ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศึกเทพอสูรมหาสงคราม

    ลำดับตอนที่ #34 : ลิงสู้ยักษ์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 323
      0
      25 ก.พ. 48

    ศึกเทพอสูรมหาสงคราม

    ตอนที่ ๓๔ ลิงสู้ยักษ์



        ใกล้จะรุ่งเช้าของวันใหม่ บาลมารอสูร ออกมายืนอยู่นอกโดมเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการยกทัพข้ามภูเขาทั้ง ๒ ลูก เขามองดูเหล่าทหารที่อยู่ในชุดทำศึกเดินกันไปมาภายในค่าย ทหารบางกลุ่มกำลังขนย้ายข้าวของหลายชิ้นและผูกรัดตึงสัมภาระ ทหารบางกลุ่มก็จัดตั้งแถวเพื่อรอคำสั่งออกเดินทาง ถึงแม้ทหารเหล่านี้จะเดินทางรอนแรมมาไกลหลายวันแล้วแต่ทุกคนกลับมีท่าทางคึกคักพร้อมทำศึกอยู่ทุกเมื่อ ไม่มีท่าทางอ่อนล้าให้ได้เห็น



    “ มองอะไรอยู่ บาลมารอสูร? “



    เทวิณา เดินเข้ามาเงียบๆและเอ่ยทักขึ้น นางเองก็อยู่ในชุดทำศึกเช่นกัน  ท่าทางการเดินของนางดูทะมัดทะแมงไม่น้อย หากมองดูอยู่ไกลๆคงไม่มีใครมองออกว่านางเป็นผู้หญิง  จะขัดกันก็แต่ชุดทำศึกสีดำที่นางสวมใส่อยู่ช่างตัดกับผิวขาวๆของนางจนแลดูไม่เข้ากัน กระทั่งบนใบหน้าก็ไม่มีเครื่องประทินโฉมอย่างที่ผู้หญิงทั่วไปจะต้องใช้แต่งแต้มยามออกมาข้างนอก แต่ก็ใช่ว่าจะทำให้นางดูขี้ริ้วขี้เหล่แต่อย่างใด ด้าน บาลมารอสูร เมื่อได้ยินเสียงร้องทักจึงได้หันหลังกลับมามอง ก่อนเดินเข้าไปหา เหล่าทหารที่เดินอยู่ต่างหลีกทางให้กับแม่ทัพใหญ่



    “ ไม่มีอะไรหรอก ข้าก็ยืนแค่ยืนดูพวกทหารเตรียมตัวออกเดินทางเท่านั้นเอง “



    ในน้ำเสียงที่ดูปกตินั้นเป็นเรื่องจริงเพียงแค่ครึ่งเดียว



    “ เจ้ามีอะไรอยู่ในใจหรือเปล่า? “  



    บาลมารอสูร จะไม่กล้าที่จะตอบนางตอบนาง เพราะจริงๆแล้วเขากำลังคิดเรื่องอะไรบางอย่างอยู่



    “ เปล่า “ บาลมารอสูร ท้าวแขนลงบนรั้วไม้ที่ใช้ล้อมทำเป็นคอกม้า



    “ โกหก “ นางเปล่งเสียงออกมาเต็มคำ มีแต่ต่อหน้านางเท่านั้นที่ บาลมารอสูร จะโกหกอะไรก็ไม่เคยแนบเนียนเลย



    “ เฮ้อ! จะมีครั้งไหนที่ข้าหลอกเจ้าได้บ้างนะ “ บาลมารอสูร บ่นเบาๆ



    เทวิณา กลั้วหัวเราะเยาะเขาพลางพูดว่า



    “ ต่อให้อีกกี่ร้อยครั้ง เจ้าก็ยังหลอกข้าไม่ได้หรอก “



    “ ก็คงจะเป็นอย่างนั้น “ บาลมารอสูร รู้สึกเช่นนั้นจริงๆ



    “ เจ้าคงคิดเรื่องของ มหิงสูร อยู่ล่ะสิท่า“ เทวิณาลองคาดเดาดู



    บาลมารอสูร พยักหน้ารับ



    “ มหิงสูร โมโหเจ้าน่าดู ตอนเจ้าสั่งให้เขาไปบัญชาการรบที่ นครอัญจารี แทนเจ้า ป่านนี้ไม่รู้ว่าหายโกรธเจ้าแล้วหรือยัง “



    พูดถึง มหิงสูร แล้ว บาลมารอสูร ก็รู้สึกหนักใจไม่น้อย



    “ มหิงสูร กับ พิณตะลาสูร ก็เหมือนน้ำมันกับไฟ ขืนให้อยู่ด้วยกันมีหวังทำอะไรเอาแต่อารมณ์ ยิ่ง ชาเรกัณฐ์ ตายไป เจ้านั้นก็คงคุ้มคลั่งจนเจียนบ้า “ บาลมารอสูรว่า



