริมได้ “
เสียงของ ธรรพ์ธร ปลุกทุกคนให้หันหน้าไปหาเขา
“ ข้าจะลอบกลับไปที่ป่า หิมพานต์  รวบรวมเหล่าคนธรรพ์และวิทยาธร ที่มีอยู่มาช่วยรบในศึกครั้งนี้อีกแรงหนึ่ง “
“ พวกเขาจะยอมช่วยพวกเราอย่างนั้นหรือ? “ มยุราเทวี ถาม
“ ต้องลองดูก่อน อย่างน้อยคนธรรพ์หรือวิทยาธร ๑ ตน คงพอจะสู้กับเหล่าอสูรได้ ๑๐-๑๕ ตน ถ้าพวกเขายอมตามมาช่วยละก็ ข้าคิดว่าศึกนี้โอกาสชนะของพวกเรามีมากกว่าแพ้ “
“ งั้นพวกข้าขอฝากความหวังไว้ที่ท่านด้วย “ มยุราเทวี กล่าว
“ ไม่ต้องห่วง ข้าจะพยามยามอย่างเต็มที่ คิดว่าไม่น่าจะใช้เวลาเกิน ๔ วัน “ ธรรพ์ธร บอกต่อพวกนางในใจรู้สึกดีใจอย่างยิ่งที่พวกนางเชื่อใจเขา
“ ๔ วันงั้นหรือ? ดี ระหว่างนี้ข้ากับนกยูงจะลองต้านทัพอสูรดูสักตั้ง ดูสิว่าพวกมันจะร้ายกาจแค่ไหน? “ อัคคีนาคา พูดคล้ายกับว่าจะให้ความเชื่อมั่นกับทุกคนว่าพวกนางสามารถจะจัดการกับทัพอสูรที่ล้อมนครอยู่ได้ท่าทางของนางเหมือนพร้อมรบอย่างเต็มที่
“ พระองค์เพคะ หม่อมฉันมีเรื่องขอร้องเพคะ “ มยุราเทวี ทูลขอความช่วยเหลือจากพระราชาตรีภพ
“ มยุราเทวี เจ้ามีเรื่องอะไรจะขอร้องเราอย่างนั้นหรือ? “ พระราชตรีภพทรงตรัสถาม
“ หม่อมฉันอยากจะทูลขอต่อพระองค์ให้หม่อมฉันทั้งสองคน มีสิทธิ์เด็ดขาดในการบัญชาการรบในศึกครั้งนี้ และหม่อมฉันอยากให้ท่านอำมาตย์ทั้งสองเป็นที่ปรึกษาของพวกหม่อมฉันด้วยเพคะ “
“ ไม่มีปัญหา เรื่องนั้นเราให้เจ้าได้ตามที่ต้องการ “  พระราชาตรีภพทรงยอมตามที่ มยุราเทวี ต้องการในทันที
พระโอรสฟ้าคำรณ ฟังเรื่องราวมานานแล้วก็ขอเสนอความคิดเห็นบ้าง
“ เสด็จพ่อ พระเจ้าข้า หม่อมฉันคิดว่าจะเราควรจัดเตรียมตำหนักที่ประทับให้พระธิดาทั้งสองพักในเขตวังหลวงและใช้เป็นที่บัญชาการรบดีไหม? พระเจ้าข้า “
พระราชาตรีภพยังไม่ทันตรัสอะไร อัคคีนาคา เอ่ยขัดเสียก่อน
“ ขอบพระทัยเพคะ พระโอรสฟ้าคำรณ หม่อมฉันและนกยูงขออยู่ที่เดิมจะดีกว่าเพราะสามารถไปมาได้สะดวกในการปรึกษากับท่านอำมาตย์และดูแลเกี่ยวกับเรื่องการศึกได้มากกว่าอยู่ในวังหลวงเพคะ “
พระโอรสฟ้าคำรณ มีสีหน้าสลดลงเพราะเสียดายที่จะไม่ได้อยู่ใกล้ชิดพวกนาง
“ อย่างนั้นเราก็ตามใจเจ้า แต่เราจะให้ทหารไปเฝ้าดูแลอารักขาที่พักของพวกเจ้า ส่วนเรื่องอาหารเราจะให้นางกำนัลในวังจัดไปให้ก็แล้วกัน “ พระราชาตรีภพทรงตรัสบอกพวกนาง
“ ขอบพระทัยเพคะ “
เมื่อทุกอย่างตกลงกันได้แล้ว มยุราเทวี และ อัคคีนาคา ก็ขอตัวกลับไปที่บ้านยายผินโดยตัวของยายผินนั้นได้กลับบ้านไปก่อนแล้ว ส่วน ธรรพ์ธร ทูลลา ท่านบรรณนาคราช กลับไปที่ป่าหิมพานต์ ในทันที เพื่อไปรวบรวมเหล่าคนธรรพ์และวิทยาธรมาช่วยเหลือนครตรีสุวรรณ โดยมี ยุพารี พูดคุยกับเขาด้วยความเป็นห่วง
“ ทรงระวังพระองค์ให้ดีนะเพคะเจ้าพี่  “  ยุพารี บอก ธรรพ์ธรด้วยความเป็นห่วงยิ่งนัก
“ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก พี่จะรีบกลับมา พี่ไปละนะ “  ธรรพ์ธร บอกลา ยุพารี แล้วรีบออกเดินทางทันที
ทางพระโอรสสุรเสนและพระโอรสฟ้าคำรณมีเรื่องที่ต้องจัดการเกี่ยวกับงานพิธิอภิเษกสมรสที่ต้องหยุดไปไม่อาจปลีกตัวไปไหนได้  ฝ่ายท่านบรรณนาคราช พร้อมด้วย มันทยนาคา ออกจากนครตรีสุวรรณกลับไปที่นครนาคพันธุ์เพื่อจัดกำลังทหารมาช่วยเหลือนครตรีสุวรรณ โดยมี สัณหวัชนาคา และ ยุพารี ตามกลับไปด้วย ทางสองสาวงามเดินทางกลับมายังบ้านยายผินระหว่างทาง มยุราเทวี พูดกระเซ้าเหย่าแหย่ อัคคีนาคา ตลอดทาง
“ บอกข้ามาซะดีๆ ว่าเจ้าไปมีอะไรกับลูกชายของท่านบรรณนาคราช ตั้งแต่เมื่อไร? “
“ พูดให้ดีๆนะ นกยูง “ อัคคีนาคา พูดขู่ แต่ มยุราเทวี หากลัวไม่
“ แล้วเจ้าจะให้ข้าคิดอย่างไงละ? อยู่ๆก็มีชายรูปงามที่ไหนไม่รู้มาจับมือเจ้าโดยที่เจ้าไม่คิดจะตอบโต้เขาบ้างเลย “ มยุราเทวี ลองหยั่งเชิงดู
“ ไม่ใช่ข้าไม่คิดจะโต้ตอบเขาแต่ข้ากำลังตกใจอยู่ต่างหากเลยไม่ทันได้ทำอะไร “ อัคคีนาคาแก้ตัว
“ ตีข้าให้ตายข้าก็ไม่เชื่อ ท่าทางเขาเหมือนรู้จักเจ้ามาตั้งนานแล้ว “
“ นานอะไรเพิ่งเจอกันแค่ ๒-๓ วันเอง อุ้ย!“
มยุราเทวี หูผึ่งขึ้นมาทันทีเมื่อรู้ว่า อัคคีนาคา รู้จักกับ สัณหวัชนาคา มาก่อน ส่วน อัคคีนาคา ตกใจที่นางเผลอพูดออกมาให้ มยุราเทวี ได้ยินจนต้องเอามือปิดปากตนเอง
“ นั้นไง ในที่สุดก็เผลอออกมาแล้ว บอกข้ามาซะดีๆ ว่าเขามาสารภาพรักเจ้าหรือยัง? “
“ บ้าสิ นกยูง อีตาบ้านั้นนะให้ข้าฟรีๆข้ายังไม่อยากได้เลย “ ใบหน้าของ อัคคีนาคา เริ่มแดงระเรื่อขึ้นมาอีกครั้ง
“ แน่ใจนะถ้าเจ้าไม่ชอบเจ้ายกให้ข้าก็ได้นะ “ มยุราเทวี ยังแหย่ อัคคีนาคา ไม่เลิก
“ ก็แล้วแต่เจ้าสิ มาถามข้าทำไม? “ อัคคีนาคา แกล้งทำเป็นไม่สนใจ แต่แท้ที่จริงแล้วในใจก็รู้สึกแปลกๆเมื่อ มยุราเทวี ถามเช่นนั้น
“ ต้องถามเจ้าสิ เพราะสุดที่รักของเจ้ามาโน่นแล้ว คุยกันตามสบายนะ “
มยุราเทวี บอก อัคคีนาคา พร้อมกับปลีกตัวหนีไป ปล่อยให้ อัคคีนาคา เผชิญหน้าอยู่กับ สัณหวัชนาคา เพียงลำพังสองคน
“ เดี๋ยวก่อน นกยูง รอข้าด้วย “
อัคคีนาคา วิ่งตาม มยุราเทวี ไปหากแต่โดน สัณหวัชนาคา จับตัวไว้
“ ปล่อยข้านะ ท่านถือดีอย่างไงถึงมาจับตัวข้า “ อัคคีนาคา ไม่พูดเปล่า ดิ้นรนไปมาเพื่อให้หลุดจากมือของสัณหวัชนาคา จนเขาต้องเปลี่ยนจากจับตัวนางมากอดนางไว้แทน
“ เจ้าจะรีบไปไหน ข้ามีเรื่องที่จะคุยกับเจ้า “ สัณหวัชนาคาบอก
