ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศึกเทพอสูรมหาสงคราม

    ลำดับตอนที่ #35 : พลังพิสดาร เทวะแผลงฤทธิ์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 328
      0
      11 มี.ค. 48

    ศึกเทพอสูรมหาสงคราม

    ตอนที่ ๓๕ พลังพิสดาร เทวะแผลงฤทธิ์



        นิลสาร ไม่รอให้ พิณตะลาสูร ตั้งหลักได้ ชิงเป็นฝ่ายบุกก่อนเป็นคนแรก



    “ บาทาวานรแปดทิศ สามทิศไร้เหลี่ยม “



    ลูกเตะของ นิลสาร เล็งเป้าหมายทั่วร่าง เตะสลับออกเป็นรูปสี่เหลี่ยมบ้าง สามเหลี่ยมบ้าง ดูแปลกตาแต่แฝงความรุนแรงไว้ทุกจุด



    ‘ บ้าชะมัด ทำไมข้าถึงดูกระบวนท่าล่วงหน้าของมันไม่ออก ’



    พิณตะลาสูร ไม่อาจรั้งรอได้นานจึงคิดใช้รุกสู้รุก



    “ เอาของหลอกเด็กนี้ไปใช้ในนรกเถอะ “



    “ กรงเล็บอสูรแปรปรวน ท่าที่ ๒ วสันต์กระหน่ำโถม สู้  บาทาวานรแปดทิศ สามทิศไร้เหลี่ยม “ พลังจากกรงเล็บสาดเหมือนลมฝนเข้าหา นิลสาร สกัดกระบวนท่าเตะเอาไว้ได้



    ‘ นึกไม่ถึงเลยว่าไอ้บ้านี้จะฝีมือร้ายกาจขึ้นขนาดนี้ ’ อนันตวาโย เคยเจอกับกระบวนท่านี้มาก่อน คิดไม่ถึงว่าจากกันไม่นานฝีมือของ พิณตะลาสูร จะก้าวหน้าขึ้นมาก แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังมั่นใจว่า นิลสาร ยังคงได้เปรียบกว่า



    “ ย๊ากกกกกกก “  นิลสารร้องลั่น เร่งพลังใกล้ถึงขีดสุด



    “ บาทาวานรแปดทิศ   เจ็ดทิศระกำ “ กระบวนท่าเตะเปลี่ยนแปลงจากเดิมเตะสลับไขว้ไปมาทั้งหน้าและหลัง ฝ่าย พิณตะลาสูร มั่วแต่ปิดป้องและระวังไม่ทันได้นึกถึงอีกกระบวนที่จะตามมา



    “ แปดทิศชอกช้ำฤดี “ กระบวนเตะที่รุนแรงที่สุดใน บาทาวานรแปดทิศ ถูกใช้ออกมาแล้ว เงาเท้าจำนวนนับไม่ถ้วนประเคนคลุมทั่วร่างของอสูรร้าย พิณตะลาสูร เหมือนกับโดนค้อนขนาดใหญ่ฟาดเข้าเต็มแรงพริบตาเดียว ถูกเตะไม่ต่ำกว่า ๒–๓๐๐ เท้าในเวลาเดียวกัน



    “ อ๊ากกกกๆๆๆ “ พิณตะลาสูร ส่งเสียงร้องอย่างโหยหวน เขาเจ็ดปวดเกินกว่าที่จะบรรยายได้ นิลสาร เองก็ไม่ปล่อยโอกาสให้เสียเวลา ชักอาวุธออกจากหน้าอกของตัวเอง เป็นพระขรรค์ยาว สองเล่ม ปักแทงถูก พิณตะลาสูร จนมิดด้าม



    “ อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก “  เสียงร้องของ พิณตะลาสูร ทั้งดังและไม่ขาดตอน  ส่งผลให้ บาลมารอสูร ต้องหันมาเหลียวมอง



    “ พิณตะลาสูร!!!!!!!!!!! “  ภาพที่ บาลมารอสูร เห็นก็คือ พิณตะลาสูร นั้นพลาดท่าให้กับ นิลสาร  ถูกพระขรรค์ แทงจนทะลุถึงหลัง เลือดไหลนองเต็มพื้น ไม่รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือว่าตายแล้ว ส่วน รังมานุ อาศัยจังหวะที่ บาลมารอสูร ตกตะลึงเสียสมาธิ สลัดหลุดออกจาก โซ่อสูรสังหาร ทั้งสองได้



    “ ปีหน้าของวันนี้จะวันครบวันตายของเจ้า “ นิลสาร เร่งพลังเข้าที่อาวุธของตัวเองหมายระเบิดร่างที่อยู่ตรงหน้าให้สิ้น แต่ทว่า…..…..