    “ แน่ล่ะ ทั้ง ชาเรกัณฐ์   พลาสูร  มหิงสูร เข้ามาเป็นขุนพลมารพร้อมกัน ถึงไม่ใช่พี่น้องกันก็เหมือนพี่น้องกัน “



    อยู่ดีๆสีหน้าของ บาลมารอสูร กลับเศร้าลง



    “ .......นั้นสินะเจ้าสามคนนั้นเหมือนพี่น้องกันจริงๆ “ บาลมารอสูร รำพึงเบาๆ เทวิณา รู้ว่าคำพูดของนางสะกิดใจเขาแต่คิดจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาก็ไม่ทันเสียแล้ว



    “  ตั้งแต่ บาลนรดี ตายไป ข้าเองก็เหมือนอยู่ตัวคนเดียว “



    คำพูดประโยคนี้ก็ทำให้ เทวิณา มีสีหน้าหมองเศร้าและหดหู่ลงเช่นกัน



    “ ข้าเองก็ยังคิดถึงเขาอยู่เสมอ “ เทวิณา แอบกลั้นเสียงสะอื้นไม่ให้ออกมา นางไม่อยากให้ใครได้รู้ว่าแท้จริงแล้วนางไม่ได้เข็มแข็งอย่างที่ใครๆเห็น



    “ ลูกเจ้าอายุกี่ขวบแล้ว? “



    เมื่อนึกถึงลูก เทวิณา รู้สึกคิดถึงเขาขึ้นมาจับใจนานหลายเดือนแล้วที่นางไม่ได้กลับไปดูแลลูกของนางเลย



    “ สิบขวบแล้ว “



    “ เผลอแผล็บเดียวสิบปีแล้วอย่างนั้นหรือ?  “ ดวงตาของ บาลมารอสูร เหม่อลอย เหมือนกำลังรำลึกถึงอดีตครั้งเก่า ภาพของ บาลนรดี ปะปนกับภาพของเขาในอดีตเมื่อครั้งสมัยยังเป็นเด็ก



    “ ข้าไม่อยากให้เจ้ามาเป็นขุนพลมารเหมือนยังข้าเลย บาลนรดีเอง ก็คงรู้สึกเช่นเดียวกันกับข้า “



    เทวิณา พูดอย่างช้าดวงตามีแววโศกเศร้าปนอยู่



    “ ข้าหากไม่ยิ่งใหญ่พอ ลูกของข้าก็คงต้องอยู่อย่างลำบาก หญิงหม้ายอย่างข้าไม่มีทางเดินให้เลือกมากนักหรอก “



    คำว่าหญิงหม้ายที่อยู่คู่กับนางมาจนถึงป่านนี้ ยังเสียดแทงใจไม่รู้หาย หากเป็นคนอื่นจะทนรับได้อย่างนางหรือ



    “ เจ้าเริ่มต้นมันใหม่ได้นี้นา “



    นางส่ายหน้า



    “ ไม่มีใครเขาต้องการหญิงหม้ายอย่างข้าหรอก ถึงมีข้าก็ทำไม่ได้ “



    เทวิณา ผ่อนตัวลง เอาแขนทั้งสองข้าง วางกับรั้วไม้เหมือนกับ บาลมารอสูร



    “ ไม่รังแกเขาก็ถูกเขารังแก โลกนี้ไม่มีความยุติธรรมมาตั้งแต่ต้นแล้ว “ สายตาของเทวิณา มองมาที่ บาลมารอสูร ตรงๆ ในแววตาเหมือนคล้ายจะตัดพ้อต่อโชคชะตา แต่ลึกๆก็ขอบคุณเขาอยู่ในที



    นับตั้งแต่ บาลนรดี สามีของนางตายไป นางต้องทนทุกข์อยู่กับความว้าเหว่ เดียวดาย และหวาดระแวงมาตลอดเวลา นั้นเป็นเพราะสามีของนางมีตำแหน่งเป็นถึงขุนพลมารในกองทัพอสูร นางจึงต้องแบกรับภาระนี้หลังจากที่เขาตายโดยทั้งที่ใจจริงไม่อยากจะรับ มีหลายคนที่คัดค้านและต้องการโค่นล้ม อีกหลายคนก็ใฝ่หาและต้องการที่จะได้ตัวนางมาครอบครอง จะมีเพียงก็แต่ บาลมารอสูร ที่ดูจะเห็นอกเห็นใจนางและเขาใจนางยิ่งกว่าใคร



    “ ข้าว่าข้าควรไปเก็บข้าวของได้แล้ว “ นางพยายามสลัดความรู้สึกนั้นเองและฝืนทำตัวให้ร่าเริงก่อนกลับเข้าไปในโดมอีกครั้งแต่บาลมารอสูร จับแขนของนางไว้



