ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศึกเทพอสูรมหาสงคราม

    ลำดับตอนที่ #31 : พิษรักของวายุ

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 294
      1
      4 ม.ค. 48

    ศึกเทพอสูรมหาสงคราม

    ตอนที่ ๓๑ พิษรักของวายุ



        ไม่ว่าเรื่องราวต่างๆในโลกนี้จะเกิดผลออกมาในรูปแบบใดก็ตาม จะต้องมีสาเหตุที่เป็นปัจจัยทำให้ผลเหล่านั้นเกิดขึ้น แน่นอนว่าหลักการนี้ยังคงใช้ได้เสมอมา รวมทั้งความขัดแย้งระหว่างขุนพลเงาและขุนพลมาร หากจะพูดให้ตรงจุดก็คือ “ อำนาจ ” เป็นต้นเหตุของความขัดแย้งของทั้งสองฝ่าย นับตั้งแต่จ้าวอสูรรวบรวมเหล่ายอดฝีมือมารเข้ามาอยู่รวมกันจนสามารถสร้างกองทัพของตนเองออกเป็น ๓ กองทัพใหญ่ได้นั้น ก็ได้แต่งตั้งอสูรฝีมือดี ๙ ตนให้เข้ามาเป็นขุนพลมารและให้สังกัดอยู่ในแต่ละกองทัพ แต่ในขณะเดียวกันจ้าวอสูรเองก็ได้คัดเลือกอสูรที่เก่งกาจอีก ๕ ตนเข้ามาเป็นขุนพลเงา เพื่อให้เป็นองครักษ์คอยรับใช้อยู่ใกล้ตัว และนั้นก็เป็นการจุดชนวนความขัดแย้งของเรื่องนี้  เนื่องจากขุนพลเงายึดถือว่าตัวเองมีฝีมือรองจากจ้าวอสูรผู้เป็นนายเท่านั้น จึงมีความคิดที่ว่าพวกตนย่อมอยู่เหนือพวกขุนพลมารและมีสิทธิ์สั่งการทุกอย่างในฐานะเจ้านายอันดับที่สอง แทบไม่ต้องคิดเลยว่าความคิดนี้จะทำให้เกิดการต่อต้านจากกลุ่มขุนพลมารอย่างแรง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีฝีมือด้อยกว่าพวกขุนพลเงามาก แต่เมื่อต่างฝ่ายต่างอยู่ในฐานะที่เป็นระดับขุนพลเหมือนกันจึงยอมไม่ได้ที่พวกตนเองจะต้องตกอยู่ใต้อำนาจของพวกขุนพลเงาโดยไร้อิสรภาพ ทำให้เกิดการงัดข้อกันอย่างดุเดือดระหว่างกลุ่มขุนพลมารกับกลุ่มขุนพลเงาขึ้นมา ทุกอย่างที่พูดมาทำท่าว่าจะลุกลามใหญ่โตจนไม่อาจควบคุมได้ หากไม่ปรากฏคนผู้หนึ่งเข้ามาในภูผาอสูร เขาเป็นคนเดียวที่ทำให้ความขัดแย้งนี้เกิดความสมดุลขึ้น และเป็นคนเดียวที่กุมอำนาจอยู่ในมือยิ่งกว่า กลุ่มขุนพลมารและกลุ่มขุนพลเงา  คนๆนั้นก็คือ ทมิฬดำ  ทมิฬดำ เป็นอสูรที่จ้าวอสูรไว้ใจและเชื่อถือมากที่สุด เขาเป็นนักวางแผนตัวยง  งานใดก็ตามที่  ทมิฬดำ ลงมือด้วยตนเองแล้วทุกอย่างแทบจะสำเร็จดั่งสมประสงค์ เขาจึงเป็นที่รักและชื่นชอบของจ้าวอสูรนัก ด้วยความสามารถที่โดดเด่นนี้ส่งให้เขาก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง กุนซืออสูรของภูผาอสูร ทั้งยังควบตำแหน่งหัวหน้ากองรบอสูรทมิฬ และกองรบอสูรอมตะอีกด้วย ในตอนแรกกลุ่มขุนพลเงา เองต่างก็หวังไว้ว่าจะดึงตัวทมิฬดำ ให้เข้าเป็นพวกและกำราบพวกขุนพลมารให้อยู่ใต้อาณัติอย่างราบคาบ แต่แล้วเหตุการณ์กลับไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาคิดเอาไว้ เพราะ ทมิฬดำ กลับเห็นว่าหากให้พวกขุนพลมารตกอยู่ใต้อำนาจของพวกขุนพลเงา อาจทำให้เสถียรภาพภายในภูผาอสูรเกิดความปั่นป่วนและสั่นคลอนขึ้นมาได้ ทมิฬดำ จึงหันมาให้การสนับสนุนกลุ่มของขุนพลมารอย่างออกหน้าออกตา ทำให้ตาชั่งที่โอนเอนใกล้จะแตกหักเกิดความสมดุลขึ้นมา ทั้งยังสามารถทำให้ทั้งสองฝ่ายทำงานแยกกันได้อย่างสิ้นเชิงและต่างก็ขึ้นตรงต่อจ้าวอสูรผู้เป็นนายเพียงแค่คนเดียว การที่ ทมิฬดำ ทำเช่นนี้สร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มขุนพลเงาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะ อสูรโลกันย์ ซึ่งเป็นตัวตั้งตัวตีเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น แต่ด้วยฐานะและแรงหนุนของจ้าวอสูรทำให้กลุ่มขุนพลเงาไม่อาจก่อสงครามอย่างซึ่งหน้าได้ ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่พียงแค่คอยซ้ำเติมเวลาที่พวกขุนพลมารทำงานผิดพลาดและหาทางให้จ้าวอสูรลดบทบาทของ ทมิฬดำ ลงเท่านั้น โดยหวังไว้ว่าสักวันหนึ่งพวกเขาจะสามารถเหยียบพวกขุนพลมารให้อยู่ใต้ฝ่าเท้าให้จงได้



