ลำดับตอนที่ #32
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #32 : ขุมพลังที่ถูกกักขังกับสองกระบี่แห่งยุค
ศึกเทพอสูรมหาสงคราม
ตอนที่ ๓๒ ขุมพลังที่ถูกกังขังกับสองกระบี่แห่งยุค
    อนันตวาโย เฝ้าดูแล กรรณิการ์นาคี อยู่ทั้งคืนมิได้หลับนอน จวบจนรุ่งเช้า น้ำทิพย์ที่สาม ก็เปิดประตูเข้ามา มองเห็นวายุหนุ่มนอนฟุบหลับอยู่ข้างเตียงจึงได้เข้าไปปลุก
” ตื่นเถอะ อนันตวาโย “ น้ำทิพย์ที่สาม เขย่าตัวเขาอยู่หลายที อนันตวาโย ถึงค่อยรู้สึกตัวขึ้นมาใบหน้านั้นมีเค้าของความอ่อนเพลียให้ได้เห็น
“ เช้าแล้วหรือ “ อนันตวาโย ส่ายหัวไปมาเล็กน้อย ก่อนจ้องมองมายังร่างน้อยที่นอนหลับไหลอยู่บนเตียง
“ ตั้งแต่คืนก่อนจนถึงวันนี้ก็วันที่สองแล้ว ทำไมนางยังไม่ฟื้นอีก? “ อนันตวาโย เป็นห่วง กรรณิการ์นาคี เหลือเกิน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดผ่านมาตั้งสองวันนางยังไม่ฟื้นขึ้นมาอีก
“ คงเพราะว่าร่างกายนางอ่อนแอมากกระมัง คงต้องให้เวลาอีกสักหน่อย ข้าว่าไม่แน่เย็นนี้หรือพรุ่งนี้นางก็น่าจะฟื้นขึ้นมาก็ได้ “ น้ำทิพย์ที่สาม บอกพลางหันมามองดู อนันตวาโย
“ ข้าว่าเจ้าไปล้างหน้าล้างตาเสียหน่อยจะดีกว่าจะได้รู้สึกสบายขึ้น  “
แม้ น้ำทิพย์ที่สาม จะพูดเช่นนั้นแต่ อนันตวาโย ก็ยังไม่อยากจาก กรรณิการ์นาคี ไปไหน
“ ข้าอยากจะอยู่ดูแลนางต่ออีกหน่อย “
แม้จะรู้ว่า อนันตวาโย ห่วง กรรณิการ์นาคี มากเพียงไหนแต่งานก็ย่อมต้องมาก่อน
“ ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงนางมาก แต่อย่าลืมสิว่า อีกเดี๋ยวเจ้ากับข้าจะต้องไปพบใคร “
อนันตวาโย รู้ดีว่า น้ำทิพย์ที่สาม หมายถึงใคร
“ แต่ข้า .. “
“ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก อนันตวาโย ข้าจะดูแลนางเอง “ เสียงของ มณีมรกต สอดแทรกขึ้นมาหลังจากที่นางเดินตามเข้ามาสมทบพร้อมกับชมพูมุกดา
“ เมียข้าไม่ปล่อยให้นางเป็นอะไรไปหรอก เชื่อข้าเถอะ “ สิงห์ปริศนาพูดสนับสนุนอีกคนหนึ่ง
เมื่อสองเสียงยืนยันถึงขนาดนี้ เขาก็ไม่อาจฝืนความต้องการของเพื่อนได้อีก
“ ถ้าเช่นนั้น ข้าขอฝากนางไว้กับพวกเจ้าด้วยนะ “ ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่สายตาก็ยังอาลัยอาวรณ์มอง กรรณิการ์นาคี อยู่ดี
“ อย่าห่วงเลย ข้าจะดูแลนางเป็นอย่างดี “ พวกนางให้สัญญา
วายุหนุ่มพยักหน้าก่อนจะเดินตาม น้ำทิพย์ที่สาม ออกไป แต่ไม่วายยังเหลียวหลังกลับมามองร่างน้อยที่นอนนิ่งอยู่ เผื่อว่านางอาจจะฟื้นขึ้นมาแต่ท้ายที่สุดแล้วนางก็ยังไม่ปฏิกิริยาแต่อย่างใด อนันตวาโย จึงค่อยๆ หักใจเดินออกจากห้อง ออกมาล้างหน้าล้างตาตามคำแนะนำ ก่อนจะเดินกลับเข้ามาในบ้านไม้ไผ่ พอพ้นปากประตูเข้ามาก็มองเห็น น้ำทิพย์ที่สาม นั่งอยู่ก่อนแล้ว จึงนั่งลงยังเก้าอี้ที่ยังว่างอยู่
“  หากไม่มี มณีมรกต กับ ชมพูมุกดา ป่านนี้ กรรณิการ์นาคี คงแย่ไปแล้ว เจ้านี้โชคดีจริงๆที่ได้เมียทั้งเก่งทั้งดีแบบนี้ “
น้ำทิพย์ที่สาม หันไปเหลียวมองดูนางทั้งสอง
“ ใช่ นางดีจริงๆ ดีจนบางทีข้ารู้สึกกลัวขึ้นมา “  ในใจของ น้ำทิพย์ที่สาม เริ่มหวั่นกลัวเหตุการณ์ในอนาคตขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“ กลัว? เจ้ากลัวอะไร? “
น้ำทิพย์ที่สาม ถอนหายใจ
“ ข้ากลัวหากข้าเป็นอะไรไป พวกนางจะอยู่กันอย่างไร? “
อนันตวาโย รู้สึกตกใจไม่น้อยที่จู่ๆ น้ำทิพย์ที่สาม พูดเช่นนี้
“ เจ้าพูดอะไรออกมานะ รู้ตัวหรือเปล่า? “
“ รู้สิ ทำไมข้าถึงจะไม่รู้ว่า ข้าถึงได้อยากพูดกับเจ้าอย่างเปิดอก “
“ เจ้าจะพูดอะไรกับข้า? “  น้ำเสียงของ อนันตวาโย ออกจะประหลาดใจไม่น้อย กับท่าทีที่เปลี่ยนไปของคู่หู เมื่อวานนี้ท่าทางเขาก็ยังดูมีความสุขดีอยู่ แต่วันนี้ดูเหมือนมีอะไรในใจชอบกล
“ ข้าถามจริงๆเถอะ อนันตวาโย เจ้ากับข้ามีความมั่นใจมากน้อยแค่ไหนที่จะล้ม กัลย์ปาอสูรได้? ”
อนันตวาโย สะดุดใจในคำพูดของ สิงห์ปริศนา เขาพอจะรู้แล้วว่า น้ำทิพย์ที่สาม ต้องการจะบอกอะไร
“ นี้เจ้ากำลังจะบอกข้าว่า . “
“ ใช่ ข้ารู้สึกกลัว กลัวว่านางจะต้องเจ็บปวดหากวันใดที่ข้าต้องจากนางไป ปทุมเกสร กับ สิริกันยา เองก็เหมือนกัน หากวันใดที่พวกนางต้องสูญเสียเจ้าไป พวกนางก็คงเจ็บปวดรวดร้าวไม่น้อยไปกว่าเมียของข้า “
นับตั้งแต่ได้รู้จักกันมานี้เป็นครั้งแรกที่ อนันตวาโย รู้สึกคำพูดของเพื่อนช่างบาดเฉือนหัวใจเสียนี้กระไร
“ ข้าขอพูดตรงๆกับเจ้าก็แล้วกัน ข้าว่าเจ้าควรพูดกับพวกนางให้รู้เรื่อง ข้าอยากให้พวกนางรู้จากปากของตัวเจ้าเองว่าเจ้ารักพวกนางหรือคิดจีบพวกนางเล่นๆ ดีกว่าที่จะให้พวกนางรู้จากปากของคนอื่น  อย่างน้อยก็ให้พวกนางหักใจจากเจ้าเสียแต่ตอนนี้ดีกว่าจะมาต้องชอกช้ำระกำใจกับการที่เจ้าทำให้พวกนางเข้าใจผิดว่า เจ้ารักพวกนาง “
หากเป็นเวลาปกติเขาคงทำเป็นเฉไฉ ทำเป็นไม่สนใจ แต่เวลานี้เหมือนมีอะไรที่ผูกมัดจนเขาต้องยอมจำนนต่อคำพูดประโยคนี้
“ เจ้าพูดถูก นี้นับเป็นครั้งแรกได้ที่ข้ายอมรับว่าข้าทำเกินไปจริงๆ “
เพียงแค่มองสีหน้าและแววตา น้ำทิพย์ที่สาม ก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าเวลานี้ อนันตวาโย มีความรู้สึกเช่นไรบ้าง
“ หากเป็นเมื่อก่อนข้าอาจไม่เคยคิดเรื่องนี้เป็นจริงเป็นจัง แต่พอข้าได้มาพบกับ กรรณิการ์นาคี อีกครั้งข้าเองก็มีความรู้สึกไม่ต่างไปจากเจ้า คงถึงเวลาแล้วที่ข้าสมควรจะตัดสินใจเรื่องของพวกนางให้เด็ดขาด “
“ เจ้าคิดจะตัดสินใจอย่างไร? “
อนันตวาโย สูดลมหายใจเข้าอย่างแรง
“ ข้าจะบอกพวกนางตรงๆไปว่า ข้ารัก กรรณิการ์นาคี “
คำตอบนี้เหมือนกับจุดชนวนระเบิดลูกใหญ่เลยทีเดียว
“ เจ้าคิดดีแล้วหรือที่จะพูดเช่นนี้? “ น้ำทิพย์ที่สาม ยังนึกไม่ออกเลยว่าพวกนางจะเสียใจเพียงไหนที่ได้ยินประโยคนี้จากปากของ อนันตวาโย แต่นั้นก็ยังดีกว่าปล่อยให้พวกนางเผลอฝันไปคนเดียว
“ คิดดีแล้ว และก็ถูกต้องด้วย “ วายุหนุ่มเหมือนกับยกภูเขาออกจากอก ท่าทางที่สุดแสนจะเคร่งเครียดของ อนันตวาโย พลันสดใสขึ้นทันตา
“ ยิ่งกว่านั้นข้าจะบอกพวกนาง ด้วยว่า ข้าก็รักพวกนาง เช่นกัน หากจะให้ข้าเลือกใครคนใดคนหนึ่ง ข้าคงทำไม่ได้ “
“ นี้นะหรือการตัดสินใจของเจ้า พวกนางคงฟังเจ้าหรอก? “ น้ำทิพย์ที่สาม รู้สึกกังขาเสียเหลือเกิน ที่ อนันตวาโย พูดมันจะเป็นไปได้หรือ?
