ลำดับตอนที่ #30
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #30 : ห้ามารแห่งเงามืด
ศึกเทพอสูรมหาสงคราม
ตอนที่ ๓๐ ห้ามารแห่งเงามืด
    ณ ปราสาทเทพยันต์ ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พระอินทร์ กำลังทรงนั่งอยู่บนอาสนะ ข้างพระวรกายมี เทพมาตุลี คอยเฝ้าอยู่ใกล้ๆ พลันต้องแปลกพระทัยเมื่อจู่ๆ อาสนะ ของพระองค์ พลันแข็งกระด้างขึ้นมา
‘ เอ! อะไรกัน ทำไมอยู่ๆ ทิพย์อาสน์ ของเราจากที่อ่อนนุ่มถึงได้แข็งกระด้างขึ้นมาเช่นนี้ ’
เรื่องที่ประหลาดนี้ทำให้พระองค์ต้องทรงนิ่งตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง
‘ สงสัย คงจะมีผู้มีบุญ กำลังตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่ ’  เมื่อทรงคิดเช่นนั้นจึงยื่นพระหัตถ์หยิบแว่นทิพย์ขึ้นมามองดูเหตุการณ์ต่างๆในโลกมนุษย์
ในแว่นทิพย์ปรากฏภาพของ เมธาวดี กุสุมาวดี กรรณิการ์นาคี ซึ่งกำลังต่อสู้อยู่กับขุนพลมารมันจาปา เหตุการณ์ต่างๆดำเนินไปเรื่อยๆจนถึงภาพสุดท้ายคือภาพของ กรรณิการ์นาคี ที่กำลังจะถูก ขุนพลมารมันจาปา ทำร้าย
“ อย่างนี้ๆเอง มิน่า ทิพย์อาสน์ ของเราถึงได้พลันแข็งกระด้างขึ้นมา  กรรณิการ์นาคี มีบุญบารีที่สะสมมาตั้งแต่ชาติปางก่อนทั้งยังเป็นเนื้อคู่ของ อนันตวาโย อีกด้วย จะว่าไปนางน่าจะได้อยู่กับ อนันตวาโย ตั้งนานแล้ว หากเขาไม่ได้รับเลือกให้ออกมาปราบกัลย์ปาอสูรเสียก่อน “
ความคิดหนึ่งแล่นมาในทันที
“ ได้การล่ะ “  ทรงสรวลยิ้ม ก่อนยกพระหัตถ์ของพระองค์ขึ้นแล้วกวาดวาดไปในอากาศ ภาพในแว่นทิพย์เกิดการเปลี่ยนแปลง มีพายุใหญ่ หอบพัดพาร่างของ กรรณิการ์นาคี ลอยหายไปต่อหน้าต่อตา ขุนพลมารมันจาปา ทำให้นางหลุดพ้นจาก อันตรายที่ใกล้จะถึงตัว
“ เพียงเท่านี้ก็แก้ปัญหาได้แล้ว “
“ พระองค์ ทรงทำเช่นนี้จะดีหรือ? พระเจ้าข้า “ ผู้ที่ทูลถามคือเทพมาตุลีนั้นเอง
“ ทำไมเจ้าถึงคิดว่า สิ่งที่เราทำนั้นจะไม่ดี เทพมาตุลี “
“ ข้าพระองค์เกรงว่า การที่พระองค์ทรงทำเช่นนี้ อาจถูกพวกอสูรครหาได้ว่า พระองค์ทรงวางตัวไม่เป็นกลาง พระเจ้าข้า “
เหตุผลนี้ก็น่าคิดอยู่ แต่พระอินทร์ทรงตรัสกับเทพมาตุลีว่า
“ เปล่าเลยเทพมาตุลี เราวางตัวเป็นกลางแล้ว เจ้าก็เห็นว่าเราแค่ช่วย กรรณิการ์นาคี เพียงแค่คนเดียว มิได้ช่วยเหลือคนอื่นๆ เลย หากเราช่วยเหลือคนอื่นๆด้วยสิถึงจะว่าเราไม่เป็นกลางได้ อีกอย่างหนึ่งดวงชะตาของ กรรณิการ์นาคี ยังไม่ถึงฆาต อีกทั้งนางยังมีบุญบารีหนุนส่งอยู่ด้วย ต่อให้เราไม่ช่วยนาง นางก็หาได้รับอันตรายใดๆไม่ ดังนั้นที่เราช่วยนางก็เท่ากับทำตามพรหมลิขิตแล้ว “
แต่นั้นก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องเดียวที่ เทพมาตุลี กลัว
“ แล้วถ้าเกิดพวกนาครู้เข้าล่ะ พระเจ้าข้า ว่าพระองค์ส่งนางไปพบกับ อนันตวาโย พวกเขามิมากล่าวโทษพระองค์หรือ? ”
พระอินทร์หาได้ปริวิตกแต่ประการใด
“ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว เทพมาตุลี เรามิได้ส่ง กรรณิการ์นาคี ไปหาใครทั้งสิ้น เราเพียงแค่ให้พายุพัดพานางไปเท่านั้นเอง ส่วนพายุนั้นจะพัดพานางไปแห่งหนใด เรามิอาจรู้ได้ นั้นแล้วแต่บุญกรรมที่นางได้ทำมา “
ถึงกระนั้นเทพมาตุลี ก็ยังอดห่วงมิได้
“ เฮ้อ! หากพวกนาคเข้าใจเช่นนั้น ก็ดีสิพระเจ้าข้า โดยเฉพาะพระนางกิณยราตี  “ เทพมาตุลีว่า
“ เอาเถอะ เทพมาตุลี ใครจะเข้าใจกันอย่างไร ก็ปล่อยเขาไปเถอะ แต่ตอนนี้เจ้าช่วยลงไปบอกให้ อินทรนาคราช และคนอื่นๆ ว่าอย่าได้วิตกกังวลในการหายตัวไปของ กรรณิการ์นาคี เลย ให้พวกเขามุ่งหน้าไปนครตรีสุวรรณเช่นเดิมเถอะ เพราะเมื่อถึงนครตรีสุวรรณแล้วพวกเขาจะรับข่าวคราวของ กรรณิการ์นาคี เอง “
เมื่อทรงรับสั่งเช่นนั้น เทพมาตุลี ก็น้อมรับพระบัญชา ทูลลาพระองค์ ก่อนออกจากปราสาทเทพยันต์ลงไปยังโลกมนุษย์
-------------------------------------------
.ภายในทางเดินที่ค่อนข้างแคบและมืดของภูผาอสูร ทมิฬดำ เดินเข้าไปยังทางเชื่อมต่อระหว่างห้องบัญชาการรบกับห้องทำพิธีของจ้าวอสูร เส้นทางเหล่านี้เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี หากแต่ก็ต้องชะงักฝีเท้าเมื่อพบว่ามีกลุ่มคน ๕ คนแอบซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดและทั้งหมดต่างแอบจ้องมองมาที่ตัวเขา
“ หือ ..อือออ “ ทมิฬดำ เอียงคอไปมาแกล้งทำเป็นพินิจพิจารณาฝ่ายตรงข้าม ก่อนที่จะแยกเขี้ยวให้ได้เห็นและดีดนิ้วหนึ่งครั้ง กระถางคบเพลิงซึ่งวางตั้งเรียงรายไว้ตามทางต่างบังเกิดไฟลุกโหมขึ้นมาเหมือนมีคนมาจุด แสงจากคบเพลิงสาดส่องให้เห็นพวกเขาทั้งหมดอย่างชัดเจน แต่ถึงแม้จะไม่มีแสงจากคบเพลิง ทมิฬดำ ก็รู้พอจะรู้อยู่แล้วว่ากลุ่มคนที่แอบมองเขาอยู่คือใคร
“ มองอยู่ตั้งนานแล้วไม่เมื่อยบ้างหรือไง อสูรโลกันย์? “ เสียงแหลมๆ เล็กๆ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ถ้าใครไม่รู้คงคิดว่าผู้พูดกำลังพูดเยาะอีกฝ่ายเป็นแน่
“ หึ เสียงของเจ้านี้กวนอวัยวะเบื้องล่างของข้าเสียจริงๆ “ คนที่ก้าวออกมาจากที่ซ่อนเป็นคนแรกเป็นชายใส่ชุดสีเหลืองทั้งชุด แต่ตัวเสื้อนั้นผ่าเฉียงออกมาครึ่งหนึ่งทำให้ได้เห็นความบึกบึนของกล้ามเนื้อที่บริเวณแขนและหน้าอก ท่าทางของเขาดูดุดันและไม่ค่อยเป็นมิตรกับ ทมิฬดำ ซักเท่าไร
“ แค่มองนิดมองหน่อยก็คิดมากไปได้ ทมิฬดำ “  ถัดจากคนเมื่อครู่นี้ก็มีคนเดินตามออกมาด้วยอีกคนหนึ่ง เป็นชายใส่ชุดสีน้ำเงินมีผ้าคลุมสีดำอยู่ข้างหลัง  ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือก็เดินออกมาจากที่ซ่อนด้วยเช่นกัน คนหนึ่งเป็นชายใส่ชุดขนสัตว์ดูลักษณะท่าทางแล้วแคล้วคล่องว่องไว ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นชายใส่ชุดสีฟ้าครามมองดูแล้วให้ความรู้สึกสบายตาและเยือกเย็น ส่วนคนสุดท้ายเป็นหญิงสาวรูปร่างอรชร หน้าตาสะสวย ใส่เสื้อผ้าสีสันฉูดฉาด ทำให้ดูมีเสน่ห์กับเพศตรงข้าม
“ จะให้ข้าคิดน้อยคงจะไม่ได้แล้วละมั๊ง ลัมไพรี มีใครบางล่ะที่อยากจะถูกพวกเจ้าซุ่มดูอยู่อย่างนี้ “
“ ระดับเจ้าก็กลัวเป็นกับเขาด้วยหรือ? “ ลัมไพรี รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทีเกรงกลัวดังที่ตัวเองพูดเลยแม้แต่น้อย ส่วน ทมิฬดำ นั้นไม่ได้ตอบคำถามแต่อย่างใด แต่ค่อยๆพูดอย่างช้าๆ และเรียกพวกเขาว่า