    -------------------------------

        

        ...สุดชายป่าไกลห่างออกจากนครเตมินทร์ เป็นเขตรอยต่อระหว่างนครเตมินทร์ กับเทือกเขาใหญ่เวลานี้กลุ่มทหารฝีมือดีของนครวิสัญเทพ กำลังเฝ้าแอบซุ่มดูความเคลื่อนไหวของเหล่าอสูรที่รุกคืบใกล้เข้ามา ที่พุ่มไม้ด้านหนึ่งมีทหารพลัดกันเข้าออกอยู่ตลอดเวลา เมื่อมองเข้าไปก็เห็นหญิงสาวนางหนึ่งกำลังนั่งฟังรายงานจากเหล่าทหารอยู่

        

    “ อย่างที่ข้าพระองค์กราบทูลให้ทรงทราบ ตอนนี้กองทัพอสูรเคลื่อนพลใกล้นครเตมินทร์เข้ามาแล้ว ข้าพระองค์คาดว่าอีกไม่เกิน ๕ ราตีนี้ คงมาถึงที่นี้เป็นแน่ “



    หญิงสาวทำท่าทางครุ่นคิดหนัก



    “ ขนาดพวกเรายกกันมาเพียงนิดเดียวยังเสียเวลาตั้ง ๗-๘ วัน พวกมันเคลื่อนพลมาได้ไวขนาดนี้เชียวหรือ? “



    ทหารกราบทูลว่า



    “ พวกมันมีม้าฝีเท้าดี ทำให้พวกมันเคลื่อนพลมาเร็วมากขนาดนี้ ทั้งยังเดินทางทั้งวันทั้งคืนอีกด้วยพระเจ้าข้า “



    เมื่อรู้เช่นนั้นแล้วมีหรือจะใจเย็นอยู่ได้



    “ ไม่ได้ พวกเราจะยอมให้พวกมันยกทัพผ่านเขตชายแดนนี้ไปไม่ได้เด็ดขาด หากมันข้ามเทือกเขานั้นมาและรวมพลกันได้เมื่อไร การที่จะจัดกระบวนทัพแล้วบุกยึดนครเตมินทร์ จะง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปากเสียอีก “



    “ องค์หญิงจะต้านทัพของพวกมันที่นี้หรือพระเจ้าข้า ข้าพระองค์เกรงว่ากำลังของเราไม่เพียงพอที่จะต้านรับกองทัพใหญ่ขนาดนั้นได้ “ ทหารนายหนึ่งทูลแย้ง



    นั้นเป็นความจริงที่ไม่อาจหลีกเหลี่ยงเวลานี้นางต้องการกำลังเสริมอย่างเร่งด่วน



    “ พวกเจ้าส่งม้าเร็วไปส่งข่าวให้เจ้าพี่อภัยวงค์ทรงทราบ ให้เจ้าพี่ทรงนำกำลังมาเสริมที่นี้โดยเร็วที่สุด ข้าไม่อยากให้เสียเวลาไปมากกว่านี้ หากช้าอาจจะไม่ทันการ “



    “ พระเจ้าข้า “ หนึ่งในเหล่าทหารทำตามรับสั่งของเจ้าหญิงสิริกันยาในทันที



    เจ้าหญิงแห่งนครวิสัญเทพออกคำสั่งกับทหารทุกคน



    “ จัดวางกำลังไว้รอซุ่มโจมตี ใช้ยุทธวิถีแบบกองโจร หาทางตัดการรวบพลของพวกมันให้มากที่สุด ให้กระทำอย่างม้าที่กินหญ้าไปเรื่อยๆแต่กินให้นานๆ “  ( กลอุบายม้ากินส่วย หมายถึง ทำการตัดกำลังการเคลื่อนที่ของข้าศึก เช่น ทำลายสะพาน สร้างกับดัก ทำลายเสบียงอาหาร หวังผลให้ข้าศึกอ่อนล้าและเสียเวลา เพื่อรอเวลาการบุกเข้าโจมตี )



    “ พระเจ้าข้า “



    เหล่าทหารที่เหลือรีบปฏิบัติตามรับสั่งในทันที  ช่วยกันลำเลียงไม้และขุดหลุมพลางเพื่อสร้างกับดักสำหรับรับมือศัตรู สิริกันยา อยู่ควบคุมการดำเนินงานของเหล่าทหารจนเวลาล่วงเลยจนใกล้จะพลบค่ำ เหล่านางกำนัลที่ตามเสด็จจึงได้ทูลว่า



    “ พระธิดาเพคะ นี้ก็ใกล้ค่ำแล้วพระองค์น่าจะเสด็จไปทรงน้ำได้แล้วนะเพคะ “



    เมื่อนางกำนัลทักท้วง สิริกันยา ถึงได้รู้สึกตัว



    “ จริงอย่างที่เจ้าว่า เราลืมเสียสนิทเลย ถ้างั้นเราฝากทางนี้ไว้ด้วยแล้วกัน ท่านอำมาตย์ไกรเดช “