    “ ข้าไม่ยอมตายคนเดียวหรอกน่า “ พิณตะลาสูร ใช้สองมือตะปบเข้าที่อกของ นิลสาร สุดแรง ความเจ็ดปวดแล่นเข้ามาในทันที กรงเล็บทั้งสองข้างเปล่งพลังที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนอานุภาพรุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมา



    “ กรงเล็บอสูรแปรปรวน ๘ ท่ารวมหนึ่ง สมิงทรลักษณ์ม้วนปัญจคีรี “



    “ ตูมมมมมมมมมมมมมมมมมม “ เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว ภูเขาทั้งลูกเหมือนจะทลายลง เศษไม้ เศษดิน และเศษหญ้า ปลิวว่อน บ่งบอกถึงอานุภาพการระเบิดที่รุนแรง



    “ นิลสาร!!!!! “ รังมานุ ร้องสุดเสียง พยายามฝ่าดงพายุฝุ่นเข้าไปหาแต่มิอาจทำได้



    ภายในพายุฝุ่นทั้งหมดมองเห็นภาพของใครสองคนลอยละลิ่วกระเด็นปลิวออกมาคนละทิศ ก่อนกระเด็นกระแทกถูกกิ่งไม้หักลงสามสี่อันและร่วงหล่นลงสู่พื้น  พอมองออกว่าใครเป็นใครต่างฝ่ายต่างรีบเข้าไปประคองพวกพ้องของตน



    “ เจ้าเป็นไงบ้างนิลสาร? “  รังมานุ ละลักถามด้วยความเป็นห่วงตอนนี้ทั่วร่างของ นิลสาร เต็มไปด้วยบาดแผล



    “ อัคคค “ นิลสาร อ้วกเลือดออกมาคำโต



    “ ข้า…ประมาทไปหน่อย …ไม่คิดว่ามันจะมีแบบตายแบบนี้อยู่ด้วย “ นิลสาร พยายามฝืนความเจ็ดปวดพูดออกมา



    “ ….ข้า… ข้า….ขอโทษ….พวกเจ้า… “  ในที่สุดเขาก็ทนความเจ็ดปวดไม่ไหว สลบไป



    “ นิลสารๆๆ “ อนันตวาโย เขย่าตัว นิลสารไปมา อาการของเขาน่าเป็นห่วงจริงๆ แต่ใช่ว่า ทาง พิณตะลาสูร จะดีกว่าพวกเขามากนัก



    “ พิณตะลาสูร เจ้าไหวหรือเปล่า? “ บาลมารอสูร ประคอง  พิณตะลาสูร ขึ้นมาและสำรวจดูร่างกายพบว่ามีบาดแผลอยู่หลายแห่งแต่ที่ดูจะหนักหนาที่สุดก็คือ บาดแผลจากคมอาวุธที่ปักฝังลึก ส่วน พิณตะลาสูร เองก็พยายามกัดฟันพูดอย่างยากลำบาก



    “ …เอามันออกไปที “ บาลมารอสูร พยายามถอนพระขรรค์ทั้งสองด้ามที่ปักอยู่บนตัวของ พิณตะลาสูร ออก อาวุธทั้งสองค่อยๆ ถูกถอนออกทีละนิดท่ามกลางเสียงร้องอย่างเจ็ดปวดของ พิณตะลาสูร



    “ อ๊ากกกกกกกก “  



    “ เคร้งงงงง “  เสียงคมอาวุธ สองอันกระทบกันหลังตกถึงพื้น



    สุดท้าย บาลมารอสูร ก็ถอนอาวุธที่ปักอยู่บนตัวของ พิณตะลาสูร สำเร็จ



    “ เจ็บใจชะมัด ข้า…กะใช้ท่านี้จัดการกับเจ้านั่นแท้ๆ…ดันเอาออกมาใช้กับไอ้บ้านี้แทน “



    ถึงแม้ว่า นิลสาร และ พิณตะลาสูร ต่างฝ่ายต่างก็ได้รับบาดเจ็บ แต่ทหารของทั้งสองฝ่าย ยังคงสู้รับกันต่อไป จะมีก็แต่ รังมานุ อนันตวาโย และ บาลมารอสูร เท่านั้นที่ยังคงตั้งท่าหยั่งเชิงกันอยู่



    “ อนันตวาโย เจ้าพา นิลสาร ออกไปก่อน ข้าจะจัดการกับมันเอง “ รังมานุ คิดขยับหมายสังหารศัตรูที่อยู่ตรงหน้าเพื่อแก้แค้นให้กับ นิลสาร



    “ ได้ “



    อนันตวาโย รีบพยุงร่างของ นิลสาร ขึ้นมา ส่วน รังมานุ ก้าวเดินเข้าหาศัตรู เพื่อหมายชำระหนี้แค้นให้กับเพื่อนรัก บาลมารอสูร ไม่กล้าประมาท บังคับโซ่อสูรสังหาร เตรียมจู่โจมอีกฝ่ายเช่นกัน หากเข้ามาในรัศมี ๒๐ ก้าว ต่างฝ่ายต่างจ้องมองหาจุดอ่อนของอีกฝ่าย จนกระทั่ง



    “ ตูมมมมมมมมมม อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก ”



    คลื่นพลังลูกโตพุ่งมาจากทางด้านหลังของกองทัพผสมนครเตมินทร์ กวาดเหล่าทหารและวานรล้มตายลงหลายร้อย และแทบจะทันทีทันใดนั้น ทหารอสูรจำนวนอีกนับแสนก็กรูกันเข้ามาสู้รบและโอบล้อม ในเวลานี้ ทั้งวานรและทหารจากนครเตมินทร์ อยู่ภายใต้การโอบล้อมของเหล่าอสูรทุกด้าน