“ มีอะไรกับข้าอย่างนั้นหรือ? ..ขุนพลเงา “
ชาย ๔ หญิง ๑ พวกเขาคือ
“ ๕ องครักษ์ของจ้าวอสูรกัลย์ปาอสูร ๕ยอดฝีมือขุนพลเงา  อสูรน้ำ  อสูรโลกันย์  โกมายูร ลัมไพรี  ดอกไม้ป่า “
“ ก็แค่อยากจะดูหน้า เจ้าหนูมีปีกบางตัวที่ทำงานไม่สำเร็จ แถมยังต้องซมซานกลับรังอย่างน่าเวทนา ก็เท่านั้นเอง “ อสูรโลกันย์ ว่า
แต่ละถ้อยคำที่ถากถาง ทำเอาแววตาของ ทมิฬดำ แวววับ พร้อมกับเลียริมฝีปากของตนเองคล้ายกับว่ากำลังจะได้ลิ้มรสเลือดสดๆจากอสูรปากสุนัขบางตน
“ เหรออออออออ  ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็น่ายินดี “
“ น่ายินดี อะไร? “ ลัมไพรี ขยับตัวเข้ามาใกล้ อสูรโลกันย์ เหมือนเตรียมพร้อมหากจะปะทะฝีมือกับผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“ ก็น่ายินดีที่ข้า ได้ยินเสียงสุนัขรับใช้บางตัว เห่ารับตั้งแต่ปากทางเข้านะสิ “
“ เจ้า . “ อสูรโลกันย์ได้ยิน ถึงกับเลือดขึ้นหน้า เดินเข้าหา ทมิฬดำ ในทันที
“ อย่า “  อสูรน้ำ ผู้ที่สุขมและเยือกเย็นที่สุดในกลุ่ม ใช้แขนของตนขวางอสูรโลกันย์และ ลัมไพรี เอาไว้ พร้อมทั้งส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามปราม
“ หึ “ อสูรโลกันย์ สะบัดหน้าอย่างขัดใจที่ทำอะไร ทมิฬดำ ไม่ได้
หากไม่ใช่ อสูรน้ำ เป็นคนห้ามปรามมีหรือ อสูรโลกันย์ จะยอม ส่วน ลัมไพรี แม้จะไม่พอใจเช่นกันแต่เมื่อ อสูรโลกันย์ ไม่อาจลงมือได้ เขาก็จำเป็นต้องเฉยไว้ก่อน
“ หมดธุระของพวกเจ้าแล้วใช่ไหม? ถ้างั้นข้าไปล่ะ “ ทมิฬดำ ไม่สนใจและไม่รอคำตอบของอีกฝ่าย เดินฝ่าวงล้อมออกไป
“ เดี๋ยวก่อน “ คนที่ร้องห้ามคือโกมายูร
“ มีอะไรอีก? “
“ คราวหน้าคราวหลัง ถ้าคิดจะด่าใคร อย่าให้มันพาดพิงมาถึงข้าด้วย ไม่อย่างนั้นครั้งต่อไปเจ้าเจ็บตัวแน่ “
ทมิฬดำ มีสีหน้าอมยิ้มเล็กน้อย
“ เจ้าเป็นจิ้งจอกไม่ใช่หรือ? “
“ แล้วมันต่างจากสุนัขตรงไหน? “ โกมันยูรว่า
“ โอ๊ะ โอ ข้าลืมไป งั้นก็ขอโทษด้วย “ อสูรปีกดำ ทำเป็นไม่สนใจเดินจากออกมาแต่สุดท้ายเขาก็ถูก ดอกไม้ป่า เดินเข้ามาขวางทางเอาไว้อีกเช่นกัน ท่าทางที่ดูยั่วยวนของนางเหมือนดอกไม้ที่ส่งกลิ่นเกสรเพื่อล่อหมู่ภมรให้เข้ามาดอมดม แต่น่าเสียดายที่ใช้กับ ทมิฬดำ ไม่ได้ผล
“ เอาเวลาที่เจ้ามาขวางทางข้า ไปหาชู้รักของเจ้าหน่อยจะไม่ดีกว่าหรือ? “ 
ดอกไม้ป่า กรีดกรายเข้าหา ทมิฬดำ และโอบคอเขาเอาไว้ ก่อนเจรจาฉ้อเลาะด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวานแต่แววตากลับแฝงความน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก
“ ของตายแบบนั้นมีอะไรน่าสนใจ  สู้ของเป็นอย่างเจ้าก็ไม่ได้น่าสนใจกว่าตั้งเยอะ ถ้าคืนนี้เจ้าว่างแวะมาหาข้าที่ห้องได้นะ “ นางจีบปากจีบคอพูดคุยกับ ทมิฬดำ มือไม้ก็ไล่ไต่ไปตามตัวของเขา
“ ขอบใจ บังเอิญข้าปีนต้นงิ้วมาบ่อยแล้ว ยกเว้นเจ้าไว้สักคนบ้างก็น่าจะดี “ อสูรปีกดำ ผลักตัวนางออกมาอย่างง่ายดายและเดินจากไปโดยไม่มีความรู้สึกอะไรเลย
“ เจ้าว่า ถ้าข้าหักปีกมันทิ้ง มันจะทำหน้าอย่างไร? “
“ เย็นไว้ก่อน อสูรโลกันย์ มันเองก็ใช่ว่ากระจอก ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นคนโปรดของจ้าวอสูรได้เหรอ “ ดอกไม้ป่า พยายามห้ามปราบเอาไว้เพราะอย่างไร ทมิฬดำ ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีฝีมือคนหนึ่ง อีกทั้งยังมีจ้าวอสูรคอยหนุนหลังอยู่ด้วย
แต่ อสูรโลกันย์ ก็ยังทำท่าทางอยากจะเข้าฉีกเนื้อ ทมิฬดำ เป็นชิ้นๆอยู่ดี
“ กะอีกแค่วิชากิ๊กก๊อก พรรณนั้นไม่เห็นน่ากลัวตรงไหนเลย “
“ ถึงจะไม่กลัว แต่เวลานี้เราทำอะไรมันไม่ได้ ก็ควรปล่อยมันไปก่อน อย่าหาเรื่องใส่ตัวดีกว่าน่า “ ดอกไม้ป่าว่า พลางใช้นิ้วม้วนผมตัวเอง เจรจาเสียงเจื้อยแจ้ว
“ เป็นถึงกุนซืออสูร แทนที่จะอยู่ฝ่ายเดียวกับเรา กลับไปถือหางพวกขุนพลมารเสียนี้ คิดแล้วมันน่าเจ็บใจนัก หากไม่มีมันสักคนพวกขุนพลมารก็เหมือนพวกหมาหัวเน่า “
พูดแล้วก็อดหันมาต่อว่า ดอกไม้ป่า อีกคนไม่ได้
“ ดอกไม้ป่า เจ้ายังไม่เลิกยุ่งกับ มันจาปา อีกหรือ? “
นางทำหน้าระรื่นและยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามนี้
“ ก็แค่ของเล่นคั่นเวลาเท่านั้นแหละ เอาไว้แกล้งยั่วให้นางนั่นอกแตกตาย “
อสูรน้ำและโกมายูร ไม่ชอบฟังเรื่องนินทาของชาวบ้านมากนัก จึงเดินเลี่ยงออกมา
“ เจ้าสองคนจะไปไหน? “
อสูรน้ำ หันกลับมาตอบว่า
“ ข้าสองคนจะไปตรวจดูบริเวณรอบๆ ภูผาอสูรหน่อย ขอตัวก่อน “ ทั้งสองจากไปโดยไม่รอฟังว่าอีกสามคนที่เหลือจะว่าอย่างไร
“ สองคนนี้ก็เหลือเกิน ใจเย็นกันอยู่ได้  “ ถึงอสูรโลกันย์ จะไม่พอใจที่ อสูรน้ำ และ โกมายูร ทำเป็นไม่เดือนเนื้อร้อนใจ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก ได้แต่หันมามาทางที่ ทมิฬดำ เดินจากไปแล้วด้วยความอยากรู้ว่า ทมิฬดำ จะมีข้อแก้ตัวอะไรกับจ้าวอสูร ที่ทำให้ตัวเองไม่ต้องรับโทษจากการทำงานที่ผิดพลาด
“ คอยดูเถอะ ทมิฬดำ สักวันหนึ่งข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่า การที่เจ้าอยู่ข้างพวกขุนพลมารเป็นสิ่งที่ผิด “
..ทมิฬดำ เดินมาตามทางจนถึงห้องทำพิธีของจ้าวอสูรกัลย์ปาอสูร เขาค่อยๆใช้มือผลักประตูศิลาเข้าไปอย่างแผ่วเบา คล้ายกลัวว่าจะทำให้ผู้ที่อยู่ข้างในรำคาญเสียงที่เกิดขึ้น แม้ประตูศิลาจะหนักซักเพียงไหนแต่แค่เขาใช้มือผลักแค่เบาๆ ประตูศิลาก็ถูกเปิดออกอย่างง่ายดาย ภายห้องพิธีนั้นมีเพียงแสงสว่างจากเปลวเทียนที่สาดส่องให้เห็นภายในห้อง  ภาพแรกที่เขาพบเห็นหลังจากเปิดประตูศิลาก็คือบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งกำลังยืนหันหลังให้กับเขา ถัดจากนั้นเป็นอาวุธหกชิ้นที่เหมือนจะเปล่งเสียงคำรามร้องลั่น ต่อหน้าผู้ที่ยืนอยู่ คล้ายพบเจอกับศัตรูคู่แค้น
“ จ้าวอสูร ข้าพระองค์มาแล้ว พระเจ้าข้า “
บุรุษหนุ่มผู้นั้นค่อยๆ หันหลังกลับมามอง
“ มาแล้วหรือ ทมิฬดำ ข้ากำลังอยากพบอยู่พอดี “
ใบหน้าเช่นนี้มีเพียงเขาแค่คนเดียวเท่านั้น เป็นความน่ากลัวที่ยิ่งกว่าความน่ากลัวใดๆในโลก
“ จ้าวอสูรกัลย์ปาอสูร “
อสูรปีกดำ ก้มตัวคาราวะอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม
“ พระองค์เรียกหาข้ามีอะไรให้ข้ารับใช้ หรือพระเจ้าข้า “
