ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บุรุษลึกลับ....น้ำทิพย์ที่สาม
ศึกเทพอสูรมหาสงคราม
ตอนที่ ๔ บุรุษลึกลับ....น้ำทิพย์ที่สาม
    หลังจากการกลับมาของ อินทรนาคราช และคนอื่นๆ เรื่องราวของ อัคคีนาคา แพร่กระจายไปทั่วนครบาดาล อย่างรวดเร็ว ภายในพระตำหนักของ พระนาง มัณนิยา เสด็จแม่ของ อัคคีนาคา พระนางกำลังทรงพระกรรณแสง กอด อัคคีนาคา ไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย ในห้องไม่ได้มีเพียงแค่ พระนางมัณนิยาและ อัคคีนาคา เท่านั้น ยังมีพระนางอีกสามพระองค์ และ เหล่าพระธิดาองค์อื่นๆ รวมอยู่ในห้องพระตำหนักที่ประทับด้วย ฝ่ายพระพี่เลี้ยงปลาใหญ่ พระพี่เลี้ยงกุ้งน้อย และนางกำนัลทั้งหลายอยู่ด้านนอกของพระตำหนักที่ประทับ ถึงแม้กระนั้นทั้งหมดยังได้ยินเสียงพระกรรรณแสงของพระนาง มัณนิยา อย่างชัดเจน
“ โธ่ อัคคีนาคา ลูกแม่ ทำไม เจ้าถึงโชคร้ายอย่างนี้  ทำไมชะตาต้องลิขิตให้เจ้าจากแม่ไปด้วย ? “
พระพี่นาง รัญญานาคินี และพระนางองค์อื่นๆ ต่างไม่รู้จะปลอบให้พระนาง มัณนิยา หยุดกรรณแสงได้อย่างไร หากเปลี่ยนกลับกันให้ลูกๆ ของพระนางต้องจากไปเช่นเดียวกับ อัคคีนาคา บ้าง พวกพระนางเองก็คงมีสภาพไม่ต่างจาก พระนาง มัณนิยา เหมือนกัน
“ ทำใจเสียเถอะ มันณิยา อย่างไรเจ้าก็ขัดโองการของ พระอิศวร ผู้เป็นเจ้าไม่ได้ อัคคีนาคา ก็เป็นหลานข้า  การที่นางต้องจากพวกเราไปปราบเหล่าอสูรร้าย ข้าเองก็แทบทำใจไม่ได้เหมือนกัน “
“ แล้วทำไม ต้องเป็น อัคคีนาคา ด้วยเพคะ พระพี่นาง อัคคีนาคา ยังเป็นเด็ก จะไปสู้รบตบมือกับอสูรร้ายแบบนั้นได้อย่างไร แม้แต่เสด็จพี่ จามนาคราช เอง ก็ทรงยังไม่แน่พระทัยว่าถ้าเสด็จพี่ได้เจอกับพวกอสูรเหล่านั้น เสด็จพี่จะสู้พวกมันได้หรือเปล่า ?  “
ฝ่าย กุสุมาวดี เมธาวดี และ กรรณิการ์นาคี ไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าแม้แต่น้อย แววตายังเศร้าหมองเมื่อรู้ข่าวว่า อัคคีนาคา จะต้องไปเข้าร่วม ปราบ กัลย์ปาอสูร เพื่อเป็นตัวแทนของเผ่าพันธ์นาคา
“ ต่อไปเจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดีนะ อัคคีนาคา ถ้าพวกข้าทำได้ พวกข้าอยากจะตามเจ้าไปด้วย “
เมธาวดี เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย ในใจของนางอยากจะตาม อัคคีนาคา ไปร่วมรบกับเหล่าอสูรในศึกครั้งนี้ด้วยแต่นางก็ไม่สามารถที่จะตาม อัคคีนาคา ไปได้เพราะนางไม่ได้เป็นผู้ถูกเลือกที่จะเข้าร่วมในการปราบ กัลย์ปาอสูร นับตั้งแต่ เมธาวดี จำความได้ ทั้ง อัคคีนาคา  กุสุมาวดี  กรรณิการ์นาคี และตัวของเมธาวดีเอง ไม่เคยที่อยู่ห่างกันเกิน ๑ วันเลย แต่ อัคคีนาค กลับจะต้องจากพวกนางไป โดยพวกนางไม่รู้ว่าอีกเมื่อไร อัคคีนาคา จะได้กลับมาพบเจอกับพวกนางอีกหรือแม้กระทั่งว่าจะได้กลับมาพบหน้ากันอีกหรือเปล่า ?
“ ข้าขอบใจเจ้านะ เมธาวดี แต่อย่างไรเจ้าก็ไปกับข้าไม่ได้หรอก ข้าอยากจะให้พวกเจ้าอยู่เป็นเพื่อนเสด็จแม่ของข้ามากกว่า “
อัคคีนาคา เอ่ยตอบ เมธาวดี พลางหันไปมองนางเพื่อนรักอีกสองคน ซึ่งทั้งสองพยายามหลบหน้าไม่ให้ อัคคีนาคา เห็นคราบน้ำตาที่ปรากฏอยู่
“ อัคคีนาคา เจ้าไม่ต้องห่วง เสด็จแม่ของเจ้าหรอก พวกอา จะคอยดูแลแม่ของเจ้าเอง “
พระนางกิณยราตี บอกให้ อัคคีนาคาคลายความกังวลลง ทางฝ่าย พระนางอินทราณี ก็พยายามปลอบโยน พระนางมัณนิยาอยู่
“ มัณนิยา ข้ารู้ว่าเจ้าห่วง อัคคีนาคา แต่ อัคคีนาคา ทำเพื่อพวกเราทุกคนในนครบาดาลแห่งนี้ ถึงแม้เจ้าจะไม่ห่วงตัวเองแต่ควรคิดถึง อัคคีนาคา บ้าง หาก อัคคีนาคา จากเจ้าไปโดยมีความทุกข์ของเจ้าติดตามไปด้วย อัคคีนาคา อาจจะห่วงหน้าพะวงหลัง จนเสียท่าให้กับพวกเหล่าอสูรนะ “
พระนางมัณนิยา พยายามหักห้ามความเศร้าในพระทัยทอดพระเนตรมอง อัคคีนาคา เหมือนกับจะประทับไว้ในความทรงจำของพระนาง ใช้พระหัตถ์ลูบที่ใบหน้าของ อัคคีนาคา อย่างแผ่วเบาและ ทะนุถนอม
“ ลูกรักของแม่ แม่ไม่อยากให้เจ้าไปสู้รบกับเหล่าอสูรร้ายเหล่านั้นเลย แต่นี้ไปพ่อและแม่ไม่สามารถที่จะปกป้องคุ้มครองเจ้าได้อีกแล้ว มีแต่เพียงตัวของเจ้าเท่านั้นที่ช่วยตัวของเจ้าเองให้ฝ่าฟันอันตรายใดๆ ไปได้ จงใช้สติและความรอบคอบของเจ้าเอาตัวรอดกลับมาหาแม่ให้ได้นะลูก “
พระนางมัณนิยา ตรัสจบทรงสวมกอด อัคคีนาคา เอาไว้แน่น อัคคีนาคา เองก็กอดเสด็จแม่ของนางไว้เช่นกัน น้ำตาของ อัคคีนาคา ไหลออกมาเสมือนว่าแม้นางจะต้องจากและจางหายไปเหมือนสายน้ำตาหากแต่ความรักที่มีให้เสด็จแม่ของนางยังคงอยู่กับนางตลอดไปไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
“ เพคะ เสด็จแม่ หม่อฉันจะกลับมาหาเสด็จแม่ให้ได้ เพคะ “
พระนางอีกสามพระองค์ ทรงทอดพระเนตรเห็นทั้งสองดังนั้นแล้ว ก็กลั้นน้ำพระเนตรไว้ไม่อยู่ต่างก็ทรงพระกรรณแสง ในพระทัยของพระนางรัญญานาคินี ตอนนี้กำสังตัดสินพระทัยอะไรบางอย่าง
“ เมธาวดี ต่อไปนี้แม่จะไม่ห้ามเจ้าขึ้นไปข้างบนอีกแล้ว  รวมทั้งพวกเจ้าด้วย กุสุมาวดี กรรณิการ์นาคี “
“ พระพี่นางหมายความว่าอย่างไรเพคะ หม่อมฉันไม่เข้าใจ ? “
พระนางอีกสองพระองค์ต่างตรัสถามพร้อมกัน แม้แต่ธิดานาคทั้งสามเองก็ยังไม่เข้าใจในความหมายของ พระนางรัญญานาคินี
“ ข้าตัดสินใจแล้ว ถึงเวลาแล้วที่พวกนางทั้งสามจะต้องออกมาปกป้องนครบาดาลอย่างที่ อัคคีนาคา ทำบ้าง ข้าจะขอให้เสด็จพี่อานนทนาคราช และ อินทรนาคราช รวมทั้ง แม่ทัพคนอื่นๆ สอนวิชาการต่อสู้ให้พวกนาง “
“ อะไรนะเพคะ พระพี่นาง นี้หม่อมฉันสองคนฟังผิดไปหรือเปล่าเพคะ ? “
พระนางกิณยราตี ตรัสถามพระพี่นางรัญญานาคินี เหมือนจะไม่เชื่อในสิ่งที่ พระพี่นางรัญญนาคินี ตรัสขึ้น ส่วน พระนางอินทราณี เองก็ตกพระทัย ไม่คิดว่าประโยคนี้จะออกจากพระโอษฐ์ของพระพี่นางรัญญานาคินีได้
“ พวกเจ้าสองคน ฟังไม่ผิดหรอกในเวลานี้ไม่ว่าใครก็มีความสำคัญในการปกป้องนครบาดาลทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ในเมื่อ อัคคีนาคา ออกไปทำภารกิจที่สำคัญถึงขนาดนี้แล้ว พวกเจ้าจะให้พวกเรางอมืองอเท้าอยู่อย่างนี้หรือ ? ถึงแม้พวกเราจะไม่ได้ร่วมรบพร้อมกับ อัคคีนาคา แต่พวกเราก็สามารถเป็นกำลังหนุนให้กับ อัคคีนาคา ได้ และยังทำให้ อัคคีนาคา หมดห่วงความปลอดภัยในนครบาดาล อัคคีนาคา จะได้ต่อสู้กับพวกอสูรเหล่านั้นได้อย่างเต็มที่ “
พระนางทั้งสองได้ฟังเหตุผลของพระพี่นางรัญญานาคินีแล้วต่างก็ครุ่นคิด และมีความเห็นตรงกับที่พระพี่นาง รัญญานาคินี ทรงตรัส ขณะที่ธิดานาคทั้งสาม ต่างก็คิดเช่นเดียวกับพระนางรัญญาคินี
“ เพคะเสด็จป้า หม่อมฉันทั้งสามจะทำตามที่เสด็จป้ารับสั่ง พวกหม่อมฉันจะปกป้องนครบาดาลของพวกเราไว้ รอจนกว่า อัคคีนาคา จะกลับมาอยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้งเพคะ “
พระธิดาทั้งสามหันมามอง อัคคีนาคา ซึ่งเห็น อัคคีนาคา กำลังยิ้มให้กับพวกตนอยู่ ไม่เพียงแค่ อัคคีนาคา เท่าไร แม้แต่พระนางมัณนิยา ก็ทรงหยุดพระกรรณแสง ทอดพระเนตรพระธิดาทั้งสามเช่นกัน พระนางมัณนิยารู้สึกดีพระทัยที่เห็น อัคคีนาคา มีเพื่อนที่ดีเช่นนี้ อัคคีนาคา เองก็เชื่อมั่นว่าตัวเองจะสามารถกลับมาพบทุกคนได้อีกครั้งหนึ่ง มองดูเพื่อนรักทั้งสามพลันนึกถึงใบหน้าของใครคนหนึ่งขึ้นมาได้ จึงขยับตัวออกจากพระมารดา เล่าเรื่องเกี่ยวกับคนๆนั้นให้กับเพื่อนรักทั้งสามฟัง
...........ในหอประชุมศึกนาคา ขณะนี้เหล่าพญานาคราชต่างกำลังพากันเครียดเกี่ยวกับเรื่องของ อัคคีนาคา ที่ อัคคีนาคา ได้เป็นตัวแทนของเผ่าพันธุ์นาคา เข้าร่วมในการปราบ กัลย์ปาอสูร ตามพระบัญชาของพระอิศวรผู้เป็นเจ้า
“ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ นี้ก็เท่ากับว่าข้าส่ง อัคคีนาคา ไปตายด้วยมือของข้าเองอย่างนั้นหรือนี้ “
พระพันปี คีตรนาคราช พระพักตร์ซีดขาว และทรงเสียพระทัยมากเมื่อได้ทราบข่าวจากปากของ อินทรนาคราช พระพันปี คีตรนาคราช ไม่คิดเลยว่า คนที่จะต้องไปต่อสู้กับเหล่าอสูรเช่นนั้น จะกลับกลายเป็น อัคคีนาคา แต่คนที่ทุกข์ใจที่สุดในเวลานี้คงจะเป็น จามนาคราช เสด็จพ่อ ของ อัคคีนาคา เอง พระองค์ยังทรงนั่งนิ่งเงียบไม่เอ่ยตรัสพูดจากับใครเลย
“ เป็นความผิดของหม่อมฉันเอง พระเจ้าข้า เสด็จปู่ ที่หม่อมฉันพา อัคคีนาคา ไปด้วย นี้ถ้าหม่อมฉันไม่พา อัคคีนาคา ไปด้วย เรื่องมันคงไม่เป็นแบบนี้ “
อินทรนาคราช กล่าวบอกต่อทุกคน เขารู้สึกผิดมากกว่าใครทั้งหมด และโทษตนเองที่เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้
“ ไม่ใช่ความผิดของท่านหรอก อินทรนาคราช นี้อาจจะเป็นชะตาชีวิตของ อัคคีนาคา ก็เป็นได้ ถึงท่านไม่พา อัคคีนาคา ออกไป ไม่แน่ว่า ชะตาของ อัคคีนาคา อาจจจะลิขิตให้  อัคคีนาคา ต้องจากพวกเราไปอยู่ดี “
จลนันทนาคราช พูดปลอบ อินทรนาคราช แต่ดูเหมือนคำพูดจะเหล่านี้จะไม่มีประโยชน์ต่อเขาเลย สีหน้าของ อินทรนาคราช ยังคงบ่งบอกว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะความผิดของเขาเอง
“ จลนันทนาคราช พูดถูกแล้ว อินทรนาคราช ข้าเองก็ไม่โทษท่านหรอก ท่านทำหน้าที่ของท่านได้ดีที่สุดแล้ว ข้ายังรู้สึกขอบใจท่านมาก ตอน พระนารายณ์ทรงให้ท่านเลือกว่าจะให้อัคคีนาคาเข้าร่วมหรือไม่ ? ท่านยังเลือกขอสละสิทธิ์ไม่ให้ อัคคีนาคา เข้าร่วมด้วย ท่านทำให้ข้ารู้ว่าถึงพวกเราเผ่าพันธุ์นาคาจะมากด้วยศักดิ์ศรีแต่เมื่อเทียบกับชิวิตแล้วอย่างไร ชีวิตก็ยังมีค่ามากกว่า “
จามนาคราช เอ่ยบอก อินทรนาคราช เพื่อให้เข้าคลายความกังวลลง จามนาคราช เองก็เข้าใจดีว่า อินทรนาคราช รัก อัคคีนาคา ไม่น้อยไปกว่าตัวของของเขาผู้เป็นพ่อของ อัคคีนาคา เลย
“ แล้วเรื่องนั้นล่ะ ท่าน จามนาคราช  สิ่งที่ อัคคีนาคา ใช้ในตอนนั้น ใช่แน่หรือเปล่า ? “
วิเชียรนาคา พูดขึ้นถึงในสิ่งที่ค้างคาในใจเขานับตั้งแต่เห็น อัคคีนาคา กลายร่างเป็นนาคอัคคี เข้าต่อสู้กับมยุราเทวี หลานสาวของ สุบรรณ  พระพันปี คีตรนาคราช ทอดพระเนตรจ้องมอง วิเชียรนาคา อย่างสงสัย และถามวิเชียรนาคา ขึ้น พลางเห็นใบหน้าของ จามนาคราช มีสีหน้าตกใจเมื่อตัวของเขาเองนึกถึงเรื่องนั้นขึ้นมาได้
“ นี้พวกเจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันหรือ ? วิเชียรนาคา “
ตัวของ วิเชียรนาคา ได้ยินพระพันปี คีตรนาคราช ตรัสถามดังนั้น ก็เริ่มเล่าเรื่องราวของ อัคคีนาคา ให้ฟังตั้งแต่ตอนพิธีการคัดเลือกจนถึงเมื่อ อัคคีนาคา จำเป็นต้องต่อสู้กับ มยุราเทวี หลานสาวของ สุบรรณ และกลายร่างเป็นนาคอัคคีตัวใหญ่ในระหว่างต่อสู้ พระพันปี คีตรนาคราช นั่งนิ่งฟังเรื่องราวจากปากของ วิเชียรนาคา และครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนบอกต่อ วิเชียรนาคา ว่า
“ ไม่ผิดแน่นอน วิเชียรนาคา สิ่งที่ อัคคีนาคา ใช้ในระหว่างต่อสู้กับมยุราเทวี ก็คือ ราชันย์ นาคราชอัคคี สยบ ปักษี “