“ เจ้าคิดมากเกินไป ผู้ชายจะมีเมียซักกี่คนก็ไม่เห็นแปลก มันขึ้นอยู่กับว่าจะใช้กลยุทธ์ใดเพื่อผูกมัดใจพวกนางเอาไว้ ทีเจ้ายังมีเมียได้ตั้งสองคน แล้วทำไมข้าจะทำบ้างไม่ได้ “
ทุกสิ่งมักจะไม่เป็นอย่างที่ตาเห็น อนันตวาโย ก็เช่นกัน ทุกวันนี้เขาก็ยังเข้าใจเรื่องของ น้ำทิพย์ที่สาม ผิดไปจากความเป็นจริงอยู่ดี
“ มันใช่อย่างที่เห็นซะที่ไหนเล่า เจ้าเข้าใจผิดไปเอง “
“ ข้าเห็นและเข้าใจอะไรผิดตรงไหนลองบอกมาสิ? “
ใช่ว่า น้ำทิพย์ที่สาม ไม่อยากจะบอกแต่ตัวเขาเองก็เหมือนคนน้ำท่วมปาก พูดไปใครเล่าจะเชื่อ
“ เอ้อ ..คือ แบบว่า . “ สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าจะตอบและอธิบายอย่างไร
“ เอาเป็นว่าไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดก็แล้วกัน “
เมื่อไม่ได้คำตอบ อนันตวาโย ก็มิใคร่สนใจจะซักถามอีก
“ ถ้าเจ้ายืนยันอย่างนั้นก็แล้วแต่เจ้าเถอะ แต่ข้าว่านอกจากเจ้าจะคิดมากในเรื่องของข้าแล้ว เรื่องของ กัลย์ปาอสูร เจ้าก็คิดมากเกินไปเหมือนกัน ถึงเราอาจจะต้องต่อกรกับ กัลย์ปาอสูร ซักวันหนึ่ง แต่ก็ไม่แน่ว่าเราจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ “
น้ำทิพย์ที่สาม พูดอย่างเปิดเผย
“ คนมีครอบครัวแล้วก็เป็นแบบนี้แหละมักจะคิดมาก เจ้าลองคิดดูสิว่าหากข้าพาเมียกระเตงไปสู้รบกับเหล่าอสูรทุกวันอยู่อย่างนี้ นางจะมีความสุขแค่ไหนกันเชียว วันทั้งวันคงต้องหวาดระแวงว่าข้าจะจากนางไปเมื่อไร? “
และนั้นก็เป็นสาเหตุทำให้ น้ำทิพย์ที่สาม ไม่มีความสุขอย่างที่เป็นอยู่ทุกครา
“ เรื่องอดีตของข้า ข้าเลิกสนใจไปนานแล้ว ข้าสนใจแต่ปัจจุบัน และอนาคตที่กำลังเกิดขึ้น ข้าอยากจะทำอะไรไว้ซักอย่างหนึ่งให้กับเมียข้าและลูกของข้าที่กำลังจะเกิด “
อนันตวาโย ตกตะลึง
“ อะไรกันพวกเจ้าแต่งงานกันเพียงไม่กี่วัน พวกนางก็ท้องแล้วอย่างนั้นหรือ? “
น้ำทิพย์ที่สาม ส่ายหน้าและโบกมือไปมา
“ ไม่ใช่ นางยังไม่ได้ท้อง ข้าเพียงแต่คิดเผื่อไว้ทำนั้นเอง ข้ากับนางอยู่ด้วยกัน วันนี้ไม่มีวันหน้าก็ต้องมีอยู่ดีนั้นแหละ “
อนันตวาโย ตบมือใหญ่ชอบอกชอบใจ
“ ดี พูดได้ดี เอาอย่างนี้ หากวันใดเมียเจ้ามีลูกขึ้นมา ข้าจะทูลขอให้พระวิษณุกรรมทรงสร้างเมืองให้เจ้าอยู่ ด้วยเกียรติยศของจ้าวพายุ พระวิษณุกรรมทรงไม่ปฏิเสธแน่ เจ้าอยากจะให้เมืองของเจ้ายิ่งใหญ่เพียงไหนก็ย่อมได้ “
น้ำทิพย์ที่สาม รู้สึกตื้นตันใจไม่คิดว่า อนันตวาโย จะออกปากถึงเพียงนี้
“ ขอบใจเจ้ามากนะ อนันตวาโย ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะดีกับข้าถึงขนาดนี้ “
“ คนกันเองทำไมต้องเกรงใจด้วย ว่าแต่เจ้าอยากให้เมืองของเจ้ามีลักษณะแบบไหน “
“ เมืองของข้านะหรือ? อืม ข้าเคยฝันไว้ว่าข้าอยากได้เมืองที่ตั้งอยู่ในสถานที่ๆสงบ แวดล้อมไปด้วยขุนเขาและป่าไม้ แล้วก็มีน้ำตกใหญ่ไหลอยู่ตลอดปี เหมือนกับที่บ้านไม้ไผ่นี้แหละ .”  ความคิดที่กำลังโลดแล่นพลันต้องแปรเปลี่ยนเมื่อภาพในอดีตย้อนคืนกลับมา
“  ข้าอยากได้ปราสาทซักหลังหนึ่ง .มี ..ปลายยอดปราสาทททท มีรูป โอ้ย .”
สีหน้าของสิงห์ปริศนา เริ่มเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เขายกมือทั้งสองขึ้นมากุมที่ศีรษะ ในหัวของเขาปรากฏภาพสถานที่แห่งหนึ่งที่ดูเหมือนคุ้นเคยและโหยหา ภาพของปราสาทที่อยู่ท่ามกลางขุนเขาอันลี้ลับผุดขึ้นมาอย่างฉับพลัน เหมือนเมืองลับแลที่อยู่ในม่านหมอกน่าทึบแต่กลับมีสายรุ้งพาดผ่านถึงเจ็ดสาย ใกล้ๆกันนั้นเหมือนจะเป็นหน้าผาแต่มีสายน้ำตกขนาดใหญ่ที่ไหลล้นตกออกมาสะท้อนความชุ่มชื้นให้ทั่วบริเวณ ยอดประสาทที่ทอแสงอร่ามเมื่อยามต้องกับแสงแห่งตะวันที่โผล่พ้นขอบฟ้า ลวดลายกนกและสัตว์เทพนาๆชนิดที่จำลักไว้ ผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็วมากมายจนนับไม่ถ้วน ถัดจากนั้นเป็นภาพของใครคนหนึ่งยืนอยู่ที่หน้าประตูอันวิจิตรสวมใส่อาภรณ์พรรณที่แปลกตาแต่สวยงามจนบรรยายไม่ถูก สายสังวาลที่สวมใส่เปล่งรัศมีบุษราคัมสีเหลืองสว่างใสแทรกเข้ามาระหว่างกลางห้วงแห่งความคิด บุรุษผู้นั้นๆค่อยเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้าๆมองเห็นใบหน้าของเขาอย่างเด่นชัดเขาก็คือ ..
“ อ๊ากกกกกกกกกกกกกก “ น้ำทิพย์ที่สาม เปล่งเสียงร้องออกมาอย่างเจ็บปวด ตอนนี้เขาเหมือนคนเสียสติอาละวาดอย่างบ้าคลั่งข้าวของที่ตั้งเรียงรายอยู่กระจัดกระจายในทันทีด้วยมือของเขาทั้งสองข้าง
“ เพล้งงงงงงงงงงง “
“ เกิดอะไรขึ้นนะ!!! “ เสียงร้องอย่างตกใจของ มณีมรกต และชมพูมุกดา ดังออกมาจากห้องของ กรรณิการ์นาคี พวกนางแทบจะวิ่งออกมาในทันทีทันใด หลังจากที่ได้ยินเสียงร้อง แต่เมื่อเห็นภาพของสามี พวกนางถึงกับต้องตกตะลึง
“ นี้มันเรื่องอะไรกัน “ ภาพที่พวกนางเห็นก็คือพลังในกายของ น้ำทิพย์ที่สาม เริ่มก่อตัวเป็นสิงห์ใหญ่ตัวมหึมา แต่เป็นสิงห์ที่น่ากลัวอย่างไม่คาดคิดมาก่อน ใบหน้าของสิงห์นั้นเหมือนกำลังต้องการกระโจนออกมาจากที่คุมขัง ดวงตาแดงโรจน์ด้วยความเกรี้ยวกราด คล้ายจะทลายทุกสิ่งที่อยู่รอบตัว ขาทั้งสี่ข้างถูกพันธนาการไปด้วยโซ่ตรวนแห่งพลังที่ส่องประกายสีเหลืองดั่งอัญมณีทำหน้าที่จองจำมันเอาไว้ไม่ให้ออกไปไหนได้  ภาพนั้นปรากฏอยู่เพียงชั่วครู่ก่อนที่จะจางหายไปต่อหน้าต่อตาของพวกนาง แต่พลังในกายของ น้ำทิพย์ที่สาม ยังถูกปลดปล่อยออกมาเรื่อยๆไม่มีท่าทีจะสิ้นสุด เส้นเลือดและชีพจรทุกจุดปูดโปนเหมือนกับจะระเบิดออกมา พร้อมกับท่าทางที่ดูคุ้มคลั่งเหมือนเป็นคนละคนกับสามีที่พวกนางเคยรู้จัก
“ เร็วเข้าช้าอาจไม่ทันการ “  อนันตวาโย ไม่มีเวลาอธิบายและไม่รอช้าอีกต่อไป พุ่งพรวดเข้าหา น้ำทิพย์ที่สาม อ้อมมาอยู่ด้านหลังก่อนซัดฝ่ามือเข้าที่กลางหลังของเขา
“ ข้าจะใช้พลังธาตุลมกดกระแสพลังที่แผ่ซ่านและพลุ่นพล่านของเขา พวกเจ้ารีบหาวิธีช่วยเขาให้ได้ก่อนที่ข้าจะควบคุมเขาไม่ไหว “ เป็นครั้งแรกที่ อนันตวาโย รู้สึกว่าตัวเองเหมือนกับแบกภูเขาทั้งลูกที่ทั้งหนักและใหญ่เกินกว่ากำลังของเขาที่จะแบกรับไว้ได้
มณีมรกต และ ชมพูมุกดา เข้าขนาบข้างสามี ต่างฝ่ายต่างยกแขนของ น้ำทิพย์ที่สาม ขึ้นมา และกดไว้กับตัว ก่อนทาบฝ่ามือเข้าหา
“ อ๊ากกกกกกกกกก ปล่อยข้า ปล่อยยยยยยย “  น้ำทิพย์ที่สามยังคุ้มคลั่งไม่หยุด แววตาเหมือนคนไม่ได้สติ
“ พลังในกายแปรปรวนมาก เอาไงดี? “
อาการของ น้ำทิพย์ที่สาม เริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ
“ ท้องฟ้ายามค่ำคืน สะพร่างด้วยหมู่ดาว วิถีแห่งดาราเคลื่อนย้ายตามฤกษ์ยาม แฝงไว้ด้วยความแปรเปลี่ยนเจ้านึกอะไรออกบ้าง? “
ชมพูมุกดา รู้แล้วว่าต้องทำอะไร
“ อย่าช้าอีกเลย “ พวกนางเริ่มประสานพลังกันทันที
“ เคล็ดวิชาเปรียบจันทร์ดั่งจันทร์ “