อสูรสามหน้าหกมือ ไม่ได้เดินเข้าไปหาทมิฬดำ แม้แต่น้อย แต่พอ ทมิฬดำ เงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าตัวของเขาได้เคลื่อนย้ายมาอยู่ต่อหน้ากัลย์ปาอสูรแล้ว
“ ข้าไม่มีอะไรที่จะใช้เจ้า เพียงแค่อยากจะรู้เท่านั้น “
“ พระองค์ต้องการทรงทราบสิ่งใด? “
กัลย์ปาอสูร ตวัดสายตาจ้องมอง ทมิฬดำ เหมือนมองเขาให้ทะลุ แม้แต่ ทมิฬดำ ที่ว่าแน่ ยังต้องรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนเมื่อถูกกัลย์ปาอสูรจ้องมองแบบนี้
“ มันจาปา จับพวก อินทรนาคราช ได้หรือเปล่า? “
แม้จะเตรียมใจและเตรียมคำตอบไว้แล้วแต่ ทมิฬดำ ก็ยังนิ่งอยู่นิดหนึ่งเหมือนลังเลว่าจะตอบคำถามอย่างไรดี ก่อนค่อยๆ ทูลตอบว่า
“ ไม่ได้ พระเจ้าข้า พวก อินทรนาคราช หนีไปได้ “
“ หึๆๆ นึกแล้วไม่มีผิด ว่า มันจาปา ต้องทำงานล้มเหลว ฝีมืออย่าง อินทรนาคราช ไม่ใช่ว่าใครจะจับเขาได้ง่ายๆ แต่ข้ามีข้อสงสัยอยู่อย่างหนึ่ง .. “
ทมิฬดำ รู้สึกแตกตื่นยิ่งนักที่ร่างของตนลอยขึ้นมาอย่างทันทีทันใดเหมือนถูกพลังที่ไร้รูปรัดตึงและยกขึ้น ก่อนที่ กัลย์ปาอสูร จะใช้เล็บจิ้มเข้าไปที่คอของเขา
“ ทำไมเจ้าถึงปล่อยให้พวกมันหนีไป ทั้งๆที่เจ้ามีปัญญาจะจับตัวพวกมันมาได้ “
ทมิฬดำ ระงับความหวาดกลัวที่ซ่อนอยู่ ก่อนจะทูลตอบว่า
“ ข้าพระองค์รู้สึกเสียดาย หากจะปล่อยให้พวกมันตายอย่างง่ายๆ พระเจ้าข้า “
กัลย์ปาอสูร ส่งเสียงร้องหัวเราะอย่างชอบใจ พร้อมทั้งเก็บนิ้ว ส่วน ทมิฬดำ รีบคุกเข่าลงไปเช่นเดิมเมื่อรู้สึกว่าพลังที่คุกคามเขานั้นได้หายไปแล้ว
“ ฮะๆๆ นิสัยเสียของเจ้านี้แก้ไม่หายจริงๆ “
“ คงจะเป็นเช่นนั้นพระเจ้าข้า เพราะข้าพระองค์ชื่นชอบการฆ่าคนที่เก่งๆ และจะรู้สึกน่าตื่นเต้นยิ่งขึ้นไปอีกหากคนเหล่านั้นต้องจนมุม เหมือนหนูที่อยู่ในอุ้งเท้าของราชสีห์ มันทำให้ข้าพระองค์ รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก “
“ งั้นเหรอ? “  กัลย์ปาอสูร เคลื่อนกายเข้าหา ทมิฬดำ และพูดว่า
“ งั้นเจ้าเคยคิดจะฆ่า ข้าบ้างหรือเปล่าล่ะ? “
ทมิฬดำ พูดไม่ถูกตอบไม่ได้ เพราะกับ กัลย์ปาอสูร เอง เขาก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองมีความรู้สึกเช่นนี้หรือไม่
“ เออ ข้าพระองค์ “
“ เจ้าจะลองดูหน่อยไหม? “
กัลย์ปาอสูร ค่อยๆ ยื่นมือเขาหา ทมิฬดำ อย่างช้าๆ แม้ไม่ได้ใช้พลังใดๆ ออกมาเลยแต่กลับทำให้ ทมิฬดำ ต้องหวาดหวั่น
“ เฮือก “
ทมิฬดำ สะดุ้งตกใจเหงื่อกาฬไหลทั่วร่าง เมื่อรู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าตัวเอง ถอยหลังห่างออกมาจาก กัลย์ปาอสูร ถึงห้าก้าว
“ หึๆๆ วิชาอสูรคืนชีพ ของเจ้าร้ายกาจ ก็จริง แต่ใช่ว่า จะทำลายไม่ได้ จริงไหม? “
ทมิฬดำ ไม่ได้เอ่ยตอบว่ากระไร ก้มหน้าลงเหมือนยอมรับ ส่วน กัลย์ปาอสูร หันหน้ากลับมามองอาวุธทั้งหกชิ้นที่ตั้งวางอยู่
“ เรื่องนั้นช่างเถอะ มาพูดถึงเรื่องสำคัญดีกว่า ตอนนี้ข้าทำพิธีชุบอาวุธทั้งหกสำเร็จแล้ว “
“ ข้าพระองค์ ขอแสดงความยินดีด้วย พระเจ้าข้า “
แต่ กัลย์ปาอสูร กลับถอนหายใจ
“ แต่น่าเสียดาย ถึงแม้ว่าข้าจะชุบอาวุธทั้งหกสำเร็จ แต่ข้าก็ยังไม่สามารถควบคุมอาวุธทั้งหกได้ดังใจนึก คิดไม่ถึงเลยว่าแรงอาฆาตของ ราชาอสูรทั้งหก จะรุนแรงถึงเพียงนี้ “
“ ถ้าเช่นนั้น ก็เท่ากับว่าที่พระองค์ทำมาทรงสูญเปล่า หรือพระเจ้าข้า? “
กัลย์ปาอสูร ส่ายหน้า
“ ไม่หรอก ทมิฬดำ ถึงข้าจะยังควบคุมอาวุธทั้งหกยังไม่ได้ดังใจ แต่อานุภาพของมันก็รุนแรงสะท้านฟ้าแล้ว ยิ่งมีแรงอาฆาตแฝงอยู่ในอาวุธด้วย ความร้ายกาจของมันก็เหลือจะพรรณนา “
อสูรสามหน้า เปล่งประกายแห่งพลังที่ซ่อนอยู่ก่อนหันมาออกคำสั่งกับ ทมิฬดำ
“ ทมิฬดำ เจ้าจงฟังข้าให้ดี ข้ามีงานที่จะให้เจ้าทำ “
“ ทรงรับสั่งมาเถอะ พระเจ้าข้า “
“ ข้าจะเก็บตัวบำเพ็ญตน หลอมรวมวิชาอสูรทั้งหมดเพื่อควบคุมอาวุธทั้งหก ข้าจะให้เจ้าและพวกขุนพลเงา เฝ้าดูแล ภูผาอสูร อย่าให้ใครล่วงล้ำเข้ามาได้เป็นอันขาด ส่วนพวกขุนพลมารปล่อยให้ทำหน้าที่ของพวกมันไป เจ้าเข้าใจแล้วใช่ไหม? “
“ พระเจ้าข้า “
กัลย์ปาอสูรรู้ว่า ที่เขาสั่งมานี้ ค่อนข้างจะลำบากไม่น้อยสำหรับ ทมิฬดำ
“ ถึงเจ้าจะไม่กินเส้นกับ พวกขุนพลเงา ซักเท่าไร ก็อย่าทำให้งานผิดพลาดล่ะ “
“ ความจริง ตัวข้าพระองค์ไม่มีเรื่องบาดหมางอะไร เพียงแค่ต้องการถ่วงดุลอำนาจของ ขุนพลเงา เท่านั้นเอง “
“ เรื่องนั้นข้ารู้ดีเจ้าเป็นกุนซืออสูรของภูผาอสูรย่อมทำตามหน้าที่ การจะให้ขุนพลมารหรือขุนพลเงากลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมีอำนาจมากเกินไป ย่อมเป็นสิ่งที่เจ้ายอมไม่ได้ เอาเถอะข้าให้สิทธิ์ขาดเจ้าเต็มที่ในการบังคับบัญชา พวกขุนพลมาร กับขุนพลเงา แต่อย่าทำอะไรให้ผิดพลาดขึ้นมาก็แล้วกัน “
“ พระเจ้าข้า “ ทมิฬดำ น้อมรับคำสั่ง
“ ดี งั้นเจ้าออกไปได้แล้ว ข้าจะเริ่มหลอมรวมวิชาของข้าเข้ากับอาวุธทั้งหก อย่าให้ใครเข้ามารบกวนข้าได้ “
“ ถ้าเช่นนั้นข้าพระองค์ขอทูลลา “
ทมิฬดำ ค่อยๆเคลื่อนกายออกจากห้องพิธีอย่างช้าๆ พอพ้นปากประตู ประตูศิลาทั้งสองด้านก็เคลื่อนเข้ามาปิดในทันที
“ ปัง “
ทมิฬดำ เดินออกมาจากบริเวณนั้นและครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา
‘ หากเมื่อกี้ข้าถูกจ้าวอสูรจับเอาไว้ได้ ชีวิตของข้าคงต้องจบลงเป็นแน่ ’
คิดแล้วก็น่ากลัวยิ่งนัก ทมิฬดำ สลัดความคิดทั้งหมดออกรีบเหาะลงมาจากภูผาอสูร ลงมาสู่พื้นเบื้องล่าง ก่อนหันมาฟาดฝ่ามือลงสู่พื้นที่ยืนอยู่หนึ่งครั้ง พลันปรากฏกลุ่มอสูรโผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน หากมองดูให้ดีๆ อสูรเหล่านี้ล้วนแต่เคยถูก อินทรนาคราช และ จลนันทนาคราช สังหารด้วยเพลิงนาคาทั้งสิ้น
“ นายท่าน “
ทมิฬดำ รู้ว่าลูกน้องจะพูดอะไร
“ ยกเลิกการติดตาม อินทรนาคราช ข้ามีงานด่วนที่จะให้พวกเจ้าทำ ตามข้ามา “
“ แต่พวกข้า . “
“ เรื่องแก้แค้นเมื่อไรก็ทำได้ แต่ตอนนี้มีงานที่สำคัญกว่า พวกเจ้าไม่ต้องห่วง เรื่องเอาคืนพวกมันข้าต้องทำแน่ หากข้ายังอยู่พวกเจ้าก็จะไม่มีวันตาย เรื่องนี้เอาไว้สะสางกันทีหลัง “
เหล่าลูกสมุนเดินตามนายอย่างเป็นระเบียบและไม่กล้าขัดใจ
------------------------------------