“ แต่ อัคคีนาคา ไม่เคยฝึกพระเวทย์นี้มาก่อน จะเป็นไปได้อย่างไรที่ อัคคีนาคา จะใช้มันได้ “
พันธานาคราช ไม่เห็นด้วยกับพระพันปี คีตรนาคราช แต่ทาง ขันธรานาคา กลับมีความเห็นไปอีกอย่าง
“ หรือว่าจะมีใครสอนนาง ? “
“ เป็นไปไม่ได้ เจ้าก็รู้นี้ว่าพระเวทย์นี้มีใครที่ใช้เป็นบ้าง ? คนที่เป็นพระเวทย์นี้ในนครบาดาลส่วนใหญ่ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆ ที่ใช้พระเวทย์นี้เป็นก็อยู่นอกนครบาดาลทั้งสิ้น อัคคีนาคา เองก็ไม่เคยออกไปนอกนครบาดาลด้วย ในเมื่อพวกเราไม่ได้สอน อัคคีนาคา แล้วใครจะไปสอนให้ อัคคีนาคา ใช้พระเวทย์นี้ได้ “
จันทรนาคราช  เอ่ยแย้งบอกต่อ ขันธรานาคา เพราะเขาไม่เชื่อว่าจะมีใครสอนให้ อัคคีนาคา ใช้ พระเวทย์นี้ได้โดยไม่มีใครในนครบาดาลรู้เห็นเลย
“ ก็อาจเป็นได้ว่า อัคคีนาคา อาจใช้ออกมาได้ด้วยความบังเอิญ “
“ ท่านหมายความว่าอย่างไร อินทรนาคราช บอกข้ามาสิ “
จามนาคราช รีบถาม อินทรนาคราช ทันที หลังจากได้ยินเขาพูด ส่วนอินทรนาคราช ก็บอกความคิดเห็นของตนต่อ จามนาคราช
“ ท่านเคยบอกข้าเองไม่ใช่หรือ จามนาคราช ว่า อัคคีนาคา มีพลังแห่ง อัคคีตั้งแต่เกิด และนับวันยังจะมีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ พระเวทย์ ราชันย์นาคราชอัคคี สยบ ปักษี จำเป็นที่ผู้ฝึกพระเวทย์นี้จะต้องฝึกพระเวทย์แนวร้อนอย่างมากถึงจะใช้พระเวทย์นี้ได้ เคยมีนาคบางตัวถึงกับเอาตัวไปนอนแช่ในลาวาของภูเขาไฟเพื่อฝึกพระเวทย์นี้โดยเฉพาะก็มี ถ้าจะให้ข้าเดา คงเป็นเพราะว่า ช่วงเวลานั้น พลังของ อัคคีนาคา เพิ่มขึ้นในระหว่างต่อสู้กับ มยุราเทวี และพลังของ อัคคีนาคา ก็ยังเป็นพลังแห่ง เพลิงที่ร้อนแรงอีกด้วย  สัญชาตญาณของ อัคคีนาคา คงจะปลุกให้ตัวของ อัคคีนาคา ใช้พระเวทย์นั้นออกมาโดยไม่รู้ตัว “
ทุกคนได้ฟังที่เริ่มมีความคิดเห็นคล้อยตามกับ อินทรนาคราช พวกเขาต่างลืมกันไปเสียสนิทว่า อัคคีนาคา มีเพลิงแห่งอัคคีในตัวที่ร้ายแรงแค่ไหน
“ พอข้าได้ยินที่ท่านพูด ข้าก็เริ่มคิดเหมือนอย่างที่ท่านว่า อย่างน้อยก็พอจะรับฟังเหตุผลได้บ้าง นี้ถ้า อัคคีนาคา เกิดใช้ กุลธิดาวารีพลิกปฐพี ขึ้นมาได้บ้างล่ะก็ คงจะน่าดูไม่หยอกทีเดียว ว่าไหม ท่านอินทรนาคราช ? “
จลนันทนาคราช พูดออกมาคล้ายจะให้ขบขันแต่ก็ไม่มีใครหัวเราะกับคำพูดนี้ด้วย พระพันปีคีตรนาคราช เองก็นึกถึง สุดยอดพระเวทย์ของเผ่าพันธุ์นาคา ขึ้นมา ในบรรดาสุดยอดพระเวทย์เผ่าพันธุ์นาคานั้นมีอยู่ด้วยกัน ๔ วิชาก็คือ
. ราชันย์นาคราชอัคคี สยบ ปักษี    นาคเพลิงร้อนฤทธิ์
. กุลธิดาวารีพลิกปฐพี        นาคน้ำท่วมฟ้าพลิกแผ่นดิน
. พิษนาคาเกลื่อนดารา         พิษนาคา มีด้วยกัน ๒ แบบ คือ พิษเพลิง และ น้ำกรดพิษ
. เป็นพระเวทย์ในตำนานที่เล่าขานกันมาว่ามีเพียง อนันตนาคราช เท่านั้นที่ใช้พระเวทย์นี้ได้
ในพระเวทย์ทั้ง ๔ พระเวทย์ที่ยากที่สุดคือพระเวทย์อันดับสุดท้าย นับตั้งแต่ อนันตนาคราช ใช้พระเวทย์นี้แล้ว ยังไม่เคยมีใครใช้มันต่อได้อีกเลย แม้พระพันปี คีตรนาคราช ก็ใช้ได้แค่พระเวทย์ที่ ๑-๓ เท่านั้น ส่วนนาคตนอื่นในนครบาดาลส่วนใหญ่จะใช้พระเวทย์พิษนาคาเกลื่อนดารากันได้ทั้งหมด แต่ ราชันย์นาคราชอัคคี สยบ ปักษี และกุลธิดาวารีพลิกปฐพี นั้น เหมือนเป็นพระเวทย์ที่เป็นอริกันถ้าฝึกสำเร็จอย่างหนึ่งแล้วต้องใช้เวลาอีกไม่ต่ำกว่า ๓ พันปี ถึงจะฝึกสำเร็จอีกพระเวทย์หนึ่งได้ ในนครบาดาลผู้ที่ใช้พระเวทย์ทั้ง ๒ นี้ได้ ก็มี ตัวพระพันปี คีตรนาคราช เอง อินทรนาคราช อานนทนาคราช จามนาคราช จลนันทนาคราช และ จันทรนาคราช เท่านั้น
“ เสียดายว่าพรุ่งนี้แล้วที่ อัคคีนาคา จะต้องออกไปจากนครบาดาล เพื่อเข้าร่วมรบกับเหล่าอสูร ถ้ามีเวลามากกว่านี้ข้าคงจะมีเวลาเพียงพอที่จะสอนให้ อัคคีนาคา บังคับพระเวทย์ ราชันย์นาคราชอัคคี สยบ ปักษี ได้ดีขึ้น “
อินทรนาคราช กล่าวอย่างเสียดายที่ไม่อาจสอนให้ อัคคีนาคา บังคับพระเวทย์ที่มีอยู่ให้ดีขึ้นเพราะเขาเกรงว่าถ้าเกิดยามคับขันขึ้น อัคคีนาคา อาจจะใช้มันออกมาไม่ได้อย่างใจนึกก็เป็นได้
“ ไม่เป็นไรหรอก อินทรนาคราช อย่างน้อยเจ้าก็สอนให้ อัคคีนาคา ใช้พระเวทย์เพชรมหากาฬ ได้แล้ว พวกเราก็หมดห่วงได้เปราะหนึ่ง ไม่ต้องพะวงว่านางจะได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ อย่างไรพระเวทย์นี้ก็คุ้มกัน อัคคีนาคา ได้อยู่แล้ว “
พระพันปีคีตรนาคราช กล่าวบอกต่อหลานชาย หลังจากนั้นเหล่าพญานาคราช ก็ประชุมกันได้ไม่นานก็ตกลงกันว่าพรุ่งนี้พวกเขาส่วนหนึ่งจะขึ้นไปส่ง อัคคีนาคา ที่ชายฝั่งทะเลตะวันออกพร้อมทั้งแยกย้ายกันไปทำงานตามหน้าที่ตามเดิมของพวกตน ทาง อินทรนาคราช เดินเล่นอยู่ใน อุทยานนาคา เขาคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมาคิดถึงการพบกันครั้งแรกกับหลานสาวของเขา จนถึงเมื่อเขาพา อัคคีนาคา ไปเขาไกรลาศ จน อัคคีนาคา ได้ถูกรับเลือกให้เป็น ๑ ใน ๗ ผู้ปราบ กัลย์ปาอสูร และในความคิดของเขายังมีใบหน้าของหลานสาวสุบรรณปนอยู่ด้วย
“ มยุราเทวี นางช่างเหมือนเจ้าเหลือเกิน แก้วกุสุมาลย์ นี้ถ้าเจ้ากับข้าได้อยู่ด้วยกันเราสองคนคงมีลูกสาวที่น่ารักเหมือน มยุราเทวี แต่ถ้าให้ข้าเลือกข้าอยากให้เหมือน อัคคีนาคา มากกว่า ถ้าเจ้าได้เจอ อัคคีนาคา เจ้าคงชอบ อัคคีนาคา ไม่น้อยไปกว่าข้า จริงไหม ? “
อินทรนาคราช เงยหน้าจ้องมองพื้นน้ำข้างบน แววตาปรากฏความเศร้าหมอง เขาคิดถึง แก้วกุสุมาลย์ เหลือเกิน ทั้งใบหน้าและรอยยิ้มเป็นสิ่งเดียวที่เขาเฝ้ารอคอยมานานแสนนาน ถ้าหมดเรื่องของ กัลย์ปาอสูร แล้วตัวเองคงจะออกไปนอกนครบาดาลอีกครั้งเพื่อตามหา นางในดวงใจของตน
    ....จะกล่าวถึงเขาไกรลาศถิ่นที่พำนักของเผ่าพันธุ์วิหค ในส่วนหนึ่งของเขาไกรลาศมีประสาทใหญ่หลังหนึ่งตั้งอยู่ ท่ามกลางขุนเขาที่รายล้อม  ประสาทเทพปักษา เป็นถิ่นที่พำนักของสุบรรณและบรรดาเหล่าเครือญาติ ประสาทเทพปักษา ใหญ่โตและสวยงาม มีตำหนักอยู่หลายตำหนัก ตำหนักกลางเป็นที่ประทับของ สุบรรณ ส่วนตำหนักอื่นๆเป็นที่ประทับของเหล่าเครือญาติ กำแพงที่ล้อมรอบประสาทเทพปักษา สร้างจากเทวะศิลาในพรหมโลกไม่มีพลังอำนาจใด มาพังทลายกำแพงเทวะศิลานี้ได้ ในตำหนักหนึ่งของประสาทเทพปักษา ที่หน้าพระบัญชร มีสาวงามนางหนึ่งกำลังนั่งจ้องมองท้องฟ้าอยู่ แลเห็นสตรีอีกคนหนึ่งรูปร่างหน้าตางดงาม กำลังเดินตรงเข้ามาหา พร้อมกับเอ่ยพูดให้อีกฝ่ายได้รู้ตัว
“ นกยูง ลูกกำลังมองอะไรอยู่อย่างนั้นหรือ ? “
มยุราเทวี หันมามองตามเสียงที่ได้ยิน เห็นพระมารดาของตนเสด็จเข้ามาใกล้ ก็ผละตัวออกจากหน้าพระบัญชรพร้อมถวายพระพรเสด็จแม่ของตน และตอบพระมารดาว่า
“ หม่อมฉันไม่ได้มองอะไรหรอกเพคะเสด็จแม่ แค่คิดถึงใครคนหนึ่งอยู่เพคะ ? “
“ คิดถึงใครหรือลูก ? เอ๊ะ! หรือว่า เดียวนี้ลูกแม่เป็นสาวแล้วก็เลยคิดถึงหนุ่มๆ ที่ไหนอยู่ ? “
ได้ยินดังนั้น มยุราเทวี ก็หน้าแดง ด้วยความอาย ความจริงแล้วนางยังไม่เคยคิดรักใครมาก่อน หากแต่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของหนุ่มสาว มักเป็นเรื่องหยอกล้อของผู้ใหญ่ที่จะพูดกับเด็ก ถึงจะไม่เคยรักใครแต่ถ้าพูดถึงเมื่อไร ชายหนุ่มหรือหญิงสาวก็มักจะขวยเขินได้เสมอ
“ เปล่าเพคะเสด็จแม่ หม่อมฉันไม่เคยคิดถึงหนุ่มๆ ที่ไหนเลยเพคะ เพียงแต่หม่อมฉันคิดถึง นาง อยู่เพคะ “
“ นาง ?  ใครกันหรือ นกยูง นางที่ว่าเป็นเพื่อนเจ้าอย่างนั้นหรือ “
เสด็จแม่ของ มยุราเทวี ไม่แน่พระทัยกับคำพูดลูกสาวของตนเอง พระนางไม่เคยรู้ว่า มยุราเทวี มีเพื่อนเป็นผู้หญิงด้วยเพราะ มยุราเทวี ถูก เจ้าพี่ สุบรรณ พาไปเที่ยวไหนต่อไหนตั้งหลายแห่งและส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายเกือบทั้งหมด แม้ในประสาทเทพปักษาเอง มยุราเทวี ก็มักจะเล่นหรือฝึกพระเวทย์กับพวกผู้ชายมากกว่า
“ จะว่าอย่างนั้นก็ได้เพคะเสด็จแม่ นางอาจเป็นทั้งเพื่อนใหม่ของหม่อมฉันและในบางทีเสด็จลุงอาจจะถือว่านางเป็นคู่ปรับของหม่อมฉันด้วย ที่สำคัญนางเป็นนาคเพคะเสด็จแม่ “
เสด็จแม่ของ อัคคีนาคา ตกพระทัยเพราะรู้แต่ไหนแต่ไรแล้วว่า เผ่าพันธุ์วิหคไม่ถูกกับเผ่าพันธุ์นาคา และยิ่งแปลกพระทัยขึ้นอีกเมื่อรู้ เจ้าพี่สุบรรณทรงรู้เรื่องที่ว่า มยุราเทวี มีเพื่อนเป็น นาค แต่กลับไม่ห้ามปราม มยุราเทวี เหมือนเช่นที่ผ่านๆ มา ทำให้พระนางอดถามขึ้นไม่ได้
“ เสด็จลุง รู้เรื่องหรือเปล่าลูก ? “
“ เสด็จแม่ ไม่ต้องห่วงหรอกเพคะ เสด็จลุงทรงรู้เรื่องนี้ดี พระองค์ไม่ทรงห้ามหรอกเพคะ เพราะนางเป็น ๑ ใน ๗ ผู้ที่จะเข้าร่วมการปราบ กัลย์ปาอสูรด้วยเพคะ “
ได้ยินดังนั้นแล้ว พระนางก็โล่งพระทัย ในทีแรกคิดว่า มยุราเทวี แอบไปคบเพื่อนเป็นนาคเข้า จะทำให้ เจ้าพี่สุบรรณ ทรงกริ้ว ได้
“ แล้วนางมีชื่อว่าอะไรหรือลูก ? “
มยุราเทวี ยิ้มให้กับพระมารดา ก็ขยับพาพระมารดาไปนั่งยังที่ประทับพร้อมกับนั่งลงข้างๆ พระมารดาและตอบกลับไป
“ นางชื่อ อัคคีนาคา เพคะ เสด็จแม่ “
“ อัคคีนาคาอย่างงั้นหรือ? ชื่อแปลกดีคล้ายกับว่าตัวของนางเป็นไฟ อย่างนั้นแหละ “
พระนางทวนชื่อ เพื่อนของลูกสาวของตนเอง อย่างสนพระทัย ในพระทัยของพระนางกำลังคิดถึงเรื่องอะไรบางอย่างอยู่
“ ไม่แน่ นาง อาจจะรู้จักกับเขาก็ได้ “
มยุราเทวี เห็นเสด็จแม่นิ่งอยู่นาน ก็อดแปลกใจไม่ได้ เอ่ยถามเสด็จแม่ขึ้น ความห่วงใย
“ เสด็จแม่ ทรงเป็นอะไรเพคะ ทำไมถึงทรงนิ่งไปล่ะเพคะ ไม่สบายหรือเปล่าเพคะ ? “
เสียงเรียกของ มยุราเทวี ทำให้พระนางตื่นขึ้นมาจากภวังค์ หันพระพักตร์มาบอกลูกรักก่อนบอกต่อมยุราเทวีว่า
“ แม่ไม่เป็นอะไรหรอกจ๊ะ แค่คิดเรื่องอะไรบางอย่างเท่านั้นเอง “
“ เรื่องอะไรหรือเพคะ เสด็จแม่ ? “
พระนางทรงนิ่งอึ้งครู่หนึ่งไม่รู้จะบอกต่อมยุราเทวี อย่างไรดี ? ในขณะที่พระนางพยายามคิดหาคำตอบให้กับมยุราเทวี  เผอิญสุบรรณ ก็เข้ามาในตำหนักพอดี
“ พวกเจ้าสองคนแม่ลูก กำลังคุยอะไรกันอยู่หรือ ? “
“ ก็ไม่มีอะไรหรอกเพคะ เจ้าพี่ หม่อมฉันกับลูกแค่คุยกันถึงเรื่อง การปราบกัลย์ปาอสูร นะเพคะ “
พอได้ยินเรื่องการปราบกัลย์ปาอสูร แววตาของสุบรรณเหมือนจะฉายแสงออกมา สุบรรณ หันมามองมยุราเทวี ก่อนตรัสขึ้น
“ เจ้าพูดขึ้นมาก็ดีแล้ว แก้วกุสุมาลย์ พี่อยากจะขอตัวลูกของเจ้าไปกับพี่ก่อนจะได้ไหม ? “
พระนางแก้วกุสุมาลย์ รู้ว่าถึงไม่อยากจะให้ มยุราเทวี ไปกับเจ้าพี่สุบรรณ ก็คงห้ามไม่ได้ จึงไม่ขัดพระทัย
“ ตามสบายเพคะเจ้าพี่ นกยูง เจ้าไปกับเสด็จลุงนะ เผื่อเสด็จลุงอยากจะให้เจ้าช่วยอะไร  “
“ เพคะเสด็จแม่ “
มยุราเทวี รับคำของเสด็จแม่ ก่อนเดินตามเสด็จลุงออกไป พระนางแก้วกุสุมาลย์ ทอดพระเนตรมองจน มยุราเทวี ออกไปจากตำหนัก ในพระทัยมีความกังวลซ่อนอยู่
“ เสด็จพี่ อินทรนาคราช เพคะ ลูกของเราโตขึ้นมากแล้วนะเพคะ เมื่อไรเราสามคนพ่อแม่ลูกจะได้พบหน้ากันเสียที “
ฝ่ายสุบรรณพามยุราเทวี เหาะออกมานอกประสาทเทพปักษี พาไปยังป่าใกล้ๆ กับเขาไกรลาศ และพูดถึง อัคคีนาคา หลานสาว ของ อินทรนาคราช ขึ้นมา