พลังสองสายหนึ่งเขียวมรกตและหนึ่งชมพูขาวนวล แทรกซึมเข้าไปในร่างของ น้ำทิพย์ที่สาม เก็บกู้พลังที่ไหลแปรปรวนและแผ่ซ่านออกมา ก่อนค่อยๆผสานกันให้เป็นหนึ่งและส่งคืนให้กับเจ้าของ ร่างกายและพลังของ น้ำทิพย์ที่สาม ค่อยๆกลับสู่ภาวะปกติ จนในที่สุดตัวเขาก็ทรุดตัวลงอย่างหมดเรี่ยวแรง
“ ข้า ..ข้า ..เป็น อะไรไป “ น้ำทิพย์ที่สาม หายใจอย่างอ่อนล้าร่างกายของเขาเหมือนกับจะฉีกขาดออกจากกัน
พวกนางต่างกอดเขาเอาไว้
“ ไม่ต้องกลัว ข้าอยู่นี้แล้ว ท่านไม่เป็นอะไรแล้ว เชื่อข้า “
อนันตวาโย เองก็ไม่ได้ดีไปกว่า น้ำทิพย์ที่สาม ฝืนสังขารเดินเข้ามาตบไหล่เพื่อน
“ เจ้าพักผ่อนก่อนเถอะ “
“ แต่ข้า “ น้ำทิพย์ที่สาม ยังมีห่วงกังวลอยู่
“ เชื่อข้า ตอนนี้เจ้าต้องพักผ่อนให้มาก เรื่องของขุนศึกวายุไว้ให้ข้าจัดการเอง “
“ ข้า ข้า .. “ ตาของสิงห์ปริศนาค่อยๆปรือลงและหลับไปในที่สุด ส่วน อนันตวาโย เองก็ต้องการฟื้นฟูพลังเช่นกัน
“ วายุธาตุ จงมาเป็นพลังให้กับข้า “ ลมทุกแห่งหนในโลกถูกดึงดูดมาเป็นพลังให้กับเขา ร่างกายเริ่มกลับมากระชับกระเชงอีกครั้ง
“ นี้มันเรื่องอะไรกัน อนันตวาโย ทำไมเขาถึงได้เป็นแบบนี้ “
อนันตวาโย ส่ายหน้าเพราะเขาเองก็ไม่รู้สาเหตุเช่นกัน
“ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ข้ากับเขากำลังพูดคุยกันอยู่ดีๆ จู่ๆ เขาก็เกิดคุ้มคลั่งขึ้นมา พลังในร่างก็เหมือนกับจะระเบิดออกมาด้วย “
เป็นอาการที่น่าวิตกจริงๆ
“ เขาเคยเป็นแบบนี้มาก่อนหรือเปล่า? “ มณีมรกตถาม พลางสังเกตอาการของสามี
“ ไม่ ตั้งแต่ข้ากับเขารู้จักกันมา ข้ายังไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อนเลย โชคดีที่มีพวกเจ้าอยู่ด้วย หากลำพังมีข้าเพียงแค่คนเดียวคงช่วยเขาไว้ไม่ได้ “
มณีมรกตและ ชมพูมุกดา เป็นห่วง น้ำทิพย์ที่สาม เหลือเกิน หากเมื่อกี้พวกนางหาทางควบคุมพลังของสามีไว้ไม่ทัน เขาจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ อนันตวาโย เองก็รู้สึกใจคอไม่ค่อยดี เขาก็มีควารู้สึกเช่นเดียวกันว่าอาจจะต้องสูญเสียเพื่อนไปหากอาการประหลาดของ น้ำทิพย์ที่สาม เกิดกำเริบขึ้นมาอีก
“ ต่อไปนี้ พวกเราต้องดูแลเขาอย่างใกล้ชิด อย่าให้อาการของเขาเกิดกำเริบขึ้นมาอีก “ นั้นเป็นวิธีเดียวที่ มณีมรกต คิดได้ในเวลานี้
อนันตวาโย อยากจะอยู่ดูแล น้ำทิพย์ที่สาม และ กรรณิการ์นาคี แต่ในเวลานี้สถานการ์บีบบังคับให้เขาต้องเร่งรีบจัดการเรื่องที่คั่งค้างให้เสร็จมิเช่นนั้นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นอาจจะมารวมกันจนทำให้สถานการณ์ที่มีอยู่แย่ลงไปกว่าเดิม
“ พวกเจ้าช่วยดูแลเขาด้วย ข้าจะไปพบขุนศึกวายุก่อน แล้วจะรีบกลับมา “
“ อาหารเมื่อวานนี้พอมีเหลืออยู่บ้างเจ้าเอาติดตัวไปกินระหว่างทาง “ มณีมรกตบอกและทำท่าจะเข้าไปหยิบห่ออาหารให้
อนันตวาโย โบกมือห้าม
“ ไม่ต้อง เก็บเอาไว้ที่นี้เถอะ ตอนนี้มีคนป่วยอยู่สองคน น่าเป็นห่วงมากกว่า ที่ชายแดน สิริกันยา คงหาอะไรให้ข้ากินได้เอง ข้าขอฝากกรรณิการ์นาคี ไว้ด้วย อีกเดี๋ยวข้าจะกลับมา “
อนันตวาโย ไม่รอฟังคำทักท้วงจากพวกนาง สลายร่างกายเป็นสายลมไปในพริบตา ส่วนพวกนางเมื่อเห็นอนันตวาโยจากไปแล้วจึงค่อยๆพยุง น้ำทิพย์ที่สาม ลุกขึ้น ถึงอาการประหลาดจะสงบลงไปแล้วแต่สีหน้าของเขายังไม่ดีขึ้นเท่าไร สองสาวพยายามพาเขากลับเข้าไปนอนที่ห้องแต่พอพวกนางเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ชมพูมุกดา ก็หันกลับมามองที่หน้าประตูและตวาดออกมา
“ ใครอยู่ตรงนั้นออกมาเดี๋ยวนี้ “
ด้วยน้ำเสียงที่เฉียบขาดของนาง ทำให้ผู้ที่แอบดูอยู่ต้องค่อยๆ ก้าวออกมายืนอยู่ที่หน้าประตู ผู้มาใหม่มีกลิ่นเกสรดอกไม้ติดอยู่กับตัว เป็นสาวน้อยแรกรุ่นอายุอ่อนกว่าพวกนางทั้งสองเพียงไม่กี่ปี
“ ท่านพี่ “
“ ผกากรอง !!! “ สองสาวอุทานออกมา ไม่คิดว่าจะได้พบเจอกับนางที่นี้ในเวลานี้ ส่วนสาวน้อยมองดูร่างที่ไร้สติของชายหนุ่มที่อยู่ในอ้อมแขนของพี่สาว
“ เขา . “
“ ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น เจ้ารอพี่อยู่ที่นี้รอให้พี่พาเขาเข้าไปก่อนแล้วค่อยกลับมาชำระความกับจ้า “
-------------------------------------------
อนันตวาโย รีบพัดพาตัวเองมาที่เขตชายแดนของนครเตมินทร์ ใจจริงเขาอยากอยู่ดูแล กรรณิการ์นาคี กับ น้ำทิพย์ที่สาม แต่ทว่า หากเขาไม่มาพบกับขุนศึกวายุในเวลานี้ เขาเกรงว่า ขุนศึกวายุ อาจไม่รอเขาและยกกำลังกลับไปทำให้ความพยายามที่ผ่านมาต้องสูญเปล่า และที่สำคัญก็คือในเวลานี้ ไม่แน่ว่า น้ำทิพย์ที่สาม จะหายดีเมื่อไร หากได้กำลังของขุนศึกวายุมาช่วย ตัวเขาก็ไม่ต้องเป็นกังวลมากนัก เพียงเวลาไม่นานด้วยอิทธิฤทธิ์แห่งทายาทจ้าวพายุ เขาก็พัดพาตัวเองมาถึง เขตชายแดนนครเตมินทร์ แล้ว อนันตวาโย รีบคืนร่างให้เป็นดั่งเดิมก่อนเหาะลงไปพบกับ สิริกันยา  เพียงแค่เขาไปในพลับพลาที่ประทับของเจ้าหญิงสิริกันยา ก็พบกับท่าทางที่ตึงเครียดกึ่งโมโหของนาง
“ สิริกันยา เจ้าเป็นอะไรไป “
“ อนันตวาโย “ นางส่งเสียงอย่างยินดีที่ได้พบเขา โผเข้าหาในทันที
“ เจ้ามาก็ดีแล้ว ข้าจะอกแตกตายเสียให้ได้ “
“ เกิดอะไรขึ้นบอกข้ามาสิ “
“ ดูโน้นสิ “ สิริกันยา ชี้นิ้วออกไปข้างนอก สิ่งที่เขาพบเห็นก็คือผืนป่าที่กว้างใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า หากแต่เมื่อมองให้ชัดๆแล้วเขากลับพบว่ามีอะไรอยู่บนต้นไม้เหล่านั้น
“ กองทัพวานร ขุนศึกวายุ “
เมื่อ อนันตวาโย รู้สาเหตุ แล้วก็รีบออกจากพลับพลาในทันที โดยบอกให้สิริกันยา รอเขาอยู่ด้านในพลับพลาก่อน
“ ขุนศึกวายุ พวกเจ้าอยู่ที่ไหน ข้า อนันตวาโย มาพบเจ้าแล้ว “
ยังไม่ทันสิ้นคำ เงาร่างสองร่างก็ทะยานลงมาจากฟากฟ้า พอเท้าแตะพื้นหนึ่งในนั้นก็กระชากคอเสื้อของ อนันตวาโย อย่างรวดเร็ว
“ อนันตวาโย เจ้าเล่นตลกอะไรกับข้าสองคน บอกมาเดี๋ยวนี้ “
วานรสองตัวที่ทรงพลัง ยืนประจันหน้ากับเขาแล้ว หนึ่งกายสีขาวผ่องอำไพ หนึ่งกายสีนิลดำสนิท
“ รังมานุ แห่งนครนพบุรี และ นิลสาร แห่งนครชมพู มาแล้ว “
รังมานุ เป็นทายาทรุ่นหลังของหนุมาน ส่วน นิลสาร เป็นทายาทรุ่นหลังของนิลพัท ทั้งสองนอกจากจะเป็นเพื่อนรักกันแล้วยังร่วมฝึกปรือวิชาด้วยกันอยู่บ่อยๆ นับว่าเป็นเรื่องน่าประหลาดดีแท้ทั้งๆที่ หนุมาน และ นิลพัท นั้นต่างไม่ถูกชะตาซึ่งกันและกันแต่ไม่น่าเชื่อว่า ทายาทรุ่นหลังของพวกเขากลับมาเป็นเพื่อนรักกันได้ แต่ในเวลานี้ รังมานุ กำลังโมโห อนันตวาโย เป็นอย่างมาก เขาทำอะไรผิดอย่างนั้นหรือถึงทำให้สองขุนศึกวายุต้องโมโหโกรธาเช่นนี้