    “ นี้มันเรื่องอะไรกัน!!! “



    อนันตวาโย ตกใจยิ่งนัก เขาไม่คิดมาก่อนว่า ภายในนครเตมินทร์ จะมีเหล่าอสูร หลบซ่อนมากมายขนาดนี้ แม้เวลานี้อยากจะพา นิลสาร ออกไปก็ทำไม่ได้แล้ว



    “ หึๆๆๆๆ “  บาลมารอสูร หัวเราะอยู่ในลำคอ แผนการที่พวกเขาวางไว้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ถึงแม้ว่า พิณตะลาสูร จะบาดเจ็บสาหัสก็ตาม แต่ก็นับว่าคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม



    “ พวกมันมาได้อย่างไร? “  รังมานุ รู้สึกตึงเครียด ในเวลานี้ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มองเห็นแต่เหล่าอสูรล้อมพวกเขาไว้ทุกด้าน



    เหล่าอสูรที่ล้อมพวกเขาไว้ ค่อยๆ หลีกทางให้ใครคนหนึ่งซึ่งอยู่ทางด้านหลัง เดินขึ้นมาข้างหน้า คนๆนั้นเป็นหญิงสาวน่าตาดี อยู่ในชุดทำศึกสีดำ นางก็คือ



    “ ขุนพลหญิงเทวิณา ๑ ใน ๓ ขุนพลมารของกองทัพประตูสวรรค์ “



    “ เทวิณา เจ้าทำได้ดีมาก “ บาลมารอสูร กล่าว



    เทวิณา ยิ้มรับเล็กน้อยเมื่อได้รับคำชม



    “ พวกเจ้าบุกเข้ามาภายในนครเตมินทร์ได้อย่างไร? “ อนันตวาโย พยายามถ่วงเวลาเอาไว้ให้ได้มากที่สุด ทั้งพยายามคิดหาหนทางรอด



    “ ถ้าอยากรู้จริงๆ ข้าจะบอกให้ก็ได้ “



    นางยิ้มเยือกเย็นดวงตาเป็นประกาย



    “  ก็ทางแม่น้ำยังไงล่ะ “



    พอได้ฟังคำตอบ อนันตวาโย ก็สวนกลับในทันที



    “ โกหก  ถึงทางแม่น้ำ เป็นเส้นทางสายหลักที่มุงสู่นครเตมินทร์และใช้เคลื่อนทัพได้ก็จริง แต่กองกำลังของพวกข้าตั้งรับอยู่นั้นต่อให้เจ้าเก่งแค่ไหนก็ยังต้องเสียเวลาไม่ต่ำกว่า ๑ วันถึงจะฝ่าเข้าไปได้ อีกอย่างพวกข้าก็ยังไม่เคยได้รับรายงานด้วยว่า มีกองกำลังอสูรกลุ่มไหนบุกเข้าประชิดค่ายตั้งรับที่ริมแม่น้ำเลย ยังจะมาโกหกพวกข้าได้หน้าด้านๆอีก “



    “ คิกๆๆ  ฮะๆๆๆ “ เทวิณา หัวเราะออกมาเสียงดัง นางรู้สึกขบขันความคิดของหนุ่มรูปงามที่ช่างดูตื้นเขินเสียจริง



    “ หน้าตาเจ้าก็ดี ไม่น่าโง่ ถึงขนาดนี้ ข้าแค่บอกว่าบุกมาทางแม่น้ำ แต่ไม่ได้บอกว่าจะฝ่าเข้ามานี้น่า “



    ไม่บุกฝ่าด่านเข้ามา แล้วนางใช้วิธีไหนถึงพากำลังทหารอสูรนับแสนเข้ามาได้?



    “ จะบอกข้าว่าเหาะข้ามมาทั้งกองทัพหรือไง ไม่ตลกไปหน่อยหรือ? “



    หากทำเช่นนั้น มีหรือ เทพพิทักษ์นครเตมินทร์ จะปล่อยให้นางเข้ามาได้ถึงขนาดนี้



    “ ไม่ใช่เหาะข้ามมาแต่มาแบบนี้ต่างหากล่ะ “ เทวิณา ยิ้มยั่วก่อนเอานิ้วชี้ลงบนพื้นดิน



    อนันตวาโย และ รังมานุ แทบไม่อยากจะเชื่อ



    “ นี้พวกเจ้า………. “



    เทวิณาพูดอย่างสะใจ



    “ ใช่แล้ว พวกข้าแค่อาศัยทางแม่น้ำก่อนจะเจาะเข้ามาทางใต้ดินไงล่ะ พูดแล้วก็น่าหัวเราะ พื้นดินแถวนี้ช่างเปราะบางเสียจริงๆ เหมาะใช้สำหรับทำหลุมศพฝังพวกเทพและลิงน่าโง่อย่างพวกเจ้า “



    “ บ้าที่สุด “  อนันตวาโย แทบจะคลั่งตาย



    “ …..พวกมันขุดอุโมงค์เข้ามา!!! “



    อนันตวาโย และ รังมานุ ต่างเจ็บใจที่เสียรู้ ศัตรู อย่างง่ายดาย ทั้งๆที่พวกเขา สำรวจ ภูมิศาสตร์ของ นครเตมินทร์ มาเป็นอย่างดี  