“ เจ้าว่า อัคคีนาคา หลานสาวของ อินทรนาคราช เป็นอย่างไรบ้าง ? “
มยุราเทวี อึ้งอยู่ครู่หนึ่งไม่คิดว่าเสด็จลุงจะถามนางออกมาอย่างนี้ ในขณะที่ร่างของทั้งสองร่อนลงยังในป่าแห่งนั้น
“ นางเก่งมากเพคะเสด็จลุง โดยเฉพาะพระเวทย์เพชรมหากาฬ ของนางร้ายกาจมาก ถึงตอนที่สู้กับนาง หม่อมฉันจะเสมอ แต่หม่อมฉันว่า หม่อมฉันน่าจะแพ้นางมากกว่า ถ้านับกันที่บาดแผลหม่อมฉันได้ไปตั้งหลายแห่ง แต่ตัวของนางกลับไม่มีเลยซักนิด “
สุบรรณ หัวเราะออกมาคล้ายพอใจคำตอบของหลานสาวอย่างยิ่ง หากแต่ มยุราเทวี กลับไม่เข้าใจว่าเหตุใดเสด็จลุงของนางถึงหัวเราะออกมาเช่นนั้น ความจริงแล้วน่าจะทรงกริ้วมากกว่าที่ตัวของนางกล่าวออกมาอย่างนี้
“ พูดได้ดี นกยูง สมแล้วเจ้าเป็นหลานของลุง ความจริงแล้วฝีมือของเจ้ากับนางสูสีกันมาก เพียงแต่นางได้เปรียบกว่าเจ้าเท่านั้น “
“ ได้เปรียบ ? นางได้เปรียบหม่อมฉันตรงไหนเพคะ “
สุบรรณ ยังไม่ตอบ เดินไปข้างหน้าอย่างช้า พลางมองดูเหล่าต้นไม้ใบหญ้า และฝูงนกที่กำลังบินอยู่เหมือนกับว่าพาหลานสาวมาเดินเล่นมากกว่าที่จะพานางมาพูดคุยถึงเรื่องของ อัคคีนาคา
“ นางได้เปรียบเจ้าตรงที่นางมีวิชาป้องกันตัวดีกว่าเจ้า เจ้าสังเกตไม่ออกหรือ ว่านางถนัดแนวรับมากกว่าแนวรุก “
ได้ยินเสด็จลุง ตรัสบอกมาดังนั้น มยุราเทวี เองก็เพิ่งจะคิดได้ นับตั้งแต่ต่อสู้ วิชาของ อัคคีนาคา จะเป็นแนวรับเสียมาก แต่วิชาแนวรุกของ มยุราเทวี ต่างหากที่ทำอะไร อัคคีนาคา ไม่ได้
“ เสียดายนะเพคะ เสด็จลุงที่หม่อมฉันไม่มีพระเวทย์เพชรมหากาฬ บ้าง ? ไม่อย่างนั้น หม่อมฉันคงจะต่อสู้กับนางได้ดีกว่านี้ “
“ ถึงเจ้าจะไม่มีพระเวทย์เพชรมหากาฬ แต่ใช่ว่าเจ้าจะเอาชนะนางไม่ได้หรอกนะ “
ดวงตาของสุบรรณ เป็นมันวาว คล้ายกับไม่เห็นด้วยกับคำพูดของหลานสาวตนเอง กลับกันที่ มยุราเทวี สนใจในคำพูดของเสด็จลุง
“ หมายความว่าอย่างไรเพคะเสด็จ ? “
“ ก็หมายความว่า ถึงเจ้าจะไม่มีพระเวทย์เพชรมหากาฬ แต่เจ้าก็สามารถเรียนพระเวทย์อื่นที่มีอนุภาพไม่ด้อยกว่าพระเวทย์เพชรมหากาฬเลยนะสิ “
มยุราเทวี มีสีหน้าตกใจ ไม่คิดว่าในโลกนี้ยังมีพระเวทย์ที่จะมีอานุภาพใกล้เคียงกับพระเวทย์เพชรมหากาฬได้
“ ที่ลุงพาเจ้าออกมาข้างนอกก็เพราะว่าลุงจะสอนพระเวทย์นี้ให้กับเจ้า “
มยุราเทวี เหมือนโดนสะกดไม่เป็นตัวของตัวเองในใจของนางเหมือนมีอะไรบางอย่างกระตุ้น จนอดใจไม่ไหวรีบถามเสด็จลุงในทันที
“ มันคือพระเวทย์อะไรหรือเพคะเสด็จลุง “
สุบรรณ ยิ้มออกมาก่อนเดินเข้ามาใกล้หลานสาวของตนเอง พลางจ้องมองไปในดวงตาของ มยุราเทวี เหมือนกำลังเข้าไปในก้นบึ้งในหัวใจของนาง มองเห็นความกระตือรือร้นและความต้องการที่อยู่ในใจของหลานสาวอย่างชัดเจน ก่อนเอ่ยตอบอย่างช้า ๆ
“ พระเวทย์ผลึกศิลา !!!!!  “
    .............รุ่งขึ้น พระพันปี คีตรนาคราช อานนทนาคราช อินทรนาคราช จามนาคราช พระนางทั้งสี่ และพระธิดาอีกสามพระองค์ ต่างตามขบวนเสด็จออกจากนครบาดาล พร้อมด้วยทหารจำนวนหนึ่ง เพื่อมาส่ง อัคคีนาคา ยังชายฝั่งทะเลตะวันออก เมื่อขบวนเหล่านาคทั้งหมดโผล่พ้นขึ้นจากน้ำ ก็กลับกลายร่างเป็นมนุษย์ ต่างยืนมองไปยังรอบๆ บริเวณนั้น
“ สงสัยเทพมาตุลี ยังไม่มา “
อานนทนาคราช เอ่ยขึ้นในขณะเดียวกันก็สำรวจเหตุการณ์รอบๆ ชายฝั่งไปด้วย
“ อีกเดี๋ยวก็คงจะมาพระเจ้าข้า เจ้าพี่ เทพมาตุลี คงจะรอให้เหล่าเทพคนอื่นๆ มากันครบเสียก่อน “
อินทรนาคราช บอกต่อผู้เป็นพี่ชาย ฝ่ายธิดานาคทั้งสามถึงแม้ว่าจะมีความเศร้าในการออกจากนอกนครบาดาลเพื่อมาส่ง อัคคีนาคา หากแต่เมื่อเห็นโลกภายนอกต่างก็อดจ้องมองสิ่งต่างๆ ไม่ได้จนทำให้ลืมเรื่องของ อัคคีนาคา เสียสนิท
“ นี้พวกเจ้าอย่าเที่ยววิ่งไปไหนไกลล่ะ อย่างไรแถวนี้ก็อาจมีอันตรายอยู่ เข้าใจไหม ? “
พระนางรัญญานาคินี บอกต่อเหล่าธิดานาคทั้งสาม
“ เพคะ เสด็จแม่ หม่อมฉัน กุสุมาวดี และ กรรณิการ์นาคี จะไม่ไปไหนไกลเพคะ “
เมธาวดี บอกต่อเสด็จแม่ แต่ทั้งสามก็อดใจไปวิ่งเล่นบนชายหาดไม่ได้ ขณะที่ยังไม่มีใครสังเกตเห็น กรรณิการ์นาคี เผลอตัวเดินไปไกลจากจุดที่ยืนอยู่กับคนอื่นๆ นาง จ้องมองทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็นซึ่งล้วนตื่นตาแก่นางอย่างยิ่ง นางไม่เคยออกจากนครบาดาลเลย นี้เป็นครั้งแรกที่นางออกมาจากนครบาดาล  นางมองดูท้องฟ้า ดวงอาทิตย์ และแสงแดดที่กระทบกับตัวของนาง เป็นความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย กรรณิการ์นาคี กระโดดขึ้นไปยืนบนโขดหินใหญ่ก้อนหนึ่งและหันหลังให้ทะเล มองสิ่งรอบๆ ที่อยู่เบื้องหน้าของนาง เห็นภูเขาอยู่ไกลลิบ นางพยายามเพ่งมองและขยับก้าวขาไปอีกข้างหนึ่ง แต่นางไม่ทันระวังเหยียบก้อนหินพลาด ทำให้ตัวของนางพลัดตกลงไปในทะเล
“ ว๊าย “
กรรณิการ์นาคี ร้องออกมาด้วยความตกใจ ร่างของตนเองใกล้จะตกถึงพื้นน้ำอยู่แล้ว  อยู่ๆ ร่างของนางกลับลอยอยู่เหนือพื้นน้ำทะเลไม่ตกลงไป มีสายลมกลุ่มหนึ่งพัดพาร่างของนางให้ลอยขึ้นมาและสายลมยังก่อตัวเป็นร่างๆ หนึ่งอยู่ใกล้กับตัวนาง กำลังอุ้มนางไว้ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นชายหนุ่มรูปงามผมยาว ความหล่อเหลาของชายผู้นี้ทำให้หัวใจของกรรณิการ์นาคี เต้นไม่เป็นจังหวะ ใบหน้าแดงซ่านด้วยความอาย ชายหนุ่มรูปงามยังยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ๆ ก่อนเอ่ยถามนางด้วยความห่วงใย
“ เจ้าเจ็บตรงไหนหรือเปล่า ? “
ได้ยินเสียงเหมือนต้องมนต์ กรรณิการ์นาคี เอ่ยตอบกลับไปคล้ายกับคนละเมอ
“ ข้าไม่เป็นไร...... ขอบใจเจ้ามาก “
ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นก็ยิ้มให้กับนาง ในใจนึกนิยมในความน่ารักของนางไม่น้อย
“ เสียงของนางช่างไพเราะน่าฟัง  และตัวของนางมีกลิ่นหอมคล้ายกับดอกไม้อีกด้วย “
คิดแล้วก็รีบพานางลงยังชายหาดและปล่อยตัวนางจากแขนทั้งสองข้างของตนเอง พลางจ้องมองไปรอบๆ คล้ายหาใครอยู่
“ เจ้าอยู่แถวๆ นี้หรือ “
กรรณิการ์นาคี จ้องมองชายหนุ่มผมยาวอย่างลืมตัว หนุ่มรูปงาม ผมยาว ปากนิด จมูกหน่อย พูดจาไพเราะ ยามสัมผัสตัวคราใดคล้ายสายลมที่อบอุ่น
“ ข้าไม่ได้อยู่ แถวนี้หรอก ข้ามาส่งเพื่อนของข้านะ “
“ ส่ง ???  เจ้ามาส่งใคร และทำไมต้องส่งด้วย ? “
หนุ่มรูปงามแกล้งถามนางเพื่อที่จะได้คุยกับนางให้นานขึ้น แต่ กรรณิการ์นาคี เกิดกลัวทุกคนจะตามหา และเป็นเรื่องขึ้น รีบเดินกลับไปรวมยังที่เสด็จแม่ของนางยืนอยู่ ชายหนุ่มเจ้าเล่ห์เห็นนางรีบเดินจากไปก็อดติดตามนางไปไม่ได้ กรรณิการ์นาคีรีบเดินไปหวังจะให้พ้นจากชายหนุ่มคนนี้ หากแต่ยิ่งเดินก็เหมือนยิ่งช้ากว่า เดินมาได้ไม่นาน ก็แลเห็นเสด็จแม่ของนางยืนอยู่พร้อมด้วยคนอื่นๆ รวมทั้งเมธาวดี และ กุสุมาวดี ด้วย ซึ่งต่างพากันจ้องมองหา กรรณิการ์นาคี อยู่
“ เจ้ารีบหนีไปซะ เดี๋ยวถ้าเสด็จแม่ข้าเห็นเข้า เกิดเรื่องแน่ “
ชายหนุ่มได้ใจ ยื่นหน้าเข้ามาเกือบแนบชิดแก้มนางกระซิบเบาๆ
“ เจ้าเป็นห่วงข้าหรือ ? ไม่ต้องห่วงหรอกไม่มีใครทำร้ายข้าได้ง่าย ๆ หรอก ยิ่งมีเจ้าอยู่ด้วยข้ายิ่งมีกำลังใจมากขึ้นรู้ไหม ? “
“ บ้าสิ “
กรรณิการ์นาคี อายหน้าแดง แต่ชายหนุ่มผมยาว ยิ้มทะเล้นออกมาชอบใจในท่าทีของนางที่มีให้แก่เขา ก่อนผละจากตัวนาง เดินไปเข้าไปหาทางกลุ่มของ อินทรนาคราช โดยมีสายตาของทุกคนกำลังยืนตาขวางมองเขาอยู่ ยกเว้น อินทรนาคราช จามนาคราช และ อัคคีนาคา เท่านั้น ทางพระนางกิณยราตี รีบไปดึงตัวของ กรรณิการ์นาคี เข้ามา
“ มานี้เลย กรรณิการ์นาคี เจ้าหายไปไหนมา แม่เป็นห่วงเจ้าเสียแทบแย่ แล้วเจ้าไปรู้จักมักจี๋ กับชายหนุ่มนั้นตอนไหน ? “
“ กรรณิการ์นาคี อย่างงั้นหรือ ช่างงดงามสมกับชื่อเสียจริงๆ “
ชายหนุ่มผมยาวยิ้มกริ่มอยู่ในใจเมื่อได้รู้ชื่อของนาง แต่กรรณิการ์นาคี ไม่รู้จะทำหน้าอย่างไร กลัวเสด็จแม่ก็กลัว ทั้งอายสายตาของ เมธาวดี และ กุสุมาวดี ด้วย
“ ใครหรือ กรรณิการ์นาคี หล่อดีนะ ? “
กุสุมาวดี สนใจชายหนุ่มที่มาด้วยกันกับกรรณิการ์นาคี หากแต่ได้ยินเสียงกระแอมของพระนางอินทราณีเสด็จแม่ของนาง กุสุมาวดี เลยรีบหยุดพูดเพราะกลัวตนเองจะโดนหางเลขเข้าไปด้วย ชายหนุ่มผมยาวรู้สึกขันกับท่าทางหวงลูกสาว ของเสด็จแม่ของนาง หากแต่ไม่กล้าหัวเราะออกมาตรงๆ เพราะกลัวว่าตนเองจะถูกเสด็จแม่ของนางเขม่นเอาเข้า  ทาง อัคคีนาคา ส่ายหน้าด้วยอย่างเบื่อหน่ายเมื่อได้เห็นสิ่งที่ชายหนุ่มทำเลยอดต่อว่าไม่ได้
“ อนันตวาโย ข้าว่าเจ้าจงใจโผล่ผิดที่ไปหน่อยนะ “
อนันตวาโย หัวเราะออกมาเมื่อได้ยินคำพูดของ อัคคีนาคา พลางเดินเข้าไปใกล้ตัวนาง ก่อนจะโยนตัวขึ้นไปนั่งบนก้อนหินก้อนหนึ่งและตอบ อัคคีนาคา กลับไป
“ อัคคีนาคา ข้านะหรือโผล่ผิดที่ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่เคยโผล่ผิดที่เสียหน่อย ข้าเป็นลม ลมย่อมจะสามารถพัดผ่านไปผ่านมาได้เสมอไม่เคยหยุดนิ่ง เจ้าจะหาว่าข้าโผล่ผิดที่ได้อย่างไร ? “
อนันตวาโย แก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ หากแต่การพูดจาของเขาและ อัคคีนาคา ทำให้ทุกคนๆ สนใจต่างสงสัยว่า อนันตวาโย คือใคร ?
“ ท่าน จามนาคราช เจ้านี้เป็นใครกัน ทำไมถึงสนิทสนมกับอัคคีนาคานัก ? “
พระนางรัญญานาคินี รีบตรัสถามจามนาคราช ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ไม่ใช่แค่พระนางเท่านั้นที่สนใจคนอื่นๆ ต่างก็รอคำตอบจากจามนาคราชอยู่ โดยเฉพาะกรรณิการ์นาคี ที่เห็น อัคคีนาคา ยืนคุยกับ อนันตวาโย เหมือนรู้สึกเจ็บปวดที่ใจอย่างไรก็บอกไม่ถูก
“ อนันตวาโย ทายาทเทพแห่งวายุ ๑ ใน ๗ ผู้ผ่านการคัดเลือกปราบกัลย์ปาอสูร “
“ เจ้าหมอนี้นะเหรอ ? ทายาทเทพแห่งวายุ ท่างทางเจ้าชู้อย่างนี้จะไปปราบอสูรหรือไปเกี้ยวอสูรสาวกันแน่ “
พระนางกิณยราตี ตรัสออกมาแบบไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไร ยิ่งเห็นท่าทางกรรณิการ์นาคี ด้วยแล้วยิ่งไม่ค่อยจะพอพระทัยมากขึ้น ฝ่ายอนันตวาโย แม้ได้ยินรับสั่งของพระนางก็แกล้งทำเป็นไม่สนใจ ทำหูทวนลมเสีย พลางหันมาพูดคุยกับ อัคคีนาคา ต่อ
“ ข้านึกว่าข้าจะมาเป็นคนแรกเสียอีก “
อัคคีนาคา เอนตัวไปผิงยังโขดหินใกล้กันก่อนบอกต่อ อนันตวาโย ว่า
“ เจ้าจะมาก่อนข้าได้อย่างไร อนันตวาโย เจ้าลืมไปแล้วเหรอ ? แถวนี้เป็นถิ่นของข้า อย่างไรข้าย่อมมาถึงก่อนคนอื่นเสมอ “
อนันตวาโย พยักหน้าอย่างเห็นด้วยและนึกถึงเพื่อนรักของตนขึ้นมา ไม่รู้ว่าปานนี้ทำไมนางยังถึงไม่มาซักที
“ นี้ นันทาเทพธิดา นางไปทำอะไรอยู่ทำไมถึงไม่มาซักที สงสัยเสียเวลาหาคนดูแลตาชั่งสวรรค์แทนอยู่กระมัง “
ยังไม่ทันขาดคำ อนันตวาโย มีสีหน้าแตกตื่นเขาสัมผัสพลังอะไรบางอย่างได้
“ มีอะไรหรือ อนันตวาโย ทำไมทำหน้าตาแปลกๆ อย่างนั้น “
อนันตวาโย หลับตาลงหน่อยหนึ่ง และลืมตาขึ้นยิ้มออกมา เหมือนรู้แล้วว่าผู้ที่มาคือใคร ?