( เรื่องราวความบาดหมางของหนุมานกับนิลพัทเริ่มจากในครั้งนั้น พระรามทรงให้พญาวานรสุครีพ รวบรวมไพล่พลเพื่อบุกตีกรุงลงกา หลังจากที่พระยากากาศ หรือพาลี ผู้เป็นพี่ชายได้สิ้นชีพด้วยศรของพระราม พาลีนั้นมีมิตรรักอยู่ที่นครชมพู มีชื่อว่า ท้าวมหาชมพู ซึ่งตัวท้าวมหาชมพูนั้นมีฤทธิ์มากและหยิ่งในศักดิ์ศรีนัก ไม่เคยไหว้ใคร นอกจากพระอิศวรและพระนารายณ์เท่านั้น เมื่อสุครีพขอเข้าพบและอ้างองค์การของพระนายราณ์ให้รวบรวมพลเพื่อบุกกรุงลงกา ท้าวมหาชมพู ถึงกับสลบไปด้วยความหวาดกลัว เมื่อฟื้นขึ้นมาก็ไต่ถามเรื่องราวก็รู้ว่าพระนารายณ์ที่สุครีพพูดถึงคือมนุษย์ธรรมดา จึงไม่เชื่อคำพูดของสุครีพ และขับไล่ สุครีพ และหนุมาน ออกจากเมือง ครั้นสุครีพจะกลับไปพบพระรามและทูลความให้ทรงทราบ หนุมานก็เกรงว่าจะทำให้พระองค์ต้องขุ่นเคืองพระทัยเมื่อรู้ว่า ท้าวมหาชมพู ไม่ยอมมาพบพระองค์ อาจจะทรงกริ้วและทรงแผลงศรมาล้างนครเสียจะทำให้เสียไพร่พลไปเปล่าๆ หนุมานจึงออกอุบายขอค้างคืนที่นครชมพู รอให้ถึงเวลากลางคืน เป่ามนต์จนทำให้ท้าวมหาชมพูและผู้คนภายในนครชมพูนอนหลับสนิท แล้วเนรมิตร่างกายจนสูงใหญ่ ทำการยกยอดประสาทออกและลักพาตัวท้าวมหาชมพูมาทั้งแท่นบรรทม พระรามทรงพอพระทัยความฉลาดของหนุมานนัก ลูบหลังหนุมานตั้งแต่หัวจรดหาง ทำให้หนุมานพ้นคำสาปของพระอุมาเทวี กำลังริดรอนที่ลดลงกึ่งหนึ่งกลับคืนมาเหมือนเดิม จากนั้นพระรามก็ให้หนุมานคล้ายมนต์สะกดท้าวมหาชมพู พอท้าวมหาชมพูพ้นจากมนต์ ก็ตื่นขึ้นมาจากแท่นบรรทม ตกพระทัยที่ตัวเองมาอยู่กลางป่าเขา พอหันหน้ามาพบกับพระราม ก็แลเห็นพระองค์มีสี่กรทรงเทพอาวุธ ก็รู้ตัวว่าผิดมีโทษมหันต์ด้วยความกลัวเดชพระนารายณ์ก็สลบลงไปอีก พระรามจึงสั่งให้พระลักษณ์นำน้ำชุบศรพรหมาศาสตร์ของพระองค์มาชุบตัวของท้าวมหาชมพู พอท้าวมหาชมพูฟื้นคืนสติขึ้นมา ก็ทูลของพระราชทานอภัยโทษ พระรามจึงสั่งให้ท้าวมหาชมพูจัดทัพเพื่อยกไปบุกกรุงลงกา พอถึงรุ่งเช้า นิลพัท หลานของ ท้าวมหาชมพู รับรับสั่งของ นางแก้วอุดรให้มาตามหาพระสวามี แต่แรกคิดจะช่วงชิงเสด็จลุงกลับมาจากเหล่าศัตรู แต่พอรู้ว่าพระรามคือพระนารายณ์อวตวาลมาปราบยักษ์ ก็ยอมเป็นข้าแต่โดยดี แต่ก็ยังเจ็บใจหนุมานไม่หายที่ลักพาเสด็จลุงออกมา ทำให้ต่างฝ่ายต่างศรศิลป์ไม่กินกันมาตลอด แต่ด้วยที่ว่าทั้งสองต่างเป็นพญาวานรที่มีเขี้ยวแก้วและมีฤทธิ์ใกล้เคียงกัน จึงต่างกินกันไม่ลง แม้กระทั่งตอนที่พระรามสั่งจองถนนไปกรุงลงกา ทั้งสองยังไม่วายทะเลาะต่อฤทธิ์กัน จนในที่สุด นิลพัทต้องอาญาไปรั้งอยู่นครขีดขิน คอยส่งเสบียงอาหาร ส่วนหนุมานต้องอาญาถูกสั่งให้จองถนนให้ได้ภายในเจ็ดวัน )
แต่ อนันตวาโย เองก็พยายามใช้วิธีเอาน้ำเย็นเข้าลูบ
“ เดี๋ยวก่อนใจเย็นๆก่อนสิ พวกเจ้าไปกินรังแตนมาจากไหนกันถึงมาลงกับข้าเช่นนี้ “
รังมานุ ค่อยๆ ปล่อยคอเสื้อของ อนันตวาโย
“ ชิชะ ยังมาพูดเล่นอีก เจ้าทำอะไรไว้รู้ตัวหรือเปล่า ข้าสองคนเป็นพญาวานรผู้ยิ่งใหญ่ เห็นแก่หน้าเจ้าอุตสาห์ยกกองทัพมาช่วยทั้งที่ แทนที่จะให้ข้าสองคนบัญชาการรบเองกลับมาให้พวกข้าคอยฟังคำสั่งผู้หญิงตัวแค่นี้นะสมองเจ้ามีปัญหาหรือไง? “
ที่แท้รังมานุ กำลังโมโหโทโส ที่ อนันตวาโย จะให้พวกเขารับคำสั่งจากสิริกันยานั้นเอง
“ โธ่!! เข้าใจผิดแล้ว ใครบอกละข้าจะให้พวกเจ้าฟังคำสั่งจากนาง ข้าเพียงแต่ให้พวกเจ้าลองสอบถามชัยภูมิจากนางเท่านั้น อย่างลืมสิว่านางเป็นเจ้าของพื้นที่ ย่อมรู้สภาพอาณาเขตของนครเตมินทร์เป็นอย่างดี เวลาพวกเจ้าทำศึกจะได้เป็นประโยชน์อย่างไรล่ะ “
สีหน้าของ รังมานุ ค่อยดีขึ้นหน่อย
“ พูดอย่างนี้มันค่อยน่าฟังหน่อย “
วานรทั้งสอง ใช้หางของตนกวาดไปที่พื้นและขดเป็นวงคล้ายที่รองนั่งก่อนจะยกตัวให้สูงขึ้นมา
‘ เอาแล้วไง ท่าทางแบบนี้สงสัยจะเรียกขอต่อรองอะไรอีกกระมัง ’ คิดแล้วก็น่าปวดหัวเสียนี้กระไร
“ พวกข้าสองคนขอบอกไว้ก่อน  หากศึกนี้พวกข้าไม่ได้เป็นแม่ทัพบังคับบัญชาการศึกเอง พวกข้าจะไม่อยู่ช่วยเจ้าและยกทัพกลับในทันที “ นิลสารเองก็ใช่ย่อย นิสัยแทบจะไม่ต่างจากรังมานุเลย
“ รู้แล้ว ข้าเข้าใจดี  อสูรทั้งกองทัพข้ายกให้พวกเจ้าก็ได้ แต่ขอร้องเถอะอย่าเล่นแง่กับนางนักเลย ยังไงคนที่เจ้าต้องร่วมงานด้วยก็คือหนึ่งในว่าที่ชายาในอนาคตของข้า “
พอสิ้นคำ ทั้งรังมานุ และ นิลสาร ถึงกับหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง
“ ฮะๆๆๆ  เจ้าล้อข้าเล่นหรือ อนันตวาโย อย่างเจ้านะหรือคิดจะมีเมียกับเขาด้วย โอ้ย! ฟ้าจะถล่มแผ่นดินจะทลาย ร้อยวันพันปีข้าเคยเห็นเจ้าจริงจังกับใครซะที่ไหนกัน? เห็นแต่เกี้ยวผู้หญิงไปวันๆหนึ่งเท่านั้น “
อนันตวาโย อ้อมมาทางด้านหลังและกอดคอวานรทั้งสองเอาไว้
“ ฟังข้าให้ดีนะเจ้าสองตัวแสบ พวกเจ้าจะพูดหรือจะคิดอย่างไรมันก็เรื่องของเจ้า แต่ห้ามรังแกผู้หญิงของข้าเป็นอันขาด หากนางมาซบอกร้องไห้กับข้าเมื่อไร ต่อให้พวกเจ้ามีสิบมือร้อยหน้าหมื่นชีวิต ข้าก็จะซัดพวกเจ้าให้เละ เลาะกระดูกพวกเจ้าออกมาให้นางดูเล่น เข้าใจไหม?  “
คราวนี้ถึงได้รู้ว่า อนันตวาโย พูดจริง
“ ก็ได้ๆ เพื่อเห็นแก่หน้าเจ้า พวกข้าจะยอมเชื่อฟังนางบ้างก็ได้ พอใจหรือยัง? “
“ อย่านี้สิถึงจะเรียกว่ารักกันจริง “ อนันตวาโย แกล้งชมไปอย่างนั้นเองเพราะรู้ว่าทั้งสองไม่ได้รับปากจริงจังนัก
รังมานุ เห็น อนันวาโย มาเพียงลำพังก็อดถามขึ้นไม่ได้
“ ว่าแต่ว่าทำไมเจ้าถึงมาหาข้าสองคนเพียงแค่คนเดียวล่ะ ไหนเจ้าบอกว่าเจ้าจะพาเพื่อนเจ้ามาด้วยมิใช่หรือ ? “
“ บังเอิญเกิดเรื่องกับเพื่อนของข้าขึ้นมาก่อน พูดไปเรื่องมันยาว เอาไว้เล่าทีหลังเถอะ “
“ อะไรกันพวกข้ายังไม่ทันพบหน้าเพื่อนของเจ้า เขาก็ลงไปนอนชักดิ้นชักงอแล้วหรือ? แล้วผ่านการคัดเลือกมาปราบกัลย์ปาอสูรได้อย่างไร?  “ นิลสาร ว่า
“ เพื่อนข้าไม่ใช่กระจอกอย่างที่เจ้าคิดขนาดนั้นหรอก เอาไว้พวกเจ้าเจอเขาก็จะรู้เองว่าข้าพูดเกินความจริงหรือไม่ “
สองวานรต่างให้ความสนใจ
“ เห็นเจ้าพูดถึงขนาดนี้ข้าอยากจะเจอเขาเร็วๆซะแล้วสิ จะได้ดูว่าเก่งกาจจริงอย่างที่เจ้าคุยโม้ไว้หรือเปล่า? “
“ เถอะน่า เจ้าได้พบเพื่อนข้าแน่ ไม่ต้องห่วง ว่าแต่ว่าพวกเจ้าพา ๑๘ ขุนศึก กับ ๒ ยุพราช มาด้วยหรือเปล่า? “ ( ๑๘ ขุนศึกทายาทรุ่นหลังของวานร ๑๘ มงกุฎ  , ๒ ยุพราช ทายาทรุ่นหลังขององคตและชมพูพาน )
“ ข้าจะพาพวกเขามาด้วยทำไมเพียงแค่พวกข้าสองคนก็เกินพอแล้ว ปล่อยให้พวกเขาอยู่เฝ้านครนั้นแหละดีแล้ว เกิดยกโขยงกันมาหมดนครของพวกข้าก็ได้กลายเป็นนครร้างไปเท่านั้นนะสิ “
“ ข้าแค่ถามนิดเดียว ทำบ่นไปได้ มาตามข้ามาข้าจะแนะนำว่าหนึ่งในว่าที่ชายาของข้าให้รู้จักอย่างเป็นทางการ แต่พวกเจ้าสองคนอย่าพูดมากล่ะเข้าใจไหม? ข้ายังไม่อยากออกมานอนตบยุงกับพวกเจ้าหรอกนะ “
“ เจ้ากลัวเมียว่างั้นเถอะ “ นิลสาร พูดแทงใจดำ อนันตวาโย เข้า
“ พูดอีกทีเดี๋ยวโดนอัดแน่ ตามข้ามา “ อนันตวาโย สั่งก่อนเดินนำหน้าพวกเขาไป แต่วานรก็ยังคงเป็นวานรหาได้เดินไปอย่างปกติไม่ คงกระโดดโลดเต้นไปมาอยู่นั้นเอง จน อนันตวาโย ทนไม่ไหวต้องลงทุนลากพวกเขาทั้งสองเข้าไปภายในพลับพลา