“ แต่ข้าไม่มีอะไร จะคุยกับท่าน ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะไม่อย่างนั้นได้เห็นดีกันแน่“ อัคคีนาคาตอบ พลางขู่เขา
“ ต่อให้เจ้าฆ่าข้าให้ตาย ข้าก็ไม่ปล่อยเจ้าไปหรอก “ สัณหวัชนาคา พูดอย่างจริงจัง มองหน้าของ อัคคีนาคา อย่างไม่วางตา
ฝ่าย อัคคีนาคา อ่อนอกอ่อนใจกับบุรุษผู้นี้เหลือเกินไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรจากตัวของนาง ถึงได้ทำแบบนี้
“ ท่านต้องการอะไรกันแน่? ถึงทำกับข้าแบบนี้ ข้าไม่ใช่นางสนมของท่านนะ ที่อยู่ๆท่านจะมาจับมากอดได้ตามอำเภอใจ “ อัคคีนาคา น้ำคลอ เป็นครั้งแรกที่นางร้องไห้ออกมาเพราะถูกดูถูกอย่างร้ายกาจจากการกระทำของเขา
สัณหวัชนาคา เหมือนจะรู้สึกตัวเมื่อเห็นน้ำตาของ อัคคีนาคา รีบปล่อยตัวของนางจากอ้อมกอดของตนเอง
“ ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้ ข้าเพียงอยากพูดคุยกับเจ้าเท่านั้นเอง “
“ ท่านพูดออกมาได้ไม่อายปากหรือว่า ไม่ตั้งใจ ข้า อัคคีนาคา เป็นลูกมีพ่อมีแม่ ท่านทำอย่างกับว่าข้าเป็นสิ่งของที่อยู่ข้างทาง นึกจะหยิบ ก็หยิบขึ้นมาเล่น นึกจะทิ้งขวาง ก็โยนลงข้างทาง เสียแรงที่ท่านเป็นถึงลูกชายของ ท่านบรรณนาคราช ผู้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ทรงคุณธรรมนัก หากแต่การกระทำของท่านไม่ต่างจากเหล่าอสูรที่ชั่วช้าเหล่านั้นเลย “  อัคคีนาคา ระบายความคับข้องในใจที่มีตัวเขาออกมาอย่างมากมาย ส่วนตัวของ สัณหวัชนาคา เองถูกคนที่เขารักต่อว่าต่อขานเช่นนี้ก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน
“ ข้าไม่เคยคิดที่จะดูถูกเจ้า ข้าเพียงแต่อยากพูดคุยกับเจ้า ใกล้ชิดเจ้าเท่านั้น ข้าไม่เคยคิดว่าสิ่งที่ข้าทำลงไปจะทำให้เจ้าโกรธข้ามากขนาดนี้ “ สัณหวัชนาคา พูดออกมาอย่างจริงใจหากแต่ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น
“ ท่านเคยเห็นแก้วหรือเปล่า? เวลาท่านทำแก้วแตกไปแล้ว แล้วนำเศษเสี้ยวของมันมาประกบกันแล้วมันจะดีดั่งเดิมอย่างนั้นหรือ? ถึงท่านบอกว่าไม่ได้ตั้งใจคนอื่นมาเห็นใครเล่าจะเชื่อ  เมื่อใครอื่นมาเห็นท่านทำกับข้าอย่างนี้ ชื่อเสียงของตัวข้า พ่อและแม่ข้าจะไม่มั่วมองอย่างนั้นหรือ? ตั้งแต่ข้าเกิดมาข้าไม่เคยเกลียดใครมากที่สุดเท่าท่านเลย ข้าเกลียด ข้าเกลียดท่านที่สุด “ อัคคีนาคา พูดจบแล้วก็วิ่งหนีจากไปสายน้ำตาของนางยังหลุดลอยออกมาเป็นเงาจางๆให้ได้เห็น
“ อัคคีนาคา ข้าไม่ได้ตั้งใจ ที่ข้าทำไปทั้งหมดเพราะข้ารักเจ้า “ สัณหวัชนาคา วิ่งไล่ตามนางไปและตระโกนบอกนางไปด้วย
ถึงแม้อัคคีนาคาจะได้ยินที่ สัณหวัชนาคา พูด แต่ในตอนนี้นางเกลียดเขามากจนไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น นางใช้มือทั้งสองข้างปิดหูของตัวเองไม่ต้องการรู้หรือได้ยินอะไรอีก นางต้องการเพียงอย่างเดียวคือ หนี วิ่งหนีจากเขาไปให้เร็วและไกลที่สุด สัณหวัชนาคา เห็นท่าทางของนางแล้วรู้สึกเจ็บปวดจนหยุดวิ่งไล่ตาม ในใจเหมือนจะแหลกสลายเป็นผุยผง
“ โธ่เว้ย นี้ข้าทำอะไรลงไปนี้ “
สัณหวัชนาคา ทรุดตัวลงใช้มือทั้งสองข้างทุบลงที่พื้นอย่างบ้าคลั่ง ในตอนแรกเขาคิดว่า มันทยนาคา จะเป็นคนที่ทำให้เขากับ อัคคีนาคา ไม่สามารถจะรักกันได้เสียอีก แต่จริงๆแล้วเขาโง่ถนัด ตัวของเขาเองต่างหากที่เป็นอุปสรรคทำให้ความรักระหว่างเขาและ อัคคีนาคา ไม่อาจเกิดผลได้
สถานการ์ความรักของ สัณหวัชนาคา และ อัคคีนาคา ว่าย่ำแย่แล้วแต่สถานการณ์อีกที่หนึ่งย่ำแย่ไม่น้อยกว่ากันเลย ในป่าลึกแห่งหนึ่งมีร่างใครคนหนึ่งนอนอยู่ ตามร่างกายมีบาดแผลน้อยใหญ่อยู่ทั่วตัว ข้างๆ เขามีหญิงสาวหน้าตางดงามกำลังคอยดูแลเขาอยู่ เสียงสะอื้นไห้ของนางยังดังออกมาไม่ขาดสาย
“ เจ้าอย่าตายนะ อย่าตาย ฮือๆๆ “
แสงไฟจากที่นางก่อกองไฟเอาไว้สาดส่องจนทำให้เห็นใบหน้าของนางอย่างเด็ดชัด นางฟ้าสาวแสนสวยผู้เป็นเพื่อนรักของ อนันตวาโย
“ นันทาเทพธิดา “
นางใช้มือทั้งสองข้างเขย่าร่างที่ยังนอนนิ่งไม่ไหวติง พร่ำรำพันออกมาไม่ขาดสายคราบน้ำตายังไหลเป็นทางไม่หยุด ร่างชายหนุ่มที่นอนเหยีดยาวตรงนั้นดูคุ้นหน้าเหลือเกิน เพียงนางขยับตัวเพียงนิดเดียวแสงไฟก็กระทบให้ได้เห็นใบหน้าของเขา
“ ตรัยสูร “
ตรัยสูร บาดเจ็บสาหัส นันทาเทพธิดา กำลังช่วยรักษาเขาอยู่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
“ ฟื้นสิ เจ้าอย่าทำอย่างนี้ อย่าทำให้ข้าตกใจ เจ้าจะตายไม่ได้นะ ลุกขึ้นมาพูดกับข้า ฟื้นสิ ลุกขึ้นมานะ“ นางเขย่าที่นอนนิ่งอยู่สุดแรง สีหน้าของชายหนุ่มขาวซีดเหมือนคนใกล้ตาย เพียงครู่เดียวสีหน้าของเขากระอักกระอ่วนบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ก่อนอ้วกเลือดคำโตออกมา
“ อ๊อค “
“ ตรัย.....!!! “ นันทาเทพธิดา ถึงกับร้องเสียงหลงทำอะไรไม่ถูก
นี้มันเกิดอะไรขึ้น??? ตรัยสูร กับ นันทาเทพธิดา กำลังเดินทางไปที่ นครศรีบุรีรมย์ เพื่อปกป้อง นครศรีบุรีรมย์ จากการบุกยึดของทัพอสูรที่มีนายกองอสูรจงคละ เป็นผู้นำมิใช่หรือ? แล้วเหตุใดเขาถึงได้รับบาดเจ็บปางตายเช่นนี้? คนที่ทำร้ายเขาเป็นใครกันแน่? หรือว่า ตรัยสูร จะไม่มีโอกาสได้กลับมาพบหน้ากับเหล่าเพื่อนพ้องอีกแล้ว แล้วความรักของ สัณหวัชนาคา และ อัคคีนาคา จะลงเอยเช่นใดเล่า? ใครกันจะเป็นผู้บอกได้?