    นครเตมินทร์ นั้นตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขา  มีบริเวณที่ตั้งนครเท่านั้นที่เป็นที่ราบ ส่วนบริเวณรอบจะเป็นภูเขาสลับไปมาแทบจะทั้งสิ้น ถึงแม้ที่ราบนั้นจะมีเพียงแค่จุดเดียวก็ตามแต่ก็มีอาณาเขตกินพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลมาก และเนื่องจากมีแม่น้ำขนาดใหญ่ไหลผ่านจึงทำให้ดินบริเวณแม่น้ำนั้นอ่อนกว่าดินที่บริเวณอื่น เทวิณา จึงนำกำลังส่วนหนึ่ง บุกมายังทางแม่น้ำสายหลัก พร้อมกับทำการสำรวจพื้นดินบริเวณแม่น้ำทุกตารางนิ้ว จนในที่สุดก็พบพื้นที่ๆดินมีสภาพอ่อนที่สุด จึงได้ทำการขุดอุโมงค์เชื่อมต่อ เข้ามายังภายในเขตชายแดนของนครเตมินทร์ ถึงแม้ว่า อุโมงค์ที่ขุดนี้ จะไม่สามารถ ผ่านเข้าไปจนถึงนครเตมินทร์ ได้ก็ตาม แต่ก็เพียงพอให้ นางนำกำลังทั้งหมดมารวบพลกันที่ชายแดนนครเตมินทร์อีกที่หนึ่งได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นการที่นางให้ บาลมารอสูร บุกเข้ามาตามเส้นเดิมจึงเป็นเพียงกลอุบายเพื่อล่อให้ อนันตวาโย นำกำลังเข้าปะทะด้วย เป็นการถ่วงเวลา เพื่อที่พวกนางจะได้มีเวลาโอบล้อมและกำจัดกองทัพของ อนันตวาโย นั้นเอง



    “ พวกเจ้ามีอะไรจะสั่งเสียไว้ก่อนตายหรือเปล่า? “



    อนันตวาโย และ รังมานุ ได้แต่มองหน้ากัน



    “ ขอโทษด้วยนะ รังมานุ ที่ข้าทำให้พวกเจ้าต้องมาเดือดร้อนด้วย “



    รังมานุ ยิ้มรับกับโชคชะตา พูดกับ อนันตวาโย ว่า



    “ เจ้ากับข้าก็เหมือนพี่น้องกันจะพูดทำไมให้มากความด้วย ถึงแม้พวกเราจะพ่ายในวันนี้ อย่างน้อยก็ควรลากพวกมันลงนรกด้วยกัน “



    “ เรายังพอมีหวังถ้าใช้วายุคืนชีพ “



    รังมานุ ส่ายหน้า



    “ มนต์นี้ต้องใช้สมาธิสูง บวกกับเวลา ภายใต้วงล้อมนี้เจ้ายังจะสามารถรวบรวมสมาธิได้อีกหรือ? “



    เมื่ออับจนหนทาง ทั้งสอง จึงตัดสินใจสู้ตายพร้อมกัน



    “ เมื่อเป็นอย่างนั้น พวกเราก็ประจัญบานกับพวกมันให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลย “



    “ เจี๊ยกกกกกกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ “  



    “ สู้ตาย เฮๆๆๆๆๆๆๆๆ “



    เหล่าทหาร และ วานร ต่างขานรับ ศึกสุดท้ายของพวกเขาใกล้ถึงเวลาตัดสินแล้ว



    “ นึกว่าจะพูดอะไรซะอีก ที่แท้ก็ดิ้นรนหาที่ตายเร็วขึ้นอีกหน่อยเท่านั้นเองหรือ?  “ เทวิณา เผยอริมฝีปากเตรียมออกคำสั่ง



    “ ทหาร  … ฆ่าพวกมันให้หมด “



    เสียงฝีเท้าดั่งสนั่นไปทั่วทิศ เวลานี้เหล่าอสูร ต่างกรูกันเข้ามา ดูมืดฟ้ามั่วดิน รังมานุ เองก็มิได้หวาดหวั่นเลย ออกคำสั่งรบเช่นกัน



    “ พวกเรา ลุยยยยยยยยยย “



    “ เฮๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เจี๊ยกกกกกกกกกกกกกกๆๆๆๆ “



    กองทัพอสูร และกองทัพผสมจากนครเตมินทร์ เข้าต่อสู้ห่ำหั่นกันดุเดือด งัดกลยุทธ์ทุกอย่างที่มีเข้าประหัตประหารกันจนเลือดนองไปทั่วพื้น กองทัพผสม พยายามตีฝ่าวงล้อมออกไป พร้อมทั้งขยายพื้นที่หวังพลิกสถานการณ์แต่การวางแผนของ เทวิณา นั้นไร้ช่องโหว่ กองทัพอสูร หนุนเนื่องมาไม่ขาดสาย ทั้งปิดทางหนี โอบล้อม ไม่ให้ กองทัพผสม ทะลวงผ่านไปได้ เวลาผ่านไปได้ หนึ่งก้านธูป กองทัพผสม ก็รวนเร และหมดแรง ไม่มีทางหนีรอดแล้ว