“ สายลมกำลังบอกข้าว่า ความหนาวเย็นกำลังมา “
ฉับพลันความเย็นเริ่มแผ่ซ่านเข้ามาใกล้ทุกขณะ หลายๆคนรู้สึกเย็นวูบวาบ อนันตวาโย มองไปที่ท้องทะเลทำให้ทุกคนต่างมองไปในทิศทางที่เข้ามอง แลเห็นพยัคฆ์สีขาวสลับเหลืองแกมริ้วดำเป็นบางแห่งที่ตัว วิ่งอยู่บนน้ำทะเล ก่อนจะกระโจนมายังชายฝั่งหยุดตัวลงยังชายหาดใกล้กับ อนันตวาโย และ อัคคีนาคา กลายร่างเป็นชายหนุ่มผู้สะพายคู่
“ ๑ ใน ๗ ผู้ผ่านการคัดเลือกปราบกัลย์ปาอสูร ทายาทเทพแห่งพยัคฆ์ พยัคฆ์วารี.....มาแล้ว “
ทั้งสามต่างส่งสายตาให้แก่กันเป็นเชิงทักทาย ยังไม่ทันได้พูดคุยกันมีเมฆสีขาวก้อนหนึ่งเคลื่อนตัวเขามาใกล้คนทั้งสามก่อนจะเห็นหญิงสาวคนหนึ่งกระโดนลงจากก้อนเฆม พอนางดีดนิ้วก้อนเฆมก็เคลื่อนตัวหายไป
“  ๑ ใน ๗ ผู้ผ่านการคัดเลือกปราบกัลย์ปาอสูร ทายาทเทพแห่งนารี นันทาเทพธิดา “
พอตัวของ นันทาเทพธิดา ลงถึงพื้นทรายก็เริ่มต่อว่าต่อขาน อนันตวาโย ทันที 
“ อนันตวาโย เจ้าทำอย่างนี้ได้ไง ชิงหนีมาก่อน ปล่อยให้ข้าคนเดียวรับมือกับพวกนาง อยู่คนเดียว “
นันทาเทพธิดา โมโหจนหน้าแดง เหตุที่นางมาช้าก็เพราะว่า นางช่วยรับมือบรรดาสาวๆ ของ อนันตวาโย ที่มาโอดครวญอยู่หน้าวิมานของเขา เมื่อต่างรู้ว่า อนันตวาโย จะไม่กลับมาอยู่ในวิมานอีกนาน
“ ใครบอกเจ้าว่าข้าหนี ตั้งแต่เมื่อวาน แล้วข้ายังไม่ได้เข้าไปในวิมานเลย เจ้าจะหาว่าข้ามาหนีได้ไง “
อนันตวาโย ขบขันกับท่าทีของ นันทาเทพธิดา นับตั้งแต่เขากับนางเป็นเพื่อนกันมาคงจะมีครั้งนี้เท่านั้นที่เขาทำให้นางโกรธอย่างนี้ได้ ฝ่าย นันทาเทพธิดา โมโหกระฟันกระเฟียดเมื่อได้ยินคำตอบจากเพื่อนรัก
“ รู้งี้ ข้าไม่หาเจ้าที่วิมานให้เมื่อยก็ดี “
พยัคฆ์วารี ยืนฟังอยู่นานสุดแสนจะเซ็งในกิติศัพท์ความเจ้าชู้ของ อนันตวาโย หันมามองทาง นันทาเทพธิดา ก็เหนื่อยใจแทน จึงพูดกับ นันทาเทพธิดา ขึ้น
“ เอาน่า ๆ พวกเจ้าสองคนพอได้แล้ว ไหนๆ เรื่องมันก็แล้วไปแล้ว นี้ข้านึกว่าเจ้าชินกับนิสัยของ อนันตวาโย แล้วซะอีก “
นันทาเทพธิดาเอง บ่นกระปอดกระแปดให้ พยัคฆ์วารี ฟัง
“ นิสัย นะชิน แต่ไอ้ที่ผลุบๆโผล่ๆ ที่โน้นทีนี้ที ทำอย่างไง ข้าก็ชินไม่ลง “
พูดคุยกันได้นิดหน่อยทั้งหมดรู้สึกว่าแผ่นดินโคลงเคลง เหมือนมีอะไรหนักๆ กำลังกระแทกแผ่นดินอยู่ พร้อมการปรากฏตัวของยักษ์สองตนชายหนึ่งหญิงหนึ่ง พวกเขาต่างรู้แล้วว่าผู้มาเป็นใคร แต่พวกของ อินทรนาคราช บางส่วนถึงกับแตกตื่น
“ อ..อสูร “
พระนาง มัณนิยา ทรงตกพระทัยห่วงความปลอดภัยของ อัคคีนาคา พลางจะตะโกนบอกให้ อัคคีนาคา หนีไป แต่พระนางมัณนิยา สังเกตเห็นบุตรสาวตนเองยืนนิ่งอยู่กับเหล่าผู้ผ่านการคัดเลือกซึ่งต่างก็มองดูอสูรทั้งสองอยู่ จึงคิดว่าคงไม่ใช่ศัตรูของพวกเขาและ อัคคีนาคา คงจะรู้จัก พระนางจึงไม่คิดจะหลบหนีไปไหน
“ สองคนนี้ก็เหมือนกัน น่าจะหัดมาอย่างปกติธรรมดากะเขาบ้าง โผล่มาแต่ละที ขวัญหนีดีฝ่อกันหมด “
ตัวของ นันทาเทพธิดา โกรธ อนันตวาโย อยู่เริ่มที่จะพาลไปหาคนอื่นบ้าง ทางยักษ์หนุ่มสาวย่อกายลงมาเท่ากับพวกเขาและเดินเข้ามารวมกลุ่มกับทั้งสามคน ยักษ์หนุ่มสาวทั้งสองก็คือ
“๑ ใน ๗  ผู้ผ่านการคัดเลือกปราบกัลย์ปาอสูร ทายาทเทพแห่งยักษา ตรัสสูร และ เปมิกา ดวงใจมาร “
ตรัยสูร และ เปมิกา ได้ยิน นันทาเทพธิดา พูดดังนั้นต่างก็รีบขอโทษ ต่อพวกเขาทันที
“ พวกข้าขอโทษด้วย นะ นันทาเทพธิดา ข้ายังไม่ชินกับการย่อร่างแบบนี้นะ เผลอตัวทีไร ชอบคืนร่างทุกที  “
เปมิกา เอ่ยปากขอโทษต่อ นันทาเทพธิดา อย่างน้อยก็ทำให้ นันทาเทพธิดา อารมณ์ ดีขึ้นบ้าง
“ ไม่เป็นไรหรอก ดวงใจมาร อย่างน้อยเจ้าก็ดีกว่าคนบางคนผิดแล้วยังไม่ยอมรับผิดอีก “
นันทาเทพธิดา พูดแขวะ อนันตวาโย แต่ตัวเขาทำไม่รู้ไม่ชี้ นอนมองท้องฟ้าผิวปากอย่างสบายอารมณ์
“ น่าจะจับมากระทืบซักทีดีไหมเนี้ย ? “
นันทาเทพธิดา เดือดดาลอยู่ในใจ กำลังคิดจะขยับลาก อนันตวาโย ลงมาจากก้อนหิน มีลมพัดมาอย่างแรงเหมือนมีใครสร้างต่างพากันมองขึ้นไปบนท้องฟ้า และได้ยินเสียง อนันตวาโย บอกต่อ อัคคีนาคา
“ คู่หูเจ้ามาแล้ว อัคคีนาคา “
“๑ ใน ๗ ผู้ผ่านการคัดเลือกปราบกัลย์ปาอสูร ทายาทเทพแห่งวิหค มยุราเทวี นกยูง “
บนท้องฟ้ามีร่างนกยักษ์อยู่ ๔ ตัว ได้แก่ สุบรรณ นิลบุตรปักษี  นิลกาฬหัสดายุ และ มยุราเทวี ร่อนลงมายังพื้นหาดทรายข้างล่างก็กลายร่างเป็นมนุษย์ ๔ คน ในขณะเดียวกันสายตาของสุบรรณ ก็ปะทะ ทักทายกับ อินทรนาคราช ก่อนใครอื่น ขณะที่ มยุราเทวี เดินเข้าหา อัคคีนาคา และเข้ามารวมอยู่ในกลุ่มด้วย
“ ข้ารอเจ้าตั้งนานแน๊ะ นกยูง “
“ ขอโทษด้วยนะ อัคคีนาคา ที่ข้าทำให้เจ้ารอข้าเสียนาน “
อัคคีนาคา รู้สึกแปลกใจเพราะเหมือนกับจะสังเกตเห็นว่าตัวของ มยุราเทวี คล้ายจะเปล่งแสงได้และผิวพรรณของนางก็ดูแปลกๆ ผิวของนางเหมือนจะขาวขึ้นมากกว่าตอนที่พบกันครั้งแรกเสียอีก ส่วนสุบรรณเดินเข้าไปหาพระพันปี คีตรนาคราช เอ่ยทักทายคาราวะอย่างนอบน้อม
“ สุบรรณ ขอคาราวะต่อพระพันปี คีตรนาคราช แห่งนครบาดาล “
พระพันปี คีตรนาคราช เองก็ทักทายสุบรรณอย่างเสียไม่ได้
“ ตามสบายเถอะ ท่านสุบรรณ นั้นนะหรือ หลานสาวของท่าน ดูนางหน่วยก้านไม่เบาเลยนี้นา ท่านมีลูกหลานที่มีความสามารถเช่นนี้คงภูมิใจไม่น้อยเลยทีเดียวใช่ไหม ? “
สุบรรณ ตอบพระพันปี คีตรนาคราช กลับไปคล้ายจะถ่อมตัว
“ นกยูง นางยังไม่เก่งกล้าเท่าไรหรอกพระเจ้าข้า ไหนเลยจะสู้ อัคคีนาคา หลานสาวของ อินทรนาคราช ได้ เขาทำให้หม่อมฉันคิดได้เสมอว่าอะไรๆ ในโลกนี้ทุกสิ่งทุกอย่างใช่ว่าจะเป็นอย่างที่เราคิดเสมอไป “
สุบรรณ จงใจพูดคุยถึง อินทรนาคราช โดยผ่านพระพันปี คีตรนาคราช แต่ อินทรนาคราช กลับไม่ยอมพูดจาตอบโต้ด้วย อินทรนาคราช ยืนอยู่เฉย ๆ ทำเป็นไม่สนใจในสิ่งที่สุบรรณพูดเลย ทาง อัคคีนาคา พา มยุราเทวี ไปพบกับพระมารดาของนางซึ่งยืนอยู่ใกล้กับจามนาคราช ผู้เป็นบิดา
“ นกยูง นี้พระนางมัณนิยา เสด็จแม่ของข้าเอง “
มยุราเทวี รีบถวายพระพรต่อพระมารดาของ อัคคีนาคา
“ หม่อมฉัน นกยูง ขอถวายพระพรเพคะ “
พระนางมัณนิยา ทรงทอดพระเนตรมอง มยุราเทวี นึกนิยมในความน่ารักของนางไม่น้อย ถึงแม้พระนางจะไม่ค่อยชอบพวกเผ่าพันธุ์วิหคก็ตาม แต่ สำหรับมยุราเทวี ถือเป็นข้อยกเว้น เพราะนางเป็นเพื่อนของ อัคคีนาคา
“ ตามสบายเถอะ  เจ้าดูไม่เหมือนกับคนอื่นๆ ในหมู่พวกเจ้าเลยนะ  ข้าดีใจที่เจ้าเป็นเพื่อนกับอัคคีนาคา ได้ “
จากนั้น อัคคีนาคา ก็แนะนำคนอื่นๆ ให้มยุราเทวี ได้รู้จักรวมทั้งกุสุมาวดี เมธาวดี และกรรณิการ์นาคี เพื่อนรักของ อัคคีนาคา ด้วย เพื่อนรักทั้งสามยิ้มให้กับ มยุราเทวี อย่างเป็นมิตร ในใจของพวกนางคิดว่า มยุราเทวี และ อัคคีนาคา มีหน้าตาที่งดงาม ไม่ด้อยไปกว่ากันเลย
“ เจ้าเห็นเหมือนที่ข้าเห็นหรือเปล่า ? นิลบุตรปักษี หญิงสาวชาวนครบาดาลนี้หน้าตางดงามกันทุกคนเลยนะ ว่าไหม ? “
“ หึ ข้าว่าพวกนางก็หน้าตาธรรมดา ไม่เห็นจะมีใครพิเศษกว่าตรงไหนเลย “
ตัว นิลบุตรปักษี พูดแย้งความคิดของ นิลกาฬหัสดายุ แต่จริงๆ แล้วในใจของเขาไม่มีแก่ใจจะสนใจผู้หญิงคนไหนมากกว่า จึงมองข้ามความงามของพวกนางไป
“ ก็เพราะว่าเจ้านะมีใครอยู่ในใจแล้วต่างหากเล่า ถึงมองข้ามความงามของพวกนางไป “
นิลบุตรปักษี ตกใจเมื่อได้ยิน นิลกาฬหัสดายุ พูดเช่นนั้นจึงรีบถาม นิลกาฬหัสดายุ ออกมา
“ เจ้าหมายความว่าไง นิลกาฬหัสดายุ พูดออกมาให้ดีๆ นะ “
นิลบุตรทำท่าทีข่มขู่ นิลกาฬหัสดายุ แต่ก็เท่ากับว่าเป็นการยืนยันในสิ่งที่ นิลกาฬหัสดายุ คิดไว้ จึงเข้าไปใกล้ๆ ตัว นิลบุตรปักษี แอบกระซิบกับเขาเพราะกลัวว่าท่านสุบรรณ จะได้ยิน
“ ก็เจ้าชอบนางไม่ใช่หรือ ? นิลบุตรปักษี นี้ท่าท่านสุบรรณ รู้เข้าจะว่าอย่างไรน่า “
“ อย่านะ นิลกาฬหัสดายุ ไม่อย่างนั้นข้าเอาเจ้าตายแน่ “
นิลบุตรปักษี พูดขู่ นิลกาฬหัสดายุ เอาไว้ ทั้งโกรธทั้งอาย จนหน้าแดง นิลกาฬหัสดายุ แอบหัวเราะออกมาเบาๆ เขาไม่ได้กลัว นิลบุตรปักษี เลย เพียงแต่ไม่อยากให้เพื่อนรักต้องเจ็บตัวเพราะฝีมือของ ท่านสุบรรณ เพราะแค่นี้ นิลบุตรปักษี เอง ก็คงช้ำใจพออยู่แล้ว
“ ก็ได้ นี้ถือว่าเจ้าติดบุญคุณข้าอยู่นะ อย่าลืมหาทางชดใช้คืนข้าด้วยล่ะ “
นิลบุตรปักษี โล่งใจที่ความลับนี้จะยังไม่มีใครรู้ ผ่านไปสักครู่หนึ่งมีเทพองค์หนึ่งลอยลงมาจากฟากฟ้า ลงมายืนใกล้กับจุดที่พวก อนันตวาโย ยืนอยู่ เมื่อมองเห็นจนชัดจึงได้รู้ว่า เทพองค์นั้นก็คือ เทพมาตุลี นั้นเอง อัคคีนาคา และ มยุราเทวี จึงรีบเข้าไปรวมกลุ่มกับพวก อนันตวาโย ในทันที
“ พวกเจ้ามากันครบก็ดีแล้ว ข้าจะได้บอกทางที่พวกเจ้าจะต้องออกไปสืบเสาะหาที่อยู่ของ กัลย์ปาอสูรให้ “
ทั้งหมดต่างตั้งใจฟังคำพูดของเทพมาตุลี
“ ตามข่าวที่สายสืบเทพหามาได้นั้น กัลย์ปาอสูร เริ่มขยายกองกำลังของมันมากขึ้น ขณะนี้พวกมันมีกองกำลังหลายแสนและขุนพลอสูรอยู่หลายตน มันได้เริ่มส่งพวกเหล่าอสูรออกมารบกวนในโลกมนุษย์บ้างแล้ว “
ตรัยสูรไม่เข้าใจ ว่าทำไม กัลย์ปาอสูร จึงต้องระดมพลมากเช่นนั้นรีบถามเทพมาตุลี
“ ท่านเทพมาตุลี ข้าไม่เข้าใจ ทำไม กัลย์ปาอสูร จึงต้องรวบรวมสร้างกองกำลังมากขนาดนั้น ความจริงแล้ว กัลย์ปาอสูร เพียงตั้งใจจะบุกสวรรค์เป็นหลักมิใช่หรือ ? เพียงแค่กองกำลังที่มีเท่าในคราวก่อนของจ้าวอสูร ก็น่าจะเพียงพอแล้วนี้ “
เทพมาตุลี พยักหน้าอย่างเห็นด้วยหากแต่ สีหน้าก็เหมือนจะปฏิเสธความคิดของตรัยสูร เช่นกัน
“ ตอนแรกพวกเราก็คิดอย่างที่เจ้าว่า แต่พอสืบเข้าจริงๆ แล้ว มันกลับเป็นไปอีกอย่างหนึ่งนะสิ “
นันทาเทพธิดา แสดงสีหน้าไม่เข้าใจ
“ หมายความว่าอย่างไร ท่านเทพมาตุลี ท่านคงไม่ใช่บอกพวกข้าว่า กัลย์ปาอสูร คิดจะทำสงครามครั้งใหญ่หรอกนะ “
เทพมาตุลี สวนบอก นันทาเทพธิดา แบบไม่ทันขาดคำ
“ ถูกต้องแล้ว นันทาเทพธิดา กัลย์ปาอสูรไม่ใช่แค่ต้องการแค่สวรรค์แต่ต้องการเป็นใหญ่ทั้งสามโลก มันเริ่มแผ่ขยายอิทธิพลของมันเริ่มจากในโลกมนุษย์ก่อน กองกำลังของพวกมันเริ่มบุกโจมตีโลกมนุษย์ โดยเริ่มจากเมืองต่างในโลกมนุษย์ ทั้งสะสมกับกำลังพล เสบียงอาหาร และอาวุธ กัลย์ปาอสูร แบ่งทัพของมันออกเป็น ๓ ทัพใหญ่ ได้แก่ ทัพประตูมนุษย์  ทัพประตูสวรรค์ ทัพประตูนรกภูมิ ต่างมีหน้าที่แยกย้ายกันบุกทั้งสามโลกพร้อมกัน ข่าวแจ้งมาว่า ตัวมันจะนำทัพประตูสวรรค์บุกเข้าเขตแดนสวรรค์ในอีกไม่ช้านี้ “
ทั้งหมดต่างมีสีหน้าตกใจไม่คิดจะได้เจอกับกองทัพอสูรแบบนี้
“ จะบ้าแล้วเหรอ ? บุกทีเดียวสามทัพ แล้วพวกข้าจะเอาปัญญาที่ไหนไปยับยั้งถึงสามทัพได้ นี้มันไม่ใช่การปราบอสูรแล้วนะ แต่เป็นการทำสงครามเพื่อปราบอสูร ต่างหาก “
พยัคฆ์วารี เดือดดาลใจยิ่งนัก ความจริงเขาไม่ได้กลัว กัลย์ปาอสูร หากแต่ต้องเสียเวลาต่อสู้กับทัพอสูรเหล่านี้เกรงว่าใช้เวลาอีกเป็นร้อยปีก็อาจไม่มีทางได้เจอแม้แต่เงาของ กัลย์ปาอสูร
“ ก็ใครบอกเจ้าว่า นี้เป็นการปราบอสูรเท่านั้นเล่า นี้เป็นการทำสงครามครั้งใหญ่ของสามโลกเลยทีเดียว แม้แต่นครบาดาล และประสาทเทพปักษา และเมืองต่างๆ ของพวกเจ้าก็ต้องเตรียมตัวระวังรับศึกที่จะเกิดขึ้นด้วย “
อัคคีนาคา เองนางเป็นห่วงผู้คนในนครบาดาล หากแต่นางเป็นถึง ๑ ใน ๗ ผู้ปราบกัลย์ปาอสูรจะทำท่าทางเหมือนเมื่อก่อนได้อย่างไร นางเก็บความคิดไว้ในใจของตนเอง ก่อนจะถาม เทพมาตุลี ต่อ
“ แล้วพวกข้าจะต้องทำอย่างไร เกี่ยวกับการศึกนี้ “
เทพมาตุลี ชอบใจยิ่งนักที่อัคคีนาคา ถามได้ตรงประเด็นดี รีบตอบกลับในทันที
“ ศึกครั้งนี้อย่างที่ข้าบอกพวกเจ้าแล้ว ว่า กัลย์ปาอสูร จะบุกพร้อมกันทั้งสามโลก ทางสวรรค์และนรกภูมิ ได้ประชุมกันแล้วพวกเราได้จัดกองกำลังขึ้นเพื่อต้านทานการบุกของกัลย์ปาอสูร ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาทางด้าน สวรรค์และนรกภูมิ ส่วนทางด้านนครบาดาล และ ประสาทเทพปักษา และเมืองต่างๆที่เป็นพันธมิตรกับกองกำลังของเหล่าเทพ พวกเราจะส่งกองทัพมาช่วยเป็นทัพหนุนและเป็นกำลังเสริมให้พวกเขาด้วย เพราะฉะนั้นปัญหาจึงมีแต่ ... ”
“ จึงมีแต่ทางด้านโลกมนุษย์เท่านั้นที่ไม่มีกองกำลังเสริมอื่นใดมาช่วย  อีกทั้งเมืองต่างๆ ที่ตั้งในโลกมนุษย์หรือเมืองของเหล่ายักษ์หรือกึ่งเทพตนอื่นๆ ที่ตั้งอยู่ต่างอยู่ไม่เป็นมิตรกันทำให้เวลากองทัพ ประตูมนุษย์ ของ กัลย์ปาอสูร เดินทัพมาไม่สามารถจะหาแนวร่วมในการต่อสู้กับกองทัพ ประตูมนุษย์ ของ กัลย์ปาอสูรได้ และผู้ที่มีพระเวทย์สูงอยู่ในโลกมนุษย์ยังมีไม่มากพอที่จะต่อกรกับขุนพลอสูร ดังนั้นทัพของโลกมนุษย์จึงอาจถูกตีแตกได้ง่ายกว่า ใช่ไหม ? ท่านเทพมาตุลี “
มยุราเทวี วิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้นออกมาให้ทุกคนได้ฟังกัน
“ ใช่แล้ว มยุราเทวี เพราะฉะนั้นหน้าที่หลักของพวกเจ้าจึงมีอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือ พวกเจ้าต้องจัดตั้งรวบรวมกองกำลังสร้างกองทัพขึ้นในโลกมนุษย์ในเมืองต่างๆ เพื่อยับยั้งการเดินทัพประตูมนุษย์ ของ กัลย์ปาอสูร ที่เกิดขึ้นในขณะนี้  และอย่างที่สอง เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ หาทางกำจัด กัลย์ปาอสูรให้ได้ ก่อนที่มันจะชุบหกอาวุธฝ่ายมารสำเร็จและนำกองทัพ ประตูสวรรค์ บุกขึ้นเขตแดนสวรรค์ “
ทั้งเจ็ดคนต่างเข้าใจในคำพูดของเทพมาตุลี เป็นอย่างดี และรับรู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อเทพมาตุลี บอกให้พวกเขาทั้งเจ็ดได้เข้าใจถึงเหตุผลแล้วจึงบอกแหล่งที่กบดานของ กัลย์ปาอสูร ให้ทั้งเจ็ดฟัง
“ ตอนนี้ กัลย์ปาอสูร มันระวังตัวมาก เพราะมันกลัวว่าจะมีใครรู้ที่อยู่ของมันในขณะกำลังทำพิธีชุบหกอาวุธฝ่ายมาร ข่าวที่หาข้าหามาได้มีน้อยมาก เพียงแค่รู้ว่ามันสร้างอาณาจักรของมันอยู่ที่ ภูผาอสูร เท่านั้น แต่ ภูผาอสูร อยู่ที่ไหนนั้นไม่มีใครรู้ “
ทั้งเจ็ดต่างมองหน้ากัน พลางคิดว่าเมื่อเบาะแส น้อยอย่างนี้แล้วพวกเขาทั้งเจ็ดจะติดตามหา กัลย์ปาอสูร ได้จากที่ใด และจะมีใครรู้ว่า ภูผาอสูรอยู่ไหน ?