จบตอนที่ ๓๒ ครับ  หนุมานละมาทำกะสัตย์ ไปรบไปราเผ่าพงค์วงค์ยักษ์ จ๊าบโทนๆๆ จ๊าบๆ โทนๆ ๆ    แฮะๆๆ ในที่สุดสองลิงกังแห่งยุคก็ออกมาเสียที หลังจากที่พวกมันวนเวียนอยู่ในหัวของผมและท้วงบทของตัวเองเป็นเวลาหลายคืนแล้ว แต่ไม่ต้องห่วงนะครับว่าจะมี ๑๘ ขุนศึก กับ ๒ ยุพราชตามมาอีก พวกนั้นไม่มาหรอกครับเพราะแค่ลิงกังสองตัวนี้ผมก็จะแย่อยู่แล้ว เดี๋ยวจะไม่มีบทให้พวกมันเล่นกัน
สุดท้ายใครอยากเห็นรูปสองสาวฝาแฝดอีกทีก็เข้าไปดูได้นะครับ ( ติ๊ดต่างว่าเป็น มณีมรกต กับ ชมพูมุกดา )
http://www.mthai.com/webboard/viewtopic.php?cate_id=29&post_id=44948
http://www.mthai.com/webboard/viewtopic.php?cate_id=29&post_id=45534
http://www.mthai.com/webboard/viewtopic.php?cate_id=29&post_id=45740
ตอนที่ ๓๒ ขุมพลังที่ถูกกังขังกับสองกระบี่แห่งยุค
    อนันตวาโย เฝ้าดูแล กรรณิการ์นาคี อยู่ทั้งคืนมิได้หลับนอน จวบจนรุ่งเช้า น้ำทิพย์ที่สาม ก็เปิดประตูเข้ามา มองเห็นวายุหนุ่มนอนฟุบหลับอยู่ข้างเตียงจึงได้เข้าไปปลุก
” ตื่นเถอะ อนันตวาโย “ น้ำทิพย์ที่สาม เขย่าตัวเขาอยู่หลายที อนันตวาโย ถึงค่อยรู้สึกตัวขึ้นมาใบหน้านั้นมีเค้าของความอ่อนเพลียให้ได้เห็น
“ เช้าแล้วหรือ “ อนันตวาโย ส่ายหัวไปมาเล็กน้อย ก่อนจ้องมองมายังร่างน้อยที่นอนหลับไหลอยู่บนเตียง
“ ตั้งแต่คืนก่อนจนถึงวันนี้ก็วันที่สองแล้ว ทำไมนางยังไม่ฟื้นอีก? “ อนันตวาโย เป็นห่วง กรรณิการ์นาคี เหลือเกิน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดผ่านมาตั้งสองวันนางยังไม่ฟื้นขึ้นมาอีก
“ คงเพราะว่าร่างกายนางอ่อนแอมากกระมัง คงต้องให้เวลาอีกสักหน่อย ข้าว่าไม่แน่เย็นนี้หรือพรุ่งนี้นางก็น่าจะฟื้นขึ้นมาก็ได้ “ น้ำทิพย์ที่สาม บอกพลางหันมามองดู อนันตวาโย
“ ข้าว่าเจ้าไปล้างหน้าล้างตาเสียหน่อยจะดีกว่าจะได้รู้สึกสบายขึ้น  “
แม้ น้ำทิพย์ที่สาม จะพูดเช่นนั้นแต่ อนันตวาโย ก็ยังไม่อยากจาก กรรณิการ์นาคี ไปไหน
“ ข้าอยากจะอยู่ดูแลนางต่ออีกหน่อย “
แม้จะรู้ว่า อนันตวาโย ห่วง กรรณิการ์นาคี มากเพียงไหนแต่งานก็ย่อมต้องมาก่อน
“ ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงนางมาก แต่อย่าลืมสิว่า อีกเดี๋ยวเจ้ากับข้าจะต้องไปพบใคร “
อนันตวาโย รู้ดีว่า น้ำทิพย์ที่สาม หมายถึงใคร
“ แต่ข้า .. “
“ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก อนันตวาโย ข้าจะดูแลนางเอง “ เสียงของ มณีมรกต สอดแทรกขึ้นมาหลังจากที่นางเดินตามเข้ามาสมทบพร้อมกับชมพูมุกดา
“ เมียข้าไม่ปล่อยให้นางเป็นอะไรไปหรอก เชื่อข้าเถอะ “ สิงห์ปริศนาพูดสนับสนุนอีกคนหนึ่ง
เมื่อสองเสียงยืนยันถึงขนาดนี้ เขาก็ไม่อาจฝืนความต้องการของเพื่อนได้อีก
“ ถ้าเช่นนั้น ข้าขอฝากนางไว้กับพวกเจ้าด้วยนะ “ ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่สายตาก็ยังอาลัยอาวรณ์มอง กรรณิการ์นาคี อยู่ดี
“ อย่าห่วงเลย ข้าจะดูแลนางเป็นอย่างดี “ พวกนางให้สัญญา
วายุหนุ่มพยักหน้าก่อนจะเดินตาม น้ำทิพย์ที่สาม ออกไป แต่ไม่วายยังเหลียวหลังกลับมามองร่างน้อยที่นอนนิ่งอยู่ เผื่อว่านางอาจจะฟื้นขึ้นมาแต่ท้ายที่สุดแล้วนางก็ยังไม่ปฏิกิริยาแต่อย่างใด อนันตวาโย จึงค่อยๆ หักใจเดินออกจากห้อง ออกมาล้างหน้าล้างตาตามคำแนะนำ ก่อนจะเดินกลับเข้ามาในบ้านไม้ไผ่ พอพ้นปากประตูเข้ามาก็มองเห็น น้ำทิพย์ที่สาม นั่งอยู่ก่อนแล้ว จึงนั่งลงยังเก้าอี้ที่ยังว่างอยู่
“  หากไม่มี มณีมรกต กับ ชมพูมุกดา ป่านนี้ กรรณิการ์นาคี คงแย่ไปแล้ว เจ้านี้โชคดีจริงๆที่ได้เมียทั้งเก่งทั้งดีแบบนี้ “
น้ำทิพย์ที่สาม หันไปเหลียวมองดูนางทั้งสอง
“ ใช่ นางดีจริงๆ ดีจนบางทีข้ารู้สึกกลัวขึ้นมา “  ในใจของ น้ำทิพย์ที่สาม เริ่มหวั่นกลัวเหตุการณ์ในอนาคตขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“ กลัว? เจ้ากลัวอะไร? “
น้ำทิพย์ที่สาม ถอนหายใจ
“ ข้ากลัวหากข้าเป็นอะไรไป พวกนางจะอยู่กันอย่างไร? “
อนันตวาโย รู้สึกตกใจไม่น้อยที่จู่ๆ น้ำทิพย์ที่สาม พูดเช่นนี้
“ เจ้าพูดอะไรออกมานะ รู้ตัวหรือเปล่า? “
“ รู้สิ ทำไมข้าถึงจะไม่รู้ว่า ข้าถึงได้อยากพูดกับเจ้าอย่างเปิดอก “
“ เจ้าจะพูดอะไรกับข้า? “  น้ำเสียงของ อนันตวาโย ออกจะประหลาดใจไม่น้อย กับท่าทีที่เปลี่ยนไปของคู่หู เมื่อวานนี้ท่าทางเขาก็ยังดูมีความสุขดีอยู่ แต่วันนี้ดูเหมือนมีอะไรในใจชอบกล
“ ข้าถามจริงๆเถอะ อนันตวาโย เจ้ากับข้ามีความมั่นใจมากน้อยแค่ไหนที่จะล้ม กัลย์ปาอสูรได้? ”
อนันตวาโย สะดุดใจในคำพูดของ สิงห์ปริศนา เขาพอจะรู้แล้วว่า น้ำทิพย์ที่สาม ต้องการจะบอกอะไร
“ นี้เจ้ากำลังจะบอกข้าว่า . “
“ ใช่ ข้ารู้สึกกลัว กลัวว่านางจะต้องเจ็บปวดหากวันใดที่ข้าต้องจากนางไป ปทุมเกสร กับ สิริกันยา เองก็เหมือนกัน หากวันใดที่พวกนางต้องสูญเสียเจ้าไป พวกนางก็คงเจ็บปวดรวดร้าวไม่น้อยไปกว่าเมียของข้า “
นับตั้งแต่ได้รู้จักกันมานี้เป็นครั้งแรกที่ อนันตวาโย รู้สึกคำพูดของเพื่อนช่างบาดเฉือนหัวใจเสียนี้กระไร
“ ข้าขอพูดตรงๆกับเจ้าก็แล้วกัน ข้าว่าเจ้าควรพูดกับพวกนางให้รู้เรื่อง ข้าอยากให้พวกนางรู้จากปากของตัวเจ้าเองว่าเจ้ารักพวกนางหรือคิดจีบพวกนางเล่นๆ ดีกว่าที่จะให้พวกนางรู้จากปากของคนอื่น  อย่างน้อยก็ให้พวกนางหักใจจากเจ้าเสียแต่ตอนนี้ดีกว่าจะมาต้องชอกช้ำระกำใจกับการที่เจ้าทำให้พวกนางเข้าใจผิดว่า เจ้ารักพวกนาง “
หากเป็นเวลาปกติเขาคงทำเป็นเฉไฉ ทำเป็นไม่สนใจ แต่เวลานี้เหมือนมีอะไรที่ผูกมัดจนเขาต้องยอมจำนนต่อคำพูดประโยคนี้
“ เจ้าพูดถูก นี้นับเป็นครั้งแรกได้ที่ข้ายอมรับว่าข้าทำเกินไปจริงๆ “
เพียงแค่มองสีหน้าและแววตา น้ำทิพย์ที่สาม ก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าเวลานี้ อนันตวาโย มีความรู้สึกเช่นไรบ้าง
“ หากเป็นเมื่อก่อนข้าอาจไม่เคยคิดเรื่องนี้เป็นจริงเป็นจัง แต่พอข้าได้มาพบกับ กรรณิการ์นาคี อีกครั้งข้าเองก็มีความรู้สึกไม่ต่างไปจากเจ้า คงถึงเวลาแล้วที่ข้าสมควรจะตัดสินใจเรื่องของพวกนางให้เด็ดขาด “
“ เจ้าคิดจะตัดสินใจอย่างไร? “
อนันตวาโย สูดลมหายใจเข้าอย่างแรง
“ ข้าจะบอกพวกนางตรงๆไปว่า ข้ารัก กรรณิการ์นาคี “
คำตอบนี้เหมือนกับจุดชนวนระเบิดลูกใหญ่เลยทีเดียว
“ เจ้าคิดดีแล้วหรือที่จะพูดเช่นนี้? “ น้ำทิพย์ที่สาม ยังนึกไม่ออกเลยว่าพวกนางจะเสียใจเพียงไหนที่ได้ยินประโยคนี้จากปากของ อนันตวาโย แต่นั้นก็ยังดีกว่าปล่อยให้พวกนางเผลอฝันไปคนเดียว
“ คิดดีแล้ว และก็ถูกต้องด้วย “ วายุหนุ่มเหมือนกับยกภูเขาออกจากอก ท่าทางที่สุดแสนจะเคร่งเครียดของ อนันตวาโย พลันสดใสขึ้นทันตา
“ ยิ่งกว่านั้นข้าจะบอกพวกนาง ด้วยว่า ข้าก็รักพวกนาง เช่นกัน หากจะให้ข้าเลือกใครคนใดคนหนึ่ง ข้าคงทำไม่ได้ “
“ นี้นะหรือการตัดสินใจของเจ้า พวกนางคงฟังเจ้าหรอก? “ น้ำทิพย์ที่สาม รู้สึกกังขาเสียเหลือเกิน ที่ อนันตวาโย พูดมันจะเป็นไปได้หรือ?
