ลำดับตอนที่ #15
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : แนวร่วมเดียวกัน
ศึกเทพอสูรมหาสงคราม
ตอนที่ ๑๕ แนวร่วมเดียวกัน
   
    เปมิกา เหมือนดั่งพยัคฆ์หลุดจากกรง เล่นงานคนนับสิบที่เข้ามาต่อสู้กับนางจนคนเหล่านั้นลงไปนอนกองอยู่กับพื้น เป้าหมายของนางอยู่ที่คนที่มีผ้าโผกหัวสีแดง ฝ่ายคนลึกลับเห็นลูกน้องที่ตัวเองพามาแพ้นางอย่างยับเยินก็โมโหเป็นอย่างยิ่ง
“ อย่าเพิ่งได้ใจ “
ชายผู้โผกผ้าสีแดง ฟาดฟันดาบเข้ามาอย่างรวดเร็ว แต่ฝ่ายอสูรสาวใจถึงกว่า รอให้กระบวนดาบจวนจะถึงตัวจึงค่อยเอี้ยวตัวหลบ
“ กระจอกสิ้นดี “
ร่างที่พุ่งเข้ามาอย่างเร็วเมื่อไม่ถูกเป้าหมายก็เสียจังหวะ เปมิกา ได้โอกาสใช้สันดาบซัดเข้าที่กลางหลังของอีกฝ่ายจนกระอักเลือด
“ อ๊อค “
พยัคฆ์วารีเห็น เปมิกา ทำรุนแรงไปหน่อยก็ตะโกนบอกพลางต่อสู้กับกลุ่มคนที่เข้ามาเล่นงานเขาอย่างใจเย็น
“ ดวงใจมาร เอาแค่ พอหอมปากหอมคอ ก็พอ อย่าเอาให้ถึงตาย เดี๋ยวจะไม่รู้ว่าพวกมันเป็นพวกไหนกัน? “
กลุ่มคนที่ต่อสู้กับ พยัคฆ์วารี ตาแทบจะลุกเป็นไฟ เมื่อเห็นผู้ที่ต่อสู้ด้วยไม่มีท่าทีสนใจพวกเขาเลย แถม ๑ ต่อ ๖ ยังรุกมากกว่ารับ
“ ดูถูกกันมากไปแล้ว “ คน ๖ คนระดมฟันพยัคฆ์วารีไม่ยั้ง
“ เคร้งๆๆๆ ”
“ ดูถูกดีกว่าดูผิด “
พยัคฆ์วารีตอบกลับ ใช้ดาบคู่เขี้ยวพยัคฆ์ โต้กลับอย่างรุนแรงจนอาวุธของทั้ง ๖ หักสะบั้น
“ เปรี๊ยะ “
“ ดาบข้า “
๑ ใน ๖ พูดได้แค่นั้น ก็เจอเท้าของ พยัคฆ์วารี เตะเข้าที่ก้านคอทีเดียว ล้มลงเหมือนต้นไม้ที่ถูกคนโค่นหัก ส่วนที่เหลือถูกดาบคู่ของ พยัคฆ์วารี ฟันจนเลือดท่วมตัวล้มระเนระนาดไปตามๆกัน พวกเขาทั้งหมดต่างส่งเสียงร้องโอดโอย
“ โอยๆๆ “
ทางด้านชายโผกผ้าสีแดง ก็ใช้ดาบต้านรับ เปมิกา อย่างทุลักทุเล
“ ผู้หญิงบ้าอะไรวะ ฟันดาบเร็วยังกะฟ้าแลบ แถมแรงยังกะช้างทั้งโขลง “
ชายโผกผ้าสีแดง ต้านรับนางได้อีกแค่ดาบเดียว ดาบก็หักลง อีกทั้งแรงที่มหาศาลของนางยังส่งให้ร่างของเขากระเด็นกลิ้งไป ๒-๓ ตลบ เจ้าของร่างพยายามใช้ดาบที่หักพยุงตัวลุกขึ้นมาอีกครั้ง แต่ดาบของ เปมิกา ก็จ่อมาที่คอหอยแล้ว
“ เอาละที่นี้ตอบคำถามข้ามาเสียดีๆว่าแอบตามพวกข้ามาทำไม? “ เปมิกา ไม่พูดเปล่ายังขยับดาบเข้าที่คอหอยของอีกฝ่ายจนเลือดไหลซิบๆ
“ ชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นโจร จะฆ่าก็ฆ่า ถึงถามให้ตายข้าก็ไม่บอก “
เปมิกา ขมวดคิ้วใช้ความคิด
“ เจ้านี้ ใจแข็งกว่าที่คิดไว้เสียอีก งั้นต้องเล่นแบบนี้แล้ว “ เปมิกา พยักหน้าให้ พยัคฆ์วารี เข้ามาหานาง
“ ข้าว่า ไอ้หมอนี้ ท่าทางหัวแข็งกว่าที่คิดไว้เสียอีก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ข้าถามมันหนึ่งคำถาม หากมันไม่ตอบ เจ้าฆ่าลูกน้องมันหนึ่งคน ถ้ามันยังไม่ตอบอีกก็ฆ่าไปเรื่อยๆจนกว่ามันจะตอบ “
ชายโผกผ้าสีแดง ได้ยินถึงกับจ้องมอง เปมิกา ดวงตาแทบจะหลุดจากเบ้า
“ นางปีศาจ “
ไม่ทันขาดคำ ฝ่าเท้าของนางก็กระแทกยอดอกคนที่นอนอยู่เข้าเต็มเปา เลือดพุ่งออกจากปากราวกับเขื่อนแตก
“ อ๊อค “
“ น้อยๆ หน่อย อย่าพูดอะไรที่ไม่เข้าหูข้า ข้าเป็นประเภทพวกความอดทนมีจำกัด หากทำให้ข้าโมโหขึ้นมา เจ้าจะทรมานยิ่งกว่าตายเสียอีก รีบตอบคำถามข้ามาเดี๋ยวนี้ “
เมื่อชีวิตของลูกน้องตกอยู่ในมือของนาง ย่อมไม่มีทางหลีกเหลี่ยง
“ ก็ได้ ข้าจะตอบเจ้า พวกข้าแอบติดตามพวกเจ้าสองเพื่อที่จะลงมือจับพวกเจ้า “
“ จับพวกข้า? “
เปมิกา ทวนคำตอบ และถามต่อไป
“ จับพวกข้าไปทำไม? “
“ รู้อยู่แล้วจะถามข้าอีกทำไม? “
“ พูดอะไรให้ข้าฟังเข้าใจง่ายๆหน่อย ไม่ได้หรือไง? “
เปมิกา หงุดหงิดเป็นยิ่งนัก แทนที่จะได้รับคำตอบกลับได้รับคำถามกลับมา ถ้าหากนางไม่ยั้งใจไว้แล้ว ปานนี้เจ้าหมอนี้คงนอนจมกองเลือดเป็นแน่
“ นี้เจ้าไม่ใช่พวกมันหรอกหรือ? “
“ พวกมันนะพวกไหน? “ เปมิกา ก้มหน้าลงไปถาม นางเริ่มสงสัยอะไรบางอย่างขึ้นมา
“ ก็พวกอสูรจากกองทัพอสูรนะสิ “ ชายโผกผ้าสีแดง ตอบนาง
“ เจ้ารู้เรื่องกองทัพอสูรของนายกองอสูรเชวาที่ถูกส่งมายึดนครอัญจารี ด้วยหรือ? “
ชายโผกผ้าสีแดง มองนางตาแทบทะลุ
“ โกหกข้าชัดๆ ถ้าเจ้าไม่ใช่พวกเดียวกับมันจะรู้เรื่องได้อย่างไร แล้วยังจะมาบอกข้าว่าไม่รู้เรื่องอีกหรือ? “
เปมิกา จับคอเสื้อของอีกฝ่ายกระชากตัวเขาเข้ามาใกล้นาง ก่อนตวาดกลับ
“ สมองมีไว้เก็บขี้เลื่อยหรือไง? หัดใช้ความคิดบ้างสิ ถ้าข้าเป็นพวกเดียวกับนายกองอสูรเชวา ข้าจะถามเจ้าให้เสียเวลาทำไม บอกข้ามาสิว่าเจ้าเป็นใครกัน? “
ในทีแรกชายโผกผ้าสีแดงมีท่าทีสงสัยในตัวของ พยัคฆ์วารี และ เปมิกา แต่เมื่อได้ฟังในสิ่งที่นางพูดเริ่มจะมีความคิดคล้อยตามจึงบอกความจริงออกมา
“ ข้าชื่อ หัวหมู่เหล็ก เป็นทหารของนครอัญจารี ท่านอำมาตย์ สุรชาติ เจ้านายข้าได้รับข่าวมาจากกองลาดตะเวนว่า มีกองทัพอสูรกำลังมุ่งหน้ามาที่นครของพวกเรา จึงให้ข้าพาทหารจำนวนหนึ่งแอบดูความเคลื่อนไหวของพวกอสูรที่อาจจะแฝงตัวเข้ามาในนคร หากเป็นไปได้ก็ให้จับตัวพวกมันมาเพื่อสอบถามการเคลื่อนพลของกองทัพอสูร “
พยัคฆ์วารี ถึงกลับหัวเราะออกมา
“ ฮะๆ พวกเจ้าทุ่มเทกันแทบเป็นแทบตาย กลับจับผิดคนแบบนี้ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย เอาละ ข้าจะช่วยรักษาพวกเจ้าก่อนก็แล้วกัน “
พยัคฆ์วารี โอมอ่านพระเวทย์อันศักดิ์สิทธิ์ของเสด็จพ่อ เพียงครู่เดียวคนนับสิบที่ได้รับบาดเจ็บต่างก็หายเป็นปลิดทิ้ง
“ ข้าสองคนอยากพบ ท่านอำมาตย์สุรชาติ พวกเจ้าจะพาพวกข้าไปพบได้หรือไม่? “ พยัคฆ์วารี ถามพร้อมเก็บอาวุธของตนเอง ฝ่ายเปมิกา ก็เก็บอาวุธของนางเช่นกัน
ทุกคนต่างมองหน้ากันคล้ายกำลังคิดว่าจะพา เปมิกา และ พยัคฆ์วารี ไปพบอำมาตย์สุรชาติ ดีหรือไม่?
“ ถึงข้าจะไม่แน่ใจความเป็นมาของพวกท่าน แต่จากที่พวกท่านช่วยรักษาอาการให้กับพวกข้า อย่างน้อยพวกท่านคงไม่ใช่พวกอสูรเหล่านั้นแน่ ตามข้ามา ข้าจะพาท่านทั้งสองไปพบกับท่านอำมาตย์สุรชาติ นายของข้า “
หัวหมู่เหล็ก และลูกน้องพา พยัคฆ์วารี และ เปมิกา มุ่งไปยังทางทิศเหนือเพื่อพาไปพบกับ อำมาตย์สุรชาติ ผ่านต้นไม้น้อยใหญ่ไปหลายต้น จวบจนเวลาล่วงเลยไปครู่ใหญ่ ทั้งหมดจึงมาถึงที่กระท่อมหลังหนึ่ง หัวหมู่เหล็กส่งเสียงเป็นรหัสลับรอจนมีเสียงรหัสตอบกลับจึงพากันเดินเข้าไป ก่อนที่จะถึงที่หมาย ประตูกระท่อมก็เปิดออกพร้อมกับคนๆหนึ่งยืนอยู่ที่หน้าประตูเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างกำยำแต่งกายเหมือนขุนนางในวัง
“ เจ้าเหล็ก เองหรือ? “ ชายคนนั้นถาม
“ ขอรับ ท่านอำมาตย์ “ หัวหมู่เหล็กตอบ
คนที่ยืนอยู่ที่หน้าประตูก็คือ อำมาตย์สุรชาติ นั้นเอง เขาใช้สายตากวาดมองรอบๆ ก็พบคนแปลกหน้าสองคน
“ สองคนนั้นใครกัน? “
“ คนที่พวกข้าไล่ตามจับขอรับ แต่พวกข้าสู้เขาและนางไม่ได้ ตอนแรกพวกข้าคิดว่าเขาและนางจะเป็นพวกอสูรปลอมตัวมา แต่จากที่ข้าได้พูดคุยกับทั้งสองคนคิดว่าไม่ใช่ขอรับ “
อำมาตย์สุรชาติ ยังมีท่าทีสงสัยในตัวของ พยัคฆ์วารี และ เปมิกา อยู่ยังจ้องมองทั้งสองแบบไม่ลดละทั้งยังผนึกพลังพระเวทย์เตรียมพร้อม
“ ก็ไม่เชิงหรอกนะ หัวหมู่เหล็ก ถึงเพื่อนข้าจะไม่ใช่อสูร แต่ตัวข้าใช่ จะผิดกันนิดหน่อยก็ต้องที่พวกข้าไม่ได้ปลอมตัวเข้ามาแต่ตั้งใจเข้ามาต่างหาก ” เปมิกาบอก
พอ หัวหมู่เหล็ก รู้ว่านางเป็นอสูรก็รีบวิ่งเข้าไปยืนเคียงข้างอยู่กับ อำมาตย์สุรชาติ ส่วนลูกน้องที่เหลือต่างเรียงแถวหน้ากระดานเข้ามาปกป้องนายทั้งที่ไม่มีอาวุธในมือ
“ท่านอำมาตย์สุรชาติ บอกคนของท่านด้วยว่าไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นก็ได้ หากข้าสองคนคิดทำร้ายท่าน พวกข้าคงทำตั้งแต่ตอนที่ท่านยืนอยู่ที่หน้าประตูกระท่อมแล้ว” พยัคฆ์วารีกล่าว
“ พวกเจ้าสองคนต้องการอะไร? “ อำมาตย์สุรชาติ ยังไม่มีทีท่าที่จะไว้ใจพวกเขา ขึ้นชื่อว่าอสูรก็เหมือนอสรพิษร้ายหากไม่ระวังความตายก็อาจมาเยือนได้โดยไม่รู้ตัว
“ พวกข้าไม่ได้ต้องการอะไรจากท่านหรอก แต่พวกข้ามีจุดประสงค์เดียวกันกับท่านต่างหาก ” อสูรสาวบอกจุดมุ่งหมายของนางให้อีกฝ่ายได้รู้
อำมาตย์สุรชาติ ฉงนใจเป็นยิ่งนัก คิดแล้วก็ไม่เข้าใจ เหตุใดอสูรถึงได้ทำร้ายกันเอง
“ หรือว่านี้เป็นแผนให้พวกเราตายใจ? “ อำมาตย์สุรชาติคิด
พยัคฆ์วารี เห็นว่า อำมาตย์สุรชาติ ยังไม่เชื่อใจพวกเขาจึงพูดถึงเรื่องของ ๓ นครที่เหลือ
“ ท่านอำมาตย์ รู้หรือไหมว่าทัพอสูรที่ยกมาคราวนี้มีกี่กองทัพ?”