    อำมาตย์ใหญ่แห่งนครเตมินทร์รู้งานเป็นอย่างดี



    “ ทรงไม่ต้องเป็นห่วงพระเจ้าข้า ข้าพระองค์จะดูแลทางนี้เอง “ แล้วก็หันมาสั่งทหารสองคนให้ตามเสด็จไปอารักขาเจ้าหญิงด้วย



    “ เจ้าสองคนตามไปอารักขาเจ้าหญิงด้วย “

    “ ขอรับ \" ทหารสองนายขานรับคำสั่ง



    “ ถ้าอย่างนั้นเจ้าสองคนก็ตามเราไปด้วยก็แล้วกัน “



    “ เพคะ “ สองนางกำนัลตามเสด็จไป



    ที่สรงน้ำของเจ้าหญิงสิริกันยาอยู่ใกล้กับที่ประทับของพระองค์เอง เป็นลำธารใหญ่สายหนึ่ง มีโขดหินทั้งเล็กและใหญ่พอที่จะเป็นที่กำบังได้ ทหารและนางกำนัลต่างรออยู่บริเวณทางเข้าไม่กล้าเข้าไปรบกวน สิริกันยา เปลื้องชุดที่สวมใส่ ก่อนเดินลงไปในลำธารเพื่อชำระล้างคราบสกปรกที่ติดตัวอยู่ ตั้งแต่นางรีบเร่งเดินทางมาสืบข่าวยังไม่ได้หยุดพักผ่อนเลย เวลานี้จึงค่อยรู้สึกสบายตัวขึ้นมาบ้าง



    “ ค่อยยังชั่ว เหนียวตัวมาทั้งวันแล้ว ได้อาบน้ำอย่างนี้ค่อยสบายหน่อย “



    นางกลอกสายตามองไปรอบๆ พบแต่ความเงียบสงบของป่าเท่านั้น



    “ หากไม่เกิดศึกขึ้นกับนครเตมินทร์ข้าคงไม่ได้มาอยู่ที่นี้เป็นแน่ “ คิดๆแล้วก็อดคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอนไม่ได้



    “ เสด็จพ่อกับเสด็จแม่จะทรงสบายดีหรือเปล่าน่า ข้าอาจจะต้องอยู่นี้อีกเป็นเดือนกว่าจะกลับไปหาทั้งสองพระองค์ได้ “



    ถึงแม้ว่าป่าบริเวณรอบๆจะดูมืดและน่ากลัวแต่นางกลับรู้สึกว่าการได้อยู่ในที่เงียบและสงบเช่นนี้ ก็ช่วยทำให้ความกังวลที่มีอยู่ผ่อนคลายลงไปได้บ้าง



    “ ถ้าหากกำลังเสริมของเจ้าพี่อภัยวงค์มาถึงที่นี้ได้ทันการ อย่างน้อยก็อาจต้านทานพวกมันไม่ให้ยกทัพข้ามภูเขามาได้ซัก ๗ วัน ถึงเวลานั้นพวกเราก็น่าจะหาวิธีจัดการพวกมันได้แล้ว ”



    จู่ๆก็มีคนส่งเสียงหัวเราะออกมาจนนางต้องหันมาเหลียวมองดูซ้ายขวา



    “ เจ้าหญิง ทรงดำริอะไรตื้นๆ ไปหน่อยกระมัง “



    หนุ่มรูปงามผมยาวผู้หนึ่งเดินออกมาจากหลังต้นไม้ที่อยู่ใกล้ๆกับริมลำธารใหญ่ ยังความตกพระทัยให้กับเจ้าหญิงสิริกันยายิ่งนัก



    “ เจ้า… “



    หนุ่มรูปงามผู้ทำสีหน้าทะเล้นเป็นนิจ จะเป็นใครไปได้นอกจาก



    “ อนันตวาโย “



    ต่อให้เวลานี้นางร้ายกาจกว่าเหล่าอสูรเป็นร้อยๆเท่าก็ไม่อาจจะทำอะไรเขาได้ เพราะเมื่อร่างกายไม่ได้ถูกปกปิดด้วยอาภรณ์ใดๆ ย่อมทำให้เกิดความเขินอายเมื่อมาอยู่ต่อหน้าบุรุษเพศ



    “ นี้….เจ้าคิดจะทำอะไรนะ “  นางละลักถามด้วยความหวาดกลัวใช้สองมือปิดเนินอกเอาไว้และไม่กล้าลุกขึ้นจากน้ำ



    “ ไม่ต้องกลัวหรอกเจ้าหญิง ข้าไม่ได้คิดอะไรจะทำอะไรทั้งนั้น เพียงแค่อยากจะพูดอะไรให้ฟังหน่อยก็เท่านั้นเอง “



    “ จะพูดอะไรก็รีบๆพูดมา แล้วก็ไสหัวไปซะ หากเจ้าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังข้าสาบานว่าจะไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่ “



    “ จุ๊ๆๆๆ  อย่าพูดอย่างนั้นสิ มีแต่สาวๆที่ไล่ตามข้าด้วยความรัก หากให้เจ้าไล่ตามข้าด้วยความแค้นแบบนี้ ข้าออกจะทนรับไม่ไหว “



    พูดก็ไม่พูดเปล่า กระโดดข้ามลำธารมาวูบเดียวก็มานั่งอยู่บนก้อนหินก้อนหนึ่งใกล้ๆกับนางแล้ว โชคยังดีว่าเวลานี้ใกล้มืดค่ำจึงมองเห็นนางไม่ถนัดตานัก หากแต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะลดความงดงามจากเรือนร่างที่ไร้อาภรณ์ลงเลย