“ รู้เพียงเท่านี้พวกข้าจะติดตามหา กัลย์ปาอสูรได้อย่างไร ล่ะ ท่านเทพมาตุลี “
อนันตวาโย เอ่ยถามเทพมาตุลี ขึ้น
“ พวกเจ้าคงจะต้องติดตาม หาข่าวจากพวกอสูรเท่านั้น พวกเจ้าทั้งหมดจงไปตามทิศนี้ จะพบกำลังกองลาดตระเวนอสูรกลุ่มหนึ่ง ที่ลาดตระเวนหาข่าวและเสบียงอยู่ อาจจะได้เบาะแสของกัลย์ปาอสูรบ้าง ขอให้พวกเจ้าโชคดีก็แล้ว “
เทพมาตุลี ชี้นิ้วไปด้านทิศเหนือ ไปยังทางภูเขาลูกหนึ่ง ก่อนจะลอยตัวขึ้นไปยังบนท้องฟ้า และลอยหายไปจากสายตาของพวกเขาทั้งเจ็ด
“ โอ้โห้ มีประโยชน์มากเลยนะเนี้ย เบาะแสแค่นี้ มีค่าเกือบจะเป็นศูนย์เลย ทำไมไม่บอกพวกข้าด้วยว่าถ้าลมพัดไปทางให้ไปทางนั้นด้วยล่ะ “
นันทาเทพธิดา กระแทกอารมณ์ออกมา ศึกที่พวกนางทั้งหมดจะต้องเจอใหญ่หลวงกว่าที่พวกนางคิดไว้เสียอีก
“ เอาเถอะน่า นันทาเทพธิดา อย่างน้อยก็ยังดีกว่ามีค่าเป็นศูนย์นั้นแหละ “
อนันตวาโย เอ่ยปลอบเพื่อนรักของตนเอง เพราะใช่ว่าจะมีนางคนเดียวเสียเมื่อไรที่แบกรับภาระนี้ พวกเขาทั้งหมดต่างก็แบกรับภาระนี้ไว้ด้วยเช่นกัน อัคคีนาคาเดินเข้าไปทูลลาเหล่าพระญาติคนอื่น เสด็จลุงอินทรนาคราช และทูลลาเสด็จพ่อและเสด็จแม่ของนาง
“ หม่อมฉันทูลลาเสด็จพ่อ และเสด็จแม่ เพคะ พอเรื่องทุกอย่างจบลงแล้วหม่อมฉันจะรีบกลับมาเพคะ “
พระนางมัณนิยา ถึงจะทรงหักห้ามใจไว้แต่แรกแล้วแต่พอถึงเวลาจริงก็ทรงพระกรรณแสงออกมา สวมกอด อัคคีนาคา ไว้ และบอกอัคคีนาคา ว่า
“ จ๊ะ ลูกรักของแม่ ดูแลตัวเองให้ดีนะลูก แม่จะรอลูกกลับมา “
พระนางปล่อยพระวรกายจากลูกรัก ทอดพระเนตรมอง อัคคีนาคา เดินไปกลับรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ของนาง ขณะที่ มยุราเทวี ทูลลาเสด็จลุงของนางอยู่
“ หม่อมฉัน ฝากเสด็จลุงทูลลาเสด็จแม่ด้วยนะเพคะ “
“ เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก นกยูง เสด็จแม่ของเจ้าเข้าใจในเรื่องนี้ดีอยู่แล้ว “
สุบรรณ บอกหลานสาวให้หมดกังวล แต่แววตาบ่งบอกว่าเป็นห่วงหลานรักไม่น้อย
“ มยุราเทวี ระวังตัวด้วยนะ ถ้าเจ้าต้องการความช่วยเหลือก็รีบติดต่อมาหาพวกข้าพวกข้าจะตามไปช่วยเจ้า “
นิลบุตรปักษี บอกลา มยุราเทวี ด้วยความห่วงใย แต่ มยุราเทวี กลับโกรธ นิลบุตรปักษี แทน
“ เจ้านี้อย่างไรนะ ขนาดข้าจะไปแล้วยังพูดอย่างนี้อีก เจ้าไม่เห็นข้าเป็นเพื่อนเจ้าหรือไง ? “
“ อะไรกัน นะ มยุราเทวี ข้าทำอะไรให้เจ้าโกรธเหรอ ? “
นิลบุตรปักษี เหมือนถูกมีดกรีดใจ ตัวแข็งราวกับก้อนหิน แต่ มยุราเทวี แอบขำ ท่าทางของ นิลบุตรปักษี อยู่ในใจ เพราะไม่คิดว่าแค่คำพูดแค่นี้ของนางจะทำให้ นิลบุตรปักษี เป็นแบบนี้ได้
“ ก็ข้าจะไปอยู่แล้ว ยังเรียกข้าว่า มยุราเทวี อยู่ได้ ทำไมถึงไม่เรียกข้า นกยูง ซักที ล่ะ ? “
นิลบุตรปักษี ได้ยิน มยุราเทวี พูดดังนั้น ทั้งตกใจและดีใจ จนพูดผิดพูดถูก
“ ข้าขอโทษ มยุรา เฮ้ย นกยูง เจ้าระวังตัวด้วยนะ “
“ เจ้าก็เหมือนกัน นิลบุตรปักษี แล้วค่อยพบกันใหม่ นิลกาฬหัสดายุ เจ้าดูเพื่อนเจ้าให้ดีล่ะ ช่วงหลังมานี้เขายิ่งทำตัวแปลก ๆ อยู่ด้วย “
นิลกาฬหัสดายุ เห็นท่าทางของ นิลบุตรปักษี เกือบกลั้นหัวเราะไม่อยู่ พลางบอก มยุราเทวี กลับไป
“ ไม่ต้องห่วงหรอก สำหรับเจ้าหมอนี้ข้าจะดูแลมันเอง มยุราเทวี เจ้าไปเถอะ “
“ เจ้าก็เหมือนกันเลิกเรียกข้าว่า มยุราเทวี ได้แล้ว อย่าลืมที่ข้าสั่งด้วยแล้วกัน “
พูดจบนางก็เดินจากไป โดยมีสายตาของ นิลบุตรปักษี มองอย่างอาลัยอาวรณ์ จน นิลกาฬหัสดายุ ต้องสะกิดให้รู้ตัว
“ เก็บอาการหน่อย นิลบุตรปักษี เดี๋ยวท่านสุบรรณก็เห็นเข้าหรอก “
นิลบุตรปักษี เก็บสีหน้าแทบไม่ทัน แอบชำเลียงมองดูท่านสุบรรณ เห็นไม่มีท่าทีสงสัย ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ส่วน มยุราเทวี เดินเข้าไปรวมกลุ่มกับเพื่อน ๆ ซึ่งทั้งหมดต่างพยักหน้าให้แก่กัน
“ ไปกันเถอะ พวกเรา ไปจัดการ กัลย์ปาอสูร ให้สิ้นซาก “
เปมิกาตะโกนบอกเพื่อนๆ ของนาง ทั้งหมดต่างก็พากันลอยตัวขึ้นสู่ท้องฟ้ามุ่งตรงไปยัง ทิศทางที่ท่าน เทพมาตุลี บอก อัคคีนาคา เหลียวกลับมามองดูเสด็จพ่อและเสด็จแม่ของนางรวมทั้งเสด็จลุงอินทรนาคราช ด้วย ในใบหน้ามีคราบน้ำตาเปื้อนอยู่ก่อนหักใจ หันมามองทางข้างหน้าเร่งกำลังของตนเองเหาะตามเพื่อนๆ ไป ส่วนทางด้าน อนันตวาโย แอบส่งยิ้มให้กับ กรรณิการ์นาคี โดยไม่ให้ใครสังเกตเห็นแต่ยังไม่รอดพ้นสายพระเนตรของพระนางอินทราณี ไปได้
“ ไปได้แล้วกรรณิการ์นาคี มั่วมองอะไรอยู่ได้ “
“ เพคะเสด็จแม่ “
กรรณิการ์นาคี ตามเสด็จแม่ของนางกลับลงไปยังนครบาดาล พร้อมด้วยเหล่าบรรดานาคตนอื่นๆ แววตาละห้อยคล้ายกับเป็นห่วง อนันตวาโย ส่วน อินทรนาคราช และสุบรรณ ยังคงอยู่ที่ชายหาดแห่งนั้นยังไม่ยอมไปไหนเลย
“ ถึงเวลาแล้วใช่ไหม ? อินทรนาคราช “
สุบรรณเดินเข้ามาหา อินทรนาคราช และเอ่ยถามเขา
“ ใช่แล้ว สุบรรณ ถึงเวลาที่พวกเราต้องสงบศึกชั่วคราว มาช่วยมาสู้ศึกนี้ด้วยกัน “
“ ข้าจะจัดกองตะเวนของข้าสืบหาข่าวของ กัลย์ปาอสูร ทางท้องฟ้าเอง “
อินทรนาคราช มองสุบรรณ  ต่างก็มุ่งถึงความร่วมมือที่จะเกิดขึ้น
“ ทางน้ำไว้เป็นหน้าที่ของข้าเอง ถ้าใครได้ข่าวก่อนแจ้งให้อีกฝ่ายทราบก็แล้วกัน
“ ตกลง “
พูดจบสุบรรณ ก็พา นิลบุตรปักษี และ นิลกาฬหัสดายุ กลับไปที่เขาไกรลาศ ประสาทเทพปักษาในทันที ส่วน อินทรนาคราช เองก็ลงไปยังในทะเล ดำลึกลงไปยังใต้ทะเลกลับเข้าสู่นครบาดาล นับจากนั้นคนในนครบาดาลต่างฝึกซ้อมการรบอย่างขมักเขม่น เมธาวดี กุสุมาวดี และ กรรณิการ์นาคี พวกนางต่างถูกเคี่ยวเข็ญอย่างหนักเพื่อช่วยรับศึกที่อาจจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
    ...........ห้าวันแล้วหลังจากแยกทางกับเทพมาตุลี เหล่าเทพผู้ปราบ กัลย์ปาอสูร ทั้งเจ็ด ต่างยังไม่ได้ข่าวคราวของ กัลย์ปาอสูร เลย แม้แต่ มยุราเทวี ซึ่งลอยตัวขึ้นไปถามข่าวคราวเรื่องเหล่าอสูรจากหมู่ฝูงนกที่บินอยู่บนท้องฟ้า แต่ก็ไม่ได้คราวข่าวแม้แต่นิดเดียว พวกนางรอนแรมมาหลายวันรู้สึกเหนื่อยจึงหยุดนั่งพักที่ริมลำธารแห่งหนึ่งในป่าใหญ่
“ หลายวันแล้วนะที่พวกเราไม่ได้เห็นแม้แต่เงาของพวกอสูรเลย “
ตรัยสูร เป็นคนแรกที่พูดขึ้นหลังจากนั่งพักอยู่นานแล้ว
“ สงสัยจะจริงอย่างที่ ท่านเทพมาตุลี พูด กัลย์ปาอสูร จงใจกลบเกลื่อนร่องรอยของพวกมันไว้ “
เปมิกา ตอบตรัสสูร ออกไปในใจของนางคิดว่า กัลย์ปาอสูร ร้ายกาจนัก เหมือนรู้ว่ามีคนตามหา ถ้ากัลย์ปาอสูร ไม่คิดออกมา ก็คงหาเจอไม่ได้ง่ายๆ
“ เพิ่งไม่กี่วันเองพวกเจ้าก็ท้อแล้วหรือ ?ไม่สมกับเป็นผู้ที่ผ่านการคัดเลือกเลยนะ “
อนันตวาโย พูดให้กับกำลังใจกับเพื่อนๆ หากแต่ได้ยินเสียง เปมิกา พูดขัดหูเข้าให้
“ ข้านะท้อแน่ ไม่เหมือนกับเจ้าหรอก อนันตวาโย ที่มีกำลังใจจีบพวกนางไม้ไปทั่ว ตลอดทางที่ผ่านมา “
“ แหม เจ้าก็พูดออกมาได้ นั้นมันแค่ของแถมระหว่างการเดินทางต่างหาก “
อนันตวาโย พูดแกมหยอกเปมิกา แต่นางทำท่าจะลุกขึ้นมาลงไม้ลงมือกับ อนันตวาโย เพราะโกรธที่อนันตวาโย ดูเหมือนไม่ค่อยสนใจในการติดตามพวกอสูรเลย แต่พยัคฆ์วารี กลับยกมือขึ้นมาห้ามไว้ เหมือนได้ยินอะไรบางอย่าง
“ มีอะไรหรือ พยัคฆ์วารี     ? “
อัคคีนาคา กระซิบถาม พยัคฆ์วารี เบาๆ
“ ข้าได้ยินและได้กลิ่น .............”