ที่บ้านไม้ไผ่ น้ำทิพย์ที่สาม กับ ชมพูมุกดา กำลังอยู่ภายในบ้าน ทั้งสองกำลังนอนพูดคุยถึงเรื่องการศึกของนครเตมินทร์
“ ดูท่า เจ้าหญิงสิริกันยา ทรงจะไม่พอพระทัย อนันตวาโย มาก “
“ ก็คงอย่างนั้นแหละ เพื่อนท่านเล่นหักหน้านางขนาดนั้น นางไม่โกรธก็แปลกล่ะ “
นิ้วมือของ ชมพูมุกดา ลูบไล้ไปตามแผงอกของเขา
“ นั้นแหละที่ข้าเป็นห่วง ถึงดู อนันตวาโย จะเป็นคนขี้เล่นก็เถอะแต่ลึกๆแล้วเขาเป็นคนที่ชอบเอาชนะผู้หญิง ยี่งเจ้าหญิงสิริกันยาไม่ชอบหน้าเขามากเท่าไร เขาก็ยังจะสยบนางให้ได้มากเท่านั้น “
ชมพูมุกดา ใช้นิ้วแตะที่จมูกเขาเล่น
“ ท่านกลัวว่า จะเกิดศึกชิงรักหักสวาท ขึ้นระหว่าง ปทุมเกสร กับ สิริกันยา ใช่ไหม? “
น้ำทิพย์ที่สาม รู้สึกทึ่งไม่น้อยที่นางเข้าใจเขาไปเสียหมด
“ เจ้ารู้ใจข้าไปเสียหมด แล้วเจ้าคิดว่าที่ข้าคิดไว้มันจะผิดพลาดหรือเปล่า? “
ชมพูมุกดาส่ายหน้า
“ ไม่หรอก ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน เพื่อนของท่านเป็นหนุ่มรูปงาม มีเสน่ห์กับหญิงสาว แรกๆเจ้าหญิงสิริกันยา อาจจะบึ้งตึงใส่เขา แต่พอนานไปอาจเป็นนางเองที่ต้องน้ำตาเช็ดหัวเข่า “
“ ด้วยเหตุนี้ใช่ไหมที่เจ้าถึงมาเลือกข้าแทน “  น้ำทิพย์ที่สามถาม พลางกอดรัดนาง
“ เปล่า “ นางปฏิเสธ
“ เพราะท่านทำตัวห่างเหินกับผู้หญิงต่างหาก ข้าถึงได้สนใจ หากเป็นประเภทเดียวกับ อนันตวาโย แล้วล่ะก็ ข้าซัดท่านให้กระดูกหักสามสี่ท่อนก่อนสับเป็นชิ้นๆโยนให้แร้งกากิน “
น้ำทิพย์ที่สามสะดุ้งโหยง
“ มะไม่โหดไปหน่อยหรือจ๊ะ เมียจ๋า “
นางมีสีหน้าอมยิ้ม  ก่อนกระซิบกับข้างหูเขา
“ ข้าล้อเล่นนะ ใครจะกล้าทำร้ายสามีสุดที่รักได้ลงคอ “
สิงห์หนุ่ม ค่อยโล่งใจหน่อย
“ แล้วเจ้าไม่ใช่สุดที่รักของข้าหรอกหรือ ข้าเห็นนะว่า เจ้าชายอภัยวงค์ ทรงมองเจ้าตาไม่กระพริบเชียว “
“ ท่านหึงหรือ? “
“ ถ้าไม่หึง มีหรือจะพูดให้ได้ยิน “
ถึงเวลานี้นางต้องง้อเขาบ้าง
“ อย่าหึงไปหน่อยเลย ท่านก็รู้ว่าข้ารักท่านคนเดียว “
น้ำทิพย์ที่สาม จับคางของนางเล่น
“ เจ้าชอบทำให้ข้ากลัวอยู่เรื่อยเชียว “
“ เลิกพูดเรื่องนี้ดีกว่า “ นางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ก่อนขยับเข้ามาซบกับอกเขา
“ มาพูดถึงเรื่องการศึกของนครเตมินทร์เถอะ ท่านบอกข้าว่า อนันตวาโย เขาหากองทัพช่วยรบได้แล้วไม่ใช่หรือ? “
“ ใช่ “ น้ำทิพย์ที่สาม ยอมรับ
“ อนันตวาโย บอกข้าว่าพวกขุนศึกวายุ จะมาถึงนครเตมินทร์วันเดียวกับเจ้าชายอภัยวงค์มาถึง แต่นี้ก็ผ่านมาสี่วันแล้ว ยังไม่ได้ข่าวคราวจากขุนศึกวายุเลย “
ชมพูมุกดา อดตำหนิสามีไม่ได้
“ ท่านก็น่าจะรู้ว่า ตระกูลวานร ไม่มีใครบังคับพวกเขาได้ ถึงเขารับปากจะมาแต่ใช่ว่าจะตรงเวลาเสมอไป หากเป็นรับสั่งของพระรามก็ว่าไปอย่าง “
“ ที่เจ้าพูดมาก็ถูก แต่ข้าเชื่อว่าชายชาติทหารต่อให้เหลวไหลเพียงไหน การศึกย่อมต้องสำคัญเสมอ อย่างไรพวกเขาก็ต้องมาแน่ “
เรื่องนี้ ชมพูมุกดา ก็เชื่อเช่นนั้น ถึงแม้ตระกูลวานรจะเอาใจตัวเองเป็นใหญ่ แต่หากรับปากใครแล้วเรื่องที่จะบิดพริ้วนั้นไม่มีเลย
“ แล้วท่านวางแผนรับศึกอย่างไรบ้าง? “
“ บอกตรงๆ ข้ายังคิดไม่ออก “
นางคิดช่วยเหลือสามี
“ ข้าคิดว่าควรแบ่งทัพออกเป็น ๒ กอง  กองแรกเป็นของขุนศึกวายุ ให้พวกเขาจัดการกับกองทัพอสูรที่ยกมา กองทัพที่สอง กองทัพของนครเตมินทร์กับนครวิสัญเทพ ให้ดูแลนครเตมินทร์เอาไว้ ท่านเห็นว่าอย่างไร? “
“ ที่เจ้าว่ามาก็ดี ทัพของขุนศึกวายุ มีความคล่องตัวและว่องไว เหมาะให้เป็นหน่วยจู่โจม มากกว่า แต่เสียดายเรายังไม่รู้ว่า กองทัพอสูรที่ยกมา มีใครเป็นหัวหน้าอยู่ หากเป็นเมื่อก่อนข้าคงคิดว่าเป็นนายกองอสูรทีมุน “
ชมพูมุกดา นิ่งคิดนิดหนึ่ง
“ หากข้าเดาไม่ผิด กองทัพอสูรต้องได้รับข่าวแล้วว่า มีกองทัพใดใน ๔ กองทัพของกองทัพประตูมนุษย์ที่เหล่านายกองอสูรยกมาถูกตีแตก ไม่อย่างนั้นกองทัพประตูสวรรค์ และประตูนรกคงไม่มีการเคลื่อนไหวเช่นนี้ “
“ หากเป็นอย่างที่เจ้าว่า ถ้าเช่นนั้นนายกองอสูรทีมุนคงไม่ใช่หัวหน้าแน่ แต่จะต้องเป็นขุนพลมารคนใดคนหนึ่งเป็นแม่ทัพในการศึกครั้งนี้ “
“ ถ้าเช่นนั้นข้าว่า ท่านควรให้กองสอดแนบของนครเตมินทร์ ออกวาดตะเวนในเขตชายแดนดีกว่า หากเรารู้ว่าพวกมันบุกมาถึงเมื่อไหวจะได้ต้านรับได้ทัน “
“ เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้ อนันตวาโย ติดตามเจ้าหญิงสิริกันยา ออกไปดูลาดเลาแล้วอีกไม่นานก็คงจะพอรู้คำตอบ “
ชมพูมุกดา นึกถึงทั้งสองแล้วก็อดขำไม่ได้
“ แล้วนี้ สองคนนั้นไม่ทะเลาะกันตลอดทางหรอกหรือ? “
“ อนันตวาโย บอกข้าว่าจะแอบตามนางไปไม่ให้นางรู้ตัว “
“ ถ้าหากนางรู้ว่า อนันตวาโย ตามไปด้วย คงอาละวาดน่าดู “
น้ำทิพย์ที่สาม หัวเราะอย่างชอบใจ
“ มีหรือเมียข้าจะเดาอะไรผิดพลาด “
แต่จู่ๆ น้ำทิย์ที่สาม ก็พลันมีสีหน้าแปลกๆ ขึ้นมา คล้ายกับว่าพูดไม่ออกบอกไม่ถูก แต่ชมพูมุกดา กลับยิ้มออกมาอย่างพอใจ ก่อนค่อยๆส่งปากบางๆของนางเข้ามาหาเขา เหตุที่เขารู้สึกอัดอัดก็เพราะว่าเวลานี้มีอีกคนหนึ่งค่อยๆโผล่ขึ้นมาผ้าที่เขาห่มอยู่ จน น้ำทิพย์ที่สาม ต้องผลักตัวนางออกมาถาม
“ วันนี้พวกเจ้าไม่รวมร่างกันหรือ? “ น้ำทิพย์ที่สาม ถามด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
สองสาวยิ้มแบบเจ้าเล่ห์
“ ไม่ล่ะ ข้าอยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง? “
และแล้วบทเพลงบทเดิมก็ได้บรรเลงขึ้นอีกครั้ง หากแต่คราวนี้กลับเป็นสามร่างที่นอนกอดก่ายกันแทน แต่ขณะที่พวกเขากำลังมีความสุขกันอยู่นั้นหารู้ไม่ว่าเวลานี้ ร่างน้อยๆร่างหนึ่งได้นอนสลบนิ่งไม่ไหวติงอยู่ริมลำธารใกล้ๆกับบ้านไม้ไผ่แล้ว ที่มือของนางทั้งสองข้างยังคงกำห่วงโลหะทั้งสองชิ้นไว้แน่น บ่งบอกว่าเพิ่งผ่านศึกที่หนักหนาสาหัสมาไม่นานนี้
จบตอนที่ ๓๐ ครับ  ผมว่า มณีมรกต กับ ชมพูมุกดา ก็คงประมาณฝาแฝดคู่นี้แหละครับ ถ้าผมเป็นน้ำทิพย์ที่สาม  ผมก็ต้องหวงเหมือนกันแหละ คุณผู้อ่านว่าไหม? แต่จะว่าไปมองดูรูปนี้กี่ที ก็รู้สึกรักพี่เสียดายน้อง อย่าหาว่าผมโลภมากเลยนะ แฮะๆๆ  ถ้าทำได้ผมก็อยากได้ทั้งสองคนนั้นแหละ จะว่าเจ้าชู้ก็ยอมละครับ ^^”
http://www.mthai.com/webboard/upload_images/44948.jpg
http://www.mthai.com/webboard/upload_images/44948_656088.jpg
http://www.mthai.com/webboard/upload_images/44948_656107.jpg