“ เจ้าคิดมากเกินไป ผู้ชายจะมีเมียซักกี่คนก็ไม่เห็นแปลก มันขึ้นอยู่กับว่าจะใช้กลยุทธ์ใดเพื่อผูกมัดใจพวกนางเอาไว้ ทีเจ้ายังมีเมียได้ตั้งสองคน แล้วทำไมข้าจะทำบ้างไม่ได้ “
ทุกสิ่งมักจะไม่เป็นอย่างที่ตาเห็น อนันตวาโย ก็เช่นกัน ทุกวันนี้เขาก็ยังเข้าใจเรื่องของ น้ำทิพย์ที่สาม ผิดไปจากความเป็นจริงอยู่ดี
“ มันใช่อย่างที่เห็นซะที่ไหนเล่า เจ้าเข้าใจผิดไปเอง “
“ ข้าเห็นและเข้าใจอะไรผิดตรงไหนลองบอกมาสิ? “
ใช่ว่า น้ำทิพย์ที่สาม ไม่อยากจะบอกแต่ตัวเขาเองก็เหมือนคนน้ำท่วมปาก พูดไปใครเล่าจะเชื่อ
“ เอ้อ ..คือ แบบว่า . “ สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าจะตอบและอธิบายอย่างไร
“ เอาเป็นว่าไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดก็แล้วกัน “
เมื่อไม่ได้คำตอบ อนันตวาโย ก็มิใคร่สนใจจะซักถามอีก
“ ถ้าเจ้ายืนยันอย่างนั้นก็แล้วแต่เจ้าเถอะ แต่ข้าว่านอกจากเจ้าจะคิดมากในเรื่องของข้าแล้ว เรื่องของ กัลย์ปาอสูร เจ้าก็คิดมากเกินไปเหมือนกัน ถึงเราอาจจะต้องต่อกรกับ กัลย์ปาอสูร ซักวันหนึ่ง แต่ก็ไม่แน่ว่าเราจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ “
น้ำทิพย์ที่สาม พูดอย่างเปิดเผย
“ คนมีครอบครัวแล้วก็เป็นแบบนี้แหละมักจะคิดมาก เจ้าลองคิดดูสิว่าหากข้าพาเมียกระเตงไปสู้รบกับเหล่าอสูรทุกวันอยู่อย่างนี้ นางจะมีความสุขแค่ไหนกันเชียว วันทั้งวันคงต้องหวาดระแวงว่าข้าจะจากนางไปเมื่อไร? “
และนั้นก็เป็นสาเหตุทำให้ น้ำทิพย์ที่สาม ไม่มีความสุขอย่างที่เป็นอยู่ทุกครา
“ เรื่องอดีตของข้า ข้าเลิกสนใจไปนานแล้ว ข้าสนใจแต่ปัจจุบัน และอนาคตที่กำลังเกิดขึ้น ข้าอยากจะทำอะไรไว้ซักอย่างหนึ่งให้กับเมียข้าและลูกของข้าที่กำลังจะเกิด “
อนันตวาโย ตกตะลึง
“ อะไรกันพวกเจ้าแต่งงานกันเพียงไม่กี่วัน พวกนางก็ท้องแล้วอย่างนั้นหรือ? “
น้ำทิพย์ที่สาม ส่ายหน้าและโบกมือไปมา
“ ไม่ใช่ นางยังไม่ได้ท้อง ข้าเพียงแต่คิดเผื่อไว้ทำนั้นเอง ข้ากับนางอยู่ด้วยกัน วันนี้ไม่มีวันหน้าก็ต้องมีอยู่ดีนั้นแหละ “
อนันตวาโย ตบมือใหญ่ชอบอกชอบใจ
“ ดี พูดได้ดี เอาอย่างนี้ หากวันใดเมียเจ้ามีลูกขึ้นมา ข้าจะทูลขอให้พระวิษณุกรรมทรงสร้างเมืองให้เจ้าอยู่ ด้วยเกียรติยศของจ้าวพายุ พระวิษณุกรรมทรงไม่ปฏิเสธแน่ เจ้าอยากจะให้เมืองของเจ้ายิ่งใหญ่เพียงไหนก็ย่อมได้ “
น้ำทิพย์ที่สาม รู้สึกตื้นตันใจไม่คิดว่า อนันตวาโย จะออกปากถึงเพียงนี้
“ ขอบใจเจ้ามากนะ อนันตวาโย ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะดีกับข้าถึงขนาดนี้ “
“ คนกันเองทำไมต้องเกรงใจด้วย ว่าแต่เจ้าอยากให้เมืองของเจ้ามีลักษณะแบบไหน “
“ เมืองของข้านะหรือ? อืม ข้าเคยฝันไว้ว่าข้าอยากได้เมืองที่ตั้งอยู่ในสถานที่ๆสงบ แวดล้อมไปด้วยขุนเขาและป่าไม้ แล้วก็มีน้ำตกใหญ่ไหลอยู่ตลอดปี เหมือนกับที่บ้านไม้ไผ่นี้แหละ .”  ความคิดที่กำลังโลดแล่นพลันต้องแปรเปลี่ยนเมื่อภาพในอดีตย้อนคืนกลับมา
“  ข้าอยากได้ปราสาทซักหลังหนึ่ง .มี ..ปลายยอดปราสาทททท มีรูป โอ้ย .”
สีหน้าของสิงห์ปริศนา เริ่มเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เขายกมือทั้งสองขึ้นมากุมที่ศีรษะ ในหัวของเขาปรากฏภาพสถานที่แห่งหนึ่งที่ดูเหมือนคุ้นเคยและโหยหา ภาพของปราสาทที่อยู่ท่ามกลางขุนเขาอันลี้ลับผุดขึ้นมาอย่างฉับพลัน เหมือนเมืองลับแลที่อยู่ในม่านหมอกน่าทึบแต่กลับมีสายรุ้งพาดผ่านถึงเจ็ดสาย ใกล้ๆกันนั้นเหมือนจะเป็นหน้าผาแต่มีสายน้ำตกขนาดใหญ่ที่ไหลล้นตกออกมาสะท้อนความชุ่มชื้นให้ทั่วบริเวณ ยอดประสาทที่ทอแสงอร่ามเมื่อยามต้องกับแสงแห่งตะวันที่โผล่พ้นขอบฟ้า ลวดลายกนกและสัตว์เทพนาๆชนิดที่จำลักไว้ ผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็วมากมายจนนับไม่ถ้วน ถัดจากนั้นเป็นภาพของใครคนหนึ่งยืนอยู่ที่หน้าประตูอันวิจิตรสวมใส่อาภรณ์พรรณที่แปลกตาแต่สวยงามจนบรรยายไม่ถูก สายสังวาลที่สวมใส่เปล่งรัศมีบุษราคัมสีเหลืองสว่างใสแทรกเข้ามาระหว่างกลางห้วงแห่งความคิด บุรุษผู้นั้นๆค่อยเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้าๆมองเห็นใบหน้าของเขาอย่างเด่นชัดเขาก็คือ ..
“ อ๊ากกกกกกกกกกกกกก “ น้ำทิพย์ที่สาม เปล่งเสียงร้องออกมาอย่างเจ็บปวด ตอนนี้เขาเหมือนคนเสียสติอาละวาดอย่างบ้าคลั่งข้าวของที่ตั้งเรียงรายอยู่กระจัดกระจายในทันทีด้วยมือของเขาทั้งสองข้าง
“ เพล้งงงงงงงงงงง “
“ เกิดอะไรขึ้นนะ!!! “ เสียงร้องอย่างตกใจของ มณีมรกต และชมพูมุกดา ดังออกมาจากห้องของ กรรณิการ์นาคี พวกนางแทบจะวิ่งออกมาในทันทีทันใด หลังจากที่ได้ยินเสียงร้อง แต่เมื่อเห็นภาพของสามี พวกนางถึงกับต้องตกตะลึง
“ นี้มันเรื่องอะไรกัน “ ภาพที่พวกนางเห็นก็คือพลังในกายของ น้ำทิพย์ที่สาม เริ่มก่อตัวเป็นสิงห์ใหญ่ตัวมหึมา แต่เป็นสิงห์ที่น่ากลัวอย่างไม่คาดคิดมาก่อน ใบหน้าของสิงห์นั้นเหมือนกำลังต้องการกระโจนออกมาจากที่คุมขัง ดวงตาแดงโรจน์ด้วยความเกรี้ยวกราด คล้ายจะทลายทุกสิ่งที่อยู่รอบตัว ขาทั้งสี่ข้างถูกพันธนาการไปด้วยโซ่ตรวนแห่งพลังที่ส่องประกายสีเหลืองดั่งอัญมณีทำหน้าที่จองจำมันเอาไว้ไม่ให้ออกไปไหนได้  ภาพนั้นปรากฏอยู่เพียงชั่วครู่ก่อนที่จะจางหายไปต่อหน้าต่อตาของพวกนาง แต่พลังในกายของ น้ำทิพย์ที่สาม ยังถูกปลดปล่อยออกมาเรื่อยๆไม่มีท่าทีจะสิ้นสุด เส้นเลือดและชีพจรทุกจุดปูดโปนเหมือนกับจะระเบิดออกมา พร้อมกับท่าทางที่ดูคุ้มคลั่งเหมือนเป็นคนละคนกับสามีที่พวกนางเคยรู้จัก
“ เร็วเข้าช้าอาจไม่ทันการ “  อนันตวาโย ไม่มีเวลาอธิบายและไม่รอช้าอีกต่อไป พุ่งพรวดเข้าหา น้ำทิพย์ที่สาม อ้อมมาอยู่ด้านหลังก่อนซัดฝ่ามือเข้าที่กลางหลังของเขา
“ ข้าจะใช้พลังธาตุลมกดกระแสพลังที่แผ่ซ่านและพลุ่นพล่านของเขา พวกเจ้ารีบหาวิธีช่วยเขาให้ได้ก่อนที่ข้าจะควบคุมเขาไม่ไหว “ เป็นครั้งแรกที่ อนันตวาโย รู้สึกว่าตัวเองเหมือนกับแบกภูเขาทั้งลูกที่ทั้งหนักและใหญ่เกินกว่ากำลังของเขาที่จะแบกรับไว้ได้
มณีมรกต และ ชมพูมุกดา เข้าขนาบข้างสามี ต่างฝ่ายต่างยกแขนของ น้ำทิพย์ที่สาม ขึ้นมา และกดไว้กับตัว ก่อนทาบฝ่ามือเข้าหา
“ อ๊ากกกกกกกกกก ปล่อยข้า ปล่อยยยยยยย “  น้ำทิพย์ที่สามยังคุ้มคลั่งไม่หยุด แววตาเหมือนคนไม่ได้สติ
“ พลังในกายแปรปรวนมาก เอาไงดี? “
อาการของ น้ำทิพย์ที่สาม เริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ
“ ท้องฟ้ายามค่ำคืน สะพร่างด้วยหมู่ดาว วิถีแห่งดาราเคลื่อนย้ายตามฤกษ์ยาม แฝงไว้ด้วยความแปรเปลี่ยนเจ้านึกอะไรออกบ้าง? “
ชมพูมุกดา รู้แล้วว่าต้องทำอะไร
“ อย่าช้าอีกเลย “ พวกนางเริ่มประสานพลังกันทันที
“ เคล็ดวิชาเปรียบจันทร์ดั่งจันทร์ “
พลังสองสายหนึ่งเขียวมรกตและหนึ่งชมพูขาวนวล แทรกซึมเข้าไปในร่างของ น้ำทิพย์ที่สาม เก็บกู้พลังที่ไหลแปรปรวนและแผ่ซ่านออกมา ก่อนค่อยๆผสานกันให้เป็นหนึ่งและส่งคืนให้กับเจ้าของ ร่างกายและพลังของ น้ำทิพย์ที่สาม ค่อยๆกลับสู่ภาวะปกติ จนในที่สุดตัวเขาก็ทรุดตัวลงอย่างหมดเรี่ยวแรง