จบตอนที่ ๑๑ ครับ อันนี้ต้องขอบคุณ คุณซีเรียที่ได้เขียนบทความตำราพิชัยสงครามซุ่นอู่ เอาไว้ เพราะผมอ่านจากของเก่าเขาใช้ ธง ฟ้า ดิน ขุนพล กฎ อ่านแล้วงงจนแทบนำมาเขียนไม่ถูกเลย พอได้อ่านจากคุณซีเรีย เข้าใจขึ้นเยอะเลยครับ ^_^
ตอนที่ ๑๑ ความรักที่แสนปวดร้าว
    สัณหวัชนาคา ปล่อยมือของเขาที่เกาะกุมมือของ อัคคีนาคา เอาไว้อย่างแสนเสียดายก่อนที่เจ้าตัวเองจะเพิ่งรู้สึกตัวว่าถูกสายตาของผู้คนรอบๆข้างจ้องมองอยู่โดยเฉพาะ มันทยนาคา
“ เจ้าคงไม่โกรธข้านะที่ข้าทำแบบนี้กับเจ้า “ น้ำเสียงของเขาเหมือนประหนึ่งจะอ้อนวอนนาง
ถึงแม้ อัคคีนาคา จะไม่พอใจที่อยู่ๆ สัณหวัชนาคา มาจับมือของนางหากแต่เมื่อรู้ว่าเขาเป็นห่วงนางมากถึงได้ทำแบบนี้ก็พอจะคลายความโกรธที่มีอยู่ลงได้บ้างถึงแม้กระนั้นนางก็ยังปากแข็งอยู่ดี
“ ครั้งนี้ข้ายกโทษให้ท่านครั้งหนึ่ง หากครั้งหน้ามีเหตุการณ์เช่นนี้อีกละก็ ข้าจะ... “
“ เจ้าจะทำอะไร? “ สัณหวัชนาคา ยิ้มกรุ่มกริ๊งถาม อัคคีนาคา
“ น้องสาวข้าก็จะทำให้เจ้ากลายเป็นงูย่างนะสิถามได้ “ มันทยนาคา พูดประชดอย่างไม่ไว้หน้า พร้อมกับเดินเข้ามาหา อัคคีนาคา ส่วน สัณหวัชนาคา ถูก มันทยนาคา ตอกกลับมาเช่นนั้นหน้าตาซีดลงอย่างเห็นได้ชัด
“ รู้สึกความรักของข้าจะมีอุปสรรคใหญ่หลวงขวางทางเสียแล้ว ว่าที่พี่เขยของข้ารู้สึกว่าจะไม่ค่อยชอบหน้าข้าเอาเสียเลย “ สัณหวัชนาคา คิดอยู่ในใจ
ฝ่าย อัคคีนาคา เมื่อเห็นพี่ชายเดินเข้ามาหาก็รีบเดินตรงเข้าไปหา มันทยนาคา เช่นกัน
“ เจ้าพี่เพคะ ทำไมเจ้าพี่ถึงมาอยู่ที่นี้เพคะ? “ อัคคีนาคาถาม
“ พวกพี่ได้ข่าวมาว่ามีกองทัพอสูรยกทัพมาที่นี้ เสด็จอา อินทรนาคราช ทรงเป็นห่วงว่าอาจจะเกิดเหตุร้ายขึ้นกับนครนาคพันธุ์ เสด็จอาจึงให้พี่รีบเดินทางมาหา ท่านบรรณนาคราช เผื่อว่าถ้าเกิดเหตุขึ้นจริงจะได้ช่วยเหลือนครนาคพันธุ์ได้ “  มันทยนาคา ตอบ
มยุราเทวี มีสีหน้าสงสัยไม่เข้าใจ
“ ท่านรู้ข่าวได้อย่างไรว่ามีทัพอสูรยกทัพมาที่นี้? คงไม่ใช่บอกข้าว่ากองสอดแนมของ นครบาดาล ย้ายถิ่นฐานการหาข่าวจากทางน้ำขึ้นมาบนบกหรอกนะ “
มันทยนาคา ยิ้มให้กับนาง ก่อนบอกว่า
“ ไม่ใช่อย่างที่เจ้าเข้าใจหรอก ข่าวนี้พวกข้าไม่ได้เป็นหาข่าวเอง แต่มีคนส่งข่าวให้พวกข้ารู้ “
“ ใครกันที่ส่งข่าวให้พวกท่านรู้? “ มยุราเทวี ถาม
“ จะมีใครซะอีก นอกจากเสด็จลุงของเจ้านะสิ  ที่เป็นคนบอกเสด็จอาของข้า “
“ อะไรนะ! เสด็จลุงข้านะหรือบอก ท่าน อินทรนาคราช? “ มยุราเทวี อุทาน
“ ใช่แล้ว หลังจากที่พวกเจ้าออกเดินทาง เสด็จลุงของเจ้าและเสด็จอาของข้า มีข้อตกลงที่จะแลกเปลี่ยนข่าวสารกันโดยทางพื้นดินและอากาศเป็นหน้าที่ของเสด็จลุงเจ้าส่วนทางแม่น้ำและทะเลเป็นหน้าที่ของพวกเรา เพราะฉะนั้นข้าถึงรู้เรื่องการเดินทัพของพวกอสูรได้อย่างไรละ “
มยุราเทวี ได้ฟังคำตอบแล้วแทบไม่เชื่อว่า เสด็จลุง จะทรงยอมร่วมมือกับ ท่านอินทรนาคราช ได้ เพราะนางรู้ว่าทั้งสองคนมีเรื่องบาดหมางกันมานานแทบจะเรียกได้ว่าถ้าเจอกันเมื่อไรก็เกิดศึกเมื่อนั้นแม้แต่วันที่นางจากมาทั้งสองคนก็ยังตั้งแง่กันอยู่ตลอดเวลาไม่มีทีท่าว่าจะลดราวาศอกให้แก่กันเลยแต่คราวนี้ทั้งสองคนกับร่วมมือกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ
“ คิดไม่ถึงว่าเสด็จลุงจะร่วมมือกับท่านอินทรนาคราชได้ “
“ ทุกอย่างย่อมต้องมีการเปลี่ยนแปลง เวลาและสถานการณ์ เป็นสิ่งที่กำหนดวิธีทางของแต่ละสิ่งในโลกนี้ เจ้าน่าจะเข้าใจดีนะ มยุราเทวี “ มันทยนาคา ตอบ
มยุราเทวี พยักหน้ารับคำพูดของ มันทยนาคา และในใจก็คิดว่าอาจจะมีซักวันที่เสด็จลุงและท่านอินทรนาคราช เลิกเป็นศัตรูกันและกลายมาเป็นมิตรกันได้ ทาง พระราชาตรีภพ และคนอื่นๆอยากรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นจึงทรงตรัสถามพวกนางอีกครั้ง
“ พวกเจ้าจะคุยกันไปถึงเมื่อไร ใจคอจะไม่เล่ารายละเอียดให้พวกข้าฟังบ้างหรือ? “
มยุราเทวี และ อัคคีนาคา ได้ยินรับสั่งของพระราชาตรีภพแล้วก็รีบขอพระราชทานอภัยโทษ
“ หม่อมฉันทั้งสอง ขอพระราชทานอภัยเพคะ “
พระราชาตรีภพทรงรีบรับสั่งตัดบท
“ เอาละ ไม่ต้องมากพิธี รีบเล่าเรื่องให้ข้าฟังได้แล้ว “
“ ก่อนที่จะเล่าเรื่องให้ พระองค์ทรงทราบ หม่อมฉันขอแนะนำพวกนางทั้งสองให้กับทุกคนในที่นี้ได้รู้จักก่อน พระเจ้า “ มันทยนาคา ทูลพระราชตรีภพเสร็จแล้วก็พูดต่อ