    “ เจ้าเริ่มต้นมันใหม่ได้ เทวิณา “



    “ มันสายไปแล้วล่ะ บาลมารอสูร มันสายมาตั้งนานแล้วด้วยซ้ำไปตั้งแต่ข้าเจอเขา “



    ในใจของนางคิดอะไรอยู่ไม่มีใครรู้



    “ เจ้าก็น่าจะรู้นี้น่า ว่าคิดอย่างไรกับเจ้า “



    “ เจ้าเองก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ จะฝืนรอข้าไปทำไมอีก “



    “ ลืมเขาเสียเถอะ “ บาลมารอสูร บอก



    “ ข้าลืมเขาได้ แต่เจ้าลืมพี่ชายของเจ้าได้หรือ? “



    ประโยคนี้ ถึงกลับทำให้ ขุนพลมาร ผู้ยิ่งใหญ่อย่างเขาตอบอะไรไม่ถูก



    “ เอ้อ!..... ข้า...... “



    “ ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ยังไม่อาจลืมได้ว่า ข้าเป็นพี่สะใภ้ของเจ้า “



    บาลมารอสูร จนด้วยถ้อยคำ จำใจปล่อย เทวิณา ไป โชคชะตามักเล่นตลกกับทุกคนเสมอรวมถึงเขาด้วย หากเขาตัดใจจากนางได้เขาคงไม่ต้องทนทุกข์ใจอยู่เช่นนี้ ถึงเขาจะพยายามแค่ไหนดูเหมือนความต้องการของเขาจะไม่มีวันสมหวังเลยตลอดกาล



    “ ลืมข้าเสียเถอะ บาลมารอสูร แล้วหาคนที่คู่ควรกับเจ้า “ เทวิณาบอกกับเขาเบาๆโดยหารู้ไม่ว่าในใจของบาลมารอสูร ยังคงต้องการนางอยู่ไม่มีวันเสื่อมคลาย



    ‘ จะอีกกี่ร้อยกี่พันปีข้าก็จะรอเจ้า เทวิณา ’



    ------------------------------------------



    กองทัพอสูร ภายใต้การนำของทั้งสามแยกออกเป็นสองสาย นำทัพบุกเข้านครเตมินทร์ บาลมารอสูร และ พิณตะลาสูร ยังทำตามแผนเดิม เดินทางยกทัพข้ามภูเขาทั้ง ๒ ลูก ส่วน เทวิณา นำกำลังไม่ต่ำกว่า ๑๕๐,๐๐๐ ยกพลประชิดแม่น้ำใหญ่สายหลักที่ไหลผ่านใกล้กับนครเตมินทร์  เวลาล่วงมาถึงวันที่ ๓ บาลมารอสูรก็นำทัพมาถึงเส้นทางลงจากภูเขาลูกสุดท้ายแล้ว เพียงไม่กี่อึดใจกองทัพอสูรภายใต้การนำของพวกเขาก็จะลงมาถึงเขตชายแดนนครเตมินทร์ตามที่ได้วางแผนไว้ บาลมารอสูร มองลงไปยังพื้นข้างล่างเป็นเวลานานแล้วดูเหมือนว่าเขากำลังจะเล็งเป้าหมายหรือมองหาที่ตั้งรวมพลแต่แท้ที่จริงแล้วเขากำลังมองหาอะไรบางอย่างอยู่ต่างหาก



    “ อีกเดี๋ยวพวกเราก็จะลงถึงเขตชายแดนนครเตมินทร์แล้ว บอกให้ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อมและระวังตัวด้วย “  นายกองอสูรทีมุน ออกคำสั่ง และเดินกลับมารายงานให้กับขุนพลมาร บาลมารอสูร ทราบ



    “ อีกเดี๋ยวพวกเราจะลงไปข้างล่างแล้ว ขอท่านขุนพลมารโปรดสั่งการด้วย “



    บาลมารอสูร ประกาศคำสั่งในทันที



    “ ตั้งแถวพร้อมรบ เป็นแนวสองแถว กองทัพม้าอยู่ข้างหลัง กองรบดินอยู่ข้างหน้า กระจายกำลังกันทะลายทางข้างหน้าให้ราบลงไป “