“ ข้าไม่รู้ ” อำมาตย์สุรชาติตอบ
“ ข้าจะบอกให้ท่านรู้ กองทัพอสูรที่ยกมามีทั้งหมด ๔ กองทัพ ต่างมีเป้าหมายแยกกันโจมตี ๔ นคร คือ นครเตมินทร์ นครศรีบุรีรมย์ นครอัญจารี และนครตรีสุวรรณ “
ทั้งหมดต่างมีสีหน้าแตกตื่นและสงสัยว่าเหตุใดพวกเขาถึงรู้เรื่องราวเป็นอย่างดี ทางด้าน เปมิกา เห็นพวกเขาเริ่มสนใจเรื่องของกองทัพอสูร นางจึงพูดเสริมขึ้นอีก
“ พวกข้ามีหน้าที่หยุดยั้งกองทัพอสูรเหล่านั้น ตอนนี้เพื่อนของข้าอีก ๖ คนกำลังทำหน้าที่ป้องกันนครที่เหลืออีก ๓ นคร “
“ ถ้างั้นพวกเจ้าเป็นใครกัน?” อำมาตย์สุรชาติ รีบถามด้วยความอยากรู้และถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงก็จะดีไม่น้อยที่จะได้ผู้มีฝีมือเข้ามาช่วยรบกับเหล่ากองทัพอสูรด้วย
“ ข้าสองคนคือ ๒ ใน ๘ เทพ ที่ได้รับการคัดเลือกให้มีหน้าที่ปราบจ้าวอสูร กัลย์ปาอสูร “ พยัคฆ์วารีตอบ
อำมาตย์สุรชาติ ทั้งตกใจและดีใจเป็นยิ่งนัก เขาเองเคยได้ยินแต่เสียงร่ำลือ ไม่คิดไม่ฝันว่าในชีวิตจะได้มีโอกาสพบกับเหล่าเทพผู้กล้าหาญแต่สีหน้าก็พลันเปลี่ยนเมื่อนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
“ ๘ เทพ? แต่เท่าที่ข้าได้ยินจากที่เขาร่ำลือกัน มีเพียง ๗ เทพ ไม่ใช่หรือ? “ อำมาตย์สุรชาติถามขึ้นในใจของตนเองก็เริ่มสับสนและไม่แน่ใจว่าเขาทั้งสองเป็นเทพจริงๆหรือไม่?
“ เสียงลือ เสียงเล่าอ้างอันใด มักจะมีทั้งจริงและไม่จริง จะพูดให้ฟังง่ายๆหน่อยก็คือ มีผู้ผ่านการคัดเลือกจากนอกแท่นพิธีการคัดเลือกของสามมหาเทพอีก ๑ คน เมื่อรวมกับพวกเราอีก ๗ ก็เป็น ๘ ท่านจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ท่าน แต่ที่ข้าพูดมาล้วนเป็นความจริงทั้งหมด “ เปมิกา ยืนยัน
“ ข้าจะเชื่อได้อย่างไรว่า ท่านทั้งสองเป็นเทพจริงๆ “ อำมาตย์สุรชาติต้องการให้ พวกเขาทั้งสองคนพิสูจน์ตัวเอง
“ แบบนี้ พอจะยืนยันได้บ้างไหม? “ เปมิกา เปล่งรัศมีเทพออกมา รัศมีเทพที่ปรากฏที่ตัวของนางเรืองรองเจิดจ้าไปทั่วบริเวณ ตามด้วย พยัคฆ์วารี ที่เปล่งรัศมีเทพตามนางมาด้วยรัศมีที่ไม่ด้อยกว่ากันเลย
อำมาตย์สุรชาติเห็นดังนี้แล้วยังสงสัยอะไรได้อีก
“ งั้นท่านทั้งสอง...... มีชื่อเสียงเรียงนามใด? ”
“ ข้า พยัคฆ์วารี ลูกชายของ เทพพยัคฆ์ ผู้มีหน้าที่เฝ้าอุทยานสวรรค์ นอกเขตสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น “
“ส่วนข้า เปมิกา ดวงใจมาร พระธิดาในเชื้อบรมวงค์พรหม ผู้สืบสายตรงมาจากต้นตระกูลราชวงค์ลงกา  เสด็จพ่อของข้าคือ ท้าววัลนุราช ผู้ปกครอง นครวิบูลย์ไพศาล “
พอ อำมาตย์สุรชาติ รู้ฐานะของพวกเขาแล้วก็รีบคุกเข่าลงขอพระราชทานอภัยโทษรวมถึงคนอื่นๆด้วย
“ โปรดพระราชทานอภัยโทษ ให้หม่อมฉันด้วย พระเจ้าข้า “
เปมิกา ยิ้มออกมาน้อยครั้งนักที่จะมีใครได้เห็นนางยิ้มเช่นนี้
“ ไม่ต้องมาขอโทษข้าหรอก ท่านอำมาตย์สุรชาติ ข้าไม่ชอบพิธีรีตองอะไรมากมายนัก มาพูดเรื่องสำคัญดีกว่า”
“ พระเจ้าข้า ”
อำมาตย์สุรชาติ รับรับสั่งของพระธิดา เปมิกา
“ ท่านนี้จริงๆเลยนะ ข้าเพิ่งพูดเมื่อกี้อยู่หยกๆ เอาเถอะ ตามใจท่านก็แล้วกันอยากจะเรียกข้าแบบไหนก็ตามใจท่านเถอะ มาเข้าเรื่องเลยดีกว่า ทางด้านกองทัพอสูรท่านได้ข่าวอะไรมาบ้าง?”
“ เท่าที่ข้าพระพุทธเจ้าได้ข่าวมา กองทัพอสูรคงจะยกทัพมาถึงนครอัญจารีภายในเวลาไม่เกิน ๒ วันนี้ พระเจ้าข้า “
“ เรามาเร็วกว่ามันแค่นิดหน่อยเอง “ พยัคฆ์วารีใช้มือลูบคางตัวเองไปมา เหมือนกำลังวางแผนสู้ศึก
“ ที่แน่และเที่ยงตรงกว่านั้นก็คือ อสูรสืบข่าวของพวกมันต้องอยู่ในนครอัญจารีแล้วแน่นอน “ เปมิกาพูดอย่างมั่นใจ
“ หากเป็นเช่นนั้นจริงพระธิดาจะทรงทำอย่างไรต่อไป? พระเจ้าข้า “ อำมาตย์สุรชาติ ทูลถามขอความเห็นจาก เปมิกา
เปมิกา ยังไม่ตอบแต่กลับหันหน้าไปถาม พยัคฆ์วารี แทน
“ พยัคฆ์วารี เจ้าคิดเหมือนข้าหรือเปล่า? ”
พยัคฆ์วารี ยืนอมยิ้มแผ่พลังออกมาจนอากาศรอบๆหนาวเหมือนอยู่ในฤดูหนาว หัวหมู่เหล็กและลูกน้องถึงกับตัวสั่นพั่บๆ แม้แต่อำมาตย์สุรชาติ ที่มีพลังเวทย์ในอันดับต้นๆ ก็ยังรู้สึกเย็นวูบวาบทั่วตัว
“ เราสองคนไม่ถนัดตั้งรับเสียด้วย “
“ นั้นสิ แล้วเจ้าจะว่าอย่างไรถ้าเราจะ.... “ เปมิกา ถามแววตาของนางบ่งบอกให้รู้ถึงความหมายที่ซ่อนอยู่
“ เปิดยุทธการรุกเต็มรูปแบบ ไม่มีตั้งรับ โต้กลับอย่างรุนแรง สร้างกำแพงป้องกันนคร “ พยัคฆ์วารีตอบ
“ ข้าให้เจ้าเลือกก่อน “
“ ข้าจะจัดการกับพวกอสูรสืบข่าวเอง มี ๑ ฆ่า ๑ มี ๑๐๐ ฆ่า ๑๐๐ กวาดล้างให้เกลี้ยงภายในคืนเดียว “ พยัคฆ์วารี พูดเรียบๆแต่สีหน้าจริงจัง
“ เจ้านี้ชอบเอาของสนุกๆไปเล่นก่อนหน้าข้าอยู่เรื่อยเลย ชอบเอางานหนักๆมาให้ข้าเสมอ “ นางพูดหยอกเล่นกับเขาแต่อีกฝ่ายก็รู้ใจนางเหมือนกัน
“ เจ้าเองก็ชอบความท้าทายมากกว่าข้าไม่ใช่หรือ? ดวงใจมาร ”
“ ก็ได้ ป้องกันนคร หากำลังเสริม วางแผนรบ ข้าจะจัดการเอง หากศึกนี้แพ้อย่าเรียกข้าว่า ดวงใจมาร “
เปมิกา หันหน้ามามอง อำมาตย์ สุรชาติ
“ ท่านอำมาตย์ เราเข้าไปปรึกษากันข้างในกระท่อมดีกว่า หลังจากนั้นเราจะได้ไปเข้าเฝ้า พระราชาเอกสิทธิ์ ด้วยกัน “
“ พระเจ้าข้า “
ทั้งหมดพากันเข้าไปในกระท่อมเพื่อวางแผนในการต่อสู้กับกองทัพอสูร จนเวลาล่วงเข้าไปเกือบบ่ายจึงได้แยกย้ายกันปฏิบัติงาน เปมิกา เดินทางไปกับอำมาตย์สุรชาติและหัวหมู่เหล็กเพื่อขอเข้าเฝ้าพระราชาเอกสิทธิ์ ส่วนพยัคฆ์วารีแยกตัวมาเพียงลำพังเพื่อไล่ล่าเหล่าอสูรที่อยู่ในนครอัญจารี
“ เหล่าอสูรชั่วเอย หากเจ้ายังอยากมีชีวิตอยู่ ก็ภาวนาอย่าให้ได้พบเจอข้าก็แล้วกัน “
พยัคฆ์วารีวิ่งไปได้แค่หน่อยเดียวก็กลายร่างเป็น พยัคฆ์ขาวสลับเหลืองมีริ้วสีดำที่ตัว พุ่งตรงกลับไปที่นครอัญจารี เป้าหมายของเขาอยู่ที่เนินเขาที่มีชะง่อนผายื่นออกมา
-----------------------------------------------------------------
ทางด้านนครตรีสุวรรณ อัคคีนาคา และ มยุราเทวี กำลังอยู่ในบ้านของ ยายผิน รอบๆ ตัวบ้านมีทหารเฝ้าระวังอยู่โดยรอบพร้อมกับ ยุพารี มันทยนาคา และบรรณนาคราช ซึ่งในตอนนี้บรรณนาคราชเองก็นั่งไม่ติดที่ เดินกระสับกระส่ายไปมา มองขึ้นไปบนบ้านยายผินอยู่หลายรอบ  ก่อนถอนใจแล้วถอนใจเล่าด้วยความเป็นห่วงลูกชาย ในบ้านยายผินที่กลางห้องมีลังไม้ลังใหญ่ใบหนึ่งตั้งอยู่ ในลังไม้มีร่างของ สัณหวัชนาคา ที่หมดสติ แช่ตัวอยู่ในนั้น มองเข้าไปในลังไม้เห็นน้ำทะเลและสาหร่ายจำนวนมากอยู่ในลังไม้ด้วย สาหร่ายเหล่านี้มีสีนิลทั่วทั้งแผ่น ยามเมื่อสะท้อนกับแสง แลเห็นเป็นเงาออกมาระยิบระยับเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า แต่พอเพ่งมองชัดๆ กลับพบว่า สาหร่ายนิลเหล่านั้นกำลังดูดเลือดสีดำที่อยู่ในตัวของ สัณหวัชนาคา ออกมา โดยมีสองสาวงามทาบฝ่ามืออยู่ที่ตัวของเขา
“ จะต้องใช้เวลาอีกเท่าไร? “ อัคคีนาคา ถาม
“ ก็จนกว่าเลือดของ สัณหวัชนาคา จะเป็นสีแดง นั้นแหละ ถึงจะเอาตัวเขาออกมาได้ “ มยุราเทวีตอบ พลางใช้พลังของนางช่วยขับพิษออกมาด้วย
“ ถ้าอย่างนั้นเขาก็ต้องเสียเลือดมากนะสิ? “
“ จริงอยู่ที่เขาจะต้องเสียเลือดมาก แต่เวลานี้เรามีเพียงวิธีนี้วิธีเดียวเท่านั้นที่จะรักษาเขาได้นะ อัคคีนาคา “
“ แต่ก็ยังมีอีกวิธีหนึ่งไม่ใช่หรือ? “ อัคคีนาคา เถียง มยุราเทวี ในใจของนางเป็นห่วงว่าหากดูดเลือดออกมามากขนาดนี้ถึงแม้จะดูดพิษมารโลหิตอสูรได้แต่ก็ไม่แน่ว่าจะได้ชีวิตของ สัณหวัชนาคา กลับคืนมา
“ นั้นมันก็ใช่อยู่หรอก แต่มันต้องไม่ใช่ พิษมารโลหิตอสูร ที่ร้ายกาจแบบนี้ เจ้าก็รู้ว่าเวลานี้เราปล่อยมือออกจากตัวของ สัณหวัชนาคา ไม่ได้เลย “