“ หญิงสาวที่ยืนอยู่ทางด้านซ้ายของ หม่อมฉัน คือ พระธิดามยุราเทวี หลานสาว ของท่านสุบรรณ ผู้นำแห่งเผ่าพันธุ์วิหค ส่วนหญิงสาว ที่ยืนอยู่ทางด้านขวาของ หม่อมฉัน คือ พระธิดาอัคคีนาคา ลูกของเสด็จลุงจามนาคราช ผู้เป็นแม่ทัพนาคาของนครบาดาล และนางก็ยังมีศักดิ์เป็นน้องสาวของ หม่อมฉันอีกด้วย นอกจากนั้นพวกนางทั้ง ๒ คนยังเป็น ๒ ใน ๗ ของผู้ที่ผ่านการคัดเลือกให้ทำหน้าที่ปราบ จ้าวอสูรกัลย์ปาอสูรด้วย พระเจ้าข้า “
พอสิ้นคำของ มันทยนาคา เท่านั้นทุกคนต่างส่งเสียงอืออึง ต่างคาดคิดไม่ถึงว่าพวกนางจะมีฐานะที่สูงส่งและยังมีภาระหน้าที่ที่สำคัญถึงเพียงนี้
“ ข้าคงไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม? เจ้าบอกว่าพวกนางเป็นผู้ที่ผ่านการคัดเลือกให้ปราบจ้าวอสูรกัลย์ปาอสูรอย่างนั้นหรือ? “ สัณหวัชนาคา พูดและถามไปด้วย
“ เจ้าฟังไม่ผิดหรอก พวกนางเป็นผู้ที่ผ่านการคัดเลือกจริงๆ “ มันทยนาคา ตอบ
สัณหวัชนาคา ได้รับคำยืนยันจาก มันทยนาคา จึงมองดู อัคคีนาคา อย่างเต็มตาอีกครั้งในใจนอกจากจะชื่นชมแล้วยังเพิ่มความรักที่มีต่อนางมากขึ้นอีกด้วย
“ คิดไม่ถึงเลยว่าคนที่ข้ารักจะมีความสำคัญมากขนาดนี้ หากว่าข้าสามารถช่วยเหลือนางในการทำศึกนี้ได้ แม้ต้องแลกด้วยชีวิต ข้าก็จะไม่เสียใจเลย “  สัณหวัชนาคา คิดและมุ่งมั่นเหลือเกินว่าไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามเขาจะต้องปกป้องหญิงสาวอันเป็นที่รักของเขาให้ได้
“ เมื่อเสด็จพี่ของหม่อมฉัน แนะนำหม่อมฉันทั้งสองให้กับทุกคนได้รู้จักแล้ว หม่อมฉันจะขอเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนนี้ให้ทุกคนฟัง ขอให้ตั้งใจฟังเรื่องที่หม่อมฉันจะเล่าให้ดีนะเพคะ “ อัคคีนาคา บอกต่อทุกคน
จากนั้นพวกนางทั้งสองต่างพากันเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นพร้อมทั้งอธิบายสถานการณ์ในขณะนี้ให้ฟังหลายคนต่างมีสีหน้าตื่นตกใจเมื่อได้รับรู้เรื่องราวจากพวกนาง
“ พี่คิดไม่ถึงเลยว่าพวกอสูรจะแยกกันออกไปสี่ทางอย่างนี้ พวกเจ้าคงลำบากแย่ที่จะต้องหาทางปกป้องนครถึง๔นครในขณะเดียวกัน “ มันทยนาคา พูดออกมาด้วยความเห็นใจพวกนางและเป็นห่วง อัคคีนาคา ยิ่งนักเพราะกลัวว่าจะพลาดท่าเสียทีให้กับเหล่าอสูร
“ ไม่ต้องห่วงพวกหม่อมฉันหรอกเพคะเจ้าพี่ อย่างไรพวกหม่อมฉันก็จะสู้กับพวกอสูรให้ถึงที่สุด พวกเราทั้ง ๘ คน จะไม่ยอมให้พวกอสูรกำแหงไปมากกว่านี้เพคะ “
คำตอบของ อัคคีนาคา สะดุดความคิดของ มันทยนาคา
“ พวกเราทั้ง ๘ คน???  เจ้าหมายความว่าไง อัคคีนาคา บอกพี่มาสิ? “ มันทยนาคา ถาม
“ เทพผู้ทำหน้าที่ปราบกัลย์ปาอสูร ไม่ได้มี ๗ คนอย่างที่ทุกคนเข้าใจความจริงแล้วมี ๘ คน คนที่ ๘ พวกเราเพิ่งพบกับเขาระหว่างเดินทาง “ มยุราเทวี ตอบแทน
“ เป็นความจริงหรือ? “
“ จริงเพคะเจ้าพี่ เขามีชื่อว่า น้ำทิพย์ที่สาม “ อัคคีนาคา บอก
พอ มันทยนาคา รู้ชื่อของ เทพคนที่ ๘ เท่านั้น มันทยนาคา มีสีหน้าแปลกๆ และทวนชื่อของเขาอย่างช้าๆ
“ น้ำทิพย์ที่สาม ? “
เมื่อเห็นท่าทางของพี่ชายผิดสังเกต อัคคีนาคา ก็อดถามไม่ได้
“ เจ้าพี่ทรงรู้จัก น้ำทิพย์ที่สามหรือเพคะ? “
“ พี่ไม่รู้จักหรอก แต่ถ้าเป็นเสด็จอาอินทรนาคราชหรือเสด็จพ่อคงพอจะรู้อะไรบ้าง แต่ที่แน่ๆ น้ำทิพย์ที่สาม ไม่ใช่น่าจะใช่ชื่อของเขา แต่น่าจะเป็นชื่อตำแหน่งอะไรสักอย่างหนึ่งมากกว่า พวกเจ้าเคยถามเขาบ้างหรือเปล่า? “ มันทยนาคา ถาม
“ พวกข้าเคยถามเขาแล้ว แต่เขาจำเรื่องราวของตัวเองไม่ได้เลย ทุกวันนี้เขาเองก็ยังตรอมใจอยู่กับประวัติความเป็นมาของตัวเอง “ มยุราเทวี บอก พร้อมกับเดินเข้าไปหา บรรณนาคราช ที่นั่งฟังเรื่องราวของพวกนางมานานแล้ว ส่วน มันทยนาคาและคนอื่นๆยังอึ้งอยู่กับคำตอบที่ได้รับ
“ แล้วท่านบรรณนาคราช พอจะรู้เรื่องราวของ น้ำทิพย์ที่สาม บ้างหรือไม่เพคะ? “
“ ตระกูลเทวะ “ บรรณนาคราช กล่าวออกมาอย่างช้าๆ ในแววตาทอประกาย
“ อะไรนะเพคะ? “ มยุราเทวี ถามทวนอีกครั้งหนึ่ง ตั้งแต่นางเกิดมาเพิ่งจะเคยได้ยินชื่อของตระกูลเทวะเป็นครั้งแรก
“ ข้าเองก็ไม่รู้เรื่องราวมากนัก ถ้าข้าเดาไม่ผิดเขาคงเป็นคนของตระกูลเทวะ เรื่องนี้ต้องถาม ท่านสุบรรณ ท่านอินทรนาคราช ท่านอานนทนาคราช และพระพันปีคีตรนาคราช เท่านั้น ถึงจะได้คำตอบ “ บรรณนาคราช ตอบ พร้อมกับลุกขึ้นเล่าเรื่องราวที่พอจะรู้ให้พวกนางฟัง
“ ตระกูลเทวะ เป็นข้ารองบาทของพระนารายณ์มาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล ว่ากันว่าเป็นตระกูลที่แปลกประหลาดมาก ในแต่ละรุ่นจะมีเพียงแค่ ๑ คนเท่านั้นที่จะเป็นผู้นำตระกูลได้ เท่าที่ข้ารู้ ว่ากันว่าต้นตระกูลเทวะเมื่อก่อนเป็นเทพทั้งหมด แต่ต่อมาทายาทรุ่นหลังๆกลับมาหลงรักหญิงสาวในโลกมนุษย์ ทำให้ทายาทรุ่นหลังจากนั้นมีสภาพเป็นกึ่งเทพกึ่งมนุษย์ เรื่องจะจริงเท็จแค่ไหนข้าไม่สามารถยืนยันได้ที่ข้ารู้มาก็แค่คำเล่าขานเท่านั้น “