    สิ้นคำสั่ง ขบวนทัพถูกจัดตั้งอย่างรวดเร็ว ในเวลานี้ทุกอย่างพร้อมแล้ว



    “ เคลื่อนทัพได้ “



    ธงรบของเหล่าอสูรโบกสะบัดขึ้น เวลานี้กองทัพของพวกเขาพร้อมรบอย่างเต็มที่ กองรบดินเป็นหน่วยปะทะหน่วยแรกที่ถูกส่งไว้ข้างหน้า กองรบดินนอกจากจะถูกฝึกมาเพื่อใช้มือเปล่าในการต่อสู้แล้วการใช้อาวุธก็ถือว่าอยู่ในขั้นยอดเยี่ยม ป่าที่รกทึบถูกคลี่จนเปิดเป็นเส้นทางเดินขนาดใหญ่ กองทัพอสูรเคลื่อนพลลงมาเรื่อยๆ โดยสะดวก แต่ทั้งหมดก็ยังระแวดระวังป้องกันการถูกจู่โจมอยู่ตลอดเวลา กองทัพอสูรเดินทัพมาได้เป็นเวลาครู่ใหญ่ยิ่งมองก็ยิ่งพบว่าเหลืออีกไม่เท่าไรทางเดินก็จะเปิดถึงพื้นข้างล่างแล้ว ด้านกองรบดินยังคงเปิดทางลงมาเรื่อยๆ แต่เมื่อเท้าของเหล่าอสูรถูกเถาวัลย์เส้นเล็กๆที่อยู่บนพื้นเท่านั้น พลันจู่ๆ ก็เกิดเสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นมา



    “ แช็คคค “ เสียงของกลไกบางอย่างกำลังทำงาน



    “ ฟ้าวววววววว  ฉึกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก “



    “ อ๊าคคคคคคคคคค “



    ห่าลูกธนูห่าใหญ่พุ่งออกมารอบทิศ เหล่าอสูรที่ไม่ระวังก็ถูกยิงได้รับบาดเจ็บ ที่หลบได้ก็พยายามทำลายลูกธนูเหล่านั้น แต่ยังไม่ทันพักหายใจ กับดักตัวอื่นก็ทำงานอีก



    “ ครืนนนนนนน “



    เกิดหลุมใหญ่พังทะลายลง ทหารจำนวนไม่น้อยตกลงไป ถูกเหล็กแหลมเสียบจนทะลุ ต่างส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด



    “ อ๊าคคคคคคคค “



    “ อย่าเพิ่งบุกลงไป ถอยกลับขึ้นมาก่อน “ นายกองอสูรทีมุนเห็นท่าไม่ดีออกคำสั่งให้เหล่าทหารถอยกลับมาตั้งหลัก พร้อมกับสร้างแนวป้องกันมีลักษณะรูปครึ่งวงกลมป้องกันการบุกโจมตีของฝ่ายตรงข้าม แต่ยังไม่ทันเสร็จดี อีกฝ่ายก็เริ่มบุกเข้ามาหาแล้ว



    “ เฮๆๆๆ พวกเราบุก “



    ทหารกองใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ โผล่ออกมาจากแนวป่า พร้อมๆกับบนต้นไม้ก็มีเสียงร้องของวานรจำนวนหลายพันหลายหมื่นตัวดังขึ้น



    “ เจี๊ยกๆๆๆๆๆๆๆๆ “



    เหล่าวารนรทั้งหลาย กระโจนตัวลุกจากต้นไม้เข้าเล่นงานเหล่าอสูรในทันที แต่ใช่ว่าพวกเขาจะจู่โจมฝ่ายตรงข้ามได้แต่เพียงฝ่ายเดียว เพราะกองทัพอสูรก็มีหน่วยรบที่ร้ายกาจไม่ยิ่งหย่อนเช่นกัน



    “ กองรบทมิฬประจัญบานได้ “  



    เหล่าอสูร มีปีกจำนวนมากทะยานตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าพุ่งโฉมเข้าเล่นงานเหล่าศัตรูที่อยู่เบื้องล่าง แต่ทั้งคนและวานรก็หาเกรงกลัวไม่ ทั้งหมดต่างผนึกกำลังกันต่อต้านกองรบดินและกองรบทมิฬกันเป็นอย่างดี



    “ ทีมุน เจ้าสั่งการอยู่ที่นี้ หาทางตีพวกมันให้ร่นถอยลงไปให้ได้ “



    บาลมารอสูร รีบหันมาบอกกับ พิณตะลาสูร



    “ พิณตะลาสูร เจ้ามากับข้า ไปลากคอหัวหน้าของพวกมันออกมา “



    พิณตะลาสูรเองก็ต้องการเช่นนั้นอยู่แล้ว



    “ ข้ารอคำๆนี้มานานแล้ว “



    อสูรทั้งสองเหาะข้ามเหล่าทหารไป แต่ก็ถูกเหล่าวานรสกัดกั้นเอาไว้



    “ เจี๊ยกๆๆๆๆ “  



    เหล่าวานรทั้งฝูงกระโจนเข้าเล่นงานเขาทั้งสอง ต่างถืออาวุธและแยกเขี้ยวเข้าทำร้าย แต่ระดับฝีมืออย่าง บาลมารอสูร และ พิณตะลาสูร แล้ว เพียงแค่นี้จะทำอะไรพวกเขาได้