อัคคีนาคา นิ่งเงียบรู้ตัวดีว่าสิ่งที่ มยุราเทวีพูดเป็นความจริง พิษมารโลหิตอสูร ถูกปรุงขึ้นมาจากพิษ ๑๐๘ ชนิด บวกกับมหามนต์ตราต้องสาปของเหล่าอสูรที่มีพระเวทย์สูง เมื่อสำเร็จแล้วจึงมีชื่อเรียกว่า พิษมารมนต์ตรา แต่หัวใจสำคัญอยู่ที่ โลหิตอสูร อสูรที่ปรุงพิษชนิดนี้จะใช้เลือดของตัวเองเป็นอาหารให้กับหนอนซากศพ รอเวลาจนถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ จึงนำหนอนเหล่านั้นมาผสมกับพิษมารมนต์ตรา จนกลายเป็น พิษมารโลหิตอสูร ผู้ใดที่ถูกพิษนี้จะมีความรู้สึกเหมือนหนอนนับพันตัว พุ่งเข้าสู่เส้นเลือด ก่อนที่จะพิษจะแล่นเข้าสู่หัวใจและค่อยๆกัดกินหัวใจจนสลาย และที่ร้ายกว่านั้นก็คือ วิญญาณของคนผู้นั้นจะถูกกักขังด้วยมนตราต้องสาปไม่อาจล่องลอยไปไหนได้ ซ้ำร้ายบางทีอาจถูกเหล่าอสูรเรียกวิญญาณเหล่านั้นมารับใช้อีกด้วย จึงต้องใช้บัวเจ็ดสมุทร ในการหยุดยั้งพิษชนิดนี้เอาไว้ชั่วคราว และไปขอยาวัชระสูตร จากเทพสรรพยาบนสวรรค์ แต่พิษมารโลหิตอสูรที่ สัณหวัชนาคา ได้รับกลับแล่นเข้าสู่หัวใจอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่จะใช้บัวเจ็ดสมุทรหยุดยั้งได้ เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะพิษมารโลหิตอสูรที่เขาได้รับในครั้งนี้ถูกปรุงด้วยหนอนซากศพถึง ๑๐ ตัวการเคลื่อนที่ของพิษจึงเร็วกว่าธรรมดาเป็น ๑๐ เท่า ครั้นจะใช้ให้ใครไปที่วิมานเทพสรรยา เพื่อเอายาวัชระสูตรก็อาจจะกลับมาไม่ทันเพราะต้องไปขอป้ายผ่านทางจากพระอินทร์ก่อนถึงจะเข้าไปได้ ถ้าหากบุกเข้าไปในวิมานเทพสรรพยาโดยพลการจะต้องเจอกับเทวะสรรพยาผู้มีหน้าที่ปกป้องวิมานเทพสรรยา ซึ่งเป็นเหล่าเทพที่แข็งแกร่งมากเคยมีอสูรทั้งกองทัพบุกเข้าไปในนั้นแล้วถูกเทวะสรรพยาสังหารจนไม่เหลือรอดออกมาแม้แต่ตนเดียว ยิ่งในตอนนี้ อัคคีนาคา และ มยุราเทวี จะถอนฝ่ามือออกไม่ได้เลยแม้น้อยหากฝ่ามือหลุดออกจากตัวเขาเพียงแค่ชั่วอึดใจเดียว สัณหวัชนาคา จะต้องตายทันที แค่ควบคุมพิษมารโลหิตอสูรไม่ให้ไหลเข้าสู่หัวใจของ สัณหวัชนาคา ก็ถือว่ายากแล้ว ถ้าหากพวกนางมั่วรอให้ใครไปขอยาวัชระสูตร ย่อมไม่ต้องสงสัยเลยว่ายาวัชระสูตรย่อมจะต้องมาถึงช้ากว่าพิษที่แล่นเข้าสู่หัวใจของเขาอย่างแน่นอน พวกนางจึงต้องเสี่ยงใช้สาหร่ายนิลดูดพิษออกจากร่างของเขาแทน แต่สาหร่ายนิลจะดูดเลือดของเขาออกมาด้วย พวกนางจึงหวังแต่เพียงว่าพิษมารโลหิตอสูร คงจะถูกดูดออกมาจนหมด ก่อนเลือดของเขาจะหมดตัวเท่านั้น
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนอาทิตย์เกือบจะลับขอบฟ้า ความพยายามก็ประสบผล
“ นกยูง เลือดของเขา เป็นสีแดงแล้ว “ อัคคีนาคาร้องบอก
“  รีบยกตัวเขาออกมาเร็ว “
ทั้ง มยุราเทวี และ อัคคีนาคา ต่างออกแรงยกร่างของ สัณหวัชนาคา ออกจากลังไม้ พาร่างของเขามานอนราบที่พื้นห้อง อัคคีนาคา เร่งมือหยิบเศษสาหร่ายนิลที่ติดอยู่ตามตัวของ สัณหวัชนาคา ออก ส่วน มยุราเทวี กำลังตรวจชีพจรของเขาอยู่
“ ชีพจรเต้นอ่อนมาก เขาคงเสียเลือดเยอะเกินไป “
“ แล้วเราจะต้องทำอย่างไรต่อไป? “ อัคคีนาคาถาม
“ ต้องถ่ายเลือดเข้าไปในตัวของเขา “ มยุราเทวีบอก
อัคคีนาคา ขยับตัวเข้าไปใกล้ สัณหวัชนาคา พยุงตัวเขาให้ลุกขึ้นยกแขนข้างหนึ่งของเขาขึ้นมา แต่ถูกมือของ มุยราเทวี จับเอาไว้คล้ายเป็นเชิงไม่ให้นางกระทำอะไรบางอย่าง
“ ข้ารู้นะ ว่าเจ้าคิดจะทำอะไร? “
“ เขาช่วยข้าเอาไว้ ข้าจะปล่อยให้เขาตายไม่ได้ “
“ เจ้ารักเขามากขนาดนี้เชียวหรือ? “ ไม่รู้เพราะอะไร มยุราเทวี ถึงถามออกมาอย่างนั้น ทั้งๆภาพอยู่ตรงหน้าก็กำลังฟ้องนางอยู่อย่างชัดเจน
“ ข้า..... ข้าไม่ได้.... “
“ เจ้านี้มันพวกปากไม่ตรงกับใจ “
รู้อยู่แล้วว่าห้ามอย่างไรก็คงไม่ฟัง มยุราเทวี จึงพยุงร่างของ สัณหวัชนาคา ให้นั่งตัวตรง หยิบไม้ไผ่เล็กๆ ขึ้นมาอันหนึ่ง ปลายไม้ไผ่ทั้งสองด้านถูกบากเป็นรูปปากฉลาม นางยื่นไม่ไผ่เล่มนั้นให้ อัคคีนาคา
“ ถึงเลือดของข้าจะเข้ากับเขาไม่ได้ แต่ข้าก็ไม่ยอมให้เจ้าถ่ายเลือดให้เขาคนเดียวหรอก “
อัคคีนาคา รับไม้ไผ่เล่มนั้นมา ส่วน มยุราเทวี ผละตัวออกมาลงจากบ้านยายผินไปตาม บรรณนาคราช มาช่วยอีกแรงหนึ่ง เพียงครู่เดียว บรรณนาคราช ก็ขึ้นมาบนบ้านแต่ไม่ได้ขึ้นมาแค่คนเดียวมี ยุพารี และ มันทยานาคา ตามมาด้วย
“ ท่านบรรณนาคราชเพคะ ช่วยถ่ายเลือดให้กับ สัณหวัชนาคา ด้วยเพคะ “
“ ได้สิ “ ชีวิตลูกชายทั้งคนมีหรือพระองค์จะไม่ช่วยเหลือ
มยุราเทวี ยื่นมือไปหยิบไม้ไผ่ที่มีลักษณะเช่นเดียวกันกับที่ให้ อัคคีนาคา ขึ้นมาอีก ๓ อัน ส่งมาให้บรรณนาคราช ยุพารี และ มันทยนาคา ทั้งหมดต่างนั่งลงใกล้ๆ กับ สัหณหวัชนาคา บรรณนาคราช และ มันทยนาคา แทงไม้ไผ่ที่อยู่ในมือเข้าที่แขนข้างซ้ายของ สัณหวัชนาคา และใช้ปลายอีกด้านแทงเข้าที่ต้นแขนตนเองพร้อมใช้พลังขับเลือดเข้าไปในร่างของเขา ด้านยุพารีก็ทำเช่นเดียวกับผู้เป็นพ่อเพียงแต่อยู่ทางด้านขวา อัคคีนาคา ลดพลังพระเวทย์เพชรมหากาฬลง และทำเช่นเดียวกับทั้งสาม โดยมี มยุราเทวี เฝ้ามองดูอยู่
“ สัณหวัชนาคา อย่าเพิ่งตายเสียละ ข้ายังไม่อยากให้เพื่อนของข้าต้องตรอมใจตายตามเจ้าไปด้วยหรอกนะ “
มยุราเทวี เพิ่งประจักษ์เดียวนี้เองว่า อัคคีนาคา รัก สัณหวัชนาคา มากแค่ไหน ถึงแม้นางจะยังทำเป็นปากแข็งอยู่ก็ตามแต่ภาพที่เห็นแม้แต่เด็กก็ยังรู้ว่าสิ่งที่นางทำเรียกว่าอะไร
จากการถ่ายเลือดของทั้ง ๔ เข้าไปในร่างของ สัณหวัชนาคา ทำให้สีหน้าที่ซีดเซียวของเขาเริ่มมีเลือดฝาดเหมือนเดิม จนอาทิตย์ ลับขอบฟ้าทุกต่างจึงหยุดการถ่ายเลือด บรรณนาคราช ใช้พลังพระเวทย์รักษาบาดแผลที่เกิดขึ้นให้กับ ยุพารี และ มันทยานาคา ส่วน อัคคีนาคา นั้น มยุราเทวี ใช้พลังของนางรักษาบาดแผลให้ และถ่ายพลังเข้าร่างของ อัคคีนาคา เพื่อต้องการให้พลังสองสายโคจรอยู่ในร่างของพวกนาง เพื่อทำการฟื้นฟูพลังที่สูญเสียไป แต่นางยังไม่รู้ว่า  อัคคีนาคา กำลังใช้วิชาที่ ไร้นามดาบส สอนให้ฟื้นฟูพลังของตนเองและ มยุราเทวี ไปด้วยเช่นกัน จึงทำให้พลังทั้งสองโคจรสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง
“ พลังของข้ากับ อัคคีนาคา โคจรย้อนกัน? แปลกมาก ตามหลักที่ข้าเรียนมา พลังย้อน นอกจากจะไม่ได้ช่วยรักษาอาการแล้ว ยังจะเข้าทำร้ายอวัยวะภายในของคนที่ใช้ด้วย แต่ทำไม? ทั้งข้า และ อัคคีนาคา กลับรู้สึกปลอดโปร่งแถมพลังในร่างยังดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมด้วย “
ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ มยุราเทวี ย่อมไม่รู้แน่นอนเพราะนางไม่เคยได้รับการถ่ายทอดวิชาจาก ไร้นามดาบส และจะยิ่งตกใจมากขึ้นถ้ารู้ว่าสิ่งที่ อัคคีนาคา ใช้ในตอนนี้ก็คือ
“ ท่าร่าง ๗ นาคบาศก์มหาประลัย ท่าที่ ๕ มุงกฎจักรพรรดิอยู่คู่ภพ เดินพลังตามหลักความเปลี่ยนแปลงของการขาดหาย เชื่อมต่อพลังด้วยหลักแห่งวิชา ๕ ธาตุ ผสานกลมกลืนกับพระเวทย์จักรวาลผันแปรสิ่งอื่นใดล้วนเกี่ยวเนื่อง “
ถึงแม้ อัคคีนาคา จะไม่ใช่คนที่สนใจในการฝึกพระเวทย์หรือวิชาการต่อสู้ แต่นางก็เป็นคนที่มีความสามารถนำสิ่งที่เรียนรู้มาใช้ประโยชน์ได้เสมอ จะมีใครคิดบ้างเล่าว่า ท่าร่าง ๗ นาคบาศก์มหาประลัย ที่แสนร้ายกาจ จะถูกนำมาใช้รักษาอาการบาดเจ็บหรือใช้ฟื้นฟูพลังของตนเองได้ เวลาผ่านไปแค่ครู่เดียวก็เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นกับพลังทั้งสองสาย พลังของ อัคคีนาคา กลายเป็นนาคตัวน้อย เลื้อยตัวไปมาอยู่ทั่วร่าง กลับกันกับพลังของ มยุราเทวี กลายเป็นวิหคตัวน้อย บินร่อนอยู่รอบตัว เหมือนพลังทั้งสองควบคุมไม่ได้และกำลังวิ่งพล่านไปทั่วร่าง เริ่มต้นจากกลางหน้าอกไปมาทั่วร่างจนบรรจบที่เดิมเป็นเช่นนี้นับพันรอบ สุดท้ายจึงย้อนคืนกลับมาหาผู้เป็นเจ้าของ ท่ามกลางความแตกตื่นของผู้ที่มองเห็น
“ เกิดอะไรขึ้นกับ น้องข้า และมยุราเทวี กันแน่? “
มันทยานาคา รำพึงอยู่ในใจ
“ เห็นทีเรื่องนี้ข้าคงจะอยู่เฉยๆ ไม่ได้แล้วคงต้องส่งข่าวให้เสด็จอา อินทรนาคราช ทรงทราบ นับวัน อัคคีนาคา จะมีอาการแปลกๆขึ้นเรื่อยๆ นี้อาจจะเป็นผลพวงมาจากการที่พลังของนางเพิ่มขึ้นมา แต่ถ้าหากพลังที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เกิดควบคุมไม่ได้ อัคคีนาคา จะเป็นอย่างไรกัน? “