    “ มีอะไรก็ว่ามา “ แววตาของนางยังคงจ้องมองเขาอย่างชิงชัง



    หนุ่มรูปงามเพียงแต่ยิ้มน้อยๆก่อนตอบว่า



    “ ข้าก็แค่อยากจะบอกว่าความคิดของเจ้ามันง่ายเกินไปหน่อยก็เท่านั้นเองแหละเจ้าหญิง “



    “ เจ้า….. “  สิริกันยาโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงที่ถูกหยามครั้งแล้วครั้งเล่าฟาดฝ่ามือเข้าใส่ใบหน้าของเขาในทันที แต่วายุหนุ่มก็ใช้มือของตนจับข้อมือของนางเอาไว้ได้ทัน



    “ แค่นี้ก็ต้องลงไม้ลงมือด้วยหรือ? ใจร้ายจังเลยนะ ข้าอุตสาห์หวังดีตามมาเตือนถึงที่นี้ “



    “ ที่พูดมาตั้งนานสองนาน เจ้าจะบอกข้าว่าความคิดของข้ามันไม่ได้เรื่องใช่ไหม? “



    “ นอกจากไม่ได้เรื่องแล้วยังโง่อีกต่างหาก “ คำตอบที่เร็วประหนึ่งปานสายฟ้าและไม่ถนอมน้ำใจอีกฝ่าย ทำเอาแทบอยากจะฆ่าเขาให้ตายเสียให้ได้



    “ เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาวิจารณ์ความคิดของข้า บอกข้ามานะ “ มือที่เหลืออีกข้างถูกใช้ในทันที ความอดสูที่แอบซ่อนอยู่ในใจทำให้นางลืมไปแล้วว่าเวลานี้นางอยู่ในสภาพใด



    “ อย่าเพิ่งโมโหสิ แม่กงจักรน้อย คำเตือนก็มักเป็นเช่นนี้แหละ มักไม่หวานหู แต่ตัวข้าก็หาได้หวังร้ายต่อเจ้าไม่  “



    สิริกันยา ทั้งเจ็บใจและสุดแสนจะอายที่ถูกอีกฝ่ายกระทำให้เจ็บช้ำน้ำใจโดยไม่อาจตอบโต้อะไรได้



    “ อยู่ในวังเจ้ายังหักหน้าข้าไม่พออีกหรือ? ยังตามมารังควาญ ข้าถึงที่นี้ หน่ำซ้ำยังมาย่ำยี้ ศักดิ์ศรีของข้าอีก “



    อนันตวาโย เองก็ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าตัวเองทำไม่ถูก แต่ถ้าหากเขาไม่ใช่วิธีนี้ก็อยากนักที่จะหวังผลในระยะเวลาอันสั้นได้ ดังนั้นเมื่อโอกาสมาถึงแล้วหากจะปล่อยให้หลุดรอดไปเสีย ย่อมเป็นที่แน่นอนว่านางอาจจะไม่รับฟังเขาอีก วิชาประจำตัวที่มีอยู่จึงถูกเรียกออกมาใช้อย่างไม่ต้องสงสัย



    “ ข้ารู้ว่าข้าทำไม่ถูกที่ทำกับเจ้าแบบนี้ แต่หากข้าไม่พูดกับเจ้าให้รู้เรื่อง เจ้าจะเห็นความจริงใจของข้าหรือ? “



    สิริกันยา มีหรือจะเชื่อ



    “ เก็บคำพูดนี้เอาไว้พูดให้ปทุมเกสรฟังเถอะ “



    ช่วงจังหวะที่นางเถียงเขา อนันตวาโย ถือโอกาสอุ้มนางขึ้นมานั่งอยู่บนตัก



    “ ซ่าาาาาาา “



    “ ว๊าย “ สิริกันยา ส่งเสียงหวีดร้อง



    “ พูดแบบนี้แสดงว่าเจ้าหึงข้าใช่ไหม? “  วายุหนุ่มยื่นหน้าเข้ามาใกล้กับนาง พลางจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวย พร้อมส่งรอยยิ้มสะกด



    แม้ในใจของ สิริกันยา จะชิงชังเขาเพียงไหนก็ตาม แต่เมื่ออยู่ใกล้กับ อนันตวาโย ผู้เป็นหนุ่มรูปงามแล้ว ประกอบกับกลิ่นกายของลูกชายที่มีอยู่เต็มตัวย่อมทำให้หญิงสาวใดที่ใกล้ชิดหลงใหลเคลิ้บเคลิ้มเป็นธรรมดา



    “เอ้อ… ข้า…… “ ใจที่แข็งดังเหล็กเริ่มถูกเสน่ห์ของหนุ่มนักรักหลอมละลายจนนางพูดอะไรไม่เป็นประโยค



    “ เชื่อข้าเถอะ ข้าทั้งรักและห่วงเจ้า อย่าโกรธที่ข้าทำอย่างนี้เลยนะ “



    แต่ละคำที่เขาออดอ้อนทำให้ นางเริ่มใจอ่อนลงแต่ก็ยังคงสงวนท่าทีเอาไว้



    “ แล้วเจ้าจะช่วยข้าอย่างไร? “



    เมื่อเห็นนางเริ่มเปลี่ยนท่าที อนันตวาโย ก็เริ่มใช้ความอ่อนโยนที่มีอยู่ในตัวแสดงออกมา