ถึงแม้จะเป็นแค่คำเล่าขานแต่ก็สามารถยืนยันได้ในระดับหนึ่ง
“ ถ้าที่ท่านบรรณนาคราช กล่าวมาเป็นจริงแล้วละก็ ไม่ผิดแน่นอน น้ำทิพย์ที่สาม เป็นมนุษย์แต่เขามีพลังมากกว่าพวกเราเสียอีก “ มยุราเทวี พูดบอกพลางใช้ความคิด
“ จริงอย่างที่ นกยูง พูด น้ำทิพย์ที่สาม ร้ายกาจมากแค่เขาคนเดียวก็แทบจะถล่มกองทัพอสูรทั้งกองทัพได้แล้ว ยิ่งพลังสิงห์ที่มีอยู่ในตัวของ น้ำทิพย์ที่สาม น่ากลัวจนหม่อมฉันแทบไม่อยากนึกถึง “ อัคคีนาคา พูดพร้อมกับคิดถึงเมื่อตอนครั้งแรกที่นาง มยุราเทวี พยัคฆ์วารี เปมิกา และน้ำทิพย์ที่สามได้พบกันและต่อสู้กันเกือบเป็นเกือบตาย
“ ถ้าเป็นแค่พลังสิงห์ก็ดีสิ “  บรรณนาคราช พูดออกมาเหมือนกับจะแย้งในสิ่งที่นางพบเห็นมา
“ หมายความว่าอย่างไรเพคะ ท่านบรรณนาคราช? “ มยุราเทวี ถามสีหน้าบ่งบอกถึงความสงสัยและไม่เข้าใจในคำพูดของบรรณนาคราช
“ พลังประจำตัวของคนในตระกูลเทวะ แต่ละคนอาจจะเหมือนหรือไม่เหมือนกันก็ได้ ถ้าเจ้าบอกว่า น้ำทิพย์ที่สาม มีพลังสิงห์เป็นพลังประจำตัว พี่น้องคนอื่นๆของเขาอาจจะมีพลัง เป็น คชสีห์ พยัคฆ์ หงส์ ครุฑ หรือแม้กระทั่ง นาคา อย่างพวกเราก็ได้ พลังของคนในตระกูลเทวะไม่มีทางคาดเดาได้เลยว่าจะเป็นพลังในรูปแบบไหน “
“ อะไรนะเพคะ “ สองสาวงามต่างพูดขึ้นพร้อมกัน พวกนางคิดไม่ถึงเลยว่าจะมีเรื่องแบบนี้ในโลกด้วย
“ ก็อย่างที่ข้าบอกนั้นแหละ พวกเจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่พวกเจ้า “ บรรณนาคราช บอกพวกนาง
แม้จะเชื่อยากแต่วิชาของน้ำทิพย์ที่สาม ที่พวกนางเรียนรู้และนำมาใช้ในสายตาของพวกนางก็รู้สึกแปลกประหลาดอยู่แล้ว หรือถ้าจะพูดให้ถูกวิชาของเขาเป็นวิชาที่ผิดแปลกจากวิชาทั่วไปในโลกด้วยซ้ำ
“ พวกเราพักเรื่องของ น้ำทิพย์ที่สามกันก่อนดีกว่า ว่าแต่ว่าพวกเจ้าจัดการอย่างไรต่อไปกับทัพอสูรที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้ “ บรรณนาคราช เอ่ยถามความคิดเห็นของพวกนาง
“ กองทัพที่ยกมาล้อมพวกเราในครั้งนี้มีจำนวนมาก อีกทั้งพวกอสูรมีความสามารถในการรบมากกว่าพวกเราหลายเท่า เท่าที่ทำได้ในตอนนี้ หม่อมฉัน ได้แต่เพียงขอให้เทพพิทักษ์นครกางอาณาเขตพระเวทย์ปกป้องนครเอาไว้และปรุงน้ำทิพย์ไว้ใช้ในยามทำศึกเท่านั้น ตอนแรกหม่อมฉันเป็นห่วงว่าจะมีพวกอสูรสืบข่าวปลอมตัวอยู่ในนครตรีสุวรรณแต่การปรากฏตัวของพวกเหล่าอสูรที่ถูกพวกเราฆ่าตายไปคิดว่าคงจะไม่มีอสูรสืบข่าวหลงเหลืออยู่ในนครแล้วเพคะ “ มยุราเทวี ตอบ
“ อย่างไรก็จะประมาทไม่ได้ ข้าจะให้  สัณหวัชนาคา พาคนใน นาคพันธุ์ ออกตรวจหาพวกอสูรภายในนครว่ายังหลงเหลืออีกหรือไม่? ถ้าเกิดพวกมันหลงเหลืออยู่พวกมันอาจจะหาทางสืบข่าวการศึกของพวกเราส่งไปให้ทัพอสูรที่ล้อมพวกเราอยู่ก็เป็นได้ “ บรรณนาคราช บอกพวกนาง
“ ดี พระเจ้าข้า อย่างน้อยเราก็จะได้หมดห่วงเรื่องภายในนครตรีสุวรรณ จะได้จัดการเรื่องศึกที่อยู่นอกนครเพียงอย่างเดียว“ พระโอรสสุรเสน ทูลบอก ท่านบรรณนาคราช หากแต่สายตายังจับจ้องพวกนางไม่วางตา
ระหว่างนั้นมีอำมาตย์สองคนที่เดินตรวจตราอยู่ภายในนครหลังจากเกิดเหตุการณ์เมื่อครู่ เข้ามาเข้าเฝ้าพระราชาตรีภพ
“ หม่อมฉัน อำมาตย์มนตรี หม่อมฉัน อำมาตย์พัลลภ ถวายบังคมพระเจ้าข้า “
“ ท่านทั้งสองคนมาก็ดีแล้ว ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง? “ พระราชาตรีภพ ทรงตรัสถาม
“ ขอเดชะ สถานการณ์ภายในสงบลงแล้วพระเจ้าข้า แต่ภายนอกนครยังมีเหล่าอสูรล้อมนครของพวกเราไว้อยู่ พระเจ้าข้า “ อำมาตย์มนตรี ทูลถวายรายงาน
“ พวกท่านทั้งสอง มีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับศึกนี้บ้าง “ พระราชาตรีภพทรงตรัสถาม
สองอำมาตย์ใหญ่ต่างอึดอัดที่จะพูดเกี่ยวกับการศึกในที่นี้
“ พวกท่านไม่ต้องเป็นห่วง ทุกคนในที่นี้ล้วนต้องการช่วยเหลือและปกป้องนครตรีสุวรรณทั้งนั้นพวกท่านมีความคิดเห็นอะไรก็บอกมาเถอะ “ พระราชาตรีภพทรงตรัส
“ พระเจ้าข้า “ อำมาตย์ทั้งสองรับพระกระแสรับสั่ง
“ ในการทำศึกแต่ละครั้งเป็นการยากยิ่งนักที่จะสามารถคาดเดาสถานการณ์ต่างๆ ได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นบ้าง สิ่งที่ที่ใช้ในการทำนายศึกมีอยู่ด้วยกัน ๕ ประการ “
อำมาตย์มนตรีพูดบอก อำมาตย์พัลลภ พูดเสริม
“ ปัจจัยทั้ง ๕ ได้แก่ เหตุผล สภาพอากาศ พื้นที่ ขุนพล และกฎ  เหตุผลคือ ความเป็นหนึ่งเดียว สภาพอากาศ คือการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล พื้นที่ คือชัยภูมิ ขุนพล คือ ความสามารถของเหล่าทหาร และสุดท้าย กฎ คือ ข้อบังคับที่เข็มแข็ง “