    “ ไสหัวไปให้หมด “  พิณตะลาสูร ผนึกพลังไว้ที่กรงเล็บซัดพลังออกมาเป็นแนวทางยาวถูกเหล่าทหารและวานร กระเด็นออกไป



    “ อ๊าคคคคคค  เจี๊ยกกกกกกกกกกกกก “



    บาลมารอสูร สะบัดโซ่ที่ถืออยู่ทั้งสองข้างเข้าหาศัตรูที่ดาหน้ากันเข้ามา ปลายของโซ่ทั้งสองนั้นมีลักษณะคล้ายกับปลายของคมอาวุธประเภทหอก คมอาวุธนั้นแทงถูกเหล่าวานรไปหลายตัว



    “ ไอ้พวกลิงกังนี้ ไม่รู้จักเจียมตัว “ บาลมารอสูร สะบัดโซ่อย่างเร็ว สังหารวานรไปไม่ต่ำกว่าครึ่งร้อย



    พูดยังไม่ทันจบ เงาร่างสองร่างก็โฉมมาใกล้ตัวอย่างรวดเร็วและยังว่องไวจนตามองแทบไม่ทัน ยังไม่ทันที่จะได้ทำอะไรก็ถูกเงาร่างทั้งสองโจมตีเสียแล้ว



    “ หนอยหาว่าพวกข้าไม่รู้จักเจียมอย่างนั้นหรือ? “



    หมัดหรือเท้าก็ไม่ทราบแน่ชัด ซัดเข้ามาเต็มแรง จนทั้งสองต้องเหาะหลบลงไปที่พื้น



    “ ฝีมือดีใช้ได้ “



    หนึ่งในสองเงาร่างทะยานตามมาติดๆ



    “ อย่าดูถูกกันให้มากนักสิเฟ้ย “



    “ เปรี้ยงงงงง “



    หากไม่ใช้แขนทั้งสองต้านรับไว้ก็คงโดนเข้าไปเต็มรัก แต่ถึงกระนั้น บาลมารอสูร ก็ถอยครูดเป็นทางยาว ส่วนเจ้าของฝีมือค่อยๆหยุดฝีเท้าก่อนตั้งท่าหยั่งเชิงศัตรู



    “ ไอ้จ๋อเผือก  อยู่ดีๆไม่ชอบ ชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้าน อยากตายมากนักหรือไง? “



    รังมานุ ใช้มือเกาคาง พลางพูดว่า



    “ ใครกันแน่ที่จะตาย  แก่ใกล้จะลงโลงอยู่แล้วนอนตายที่บ้านดีๆไม่ชอบหรือไงล่ะลุง ถึงได้หาเรื่องออกมาให้ถูกพวกข้า ฆ่าเล่นแบบนี้ “



    บาลมารอสูร ไม่พูดพร่ำทำเพลงอีกต่อไป



    “ ไอ้ลิงเผือกปากเสีย อีกเดี๋ยวข้าจะเลาะทั้งฟันทั้งกระดูกของเจ้าออกมาให้หมดเลย “



    อาวุธในมือพุ่งออกมาในทันที



    “ โซ่อสูรสังหาร กระบวนที่ ๑ โซ่เป็นโซ่ตาย “



    โซ่ทั้งสองเส้น เลื้อยฉกเหมือนงูก็มิป่าน พุ่งเข้าหาวานรเผือก  รังมานุ ได้แต่หลบไปหลบมาไม่กล้าเข้าใกล้  โดยปกติแล้วโซ่เป็นอาวุธที่ทั้งเบาและหนักอยู่ในตัว ยามไม่ใช่จะดูหนักและควบคุมยากแต่เมื่อใช้แล้วจะน้ำหนักจะเบาแต่อำนาจทำลายล้างไม่รุนแรง ดังนั้นผู้ที่ใช้อาวุธประเภทนี้นอกจากสามาธิต้องดีแล้วข้อมือก็ต้องแข็งแรงเป็นพิเศษจึงจะสามารถบังคับโซ่ให้หนักเบาได้ตามความต้องการ ซึ่งแสดงให้เห็นฝีมือการใช้โซ่ที่เข้าขั้นพิสดารของ บาลมารอสูร เป็นอย่างดี โซ่ ของ บาลมารอสูร ทำจากเหล็กกล้าชั้นดี ทั้งเหนียวและคงทน เมื่อประสานกับกระบวนท่าที่เขาคิดค้นขึ้นเองแล้ว ยังทำให้ศัตรูคำนวณทิศที่จะจู่โจมไม่ออก บาลมารอสูร คิดค้นกระบวนท่าการใช้โซ่นี้จากการเคลื่อนไหวของเหล่าอสรพิษ และบัญญัติขึ้นเป็นวิชา โซ่อสูรสังหาร ซึ่งมีด้วยกัน ๖ กระบวนคือ