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา มันทยานาคา เป็นห่วง อัคคีนาคา เหลือเกิน เพราะนางมักทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้เสมอ แม้กระทั่งตอนยกบ่วงนาคบาศก์ หรือได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนเผ่าพันธุ์นาคาในการคัดเลือกเทพผู้ปราบจ้าวอสูร กัลย์ปาอสูร ในตอนนี้เขาเป็นห่วงเหลือเกินว่า สักวันหนึ่งพลังที่นางมีอยู่นั้นจะย้อนกลับคืนมาทำร้ายตัวนางเอง
เมื่อพลังในร่างคงที่แล้ว มยุราเทวี ก็เอ่ยถาม อัคคีนาคา
“ เจ้าเป็นรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง? “
“ พลังของข้าฟื้นฟูเหมือนเดิมแล้วแถมยังเพิ่มขึ้นด้วย “
เป็นอย่างที่ มยุราเทวี คิดเอาไว้ ทั้งนาง และ อัคคีนาคา มีพลังเพิ่มขึ้นมากกว่าก่อนเสียอีก
“ เมื่อกี้มันไม่ใช่เหตุบังเอิญใช่ไหม? “
“ ใช่  แต่รอให้ข้าดูอาการของ สัณหวัชนาคา ก่อน แล้วข้าจะบอกเจ้าว่าเหตุใดพลังของเจ้าและข้าถึงได้เพิ่มขึ้นมา “
อัคคีนาคา เดินเข้าไปหา สัณหวัชนาคา ที่กำลังนอนอยู่บนเตียงโดยมีเหล่าบริวารนาคา คอยดูแลเขาอยู่ รวมทั้ง บรรณนาคราช และ ยุพารี ด้วย
“ เจ้าไม่ต้องห่วง พิษในร่างพี่ข้าถูกเจ้าขับออกมาจนหมดแล้ว แต่กว่าเจ้าพี่จะทรงฟื้นก็คงจะเป็นพรุ่งนี้ “ ยุพารี บอกและจ้องมอง อัคคีนาคา เหมือนรู้ว่า ว่าที่พี่สะใภ้ของนาง เป็นห่วงพี่ชายนางมากเหลือเกิน ถึงแม้เจ้าตัวจะไม่แสดงอาการออกมาให้เห็น
“ เจ้าพี่เพคะ เจ้าพี่ทรงโชคดีเหลือเกินเพคะ ที่การเสียสละของเจ้าพี่ ไม่สูญเปล่า “
เมื่อรู้ว่า สัณหวัชนาคา ปลอดภัยแล้ว อัคคีนาคา ก็โล่งใจ เดินกลับมาหา มยุราเทวี ทั้งสองเดินลงจากบ้านยายผิน พบยายผิน รออยู่ข้างล่าง
“ พระธิดา จะเสวยอะไรก่อนไหมเพคะ? “
“ ไม่ละจ๊ะยาย ขอบใจยายมากนะ “ อัคคีนาคาตอบ แต่มยุราเทวี แอบเข้าไปกระซิบที่ข้างหูยายผิน
“ ยายจ๋า เวลาไม่อยู่ต่อหน้าคนอื่นยายไม่ต้องเรียกพวกเราว่า พระธิดาก็ได้ อีกอย่างหลานนารี ของยาย เขากำลังห่วงสุดที่รักของเขา จนกินอะไรไม่ลงหรอก  นี้ถ้าหมอนั้นเกิดตายขึ้นมาจริงๆ ยายกับข้า คงได้เห็นใครบางคนร้องไห้ ขี้มูกโป่งแน่ “
ถึงจะกระซิบเบาๆแต่ผู้ที่ถูกพาดพิงก็ยังได้ยินจนใบหน้าที่ขาวนวลเริ่มแดงระเรื่อขึ้น ก่อนเอามือไล่ตีวิหคน้อยไปทั่ว
“ นกยูง เจ้าแซวข้าอีกแล้วนะ “
“ ยายจ๋า ดึกๆข้าค่อยกลับมากินข้าวกับยายนะ ตอนนี้ข้าขอตัวพาคนขี้อายไปข้างนอกก่อนแล้วกัน “
มยุราเทวี เหาะหนี อัคคีนาคา โดยมีนางเหาะตามไปติดๆ เหลือแต่ยายผินที่ส่ายหน้าไปมาด้วยความเอ็นดู
“ เฮ้อ ยังเล่นกันเป็นเด็กๆอยู่เลย เฮอะ ช่างเถอะอย่างน้อยชาตินี้อีผินก็นอนตายตาหลับแล้ว มีหลานเป็นถึงพระธิดากับเขาตั้งสองคน “
ยายผินเดินกลับไปดูแลข้าวปลาอาหารเตรียมไว้ให้กับหลานสาวทั้งสองเหมือนเมื่อครั้งพวกนางได้เขามาอาศัยยายผิน ในฐานะของหลานสาวที่ชื่อ นกยูง และ นารี คิดแล้วก็อดยิ้มถึงความน่ารักของพวกนางไม่ได้
คืนนั้นทั้งคืน มยุราเทวี และ อัคคีนาคา ไม่ได้นอนหลับกันเลย มยุราเทวี เฝ้าไต่ถามเรื่องราวที่ อัคคีนาคา หายตัวไป ๑ คืน อัคคีนาคาเองก็เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ มยุราเทวีฟัง จนหมด และยังสอนวิชาที่ ไร้นามดาบส สอนให้นางให้แก่ มยุราเทวี อีกด้วยกว่าจะกลับมาถึงบ้านยายผินอีกครั้งเวลาก็ล่วงไปเกือบสว่าง มีเพียงสำรับกับข้าวที่ยายผิน เตรียมเอาไว้ส่วนตัวยายผินเองได้นอนหลับไปแล้ว เวลาผ่านเลยไปจนล่วงเข้าไปอีกวันหนึ่ง จากพระอาทิตย์ขึ้น จนถึงพระอาทิตย์ตก สัณหวัชนาคา ก็ยังไม่ฟื้นตื่นขึ้นมา อัคคีนาคา ก็ได้แต่เฝ้ามองเขาแต่เพียงอย่างเดียว
“ เมื่อไรท่านจะตื่นขึ้นมาเสียที ท่านทำให้ข้ากลัวรู้ไหม? “ อัคคีนาคา จับมือของเขาขึ้นมาแนบใกล้ๆใบหน้าของนาง น้ำตาที่อยู่บนใบหน้าหยดลงมือของ สัณหวัชนาคา ซ้ำแล้วซ้ำเล่า อัคคีนาคา เฝ้าดูแลเขาอยู่ตลอดเวลา จนนางผลุบหลับอยู่ตรงนั้น และเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นมาจากขอบฟ้าอีกรอบนางถึงได้ตื่นขึ้น แต่สภาพของ สัณหวัชนาคา ก็ยังคงเหมือนเดิม
“ ท่านยังไม่ฟื้นอีกหรือนี้ “ สีหน้าของ อัคคีนาคา บ่งบอกถึงความเศร้าที่เกาะกุมอยู่ในหัวใจ นางหวังไว้แต่เพียงว่าวันนี้เขาอาจจะตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
ทันใดนั้น มีเสียงโห่ร้องดังขึ้น
“ เกิดอะไรขึ้น? “ อัคคีนาคา รีบออกจากห้องของ สัณหวัชนาคา คิดจะมาหา มยุราเทวี เพื่อถามเรื่องราวแต่พบกับนางที่ประตูห้องเสียก่อน
“ เกิดอะไรขึ้น นกยูง? “
“ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ออกไปดูข้างนอกกันเถอะ “
พวกนางทั้งสองลงมาจากบ้านยายผิน ก็ได้เห็นภาพที่พวกนางต้องการจะรู้ พวกนางเห็น ยุพารี กำลังวิ่งเข้าไปกอด ธรรพ์ธร ที่กลับมาจากป่า หิมพานต์ แต่ตัว ธรรพ์ธร พยายามจะไม่ให้นางกระทำกับเขาอย่างนั้น เพราะเกรงสายตาของสองสาวงามที่กำลังมองมาทางเขาอยู่ แต่สิ่งที่พวกนางแปลกใจมากที่สุดคงจะเป็น
“ กองกำลังผสมวิทยาธรและคนธรรพ์ “
กองกำลังที่เห็นมีไม่ต่ำกว่า ๕๐,๐๐๐ ตน พวกเขาต่างมาช่วยนครตรีสุวรรณตามคำขอร้องของ ธรรพ์ธร แต่เหตุที่พวกเขามากันมากมายถึงเพียงนี้ ต่างมีเป้าหมายเดียวกันคือ
“ ยลโฉมสองสาวงามทายาทแห่ง วิหค และนาคา “
วิทยาธรและคนธรรพ์เมื่อได้เห็นพวกนางทั้งสองต่างเหมือนต้องมนต์สะกด มองนางทั้งสองอย่างหลงใหล
“ งามจริง ๆ “
“ งามดั่งคำที่เขาร่ำลือ “
หลายต่อหลายปาก พูดเป็นเสียงเดียวกัน บางตนถึงกระทั่งเอื้อนเอ่ยเป็นบทกลอน
ได้พบพักตร์สองโฉมวิลัยลักษณ์    งามจำรัสเฉิดฉายหาใดเหมือน
หนึ่งอนงค์งดงามดั่งดวงเดือน    ท่วงท่าเคลื่อนคล้ายหงส์ร่อนนภา
หนึ่งอนงค์มาสได้ดั่งไข่มุก    กลางสมุทรไพศาลเสน่หา
หากได้เจ้าทั้งสองเป็นแก้วตา    แม้นชีวาวายปราณข้าก็ยอม   
จบตอนที่ ๑๕ ครับ ขออธิบายดังนี้ครับ สวรรค์ คือ แดนอันแสนดีเลิศ ด้วยกามคุณ ๕ โลกของเทวดา ( รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกายที่น่าใคร่น่าพอใจ )  ตามปกติหมายถึง กามาพจรสวรรค์ ๖ ชั้น ได้แก่
๑. จาตุมหาราชิกา  ๒. ดาวดึงส์      ๓. ยามา
๔. ดุสิต            ๕. นิมมานรดี      ๖. ปรนิมมิตวสวัสดี
แต่อุทยานสวรรค์ที่ผมเขียนถึงเป็นมิติที่เกิดขึ้นใหม่อยู่นอกเขตสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้นจึงเป็นเอกเทศไม่ขึ้นอยู่กับสวรรค์ชั้นไหน ส่วนวิทยาธรและคนธรรพ์ในวรรณคดีส่วนใหญ่มักจะเป็นศัตรูกันเหตุเพราะพวกเขามักจะทนกิเลสกามาที่มีอยู่ในตัวไม่ได้เหตุที่ทะเลาะวิวาทกันก็มักจะมาจากผู้หญิงนั้นเอง คือ ทั้งสองฝ่ายแย่งผู้หญิงกัน แต่ส่วนใหญ่ผู้หญิงเหล่านั้นเขาไม่ชอบวิทยาธรและคนธรรพ์หรอกเพราะกึ่งเทพทั้งสองชอบใช้กำลังในการแย่งชิงมากกว่าความรัก อ้าว! ถ้าเป็นแบบนี้ผมจะเขียนให้มาช่วยนครตรีสุวรรณทำไมละเนี้ย?????? แล้ววิทยาธรและคนธรรพ์ตั้ง ๕๐,๐๐ ตน จะไม่เปิดศึกแย่ง มยุราเทวี และ อัคคีนาคา กันตายหมดหรอกหรือ???? โลกนี้วุ่นวายหนอ วุ่นวายจริงๆ
“ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว หากแม้นไม่เขียนตอนต่อไป ผู้คนจะติฉินนินทาได้ จึงขอประนมสิบนิ้วลา ณ. บัดนี้ เอ้อ เอย ว่าแล้วจะช้าอยู่ใย  จะช้าอยู่ใย ต้องรีบกลับไป เขียนตอนใหม่โดยพลัน “
......เตง เต่ง เต็ง ......เต่ง เต็ง เต่ง เตง  เตง .......เตง เต่ง เตง เต่ง เต็ง เต็ง  ( รำๆ เชิดๆ แล้วรีบจากไปเขียนตอนใหม่จะกลับมาอีกทีตอนที่ ๑๖ )
ตอนที่ ๑๕ แนวร่วมเดียวกัน
   
    เปมิกา เหมือนดั่งพยัคฆ์หลุดจากกรง เล่นงานคนนับสิบที่เข้ามาต่อสู้กับนางจนคนเหล่านั้นลงไปนอนกองอยู่กับพื้น เป้าหมายของนางอยู่ที่คนที่มีผ้าโผกหัวสีแดง ฝ่ายคนลึกลับเห็นลูกน้องที่ตัวเองพามาแพ้นางอย่างยับเยินก็โมโหเป็นอย่างยิ่ง
“ อย่าเพิ่งได้ใจ “