    “ แผนของเจ้านั้นดีอยู่แล้ว หากแต่พวกอสูรที่ยกทัพมามีฝีมือดีกว่าทหารของเจ้ามากนัก ข้าติดต่อกับกองทัพของข้าที่ยกมาช่วยนครเตมินทร์ได้แล้ว พวกเขาจะมาถึงในวันพรุ่งนี้ หากเจ้าอนุญาตข้าจะให้พวกเขาอยู่ช่วยเจ้าที่นี้เจ้าจะว่าอย่างไร? “



    “ เพียงแค่นี้ข้ายังทำอะไรเจ้าไม่ได้ แล้วข้าจะปัญญาที่ไหนมาทัดทานเจ้าได้เล่า ใยต้องถามข้าให้เสียเวลาด้วย “ สาวน้อยค้อนเขาทีหนึ่งพร้อมกับเบือนหน้าไม่อยากมอง



    วายุหนุ่มยิ้มพราวอยู่ในใจ สบช่องพอดิบพอดี



    “ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากสุดที่รักของข้า ข้าหรือจะกล้าทำได้ “



    ใบหน้าของ สิริกันยา เริ่มเจือไปด้วยเลือดฝาดและเข้มขึ้นเรื่อยๆ



    “ บ้าสิ ใครเป็นสุดที่รักของเจ้ากัน “



    “ ก็จะมีใครซะอีกละ นอกจากคนที่ข้ารักสุดหัวใจไงละ “



    อนันตวาโย เฉียดจมูกของเขาเข้าไปใกล้พวงแก้มแดงของนาง



    “ อย่า… เดี๋ยวทหารกับนางกำนัลของข้ามาเห็นเข้า “



    แม้นางจะพยายามห้ามแต่เขาหาได้สนใจไม่



    “ อย่ากลัวเลย ข้าเป่ามนต์สะกดพวกเขาเอาไว้แล้วพวกเขาไม่ได้ยินเสียงของเราสองคนหรอก “



    “ อย่า….. ข้าขอร้อง “



    นางพยายามขอร้องเขาเอาไว้ เพราะในใจเริ่มสั่นคลอนต่อการเล้าโลมของเขาแล้ว



    “ ข้าก็อยากจะหยุดเหมือนกัน แต่ตอนนี้ข้าห้ามใจตัวเองไว้ไม่ได้ “



    “ อย่า… อุ้ย…. “ นางพูดได้เพียงแค่นั้นก็ถูกวายุหนุ่มปิดปากเสียแล้ว เพียงแค่ลิ้นสัมผัสก็หยุดความคิดที่ขัดขืนที่เหลือเพียงน้อยนิดลง แต่ อนันตวาโย ก็หาได้ล่วงเกินนางอีกไม่ เพียงแต่เจรจาคำหวานให้อีกฝ่ายได้ฟังเท่านั้น



    ---------------------------------------



    “ เอี้ยดดดดดดด “ ประตูบ้านไม้ไผ่ถูกเปิดออกพร้อมกับเสียงผิวปากของใครคนหนึ่งที่กำลังอารมณ์ดีเป็นพิเศษ



    “ น้ำทิพย์ที่สาม ข้ากลับมาแล้ว “ เสียงของวายุหนุ่มตะโกนเข้ามาหลังประตูเปิดออก โดยบอกให้อีกฝ่ายได้รู้ตัวเพราะเกรงว่าอาจโผล่เข้าไปเห็นภาพอะไรที่ไม่ควรเข้า



    “ มีอะไรคืบหน้าบ้าง? “  น้ำทิพย์ที่สาม นั่งรออยู่ที่โต๊ะไม้ไผ่อยู่แล้ว



    วายุหนุ่มถึงกับขมวดคิ้ว สิ่งที่เขาคาดไว้กลับผิดถนัด ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะนั่งรอเขาอยู่เช่นนี้



    “ เจ้านี้ใช้ได้ เป็นห่วงเพื่อนเป็นกะเขาด้วย ข้านึกว่า จะนอนกอดเมียโดยไม่สนใจอะไรซะอีก “



    “ เจ้านี้พูดอะไรให้มันสุภาพหน่อยไม่ได้หรือไง? “ ถึงน้ำทิพย์ที่สามจะหน้าด้านขนาดไหนก็คงเทียบไม่ได้กับ อนันตวาโย



    “ คนกันเองจะพูดอะไรให้มันอ้อมค้อมด้วยเล่า? “



    “ อย่าพูดมากน่า เข้าเรื่องกันเถอะ ได้ข่าวอะไรมาบ้าง? “



    อนันตวาโย นั่งลงที่เก้าอี้



    “ อีกไม่เกิน ๕ ราตี กองทัพอสูรก็จะยกทัพข้ามเทือกเขาเข้ามาประชิดเขตชายแดนนครเตมินทร์แล้ว “



    “ ติดต่อทางขุนศึกวายุได้บ้างหรือเปล่า? “



    “ ไม่ต้องห่วง พวกเขาจะมาถึงในวันพรุ่งนี้ ข้าจะให้พวกเขายกพลมารอรับศึกอยู่ที่ชายแดนนครเตมินทร์ ตอนนี้เจ้าหญิงสิริกันยา รอคอยกำลังของพวกเราอยู่ที่นั้น “ ว่าแล้วก็ยักคิ้วให้กับสิงห์ปริศนาพร้อมกับภูมิอกภูมิใจในฝีมือของตัวเอง