ตอนที่ ๓๐ ห้ามารแห่งเงามืด
    ณ ปราสาทเทพยันต์ ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พระอินทร์ กำลังทรงนั่งอยู่บนอาสนะ ข้างพระวรกายมี เทพมาตุลี คอยเฝ้าอยู่ใกล้ๆ พลันต้องแปลกพระทัยเมื่อจู่ๆ อาสนะ ของพระองค์ พลันแข็งกระด้างขึ้นมา
‘ เอ! อะไรกัน ทำไมอยู่ๆ ทิพย์อาสน์ ของเราจากที่อ่อนนุ่มถึงได้แข็งกระด้างขึ้นมาเช่นนี้ ’
เรื่องที่ประหลาดนี้ทำให้พระองค์ต้องทรงนิ่งตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง
‘ สงสัย คงจะมีผู้มีบุญ กำลังตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่ ’  เมื่อทรงคิดเช่นนั้นจึงยื่นพระหัตถ์หยิบแว่นทิพย์ขึ้นมามองดูเหตุการณ์ต่างๆในโลกมนุษย์
ในแว่นทิพย์ปรากฏภาพของ เมธาวดี กุสุมาวดี กรรณิการ์นาคี ซึ่งกำลังต่อสู้อยู่กับขุนพลมารมันจาปา เหตุการณ์ต่างๆดำเนินไปเรื่อยๆจนถึงภาพสุดท้ายคือภาพของ กรรณิการ์นาคี ที่กำลังจะถูก ขุนพลมารมันจาปา ทำร้าย
“ อย่างนี้ๆเอง มิน่า ทิพย์อาสน์ ของเราถึงได้พลันแข็งกระด้างขึ้นมา  กรรณิการ์นาคี มีบุญบารีที่สะสมมาตั้งแต่ชาติปางก่อนทั้งยังเป็นเนื้อคู่ของ อนันตวาโย อีกด้วย จะว่าไปนางน่าจะได้อยู่กับ อนันตวาโย ตั้งนานแล้ว หากเขาไม่ได้รับเลือกให้ออกมาปราบกัลย์ปาอสูรเสียก่อน “
ความคิดหนึ่งแล่นมาในทันที
“ ได้การล่ะ “  ทรงสรวลยิ้ม ก่อนยกพระหัตถ์ของพระองค์ขึ้นแล้วกวาดวาดไปในอากาศ ภาพในแว่นทิพย์เกิดการเปลี่ยนแปลง มีพายุใหญ่ หอบพัดพาร่างของ กรรณิการ์นาคี ลอยหายไปต่อหน้าต่อตา ขุนพลมารมันจาปา ทำให้นางหลุดพ้นจาก อันตรายที่ใกล้จะถึงตัว
“ เพียงเท่านี้ก็แก้ปัญหาได้แล้ว “
“ พระองค์ ทรงทำเช่นนี้จะดีหรือ? พระเจ้าข้า “ ผู้ที่ทูลถามคือเทพมาตุลีนั้นเอง
“ ทำไมเจ้าถึงคิดว่า สิ่งที่เราทำนั้นจะไม่ดี เทพมาตุลี “
“ ข้าพระองค์เกรงว่า การที่พระองค์ทรงทำเช่นนี้ อาจถูกพวกอสูรครหาได้ว่า พระองค์ทรงวางตัวไม่เป็นกลาง พระเจ้าข้า “
เหตุผลนี้ก็น่าคิดอยู่ แต่พระอินทร์ทรงตรัสกับเทพมาตุลีว่า
“ เปล่าเลยเทพมาตุลี เราวางตัวเป็นกลางแล้ว เจ้าก็เห็นว่าเราแค่ช่วย กรรณิการ์นาคี เพียงแค่คนเดียว มิได้ช่วยเหลือคนอื่นๆ เลย หากเราช่วยเหลือคนอื่นๆด้วยสิถึงจะว่าเราไม่เป็นกลางได้ อีกอย่างหนึ่งดวงชะตาของ กรรณิการ์นาคี ยังไม่ถึงฆาต อีกทั้งนางยังมีบุญบารีหนุนส่งอยู่ด้วย ต่อให้เราไม่ช่วยนาง นางก็หาได้รับอันตรายใดๆไม่ ดังนั้นที่เราช่วยนางก็เท่ากับทำตามพรหมลิขิตแล้ว “
แต่นั้นก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องเดียวที่ เทพมาตุลี กลัว
“ แล้วถ้าเกิดพวกนาครู้เข้าล่ะ พระเจ้าข้า ว่าพระองค์ส่งนางไปพบกับ อนันตวาโย พวกเขามิมากล่าวโทษพระองค์หรือ? ”
พระอินทร์หาได้ปริวิตกแต่ประการใด
“ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว เทพมาตุลี เรามิได้ส่ง กรรณิการ์นาคี ไปหาใครทั้งสิ้น เราเพียงแค่ให้พายุพัดพานางไปเท่านั้นเอง ส่วนพายุนั้นจะพัดพานางไปแห่งหนใด เรามิอาจรู้ได้ นั้นแล้วแต่บุญกรรมที่นางได้ทำมา “
ถึงกระนั้นเทพมาตุลี ก็ยังอดห่วงมิได้
“ เฮ้อ! หากพวกนาคเข้าใจเช่นนั้น ก็ดีสิพระเจ้าข้า โดยเฉพาะพระนางกิณยราตี  “ เทพมาตุลีว่า
“ เอาเถอะ เทพมาตุลี ใครจะเข้าใจกันอย่างไร ก็ปล่อยเขาไปเถอะ แต่ตอนนี้เจ้าช่วยลงไปบอกให้ อินทรนาคราช และคนอื่นๆ ว่าอย่าได้วิตกกังวลในการหายตัวไปของ กรรณิการ์นาคี เลย ให้พวกเขามุ่งหน้าไปนครตรีสุวรรณเช่นเดิมเถอะ เพราะเมื่อถึงนครตรีสุวรรณแล้วพวกเขาจะรับข่าวคราวของ กรรณิการ์นาคี เอง “
เมื่อทรงรับสั่งเช่นนั้น เทพมาตุลี ก็น้อมรับพระบัญชา ทูลลาพระองค์ ก่อนออกจากปราสาทเทพยันต์ลงไปยังโลกมนุษย์
-------------------------------------------
.ภายในทางเดินที่ค่อนข้างแคบและมืดของภูผาอสูร ทมิฬดำ เดินเข้าไปยังทางเชื่อมต่อระหว่างห้องบัญชาการรบกับห้องทำพิธีของจ้าวอสูร เส้นทางเหล่านี้เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี หากแต่ก็ต้องชะงักฝีเท้าเมื่อพบว่ามีกลุ่มคน ๕ คนแอบซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดและทั้งหมดต่างแอบจ้องมองมาที่ตัวเขา
“ หือ ..อือออ “ ทมิฬดำ เอียงคอไปมาแกล้งทำเป็นพินิจพิจารณาฝ่ายตรงข้าม ก่อนที่จะแยกเขี้ยวให้ได้เห็นและดีดนิ้วหนึ่งครั้ง กระถางคบเพลิงซึ่งวางตั้งเรียงรายไว้ตามทางต่างบังเกิดไฟลุกโหมขึ้นมาเหมือนมีคนมาจุด แสงจากคบเพลิงสาดส่องให้เห็นพวกเขาทั้งหมดอย่างชัดเจน แต่ถึงแม้จะไม่มีแสงจากคบเพลิง ทมิฬดำ ก็รู้พอจะรู้อยู่แล้วว่ากลุ่มคนที่แอบมองเขาอยู่คือใคร
“ มองอยู่ตั้งนานแล้วไม่เมื่อยบ้างหรือไง อสูรโลกันย์? “ เสียงแหลมๆ เล็กๆ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ถ้าใครไม่รู้คงคิดว่าผู้พูดกำลังพูดเยาะอีกฝ่ายเป็นแน่
“ หึ เสียงของเจ้านี้กวนอวัยวะเบื้องล่างของข้าเสียจริงๆ “ คนที่ก้าวออกมาจากที่ซ่อนเป็นคนแรกเป็นชายใส่ชุดสีเหลืองทั้งชุด แต่ตัวเสื้อนั้นผ่าเฉียงออกมาครึ่งหนึ่งทำให้ได้เห็นความบึกบึนของกล้ามเนื้อที่บริเวณแขนและหน้าอก ท่าทางของเขาดูดุดันและไม่ค่อยเป็นมิตรกับ ทมิฬดำ ซักเท่าไร
“ แค่มองนิดมองหน่อยก็คิดมากไปได้ ทมิฬดำ “  ถัดจากคนเมื่อครู่นี้ก็มีคนเดินตามออกมาด้วยอีกคนหนึ่ง เป็นชายใส่ชุดสีน้ำเงินมีผ้าคลุมสีดำอยู่ข้างหลัง  ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือก็เดินออกมาจากที่ซ่อนด้วยเช่นกัน คนหนึ่งเป็นชายใส่ชุดขนสัตว์ดูลักษณะท่าทางแล้วแคล้วคล่องว่องไว ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นชายใส่ชุดสีฟ้าครามมองดูแล้วให้ความรู้สึกสบายตาและเยือกเย็น ส่วนคนสุดท้ายเป็นหญิงสาวรูปร่างอรชร หน้าตาสะสวย ใส่เสื้อผ้าสีสันฉูดฉาด ทำให้ดูมีเสน่ห์กับเพศตรงข้าม
“ จะให้ข้าคิดน้อยคงจะไม่ได้แล้วละมั๊ง ลัมไพรี มีใครบางล่ะที่อยากจะถูกพวกเจ้าซุ่มดูอยู่อย่างนี้ “
“ ระดับเจ้าก็กลัวเป็นกับเขาด้วยหรือ? “ ลัมไพรี รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทีเกรงกลัวดังที่ตัวเองพูดเลยแม้แต่น้อย ส่วน ทมิฬดำ นั้นไม่ได้ตอบคำถามแต่อย่างใด แต่ค่อยๆพูดอย่างช้าๆ และเรียกพวกเขาว่า
“ มีอะไรกับข้าอย่างนั้นหรือ? ..ขุนพลเงา “