ชายผู้โผกผ้าสีแดง ฟาดฟันดาบเข้ามาอย่างรวดเร็ว แต่ฝ่ายอสูรสาวใจถึงกว่า รอให้กระบวนดาบจวนจะถึงตัวจึงค่อยเอี้ยวตัวหลบ
“ กระจอกสิ้นดี “
ร่างที่พุ่งเข้ามาอย่างเร็วเมื่อไม่ถูกเป้าหมายก็เสียจังหวะ เปมิกา ได้โอกาสใช้สันดาบซัดเข้าที่กลางหลังของอีกฝ่ายจนกระอักเลือด
“ อ๊อค “
พยัคฆ์วารีเห็น เปมิกา ทำรุนแรงไปหน่อยก็ตะโกนบอกพลางต่อสู้กับกลุ่มคนที่เข้ามาเล่นงานเขาอย่างใจเย็น
“ ดวงใจมาร เอาแค่ พอหอมปากหอมคอ ก็พอ อย่าเอาให้ถึงตาย เดี๋ยวจะไม่รู้ว่าพวกมันเป็นพวกไหนกัน? “
กลุ่มคนที่ต่อสู้กับ พยัคฆ์วารี ตาแทบจะลุกเป็นไฟ เมื่อเห็นผู้ที่ต่อสู้ด้วยไม่มีท่าทีสนใจพวกเขาเลย แถม ๑ ต่อ ๖ ยังรุกมากกว่ารับ
“ ดูถูกกันมากไปแล้ว “ คน ๖ คนระดมฟันพยัคฆ์วารีไม่ยั้ง
“ เคร้งๆๆๆ ”
“ ดูถูกดีกว่าดูผิด “
พยัคฆ์วารีตอบกลับ ใช้ดาบคู่เขี้ยวพยัคฆ์ โต้กลับอย่างรุนแรงจนอาวุธของทั้ง ๖ หักสะบั้น
“ เปรี๊ยะ “
“ ดาบข้า “
๑ ใน ๖ พูดได้แค่นั้น ก็เจอเท้าของ พยัคฆ์วารี เตะเข้าที่ก้านคอทีเดียว ล้มลงเหมือนต้นไม้ที่ถูกคนโค่นหัก ส่วนที่เหลือถูกดาบคู่ของ พยัคฆ์วารี ฟันจนเลือดท่วมตัวล้มระเนระนาดไปตามๆกัน พวกเขาทั้งหมดต่างส่งเสียงร้องโอดโอย
“ โอยๆๆ “
ทางด้านชายโผกผ้าสีแดง ก็ใช้ดาบต้านรับ เปมิกา อย่างทุลักทุเล
“ ผู้หญิงบ้าอะไรวะ ฟันดาบเร็วยังกะฟ้าแลบ แถมแรงยังกะช้างทั้งโขลง “
ชายโผกผ้าสีแดง ต้านรับนางได้อีกแค่ดาบเดียว ดาบก็หักลง อีกทั้งแรงที่มหาศาลของนางยังส่งให้ร่างของเขากระเด็นกลิ้งไป ๒-๓ ตลบ เจ้าของร่างพยายามใช้ดาบที่หักพยุงตัวลุกขึ้นมาอีกครั้ง แต่ดาบของ เปมิกา ก็จ่อมาที่คอหอยแล้ว
“ เอาละที่นี้ตอบคำถามข้ามาเสียดีๆว่าแอบตามพวกข้ามาทำไม? “ เปมิกา ไม่พูดเปล่ายังขยับดาบเข้าที่คอหอยของอีกฝ่ายจนเลือดไหลซิบๆ
“ ชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นโจร จะฆ่าก็ฆ่า ถึงถามให้ตายข้าก็ไม่บอก “
เปมิกา ขมวดคิ้วใช้ความคิด
“ เจ้านี้ ใจแข็งกว่าที่คิดไว้เสียอีก งั้นต้องเล่นแบบนี้แล้ว “ เปมิกา พยักหน้าให้ พยัคฆ์วารี เข้ามาหานาง
“ ข้าว่า ไอ้หมอนี้ ท่าทางหัวแข็งกว่าที่คิดไว้เสียอีก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ข้าถามมันหนึ่งคำถาม หากมันไม่ตอบ เจ้าฆ่าลูกน้องมันหนึ่งคน ถ้ามันยังไม่ตอบอีกก็ฆ่าไปเรื่อยๆจนกว่ามันจะตอบ “
ชายโผกผ้าสีแดง ได้ยินถึงกับจ้องมอง เปมิกา ดวงตาแทบจะหลุดจากเบ้า
“ นางปีศาจ “
ไม่ทันขาดคำ ฝ่าเท้าของนางก็กระแทกยอดอกคนที่นอนอยู่เข้าเต็มเปา เลือดพุ่งออกจากปากราวกับเขื่อนแตก
“ อ๊อค “
“ น้อยๆ หน่อย อย่าพูดอะไรที่ไม่เข้าหูข้า ข้าเป็นประเภทพวกความอดทนมีจำกัด หากทำให้ข้าโมโหขึ้นมา เจ้าจะทรมานยิ่งกว่าตายเสียอีก รีบตอบคำถามข้ามาเดี๋ยวนี้ “
เมื่อชีวิตของลูกน้องตกอยู่ในมือของนาง ย่อมไม่มีทางหลีกเหลี่ยง
“ ก็ได้ ข้าจะตอบเจ้า พวกข้าแอบติดตามพวกเจ้าสองเพื่อที่จะลงมือจับพวกเจ้า “
“ จับพวกข้า? “
เปมิกา ทวนคำตอบ และถามต่อไป
“ จับพวกข้าไปทำไม? “
“ รู้อยู่แล้วจะถามข้าอีกทำไม? “
“ พูดอะไรให้ข้าฟังเข้าใจง่ายๆหน่อย ไม่ได้หรือไง? “
เปมิกา หงุดหงิดเป็นยิ่งนัก แทนที่จะได้รับคำตอบกลับได้รับคำถามกลับมา ถ้าหากนางไม่ยั้งใจไว้แล้ว ปานนี้เจ้าหมอนี้คงนอนจมกองเลือดเป็นแน่
“ นี้เจ้าไม่ใช่พวกมันหรอกหรือ? “
“ พวกมันนะพวกไหน? “ เปมิกา ก้มหน้าลงไปถาม นางเริ่มสงสัยอะไรบางอย่างขึ้นมา
“ ก็พวกอสูรจากกองทัพอสูรนะสิ “ ชายโผกผ้าสีแดง ตอบนาง
“ เจ้ารู้เรื่องกองทัพอสูรของนายกองอสูรเชวาที่ถูกส่งมายึดนครอัญจารี ด้วยหรือ? “
ชายโผกผ้าสีแดง มองนางตาแทบทะลุ
“ โกหกข้าชัดๆ ถ้าเจ้าไม่ใช่พวกเดียวกับมันจะรู้เรื่องได้อย่างไร แล้วยังจะมาบอกข้าว่าไม่รู้เรื่องอีกหรือ? “
เปมิกา จับคอเสื้อของอีกฝ่ายกระชากตัวเขาเข้ามาใกล้นาง ก่อนตวาดกลับ
“ สมองมีไว้เก็บขี้เลื่อยหรือไง? หัดใช้ความคิดบ้างสิ ถ้าข้าเป็นพวกเดียวกับนายกองอสูรเชวา ข้าจะถามเจ้าให้เสียเวลาทำไม บอกข้ามาสิว่าเจ้าเป็นใครกัน? “
ในทีแรกชายโผกผ้าสีแดงมีท่าทีสงสัยในตัวของ พยัคฆ์วารี และ เปมิกา แต่เมื่อได้ฟังในสิ่งที่นางพูดเริ่มจะมีความคิดคล้อยตามจึงบอกความจริงออกมา
“ ข้าชื่อ หัวหมู่เหล็ก เป็นทหารของนครอัญจารี ท่านอำมาตย์ สุรชาติ เจ้านายข้าได้รับข่าวมาจากกองลาดตะเวนว่า มีกองทัพอสูรกำลังมุ่งหน้ามาที่นครของพวกเรา จึงให้ข้าพาทหารจำนวนหนึ่งแอบดูความเคลื่อนไหวของพวกอสูรที่อาจจะแฝงตัวเข้ามาในนคร หากเป็นไปได้ก็ให้จับตัวพวกมันมาเพื่อสอบถามการเคลื่อนพลของกองทัพอสูร “
พยัคฆ์วารี ถึงกลับหัวเราะออกมา
“ ฮะๆ พวกเจ้าทุ่มเทกันแทบเป็นแทบตาย กลับจับผิดคนแบบนี้ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย เอาละ ข้าจะช่วยรักษาพวกเจ้าก่อนก็แล้วกัน “
พยัคฆ์วารี โอมอ่านพระเวทย์อันศักดิ์สิทธิ์ของเสด็จพ่อ เพียงครู่เดียวคนนับสิบที่ได้รับบาดเจ็บต่างก็หายเป็นปลิดทิ้ง
“ ข้าสองคนอยากพบ ท่านอำมาตย์สุรชาติ พวกเจ้าจะพาพวกข้าไปพบได้หรือไม่? “ พยัคฆ์วารี ถามพร้อมเก็บอาวุธของตนเอง ฝ่ายเปมิกา ก็เก็บอาวุธของนางเช่นกัน
ทุกคนต่างมองหน้ากันคล้ายกำลังคิดว่าจะพา เปมิกา และ พยัคฆ์วารี ไปพบอำมาตย์สุรชาติ ดีหรือไม่?
“ ถึงข้าจะไม่แน่ใจความเป็นมาของพวกท่าน แต่จากที่พวกท่านช่วยรักษาอาการให้กับพวกข้า อย่างน้อยพวกท่านคงไม่ใช่พวกอสูรเหล่านั้นแน่ ตามข้ามา ข้าจะพาท่านทั้งสองไปพบกับท่านอำมาตย์สุรชาติ นายของข้า “
หัวหมู่เหล็ก และลูกน้องพา พยัคฆ์วารี และ เปมิกา มุ่งไปยังทางทิศเหนือเพื่อพาไปพบกับ อำมาตย์สุรชาติ ผ่านต้นไม้น้อยใหญ่ไปหลายต้น จวบจนเวลาล่วงเลยไปครู่ใหญ่ ทั้งหมดจึงมาถึงที่กระท่อมหลังหนึ่ง หัวหมู่เหล็กส่งเสียงเป็นรหัสลับรอจนมีเสียงรหัสตอบกลับจึงพากันเดินเข้าไป ก่อนที่จะถึงที่หมาย ประตูกระท่อมก็เปิดออกพร้อมกับคนๆหนึ่งยืนอยู่ที่หน้าประตูเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างกำยำแต่งกายเหมือนขุนนางในวัง
“ เจ้าเหล็ก เองหรือ? “ ชายคนนั้นถาม
“ ขอรับ ท่านอำมาตย์ “ หัวหมู่เหล็กตอบ
คนที่ยืนอยู่ที่หน้าประตูก็คือ อำมาตย์สุรชาติ นั้นเอง เขาใช้สายตากวาดมองรอบๆ ก็พบคนแปลกหน้าสองคน
“ สองคนนั้นใครกัน? “
“ คนที่พวกข้าไล่ตามจับขอรับ แต่พวกข้าสู้เขาและนางไม่ได้ ตอนแรกพวกข้าคิดว่าเขาและนางจะเป็นพวกอสูรปลอมตัวมา แต่จากที่ข้าได้พูดคุยกับทั้งสองคนคิดว่าไม่ใช่ขอรับ “
อำมาตย์สุรชาติ ยังมีท่าทีสงสัยในตัวของ พยัคฆ์วารี และ เปมิกา อยู่ยังจ้องมองทั้งสองแบบไม่ลดละทั้งยังผนึกพลังพระเวทย์เตรียมพร้อม
“ ก็ไม่เชิงหรอกนะ หัวหมู่เหล็ก ถึงเพื่อนข้าจะไม่ใช่อสูร แต่ตัวข้าใช่ จะผิดกันนิดหน่อยก็ต้องที่พวกข้าไม่ได้ปลอมตัวเข้ามาแต่ตั้งใจเข้ามาต่างหาก ” เปมิกาบอก
พอ หัวหมู่เหล็ก รู้ว่านางเป็นอสูรก็รีบวิ่งเข้าไปยืนเคียงข้างอยู่กับ อำมาตย์สุรชาติ ส่วนลูกน้องที่เหลือต่างเรียงแถวหน้ากระดานเข้ามาปกป้องนายทั้งที่ไม่มีอาวุธในมือ
“ท่านอำมาตย์สุรชาติ บอกคนของท่านด้วยว่าไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นก็ได้ หากข้าสองคนคิดทำร้ายท่าน พวกข้าคงทำตั้งแต่ตอนที่ท่านยืนอยู่ที่หน้าประตูกระท่อมแล้ว” พยัคฆ์วารีกล่าว
“ พวกเจ้าสองคนต้องการอะไร? “ อำมาตย์สุรชาติ ยังไม่มีทีท่าที่จะไว้ใจพวกเขา ขึ้นชื่อว่าอสูรก็เหมือนอสรพิษร้ายหากไม่ระวังความตายก็อาจมาเยือนได้โดยไม่รู้ตัว
“ พวกข้าไม่ได้ต้องการอะไรจากท่านหรอก แต่พวกข้ามีจุดประสงค์เดียวกันกับท่านต่างหาก ” อสูรสาวบอกจุดมุ่งหมายของนางให้อีกฝ่ายได้รู้
อำมาตย์สุรชาติ ฉงนใจเป็นยิ่งนัก คิดแล้วก็ไม่เข้าใจ เหตุใดอสูรถึงได้ทำร้ายกันเอง
“ หรือว่านี้เป็นแผนให้พวกเราตายใจ? “ อำมาตย์สุรชาติคิด
พยัคฆ์วารี เห็นว่า อำมาตย์สุรชาติ ยังไม่เชื่อใจพวกเขาจึงพูดถึงเรื่องของ ๓ นครที่เหลือ
“ ท่านอำมาตย์ รู้หรือไหมว่าทัพอสูรที่ยกมาคราวนี้มีกี่กองทัพ?”