    “ พี่น้องข้า เห็นที คราวนี้เราคงไม่รอดแล้วแน่ๆ เจ้ารีบหนีไปเถอะ แล้ววันหน้าค่อยแก้แค้นให้พวกข้า “ รังมานุ พูดขึ้นในขณะที่มีแรงเหลืออีกไม่มากนัก



    “ จะตายก็ตายด้วยกัน ข้าไม่มีวันหนีเอาตัวรอดคนเดียวหรอก “ อนันตวาโย ซัดอสูร ตนหนึ่ง ล้มลงไปมืออีกข้าก็กอด พยุง นิลสาร ไปด้วย



    “ กรงเล็บอสูรแปรปรวน ท่าที่ ๔ อัสนีสะเทือนฟ้า “ พลังจากกรงเล็บรุนแรงดุจฟ้าผ่าซัดถูก อนันตวาโย ทำให้ทั้ง นิลสาร และ อนันตวาโย กลิ้งกระเด็นไปคนละทาง



    “ ไอ้หนู วันนี้เจ้าตายแน่ ฮะฮ่าๆๆ “



    ทั้งๆที่ พิณตะลาสูร ยังบาดเจ็บแต่ก็ยังฝืนใจซัดพลังออกมาหมายแก้แค้นให้กับน้องชาย แต่ด้วยพลังที่น้อยลงจึงทำให้ อนันตวาโย บาดเจ็บไม่มากนัก แต่เขาก็ต่อสู้มานานแล้ว เรี่ยวแรงที่เหลือก็ลดน้อยถดลงเช่นกัน จึงไม่อาจจะลุกขึ้นมาได้ในทันที บาลมารอสูร เห็นดังนั้นจึงรีบช่วยสนองความต้องการของ พิณตะลาสูร ให้



    “ ข้าจะส่งมันลงนรกแทนเจ้าเอง พิณตะลาสูร “



    บาลมารอสูร สะบัดมือทั้งสองข้างปล่อยอาวุธออกมา



    “ โซ่อสูรสังหาร กระบวนที่ ๔ หล่อหลอมเหล็กกล้า “



    โซ่ทั้งสองเส้นทิ่มแทงเข้าหา อนันตวาโย อย่างรวดเร็ว เพียงไม่กี่อึดใจ ร่างของ อนันตวาโย ก็จะถูกโซ่แทงจนทะลุแล้ว



    “ อนันตวาโย!!! “ รังมานุ พยายามเข้าไปช่วยแต่ตัวเขาเองก็แทบจะเอาตัวไม่รอดไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็มิอาจช่วยเหลือ อนันตวาโย ได้



    “ ฟ้าวๆๆๆๆๆ   เปรี้ยงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง “



    เกิดเสียงระเบิดดังกึกก้องไปทั่ว พร้อมกับคลื่นพลังอันมหาศาลแผ่พุ่งเข้ามาสังหารเหล่าอสูรจนล้มตายลงนับร้อย และนอกจากนั้นคลื่นพลังนี้ยังสามารถสกัดอาวุธของ บาลมารอสูร ไว้ได้อย่างทันท่วงที



    “ อะไรกันนะ!!!! “ ทุกสายตาต่างจดจ้องมองไปยังจุดที่มาของคลื่นพลังซึ่งเห็นฝุ่นตลบเป็นแนวยาว



    “ นั้น…..ใครกัน? “   พวกเขาต่างเห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่อย่างองอาจและสง่างาม มือข้าหนึ่งถูกยกขึ้น บ่งบอกว่าคลื่นพลังนั้นมาจากฝีมือของเขา เพียงแค่เห็นหน้า พิณตะลาสูร ถึงกับร้องขึ้นมาอย่างโกรธแค้น



    “ ไอ้….หนู….นั้น….. “



    อนันตวาโย ดีใจสุดที่จะบรรยายได้



    “ น้ำทิพย์ที่สาม!!!! “



    น้ำทิพย์ที่สาม ฟื้นขึ้นมาแล้ว และแทบจะวินาทีนั้นเอง  สิงห์ปริศนา ก็กระโจนตัวลงมา ราวกับขุนศึกจากสวรรค์ แผ่พลังกดดันจนเหล่าอสูรขนลุกชันทั่วตัว



    “ อนันตวาโย ข้ามาช่วยแล้ว “



    ชายหนุ่ม รีบถอดสายสังวาลออกจากตัว เปลี่ยนเป็นกระบองยาวภายในพริบตา



    “ ใครไม่อยากตายก็ถอยไป “



    น้ำทิพย์ที่สาม จับที่ด้ามกระบองไว้แน่นและฟาดเข้าหาเหล่าอสูรสุดแรง



    “ กระบวนกระบองพิฆาตมาร กระบวนที่ ๑ ทลายอสูรต่อเนื่อง “



    “ ย๊ากกกกกกกกก “  เสียงร้องของ น้ำทิพย์ที่สาม ดังจนแสบแก้วหู เหมือนสิงห์ร้ายที่เพิ่งหลุดจากกรงขัง ข่มขวัญศัตรู จนกระเจิดกระเจิง ทั้งๆที่มาเพียงแค่คนเดียว