    กระบวนที่๑ โซ่เป็นโซ่ตาย            โซ่พุ่งราวกับอสรพิษล่อหลอกไปมา

    กระบวนที่๒ คล้องโซ่ผ่อนหนัก            โซ่คล้องรัดพร้อมทั้งทิ่มแทงทำร้าย

    กระบวนที่ ๓ บดรัดดีเดือด            โซ่พันทั่งร่างบดรัดจนแหลกเหลว

    กระบวนที่ ๔ หล่อหลอมเหล็กกล้า         โซ่พุ่งเป็นเส้นตรงเหมือนลูกธนู

    กระบวนที่ ๕ ล้อมหน้าล้อมหลัง            โซ่พุ่งเป็นสายปิดสกัดทางถอยหนี

    กระบวนที่ ๖ ทะลวงเมฆฉีกวิหค            โซ่พุ่งแหวกอากาศอานุภาพสุดรุนแรง



    รังมานุ พยายามหลบไปซ้ายขวา ตามแนวต้นไม้แต่ก็ยังไม่อาจแก้กระบวนได้ หน่ำซ้ำต้นไม้เหล่านั้นยังถูกโซ่อสูรสังหารตัดจนขาดวิ่น



    ‘ ร้ายกาจชะมัด ไม่มีช่องโหว่ให้โต้กลับเลย พับผ่าสิ ’



    หลบโซ่หนึ่งได้ ก็เจออีกโซ่หนึ่งตามมา เหมือนพาตัวเองเขาหาคมมีดโดยปริยาย ยิ่งหลบก็ยิ่งเหนื่อย เพียงก้าวช้าไปเพียงนิดเดียว โซ่อันหนึ่งก็พุ่งเข้ามาใกล้ตัวห่างเพียงแค่สองคืบถึง



    “ ย๊ากกกกกกก “ รังมานุ ออกลูกเตะสะกัดเปลี่ยนทิศทางของโซ่ได้ทันเวลา โซ่อสูรสังหาร เสียจังหวะเพียงเล็กน้อย ก็พอให้อีกฝ่ายได้โต้ตอบแล้ว



    “ ลองดูของข้าบ้าง “



    รังมานุ สะบัดลูกเตะอย่างกับพายุกระหน่ำ เพียงชั่วเสี้ยวเวลาเงาเท้านับไม่ถ้วนก็ปกคลุมอยู่ตรงหน้าของ บารมารอสูร จนแทบไม่มีที่ให้หลบ



    “ บาทาวานรแปดทิศ “



    บาลมารอสูร หลบหลีกไม่ทันรีบปรับเปลี่ยนกระบวน ควงโซ่อสูรสังหาร เป็นโล่ตั้งรับ แต่ รังมานุ ก็ฝ่าแนวกำแพงป้องกันเข้ามาได้



    “ ย๊ากกกกกกกกก “  เสียงร้องที่ดังก้องมานั้นมาพร้อมกับอีกหนึ่งเท้า



    “ บาทาวารนรแปดทิศ หนึ่งทิศจีรัง “



    ลูกเตะที่สุดรุนแรงเกินต้านรับเกือบจะถูก บาลมารอสูร แล้ว แต่ถูกโซ่อสูรสังหาร พันมัดไว้เสียก่อน บาลมารอสูร ไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอย ผนึกพลังไว้ที่โซ่อีกข้างหนึ่ง  หมายจัดการศัตรูให้สิ้น



    “ โซ่อสูรสังหาร กระบวนที่ ๔ หล่อหลอมเหล็กกล้า “



    ตัวโซ่ เปลี่ยนเป็นเส้นตรงพุ่งเข้ามาอย่างเร็ว รังมานุ เหมือนเศษเนื้อที่กำลังจะถูกเหล็กเสียบ



    “ ฝันไปเถอะ “



    รังมานุ พลิกตัวไปอีกทาง หลบไปได้ทันเวลา พร้อมกับโต้กลับอย่างฉับไว เท้าที่เหลืออีกข้างเล็งเป้าที่หัวของฝ่ายตรงข้าม



    “  บาทาวานรแปดทิศ สองทิศไม่ยั้ง “



    เท้าเดียวแต่ใช้ออกเหมือนกับสองเท้า ความรุนแรงเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า หากโดนเข้าไปเต็มๆ ต่อให้เป็น บาลมารอสูร ก็คงสิ้นชื่อ



    “ เปรี้ยงงงงงงงงงงง “



    เสียงดังสนั่นจนแสบแก้วหู รังมานุ ตีลังกาถอยห่างออกมา ส่วน บาลมารอสูร ยังคงยืนอยู่กับที่



    ‘ เกือบไปแล้ว ’