อัคคีนาคา ฟังคำพูดของ อำมาตย์ทั้งสองรู้สึกปวดหัวจนต้องร้องห้าม
“ พอๆก่อน ข้างงไปหมดแล้วมันเกี่ยวอะไรกับการทำนายการทำศึกด้วย “
อำมาตย์พัลลภ อธิบายให้ฟัง
“ ในการทำศึกแต่ละครั้งจะต้องมีเหตุผลในการทำศึกที่ชัดเจนแน่นอนเป็นหนึ่งเดียวว่าทำศึกเพื่ออะไรเพื่อรวมใจของผู้คนให้ต่อต้านข้าศึกที่เข้ามารุกราน นอกจากนั้นต้องวิเคราะห์สภาพอากาศและสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยว่าขณะนี้เราได้เปรียบหรือเสียเปรียบในด้านใด ชัยภูมิที่ดีจะมีผลในการรบไม่ว่าจะตั้งรับหรือรุกรนถอยรวมถึงความสมบูรณ์ของแหล่งน้ำและเสบียงอาหาร ขุนพลมีหน้าที่ทำยุทธวิธีต่อสู้กับเหล่าศัตรูโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนร่วมและการใช้กำลังรบอย่างมีประสิทธิภาพ กฎเป็นข้อบังคับเพื่อจะควบคุมการเหล่าทหารให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัด “
“ หากว่าปัจจัยทั้ง ๕ ไม่เป็นไปตามที่ควรจะเป็นจะทำให้การทำศึกแต่ละครั้งพวกเราไม่อาจจะกำชัยชนะได้เลย “ อำมาตย์มนตรี บอกพวกนาง
“ ถ้าอย่างนั้นในสมรภูมิความเร็วและความคล่องตัวในการเดินทัพล้วนเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินแพ้ชนะใช่หรือไม่? “ มยุราเทวี ถามอำมาตย์ทั้งสอง
“ ใช่แล้ว พระเจ้าข้า “
“ นกยูง นี้เจ้าก็เข้าใจด้วยเหรอ? “ อัคคีนาคา ถามขณะสีหน้ายังงงและสงสัยอยู่
“ อืม “ มยุราเทวี ตอบพลางพูดต่อไป
“ เมื่อใช้หลักปัจจัยทั้ง ๕ ในตอนนี้เราเสียเปรียบพวกอสูรทางด้านกำลังทหาร กำลังของพวกเราอสูรมีมากกว่าพวกเราและความสามารถในการรบยังเหนือกว่าพวกเรามาก อุปมาอุปไมย เหมือนกองโจรใหญ่ที่มีฝีมือรอบตัว เหล่าสมุนโจรแต่ละคนล้วนเชี่ยวชาญในการปล้นและมีความเร็วในการหลบหนีมาก ฉะนั้น..... “
“ ฉะนั้นถ้าจะกำจัดโจรใหญ่ต้องเปลี่ยนให้ตัวเองเป็นโจรเสียก่อนใช่ไหม? “ อัคคีนาคา ถาม
“ เข้าใจอะไรเร็วดีนี้ “  มยุราเทวี ยิ้มให้กับ อัคคีนาคา นางรู้สึกว่า อัคคีนาคา เป็นเด็กที่หัวไวกว่าที่นางคิดเสียอีก
“ สิ่งที่เราเสียเปรียบในขณะนี้กองกำลังที่มีประสิทธิภาพในการรบกับเหล่าอสูร พูดง่ายๆ ก็คือ เหล่าเสียเปรียบทางด้านกำลังทหาร ก่อนอื่นเราต้องหากำลังทหารที่พอต่อสู้ได้ทัดเทียมกับเหล่าอสูรเสียก่อน “ มยุราเทวี บอกทุกคน และหันมาถาม บรรณนาคราช
“ ท่านบรรณนาคราช เพคะ กำลังทหารของนครนาคพันธุ์มีจำนวนเท่าไรเพคะ “
“ ในตอนนี้มีประมาณแค่ ๑๐๐,๐๐๐ เท่านั้น “ บรรณนาคราช ตอบ
“ ถ้าเทียบตอนที่ วัลวากี ยกทัพมาแค่ ๑ ใน ๕ ของ ทัพอสูร “ มยุราเทวี เริ่มคิดหนัก
“ ข้าพอมีวิธีจะหากำลังเสริมได้ “
เสียงของ ธรรพ์ธร ปลุกทุกคนให้หันหน้าไปหาเขา
“ ข้าจะลอบกลับไปที่ป่า หิมพานต์  รวบรวมเหล่าคนธรรพ์และวิทยาธร ที่มีอยู่มาช่วยรบในศึกครั้งนี้อีกแรงหนึ่ง “
“ พวกเขาจะยอมช่วยพวกเราอย่างนั้นหรือ? “ มยุราเทวี ถาม
“ ต้องลองดูก่อน อย่างน้อยคนธรรพ์หรือวิทยาธร ๑ ตน คงพอจะสู้กับเหล่าอสูรได้ ๑๐-๑๕ ตน ถ้าพวกเขายอมตามมาช่วยละก็ ข้าคิดว่าศึกนี้โอกาสชนะของพวกเรามีมากกว่าแพ้ “
“ งั้นพวกข้าขอฝากความหวังไว้ที่ท่านด้วย “ มยุราเทวี กล่าว
“ ไม่ต้องห่วง ข้าจะพยามยามอย่างเต็มที่ คิดว่าไม่น่าจะใช้เวลาเกิน ๔ วัน “ ธรรพ์ธร บอกต่อพวกนางในใจรู้สึกดีใจอย่างยิ่งที่พวกนางเชื่อใจเขา
“ ๔ วันงั้นหรือ? ดี ระหว่างนี้ข้ากับนกยูงจะลองต้านทัพอสูรดูสักตั้ง ดูสิว่าพวกมันจะร้ายกาจแค่ไหน? “ อัคคีนาคา พูดคล้ายกับว่าจะให้ความเชื่อมั่นกับทุกคนว่าพวกนางสามารถจะจัดการกับทัพอสูรที่ล้อมนครอยู่ได้ท่าทางของนางเหมือนพร้อมรบอย่างเต็มที่
“ พระองค์เพคะ หม่อมฉันมีเรื่องขอร้องเพคะ “ มยุราเทวี ทูลขอความช่วยเหลือจากพระราชาตรีภพ
“ มยุราเทวี เจ้ามีเรื่องอะไรจะขอร้องเราอย่างนั้นหรือ? “ พระราชตรีภพทรงตรัสถาม
“ หม่อมฉันอยากจะทูลขอต่อพระองค์ให้หม่อมฉันทั้งสองคน มีสิทธิ์เด็ดขาดในการบัญชาการรบในศึกครั้งนี้ และหม่อมฉันอยากให้ท่านอำมาตย์ทั้งสองเป็นที่ปรึกษาของพวกหม่อมฉันด้วยเพคะ “
“ ไม่มีปัญหา เรื่องนั้นเราให้เจ้าได้ตามที่ต้องการ “  พระราชาตรีภพทรงยอมตามที่ มยุราเทวี ต้องการในทันที
พระโอรสฟ้าคำรณ ฟังเรื่องราวมานานแล้วก็ขอเสนอความคิดเห็นบ้าง
“ เสด็จพ่อ พระเจ้าข้า หม่อมฉันคิดว่าจะเราควรจัดเตรียมตำหนักที่ประทับให้พระธิดาทั้งสองพักในเขตวังหลวงและใช้เป็นที่บัญชาการรบดีไหม? พระเจ้าข้า “