    “ เหวออออออออออออออ “  



    “ ทลายอสูรต่อเนื่อง  …..ฟ้าวๆๆๆ…………….เปรี้ยงงงงงงงงงงงงงงงงง “



    “ อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก “



    เพียงแค่พริบตาเดียวที่กระบองฟาดมาถึง อสูรไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันตายลงในทันที



    “ เป็น…..เป็นไปได้ไง “



    ทั้ง บาลมารอสูร เทวิณา และ พิณตะลาสูร ต่างแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะมีฝีมือร้ายกาจถึงเพียงนี้



    “ มั่วตะลึงอะไรกันอยู่ รีบฆ่ามันสิ พวกเจ้ามีตั้งเป็นแสน กับมันแค่คนเดียวจะไปกลัวอะไร “



    เมื่อเสียงสั่งการของแม่ทัพใหญ่ดังขึ้น พวกทหารอสูรจึงตื่นขึ้นจากภวังค์แห่งความหวาดกลัว



    “ ฆ่ามัน เอามันให้ตาย เฮๆๆๆๆๆๆๆๆๆ “



    ทหารอสูร นับพันนับหมื่น บุกเข้ามาหาเขาแล้ว



    “ เล่นหมาหมู่หรือ? ได้เลย “  น้ำทิพย์ที่สาม หาได้หวั่นเกรงไม่ ประกายตาเจิดจ้ายิ่งกลัวเก่า พร้อมกับยอดวิชาอีกแขนงหนึ่งก็ถูกเรียกใช้ในขณะถลาตัวเข้าปะทะ



    “ เทพวิชามายาลวง “



    “ พรึบๆๆๆๆ “  



    พวกอสูร แทบจะกลั้นใจตายรอบสอง เพราะเมื่อครู่นี้เขาเพิ่งบุกเข้ามาเพียงแค่คนเดียว แต่เวลานี้กลับพบว่า มี น้ำทิพย์ที่สาม นับร้อยนับพันปรากฏขึ้นในคราวเดียวกัน



    “ ใครกล้าแตะต้องเพื่อนข้าแม้แต่ปลายเล็บ ข้าจะให้มันไม่ได้ตายดี “



    การปรากฏตัวของ น้ำทิพย์ที่สาม เพิ่มกำลังใจ ต่อสู้กับ อนันตวาโย ขึ้นอีกโข



    “ อ๊ะ…. พวกเจ้า “



    ไม่ใช่แค่เขาคนเดียว มณีมรกต และ ชมพูมุกดา ก็ตามมาด้วย เวลานี้พวกนางต่างช่วยกันพยุง อนันตวาโย ลุกขึ้นมา



    “ ว้าว!!! สวยจังเลย “ รังมานุ ถึงกับตกตะลึงในความงามของ พวกนาง แต่ยิ่งตกตะลึงยิ่งกว่าเมื่อร่างร่างทั้งร่างของ อนันตวาโย เต็มไปด้วยไฟสีขาวนวล เมื่อฝ่ามือทั้งสองข้างของพวกนางเตะที่แผ่นหลังของเขา



    “ เวทย์วิชาคืนพลัง เทพสุริยันจันทรา “ พวกนางต่างใช้พลังพระเวทย์ รักษาอาการบาดเจ็บให้ อนันตวาโย



    กระแสพลังนับร้อยนับพันพุ่งเข้าสู่ร่าง เวลานี้พลังของ อนันตวาโย ฟื้นคืนขึ้นมาแล้ว



    “ ขอบใจพวกเจ้ามาก “



    เมื่อสถานการณ์พลิกเปลี่ยน รังมานุ ก็ตะโกนบอกว่า



    “ อนันตวาโย วายุคืนชีพ “



    อนันตวาโย  รับรู้ถึงรหัสลับรีบเหาะขึ้นสู่ท้องฟ้า รวบรวมสมาธิ ควงตัวเหมือนกับดอกสว่าน พร้อมทั้งร่ายมนต์สร้างกระแสพายุลม ขนาดใหญ่ ขึ้นมา พัดถูกเหล่าวานร ที่ถูกสังหาร รวมทั้ง นิลสาร ด้วย



    “ วายุคืนชีพ “



    เหล่าวานรที่ล้มตายลงต่างคืนชีพขึ้นมาทั้งหมด รวมถึง นิลสาร ที่ได้รับบาดเจ็บ บาดแผลก็ค่อยๆ หายสนิท และลุกขึ้นมายืน พลางหักข้อต่อต่างๆของร่างกาย เสียงดังกร๊อบๆ



    “ หาว…. หลับมาตั้งนานเมื่อยชะมัดเลย “



    บาลมารอสูร เทวิณา และ พิณตะลาสูร เห็นดั่งนั้นแล้วแทบจะทำอะไรไม่ถูก



    รังมานุ รีบกระโดนเข้ามาหา พร้อมกันนั้น อนันตวาโย ก็เหาะกลับลงมา



    “ ถึงเวลาพวกเรา เอาคืนพวกมันแล้ว “ รังมานุ ว่าพร้อมกับจ้องมองศัตรู



    หนึ่งเทพบุตรและสองวานร ต่างทะยานตัวพร้อมกัน



    “ ฆ่ามันอย่าให้เหลือ “



    “ เพ้อฝันสิ้นดี  ทีมุน เจ้าพา พิณตะลาสูร ออกไปก่อน “  



    “ ขอรับ “



    ถึงแม้สถานการณ์จะพลิกเปลี่ยนแต่ บาลมารอสูร และ เทวิณา บุกเข้าห่ำหั่นกับฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่หวาดหวั่น ส่วนนายกองอสูรทีมุน รีบนำตัว พิณตะลาสูร ล่าถอยไปตามคำสั่งของผู้เป็นนาย  