    น้ำทิพย์ที่สาม แทบจะไม่เชื่อที่ อนันตวาโย พูด



    “ เจ้าหลอกข้าหรือเปล่า? นางยอมร่วมมือกับพวกเราง่ายดายขนาดนี้เชียวหรือ? “



    “ ข้าจะหลอกเจ้าทำไมกันให้เสียเวลา ไม่เห็นได้ประโยชน์อะไรตรงไหนเลย? “ อนันตวาโย ว่าก่อนจะรินน้ำที่อยู่ในกาลงบนถ้วยและยกขึ้นดื่มอย่างสบายอารมณ์



    สิงห์หนุ่ม เริ่มคิดออกแล้ว่า อนันตวาโย ใช้วิธีการใด



    “ บอกข้ามาซะดีๆ ว่าเจ้าไปหลอกลวงอะไรนางเอาไว้ ทำไมนางถึงยอมเชื่อฟังเจ้าได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ “



    “ ข้านะหรือจะไปหลอกลวงอะไรนาง? ข้าก็แค่ใช้ความสามารถพิเศษ เจรจาสร้างสัมพันธไมตรีก็เท่านั้นเอง “ วายุหนุ่มยักไหล่อย่างไม่สนใจที่ถูกจับได้เขาไปทำอะไรมา



    น้ำทิพย์ที่สาม นึกแล้วไม่มีผิด



    “ ไอ้ความสามารถพิเศษของเจ้านี้ คงเป็นวิธีการเดียวกับที่ใช้กับพระธิดาปทุมเกสรกระมัง “



    อนันตวาโย หัวเราะชอบอกชอบใจ



    “ ข้ารู้อยู่แล้ว ว่าเจ้าเป็นเด็กฉลาด เข้าใจอะไรได้ง่ายๆ “



    แต่ น้ำทิพย์ที่สาม กลับทำสีหน้าเคืองๆชอบกล



    “ บอกไว้ซะก่อน ข้าไม่ใช่ นันทาเทพธิดา ที่จะช่วยสับรางให้เจ้าหรอกนะ “



    วายุหนุ่มแทบปรับกิริยาไม่ทันทั้งที่งานสำเร็จแต่ดูเหมือนเพื่อนกลับจะไม่พอใจ



    “ เฮ้ย! ไง พูดอย่างงี้ล่ะ ตอนเจ้าเข้าห้องหอคืนแรกข้ายังหากทางช่วยเจ้าทุกวิถีทาง พอทุกอย่างลงตัวแล้วเจ้าก็ปล่อยข้าลงคลองเลยหรือ? “



    “ นั้นมันเหมือนกันซะทีไหนเล่า? “  น้ำทิพย์ที่สาม เถียง



    “ มันจะไม่เหมือนกันตรงไหน ข้าอุตสาห์เสียสละตัวเองถึงเพียงนี้ เพื่อหาทางช่วยเหลือนครเตมินทร์ เจ้ายังจะให้ข้าเผชิญชะตากรรมจากพวกนางเพียงคนเดียวอีกหรือ? “



    นี้เป็นครั้งแรกที่ น้ำทิพย์ที่สาม รู้ถึงความหน้าด้านจากเพื่อนของเขาขนาดนี้



    “ สวรรค์ ตั้งแต่ข้าเกิดมา ยังไม่เคยพบใครที่หน้าหนาเช่นเจ้าเลย พูดเขาข้างตัวเองได้อย่างหน้าไม่อาย “ น้ำทิพย์ที่สาม รู้สึกอายแทนจนแทบไม่รู้ว่าจะต่อว่า อนันตวาโย อย่างไร



    “ หากข้าหน้าหนา เจ้าก็เป็นคนหน้าไม่อายที่ทอดทิ้งเพื่อนอย่างไม่ใยดี “



    “ ข้าใช้ให้เจ้าไปพูดกับนางให้เข้าใจไม่ใช่ใช้ให้เจ้าไปเกี้ยวนาง “



    “ แล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก “  อนันตวาโย ขึ้นเสียงและย้อนถาม



    “ แล้วทำไมเจ้าไม่ถามข้าก่อน “ น้ำทิพย์ที่สามก็เถียงไม่ลดละ



    “ พูดอย่างนี้คิดจะปัดความรับผิดชอบหรือไง? “



    “ ข้ามีอะไรที่ต้องรับผิดชอบด้วย คนที่ทำคือเจ้าไม่ใช้ข้า “



    “ ฮะ ข้าหากทำแล้วใครกันที่เป็นคนเจ้ากี้เจ้าการใช้ให้ข้าออกไปสืบข่าว? “



    “ สืบข่าวก็สืบไปสิ แล้วเจ้าไปยุ่งกับนางทำไม? “



    “ ก็แล้วข้าไม่ยุ่งมันจะได้เรื่องหรือ? “



    “ ได้เรื่องเวรตะไลนะสิ เจ้าไม่คิดบ้างหรือไงว่า หากนางสองคนรู้เข้าว่าเจ้าหลีคนหนึ่ง เกี้ยวคนหนึ่ง จะเกิดอะไรขึ้นมา “



    ขณะที่กำลังทุ่มเถียงกันอยู่นั้นเอง มณีมรกต ก็เดินออกมา



    “ พวกท่านสองคนเงียบๆกันหน่อยได้ไหม? ปล่อยให้นางได้พักผ่อนก่อน “



    ทั้งสองถึงได้หยุดเถียงกันได้



    “ เอ้อ! ขอโทษที ข้าไม่ได้ตั้งใจ “ น้ำทิพย์ที่สาม ออมแอ้มตอบแต่ในใจยังเคือง อนันตวาโย ไม่หาย