พยัคฆ์วารี สูดลมหายใจเข้าเพื่อที่จะจับกลิ่นที่เขาสัมผัสได้ ก่อนที่เขาจะยิ้มออกมา
“ อสูร!!!! “
“ อยู่ที่ไหน ? “
นันทาเทพธิดา รีบถาม พยัคฆ์วารี ฝ่าย พยัคฆ์วารี รีบลุกขึ้นมา พลางบอกให้เหล่าเพื่อนๆ ตามเขาไปด้วย
“ ทางนี้ตามข้ามา “
พยัคฆ์วารี พาพวกเพื่อนๆ อ้อมไปอีกทางด้านหนึ่งของป่า และไปหยุดอยู่ที่เนินเล็กๆ ที่มีก้อนหินใหญ่ ก้อนหนึ่ง แอบมองลงไปข้างล่างเห็นเหล่าทหารอสูรประมาณ ๓๐๐ ตน กำลังรวมกลุ่มกันอยู่มีอสูรดำและอสูรเขียวสองตนกำลังพูดคุยกัน สักครู่ก็พากันแยกจากกันไปคนละทาง
“ ทำอย่างไรดี พวกมันแยกกันไปแล้ว “
มยุราเทวี เอ่ยถามความเห็นพวกเขาโดยเร็วเพราะกลัวว่าเบาะแสที่พวกนางเจอจะจางหายไปหากไม่รีบติดตามพวกเหล่าอสูรกลุ่มนี้
“ พวกเราแยกกันไปสองทาง  อนันตวาโย นันทาเทพธิดา ตรัยสูร พวกเจ้าตามเจ้าอสูรดำนั้นไป ที่เหลือมากับข้า ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นรีบส่งกระแสจิตติดต่อกันทันที “
“ ตกลง “
อนันตวาโย นันทาเทพธิดา และตรัยสูร แยกตัวจากพยัคฆ์วารี รีบติดตามพวกอสูรอีกกลุ่มหนึ่งที่มีอสูรดำเป็นหัวหน้า ทางฝ่าย พยัคฆ์วารี อัคคีนาคา มยุราเทวี และ เปมิกา ติดตามพวกอสูรอีกกลุ่มซึ่งมีอสูรเขียวเป็นผู้นำกลุ่มและระวังไม่ให้พวกมันรู้ตัว ติดตามพวกเหล่าอสูรได้พักใหญ่  อยู่ๆ พวกอสูรเหล่านั้นกลับหยุดอยู่กับที่ไม่เคลื่อนที่ไปไหน ทำให้พวกเขาต้องพากันหลบอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“ เกิดอะไรขึ้น ดวงใจมาร ทำไมพวกมันถึงไม่ไปกันต่อล่ะ “
อัคคีนาคา ถาม เปมิกา ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ตน
“ มีใครก็ไม่รู้ ขวางทางพวกมันอยู่ “
อัคคีนาคา เพ่งมองตามที่ เปมิกา บอกเห็นมีชายท่าทางองอาจ ยืนขวางพวกอสูรอยู่ที่ลำตัวมีสังวาลประดับอัญมณีสีเหลือง ติดอยู่กับตัว ไม่มีท่าทีว่าจะกลัวพวกเหล่าอสูร แม้แต่น้อย พวกเหล่าอสูรต่างแยกเขี้ยวคำรามใส่ชายหนุ่มที่ยืนขวางทางพวกมันอยู่
“ เจ้ามนุษย์น้อย อยากตายหรือไง ? ถึงได้มาขวางทางพวกข้า หรือว่าเบื่อชีวิตมากแล้วใช่ไหมถึงรนหาที่ตาย ? “
ชายหนุ่มจ้องมองดูพวกเหล่าอสูรคล้ายดูถูก แกมสังเวช
“ คนที่รนหาที่ตายคือพวกเจ้ามากกว่า “
ได้ยินดังนั้นบรรดาเหล่าอสูรต่างก็โมโห คิดเข้าเล่นงานชายหนุ่มคนนั้นทันที
“ อสูรเขียว อย่างเสียเวลาพูดคุยกับมันเลย พวกข้ากำลังหิวอยู่พอดี เอามันกินเป็นอาหารระหว่างทางเลยดีกว่า “
พูดจบเหล่าอสูรทั้งหลายต่างกรูเข้ามาทำร้ายชายหนุ่มหมายจะจับกินเป็นอาหารให้ได้ ชายหนุ่มไม่กลัวพร้อมกับตะโกนกลับไป
“ ก่อนพวกเจ้าจะลงไปหาพญามัจจุราชในนรก จงจำชื่อของข้าไว้ให้ดี “
ชายหนุ่มสูดลมหายใจ เข้าอย่างแรงและแผดเสียงจนแสบแก้วหู
“ ชื่อของข้าคือ น้ำทิพย์ที่สาม “
เหล่าอสูรร้ายรุมล้อมเข้าหา น้ำทิพย์ที่สาม ในทันที ทางฝ่าย พยัคฆ์วารี อัคคีนาคา มยุราเทวี และ เปมิกา ในตอนแรกคิดจะเข้าไปช่วย แต่เพียงแค่เสี้ยวช่วงเวลา ไม่ทันสังเกตเห็น เหล่าอสูร ๑๔๙ ตน ถูก น้ำทิพย์ที่สาม ฆ่าตายเรียบ ยังความตื่นตระหนก ให้กับผู้ที่แอบดูอยู่
“ บ้าน่า คนเดียวฆ่าพวกอสูรตายเกือบหมดเลยเหรอ ? แถมยังเป็นมนุษย์อีกด้วย “
เปมิกา ครางออกมา ในขณะที่ น้ำทิพย์ที่สาม ใช้เท้าข้างหนึ่งเหยียบที่อกของอสูรเขียวที่นอกกลิ้งอยู่ พลางจ้องเข้าไปในดวงตาของอสูรเขียว ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามีความหวาดกลัวมนุษย์หนุ่มผู้นี้อยู่ เพียงครู่เดียวแววตาของอสูรเขียวก็เปลี่ยนไป คล้ายเหม่อลอยอย่างไรชอบกล
“ บอกข้ามา กัลย์ปาอสูร อยู่ที่ไหน ? “
น้ำทิพย์ที่สาม มีพลังเกินกว่าจะหยั่งคาดได้เหมือนไม่ใช่มนุษย์ ใช้พลังจิตของตนเองสะกด อสูรเขียวเพื่อล้วงถามความลับเกี่ยวกับ กัลย์ปาอสูร
“ ข้าไม่รู้ว่า จ้าวอสูร กัลย์ปาอสูร อยู่ที่ไหน พวกข้ามีหน้าที่หาเสบียงมาให้กองทัพอสูรเท่านั้น “
อสูรเขียวพูดอย่าเชื่อช้าคล้ายคนละเมอ แต่แววตาของ น้ำทิพย์ที่สาม สลดลง เป็นเวลาหลายวันแล้วที่เขาออกสืบหาข่าวคราวของ กัลย์ปาอสูร แต่ยังไม่ได้ข่าวคราวที่เป็นประโยชน์กับเขาเลย เกือบจะคลายพลังจิตลง แต่ฉุกคิดขึ้นได้ว่า พวกมันจะต้องมีจุดหมายอยู่ที่ใดที่หนึ่งแน่นอน จึงถามอสูรเขียวต่อไป
“ แล้วพวกเจ้าจะไปรวมตัวกันที่ไหน ? “
“ ที่ป่าโครงกระดูก รวมกำลังกับขุนพลมารพลาสูร “
น้ำทิพย์ที่สาม คลายพลังของตนลง อสูรเขียวได้สติ จ้องมองอย่างไม่แน่ใจว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น น้ำทิพย์ที่สาม ยกเท้าออกจากอก อสูรเขียว พร้อมกับหันหลังเดินจากไป
“ ถือว่าวันนี้เจ้าโชคดีก็แล้วกัน ข้าจะปล่อยเจ้าเอาบุญ “
อสูรเขียว กระหยิ่มยิ้มอยู่ในใจ มนุษย์ผู้นี้ถึงจะเก่งกาจแต่ประมาทศัตรูเช่นนี้ย่อมตกเป็นเหยื่อของศัตรูได้ง่ายๆ คิดแล้วก็หยิบดาบเล่มหนึ่งที่ตกอยู่ใกล้ๆ กับเหล่าลูกสมุนที่ตายหมายจะฆ่า น้ำทิพย์ที่สามให้ได้ แต่ความคิดของอสูรเขียวตื้นเกินไป ขณะที่เงื้อมดาบฟัน น้ำทิพย์ที่สาม ดาบฟันผ่านร่างของ น้ำทิพย์ที่สาม ไป แต่ฟันได้แต่เงาของ น้ำทิพย์ที่สาม เท่านั้น อสูรเขียวตกใจที่อยู่ ๆ ร่างของมนุษย์หนุ่มหายไป และยิ่งตกใจมากขึ้นเมื่อได้ยินเสียงจากทางด้านหลังของตน อสูรเขียว บังเกิดความกลัวอย่างยิ่ง
“ เจ้าทำให้ข้าเปลี่ยนใจเองนะ “
ก่อนที่ อสูรเขียว จะกระโดดหนี ถูกมือของ น้ำทิพย์ที่สาม แทงทะลุจากด้านหลังมายังด้านหน้า อสูรเขียว ดิ้นทุรนทุรายเหมือนคนใกล้ตาย เสียงร้องของ อสูรเขียว ร้องดังก้องป่าอย่างโหยหวน
“ อ๊ากกกกกกกกกกกกกก “
อสูรเขียว ขาดใจตายด้วยความทรมาน น้ำทิพย์ที่สาม ชักมือออกจากตัว อสูรเขียว และคิดจะเดินจากไปแต่สังเกตเห็นคนกลุ่มหนึ่งแอบซ่อนตัวดูเหตุการณ์อยู่ ใช้เท้าข้างหนึ่งเตะ ดาบที่ตกอยู่ลอยไปปักยังต้นไม้ที่พวก พยัคฆ์วารี หลบซ่อน
“ ใครกันออกมาให้ข้าเห็นเดี๋ยวนี้  “
พยัคฆ์วารี อัคคีนาคา มยุราเทวี และ เปมิกา ต่างออกมาเผชิญหน้ากับ น้ำทิพย์ที่สาม ต่างคนต่างก็จดๆ จ้อง ๆ กัน น้ำทิพย์ที่สาม เห็น เปมิกา ซึ่งเป็นอสูรสาว คิดว่าเป็นพวกเดียวกับ อสูรเขียว ที่ถูกเขาฆ่าตายไป และคงมาแก้แค้นให้กับพวกของมัน จึงเร่งพลังตัวเองออกมาในทันที จนต้นไม้ที่อยู่ใกล้เคียงโอนเอียงหักโค่นลงไปหลายต้น
“ พวก กัลย์ปาอสูร งั้นหรือ ? ดี ข้าจะได้ไม่ต้องเสียเวลาตามหาให้เมื่อย “
อัคคีนาคา ตกใจ เพราะไม่คิดว่า น้ำทิพย์ที่สามจะเข้ามาเล่นงานพวกตนรีบอธิบายให้ น้ำทิพย์ที่สาม ฟัง
“ เดี๋ยวก่อนพวกข้า ไม่ใช่พวกเดียวกันกับอสูรเขียวนั้นนะ พวกข้าถูกส่งให้มากำจัดพวก กัลย์ปาอสูร ต่างหาก “
น้ำทิพย์ที่สาม ไม่ฟังอะไรทั้งสิ้นเดินเข้ามาใกล้ ทางพวกอัคคีนาคา  อัคคีนาคา รู้สึกแรงกดดันที่มหาศาลแผ่พุ่งออกจากตัว น้ำทิพย์ที่สาม อยู่ตลอดเวลา
“ ไม่ต้องมาโกหกข้า อสูรจะฆ่าพวกเดียวกันอย่างงั้นหรือ ? น่าขำ บอกข้ามาซะดีๆ ว่า กัลย์ปาอสูร อยู่ที่ไหน อย่าให้ข้าต้องลงไม้ลงมือกับพวกเจ้าก็แล้วกัน ถ้าข้าเผลอฆ่าพวกเจ้าตายจะมาโทษข้าไม่ได้ ถ้ายังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป ก็รีบบอกข้ามาซะดี ๆ “
เปมิกา เริ่มมีน้ำโห อดรนทนไม่ไหว ขู่ น้ำทิพย์สาม กลับไปบ้าง
“ ก็บอกแล้วไงว่า พวกข้าไม่ใช่พวกเดียวกับพวกอสูรนั้น ข้าชักโมโหแล้วนะ คิดจะฆ่าพวกข้าพวกข้างั้นหรือ ? พวกข้าจะฆ่าเจ้าก็ไม่ใช่เรื่องยากเหมือนกัน “
พยัคฆ์วารี เห็นว่า น้ำทิพย์ที่สาม ไม่ฟังพวกเขาแน่รีบเตรียมรับมือในทันที
“ นกยูง อัคคีนาคา ดวงใจมาร ระวังตัวให้ดีนะ “
น้ำทิพย์ที่สาม เห็นว่า กล่อมพวก อัคคีนาคา ไม่ได้ผล จึงเริ่มคิดลงมือ
“ ถ้าข้าไม่ออกแรงแล้ว พวกเจ้าก็คงไม่บอกใช่ไหม ? ดี อย่าหาว่าข้าใจร้ายก็แล้วกัน “
น้ำทิพย์ที่สาม เริ่มบุกเข้าหา พยัคฆ์วารี เปมิกา อัคคีนาคา และ มยุราเทวี ทางฝ่ายพวก อัคคีนาคา ต่างก็กระโจนเข้าหา น้ำทิพย์ที่สาม เหมือนกัน น้ำทิพย์ที่สาม ปักหลักอยู่กับที่หมุนตัวเหวี่ยงหมัดเข้าปะทะกับพวกเขาทั้งสี่ เสียงดังสนั่น ดาบปราบลิขิตฟ้า และ ดาบเขี้ยวพยัคฆ์ ถูกชักออกจากฝักพร้อมกัน พยัคฆ์วารี และ เปมิกา ต่างโถมร่างของตนเองกระหน่ำฟัน น้ำทิพย์ที่สาม ไม่ยั้ง น้ำทิพย์ที่สาม ใช้แขนทั้งสองข้างรับการจู่โจมของ พยัคฆ์วารี และ เปมิกา
“ เคร้ง ๆๆ “
“ อะไรกัน ไม่ระคายผิวเลยเหรอ ? “
พยัคฆ์วารี แทบไม่เชื่อว่า น้ำทิพย์ที่สามจะใช้แขนทั้งสอง รับการจู่โจมของพวกเขา ขณะไม่ทันระวังตัว พยัคฆ์วารี และ เปมิกา ต่างถูก น้ำทิพย์ที่สาม กระแทกกระเด็นออกมา อัคคีนาคา และ มยุราเทวี รีบเข้ามาช่วยอีกแรงสกัดการจู่โจมของ น้ำทิพย์ที่สาม ไว้ ดาบ อัสนียบาต และ บ่วงนาคบาศก์ ปะทะกับหมัดของ น้ำทิพย์ที่สาม อย่างต่อเนื่อง
“ ไม่ไหวแล้ว อัคคีนาคา ร่วมมือกันกำจัดเจ้าหมอนี้เถอะ “
อัคคีนาคา พยักหน้ารับ สลัดตัวออกจากการต่อสู้กลายเป็นนาคอัคคี ตัวน้อยเลื้อยเข้าไปหา มยุราเทวี ฝ่ายมยุราเทวี เรียกพลังสายฟ้าของตนเองมา ร่างของนางหมุนคว้างอยู่กับที่ รอให้นาคอัคคีน้อยเลื้อยเข้ามาหมุนรวมอยู่ด้วยกัน สองพลังเริ่มประสานก่อเกิดพลังหมุนอย่างรุนแรง สายฟ้าและเปลวเพลิงกระจายออกมาเป็นวงกว้าง
“ วิหคนาคาประสาน เพลิงอัสนียบาตทลายบรรพต “
น้ำทิพย์ที่สาม เห็นคู่ต่อสู้มีฝีมือร้ายกาจไม่กล้าประมาทตั้งรับอย่างเต็มที่ มยุราเทวี และ อัคคีนาคา หมุนตัวทะลวงเข้าหา น้ำทิพย์ที่สาม หวังจะแยกร่าง น้ำทิพย์ที่สามให้ได้ พลังที่แผ่ออกมารุนแรงอย่างยิ่ง ทุกสิ่งที่อยู่ใกล้ถูกเผาไหม้เกือบหมด พลังเกือบจะพุ่งทะลุผ่านตัวของ น้ำทิพย์ที่สาม ไปได้ แต่ น้ำทิพย์ที่สาม ยืนนิ่งดุจขุนเขา เร่งพลังที่มีอยู่ในตัวออกต้านทานการจู่โจม หมุนเหวี่ยงมือทั้งสองข้างเหมือนดั่งจันทร์ทรงกลด ใช้วิชาเฉพาะตัวเพื่อหยุดยั้งการบุกของพวกนาง
“ พระเวทย์ จันทราส่องแสงสงบจิตไร้ความคิดอื่นใด “
มยุราเทวี และ อัคคีนาคา ถูกพลังของ น้ำทิพย์ที่สาม จับพวกนางไว้อยู่กับที่ ไม่สามารถเคลื่อนตัวผ่านตัวไปได้ น้ำทิพย์ที่สาม อาศัยความเชื่องช้ารับสู้กับความเร็วของอีกฝ่าย พลังของพวกนางเหมือนหมุนวนอยู่กับที่ตรงหน้าของ น้ำทิพย์ที่สาม ไม่ว่าจะเร่งความเร็วขึ้นเท่าไรก็ไม่สามารถ ทะลวงผ่านไปได้
“ บ้าจริง ทำไมทะลวงไปไม่ได้ ? “
มยุราเทวี โมโหที่ไม่สามารถทะลวงผ่านไปไม่ได้ ฝ่าย น้ำทิพย์ที่สาม หมุนมือทั้งสองอย่างเร็ว ฉับพลันเหมือนปรากฏมืออีกสองข้าง แทงทะลุตรงกลางพระเวทย์ของตนเองใช้มือทั้งสองแยก มยุราเทวี และ อัคคีนาคา ออกจากกัน ร่างของพวกนางทะลวงพุ่งออกไปยังข้าง ๆ น้ำทิพย์ที่สามแทน แลเห็นต้นไม้ทลายล้มลงเป็นทางยาว จนเกือบจะสุดชายป่าอีกด้านหนึ่งพวกนางถึงจะหยุดตัวได้ ฝ่าย พยัคฆ์วารี ใช้ดาบเขี้ยวพยัคฆ์บุกเข้ามาอีกครั้ง น้ำทิพย์ที่สาม ยื่นมือทั้งสองของตนเองรับดาบคู่ของ พยัคฆ์วารี เอาไว้ ฝ่าย พยัคฆ์วารี เห็นเป็นโอกาสบังคับพลังแห่งน้ำล้อม น้ำทิพย์ที่สามสะกดเป็นพลังน้ำแข็งห่อหุ้มร่างของ น้ำทิพย์ที่สาม
“ เย็นเป็นบ้า ขืนให้มันล้อมเราด้วยน้ำแข็งอย่างนี้ไม่ดีแน่ “
คิดดังนั้นแล้ว น้ำทิพย์ที่สาม เร่งพลังตนเองเปลี่ยนใช้พระเวทย์อีกอย่างหนึ่งแทน
“ พระเวทย์ จักรวาลผันแปรสิ่งอื่นใดล้วนเกี่ยวเนื่อง “
น้ำทิพย์ที่สาม หยิบยืมพลังจากธรรมชาติเปลี่ยนเป็นพลังแห่งเพลิงละลายน้ำแข็งที่จับตัวเขาอยู่พร้อมทั้งใช้พลังแห่งเพลิงนั้นกระแทก พยัคฆ์วารี ออกห่างจากตัวเขา พยัคฆ์วารี ถูกพลังเพลิงกระแทกตัว รู้สึกทั้งร้อนและเจ็บปวด รีบกระโดนหลบมา พอตั้งหลักได้บุกเข้าหา น้ำทิพย์ที่สาม อีกครั้ง ดวงตาวาวโรจน์รีบบังคับพลังของตนเองเรียกน้ำออกมา เปลี่ยนสภาพน้ำให้กลายเป็นน้ำแข็งก่อรูปร่างให้เป็นพยัคฆ์ บังคับพยัคฆ์น้ำแข็งให้เข้าทำร้าย น้ำทิพย์ที่สาม พร้อมตวาดกลับไปด้วยความโกรธ
“ คิดว่าวิธีตื้น ๆ ของเจ้าจะชนะข้าได้หรือ ? ดูถูกข้ามากไปหน่อยแล้ว “
น้ำทิพย์ที่สาม ใจนิ่งไม่หวั่นไหว สะบัดมือทั้งสองข้าง บังคับขึ้นลง อย่างแปลกประหลาด รวบรวมน้ำแข็งที่ละลายเป็นน้ำขณะต่อสู้เมื่อกี้ในฉับพลัน เขาคิดทำอะไร ??????