    สถานการณ์ที่เลวร้าย กลับผันแปรเปลี่ยนเป็นไม่มีแพ้ไม่มีชนะแล้ว กองทัพอสูรที่ โอบล้อม ถูก น้ำทิพย์ที่สาม สังหารล้มตายลงหลายพัน ด้านกองทัพวานรที่คืนชีพ ขึ้นมาต่างบุกเข้าปะทะกับศัตรูอีกระลอก  การต่อสู้ดำเนินไปถึงหนึ่งคืน ยังไม่มีใครแพ้ไม่มีใครชนะ กองทัพอสูรของ บาลมารอสูร แข็งแกร่งกว่ากองทัพอสูรที่ค่ายโครงกระดูกนับสิบเท่า  พวกเขาถูกฝึกให้ใช้ยุทธวิธีในการต่อสู้มาเป็นอย่างดี ดังนั้นถึงแม้กระบวนการรบจะเรรวนไปบ้าง แต่โดยสภาพแล้วยังคงรักษาสถานการณ์เอาไว้ได้ การศึกดำเนินไปจากอาทิตย์ตกจนเข้าสู้ยามราตีก็ยังไม่หยุด ทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างเหนื่อยล้ากันสุดๆ  ครั้นเมื่อแสงอาทิตย์โผล่ขึ้นขอบฟ้าอีกครั้ง ต่างฝ่ายต่างจึงต้องหยุดการสู้รบลง  แม้กองทัพผสม จะสามารถต้านทานกองทัพอสูรเอาไว้ได้ก็จริง แต่ก็มิอาจตีให้พวกมันร่นถอยไปจากเขตชายแดนนครเตมินทร์ได้เลย ทำให้ รังมานุ ต้องออกคำสั่ง สร้างป้อมค่ายต้านรับศึกซึ่งอยู่ห่างไม่ไกลจากจุดปะทะมากนัก  ทางด้านกองทัพอสูรเอง ก็ตั้งค่ายอยู่ที่เขตชายแดนนั้นเช่นกัน มองดูไปคล้ายกับเสือสิงห์ ที่กำลังจดจ้องมองหาจุดอ่อนของกันและกันอยู่ หากใครเผลอเพียงนิด ความพ่ายแพ้ย่อมตามมาในทันที



    ...หนึ่งวันให้หลัง หลังจากการเปิดศึก ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ จากทางกองทัพอสูรเลย แต่ภายในค่ายของ นครเตมินทร์  รังมานุ กำลังอยู่ภายในห้อง พร้อมกับเหล่าขุนศึกทั้งหลาย ขณะเดียวกันนั้นเอง อนันตวาโย  ก็ถือโอกาสแนะนำ น้ำทิพย์ที่สาม ให้ทั้งสองได้รู้จัก



    “ นี้ น้ำทิพย์ที่สาม เพื่อนของข้า  ที่ข้าเคยเล่าให้พวกเจ้าฟังไงล่ะ  “



    เมื่อได้ยินที่ อนันตวาโย บอก ทั้งสองจึงนึกขึ้นมาได้



    “ เจ้าเองหรอกหรือ ฝีมือร้ายกาจอย่างนี้ๆเอง มิน่า อนันตวาโย ถึงได้ออกปากชมนักชมหนา “ รังมานุ เพิ่งเข้าใจถ่องแท้ ก็วันนี้



    “ ขอบใจเจ้ามาก ที่มาช่วยพวกข้าเอาไว้ “ ทั้งรังมานุ และ นิลสาร ต่างกล่าวขอบใจ น้ำทิพย์ที่สาม และชื่นชมในตัวเขา



    “ ไม่เป็นไรหรอก ศึกในครั้งนี้ก็เป็นภาระหน้าที่ของข้าเช่นกัน “



    แต่ถึงพวกเขาจะชื่นชมเพียงไร ก็ยังน่าชื่นชมน้อยกว่า สองสาวงามฝาแฝด คู่นี้



    “ ฮะแฮ่ม เอ้อ! แล้ว แม่น้องสาวทั้งสองนี้เล่า เจ้าจะไม่แนะนำให้ข้าสองคนรู้จักบ้างหรือ อนันตวาโย “ รังมานุ ทำหน้าตากระลิ้มกระเลี่ยม แววตาเจ้าชู้  พร้อมกับขยับตัวเข้าไปใกล้กับพวกนาง ด้วยความสวยบาดตาบาดใจทำเอา รังมานุ แทบจะละลายกองอยู่ตรงนั้น



    “ เอ้อ!! พวกนาง….”