ชาย ๔ หญิง ๑ พวกเขาคือ
“ ๕ องครักษ์ของจ้าวอสูรกัลย์ปาอสูร ๕ยอดฝีมือขุนพลเงา  อสูรน้ำ  อสูรโลกันย์  โกมายูร ลัมไพรี  ดอกไม้ป่า “
“ ก็แค่อยากจะดูหน้า เจ้าหนูมีปีกบางตัวที่ทำงานไม่สำเร็จ แถมยังต้องซมซานกลับรังอย่างน่าเวทนา ก็เท่านั้นเอง “ อสูรโลกันย์ ว่า
แต่ละถ้อยคำที่ถากถาง ทำเอาแววตาของ ทมิฬดำ แวววับ พร้อมกับเลียริมฝีปากของตนเองคล้ายกับว่ากำลังจะได้ลิ้มรสเลือดสดๆจากอสูรปากสุนัขบางตน
“ เหรออออออออ  ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็น่ายินดี “
“ น่ายินดี อะไร? “ ลัมไพรี ขยับตัวเข้ามาใกล้ อสูรโลกันย์ เหมือนเตรียมพร้อมหากจะปะทะฝีมือกับผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“ ก็น่ายินดีที่ข้า ได้ยินเสียงสุนัขรับใช้บางตัว เห่ารับตั้งแต่ปากทางเข้านะสิ “
“ เจ้า . “ อสูรโลกันย์ได้ยิน ถึงกับเลือดขึ้นหน้า เดินเข้าหา ทมิฬดำ ในทันที
“ อย่า “  อสูรน้ำ ผู้ที่สุขมและเยือกเย็นที่สุดในกลุ่ม ใช้แขนของตนขวางอสูรโลกันย์และ ลัมไพรี เอาไว้ พร้อมทั้งส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามปราม
“ หึ “ อสูรโลกันย์ สะบัดหน้าอย่างขัดใจที่ทำอะไร ทมิฬดำ ไม่ได้
หากไม่ใช่ อสูรน้ำ เป็นคนห้ามปรามมีหรือ อสูรโลกันย์ จะยอม ส่วน ลัมไพรี แม้จะไม่พอใจเช่นกันแต่เมื่อ อสูรโลกันย์ ไม่อาจลงมือได้ เขาก็จำเป็นต้องเฉยไว้ก่อน
“ หมดธุระของพวกเจ้าแล้วใช่ไหม? ถ้างั้นข้าไปล่ะ “ ทมิฬดำ ไม่สนใจและไม่รอคำตอบของอีกฝ่าย เดินฝ่าวงล้อมออกไป
“ เดี๋ยวก่อน “ คนที่ร้องห้ามคือโกมายูร
“ มีอะไรอีก? “
“ คราวหน้าคราวหลัง ถ้าคิดจะด่าใคร อย่าให้มันพาดพิงมาถึงข้าด้วย ไม่อย่างนั้นครั้งต่อไปเจ้าเจ็บตัวแน่ “
ทมิฬดำ มีสีหน้าอมยิ้มเล็กน้อย
“ เจ้าเป็นจิ้งจอกไม่ใช่หรือ? “
“ แล้วมันต่างจากสุนัขตรงไหน? “ โกมันยูรว่า
“ โอ๊ะ โอ ข้าลืมไป งั้นก็ขอโทษด้วย “ อสูรปีกดำ ทำเป็นไม่สนใจเดินจากออกมาแต่สุดท้ายเขาก็ถูก ดอกไม้ป่า เดินเข้ามาขวางทางเอาไว้อีกเช่นกัน ท่าทางที่ดูยั่วยวนของนางเหมือนดอกไม้ที่ส่งกลิ่นเกสรเพื่อล่อหมู่ภมรให้เข้ามาดอมดม แต่น่าเสียดายที่ใช้กับ ทมิฬดำ ไม่ได้ผล
“ เอาเวลาที่เจ้ามาขวางทางข้า ไปหาชู้รักของเจ้าหน่อยจะไม่ดีกว่าหรือ? “ 
ดอกไม้ป่า กรีดกรายเข้าหา ทมิฬดำ และโอบคอเขาเอาไว้ ก่อนเจรจาฉ้อเลาะด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวานแต่แววตากลับแฝงความน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก
“ ของตายแบบนั้นมีอะไรน่าสนใจ  สู้ของเป็นอย่างเจ้าก็ไม่ได้น่าสนใจกว่าตั้งเยอะ ถ้าคืนนี้เจ้าว่างแวะมาหาข้าที่ห้องได้นะ “ นางจีบปากจีบคอพูดคุยกับ ทมิฬดำ มือไม้ก็ไล่ไต่ไปตามตัวของเขา
“ ขอบใจ บังเอิญข้าปีนต้นงิ้วมาบ่อยแล้ว ยกเว้นเจ้าไว้สักคนบ้างก็น่าจะดี “ อสูรปีกดำ ผลักตัวนางออกมาอย่างง่ายดายและเดินจากไปโดยไม่มีความรู้สึกอะไรเลย
“ เจ้าว่า ถ้าข้าหักปีกมันทิ้ง มันจะทำหน้าอย่างไร? “
“ เย็นไว้ก่อน อสูรโลกันย์ มันเองก็ใช่ว่ากระจอก ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นคนโปรดของจ้าวอสูรได้เหรอ “ ดอกไม้ป่า พยายามห้ามปราบเอาไว้เพราะอย่างไร ทมิฬดำ ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีฝีมือคนหนึ่ง อีกทั้งยังมีจ้าวอสูรคอยหนุนหลังอยู่ด้วย
แต่ อสูรโลกันย์ ก็ยังทำท่าทางอยากจะเข้าฉีกเนื้อ ทมิฬดำ เป็นชิ้นๆอยู่ดี
“ กะอีกแค่วิชากิ๊กก๊อก พรรณนั้นไม่เห็นน่ากลัวตรงไหนเลย “
“ ถึงจะไม่กลัว แต่เวลานี้เราทำอะไรมันไม่ได้ ก็ควรปล่อยมันไปก่อน อย่าหาเรื่องใส่ตัวดีกว่าน่า “ ดอกไม้ป่าว่า พลางใช้นิ้วม้วนผมตัวเอง เจรจาเสียงเจื้อยแจ้ว
“ เป็นถึงกุนซืออสูร แทนที่จะอยู่ฝ่ายเดียวกับเรา กลับไปถือหางพวกขุนพลมารเสียนี้ คิดแล้วมันน่าเจ็บใจนัก หากไม่มีมันสักคนพวกขุนพลมารก็เหมือนพวกหมาหัวเน่า “
พูดแล้วก็อดหันมาต่อว่า ดอกไม้ป่า อีกคนไม่ได้
“ ดอกไม้ป่า เจ้ายังไม่เลิกยุ่งกับ มันจาปา อีกหรือ? “
นางทำหน้าระรื่นและยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามนี้
“ ก็แค่ของเล่นคั่นเวลาเท่านั้นแหละ เอาไว้แกล้งยั่วให้นางนั่นอกแตกตาย “
อสูรน้ำและโกมายูร ไม่ชอบฟังเรื่องนินทาของชาวบ้านมากนัก จึงเดินเลี่ยงออกมา
“ เจ้าสองคนจะไปไหน? “
อสูรน้ำ หันกลับมาตอบว่า
“ ข้าสองคนจะไปตรวจดูบริเวณรอบๆ ภูผาอสูรหน่อย ขอตัวก่อน “ ทั้งสองจากไปโดยไม่รอฟังว่าอีกสามคนที่เหลือจะว่าอย่างไร
“ สองคนนี้ก็เหลือเกิน ใจเย็นกันอยู่ได้  “ ถึงอสูรโลกันย์ จะไม่พอใจที่ อสูรน้ำ และ โกมายูร ทำเป็นไม่เดือนเนื้อร้อนใจ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก ได้แต่หันมามาทางที่ ทมิฬดำ เดินจากไปแล้วด้วยความอยากรู้ว่า ทมิฬดำ จะมีข้อแก้ตัวอะไรกับจ้าวอสูร ที่ทำให้ตัวเองไม่ต้องรับโทษจากการทำงานที่ผิดพลาด
“ คอยดูเถอะ ทมิฬดำ สักวันหนึ่งข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่า การที่เจ้าอยู่ข้างพวกขุนพลมารเป็นสิ่งที่ผิด “
..ทมิฬดำ เดินมาตามทางจนถึงห้องทำพิธีของจ้าวอสูรกัลย์ปาอสูร เขาค่อยๆใช้มือผลักประตูศิลาเข้าไปอย่างแผ่วเบา คล้ายกลัวว่าจะทำให้ผู้ที่อยู่ข้างในรำคาญเสียงที่เกิดขึ้น แม้ประตูศิลาจะหนักซักเพียงไหนแต่แค่เขาใช้มือผลักแค่เบาๆ ประตูศิลาก็ถูกเปิดออกอย่างง่ายดาย ภายห้องพิธีนั้นมีเพียงแสงสว่างจากเปลวเทียนที่สาดส่องให้เห็นภายในห้อง  ภาพแรกที่เขาพบเห็นหลังจากเปิดประตูศิลาก็คือบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งกำลังยืนหันหลังให้กับเขา ถัดจากนั้นเป็นอาวุธหกชิ้นที่เหมือนจะเปล่งเสียงคำรามร้องลั่น ต่อหน้าผู้ที่ยืนอยู่ คล้ายพบเจอกับศัตรูคู่แค้น
“ จ้าวอสูร ข้าพระองค์มาแล้ว พระเจ้าข้า “
บุรุษหนุ่มผู้นั้นค่อยๆ หันหลังกลับมามอง
“ มาแล้วหรือ ทมิฬดำ ข้ากำลังอยากพบอยู่พอดี “
ใบหน้าเช่นนี้มีเพียงเขาแค่คนเดียวเท่านั้น เป็นความน่ากลัวที่ยิ่งกว่าความน่ากลัวใดๆในโลก
“ จ้าวอสูรกัลย์ปาอสูร “
อสูรปีกดำ ก้มตัวคาราวะอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม
“ พระองค์เรียกหาข้ามีอะไรให้ข้ารับใช้ หรือพระเจ้าข้า “