“ ข้าไม่รู้ ” อำมาตย์สุรชาติตอบ
“ ข้าจะบอกให้ท่านรู้ กองทัพอสูรที่ยกมามีทั้งหมด ๔ กองทัพ ต่างมีเป้าหมายแยกกันโจมตี ๔ นคร คือ นครเตมินทร์ นครศรีบุรีรมย์ นครอัญจารี และนครตรีสุวรรณ “
ทั้งหมดต่างมีสีหน้าแตกตื่นและสงสัยว่าเหตุใดพวกเขาถึงรู้เรื่องราวเป็นอย่างดี ทางด้าน เปมิกา เห็นพวกเขาเริ่มสนใจเรื่องของกองทัพอสูร นางจึงพูดเสริมขึ้นอีก
“ พวกข้ามีหน้าที่หยุดยั้งกองทัพอสูรเหล่านั้น ตอนนี้เพื่อนของข้าอีก ๖ คนกำลังทำหน้าที่ป้องกันนครที่เหลืออีก ๓ นคร “
“ ถ้างั้นพวกเจ้าเป็นใครกัน?” อำมาตย์สุรชาติ รีบถามด้วยความอยากรู้และถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงก็จะดีไม่น้อยที่จะได้ผู้มีฝีมือเข้ามาช่วยรบกับเหล่ากองทัพอสูรด้วย
“ ข้าสองคนคือ ๒ ใน ๘ เทพ ที่ได้รับการคัดเลือกให้มีหน้าที่ปราบจ้าวอสูร กัลย์ปาอสูร “ พยัคฆ์วารีตอบ
อำมาตย์สุรชาติ ทั้งตกใจและดีใจเป็นยิ่งนัก เขาเองเคยได้ยินแต่เสียงร่ำลือ ไม่คิดไม่ฝันว่าในชีวิตจะได้มีโอกาสพบกับเหล่าเทพผู้กล้าหาญแต่สีหน้าก็พลันเปลี่ยนเมื่อนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
“ ๘ เทพ? แต่เท่าที่ข้าได้ยินจากที่เขาร่ำลือกัน มีเพียง ๗ เทพ ไม่ใช่หรือ? “ อำมาตย์สุรชาติถามขึ้นในใจของตนเองก็เริ่มสับสนและไม่แน่ใจว่าเขาทั้งสองเป็นเทพจริงๆหรือไม่?
“ เสียงลือ เสียงเล่าอ้างอันใด มักจะมีทั้งจริงและไม่จริง จะพูดให้ฟังง่ายๆหน่อยก็คือ มีผู้ผ่านการคัดเลือกจากนอกแท่นพิธีการคัดเลือกของสามมหาเทพอีก ๑ คน เมื่อรวมกับพวกเราอีก ๗ ก็เป็น ๘ ท่านจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ท่าน แต่ที่ข้าพูดมาล้วนเป็นความจริงทั้งหมด “ เปมิกา ยืนยัน
“ ข้าจะเชื่อได้อย่างไรว่า ท่านทั้งสองเป็นเทพจริงๆ “ อำมาตย์สุรชาติต้องการให้ พวกเขาทั้งสองคนพิสูจน์ตัวเอง
“ แบบนี้ พอจะยืนยันได้บ้างไหม? “ เปมิกา เปล่งรัศมีเทพออกมา รัศมีเทพที่ปรากฏที่ตัวของนางเรืองรองเจิดจ้าไปทั่วบริเวณ ตามด้วย พยัคฆ์วารี ที่เปล่งรัศมีเทพตามนางมาด้วยรัศมีที่ไม่ด้อยกว่ากันเลย
อำมาตย์สุรชาติเห็นดังนี้แล้วยังสงสัยอะไรได้อีก
“ งั้นท่านทั้งสอง...... มีชื่อเสียงเรียงนามใด? ”
“ ข้า พยัคฆ์วารี ลูกชายของ เทพพยัคฆ์ ผู้มีหน้าที่เฝ้าอุทยานสวรรค์ นอกเขตสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น “
“ส่วนข้า เปมิกา ดวงใจมาร พระธิดาในเชื้อบรมวงค์พรหม ผู้สืบสายตรงมาจากต้นตระกูลราชวงค์ลงกา  เสด็จพ่อของข้าคือ ท้าววัลนุราช ผู้ปกครอง นครวิบูลย์ไพศาล “
พอ อำมาตย์สุรชาติ รู้ฐานะของพวกเขาแล้วก็รีบคุกเข่าลงขอพระราชทานอภัยโทษรวมถึงคนอื่นๆด้วย
“ โปรดพระราชทานอภัยโทษ ให้หม่อมฉันด้วย พระเจ้าข้า “
เปมิกา ยิ้มออกมาน้อยครั้งนักที่จะมีใครได้เห็นนางยิ้มเช่นนี้
“ ไม่ต้องมาขอโทษข้าหรอก ท่านอำมาตย์สุรชาติ ข้าไม่ชอบพิธีรีตองอะไรมากมายนัก มาพูดเรื่องสำคัญดีกว่า”
“ พระเจ้าข้า ”
อำมาตย์สุรชาติ รับรับสั่งของพระธิดา เปมิกา
“ ท่านนี้จริงๆเลยนะ ข้าเพิ่งพูดเมื่อกี้อยู่หยกๆ เอาเถอะ ตามใจท่านก็แล้วกันอยากจะเรียกข้าแบบไหนก็ตามใจท่านเถอะ มาเข้าเรื่องเลยดีกว่า ทางด้านกองทัพอสูรท่านได้ข่าวอะไรมาบ้าง?”
“ เท่าที่ข้าพระพุทธเจ้าได้ข่าวมา กองทัพอสูรคงจะยกทัพมาถึงนครอัญจารีภายในเวลาไม่เกิน ๒ วันนี้ พระเจ้าข้า “
“ เรามาเร็วกว่ามันแค่นิดหน่อยเอง “ พยัคฆ์วารีใช้มือลูบคางตัวเองไปมา เหมือนกำลังวางแผนสู้ศึก
“ ที่แน่และเที่ยงตรงกว่านั้นก็คือ อสูรสืบข่าวของพวกมันต้องอยู่ในนครอัญจารีแล้วแน่นอน “ เปมิกาพูดอย่างมั่นใจ
“ หากเป็นเช่นนั้นจริงพระธิดาจะทรงทำอย่างไรต่อไป? พระเจ้าข้า “ อำมาตย์สุรชาติ ทูลถามขอความเห็นจาก เปมิกา
เปมิกา ยังไม่ตอบแต่กลับหันหน้าไปถาม พยัคฆ์วารี แทน
“ พยัคฆ์วารี เจ้าคิดเหมือนข้าหรือเปล่า? ”
พยัคฆ์วารี ยืนอมยิ้มแผ่พลังออกมาจนอากาศรอบๆหนาวเหมือนอยู่ในฤดูหนาว หัวหมู่เหล็กและลูกน้องถึงกับตัวสั่นพั่บๆ แม้แต่อำมาตย์สุรชาติ ที่มีพลังเวทย์ในอันดับต้นๆ ก็ยังรู้สึกเย็นวูบวาบทั่วตัว
“ เราสองคนไม่ถนัดตั้งรับเสียด้วย “
“ นั้นสิ แล้วเจ้าจะว่าอย่างไรถ้าเราจะ.... “ เปมิกา ถามแววตาของนางบ่งบอกให้รู้ถึงความหมายที่ซ่อนอยู่
“ เปิดยุทธการรุกเต็มรูปแบบ ไม่มีตั้งรับ โต้กลับอย่างรุนแรง สร้างกำแพงป้องกันนคร “ พยัคฆ์วารีตอบ
“ ข้าให้เจ้าเลือกก่อน “
“ ข้าจะจัดการกับพวกอสูรสืบข่าวเอง มี ๑ ฆ่า ๑ มี ๑๐๐ ฆ่า ๑๐๐ กวาดล้างให้เกลี้ยงภายในคืนเดียว “ พยัคฆ์วารี พูดเรียบๆแต่สีหน้าจริงจัง
“ เจ้านี้ชอบเอาของสนุกๆไปเล่นก่อนหน้าข้าอยู่เรื่อยเลย ชอบเอางานหนักๆมาให้ข้าเสมอ “ นางพูดหยอกเล่นกับเขาแต่อีกฝ่ายก็รู้ใจนางเหมือนกัน
“ เจ้าเองก็ชอบความท้าทายมากกว่าข้าไม่ใช่หรือ? ดวงใจมาร ”
“ ก็ได้ ป้องกันนคร หากำลังเสริม วางแผนรบ ข้าจะจัดการเอง หากศึกนี้แพ้อย่าเรียกข้าว่า ดวงใจมาร “
เปมิกา หันหน้ามามอง อำมาตย์ สุรชาติ
“ ท่านอำมาตย์ เราเข้าไปปรึกษากันข้างในกระท่อมดีกว่า หลังจากนั้นเราจะได้ไปเข้าเฝ้า พระราชาเอกสิทธิ์ ด้วยกัน “
“ พระเจ้าข้า “
ทั้งหมดพากันเข้าไปในกระท่อมเพื่อวางแผนในการต่อสู้กับกองทัพอสูร จนเวลาล่วงเข้าไปเกือบบ่ายจึงได้แยกย้ายกันปฏิบัติงาน เปมิกา เดินทางไปกับอำมาตย์สุรชาติและหัวหมู่เหล็กเพื่อขอเข้าเฝ้าพระราชาเอกสิทธิ์ ส่วนพยัคฆ์วารีแยกตัวมาเพียงลำพังเพื่อไล่ล่าเหล่าอสูรที่อยู่ในนครอัญจารี
“ เหล่าอสูรชั่วเอย หากเจ้ายังอยากมีชีวิตอยู่ ก็ภาวนาอย่าให้ได้พบเจอข้าก็แล้วกัน “
พยัคฆ์วารีวิ่งไปได้แค่หน่อยเดียวก็กลายร่างเป็น พยัคฆ์ขาวสลับเหลืองมีริ้วสีดำที่ตัว พุ่งตรงกลับไปที่นครอัญจารี เป้าหมายของเขาอยู่ที่เนินเขาที่มีชะง่อนผายื่นออกมา
-----------------------------------------------------------------
ทางด้านนครตรีสุวรรณ อัคคีนาคา และ มยุราเทวี กำลังอยู่ในบ้านของ ยายผิน รอบๆ ตัวบ้านมีทหารเฝ้าระวังอยู่โดยรอบพร้อมกับ ยุพารี มันทยนาคา และบรรณนาคราช ซึ่งในตอนนี้บรรณนาคราชเองก็นั่งไม่ติดที่ เดินกระสับกระส่ายไปมา มองขึ้นไปบนบ้านยายผินอยู่หลายรอบ  ก่อนถอนใจแล้วถอนใจเล่าด้วยความเป็นห่วงลูกชาย ในบ้านยายผินที่กลางห้องมีลังไม้ลังใหญ่ใบหนึ่งตั้งอยู่ ในลังไม้มีร่างของ สัณหวัชนาคา ที่หมดสติ แช่ตัวอยู่ในนั้น มองเข้าไปในลังไม้เห็นน้ำทะเลและสาหร่ายจำนวนมากอยู่ในลังไม้ด้วย สาหร่ายเหล่านี้มีสีนิลทั่วทั้งแผ่น ยามเมื่อสะท้อนกับแสง แลเห็นเป็นเงาออกมาระยิบระยับเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า แต่พอเพ่งมองชัดๆ กลับพบว่า สาหร่ายนิลเหล่านั้นกำลังดูดเลือดสีดำที่อยู่ในตัวของ สัณหวัชนาคา ออกมา โดยมีสองสาวงามทาบฝ่ามืออยู่ที่ตัวของเขา
“ จะต้องใช้เวลาอีกเท่าไร? “ อัคคีนาคา ถาม
“ ก็จนกว่าเลือดของ สัณหวัชนาคา จะเป็นสีแดง นั้นแหละ ถึงจะเอาตัวเขาออกมาได้ “ มยุราเทวีตอบ พลางใช้พลังของนางช่วยขับพิษออกมาด้วย
“ ถ้าอย่างนั้นเขาก็ต้องเสียเลือดมากนะสิ? “
“ จริงอยู่ที่เขาจะต้องเสียเลือดมาก แต่เวลานี้เรามีเพียงวิธีนี้วิธีเดียวเท่านั้นที่จะรักษาเขาได้นะ อัคคีนาคา “
“ แต่ก็ยังมีอีกวิธีหนึ่งไม่ใช่หรือ? “ อัคคีนาคา เถียง มยุราเทวี ในใจของนางเป็นห่วงว่าหากดูดเลือดออกมามากขนาดนี้ถึงแม้จะดูดพิษมารโลหิตอสูรได้แต่ก็ไม่แน่ว่าจะได้ชีวิตของ สัณหวัชนาคา กลับคืนมา
“ นั้นมันก็ใช่อยู่หรอก แต่มันต้องไม่ใช่ พิษมารโลหิตอสูร ที่ร้ายกาจแบบนี้ เจ้าก็รู้ว่าเวลานี้เราปล่อยมือออกจากตัวของ สัณหวัชนาคา ไม่ได้เลย “