    โชคดีที่ บาลมารอสูร ดึงโซ่อสูรสังหารกลับมาได้ทันเวลา ไม่เช่นนั้นคงไม่มีหัวตั้งอยู่บนบ่าแล้ว  วิชาของ รังมานุ และ นิลสาร เอง ก็มิใช่ธรรมดา เนื่องจากทั้งสองต่างเป็นวานรที่มีความว่องไว และเคลื่อนตัวไปมาได้รวดเร็ว จึงคิดค้นวิชาการใช้เท้าและมือขึ้นมาชุดหนึ่ง มีชื่อว่า เทพหัตถ์เทพบาทา แต่เนื่องจากทั้งสองมือของทั้งคู่มักจะถืออาวุธในการสู้รบเสียเป็นส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยได้ใช้เทพหัตถ์ในการต่อสู้มากนัก จึงหันมาฝึกฝนเทพบาทแทน จนในที่สุดก็กลายมาเป็น บาทาวานรแปดทิศ ซึ่งมีด้วยกันอยู่ทั้งหมด ๘ ท่าคือ

    หนึ่งทิศจีรัง            เตะพลิกแพงได้รอบตัว

    สองทิศไม่ยั้ง            เตะพลิกแพงรุนแรงเป็นสองเท่า    

    สามทิศไร้เหลี่ยม            เตะทุกมุมเหลี่ยม(ชื่อบอกไร้เหลี่ยมแต่ใช้เตะทุกมุมเหลี่ยม)

    สี่ทิศสู้เอียง            เตะโฉบฉวยขณะประชิดตัว

    ห้าทิศแค้นเคือง            เตะเป็นวงพายุ

    หกทิศเหยียบซ้ำ            เตะหกจุดแยกเป็นหกร่าง

    เจ็ดทิศระกำ            เตะหน้าและพลิกเตะหลังสลับไปมา

    แปดทิศชอกช้ำฤดี        เตะกระหน่ำคลุมทุกทิศ



    บาลมารอสูร ยังคงหยุดนิ่งไม่กล้าผลีผลาม แต่ด้าน รังมานุ กลับขยับตัว



    “ ระวังหัวด้วยนะลุง “



    รังมานุ มาเร็วจนเหลือเชื่อ ส่งเข่าลอยเข้าหา บาลมารอสูร เต็มๆ ด้าน บาลมารอสูร ไม่กล้าปะทะด้วย ใช้โซ่อสูรสังหาร ต้านเข่ารับ รังมานุ เอาไว้ พร้อมทั้งหลบหลีกออกมา แต่ทั้งหมดอยู่ในการคำนวณของ รังมานุ แล้ว วานรเผือก หันหลังกลับสุดแรงใช้สองมือยันพื้น สองพุ่งเข้าหาช่องว่างที่เห็นในทันที



    “ บาทาวานรแปดทิศ สี่ทิศสู้เอียง “



    หนึ่งเท้าโดนหน้า อีกหนึ่งเท้าโดนอก เข้าเต็มเป้า



    “ อัคคคคคคคคคคค “  บาลมารอสูร กระเด็นถอยอย่างหมดท่า เลือดไหลออกจากมุมปาก แต่ก็ยังฝืนกัดพัน ส่งโซ่อสูรสังหาร เข้าเล่นงานศัตรู



    “ โซ่อสูรสังหาร กระบวนที่ ๕ ล้อมหน้าล้อมหลัง “



    เหมือนกับทั่วทั้งตัวของ รังมานุ ปกคลุมไปด้วย โซ่ ไม่ว่าจะออกหนีไปทางไหนก็ไม่อาจหลุดพ้น พร้อมทั้งโซ่ทั้งสองเส้นก็พุ่งตรงเข้าทิ่มแทงทำร้าย รังมานุ หลบไปมาได้มานานก็ถูกโซ่ทั้งสองเส้นฟาดกระเด็นไปมา



    “ ปึ๊กๆๆๆๆ “



    “ อัคคคคคคคคๆๆๆ  “



    รังมานุ พยายามตั้งหลัก พร้อมทั้งหาทางโต้



    “ เจ็บชะมัด “



    เงาเท้าที่รุนแรงยิ่งกว่าเดิมโหมเข้าปะทะด้วย



    “ บาทาวานรแปดทิศ ห้าทิศแค้นเคือง “ พายุลูกเตะวงใหญ่ก่อตัวขึ้นในทันที



    ถึงแม้ลูกเตะของ รังมานุ จะสกัดโซ่อสูรสังหารไว้ได้ แต่ตัวเขาก็ยังไม่อาจหลบออกจากวงล้อมของโซ่ที่ล้อมเขาไว้ได้เลย อีกด้านหนึ่ง นิลสาร กำลังเปิดศึกอยู่กับ พิณตะลาสูร