    อนันตวาโย สงสัยในคำพูดของ มณีมรกต ขึ้นมาและเอ่ยถาม



    “ ชมพูมุกดาไม่สบายอย่างนั้นหรือ? “



    “ อ้าว! นี้ท่านยังไม่ได้บอก อนันตวาโย อีกหรือ? “ มณีมรกตว่า



    “ เอ้อ… ข้าลืมไป มั่วคุยกันเพลินไปหน่อย “ น้ำทิพย์ที่สามแก้ตัว



    “ เกิดเรื่องอะไรขึ้น มีใครเป็นอะไร? “



    “ ก็เมื่อวานนี้ตอนหัวค่ำ ข้ากับมณีมรกต ชมพูมุกดา นอนอยู่ในห้องรู้สึกว่ามีคนข้างนอกก็เลยพากันออกไปดูก็พบผู้หญิงคนหนึ่งนอนสลบอยู่ที่ริมลำธาร ก็เลยพานางมารักษาที่นี้ นางเพิ่งหลับไปเมื่อครู่นี้เอง “



    อนันตวาโย หันมามองหน้า น้ำทิพย์ที่สาม ในทันที



    “ นั้นแน่ เจ้ากับพวกนางนอนหลับ หรือทำอะไรกันอยู่กันแน่? “



    หน้าของ น้ำทิพย์ที่สาม แดงจัด



    “ อย่าเพิ่งเปลี่ยนเรื่องสิ เรื่องของนางยังไม่จบเพียงแค่นี้ “



    “ อะไรก็แค่คนได้รับบาดเจ็บจะมีอะไรมากก็นี้อีก “



    น้ำทิพย์ที่สาม พูดกับเขาอย่างเป็นงานเป็นการ



    “ ถ้าแค่นั้นข้าก็ไม่แปลกใจหรอก ถ้าหากข้ากับพวกนางดูไม่ออกว่า นางเป็น…. “



    “ นางเป็น…เป็นอะไร? “



    “ เป็นนาค “  ชมพูมุกดาที่เข้ามาทีหลังเป็นผู้ตอบ



    “ อะไรนะ? นางเป็นนาคอย่างนั้นหรือ? ที่นี้ไม่ใช่ทะเลเสียหน่อย พวกนาคจะดั้นด้นมาถึงที่นี้ทำไมกัน? “



    “ นั้นแหละที่ทำให้ข้ากับพวกนางสงสัยจนถึงป่านนี้ “



    “ งั้นขอข้าเข้าไปดูนางหน่อยได้ไหม? “



    น้ำทิพย์ที่สาม พยักหน้า



    “ ได้สิ แต่ระวังอย่างให้นางตื่นขึ้นมาก็แล้วกัน เพราะร่างกายของนางอ่อนเพลียมาก “



    น้ำทิพย์ที่สาม พา อนันตวาโย เข้าไปยังอีกห้องหนึ่ง เขาดูออกว่าห้องนี้เพิ่งถูกสร้างขึ้นมาไม่นานนี้เองเพราะแต่เดิมบ้านไม้ไผ่นี้มีเพียงแค่ห้องนอนห้องเดียวเท่านั้น เขาค่อยๆก้าวเดินเข้าไปพลางสอดส่องสายตาดูในห้องใหม่ที่สร้างขึ้น ข้างหน้ามีโต๊ะไม้ไผ่อยู่ตัวหนึ่งพร้อมกับเก้าอี้ไม้ไผ่ที่ตั้งวางอยู่สองตัว ตรงกลางโต๊ะมีกาน้ำและเทียนไขที่ถูกจุดไว้  ถัดจากนั้นถึงเป็นเตียงนอนเตียงหนึ่ง น้ำทิพย์ที่สาม บอกให้ อนันตวาโย เดินเข้าไปดูใกล้ๆ เมื่อเขาเข้าไปถึงเตียงนั้นถึงได้เห็นหญิงสาวที่พูดถึงนอนหลับอยู่อย่างสนิท แต่นั้นก็ทำให้ดวงตาของเขาแทบจะเบิกกว้างในทันทีทันใด



    “ กรรณิการ์นาคี !!!! “



    “ เจ้ารู้จักนางอย่างนั้นหรือ? “



    อนันตวาโย พยักหน้า ก่อนนั่งลงข้างร่างน้อยที่นอนหลับใหลอยู่



    “ นางมาอยู่ที่นี้ได้อย่างไรกัน? “



    “ นางเป็นใคร? “  มณีมรกตและชมพูมุกดาต่างถามเป็นเสียงเดียวกัน



    “ นางชื่อ กรรณิการ์นาคี เป็นเพื่อนของ อัคคีนาคา ก่อนออกเดินทางข้าเคยได้พบกับนางครั้งหนึ่ง “



    ดูท่าทางแล้ว อนันตวาโย ออกจะเป็นห่วงนางมากจนผิดสังเกต



    “ ข้าว่านี้ก็ดึกแล้ว เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยซักถามนางจะดีกว่า “



    “ พวกเจ้าไปนอนกันเถอะ ข้าจะดูแลนางเอง “



    “ เอ๋!! “ ทั้งสามต่างมองหน้ากัน



    “ ถ้าอย่างนั้นก็ฝากเจ้าไว้ด้วยก็แล้วกัน “ มณีมรกต สะกิดสามีให้ตามนางมา น้ำทิพย์ที่สาม จำต้องเดินออกจากห้องนั้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้