“ ข้า ..ข้า ..เป็น อะไรไป “ น้ำทิพย์ที่สาม หายใจอย่างอ่อนล้าร่างกายของเขาเหมือนกับจะฉีกขาดออกจากกัน
พวกนางต่างกอดเขาเอาไว้
“ ไม่ต้องกลัว ข้าอยู่นี้แล้ว ท่านไม่เป็นอะไรแล้ว เชื่อข้า “
อนันตวาโย เองก็ไม่ได้ดีไปกว่า น้ำทิพย์ที่สาม ฝืนสังขารเดินเข้ามาตบไหล่เพื่อน
“ เจ้าพักผ่อนก่อนเถอะ “
“ แต่ข้า “ น้ำทิพย์ที่สาม ยังมีห่วงกังวลอยู่
“ เชื่อข้า ตอนนี้เจ้าต้องพักผ่อนให้มาก เรื่องของขุนศึกวายุไว้ให้ข้าจัดการเอง “
“ ข้า ข้า .. “ ตาของสิงห์ปริศนาค่อยๆปรือลงและหลับไปในที่สุด ส่วน อนันตวาโย เองก็ต้องการฟื้นฟูพลังเช่นกัน
“ วายุธาตุ จงมาเป็นพลังให้กับข้า “ ลมทุกแห่งหนในโลกถูกดึงดูดมาเป็นพลังให้กับเขา ร่างกายเริ่มกลับมากระชับกระเชงอีกครั้ง
“ นี้มันเรื่องอะไรกัน อนันตวาโย ทำไมเขาถึงได้เป็นแบบนี้ “
อนันตวาโย ส่ายหน้าเพราะเขาเองก็ไม่รู้สาเหตุเช่นกัน
“ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ข้ากับเขากำลังพูดคุยกันอยู่ดีๆ จู่ๆ เขาก็เกิดคุ้มคลั่งขึ้นมา พลังในร่างก็เหมือนกับจะระเบิดออกมาด้วย “
เป็นอาการที่น่าวิตกจริงๆ
“ เขาเคยเป็นแบบนี้มาก่อนหรือเปล่า? “ มณีมรกตถาม พลางสังเกตอาการของสามี
“ ไม่ ตั้งแต่ข้ากับเขารู้จักกันมา ข้ายังไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อนเลย โชคดีที่มีพวกเจ้าอยู่ด้วย หากลำพังมีข้าเพียงแค่คนเดียวคงช่วยเขาไว้ไม่ได้ “
มณีมรกตและ ชมพูมุกดา เป็นห่วง น้ำทิพย์ที่สาม เหลือเกิน หากเมื่อกี้พวกนางหาทางควบคุมพลังของสามีไว้ไม่ทัน เขาจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ อนันตวาโย เองก็รู้สึกใจคอไม่ค่อยดี เขาก็มีควารู้สึกเช่นเดียวกันว่าอาจจะต้องสูญเสียเพื่อนไปหากอาการประหลาดของ น้ำทิพย์ที่สาม เกิดกำเริบขึ้นมาอีก
“ ต่อไปนี้ พวกเราต้องดูแลเขาอย่างใกล้ชิด อย่าให้อาการของเขาเกิดกำเริบขึ้นมาอีก “ นั้นเป็นวิธีเดียวที่ มณีมรกต คิดได้ในเวลานี้
อนันตวาโย อยากจะอยู่ดูแล น้ำทิพย์ที่สาม และ กรรณิการ์นาคี แต่ในเวลานี้สถานการ์บีบบังคับให้เขาต้องเร่งรีบจัดการเรื่องที่คั่งค้างให้เสร็จมิเช่นนั้นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นอาจจะมารวมกันจนทำให้สถานการณ์ที่มีอยู่แย่ลงไปกว่าเดิม
“ พวกเจ้าช่วยดูแลเขาด้วย ข้าจะไปพบขุนศึกวายุก่อน แล้วจะรีบกลับมา “
“ อาหารเมื่อวานนี้พอมีเหลืออยู่บ้างเจ้าเอาติดตัวไปกินระหว่างทาง “ มณีมรกตบอกและทำท่าจะเข้าไปหยิบห่ออาหารให้
อนันตวาโย โบกมือห้าม
“ ไม่ต้อง เก็บเอาไว้ที่นี้เถอะ ตอนนี้มีคนป่วยอยู่สองคน น่าเป็นห่วงมากกว่า ที่ชายแดน สิริกันยา คงหาอะไรให้ข้ากินได้เอง ข้าขอฝากกรรณิการ์นาคี ไว้ด้วย อีกเดี๋ยวข้าจะกลับมา “
อนันตวาโย ไม่รอฟังคำทักท้วงจากพวกนาง สลายร่างกายเป็นสายลมไปในพริบตา ส่วนพวกนางเมื่อเห็นอนันตวาโยจากไปแล้วจึงค่อยๆพยุง น้ำทิพย์ที่สาม ลุกขึ้น ถึงอาการประหลาดจะสงบลงไปแล้วแต่สีหน้าของเขายังไม่ดีขึ้นเท่าไร สองสาวพยายามพาเขากลับเข้าไปนอนที่ห้องแต่พอพวกนางเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ชมพูมุกดา ก็หันกลับมามองที่หน้าประตูและตวาดออกมา
“ ใครอยู่ตรงนั้นออกมาเดี๋ยวนี้ “
ด้วยน้ำเสียงที่เฉียบขาดของนาง ทำให้ผู้ที่แอบดูอยู่ต้องค่อยๆ ก้าวออกมายืนอยู่ที่หน้าประตู ผู้มาใหม่มีกลิ่นเกสรดอกไม้ติดอยู่กับตัว เป็นสาวน้อยแรกรุ่นอายุอ่อนกว่าพวกนางทั้งสองเพียงไม่กี่ปี
“ ท่านพี่ “
“ ผกากรอง !!! “ สองสาวอุทานออกมา ไม่คิดว่าจะได้พบเจอกับนางที่นี้ในเวลานี้ ส่วนสาวน้อยมองดูร่างที่ไร้สติของชายหนุ่มที่อยู่ในอ้อมแขนของพี่สาว
“ เขา . “
“ ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น เจ้ารอพี่อยู่ที่นี้รอให้พี่พาเขาเข้าไปก่อนแล้วค่อยกลับมาชำระความกับจ้า “
-------------------------------------------
อนันตวาโย รีบพัดพาตัวเองมาที่เขตชายแดนของนครเตมินทร์ ใจจริงเขาอยากอยู่ดูแล กรรณิการ์นาคี กับ น้ำทิพย์ที่สาม แต่ทว่า หากเขาไม่มาพบกับขุนศึกวายุในเวลานี้ เขาเกรงว่า ขุนศึกวายุ อาจไม่รอเขาและยกกำลังกลับไปทำให้ความพยายามที่ผ่านมาต้องสูญเปล่า และที่สำคัญก็คือในเวลานี้ ไม่แน่ว่า น้ำทิพย์ที่สาม จะหายดีเมื่อไร หากได้กำลังของขุนศึกวายุมาช่วย ตัวเขาก็ไม่ต้องเป็นกังวลมากนัก เพียงเวลาไม่นานด้วยอิทธิฤทธิ์แห่งทายาทจ้าวพายุ เขาก็พัดพาตัวเองมาถึง เขตชายแดนนครเตมินทร์ แล้ว อนันตวาโย รีบคืนร่างให้เป็นดั่งเดิมก่อนเหาะลงไปพบกับ สิริกันยา  เพียงแค่เขาไปในพลับพลาที่ประทับของเจ้าหญิงสิริกันยา ก็พบกับท่าทางที่ตึงเครียดกึ่งโมโหของนาง
“ สิริกันยา เจ้าเป็นอะไรไป “
“ อนันตวาโย “ นางส่งเสียงอย่างยินดีที่ได้พบเขา โผเข้าหาในทันที
“ เจ้ามาก็ดีแล้ว ข้าจะอกแตกตายเสียให้ได้ “
“ เกิดอะไรขึ้นบอกข้ามาสิ “
“ ดูโน้นสิ “ สิริกันยา ชี้นิ้วออกไปข้างนอก สิ่งที่เขาพบเห็นก็คือผืนป่าที่กว้างใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า หากแต่เมื่อมองให้ชัดๆแล้วเขากลับพบว่ามีอะไรอยู่บนต้นไม้เหล่านั้น
“ กองทัพวานร ขุนศึกวายุ “
เมื่อ อนันตวาโย รู้สาเหตุ แล้วก็รีบออกจากพลับพลาในทันที โดยบอกให้สิริกันยา รอเขาอยู่ด้านในพลับพลาก่อน
“ ขุนศึกวายุ พวกเจ้าอยู่ที่ไหน ข้า อนันตวาโย มาพบเจ้าแล้ว “
ยังไม่ทันสิ้นคำ เงาร่างสองร่างก็ทะยานลงมาจากฟากฟ้า พอเท้าแตะพื้นหนึ่งในนั้นก็กระชากคอเสื้อของ อนันตวาโย อย่างรวดเร็ว
“ อนันตวาโย เจ้าเล่นตลกอะไรกับข้าสองคน บอกมาเดี๋ยวนี้ “
วานรสองตัวที่ทรงพลัง ยืนประจันหน้ากับเขาแล้ว หนึ่งกายสีขาวผ่องอำไพ หนึ่งกายสีนิลดำสนิท
“ รังมานุ แห่งนครนพบุรี และ นิลสาร แห่งนครชมพู มาแล้ว “
รังมานุ เป็นทายาทรุ่นหลังของหนุมาน ส่วน นิลสาร เป็นทายาทรุ่นหลังของนิลพัท ทั้งสองนอกจากจะเป็นเพื่อนรักกันแล้วยังร่วมฝึกปรือวิชาด้วยกันอยู่บ่อยๆ นับว่าเป็นเรื่องน่าประหลาดดีแท้ทั้งๆที่ หนุมาน และ นิลพัท นั้นต่างไม่ถูกชะตาซึ่งกันและกันแต่ไม่น่าเชื่อว่า ทายาทรุ่นหลังของพวกเขากลับมาเป็นเพื่อนรักกันได้ แต่ในเวลานี้ รังมานุ กำลังโมโห อนันตวาโย เป็นอย่างมาก เขาทำอะไรผิดอย่างนั้นหรือถึงทำให้สองขุนศึกวายุต้องโมโหโกรธาเช่นนี้