อัคคีนาคา นิ่งเงียบรู้ตัวดีว่าสิ่งที่ มยุราเทวีพูดเป็นความจริง พิษมารโลหิตอสูร ถูกปรุงขึ้นมาจากพิษ ๑๐๘ ชนิด บวกกับมหามนต์ตราต้องสาปของเหล่าอสูรที่มีพระเวทย์สูง เมื่อสำเร็จแล้วจึงมีชื่อเรียกว่า พิษมารมนต์ตรา แต่หัวใจสำคัญอยู่ที่ โลหิตอสูร อสูรที่ปรุงพิษชนิดนี้จะใช้เลือดของตัวเองเป็นอาหารให้กับหนอนซากศพ รอเวลาจนถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ จึงนำหนอนเหล่านั้นมาผสมกับพิษมารมนต์ตรา จนกลายเป็น พิษมารโลหิตอสูร ผู้ใดที่ถูกพิษนี้จะมีความรู้สึกเหมือนหนอนนับพันตัว พุ่งเข้าสู่เส้นเลือด ก่อนที่จะพิษจะแล่นเข้าสู่หัวใจและค่อยๆกัดกินหัวใจจนสลาย และที่ร้ายกว่านั้นก็คือ วิญญาณของคนผู้นั้นจะถูกกักขังด้วยมนตราต้องสาปไม่อาจล่องลอยไปไหนได้ ซ้ำร้ายบางทีอาจถูกเหล่าอสูรเรียกวิญญาณเหล่านั้นมารับใช้อีกด้วย จึงต้องใช้บัวเจ็ดสมุทร ในการหยุดยั้งพิษชนิดนี้เอาไว้ชั่วคราว และไปขอยาวัชระสูตร จากเทพสรรพยาบนสวรรค์ แต่พิษมารโลหิตอสูรที่ สัณหวัชนาคา ได้รับกลับแล่นเข้าสู่หัวใจอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่จะใช้บัวเจ็ดสมุทรหยุดยั้งได้ เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะพิษมารโลหิตอสูรที่เขาได้รับในครั้งนี้ถูกปรุงด้วยหนอนซากศพถึง ๑๐ ตัวการเคลื่อนที่ของพิษจึงเร็วกว่าธรรมดาเป็น ๑๐ เท่า ครั้นจะใช้ให้ใครไปที่วิมานเทพสรรยา เพื่อเอายาวัชระสูตรก็อาจจะกลับมาไม่ทันเพราะต้องไปขอป้ายผ่านทางจากพระอินทร์ก่อนถึงจะเข้าไปได้ ถ้าหากบุกเข้าไปในวิมานเทพสรรพยาโดยพลการจะต้องเจอกับเทวะสรรพยาผู้มีหน้าที่ปกป้องวิมานเทพสรรยา ซึ่งเป็นเหล่าเทพที่แข็งแกร่งมากเคยมีอสูรทั้งกองทัพบุกเข้าไปในนั้นแล้วถูกเทวะสรรพยาสังหารจนไม่เหลือรอดออกมาแม้แต่ตนเดียว ยิ่งในตอนนี้ อัคคีนาคา และ มยุราเทวี จะถอนฝ่ามือออกไม่ได้เลยแม้น้อยหากฝ่ามือหลุดออกจากตัวเขาเพียงแค่ชั่วอึดใจเดียว สัณหวัชนาคา จะต้องตายทันที แค่ควบคุมพิษมารโลหิตอสูรไม่ให้ไหลเข้าสู่หัวใจของ สัณหวัชนาคา ก็ถือว่ายากแล้ว ถ้าหากพวกนางมั่วรอให้ใครไปขอยาวัชระสูตร ย่อมไม่ต้องสงสัยเลยว่ายาวัชระสูตรย่อมจะต้องมาถึงช้ากว่าพิษที่แล่นเข้าสู่หัวใจของเขาอย่างแน่นอน พวกนางจึงต้องเสี่ยงใช้สาหร่ายนิลดูดพิษออกจากร่างของเขาแทน แต่สาหร่ายนิลจะดูดเลือดของเขาออกมาด้วย พวกนางจึงหวังแต่เพียงว่าพิษมารโลหิตอสูร คงจะถูกดูดออกมาจนหมด ก่อนเลือดของเขาจะหมดตัวเท่านั้น
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนอาทิตย์เกือบจะลับขอบฟ้า ความพยายามก็ประสบผล
“ นกยูง เลือดของเขา เป็นสีแดงแล้ว “ อัคคีนาคาร้องบอก
“  รีบยกตัวเขาออกมาเร็ว “
ทั้ง มยุราเทวี และ อัคคีนาคา ต่างออกแรงยกร่างของ สัณหวัชนาคา ออกจากลังไม้ พาร่างของเขามานอนราบที่พื้นห้อง อัคคีนาคา เร่งมือหยิบเศษสาหร่ายนิลที่ติดอยู่ตามตัวของ สัณหวัชนาคา ออก ส่วน มยุราเทวี กำลังตรวจชีพจรของเขาอยู่
“ ชีพจรเต้นอ่อนมาก เขาคงเสียเลือดเยอะเกินไป “
“ แล้วเราจะต้องทำอย่างไรต่อไป? “ อัคคีนาคาถาม
“ ต้องถ่ายเลือดเข้าไปในตัวของเขา “ มยุราเทวีบอก
อัคคีนาคา ขยับตัวเข้าไปใกล้ สัณหวัชนาคา พยุงตัวเขาให้ลุกขึ้นยกแขนข้างหนึ่งของเขาขึ้นมา แต่ถูกมือของ มุยราเทวี จับเอาไว้คล้ายเป็นเชิงไม่ให้นางกระทำอะไรบางอย่าง
“ ข้ารู้นะ ว่าเจ้าคิดจะทำอะไร? “
“ เขาช่วยข้าเอาไว้ ข้าจะปล่อยให้เขาตายไม่ได้ “
“ เจ้ารักเขามากขนาดนี้เชียวหรือ? “ ไม่รู้เพราะอะไร มยุราเทวี ถึงถามออกมาอย่างนั้น ทั้งๆภาพอยู่ตรงหน้าก็กำลังฟ้องนางอยู่อย่างชัดเจน
“ ข้า..... ข้าไม่ได้.... “
“ เจ้านี้มันพวกปากไม่ตรงกับใจ “
รู้อยู่แล้วว่าห้ามอย่างไรก็คงไม่ฟัง มยุราเทวี จึงพยุงร่างของ สัณหวัชนาคา ให้นั่งตัวตรง หยิบไม้ไผ่เล็กๆ ขึ้นมาอันหนึ่ง ปลายไม้ไผ่ทั้งสองด้านถูกบากเป็นรูปปากฉลาม นางยื่นไม่ไผ่เล่มนั้นให้ อัคคีนาคา
“ ถึงเลือดของข้าจะเข้ากับเขาไม่ได้ แต่ข้าก็ไม่ยอมให้เจ้าถ่ายเลือดให้เขาคนเดียวหรอก “
อัคคีนาคา รับไม้ไผ่เล่มนั้นมา ส่วน มยุราเทวี ผละตัวออกมาลงจากบ้านยายผินไปตาม บรรณนาคราช มาช่วยอีกแรงหนึ่ง เพียงครู่เดียว บรรณนาคราช ก็ขึ้นมาบนบ้านแต่ไม่ได้ขึ้นมาแค่คนเดียวมี ยุพารี และ มันทยานาคา ตามมาด้วย
“ ท่านบรรณนาคราชเพคะ ช่วยถ่ายเลือดให้กับ สัณหวัชนาคา ด้วยเพคะ “
“ ได้สิ “ ชีวิตลูกชายทั้งคนมีหรือพระองค์จะไม่ช่วยเหลือ
มยุราเทวี ยื่นมือไปหยิบไม้ไผ่ที่มีลักษณะเช่นเดียวกันกับที่ให้ อัคคีนาคา ขึ้นมาอีก ๓ อัน ส่งมาให้บรรณนาคราช ยุพารี และ มันทยนาคา ทั้งหมดต่างนั่งลงใกล้ๆ กับ สัหณหวัชนาคา บรรณนาคราช และ มันทยนาคา แทงไม้ไผ่ที่อยู่ในมือเข้าที่แขนข้างซ้ายของ สัณหวัชนาคา และใช้ปลายอีกด้านแทงเข้าที่ต้นแขนตนเองพร้อมใช้พลังขับเลือดเข้าไปในร่างของเขา ด้านยุพารีก็ทำเช่นเดียวกับผู้เป็นพ่อเพียงแต่อยู่ทางด้านขวา อัคคีนาคา ลดพลังพระเวทย์เพชรมหากาฬลง และทำเช่นเดียวกับทั้งสาม โดยมี มยุราเทวี เฝ้ามองดูอยู่
“ สัณหวัชนาคา อย่าเพิ่งตายเสียละ ข้ายังไม่อยากให้เพื่อนของข้าต้องตรอมใจตายตามเจ้าไปด้วยหรอกนะ “
มยุราเทวี เพิ่งประจักษ์เดียวนี้เองว่า อัคคีนาคา รัก สัณหวัชนาคา มากแค่ไหน ถึงแม้นางจะยังทำเป็นปากแข็งอยู่ก็ตามแต่ภาพที่เห็นแม้แต่เด็กก็ยังรู้ว่าสิ่งที่นางทำเรียกว่าอะไร
จากการถ่ายเลือดของทั้ง ๔ เข้าไปในร่างของ สัณหวัชนาคา ทำให้สีหน้าที่ซีดเซียวของเขาเริ่มมีเลือดฝาดเหมือนเดิม จนอาทิตย์ ลับขอบฟ้าทุกต่างจึงหยุดการถ่ายเลือด บรรณนาคราช ใช้พลังพระเวทย์รักษาบาดแผลที่เกิดขึ้นให้กับ ยุพารี และ มันทยานาคา ส่วน อัคคีนาคา นั้น มยุราเทวี ใช้พลังของนางรักษาบาดแผลให้ และถ่ายพลังเข้าร่างของ อัคคีนาคา เพื่อต้องการให้พลังสองสายโคจรอยู่ในร่างของพวกนาง เพื่อทำการฟื้นฟูพลังที่สูญเสียไป แต่นางยังไม่รู้ว่า  อัคคีนาคา กำลังใช้วิชาที่ ไร้นามดาบส สอนให้ฟื้นฟูพลังของตนเองและ มยุราเทวี ไปด้วยเช่นกัน จึงทำให้พลังทั้งสองโคจรสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง
“ พลังของข้ากับ อัคคีนาคา โคจรย้อนกัน? แปลกมาก ตามหลักที่ข้าเรียนมา พลังย้อน นอกจากจะไม่ได้ช่วยรักษาอาการแล้ว ยังจะเข้าทำร้ายอวัยวะภายในของคนที่ใช้ด้วย แต่ทำไม? ทั้งข้า และ อัคคีนาคา กลับรู้สึกปลอดโปร่งแถมพลังในร่างยังดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมด้วย “
ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ มยุราเทวี ย่อมไม่รู้แน่นอนเพราะนางไม่เคยได้รับการถ่ายทอดวิชาจาก ไร้นามดาบส และจะยิ่งตกใจมากขึ้นถ้ารู้ว่าสิ่งที่ อัคคีนาคา ใช้ในตอนนี้ก็คือ
“ ท่าร่าง ๗ นาคบาศก์มหาประลัย ท่าที่ ๕ มุงกฎจักรพรรดิอยู่คู่ภพ เดินพลังตามหลักความเปลี่ยนแปลงของการขาดหาย เชื่อมต่อพลังด้วยหลักแห่งวิชา ๕ ธาตุ ผสานกลมกลืนกับพระเวทย์จักรวาลผันแปรสิ่งอื่นใดล้วนเกี่ยวเนื่อง “
ถึงแม้ อัคคีนาคา จะไม่ใช่คนที่สนใจในการฝึกพระเวทย์หรือวิชาการต่อสู้ แต่นางก็เป็นคนที่มีความสามารถนำสิ่งที่เรียนรู้มาใช้ประโยชน์ได้เสมอ จะมีใครคิดบ้างเล่าว่า ท่าร่าง ๗ นาคบาศก์มหาประลัย ที่แสนร้ายกาจ จะถูกนำมาใช้รักษาอาการบาดเจ็บหรือใช้ฟื้นฟูพลังของตนเองได้ เวลาผ่านไปแค่ครู่เดียวก็เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นกับพลังทั้งสองสาย พลังของ อัคคีนาคา กลายเป็นนาคตัวน้อย เลื้อยตัวไปมาอยู่ทั่วร่าง กลับกันกับพลังของ มยุราเทวี กลายเป็นวิหคตัวน้อย บินร่อนอยู่รอบตัว เหมือนพลังทั้งสองควบคุมไม่ได้และกำลังวิ่งพล่านไปทั่วร่าง เริ่มต้นจากกลางหน้าอกไปมาทั่วร่างจนบรรจบที่เดิมเป็นเช่นนี้นับพันรอบ สุดท้ายจึงย้อนคืนกลับมาหาผู้เป็นเจ้าของ ท่ามกลางความแตกตื่นของผู้ที่มองเห็น
“ เกิดอะไรขึ้นกับ น้องข้า และมยุราเทวี กันแน่? “
มันทยานาคา รำพึงอยู่ในใจ