พระราชาตรีภพยังไม่ทันตรัสอะไร อัคคีนาคา เอ่ยขัดเสียก่อน
“ ขอบพระทัยเพคะ พระโอรสฟ้าคำรณ หม่อมฉันและนกยูงขออยู่ที่เดิมจะดีกว่าเพราะสามารถไปมาได้สะดวกในการปรึกษากับท่านอำมาตย์และดูแลเกี่ยวกับเรื่องการศึกได้มากกว่าอยู่ในวังหลวงเพคะ “
พระโอรสฟ้าคำรณ มีสีหน้าสลดลงเพราะเสียดายที่จะไม่ได้อยู่ใกล้ชิดพวกนาง
“ อย่างนั้นเราก็ตามใจเจ้า แต่เราจะให้ทหารไปเฝ้าดูแลอารักขาที่พักของพวกเจ้า ส่วนเรื่องอาหารเราจะให้นางกำนัลในวังจัดไปให้ก็แล้วกัน “ พระราชาตรีภพทรงตรัสบอกพวกนาง
“ ขอบพระทัยเพคะ “
เมื่อทุกอย่างตกลงกันได้แล้ว มยุราเทวี และ อัคคีนาคา ก็ขอตัวกลับไปที่บ้านยายผินโดยตัวของยายผินนั้นได้กลับบ้านไปก่อนแล้ว ส่วน ธรรพ์ธร ทูลลา ท่านบรรณนาคราช กลับไปที่ป่าหิมพานต์ ในทันที เพื่อไปรวบรวมเหล่าคนธรรพ์และวิทยาธรมาช่วยเหลือนครตรีสุวรรณ โดยมี ยุพารี พูดคุยกับเขาด้วยความเป็นห่วง
“ ทรงระวังพระองค์ให้ดีนะเพคะเจ้าพี่  “  ยุพารี บอก ธรรพ์ธรด้วยความเป็นห่วงยิ่งนัก
“ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก พี่จะรีบกลับมา พี่ไปละนะ “  ธรรพ์ธร บอกลา ยุพารี แล้วรีบออกเดินทางทันที
ทางพระโอรสสุรเสนและพระโอรสฟ้าคำรณมีเรื่องที่ต้องจัดการเกี่ยวกับงานพิธิอภิเษกสมรสที่ต้องหยุดไปไม่อาจปลีกตัวไปไหนได้  ฝ่ายท่านบรรณนาคราช พร้อมด้วย มันทยนาคา ออกจากนครตรีสุวรรณกลับไปที่นครนาคพันธุ์เพื่อจัดกำลังทหารมาช่วยเหลือนครตรีสุวรรณ โดยมี สัณหวัชนาคา และ ยุพารี ตามกลับไปด้วย ทางสองสาวงามเดินทางกลับมายังบ้านยายผินระหว่างทาง มยุราเทวี พูดกระเซ้าเหย่าแหย่ อัคคีนาคา ตลอดทาง
“ บอกข้ามาซะดีๆ ว่าเจ้าไปมีอะไรกับลูกชายของท่านบรรณนาคราช ตั้งแต่เมื่อไร? “
“ พูดให้ดีๆนะ นกยูง “ อัคคีนาคา พูดขู่ แต่ มยุราเทวี หากลัวไม่
“ แล้วเจ้าจะให้ข้าคิดอย่างไงละ? อยู่ๆก็มีชายรูปงามที่ไหนไม่รู้มาจับมือเจ้าโดยที่เจ้าไม่คิดจะตอบโต้เขาบ้างเลย “ มยุราเทวี ลองหยั่งเชิงดู
“ ไม่ใช่ข้าไม่คิดจะโต้ตอบเขาแต่ข้ากำลังตกใจอยู่ต่างหากเลยไม่ทันได้ทำอะไร “ อัคคีนาคาแก้ตัว
“ ตีข้าให้ตายข้าก็ไม่เชื่อ ท่าทางเขาเหมือนรู้จักเจ้ามาตั้งนานแล้ว “
“ นานอะไรเพิ่งเจอกันแค่ ๒-๓ วันเอง อุ้ย!“
มยุราเทวี หูผึ่งขึ้นมาทันทีเมื่อรู้ว่า อัคคีนาคา รู้จักกับ สัณหวัชนาคา มาก่อน ส่วน อัคคีนาคา ตกใจที่นางเผลอพูดออกมาให้ มยุราเทวี ได้ยินจนต้องเอามือปิดปากตนเอง
“ นั้นไง ในที่สุดก็เผลอออกมาแล้ว บอกข้ามาซะดีๆ ว่าเขามาสารภาพรักเจ้าหรือยัง? “
“ บ้าสิ นกยูง อีตาบ้านั้นนะให้ข้าฟรีๆข้ายังไม่อยากได้เลย “ ใบหน้าของ อัคคีนาคา เริ่มแดงระเรื่อขึ้นมาอีกครั้ง
“ แน่ใจนะถ้าเจ้าไม่ชอบเจ้ายกให้ข้าก็ได้นะ “ มยุราเทวี ยังแหย่ อัคคีนาคา ไม่เลิก
“ ก็แล้วแต่เจ้าสิ มาถามข้าทำไม? “ อัคคีนาคา แกล้งทำเป็นไม่สนใจ แต่แท้ที่จริงแล้วในใจก็รู้สึกแปลกๆเมื่อ มยุราเทวี ถามเช่นนั้น
“ ต้องถามเจ้าสิ เพราะสุดที่รักของเจ้ามาโน่นแล้ว คุยกันตามสบายนะ “
มยุราเทวี บอก อัคคีนาคา พร้อมกับปลีกตัวหนีไป ปล่อยให้ อัคคีนาคา เผชิญหน้าอยู่กับ สัณหวัชนาคา เพียงลำพังสองคน
“ เดี๋ยวก่อน นกยูง รอข้าด้วย “
อัคคีนาคา วิ่งตาม มยุราเทวี ไปหากแต่โดน สัณหวัชนาคา จับตัวไว้
“ ปล่อยข้านะ ท่านถือดีอย่างไงถึงมาจับตัวข้า “ อัคคีนาคา ไม่พูดเปล่า ดิ้นรนไปมาเพื่อให้หลุดจากมือของสัณหวัชนาคา จนเขาต้องเปลี่ยนจากจับตัวนางมากอดนางไว้แทน
“ เจ้าจะรีบไปไหน ข้ามีเรื่องที่จะคุยกับเจ้า “ สัณหวัชนาคาบอก
“ แต่ข้าไม่มีอะไร จะคุยกับท่าน ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะไม่อย่างนั้นได้เห็นดีกันแน่“ อัคคีนาคาตอบ พลางขู่เขา
“ ต่อให้เจ้าฆ่าข้าให้ตาย ข้าก็ไม่ปล่อยเจ้าไปหรอก “ สัณหวัชนาคา พูดอย่างจริงจัง มองหน้าของ อัคคีนาคา อย่างไม่วางตา
ฝ่าย อัคคีนาคา อ่อนอกอ่อนใจกับบุรุษผู้นี้เหลือเกินไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรจากตัวของนาง ถึงได้ทำแบบนี้
“ ท่านต้องการอะไรกันแน่? ถึงทำกับข้าแบบนี้ ข้าไม่ใช่นางสนมของท่านนะ ที่อยู่ๆท่านจะมาจับมากอดได้ตามอำเภอใจ “ อัคคีนาคา น้ำคลอ เป็นครั้งแรกที่นางร้องไห้ออกมาเพราะถูกดูถูกอย่างร้ายกาจจากการกระทำของเขา
สัณหวัชนาคา เหมือนจะรู้สึกตัวเมื่อเห็นน้ำตาของ อัคคีนาคา รีบปล่อยตัวของนางจากอ้อมกอดของตนเอง
“ ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้ ข้าเพียงอยากพูดคุยกับเจ้าเท่านั้นเอง “