“ หยิบยืมพลังฝ่ายตรงข้าม ก่อรูปเป็นพลัง นอกจากจะต้านทานพลังฝ่ายตรงข้ามได้แล้วยังช่วยข่มพลังเข่นฆ่าให้น้อยลง “
น้ำเริ่มก่อตัวเป็นรูปร่างปรากฏเป็น สิงห์วารี กระโจนเข้าขย้ำ พยัคฆ์น้ำแข็ง ในทันที
“ น้ำ สู้ น้ำ พยัคฆ์น้ำแข็ง ปะทะ สิงห์วารี “
พยัคฆ์น้ำแข็ง ยังไม่ลดความดุดัน น้ำทิพย์ที่สาม จึงจำเป็นต้องเพิ่มพลังขึ้นอีก ๓ ๔ ส่วนเพื่อเอาชนะให้ได้ สิงห์วารี ยิ่งดูยิ่งหยิ่งผยอง ทางฝ่าย มยุราเทวี และ อัคคีนาคา รีบกลับเข้ามาช่วยแต่ก็ยังอยู่ไกลเกินไป
“ ไม่ไหว ขืนยังเป็นอยู่อย่างนี้แย่แน่ ต้องเรียกพวก อนันตวาโย แล้ว “
ทางฝ่ายอนันตวาโย นันทาเทพธิดา และ ตรัยสูร ปักหลักซุ่มดูเหล่าอสูรดำ ที่ชายป่าแห่งหนึ่ง ขณะที่ยังเฝ้าพวกมันอยู่ดี ๆ ได้ยินกระแสจิตของ มยุราเทวี เรียกหา
“ พวกเจ้าอยู่ไหน ? อนันตวาโย นันทาเทพธิดา ตรัยสูร รีบมาช่วยพวกข้าเร็วเข้า “
“ แย่แล้ว พวกมยุราเทวี ตกอยู่ในอันตราย “
ร่างกายไวเท่าความคิดพวกเขาทั้งหมดรีบกระโจนจากที่นั้นในทันที ติดตามกระแสจิตที่ส่งมาขอความช่วยเหลือ  ขณะที่ พยัคฆ์วารี ยังบังคับพลังตนเองต่อสู้กับสิงห์วารีอยู่อย่างเต็มที่  น้ำทิพย์ที่สามกลับบุกเข้าจู่โจม เปมิกา พลังของเขาเหมือนไม่ได้เหือดหายไปจากการต่อสู้เมื่อครู่นี้เลย
“ ทีนี้เจ้าจะหนีไปไหนได้ แม่อสูรสาว “
“ คนอย่างข้าเคยคิดหนีใคร ? เจ้าต่างหากเตรียมรับความตายไว้ไห้ดีก็แล้วกัน “
เปมิกา คำรามใส่ น้ำทิพย์ที่สาม พร้อมบุกฟาดฟัน น้ำทิพย์ที่สาม ไปในตัว น้ำทิพย์ที่สาม ใช้แขนทั้งสองข้างรับการจู่โจมของเปมิกา ร่างปลิวกระเด็นไปติดกับต้นไม้ใหญ่
“ แรงเยอะเป็นบ้า สำหรับยัยนี้ต้องใช้อาวุธซะแล้ว “
น้ำทิพย์ที่สาม รีบถอดสังวาลของตัวเองออกมา สังวาลเปลี่ยนรูปเป็นกระบองยาวในบัดดล น้ำทิพย์ที่สาม ควงกระบอกหมุนไปมาหมุนเหวี่ยงปะทะกับดาบปราบลิขิตฟ้าเสียงดังสนั่น เพียงชั่วเสี้ยวเวลา กระบอกก็ฟาดมาถึงด้านข้างของ เปมิกา แล้ว เปมิกา ตวัดดาบสุดแรงกระแทกกระบอกออกให้พ้นตัว และสบโอกาสกระโจนขึ้นเหนือหัวของน้ำทิพย์ที่สาม ฟาดดาบลงมาอย่างแรง น้ำทิพย์ที่สาม เห็นท่าไม่ดี ยกกระบอกขึ้นต้านรับสองฝ่ายต่างประลองกำลังกันอยู่ครู่หนึ่ง และต่างก็ถูกพลังของอีกฝ่ายกระแทกออกมา
“ พวกข้ามาแล้ว ดวงใจมาร “
ร่างของ อนันตวาโย นันทาเทพธิดา และ ตรัยสูร ปรากฏขึ้นเหนือยอดไม้  พร้อมทั้ง มยุราเทวี และ อัคคีนาคา ก็บุกมาใกล้ถึงตัวน้ำทิพย์ที่สาม ทางฝ่ายพยัคฆ์วารี ที่ กำจัด สิงห์วารี สำเร็จแล้ว ก็เริ่มเข้ามาสมทบกับพวกของตนเอง น้ำทิพย์ที่สาม โกรธถึงขีดสุด ร่างสิงห์ของ น้ำทิพย์ที่สาม ปรากฏออกมาให้ได้เห็น คำรามก้องทั่วป่า ศึกระหว่างผู้ถูกคัดเลือกให้ปราบ กัลย์ปาอสูร ทั้ง ๗ กับ น้ำทิพย์ที่สาม ผู้ลึกลับกำลังจะปะทุอีกขึ้นครั้งหนึ่ง แต่พวกเขาทั้ง ๗ จะสามารถสยบ น้ำทิพย์ที่สามได้หรือไม่ ? และทำไม น้ำทิพย์ที่สาม ต้องติดตามหา กัลย์ปาอสูร เขามีความแค้นใดกับ กัลย์ปาอสูร อย่างงั้นหรือ ? ยังเป็นปริศนาที่ค้างคาใจของ อัคคีนาคา อยู่
จบตอนที่ ๔ ครับ  ^_^  ยิ้มไว้ถึงคิดตอนต่อไปไม่ออกก็ยิ้มไว้ ^_^
ตอนที่ ๔ บุรุษลึกลับ....น้ำทิพย์ที่สาม
    หลังจากการกลับมาของ อินทรนาคราช และคนอื่นๆ เรื่องราวของ อัคคีนาคา แพร่กระจายไปทั่วนครบาดาล อย่างรวดเร็ว ภายในพระตำหนักของ พระนาง มัณนิยา เสด็จแม่ของ อัคคีนาคา พระนางกำลังทรงพระกรรณแสง กอด อัคคีนาคา ไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย ในห้องไม่ได้มีเพียงแค่ พระนางมัณนิยาและ อัคคีนาคา เท่านั้น ยังมีพระนางอีกสามพระองค์ และ เหล่าพระธิดาองค์อื่นๆ รวมอยู่ในห้องพระตำหนักที่ประทับด้วย ฝ่ายพระพี่เลี้ยงปลาใหญ่ พระพี่เลี้ยงกุ้งน้อย และนางกำนัลทั้งหลายอยู่ด้านนอกของพระตำหนักที่ประทับ ถึงแม้กระนั้นทั้งหมดยังได้ยินเสียงพระกรรรณแสงของพระนาง มัณนิยา อย่างชัดเจน
“ โธ่ อัคคีนาคา ลูกแม่ ทำไม เจ้าถึงโชคร้ายอย่างนี้  ทำไมชะตาต้องลิขิตให้เจ้าจากแม่ไปด้วย ? “
พระพี่นาง รัญญานาคินี และพระนางองค์อื่นๆ ต่างไม่รู้จะปลอบให้พระนาง มัณนิยา หยุดกรรณแสงได้อย่างไร หากเปลี่ยนกลับกันให้ลูกๆ ของพระนางต้องจากไปเช่นเดียวกับ อัคคีนาคา บ้าง พวกพระนางเองก็คงมีสภาพไม่ต่างจาก พระนาง มัณนิยา เหมือนกัน
“ ทำใจเสียเถอะ มันณิยา อย่างไรเจ้าก็ขัดโองการของ พระอิศวร ผู้เป็นเจ้าไม่ได้ อัคคีนาคา ก็เป็นหลานข้า  การที่นางต้องจากพวกเราไปปราบเหล่าอสูรร้าย ข้าเองก็แทบทำใจไม่ได้เหมือนกัน “
“ แล้วทำไม ต้องเป็น อัคคีนาคา ด้วยเพคะ พระพี่นาง อัคคีนาคา ยังเป็นเด็ก จะไปสู้รบตบมือกับอสูรร้ายแบบนั้นได้อย่างไร แม้แต่เสด็จพี่ จามนาคราช เอง ก็ทรงยังไม่แน่พระทัยว่าถ้าเสด็จพี่ได้เจอกับพวกอสูรเหล่านั้น เสด็จพี่จะสู้พวกมันได้หรือเปล่า ?  “
ฝ่าย กุสุมาวดี เมธาวดี และ กรรณิการ์นาคี ไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าแม้แต่น้อย แววตายังเศร้าหมองเมื่อรู้ข่าวว่า อัคคีนาคา จะต้องไปเข้าร่วม ปราบ กัลย์ปาอสูร เพื่อเป็นตัวแทนของเผ่าพันธ์นาคา
“ ต่อไปเจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดีนะ อัคคีนาคา ถ้าพวกข้าทำได้ พวกข้าอยากจะตามเจ้าไปด้วย “
เมธาวดี เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย ในใจของนางอยากจะตาม อัคคีนาคา ไปร่วมรบกับเหล่าอสูรในศึกครั้งนี้ด้วยแต่นางก็ไม่สามารถที่จะตาม อัคคีนาคา ไปได้เพราะนางไม่ได้เป็นผู้ถูกเลือกที่จะเข้าร่วมในการปราบ กัลย์ปาอสูร นับตั้งแต่ เมธาวดี จำความได้ ทั้ง อัคคีนาคา  กุสุมาวดี  กรรณิการ์นาคี และตัวของเมธาวดีเอง ไม่เคยที่อยู่ห่างกันเกิน ๑ วันเลย แต่ อัคคีนาค กลับจะต้องจากพวกนางไป โดยพวกนางไม่รู้ว่าอีกเมื่อไร อัคคีนาคา จะได้กลับมาพบเจอกับพวกนางอีกหรือแม้กระทั่งว่าจะได้กลับมาพบหน้ากันอีกหรือเปล่า ?
“ ข้าขอบใจเจ้านะ เมธาวดี แต่อย่างไรเจ้าก็ไปกับข้าไม่ได้หรอก ข้าอยากจะให้พวกเจ้าอยู่เป็นเพื่อนเสด็จแม่ของข้ามากกว่า “
อัคคีนาคา เอ่ยตอบ เมธาวดี พลางหันไปมองนางเพื่อนรักอีกสองคน ซึ่งทั้งสองพยายามหลบหน้าไม่ให้ อัคคีนาคา เห็นคราบน้ำตาที่ปรากฏอยู่
“ อัคคีนาคา เจ้าไม่ต้องห่วง เสด็จแม่ของเจ้าหรอก พวกอา จะคอยดูแลแม่ของเจ้าเอง “
พระนางกิณยราตี บอกให้ อัคคีนาคาคลายความกังวลลง ทางฝ่าย พระนางอินทราณี ก็พยายามปลอบโยน พระนางมัณนิยาอยู่
“ มัณนิยา ข้ารู้ว่าเจ้าห่วง อัคคีนาคา แต่ อัคคีนาคา ทำเพื่อพวกเราทุกคนในนครบาดาลแห่งนี้ ถึงแม้เจ้าจะไม่ห่วงตัวเองแต่ควรคิดถึง อัคคีนาคา บ้าง หาก อัคคีนาคา จากเจ้าไปโดยมีความทุกข์ของเจ้าติดตามไปด้วย อัคคีนาคา อาจจะห่วงหน้าพะวงหลัง จนเสียท่าให้กับพวกเหล่าอสูรนะ “
พระนางมัณนิยา พยายามหักห้ามความเศร้าในพระทัยทอดพระเนตรมอง อัคคีนาคา เหมือนกับจะประทับไว้ในความทรงจำของพระนาง ใช้พระหัตถ์ลูบที่ใบหน้าของ อัคคีนาคา อย่างแผ่วเบาและ ทะนุถนอม
“ ลูกรักของแม่ แม่ไม่อยากให้เจ้าไปสู้รบกับเหล่าอสูรร้ายเหล่านั้นเลย แต่นี้ไปพ่อและแม่ไม่สามารถที่จะปกป้องคุ้มครองเจ้าได้อีกแล้ว มีแต่เพียงตัวของเจ้าเท่านั้นที่ช่วยตัวของเจ้าเองให้ฝ่าฟันอันตรายใดๆ ไปได้ จงใช้สติและความรอบคอบของเจ้าเอาตัวรอดกลับมาหาแม่ให้ได้นะลูก “
พระนางมัณนิยา ตรัสจบทรงสวมกอด อัคคีนาคา เอาไว้แน่น อัคคีนาคา เองก็กอดเสด็จแม่ของนางไว้เช่นกัน น้ำตาของ อัคคีนาคา ไหลออกมาเสมือนว่าแม้นางจะต้องจากและจางหายไปเหมือนสายน้ำตาหากแต่ความรักที่มีให้เสด็จแม่ของนางยังคงอยู่กับนางตลอดไปไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
“ เพคะ เสด็จแม่ หม่อฉันจะกลับมาหาเสด็จแม่ให้ได้ เพคะ “
พระนางอีกสามพระองค์ ทรงทอดพระเนตรเห็นทั้งสองดังนั้นแล้ว ก็กลั้นน้ำพระเนตรไว้ไม่อยู่ต่างก็ทรงพระกรรณแสง ในพระทัยของพระนางรัญญานาคินี ตอนนี้กำสังตัดสินพระทัยอะไรบางอย่าง
“ เมธาวดี ต่อไปนี้แม่จะไม่ห้ามเจ้าขึ้นไปข้างบนอีกแล้ว  รวมทั้งพวกเจ้าด้วย กุสุมาวดี กรรณิการ์นาคี “
“ พระพี่นางหมายความว่าอย่างไรเพคะ หม่อมฉันไม่เข้าใจ ? “
พระนางอีกสองพระองค์ต่างตรัสถามพร้อมกัน แม้แต่ธิดานาคทั้งสามเองก็ยังไม่เข้าใจในความหมายของ พระนางรัญญานาคินี
“ ข้าตัดสินใจแล้ว ถึงเวลาแล้วที่พวกนางทั้งสามจะต้องออกมาปกป้องนครบาดาลอย่างที่ อัคคีนาคา ทำบ้าง ข้าจะขอให้เสด็จพี่อานนทนาคราช และ อินทรนาคราช รวมทั้ง แม่ทัพคนอื่นๆ สอนวิชาการต่อสู้ให้พวกนาง “
“ อะไรนะเพคะ พระพี่นาง นี้หม่อมฉันสองคนฟังผิดไปหรือเปล่าเพคะ ? “
พระนางกิณยราตี ตรัสถามพระพี่นางรัญญานาคินี เหมือนจะไม่เชื่อในสิ่งที่ พระพี่นางรัญญนาคินี ตรัสขึ้น ส่วน พระนางอินทราณี เองก็ตกพระทัย ไม่คิดว่าประโยคนี้จะออกจากพระโอษฐ์ของพระพี่นางรัญญานาคินีได้
“ พวกเจ้าสองคน ฟังไม่ผิดหรอกในเวลานี้ไม่ว่าใครก็มีความสำคัญในการปกป้องนครบาดาลทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ในเมื่อ อัคคีนาคา ออกไปทำภารกิจที่สำคัญถึงขนาดนี้แล้ว พวกเจ้าจะให้พวกเรางอมืองอเท้าอยู่อย่างนี้หรือ ? ถึงแม้พวกเราจะไม่ได้ร่วมรบพร้อมกับ อัคคีนาคา แต่พวกเราก็สามารถเป็นกำลังหนุนให้กับ อัคคีนาคา ได้ และยังทำให้ อัคคีนาคา หมดห่วงความปลอดภัยในนครบาดาล อัคคีนาคา จะได้ต่อสู้กับพวกอสูรเหล่านั้นได้อย่างเต็มที่ “
พระนางทั้งสองได้ฟังเหตุผลของพระพี่นางรัญญานาคินีแล้วต่างก็ครุ่นคิด และมีความเห็นตรงกับที่พระพี่นาง รัญญานาคินี ทรงตรัส ขณะที่ธิดานาคทั้งสาม ต่างก็คิดเช่นเดียวกับพระนางรัญญาคินี
“ เพคะเสด็จป้า หม่อมฉันทั้งสามจะทำตามที่เสด็จป้ารับสั่ง พวกหม่อมฉันจะปกป้องนครบาดาลของพวกเราไว้ รอจนกว่า อัคคีนาคา จะกลับมาอยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้งเพคะ “
พระธิดาทั้งสามหันมามอง อัคคีนาคา ซึ่งเห็น อัคคีนาคา กำลังยิ้มให้กับพวกตนอยู่ ไม่เพียงแค่ อัคคีนาคา เท่าไร แม้แต่พระนางมัณนิยา ก็ทรงหยุดพระกรรณแสง ทอดพระเนตรพระธิดาทั้งสามเช่นกัน พระนางมัณนิยารู้สึกดีพระทัยที่เห็น อัคคีนาคา มีเพื่อนที่ดีเช่นนี้ อัคคีนาคา เองก็เชื่อมั่นว่าตัวเองจะสามารถกลับมาพบทุกคนได้อีกครั้งหนึ่ง มองดูเพื่อนรักทั้งสามพลันนึกถึงใบหน้าของใครคนหนึ่งขึ้นมาได้ จึงขยับตัวออกจากพระมารดา เล่าเรื่องเกี่ยวกับคนๆนั้นให้กับเพื่อนรักทั้งสามฟัง
...........ในหอประชุมศึกนาคา ขณะนี้เหล่าพญานาคราชต่างกำลังพากันเครียดเกี่ยวกับเรื่องของ อัคคีนาคา ที่ อัคคีนาคา ได้เป็นตัวแทนของเผ่าพันธุ์นาคา เข้าร่วมในการปราบ กัลย์ปาอสูร ตามพระบัญชาของพระอิศวรผู้เป็นเจ้า
“ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ นี้ก็เท่ากับว่าข้าส่ง อัคคีนาคา ไปตายด้วยมือของข้าเองอย่างนั้นหรือนี้ “
พระพันปี คีตรนาคราช พระพักตร์ซีดขาว และทรงเสียพระทัยมากเมื่อได้ทราบข่าวจากปากของ อินทรนาคราช พระพันปี คีตรนาคราช ไม่คิดเลยว่า คนที่จะต้องไปต่อสู้กับเหล่าอสูรเช่นนั้น จะกลับกลายเป็น อัคคีนาคา แต่คนที่ทุกข์ใจที่สุดในเวลานี้คงจะเป็น จามนาคราช เสด็จพ่อ ของ อัคคีนาคา เอง พระองค์ยังทรงนั่งนิ่งเงียบไม่เอ่ยตรัสพูดจากับใครเลย
“ เป็นความผิดของหม่อมฉันเอง พระเจ้าข้า เสด็จปู่ ที่หม่อมฉันพา อัคคีนาคา ไปด้วย นี้ถ้าหม่อมฉันไม่พา อัคคีนาคา ไปด้วย เรื่องมันคงไม่เป็นแบบนี้ “
อินทรนาคราช กล่าวบอกต่อทุกคน เขารู้สึกผิดมากกว่าใครทั้งหมด และโทษตนเองที่เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้
“ ไม่ใช่ความผิดของท่านหรอก อินทรนาคราช นี้อาจจะเป็นชะตาชีวิตของ อัคคีนาคา ก็เป็นได้ ถึงท่านไม่พา อัคคีนาคา ออกไป ไม่แน่ว่า ชะตาของ อัคคีนาคา อาจจจะลิขิตให้  อัคคีนาคา ต้องจากพวกเราไปอยู่ดี “
จลนันทนาคราช พูดปลอบ อินทรนาคราช แต่ดูเหมือนคำพูดจะเหล่านี้จะไม่มีประโยชน์ต่อเขาเลย สีหน้าของ อินทรนาคราช ยังคงบ่งบอกว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะความผิดของเขาเอง
“ จลนันทนาคราช พูดถูกแล้ว อินทรนาคราช ข้าเองก็ไม่โทษท่านหรอก ท่านทำหน้าที่ของท่านได้ดีที่สุดแล้ว ข้ายังรู้สึกขอบใจท่านมาก ตอน พระนารายณ์ทรงให้ท่านเลือกว่าจะให้อัคคีนาคาเข้าร่วมหรือไม่ ? ท่านยังเลือกขอสละสิทธิ์ไม่ให้ อัคคีนาคา เข้าร่วมด้วย ท่านทำให้ข้ารู้ว่าถึงพวกเราเผ่าพันธุ์นาคาจะมากด้วยศักดิ์ศรีแต่เมื่อเทียบกับชิวิตแล้วอย่างไร ชีวิตก็ยังมีค่ามากกว่า “