    “ เรื่องนี้ออกจะวุ่นเสียแล้ว “ ชมพูมุกดา ออกความเห็น



    “ ใช่ ท่าทางของ อนันตวาโย ก็ดูแปลกๆ ดูท่าทางเขาจะเป็นห่วง แม่นาคน้อยนั้นมาก “มณีมรกต ก็คิดแบบเดียวกัน



    “ ปทุมเกสร สิริกันยา แล้วยังจะมี กรรณิการ์นาคี อีก โอ้ย!! ทำไมเรื่องราวมันถึงยุ่งอีลุงตุงนังอย่างนี้นะ “ น้ำทิพย์ที่สาม ปวดหัวเสียเหลือเกิน



    “ นี้ อนันตวาโย คงไปทำอะไรบ้าๆมาอีกกระมัง ท่านถึงได้ดูกลุ้มอกกลุ้มใจอย่างนี้ “



    “ ข้าเพิ่งจะเห็นฤทธิ์ความเจ้าชู้ของ อนันตวาโย ที่ใครๆ พูดถึงก็คราวนี้แหละ “



    “ แล้วท่านจะทำอย่างไรต่อไปล่ะ? “  ชมพูมุกดาถามอย่างเป็นห่วง นางรู้สึกว่ายังไม่ทันได้ต่อสู้กับศึกภายนอกด้านศึกภายในก็ดูเหมือนจะเสียเปรียบไปเกินครึ่งแล้ว



    “ ช่วยไม่ได้ เดินหมากผิดตาตั้งแต่ต้นแล้ว จะให้กลับลำก็คงไม่ทัน เห็นทีต้องเล่นละครลิงหลอกเจ้าเอาตัวรอดไปก่อน “



    สองสาวงามเดินเข้ามาแนบข้างกับสามี



    “ ขอข้าเตือนไว้ก่อน ผู้หญิงเวลารักก็รักมาก เวลาแค้นก็แค้นมาก หากเพื่อนของท่านลงท้ายไม่ดีคงรู้จุดจบเของเขานะ “



    น้ำทิพย์ที่สาม เข้าใจดี



    “ เฮ้อ!! เห็นแก่ความเป็นเพื่อนอย่างน้อยข้าจะพยามให้ศพของเขาครบ ๓๒ ส่วนก็แล้วกัน “



    สองสาวหัวเราะอย่างขำขัน



    “ ท่านไม่เกี่ยวข้องด้วยเสียหน่อย ทำท่าทางยักกะว่าเป็นผู้ก่อเรื่องเสียเอง “



    “ ช่วยไม่ได้นี้น่า ใครใช้ให้เขาเป็นเพื่อนข้าล่ะ “ น้ำทิพย์ที่สาม พูดอย่างปลงๆ ก่อนให้กลับไปมองยังห้องที่กรรณิการ์นาคีนอนหลับอยู่



    “ หวังว่าข้าคงไม่คิดมากไปเองนะ “



    “ ข้าว่าท่านไม่คิดมากหรอกแต่คิดน้อยไปต่างหาก “ มณีมรกต แหย่เล่น



    “ แซวข้าดีนักหรือ? นี้แน่ “ น้ำทิพย์ที่สาม หอมแก้มพวกนางทีละคน



    “ อะไรนะ “ สองสาวร้องถามพลางยกมือขึ้นลูบแก้มนวลของตน



    “ ลงโทษพวกเจ้านะสิ ชอบพูดแกล้งข้านัก รวมร่างกันเสียดีๆ “



    “ ไม่เอานะ อายเขา “ สองสาวอิดออดเมื่อรู้ว่าสามีต้องการอะไร พลางมองดูรอบๆกลัวว่า อนันตวาโย จะเห็นเข้า



    “ เจ้าอายก็เรื่องของเจ้าแต่ตอนนี้ข้าติดความหน้าด้านจากเขามาแล้ว อย่าหวังว่าคืนนี้ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไปง่ายๆ “



    “ เมื่อวานนี้ก็เพิ่งจะ...นี้น่า “



    “ เมื่อวานก็ส่วนเมื่อวาน  วันนี้ก็ส่วนวันนี้ “ สองแขนของเขาโอบกระชับขึ้นมากกว่าเดิม



    สองสาวค่อยๆ รวมร่างเข้ามาจนเป็นหนึ่ง



    “ แต่ข้ายังไม่ได้อาบน้ำเลย “ ชมพูมรกต กระซิบที่ข้างหู



    “ งั้นก็อาบเสียเลยสิ และข้าก็จะเป็นคนอาบให้เจ้าเอง “



    น้าทิพย์ที่สาม ค่อยๆอุ้มนางออกจากบ้านไม้ไผ่ไป โดยไม่กลัวว่า อนันตวาโย จะแอบมอง เพราะเวลานี้จิตใจของเขาจดจ่อแต่ร่างน้อยที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น



    จบตอนที่ ๓๑ ครับ อะไรกันฟะ ทำไมตอนนี้มันถึงมีแต่ฉากรักอย่างเดียวล่ะ ฉากต่อสู้มันหายไปไหนหมด -_-“



    ประกาศ .... คณะความจำเป็นฉบับพิเศษ  ด้วยข้าพเจ้าคนแต่งเรื่องนี้จะเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร ในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมกราคม 2548  เนื่องจากมีเวลาในการเตรียมตัวเหลืออีกไม่มากอาจทำให้เรื่องนี้ดำเนินเรื่องช้าลง จึงขออภัยมาล่วงหน้าต่อท่านผู้อ่าน \\(^O^)/  \\(^O^)/  \\(^O^)/

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×