อสูรสามหน้าหกมือ ไม่ได้เดินเข้าไปหาทมิฬดำ แม้แต่น้อย แต่พอ ทมิฬดำ เงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าตัวของเขาได้เคลื่อนย้ายมาอยู่ต่อหน้ากัลย์ปาอสูรแล้ว
“ ข้าไม่มีอะไรที่จะใช้เจ้า เพียงแค่อยากจะรู้เท่านั้น “
“ พระองค์ต้องการทรงทราบสิ่งใด? “
กัลย์ปาอสูร ตวัดสายตาจ้องมอง ทมิฬดำ เหมือนมองเขาให้ทะลุ แม้แต่ ทมิฬดำ ที่ว่าแน่ ยังต้องรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนเมื่อถูกกัลย์ปาอสูรจ้องมองแบบนี้
“ มันจาปา จับพวก อินทรนาคราช ได้หรือเปล่า? “
แม้จะเตรียมใจและเตรียมคำตอบไว้แล้วแต่ ทมิฬดำ ก็ยังนิ่งอยู่นิดหนึ่งเหมือนลังเลว่าจะตอบคำถามอย่างไรดี ก่อนค่อยๆ ทูลตอบว่า
“ ไม่ได้ พระเจ้าข้า พวก อินทรนาคราช หนีไปได้ “
“ หึๆๆ นึกแล้วไม่มีผิด ว่า มันจาปา ต้องทำงานล้มเหลว ฝีมืออย่าง อินทรนาคราช ไม่ใช่ว่าใครจะจับเขาได้ง่ายๆ แต่ข้ามีข้อสงสัยอยู่อย่างหนึ่ง .. “
ทมิฬดำ รู้สึกแตกตื่นยิ่งนักที่ร่างของตนลอยขึ้นมาอย่างทันทีทันใดเหมือนถูกพลังที่ไร้รูปรัดตึงและยกขึ้น ก่อนที่ กัลย์ปาอสูร จะใช้เล็บจิ้มเข้าไปที่คอของเขา
“ ทำไมเจ้าถึงปล่อยให้พวกมันหนีไป ทั้งๆที่เจ้ามีปัญญาจะจับตัวพวกมันมาได้ “
ทมิฬดำ ระงับความหวาดกลัวที่ซ่อนอยู่ ก่อนจะทูลตอบว่า
“ ข้าพระองค์รู้สึกเสียดาย หากจะปล่อยให้พวกมันตายอย่างง่ายๆ พระเจ้าข้า “
กัลย์ปาอสูร ส่งเสียงร้องหัวเราะอย่างชอบใจ พร้อมทั้งเก็บนิ้ว ส่วน ทมิฬดำ รีบคุกเข่าลงไปเช่นเดิมเมื่อรู้สึกว่าพลังที่คุกคามเขานั้นได้หายไปแล้ว
“ ฮะๆๆ นิสัยเสียของเจ้านี้แก้ไม่หายจริงๆ “
“ คงจะเป็นเช่นนั้นพระเจ้าข้า เพราะข้าพระองค์ชื่นชอบการฆ่าคนที่เก่งๆ และจะรู้สึกน่าตื่นเต้นยิ่งขึ้นไปอีกหากคนเหล่านั้นต้องจนมุม เหมือนหนูที่อยู่ในอุ้งเท้าของราชสีห์ มันทำให้ข้าพระองค์ รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก “
“ งั้นเหรอ? “  กัลย์ปาอสูร เคลื่อนกายเข้าหา ทมิฬดำ และพูดว่า
“ งั้นเจ้าเคยคิดจะฆ่า ข้าบ้างหรือเปล่าล่ะ? “
ทมิฬดำ พูดไม่ถูกตอบไม่ได้ เพราะกับ กัลย์ปาอสูร เอง เขาก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองมีความรู้สึกเช่นนี้หรือไม่
“ เออ ข้าพระองค์ “
“ เจ้าจะลองดูหน่อยไหม? “
กัลย์ปาอสูร ค่อยๆ ยื่นมือเขาหา ทมิฬดำ อย่างช้าๆ แม้ไม่ได้ใช้พลังใดๆ ออกมาเลยแต่กลับทำให้ ทมิฬดำ ต้องหวาดหวั่น
“ เฮือก “
ทมิฬดำ สะดุ้งตกใจเหงื่อกาฬไหลทั่วร่าง เมื่อรู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าตัวเอง ถอยหลังห่างออกมาจาก กัลย์ปาอสูร ถึงห้าก้าว
“ หึๆๆ วิชาอสูรคืนชีพ ของเจ้าร้ายกาจ ก็จริง แต่ใช่ว่า จะทำลายไม่ได้ จริงไหม? “
ทมิฬดำ ไม่ได้เอ่ยตอบว่ากระไร ก้มหน้าลงเหมือนยอมรับ ส่วน กัลย์ปาอสูร หันหน้ากลับมามองอาวุธทั้งหกชิ้นที่ตั้งวางอยู่
“ เรื่องนั้นช่างเถอะ มาพูดถึงเรื่องสำคัญดีกว่า ตอนนี้ข้าทำพิธีชุบอาวุธทั้งหกสำเร็จแล้ว “
“ ข้าพระองค์ ขอแสดงความยินดีด้วย พระเจ้าข้า “
แต่ กัลย์ปาอสูร กลับถอนหายใจ
“ แต่น่าเสียดาย ถึงแม้ว่าข้าจะชุบอาวุธทั้งหกสำเร็จ แต่ข้าก็ยังไม่สามารถควบคุมอาวุธทั้งหกได้ดังใจนึก คิดไม่ถึงเลยว่าแรงอาฆาตของ ราชาอสูรทั้งหก จะรุนแรงถึงเพียงนี้ “
“ ถ้าเช่นนั้น ก็เท่ากับว่าที่พระองค์ทำมาทรงสูญเปล่า หรือพระเจ้าข้า? “
กัลย์ปาอสูร ส่ายหน้า
“ ไม่หรอก ทมิฬดำ ถึงข้าจะยังควบคุมอาวุธทั้งหกยังไม่ได้ดังใจ แต่อานุภาพของมันก็รุนแรงสะท้านฟ้าแล้ว ยิ่งมีแรงอาฆาตแฝงอยู่ในอาวุธด้วย ความร้ายกาจของมันก็เหลือจะพรรณนา “
อสูรสามหน้า เปล่งประกายแห่งพลังที่ซ่อนอยู่ก่อนหันมาออกคำสั่งกับ ทมิฬดำ
“ ทมิฬดำ เจ้าจงฟังข้าให้ดี ข้ามีงานที่จะให้เจ้าทำ “
“ ทรงรับสั่งมาเถอะ พระเจ้าข้า “
“ ข้าจะเก็บตัวบำเพ็ญตน หลอมรวมวิชาอสูรทั้งหมดเพื่อควบคุมอาวุธทั้งหก ข้าจะให้เจ้าและพวกขุนพลเงา เฝ้าดูแล ภูผาอสูร อย่าให้ใครล่วงล้ำเข้ามาได้เป็นอันขาด ส่วนพวกขุนพลมารปล่อยให้ทำหน้าที่ของพวกมันไป เจ้าเข้าใจแล้วใช่ไหม? “
“ พระเจ้าข้า “
กัลย์ปาอสูรรู้ว่า ที่เขาสั่งมานี้ ค่อนข้างจะลำบากไม่น้อยสำหรับ ทมิฬดำ
“ ถึงเจ้าจะไม่กินเส้นกับ พวกขุนพลเงา ซักเท่าไร ก็อย่าทำให้งานผิดพลาดล่ะ “
“ ความจริง ตัวข้าพระองค์ไม่มีเรื่องบาดหมางอะไร เพียงแค่ต้องการถ่วงดุลอำนาจของ ขุนพลเงา เท่านั้นเอง “
“ เรื่องนั้นข้ารู้ดีเจ้าเป็นกุนซืออสูรของภูผาอสูรย่อมทำตามหน้าที่ การจะให้ขุนพลมารหรือขุนพลเงากลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมีอำนาจมากเกินไป ย่อมเป็นสิ่งที่เจ้ายอมไม่ได้ เอาเถอะข้าให้สิทธิ์ขาดเจ้าเต็มที่ในการบังคับบัญชา พวกขุนพลมาร กับขุนพลเงา แต่อย่าทำอะไรให้ผิดพลาดขึ้นมาก็แล้วกัน “
“ พระเจ้าข้า “ ทมิฬดำ น้อมรับคำสั่ง
“ ดี งั้นเจ้าออกไปได้แล้ว ข้าจะเริ่มหลอมรวมวิชาของข้าเข้ากับอาวุธทั้งหก อย่าให้ใครเข้ามารบกวนข้าได้ “
“ ถ้าเช่นนั้นข้าพระองค์ขอทูลลา “
ทมิฬดำ ค่อยๆเคลื่อนกายออกจากห้องพิธีอย่างช้าๆ พอพ้นปากประตู ประตูศิลาทั้งสองด้านก็เคลื่อนเข้ามาปิดในทันที
“ ปัง “
ทมิฬดำ เดินออกมาจากบริเวณนั้นและครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา
‘ หากเมื่อกี้ข้าถูกจ้าวอสูรจับเอาไว้ได้ ชีวิตของข้าคงต้องจบลงเป็นแน่ ’
คิดแล้วก็น่ากลัวยิ่งนัก ทมิฬดำ สลัดความคิดทั้งหมดออกรีบเหาะลงมาจากภูผาอสูร ลงมาสู่พื้นเบื้องล่าง ก่อนหันมาฟาดฝ่ามือลงสู่พื้นที่ยืนอยู่หนึ่งครั้ง พลันปรากฏกลุ่มอสูรโผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน หากมองดูให้ดีๆ อสูรเหล่านี้ล้วนแต่เคยถูก อินทรนาคราช และ จลนันทนาคราช สังหารด้วยเพลิงนาคาทั้งสิ้น
“ นายท่าน “
ทมิฬดำ รู้ว่าลูกน้องจะพูดอะไร
“ ยกเลิกการติดตาม อินทรนาคราช ข้ามีงานด่วนที่จะให้พวกเจ้าทำ ตามข้ามา “
“ แต่พวกข้า . “
“ เรื่องแก้แค้นเมื่อไรก็ทำได้ แต่ตอนนี้มีงานที่สำคัญกว่า พวกเจ้าไม่ต้องห่วง เรื่องเอาคืนพวกมันข้าต้องทำแน่ หากข้ายังอยู่พวกเจ้าก็จะไม่มีวันตาย เรื่องนี้เอาไว้สะสางกันทีหลัง “
เหล่าลูกสมุนเดินตามนายอย่างเป็นระเบียบและไม่กล้าขัดใจ
------------------------------------
ที่บ้านไม้ไผ่ น้ำทิพย์ที่สาม กับ ชมพูมุกดา กำลังอยู่ภายในบ้าน ทั้งสองกำลังนอนพูดคุยถึงเรื่องการศึกของนครเตมินทร์