( เรื่องราวความบาดหมางของหนุมานกับนิลพัทเริ่มจากในครั้งนั้น พระรามทรงให้พญาวานรสุครีพ รวบรวมไพล่พลเพื่อบุกตีกรุงลงกา หลังจากที่พระยากากาศ หรือพาลี ผู้เป็นพี่ชายได้สิ้นชีพด้วยศรของพระราม พาลีนั้นมีมิตรรักอยู่ที่นครชมพู มีชื่อว่า ท้าวมหาชมพู ซึ่งตัวท้าวมหาชมพูนั้นมีฤทธิ์มากและหยิ่งในศักดิ์ศรีนัก ไม่เคยไหว้ใคร นอกจากพระอิศวรและพระนารายณ์เท่านั้น เมื่อสุครีพขอเข้าพบและอ้างองค์การของพระนายราณ์ให้รวบรวมพลเพื่อบุกกรุงลงกา ท้าวมหาชมพู ถึงกับสลบไปด้วยความหวาดกลัว เมื่อฟื้นขึ้นมาก็ไต่ถามเรื่องราวก็รู้ว่าพระนารายณ์ที่สุครีพพูดถึงคือมนุษย์ธรรมดา จึงไม่เชื่อคำพูดของสุครีพ และขับไล่ สุครีพ และหนุมาน ออกจากเมือง ครั้นสุครีพจะกลับไปพบพระรามและทูลความให้ทรงทราบ หนุมานก็เกรงว่าจะทำให้พระองค์ต้องขุ่นเคืองพระทัยเมื่อรู้ว่า ท้าวมหาชมพู ไม่ยอมมาพบพระองค์ อาจจะทรงกริ้วและทรงแผลงศรมาล้างนครเสียจะทำให้เสียไพร่พลไปเปล่าๆ หนุมานจึงออกอุบายขอค้างคืนที่นครชมพู รอให้ถึงเวลากลางคืน เป่ามนต์จนทำให้ท้าวมหาชมพูและผู้คนภายในนครชมพูนอนหลับสนิท แล้วเนรมิตร่างกายจนสูงใหญ่ ทำการยกยอดประสาทออกและลักพาตัวท้าวมหาชมพูมาทั้งแท่นบรรทม พระรามทรงพอพระทัยความฉลาดของหนุมานนัก ลูบหลังหนุมานตั้งแต่หัวจรดหาง ทำให้หนุมานพ้นคำสาปของพระอุมาเทวี กำลังริดรอนที่ลดลงกึ่งหนึ่งกลับคืนมาเหมือนเดิม จากนั้นพระรามก็ให้หนุมานคล้ายมนต์สะกดท้าวมหาชมพู พอท้าวมหาชมพูพ้นจากมนต์ ก็ตื่นขึ้นมาจากแท่นบรรทม ตกพระทัยที่ตัวเองมาอยู่กลางป่าเขา พอหันหน้ามาพบกับพระราม ก็แลเห็นพระองค์มีสี่กรทรงเทพอาวุธ ก็รู้ตัวว่าผิดมีโทษมหันต์ด้วยความกลัวเดชพระนารายณ์ก็สลบลงไปอีก พระรามจึงสั่งให้พระลักษณ์นำน้ำชุบศรพรหมาศาสตร์ของพระองค์มาชุบตัวของท้าวมหาชมพู พอท้าวมหาชมพูฟื้นคืนสติขึ้นมา ก็ทูลของพระราชทานอภัยโทษ พระรามจึงสั่งให้ท้าวมหาชมพูจัดทัพเพื่อยกไปบุกกรุงลงกา พอถึงรุ่งเช้า นิลพัท หลานของ ท้าวมหาชมพู รับรับสั่งของ นางแก้วอุดรให้มาตามหาพระสวามี แต่แรกคิดจะช่วงชิงเสด็จลุงกลับมาจากเหล่าศัตรู แต่พอรู้ว่าพระรามคือพระนารายณ์อวตวาลมาปราบยักษ์ ก็ยอมเป็นข้าแต่โดยดี แต่ก็ยังเจ็บใจหนุมานไม่หายที่ลักพาเสด็จลุงออกมา ทำให้ต่างฝ่ายต่างศรศิลป์ไม่กินกันมาตลอด แต่ด้วยที่ว่าทั้งสองต่างเป็นพญาวานรที่มีเขี้ยวแก้วและมีฤทธิ์ใกล้เคียงกัน จึงต่างกินกันไม่ลง แม้กระทั่งตอนที่พระรามสั่งจองถนนไปกรุงลงกา ทั้งสองยังไม่วายทะเลาะต่อฤทธิ์กัน จนในที่สุด นิลพัทต้องอาญาไปรั้งอยู่นครขีดขิน คอยส่งเสบียงอาหาร ส่วนหนุมานต้องอาญาถูกสั่งให้จองถนนให้ได้ภายในเจ็ดวัน )
แต่ อนันตวาโย เองก็พยายามใช้วิธีเอาน้ำเย็นเข้าลูบ
“ เดี๋ยวก่อนใจเย็นๆก่อนสิ พวกเจ้าไปกินรังแตนมาจากไหนกันถึงมาลงกับข้าเช่นนี้ “
รังมานุ ค่อยๆ ปล่อยคอเสื้อของ อนันตวาโย
“ ชิชะ ยังมาพูดเล่นอีก เจ้าทำอะไรไว้รู้ตัวหรือเปล่า ข้าสองคนเป็นพญาวานรผู้ยิ่งใหญ่ เห็นแก่หน้าเจ้าอุตสาห์ยกกองทัพมาช่วยทั้งที่ แทนที่จะให้ข้าสองคนบัญชาการรบเองกลับมาให้พวกข้าคอยฟังคำสั่งผู้หญิงตัวแค่นี้นะสมองเจ้ามีปัญหาหรือไง? “
ที่แท้รังมานุ กำลังโมโหโทโส ที่ อนันตวาโย จะให้พวกเขารับคำสั่งจากสิริกันยานั้นเอง
“ โธ่!! เข้าใจผิดแล้ว ใครบอกละข้าจะให้พวกเจ้าฟังคำสั่งจากนาง ข้าเพียงแต่ให้พวกเจ้าลองสอบถามชัยภูมิจากนางเท่านั้น อย่างลืมสิว่านางเป็นเจ้าของพื้นที่ ย่อมรู้สภาพอาณาเขตของนครเตมินทร์เป็นอย่างดี เวลาพวกเจ้าทำศึกจะได้เป็นประโยชน์อย่างไรล่ะ “
สีหน้าของ รังมานุ ค่อยดีขึ้นหน่อย
“ พูดอย่างนี้มันค่อยน่าฟังหน่อย “
วานรทั้งสอง ใช้หางของตนกวาดไปที่พื้นและขดเป็นวงคล้ายที่รองนั่งก่อนจะยกตัวให้สูงขึ้นมา
‘ เอาแล้วไง ท่าทางแบบนี้สงสัยจะเรียกขอต่อรองอะไรอีกกระมัง ’ คิดแล้วก็น่าปวดหัวเสียนี้กระไร
“ พวกข้าสองคนขอบอกไว้ก่อน  หากศึกนี้พวกข้าไม่ได้เป็นแม่ทัพบังคับบัญชาการศึกเอง พวกข้าจะไม่อยู่ช่วยเจ้าและยกทัพกลับในทันที “ นิลสารเองก็ใช่ย่อย นิสัยแทบจะไม่ต่างจากรังมานุเลย
“ รู้แล้ว ข้าเข้าใจดี  อสูรทั้งกองทัพข้ายกให้พวกเจ้าก็ได้ แต่ขอร้องเถอะอย่าเล่นแง่กับนางนักเลย ยังไงคนที่เจ้าต้องร่วมงานด้วยก็คือหนึ่งในว่าที่ชายาในอนาคตของข้า “
พอสิ้นคำ ทั้งรังมานุ และ นิลสาร ถึงกับหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง
“ ฮะๆๆๆ  เจ้าล้อข้าเล่นหรือ อนันตวาโย อย่างเจ้านะหรือคิดจะมีเมียกับเขาด้วย โอ้ย! ฟ้าจะถล่มแผ่นดินจะทลาย ร้อยวันพันปีข้าเคยเห็นเจ้าจริงจังกับใครซะที่ไหนกัน? เห็นแต่เกี้ยวผู้หญิงไปวันๆหนึ่งเท่านั้น “
อนันตวาโย อ้อมมาทางด้านหลังและกอดคอวานรทั้งสองเอาไว้
“ ฟังข้าให้ดีนะเจ้าสองตัวแสบ พวกเจ้าจะพูดหรือจะคิดอย่างไรมันก็เรื่องของเจ้า แต่ห้ามรังแกผู้หญิงของข้าเป็นอันขาด หากนางมาซบอกร้องไห้กับข้าเมื่อไร ต่อให้พวกเจ้ามีสิบมือร้อยหน้าหมื่นชีวิต ข้าก็จะซัดพวกเจ้าให้เละ เลาะกระดูกพวกเจ้าออกมาให้นางดูเล่น เข้าใจไหม?  “
คราวนี้ถึงได้รู้ว่า อนันตวาโย พูดจริง
“ ก็ได้ๆ เพื่อเห็นแก่หน้าเจ้า พวกข้าจะยอมเชื่อฟังนางบ้างก็ได้ พอใจหรือยัง? “
“ อย่านี้สิถึงจะเรียกว่ารักกันจริง “ อนันตวาโย แกล้งชมไปอย่างนั้นเองเพราะรู้ว่าทั้งสองไม่ได้รับปากจริงจังนัก
รังมานุ เห็น อนันวาโย มาเพียงลำพังก็อดถามขึ้นไม่ได้
“ ว่าแต่ว่าทำไมเจ้าถึงมาหาข้าสองคนเพียงแค่คนเดียวล่ะ ไหนเจ้าบอกว่าเจ้าจะพาเพื่อนเจ้ามาด้วยมิใช่หรือ ? “
“ บังเอิญเกิดเรื่องกับเพื่อนของข้าขึ้นมาก่อน พูดไปเรื่องมันยาว เอาไว้เล่าทีหลังเถอะ “
“ อะไรกันพวกข้ายังไม่ทันพบหน้าเพื่อนของเจ้า เขาก็ลงไปนอนชักดิ้นชักงอแล้วหรือ? แล้วผ่านการคัดเลือกมาปราบกัลย์ปาอสูรได้อย่างไร?  “ นิลสาร ว่า
“ เพื่อนข้าไม่ใช่กระจอกอย่างที่เจ้าคิดขนาดนั้นหรอก เอาไว้พวกเจ้าเจอเขาก็จะรู้เองว่าข้าพูดเกินความจริงหรือไม่ “
สองวานรต่างให้ความสนใจ
“ เห็นเจ้าพูดถึงขนาดนี้ข้าอยากจะเจอเขาเร็วๆซะแล้วสิ จะได้ดูว่าเก่งกาจจริงอย่างที่เจ้าคุยโม้ไว้หรือเปล่า? “
“ เถอะน่า เจ้าได้พบเพื่อนข้าแน่ ไม่ต้องห่วง ว่าแต่ว่าพวกเจ้าพา ๑๘ ขุนศึก กับ ๒ ยุพราช มาด้วยหรือเปล่า? “ ( ๑๘ ขุนศึกทายาทรุ่นหลังของวานร ๑๘ มงกุฎ  , ๒ ยุพราช ทายาทรุ่นหลังขององคตและชมพูพาน )
“ ข้าจะพาพวกเขามาด้วยทำไมเพียงแค่พวกข้าสองคนก็เกินพอแล้ว ปล่อยให้พวกเขาอยู่เฝ้านครนั้นแหละดีแล้ว เกิดยกโขยงกันมาหมดนครของพวกข้าก็ได้กลายเป็นนครร้างไปเท่านั้นนะสิ “
“ ข้าแค่ถามนิดเดียว ทำบ่นไปได้ มาตามข้ามาข้าจะแนะนำว่าหนึ่งในว่าที่ชายาของข้าให้รู้จักอย่างเป็นทางการ แต่พวกเจ้าสองคนอย่าพูดมากล่ะเข้าใจไหม? ข้ายังไม่อยากออกมานอนตบยุงกับพวกเจ้าหรอกนะ “
“ เจ้ากลัวเมียว่างั้นเถอะ “ นิลสาร พูดแทงใจดำ อนันตวาโย เข้า
“ พูดอีกทีเดี๋ยวโดนอัดแน่ ตามข้ามา “ อนันตวาโย สั่งก่อนเดินนำหน้าพวกเขาไป แต่วานรก็ยังคงเป็นวานรหาได้เดินไปอย่างปกติไม่ คงกระโดดโลดเต้นไปมาอยู่นั้นเอง จน อนันตวาโย ทนไม่ไหวต้องลงทุนลากพวกเขาทั้งสองเข้าไปภายในพลับพลา
จบตอนที่ ๓๒ ครับ  หนุมานละมาทำกะสัตย์ ไปรบไปราเผ่าพงค์วงค์ยักษ์ จ๊าบโทนๆๆ จ๊าบๆ โทนๆ ๆ    แฮะๆๆ ในที่สุดสองลิงกังแห่งยุคก็ออกมาเสียที หลังจากที่พวกมันวนเวียนอยู่ในหัวของผมและท้วงบทของตัวเองเป็นเวลาหลายคืนแล้ว แต่ไม่ต้องห่วงนะครับว่าจะมี ๑๘ ขุนศึก กับ ๒ ยุพราชตามมาอีก พวกนั้นไม่มาหรอกครับเพราะแค่ลิงกังสองตัวนี้ผมก็จะแย่อยู่แล้ว เดี๋ยวจะไม่มีบทให้พวกมันเล่นกัน
สุดท้ายใครอยากเห็นรูปสองสาวฝาแฝดอีกทีก็เข้าไปดูได้นะครับ ( ติ๊ดต่างว่าเป็น มณีมรกต กับ ชมพูมุกดา )
http://www.mthai.com/webboard/viewtopic.php?cate_id=29&post_id=44948
http://www.mthai.com/webboard/viewtopic.php?cate_id=29&post_id=45534
http://www.mthai.com/webboard/viewtopic.php?cate_id=29&post_id=45740
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น