    “ กรงเล็บอสูรแปรปรวน ท่าที่๑ คิมหันต์มาเยือน “  พลังจากกรงเล็บแฝงพลังความร้อนเข้าเผาผลาญศัตรู



    “ บาทาวานรแปดทิศ หกทิศเหยียบซ้ำ “ นิลสาร เอง ก็โต้ตอบไม่ยอมแพ้ หกร่างปิดสกัดพลังที่พุ่งมา



    ช่วงจังหวะนั้น พิณตะลาสูร ก็มองเห็น อนันตวาโย เข้า



    “ ไอ้หนูผมยาว “



    “ ฮะฮ่า เจอกันอีกแล้วนะพี่ชาย “



    พิณตะลาสูร เค้นเขี้ยวขบฟัน



    “ คราวนี้เจ้าตายแน่ “



    อนันตวาโย ก็หาเกรงกลัวไม่



    “ มีปัญญาก็เข้ามาเลย “



    พิณตะลาสูร พุ่งตัวเข้าหา อนันตวาโย ในทันที



    “ เปรี้ยงงงงงง “ ยังไม่ทันปะทะด้วยร่างของ พิณตะลาสูร ก็ถูกแรงกระแทกกระเด็นไปไกล



    “ อย่ามั่วสิโว้ย คู่ต่อสู้ของเจ้าคือข้า เอาไว้ให้ชนะข้าได้ก่อนถึงค่อยท้าสู้กับ อนันตวาโย “



    ความอดทนของ พิณตะลาสูร มาถึงขีดสุดแล้ว



    “ ใครขวางข้าตาย “



    “ กรงเล็บอสูรแปรปรวน ท่าที่ ๘ อาทิตย์ส่องแสง “



    ร่างของ นิลสาร ถูกฉุดเข้าศูนย์กลางของแสงที่สว่างจ้า ไม่อาจดิ้นหลุดออกจากสนามพลังที่เกิดขึ้นได้



    “ เฮ้ย! เล่นทีเผลอนี้น่า “ นิลสาร โวย พยายามจะหลุดเหาะหลุดจากสนามพลังที่เกิดขึ้นแต่ไม่อาจทำได้สุดท้ายก็ลอดละลิ่วเข้าหา พิณตะลาสูร ร่างทั้งร่างเหมือนกับถูกแยกออกจากกันแม้แต่วิญญาณก็แทบจะแตกสลาย



    “ อ๊าคคคคคค “  เสียงร้องของ นิลสาร ดังก้องไปทั่วป่า อนันตวาโย รีบผนึกพลังเข้าไปช่วยแต่ดูเหมือนจะไม่ทันการเสียแล้ว



    “ นิลสาร!!!!!!! “



    นิลสาร ไม่อยู่รอความตาย กระหน่ำเท้าหนักยิ่งกว่าเดิม



    “ บาทาวานรแปดทิศ ห้าทิศแค้นเคือง “



    ลูกเตะหมุนวนดั่งพายุ ต้านกระแสพลังที่ดึงดูดเขาเอาไว้ พอหลุดออกมาได้ ก็รีบใช้คืนทันที



    “ เอาของข้ากลับไปบ้าง “



    “ บาทาวานรแปดทิศ หกทิศเหยียบซ้ำ “



    เหมือนกับ นิลสาร แยกร่างออกเป็นหกร่างประเคนเท้าให้ พิณตะลาสูร เต็มแรง ตัวของ พิณตะลาสูร เหมือนถูกอัดอยู่กับที่ โดนไปหลายลูกติดๆกัน



    “ อัคคคคคคคคๆๆๆ “



    นิลสาร ยังไม่หน่ำใจ ประเคนให้อีกเท่าตัว



    “ หกทิศเหยียบซ้ำ พลังทวีคูณ “



    จาก หก เป็น สิบสอง จาก สิบสอง เป็น ยี่สิบสี่ จาก ยี่สิบสี่ เป็น สี่สิบแปด จาก สี่สิบแปด เป็น เก้าสิบหก พิณตะลาสูร กระดูกเกือบหักไปทั้งร่าง พิณตะลาสูร เหวี่ยงกรงเล็บไปมาดูเหมือนมั่วๆ แต่ก็ถูก นิลสาร เข้าจนได้



    “ อัคคค “  นิลสาร กระเด็นถอยกลับ มีเลือดไหลอยู่ที่มุมปากแต่ พิณตะลาสูร ดูอาการจะหนักกว่า



    “ ดูออกด้วยหรือ? “ วานรสีนิล บ้วนเลือดออกจากปาก



    “ ก็ในกลุ่มแกหลบเก่งที่สุดนี้น่า “



    แววตาของ นิลสาร แววโรจน์ อย่างพอใจ



    “ ตาถึงใช้ได้ งั้นมาเริ่มของจริงกันเถอะ “



    จบตอนที่ ๓๔ ครับ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×