“ ดูท่า เจ้าหญิงสิริกันยา ทรงจะไม่พอพระทัย อนันตวาโย มาก “
“ ก็คงอย่างนั้นแหละ เพื่อนท่านเล่นหักหน้านางขนาดนั้น นางไม่โกรธก็แปลกล่ะ “
นิ้วมือของ ชมพูมุกดา ลูบไล้ไปตามแผงอกของเขา
“ นั้นแหละที่ข้าเป็นห่วง ถึงดู อนันตวาโย จะเป็นคนขี้เล่นก็เถอะแต่ลึกๆแล้วเขาเป็นคนที่ชอบเอาชนะผู้หญิง ยี่งเจ้าหญิงสิริกันยาไม่ชอบหน้าเขามากเท่าไร เขาก็ยังจะสยบนางให้ได้มากเท่านั้น “
ชมพูมุกดา ใช้นิ้วแตะที่จมูกเขาเล่น
“ ท่านกลัวว่า จะเกิดศึกชิงรักหักสวาท ขึ้นระหว่าง ปทุมเกสร กับ สิริกันยา ใช่ไหม? “
น้ำทิพย์ที่สาม รู้สึกทึ่งไม่น้อยที่นางเข้าใจเขาไปเสียหมด
“ เจ้ารู้ใจข้าไปเสียหมด แล้วเจ้าคิดว่าที่ข้าคิดไว้มันจะผิดพลาดหรือเปล่า? “
ชมพูมุกดาส่ายหน้า
“ ไม่หรอก ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน เพื่อนของท่านเป็นหนุ่มรูปงาม มีเสน่ห์กับหญิงสาว แรกๆเจ้าหญิงสิริกันยา อาจจะบึ้งตึงใส่เขา แต่พอนานไปอาจเป็นนางเองที่ต้องน้ำตาเช็ดหัวเข่า “
“ ด้วยเหตุนี้ใช่ไหมที่เจ้าถึงมาเลือกข้าแทน “  น้ำทิพย์ที่สามถาม พลางกอดรัดนาง
“ เปล่า “ นางปฏิเสธ
“ เพราะท่านทำตัวห่างเหินกับผู้หญิงต่างหาก ข้าถึงได้สนใจ หากเป็นประเภทเดียวกับ อนันตวาโย แล้วล่ะก็ ข้าซัดท่านให้กระดูกหักสามสี่ท่อนก่อนสับเป็นชิ้นๆโยนให้แร้งกากิน “
น้ำทิพย์ที่สามสะดุ้งโหยง
“ มะไม่โหดไปหน่อยหรือจ๊ะ เมียจ๋า “
นางมีสีหน้าอมยิ้ม  ก่อนกระซิบกับข้างหูเขา
“ ข้าล้อเล่นนะ ใครจะกล้าทำร้ายสามีสุดที่รักได้ลงคอ “
สิงห์หนุ่ม ค่อยโล่งใจหน่อย
“ แล้วเจ้าไม่ใช่สุดที่รักของข้าหรอกหรือ ข้าเห็นนะว่า เจ้าชายอภัยวงค์ ทรงมองเจ้าตาไม่กระพริบเชียว “
“ ท่านหึงหรือ? “
“ ถ้าไม่หึง มีหรือจะพูดให้ได้ยิน “
ถึงเวลานี้นางต้องง้อเขาบ้าง
“ อย่าหึงไปหน่อยเลย ท่านก็รู้ว่าข้ารักท่านคนเดียว “
น้ำทิพย์ที่สาม จับคางของนางเล่น
“ เจ้าชอบทำให้ข้ากลัวอยู่เรื่อยเชียว “
“ เลิกพูดเรื่องนี้ดีกว่า “ นางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ก่อนขยับเข้ามาซบกับอกเขา
“ มาพูดถึงเรื่องการศึกของนครเตมินทร์เถอะ ท่านบอกข้าว่า อนันตวาโย เขาหากองทัพช่วยรบได้แล้วไม่ใช่หรือ? “
“ ใช่ “ น้ำทิพย์ที่สาม ยอมรับ
“ อนันตวาโย บอกข้าว่าพวกขุนศึกวายุ จะมาถึงนครเตมินทร์วันเดียวกับเจ้าชายอภัยวงค์มาถึง แต่นี้ก็ผ่านมาสี่วันแล้ว ยังไม่ได้ข่าวคราวจากขุนศึกวายุเลย “
ชมพูมุกดา อดตำหนิสามีไม่ได้
“ ท่านก็น่าจะรู้ว่า ตระกูลวานร ไม่มีใครบังคับพวกเขาได้ ถึงเขารับปากจะมาแต่ใช่ว่าจะตรงเวลาเสมอไป หากเป็นรับสั่งของพระรามก็ว่าไปอย่าง “
“ ที่เจ้าพูดมาก็ถูก แต่ข้าเชื่อว่าชายชาติทหารต่อให้เหลวไหลเพียงไหน การศึกย่อมต้องสำคัญเสมอ อย่างไรพวกเขาก็ต้องมาแน่ “
เรื่องนี้ ชมพูมุกดา ก็เชื่อเช่นนั้น ถึงแม้ตระกูลวานรจะเอาใจตัวเองเป็นใหญ่ แต่หากรับปากใครแล้วเรื่องที่จะบิดพริ้วนั้นไม่มีเลย
“ แล้วท่านวางแผนรับศึกอย่างไรบ้าง? “
“ บอกตรงๆ ข้ายังคิดไม่ออก “
นางคิดช่วยเหลือสามี
“ ข้าคิดว่าควรแบ่งทัพออกเป็น ๒ กอง  กองแรกเป็นของขุนศึกวายุ ให้พวกเขาจัดการกับกองทัพอสูรที่ยกมา กองทัพที่สอง กองทัพของนครเตมินทร์กับนครวิสัญเทพ ให้ดูแลนครเตมินทร์เอาไว้ ท่านเห็นว่าอย่างไร? “
“ ที่เจ้าว่ามาก็ดี ทัพของขุนศึกวายุ มีความคล่องตัวและว่องไว เหมาะให้เป็นหน่วยจู่โจม มากกว่า แต่เสียดายเรายังไม่รู้ว่า กองทัพอสูรที่ยกมา มีใครเป็นหัวหน้าอยู่ หากเป็นเมื่อก่อนข้าคงคิดว่าเป็นนายกองอสูรทีมุน “
ชมพูมุกดา นิ่งคิดนิดหนึ่ง
“ หากข้าเดาไม่ผิด กองทัพอสูรต้องได้รับข่าวแล้วว่า มีกองทัพใดใน ๔ กองทัพของกองทัพประตูมนุษย์ที่เหล่านายกองอสูรยกมาถูกตีแตก ไม่อย่างนั้นกองทัพประตูสวรรค์ และประตูนรกคงไม่มีการเคลื่อนไหวเช่นนี้ “
“ หากเป็นอย่างที่เจ้าว่า ถ้าเช่นนั้นนายกองอสูรทีมุนคงไม่ใช่หัวหน้าแน่ แต่จะต้องเป็นขุนพลมารคนใดคนหนึ่งเป็นแม่ทัพในการศึกครั้งนี้ “
“ ถ้าเช่นนั้นข้าว่า ท่านควรให้กองสอดแนบของนครเตมินทร์ ออกวาดตะเวนในเขตชายแดนดีกว่า หากเรารู้ว่าพวกมันบุกมาถึงเมื่อไหวจะได้ต้านรับได้ทัน “
“ เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้ อนันตวาโย ติดตามเจ้าหญิงสิริกันยา ออกไปดูลาดเลาแล้วอีกไม่นานก็คงจะพอรู้คำตอบ “
ชมพูมุกดา นึกถึงทั้งสองแล้วก็อดขำไม่ได้
“ แล้วนี้ สองคนนั้นไม่ทะเลาะกันตลอดทางหรอกหรือ? “
“ อนันตวาโย บอกข้าว่าจะแอบตามนางไปไม่ให้นางรู้ตัว “
“ ถ้าหากนางรู้ว่า อนันตวาโย ตามไปด้วย คงอาละวาดน่าดู “
น้ำทิพย์ที่สาม หัวเราะอย่างชอบใจ
“ มีหรือเมียข้าจะเดาอะไรผิดพลาด “
แต่จู่ๆ น้ำทิย์ที่สาม ก็พลันมีสีหน้าแปลกๆ ขึ้นมา คล้ายกับว่าพูดไม่ออกบอกไม่ถูก แต่ชมพูมุกดา กลับยิ้มออกมาอย่างพอใจ ก่อนค่อยๆส่งปากบางๆของนางเข้ามาหาเขา เหตุที่เขารู้สึกอัดอัดก็เพราะว่าเวลานี้มีอีกคนหนึ่งค่อยๆโผล่ขึ้นมาผ้าที่เขาห่มอยู่ จน น้ำทิพย์ที่สาม ต้องผลักตัวนางออกมาถาม
“ วันนี้พวกเจ้าไม่รวมร่างกันหรือ? “ น้ำทิพย์ที่สาม ถามด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
สองสาวยิ้มแบบเจ้าเล่ห์
“ ไม่ล่ะ ข้าอยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง? “
และแล้วบทเพลงบทเดิมก็ได้บรรเลงขึ้นอีกครั้ง หากแต่คราวนี้กลับเป็นสามร่างที่นอนกอดก่ายกันแทน แต่ขณะที่พวกเขากำลังมีความสุขกันอยู่นั้นหารู้ไม่ว่าเวลานี้ ร่างน้อยๆร่างหนึ่งได้นอนสลบนิ่งไม่ไหวติงอยู่ริมลำธารใกล้ๆกับบ้านไม้ไผ่แล้ว ที่มือของนางทั้งสองข้างยังคงกำห่วงโลหะทั้งสองชิ้นไว้แน่น บ่งบอกว่าเพิ่งผ่านศึกที่หนักหนาสาหัสมาไม่นานนี้
จบตอนที่ ๓๐ ครับ  ผมว่า มณีมรกต กับ ชมพูมุกดา ก็คงประมาณฝาแฝดคู่นี้แหละครับ ถ้าผมเป็นน้ำทิพย์ที่สาม  ผมก็ต้องหวงเหมือนกันแหละ คุณผู้อ่านว่าไหม? แต่จะว่าไปมองดูรูปนี้กี่ที ก็รู้สึกรักพี่เสียดายน้อง อย่าหาว่าผมโลภมากเลยนะ แฮะๆๆ  ถ้าทำได้ผมก็อยากได้ทั้งสองคนนั้นแหละ จะว่าเจ้าชู้ก็ยอมละครับ ^^”
http://www.mthai.com/webboard/upload_images/44948.jpg
http://www.mthai.com/webboard/upload_images/44948_656088.jpg
http://www.mthai.com/webboard/upload_images/44948_656107.jpg
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น