    อนันตวาโย ยังไม่ทันได้แนะนำพวกนาง มณีมรกต และ ชมพูมุกดากลับแนะนำตัวเองเสียก่อน



    “ ข้าชื่อ มณีมรกต “



    “ ส่วน ข้าชื่อ ชมพูมุกดา “



    “ โอ้ พวกเจ้าทั้งสองนอกจากจะสวยบาดใจแล้ว ชื่อก็ยังไพเราะอีก “ นิลสารเอง ก็เป็นไปกับ รังมานุด้วย ผิดกับ อนันตวาโย ที่ดูเหมือนรู้สึกหนาวๆร้อนๆแทน



    ‘ เจ้าสองตัวแสบเอย ไม่ได้ดูตามาตาเรือเลย ให้ตายซิ ’



    ขณะที่ อนันตวาโย ยังไม่รู้ว่าจะบอกพวกเขารู้อย่างไรดี มณีมรกต ก็พูดขึ้นอีกว่า



    “ ข้าเองก็อยากจะแนะนำสามีของข้าให้พวกท่านรู้จักด้วยเช่นกัน? “



    พอได้ยินคำว่า สามี วานรทั้งสองถึงกับชะงัก



    “ สะ…สามี  พวกเจ้ามีสามีแล้วอย่างนั้นหรือ? “



    พวกนางต่างพยักหน้า



    “ ใช่ “



    ทั้ง รังมานุ และ นิลสาร ต่างถอยออกมานิดหนึ่งก่อนแอบกระซิบถามกับ อนันตวาโย ว่า



    “ อนันตวาโย สามี ของพวกนางเป็นใครกัน? “



    อนันตวาโย ทำหน้าตาเจื่อนๆ ก่อนตอบพวกเขาว่า



    “ ก็ น้ำทิพย์ที่สาม ไงล่ะ “



    “ หาาาาาาาาาาาาา “  วานรทั้งสองต่างร้องเสียงหลง



    “ จริงหรือ? “ สองวานรถามย้ำ



    “ ก็จริงนะสิ ข้าจะหลอกพวกเจ้าไปทำไม “ อนันตวาโย ยืนยัน



    “ โห อิจฉา เป็นบ้า มีเมียสวยๆอย่างนี้ตั้งสองคนแน๊ะ “ รังมานุ แทบจะคลั่งด้วยความเสียดายแต่ต้องรีบเก็บอากัปกิริยาเอาไว้ เพราะเวลานี้เขารู้สึกว่ามีสายตาดุๆคู่หนึ่งกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่



    “ แฮ่ๆ เจ้าคงไม่ถือสาพวกข้าใช่ไหม? “



    น้ำทิพย์ที่สาม หัวเราะเบาๆ



    “ ข้าไม่ถือหรอก “



    สองวานรค่อยโล่งใจหน่อย



    “ เจ้านี้ใจกว้างจริงๆ “



    “ แต่ถ้าทำบ่อยๆก็ไม่แน่ “ สิงห์ปริศนา สวนกลับมาแทบไม่ทันขาดคำ



    ทั้ง รังมานุ และ นิลสาร ต่างหัวเราะกลบเกลื่อน



    “ ฮะๆๆ ดูสิพูดตลกก็เป็นด้วย “



    ไฟหึงหวงกำลังคุกกรุ่น อนันตวาโย ยิ่งดูยิ่งปวดหัว



    ‘ ตลกกะผีอะไรเล่า เฮ้อ! สงสัยวันนี้ข้าคงได้กินแกงบวบสิงห์กับต้มยำลิงแน่ ’ คิดแล้วก็ถึงกับเอามือกุมขมับ



    แต่สองสาวกลับชอบใจแทน



    “ แมวน้อยของเรา กำลังหวงก้างน่าดู “



    “ นั้นสิ “ สองสาวต่างแอบหัวเราะแต่ถึงจะเบาเพียงไหนก็ไม่อาจพ้นหูของ น้ำทิพย์ที่สาม ไปได้



    “ ข้าไม่ได้หวงแต่ข้าคอยคุ้มครองพวกเจ้าต่างหาก “ น้ำทิพย์ที่สามว่า พลางโอบเอวพวกนาง



    “ อย่างนี้นะหรือเรียกว่าคุ้มครอง “ ชมพูมุกดา ว่า



    “ ใช่ แล้วคืนนี้ก็ห้ามปฏิเสธด้วย “



    สองสาว ต่างเอามือทุบเขาเบาๆ



    “ คิดจะรังแกพวกข้าอีกแล้ว “



    “ ไม่รังแกพวกเจ้าแล้วจะให้ข้ารังแกใครล่ะ? “



    “ บ้าสิ “



    สามหนุ่มสาวหยอกเย้ากันไปมา โดยลืมนึกไปแล้ว มีสายตาอีก ๓ คู่ กำลังดูอยู่ด้วย



    จบตอนที่ ๓๕ ครับ  เมี้ยวววววววววววววววว   โฮ่งงงๆๆๆๆ ( น้องผมออกหลายตอนแล้ว ขอผมออกมาบ้างซิ )   เดี๋ยวๆ ขอดูคิวก่อน อืมมมมม...... เสียใจด้วยนะยังไม่มี

    *** หมาป่าตามมาท้วงบทอีกคนแล้ว เหอๆๆๆ ***
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×