“ ท่านพูดออกมาได้ไม่อายปากหรือว่า ไม่ตั้งใจ ข้า อัคคีนาคา เป็นลูกมีพ่อมีแม่ ท่านทำอย่างกับว่าข้าเป็นสิ่งของที่อยู่ข้างทาง นึกจะหยิบ ก็หยิบขึ้นมาเล่น นึกจะทิ้งขวาง ก็โยนลงข้างทาง เสียแรงที่ท่านเป็นถึงลูกชายของ ท่านบรรณนาคราช ผู้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ทรงคุณธรรมนัก หากแต่การกระทำของท่านไม่ต่างจากเหล่าอสูรที่ชั่วช้าเหล่านั้นเลย “  อัคคีนาคา ระบายความคับข้องในใจที่มีตัวเขาออกมาอย่างมากมาย ส่วนตัวของ สัณหวัชนาคา เองถูกคนที่เขารักต่อว่าต่อขานเช่นนี้ก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน
“ ข้าไม่เคยคิดที่จะดูถูกเจ้า ข้าเพียงแต่อยากพูดคุยกับเจ้า ใกล้ชิดเจ้าเท่านั้น ข้าไม่เคยคิดว่าสิ่งที่ข้าทำลงไปจะทำให้เจ้าโกรธข้ามากขนาดนี้ “ สัณหวัชนาคา พูดออกมาอย่างจริงใจหากแต่ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น
“ ท่านเคยเห็นแก้วหรือเปล่า? เวลาท่านทำแก้วแตกไปแล้ว แล้วนำเศษเสี้ยวของมันมาประกบกันแล้วมันจะดีดั่งเดิมอย่างนั้นหรือ? ถึงท่านบอกว่าไม่ได้ตั้งใจคนอื่นมาเห็นใครเล่าจะเชื่อ  เมื่อใครอื่นมาเห็นท่านทำกับข้าอย่างนี้ ชื่อเสียงของตัวข้า พ่อและแม่ข้าจะไม่มั่วมองอย่างนั้นหรือ? ตั้งแต่ข้าเกิดมาข้าไม่เคยเกลียดใครมากที่สุดเท่าท่านเลย ข้าเกลียด ข้าเกลียดท่านที่สุด “ อัคคีนาคา พูดจบแล้วก็วิ่งหนีจากไปสายน้ำตาของนางยังหลุดลอยออกมาเป็นเงาจางๆให้ได้เห็น
“ อัคคีนาคา ข้าไม่ได้ตั้งใจ ที่ข้าทำไปทั้งหมดเพราะข้ารักเจ้า “ สัณหวัชนาคา วิ่งไล่ตามนางไปและตระโกนบอกนางไปด้วย
ถึงแม้อัคคีนาคาจะได้ยินที่ สัณหวัชนาคา พูด แต่ในตอนนี้นางเกลียดเขามากจนไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น นางใช้มือทั้งสองข้างปิดหูของตัวเองไม่ต้องการรู้หรือได้ยินอะไรอีก นางต้องการเพียงอย่างเดียวคือ หนี วิ่งหนีจากเขาไปให้เร็วและไกลที่สุด สัณหวัชนาคา เห็นท่าทางของนางแล้วรู้สึกเจ็บปวดจนหยุดวิ่งไล่ตาม ในใจเหมือนจะแหลกสลายเป็นผุยผง
“ โธ่เว้ย นี้ข้าทำอะไรลงไปนี้ “
สัณหวัชนาคา ทรุดตัวลงใช้มือทั้งสองข้างทุบลงที่พื้นอย่างบ้าคลั่ง ในตอนแรกเขาคิดว่า มันทยนาคา จะเป็นคนที่ทำให้เขากับ อัคคีนาคา ไม่สามารถจะรักกันได้เสียอีก แต่จริงๆแล้วเขาโง่ถนัด ตัวของเขาเองต่างหากที่เป็นอุปสรรคทำให้ความรักระหว่างเขาและ อัคคีนาคา ไม่อาจเกิดผลได้
สถานการ์ความรักของ สัณหวัชนาคา และ อัคคีนาคา ว่าย่ำแย่แล้วแต่สถานการณ์อีกที่หนึ่งย่ำแย่ไม่น้อยกว่ากันเลย ในป่าลึกแห่งหนึ่งมีร่างใครคนหนึ่งนอนอยู่ ตามร่างกายมีบาดแผลน้อยใหญ่อยู่ทั่วตัว ข้างๆ เขามีหญิงสาวหน้าตางดงามกำลังคอยดูแลเขาอยู่ เสียงสะอื้นไห้ของนางยังดังออกมาไม่ขาดสาย
“ เจ้าอย่าตายนะ อย่าตาย ฮือๆๆ “
แสงไฟจากที่นางก่อกองไฟเอาไว้สาดส่องจนทำให้เห็นใบหน้าของนางอย่างเด็ดชัด นางฟ้าสาวแสนสวยผู้เป็นเพื่อนรักของ อนันตวาโย
“ นันทาเทพธิดา “
นางใช้มือทั้งสองข้างเขย่าร่างที่ยังนอนนิ่งไม่ไหวติง พร่ำรำพันออกมาไม่ขาดสายคราบน้ำตายังไหลเป็นทางไม่หยุด ร่างชายหนุ่มที่นอนเหยีดยาวตรงนั้นดูคุ้นหน้าเหลือเกิน เพียงนางขยับตัวเพียงนิดเดียวแสงไฟก็กระทบให้ได้เห็นใบหน้าของเขา
“ ตรัยสูร “
ตรัยสูร บาดเจ็บสาหัส นันทาเทพธิดา กำลังช่วยรักษาเขาอยู่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
“ ฟื้นสิ เจ้าอย่าทำอย่างนี้ อย่าทำให้ข้าตกใจ เจ้าจะตายไม่ได้นะ ลุกขึ้นมาพูดกับข้า ฟื้นสิ ลุกขึ้นมานะ“ นางเขย่าที่นอนนิ่งอยู่สุดแรง สีหน้าของชายหนุ่มขาวซีดเหมือนคนใกล้ตาย เพียงครู่เดียวสีหน้าของเขากระอักกระอ่วนบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ก่อนอ้วกเลือดคำโตออกมา
“ อ๊อค “
“ ตรัย.....!!! “ นันทาเทพธิดา ถึงกับร้องเสียงหลงทำอะไรไม่ถูก
นี้มันเกิดอะไรขึ้น??? ตรัยสูร กับ นันทาเทพธิดา กำลังเดินทางไปที่ นครศรีบุรีรมย์ เพื่อปกป้อง นครศรีบุรีรมย์ จากการบุกยึดของทัพอสูรที่มีนายกองอสูรจงคละ เป็นผู้นำมิใช่หรือ? แล้วเหตุใดเขาถึงได้รับบาดเจ็บปางตายเช่นนี้? คนที่ทำร้ายเขาเป็นใครกันแน่? หรือว่า ตรัยสูร จะไม่มีโอกาสได้กลับมาพบหน้ากับเหล่าเพื่อนพ้องอีกแล้ว แล้วความรักของ สัณหวัชนาคา และ อัคคีนาคา จะลงเอยเช่นใดเล่า? ใครกันจะเป็นผู้บอกได้?
จบตอนที่ ๑๑ ครับ อันนี้ต้องขอบคุณ คุณซีเรียที่ได้เขียนบทความตำราพิชัยสงครามซุ่นอู่ เอาไว้ เพราะผมอ่านจากของเก่าเขาใช้ ธง ฟ้า ดิน ขุนพล กฎ อ่านแล้วงงจนแทบนำมาเขียนไม่ถูกเลย พอได้อ่านจากคุณซีเรีย เข้าใจขึ้นเยอะเลยครับ ^_^
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น