“ เห็นทีเรื่องนี้ข้าคงจะอยู่เฉยๆ ไม่ได้แล้วคงต้องส่งข่าวให้เสด็จอา อินทรนาคราช ทรงทราบ นับวัน อัคคีนาคา จะมีอาการแปลกๆขึ้นเรื่อยๆ นี้อาจจะเป็นผลพวงมาจากการที่พลังของนางเพิ่มขึ้นมา แต่ถ้าหากพลังที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เกิดควบคุมไม่ได้ อัคคีนาคา จะเป็นอย่างไรกัน? “
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา มันทยานาคา เป็นห่วง อัคคีนาคา เหลือเกิน เพราะนางมักทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้เสมอ แม้กระทั่งตอนยกบ่วงนาคบาศก์ หรือได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนเผ่าพันธุ์นาคาในการคัดเลือกเทพผู้ปราบจ้าวอสูร กัลย์ปาอสูร ในตอนนี้เขาเป็นห่วงเหลือเกินว่า สักวันหนึ่งพลังที่นางมีอยู่นั้นจะย้อนกลับคืนมาทำร้ายตัวนางเอง
เมื่อพลังในร่างคงที่แล้ว มยุราเทวี ก็เอ่ยถาม อัคคีนาคา
“ เจ้าเป็นรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง? “
“ พลังของข้าฟื้นฟูเหมือนเดิมแล้วแถมยังเพิ่มขึ้นด้วย “
เป็นอย่างที่ มยุราเทวี คิดเอาไว้ ทั้งนาง และ อัคคีนาคา มีพลังเพิ่มขึ้นมากกว่าก่อนเสียอีก
“ เมื่อกี้มันไม่ใช่เหตุบังเอิญใช่ไหม? “
“ ใช่  แต่รอให้ข้าดูอาการของ สัณหวัชนาคา ก่อน แล้วข้าจะบอกเจ้าว่าเหตุใดพลังของเจ้าและข้าถึงได้เพิ่มขึ้นมา “
อัคคีนาคา เดินเข้าไปหา สัณหวัชนาคา ที่กำลังนอนอยู่บนเตียงโดยมีเหล่าบริวารนาคา คอยดูแลเขาอยู่ รวมทั้ง บรรณนาคราช และ ยุพารี ด้วย
“ เจ้าไม่ต้องห่วง พิษในร่างพี่ข้าถูกเจ้าขับออกมาจนหมดแล้ว แต่กว่าเจ้าพี่จะทรงฟื้นก็คงจะเป็นพรุ่งนี้ “ ยุพารี บอกและจ้องมอง อัคคีนาคา เหมือนรู้ว่า ว่าที่พี่สะใภ้ของนาง เป็นห่วงพี่ชายนางมากเหลือเกิน ถึงแม้เจ้าตัวจะไม่แสดงอาการออกมาให้เห็น
“ เจ้าพี่เพคะ เจ้าพี่ทรงโชคดีเหลือเกินเพคะ ที่การเสียสละของเจ้าพี่ ไม่สูญเปล่า “
เมื่อรู้ว่า สัณหวัชนาคา ปลอดภัยแล้ว อัคคีนาคา ก็โล่งใจ เดินกลับมาหา มยุราเทวี ทั้งสองเดินลงจากบ้านยายผิน พบยายผิน รออยู่ข้างล่าง
“ พระธิดา จะเสวยอะไรก่อนไหมเพคะ? “
“ ไม่ละจ๊ะยาย ขอบใจยายมากนะ “ อัคคีนาคาตอบ แต่มยุราเทวี แอบเข้าไปกระซิบที่ข้างหูยายผิน
“ ยายจ๋า เวลาไม่อยู่ต่อหน้าคนอื่นยายไม่ต้องเรียกพวกเราว่า พระธิดาก็ได้ อีกอย่างหลานนารี ของยาย เขากำลังห่วงสุดที่รักของเขา จนกินอะไรไม่ลงหรอก  นี้ถ้าหมอนั้นเกิดตายขึ้นมาจริงๆ ยายกับข้า คงได้เห็นใครบางคนร้องไห้ ขี้มูกโป่งแน่ “
ถึงจะกระซิบเบาๆแต่ผู้ที่ถูกพาดพิงก็ยังได้ยินจนใบหน้าที่ขาวนวลเริ่มแดงระเรื่อขึ้น ก่อนเอามือไล่ตีวิหคน้อยไปทั่ว
“ นกยูง เจ้าแซวข้าอีกแล้วนะ “
“ ยายจ๋า ดึกๆข้าค่อยกลับมากินข้าวกับยายนะ ตอนนี้ข้าขอตัวพาคนขี้อายไปข้างนอกก่อนแล้วกัน “
มยุราเทวี เหาะหนี อัคคีนาคา โดยมีนางเหาะตามไปติดๆ เหลือแต่ยายผินที่ส่ายหน้าไปมาด้วยความเอ็นดู
“ เฮ้อ ยังเล่นกันเป็นเด็กๆอยู่เลย เฮอะ ช่างเถอะอย่างน้อยชาตินี้อีผินก็นอนตายตาหลับแล้ว มีหลานเป็นถึงพระธิดากับเขาตั้งสองคน “
ยายผินเดินกลับไปดูแลข้าวปลาอาหารเตรียมไว้ให้กับหลานสาวทั้งสองเหมือนเมื่อครั้งพวกนางได้เขามาอาศัยยายผิน ในฐานะของหลานสาวที่ชื่อ นกยูง และ นารี คิดแล้วก็อดยิ้มถึงความน่ารักของพวกนางไม่ได้
คืนนั้นทั้งคืน มยุราเทวี และ อัคคีนาคา ไม่ได้นอนหลับกันเลย มยุราเทวี เฝ้าไต่ถามเรื่องราวที่ อัคคีนาคา หายตัวไป ๑ คืน อัคคีนาคาเองก็เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ มยุราเทวีฟัง จนหมด และยังสอนวิชาที่ ไร้นามดาบส สอนให้นางให้แก่ มยุราเทวี อีกด้วยกว่าจะกลับมาถึงบ้านยายผินอีกครั้งเวลาก็ล่วงไปเกือบสว่าง มีเพียงสำรับกับข้าวที่ยายผิน เตรียมเอาไว้ส่วนตัวยายผินเองได้นอนหลับไปแล้ว เวลาผ่านเลยไปจนล่วงเข้าไปอีกวันหนึ่ง จากพระอาทิตย์ขึ้น จนถึงพระอาทิตย์ตก สัณหวัชนาคา ก็ยังไม่ฟื้นตื่นขึ้นมา อัคคีนาคา ก็ได้แต่เฝ้ามองเขาแต่เพียงอย่างเดียว
“ เมื่อไรท่านจะตื่นขึ้นมาเสียที ท่านทำให้ข้ากลัวรู้ไหม? “ อัคคีนาคา จับมือของเขาขึ้นมาแนบใกล้ๆใบหน้าของนาง น้ำตาที่อยู่บนใบหน้าหยดลงมือของ สัณหวัชนาคา ซ้ำแล้วซ้ำเล่า อัคคีนาคา เฝ้าดูแลเขาอยู่ตลอดเวลา จนนางผลุบหลับอยู่ตรงนั้น และเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นมาจากขอบฟ้าอีกรอบนางถึงได้ตื่นขึ้น แต่สภาพของ สัณหวัชนาคา ก็ยังคงเหมือนเดิม
“ ท่านยังไม่ฟื้นอีกหรือนี้ “ สีหน้าของ อัคคีนาคา บ่งบอกถึงความเศร้าที่เกาะกุมอยู่ในหัวใจ นางหวังไว้แต่เพียงว่าวันนี้เขาอาจจะตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
ทันใดนั้น มีเสียงโห่ร้องดังขึ้น
“ เกิดอะไรขึ้น? “ อัคคีนาคา รีบออกจากห้องของ สัณหวัชนาคา คิดจะมาหา มยุราเทวี เพื่อถามเรื่องราวแต่พบกับนางที่ประตูห้องเสียก่อน
“ เกิดอะไรขึ้น นกยูง? “
“ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ออกไปดูข้างนอกกันเถอะ “
พวกนางทั้งสองลงมาจากบ้านยายผิน ก็ได้เห็นภาพที่พวกนางต้องการจะรู้ พวกนางเห็น ยุพารี กำลังวิ่งเข้าไปกอด ธรรพ์ธร ที่กลับมาจากป่า หิมพานต์ แต่ตัว ธรรพ์ธร พยายามจะไม่ให้นางกระทำกับเขาอย่างนั้น เพราะเกรงสายตาของสองสาวงามที่กำลังมองมาทางเขาอยู่ แต่สิ่งที่พวกนางแปลกใจมากที่สุดคงจะเป็น
“ กองกำลังผสมวิทยาธรและคนธรรพ์ “
กองกำลังที่เห็นมีไม่ต่ำกว่า ๕๐,๐๐๐ ตน พวกเขาต่างมาช่วยนครตรีสุวรรณตามคำขอร้องของ ธรรพ์ธร แต่เหตุที่พวกเขามากันมากมายถึงเพียงนี้ ต่างมีเป้าหมายเดียวกันคือ
“ ยลโฉมสองสาวงามทายาทแห่ง วิหค และนาคา “
วิทยาธรและคนธรรพ์เมื่อได้เห็นพวกนางทั้งสองต่างเหมือนต้องมนต์สะกด มองนางทั้งสองอย่างหลงใหล
“ งามจริง ๆ “
“ งามดั่งคำที่เขาร่ำลือ “
หลายต่อหลายปาก พูดเป็นเสียงเดียวกัน บางตนถึงกระทั่งเอื้อนเอ่ยเป็นบทกลอน
ได้พบพักตร์สองโฉมวิลัยลักษณ์    งามจำรัสเฉิดฉายหาใดเหมือน
หนึ่งอนงค์งดงามดั่งดวงเดือน    ท่วงท่าเคลื่อนคล้ายหงส์ร่อนนภา
หนึ่งอนงค์มาสได้ดั่งไข่มุก    กลางสมุทรไพศาลเสน่หา
หากได้เจ้าทั้งสองเป็นแก้วตา    แม้นชีวาวายปราณข้าก็ยอม   
จบตอนที่ ๑๕ ครับ ขออธิบายดังนี้ครับ สวรรค์ คือ แดนอันแสนดีเลิศ ด้วยกามคุณ ๕ โลกของเทวดา ( รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกายที่น่าใคร่น่าพอใจ )  ตามปกติหมายถึง กามาพจรสวรรค์ ๖ ชั้น ได้แก่
๑. จาตุมหาราชิกา  ๒. ดาวดึงส์      ๓. ยามา
๔. ดุสิต            ๕. นิมมานรดี      ๖. ปรนิมมิตวสวัสดี
แต่อุทยานสวรรค์ที่ผมเขียนถึงเป็นมิติที่เกิดขึ้นใหม่อยู่นอกเขตสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้นจึงเป็นเอกเทศไม่ขึ้นอยู่กับสวรรค์ชั้นไหน ส่วนวิทยาธรและคนธรรพ์ในวรรณคดีส่วนใหญ่มักจะเป็นศัตรูกันเหตุเพราะพวกเขามักจะทนกิเลสกามาที่มีอยู่ในตัวไม่ได้เหตุที่ทะเลาะวิวาทกันก็มักจะมาจากผู้หญิงนั้นเอง คือ ทั้งสองฝ่ายแย่งผู้หญิงกัน แต่ส่วนใหญ่ผู้หญิงเหล่านั้นเขาไม่ชอบวิทยาธรและคนธรรพ์หรอกเพราะกึ่งเทพทั้งสองชอบใช้กำลังในการแย่งชิงมากกว่าความรัก อ้าว! ถ้าเป็นแบบนี้ผมจะเขียนให้มาช่วยนครตรีสุวรรณทำไมละเนี้ย?????? แล้ววิทยาธรและคนธรรพ์ตั้ง ๕๐,๐๐ ตน จะไม่เปิดศึกแย่ง มยุราเทวี และ อัคคีนาคา กันตายหมดหรอกหรือ???? โลกนี้วุ่นวายหนอ วุ่นวายจริงๆ
“ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว หากแม้นไม่เขียนตอนต่อไป ผู้คนจะติฉินนินทาได้ จึงขอประนมสิบนิ้วลา ณ. บัดนี้ เอ้อ เอย ว่าแล้วจะช้าอยู่ใย  จะช้าอยู่ใย ต้องรีบกลับไป เขียนตอนใหม่โดยพลัน “
......เตง เต่ง เต็ง ......เต่ง เต็ง เต่ง เตง  เตง .......เตง เต่ง เตง เต่ง เต็ง เต็ง  ( รำๆ เชิดๆ แล้วรีบจากไปเขียนตอนใหม่จะกลับมาอีกทีตอนที่ ๑๖ )
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น