จามนาคราช เอ่ยบอก อินทรนาคราช เพื่อให้เข้าคลายความกังวลลง จามนาคราช เองก็เข้าใจดีว่า อินทรนาคราช รัก อัคคีนาคา ไม่น้อยไปกว่าตัวของของเขาผู้เป็นพ่อของ อัคคีนาคา เลย
“ แล้วเรื่องนั้นล่ะ ท่าน จามนาคราช  สิ่งที่ อัคคีนาคา ใช้ในตอนนั้น ใช่แน่หรือเปล่า ? “
วิเชียรนาคา พูดขึ้นถึงในสิ่งที่ค้างคาในใจเขานับตั้งแต่เห็น อัคคีนาคา กลายร่างเป็นนาคอัคคี เข้าต่อสู้กับมยุราเทวี หลานสาวของ สุบรรณ  พระพันปี คีตรนาคราช ทอดพระเนตรจ้องมอง วิเชียรนาคา อย่างสงสัย และถามวิเชียรนาคา ขึ้น พลางเห็นใบหน้าของ จามนาคราช มีสีหน้าตกใจเมื่อตัวของเขาเองนึกถึงเรื่องนั้นขึ้นมาได้
“ นี้พวกเจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันหรือ ? วิเชียรนาคา “
ตัวของ วิเชียรนาคา ได้ยินพระพันปี คีตรนาคราช ตรัสถามดังนั้น ก็เริ่มเล่าเรื่องราวของ อัคคีนาคา ให้ฟังตั้งแต่ตอนพิธีการคัดเลือกจนถึงเมื่อ อัคคีนาคา จำเป็นต้องต่อสู้กับ มยุราเทวี หลานสาวของ สุบรรณ และกลายร่างเป็นนาคอัคคีตัวใหญ่ในระหว่างต่อสู้ พระพันปี คีตรนาคราช นั่งนิ่งฟังเรื่องราวจากปากของ วิเชียรนาคา และครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนบอกต่อ วิเชียรนาคา ว่า
“ ไม่ผิดแน่นอน วิเชียรนาคา สิ่งที่ อัคคีนาคา ใช้ในระหว่างต่อสู้กับมยุราเทวี ก็คือ ราชันย์ นาคราชอัคคี สยบ ปักษี “
“ แต่ อัคคีนาคา ไม่เคยฝึกพระเวทย์นี้มาก่อน จะเป็นไปได้อย่างไรที่ อัคคีนาคา จะใช้มันได้ “
พันธานาคราช ไม่เห็นด้วยกับพระพันปี คีตรนาคราช แต่ทาง ขันธรานาคา กลับมีความเห็นไปอีกอย่าง
“ หรือว่าจะมีใครสอนนาง ? “
“ เป็นไปไม่ได้ เจ้าก็รู้นี้ว่าพระเวทย์นี้มีใครที่ใช้เป็นบ้าง ? คนที่เป็นพระเวทย์นี้ในนครบาดาลส่วนใหญ่ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆ ที่ใช้พระเวทย์นี้เป็นก็อยู่นอกนครบาดาลทั้งสิ้น อัคคีนาคา เองก็ไม่เคยออกไปนอกนครบาดาลด้วย ในเมื่อพวกเราไม่ได้สอน อัคคีนาคา แล้วใครจะไปสอนให้ อัคคีนาคา ใช้พระเวทย์นี้ได้ “
จันทรนาคราช  เอ่ยแย้งบอกต่อ ขันธรานาคา เพราะเขาไม่เชื่อว่าจะมีใครสอนให้ อัคคีนาคา ใช้ พระเวทย์นี้ได้โดยไม่มีใครในนครบาดาลรู้เห็นเลย
“ ก็อาจเป็นได้ว่า อัคคีนาคา อาจใช้ออกมาได้ด้วยความบังเอิญ “
“ ท่านหมายความว่าอย่างไร อินทรนาคราช บอกข้ามาสิ “
จามนาคราช รีบถาม อินทรนาคราช ทันที หลังจากได้ยินเขาพูด ส่วนอินทรนาคราช ก็บอกความคิดเห็นของตนต่อ จามนาคราช
“ ท่านเคยบอกข้าเองไม่ใช่หรือ จามนาคราช ว่า อัคคีนาคา มีพลังแห่ง อัคคีตั้งแต่เกิด และนับวันยังจะมีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ พระเวทย์ ราชันย์นาคราชอัคคี สยบ ปักษี จำเป็นที่ผู้ฝึกพระเวทย์นี้จะต้องฝึกพระเวทย์แนวร้อนอย่างมากถึงจะใช้พระเวทย์นี้ได้ เคยมีนาคบางตัวถึงกับเอาตัวไปนอนแช่ในลาวาของภูเขาไฟเพื่อฝึกพระเวทย์นี้โดยเฉพาะก็มี ถ้าจะให้ข้าเดา คงเป็นเพราะว่า ช่วงเวลานั้น พลังของ อัคคีนาคา เพิ่มขึ้นในระหว่างต่อสู้กับ มยุราเทวี และพลังของ อัคคีนาคา ก็ยังเป็นพลังแห่ง เพลิงที่ร้อนแรงอีกด้วย  สัญชาตญาณของ อัคคีนาคา คงจะปลุกให้ตัวของ อัคคีนาคา ใช้พระเวทย์นั้นออกมาโดยไม่รู้ตัว “
ทุกคนได้ฟังที่เริ่มมีความคิดเห็นคล้อยตามกับ อินทรนาคราช พวกเขาต่างลืมกันไปเสียสนิทว่า อัคคีนาคา มีเพลิงแห่งอัคคีในตัวที่ร้ายแรงแค่ไหน
“ พอข้าได้ยินที่ท่านพูด ข้าก็เริ่มคิดเหมือนอย่างที่ท่านว่า อย่างน้อยก็พอจะรับฟังเหตุผลได้บ้าง นี้ถ้า อัคคีนาคา เกิดใช้ กุลธิดาวารีพลิกปฐพี ขึ้นมาได้บ้างล่ะก็ คงจะน่าดูไม่หยอกทีเดียว ว่าไหม ท่านอินทรนาคราช ? “
จลนันทนาคราช พูดออกมาคล้ายจะให้ขบขันแต่ก็ไม่มีใครหัวเราะกับคำพูดนี้ด้วย พระพันปีคีตรนาคราช เองก็นึกถึง สุดยอดพระเวทย์ของเผ่าพันธุ์นาคา ขึ้นมา ในบรรดาสุดยอดพระเวทย์เผ่าพันธุ์นาคานั้นมีอยู่ด้วยกัน ๔ วิชาก็คือ
. ราชันย์นาคราชอัคคี สยบ ปักษี    นาคเพลิงร้อนฤทธิ์
. กุลธิดาวารีพลิกปฐพี        นาคน้ำท่วมฟ้าพลิกแผ่นดิน
. พิษนาคาเกลื่อนดารา         พิษนาคา มีด้วยกัน ๒ แบบ คือ พิษเพลิง และ น้ำกรดพิษ
. เป็นพระเวทย์ในตำนานที่เล่าขานกันมาว่ามีเพียง อนันตนาคราช เท่านั้นที่ใช้พระเวทย์นี้ได้
ในพระเวทย์ทั้ง ๔ พระเวทย์ที่ยากที่สุดคือพระเวทย์อันดับสุดท้าย นับตั้งแต่ อนันตนาคราช ใช้พระเวทย์นี้แล้ว ยังไม่เคยมีใครใช้มันต่อได้อีกเลย แม้พระพันปี คีตรนาคราช ก็ใช้ได้แค่พระเวทย์ที่ ๑-๓ เท่านั้น ส่วนนาคตนอื่นในนครบาดาลส่วนใหญ่จะใช้พระเวทย์พิษนาคาเกลื่อนดารากันได้ทั้งหมด แต่ ราชันย์นาคราชอัคคี สยบ ปักษี และกุลธิดาวารีพลิกปฐพี นั้น เหมือนเป็นพระเวทย์ที่เป็นอริกันถ้าฝึกสำเร็จอย่างหนึ่งแล้วต้องใช้เวลาอีกไม่ต่ำกว่า ๓ พันปี ถึงจะฝึกสำเร็จอีกพระเวทย์หนึ่งได้ ในนครบาดาลผู้ที่ใช้พระเวทย์ทั้ง ๒ นี้ได้ ก็มี ตัวพระพันปี คีตรนาคราช เอง อินทรนาคราช อานนทนาคราช จามนาคราช จลนันทนาคราช และ จันทรนาคราช เท่านั้น
“ เสียดายว่าพรุ่งนี้แล้วที่ อัคคีนาคา จะต้องออกไปจากนครบาดาล เพื่อเข้าร่วมรบกับเหล่าอสูร ถ้ามีเวลามากกว่านี้ข้าคงจะมีเวลาเพียงพอที่จะสอนให้ อัคคีนาคา บังคับพระเวทย์ ราชันย์นาคราชอัคคี สยบ ปักษี ได้ดีขึ้น “
อินทรนาคราช กล่าวอย่างเสียดายที่ไม่อาจสอนให้ อัคคีนาคา บังคับพระเวทย์ที่มีอยู่ให้ดีขึ้นเพราะเขาเกรงว่าถ้าเกิดยามคับขันขึ้น อัคคีนาคา อาจจะใช้มันออกมาไม่ได้อย่างใจนึกก็เป็นได้
“ ไม่เป็นไรหรอก อินทรนาคราช อย่างน้อยเจ้าก็สอนให้ อัคคีนาคา ใช้พระเวทย์เพชรมหากาฬ ได้แล้ว พวกเราก็หมดห่วงได้เปราะหนึ่ง ไม่ต้องพะวงว่านางจะได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ อย่างไรพระเวทย์นี้ก็คุ้มกัน อัคคีนาคา ได้อยู่แล้ว “
พระพันปีคีตรนาคราช กล่าวบอกต่อหลานชาย หลังจากนั้นเหล่าพญานาคราช ก็ประชุมกันได้ไม่นานก็ตกลงกันว่าพรุ่งนี้พวกเขาส่วนหนึ่งจะขึ้นไปส่ง อัคคีนาคา ที่ชายฝั่งทะเลตะวันออกพร้อมทั้งแยกย้ายกันไปทำงานตามหน้าที่ตามเดิมของพวกตน ทาง อินทรนาคราช เดินเล่นอยู่ใน อุทยานนาคา เขาคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมาคิดถึงการพบกันครั้งแรกกับหลานสาวของเขา จนถึงเมื่อเขาพา อัคคีนาคา ไปเขาไกรลาศ จน อัคคีนาคา ได้ถูกรับเลือกให้เป็น ๑ ใน ๗ ผู้ปราบ กัลย์ปาอสูร และในความคิดของเขายังมีใบหน้าของหลานสาวสุบรรณปนอยู่ด้วย
“ มยุราเทวี นางช่างเหมือนเจ้าเหลือเกิน แก้วกุสุมาลย์ นี้ถ้าเจ้ากับข้าได้อยู่ด้วยกันเราสองคนคงมีลูกสาวที่น่ารักเหมือน มยุราเทวี แต่ถ้าให้ข้าเลือกข้าอยากให้เหมือน อัคคีนาคา มากกว่า ถ้าเจ้าได้เจอ อัคคีนาคา เจ้าคงชอบ อัคคีนาคา ไม่น้อยไปกว่าข้า จริงไหม ? “
อินทรนาคราช เงยหน้าจ้องมองพื้นน้ำข้างบน แววตาปรากฏความเศร้าหมอง เขาคิดถึง แก้วกุสุมาลย์ เหลือเกิน ทั้งใบหน้าและรอยยิ้มเป็นสิ่งเดียวที่เขาเฝ้ารอคอยมานานแสนนาน ถ้าหมดเรื่องของ กัลย์ปาอสูร แล้วตัวเองคงจะออกไปนอกนครบาดาลอีกครั้งเพื่อตามหา นางในดวงใจของตน
    ....จะกล่าวถึงเขาไกรลาศถิ่นที่พำนักของเผ่าพันธุ์วิหค ในส่วนหนึ่งของเขาไกรลาศมีประสาทใหญ่หลังหนึ่งตั้งอยู่ ท่ามกลางขุนเขาที่รายล้อม  ประสาทเทพปักษา เป็นถิ่นที่พำนักของสุบรรณและบรรดาเหล่าเครือญาติ ประสาทเทพปักษา ใหญ่โตและสวยงาม มีตำหนักอยู่หลายตำหนัก ตำหนักกลางเป็นที่ประทับของ สุบรรณ ส่วนตำหนักอื่นๆเป็นที่ประทับของเหล่าเครือญาติ กำแพงที่ล้อมรอบประสาทเทพปักษา สร้างจากเทวะศิลาในพรหมโลกไม่มีพลังอำนาจใด มาพังทลายกำแพงเทวะศิลานี้ได้ ในตำหนักหนึ่งของประสาทเทพปักษา ที่หน้าพระบัญชร มีสาวงามนางหนึ่งกำลังนั่งจ้องมองท้องฟ้าอยู่ แลเห็นสตรีอีกคนหนึ่งรูปร่างหน้าตางดงาม กำลังเดินตรงเข้ามาหา พร้อมกับเอ่ยพูดให้อีกฝ่ายได้รู้ตัว
“ นกยูง ลูกกำลังมองอะไรอยู่อย่างนั้นหรือ ? “
มยุราเทวี หันมามองตามเสียงที่ได้ยิน เห็นพระมารดาของตนเสด็จเข้ามาใกล้ ก็ผละตัวออกจากหน้าพระบัญชรพร้อมถวายพระพรเสด็จแม่ของตน และตอบพระมารดาว่า
“ หม่อมฉันไม่ได้มองอะไรหรอกเพคะเสด็จแม่ แค่คิดถึงใครคนหนึ่งอยู่เพคะ ? “
“ คิดถึงใครหรือลูก ? เอ๊ะ! หรือว่า เดียวนี้ลูกแม่เป็นสาวแล้วก็เลยคิดถึงหนุ่มๆ ที่ไหนอยู่ ? “
ได้ยินดังนั้น มยุราเทวี ก็หน้าแดง ด้วยความอาย ความจริงแล้วนางยังไม่เคยคิดรักใครมาก่อน หากแต่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของหนุ่มสาว มักเป็นเรื่องหยอกล้อของผู้ใหญ่ที่จะพูดกับเด็ก ถึงจะไม่เคยรักใครแต่ถ้าพูดถึงเมื่อไร ชายหนุ่มหรือหญิงสาวก็มักจะขวยเขินได้เสมอ
“ เปล่าเพคะเสด็จแม่ หม่อมฉันไม่เคยคิดถึงหนุ่มๆ ที่ไหนเลยเพคะ เพียงแต่หม่อมฉันคิดถึง นาง อยู่เพคะ “
“ นาง ?  ใครกันหรือ นกยูง นางที่ว่าเป็นเพื่อนเจ้าอย่างนั้นหรือ “
เสด็จแม่ของ มยุราเทวี ไม่แน่พระทัยกับคำพูดลูกสาวของตนเอง พระนางไม่เคยรู้ว่า มยุราเทวี มีเพื่อนเป็นผู้หญิงด้วยเพราะ มยุราเทวี ถูก เจ้าพี่ สุบรรณ พาไปเที่ยวไหนต่อไหนตั้งหลายแห่งและส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายเกือบทั้งหมด แม้ในประสาทเทพปักษาเอง มยุราเทวี ก็มักจะเล่นหรือฝึกพระเวทย์กับพวกผู้ชายมากกว่า
“ จะว่าอย่างนั้นก็ได้เพคะเสด็จแม่ นางอาจเป็นทั้งเพื่อนใหม่ของหม่อมฉันและในบางทีเสด็จลุงอาจจะถือว่านางเป็นคู่ปรับของหม่อมฉันด้วย ที่สำคัญนางเป็นนาคเพคะเสด็จแม่ “
เสด็จแม่ของ อัคคีนาคา ตกพระทัยเพราะรู้แต่ไหนแต่ไรแล้วว่า เผ่าพันธุ์วิหคไม่ถูกกับเผ่าพันธุ์นาคา และยิ่งแปลกพระทัยขึ้นอีกเมื่อรู้ เจ้าพี่สุบรรณทรงรู้เรื่องที่ว่า มยุราเทวี มีเพื่อนเป็น นาค แต่กลับไม่ห้ามปราม มยุราเทวี เหมือนเช่นที่ผ่านๆ มา ทำให้พระนางอดถามขึ้นไม่ได้
“ เสด็จลุง รู้เรื่องหรือเปล่าลูก ? “
“ เสด็จแม่ ไม่ต้องห่วงหรอกเพคะ เสด็จลุงทรงรู้เรื่องนี้ดี พระองค์ไม่ทรงห้ามหรอกเพคะ เพราะนางเป็น ๑ ใน ๗ ผู้ที่จะเข้าร่วมการปราบ กัลย์ปาอสูรด้วยเพคะ “
ได้ยินดังนั้นแล้ว พระนางก็โล่งพระทัย ในทีแรกคิดว่า มยุราเทวี แอบไปคบเพื่อนเป็นนาคเข้า จะทำให้ เจ้าพี่สุบรรณ ทรงกริ้ว ได้
“ แล้วนางมีชื่อว่าอะไรหรือลูก ? “
มยุราเทวี ยิ้มให้กับพระมารดา ก็ขยับพาพระมารดาไปนั่งยังที่ประทับพร้อมกับนั่งลงข้างๆ พระมารดาและตอบกลับไป
“ นางชื่อ อัคคีนาคา เพคะ เสด็จแม่ “
“ อัคคีนาคาอย่างงั้นหรือ? ชื่อแปลกดีคล้ายกับว่าตัวของนางเป็นไฟ อย่างนั้นแหละ “
พระนางทวนชื่อ เพื่อนของลูกสาวของตนเอง อย่างสนพระทัย ในพระทัยของพระนางกำลังคิดถึงเรื่องอะไรบางอย่างอยู่
“ ไม่แน่ นาง อาจจะรู้จักกับเขาก็ได้ “
มยุราเทวี เห็นเสด็จแม่นิ่งอยู่นาน ก็อดแปลกใจไม่ได้ เอ่ยถามเสด็จแม่ขึ้น ความห่วงใย
“ เสด็จแม่ ทรงเป็นอะไรเพคะ ทำไมถึงทรงนิ่งไปล่ะเพคะ ไม่สบายหรือเปล่าเพคะ ? “
เสียงเรียกของ มยุราเทวี ทำให้พระนางตื่นขึ้นมาจากภวังค์ หันพระพักตร์มาบอกลูกรักก่อนบอกต่อมยุราเทวีว่า
“ แม่ไม่เป็นอะไรหรอกจ๊ะ แค่คิดเรื่องอะไรบางอย่างเท่านั้นเอง “
“ เรื่องอะไรหรือเพคะ เสด็จแม่ ? “
พระนางทรงนิ่งอึ้งครู่หนึ่งไม่รู้จะบอกต่อมยุราเทวี อย่างไรดี ? ในขณะที่พระนางพยายามคิดหาคำตอบให้กับมยุราเทวี  เผอิญสุบรรณ ก็เข้ามาในตำหนักพอดี
“ พวกเจ้าสองคนแม่ลูก กำลังคุยอะไรกันอยู่หรือ ? “
“ ก็ไม่มีอะไรหรอกเพคะ เจ้าพี่ หม่อมฉันกับลูกแค่คุยกันถึงเรื่อง การปราบกัลย์ปาอสูร นะเพคะ “
พอได้ยินเรื่องการปราบกัลย์ปาอสูร แววตาของสุบรรณเหมือนจะฉายแสงออกมา สุบรรณ หันมามองมยุราเทวี ก่อนตรัสขึ้น
“ เจ้าพูดขึ้นมาก็ดีแล้ว แก้วกุสุมาลย์ พี่อยากจะขอตัวลูกของเจ้าไปกับพี่ก่อนจะได้ไหม ? “
พระนางแก้วกุสุมาลย์ รู้ว่าถึงไม่อยากจะให้ มยุราเทวี ไปกับเจ้าพี่สุบรรณ ก็คงห้ามไม่ได้ จึงไม่ขัดพระทัย
“ ตามสบายเพคะเจ้าพี่ นกยูง เจ้าไปกับเสด็จลุงนะ เผื่อเสด็จลุงอยากจะให้เจ้าช่วยอะไร  “
“ เพคะเสด็จแม่ “
มยุราเทวี รับคำของเสด็จแม่ ก่อนเดินตามเสด็จลุงออกไป พระนางแก้วกุสุมาลย์ ทอดพระเนตรมองจน มยุราเทวี ออกไปจากตำหนัก ในพระทัยมีความกังวลซ่อนอยู่
“ เสด็จพี่ อินทรนาคราช เพคะ ลูกของเราโตขึ้นมากแล้วนะเพคะ เมื่อไรเราสามคนพ่อแม่ลูกจะได้พบหน้ากันเสียที “
ฝ่ายสุบรรณพามยุราเทวี เหาะออกมานอกประสาทเทพปักษี พาไปยังป่าใกล้ๆ กับเขาไกรลาศ และพูดถึง อัคคีนาคา หลานสาว ของ อินทรนาคราช ขึ้นมา
“ เจ้าว่า อัคคีนาคา หลานสาวของ อินทรนาคราช เป็นอย่างไรบ้าง ? “
มยุราเทวี อึ้งอยู่ครู่หนึ่งไม่คิดว่าเสด็จลุงจะถามนางออกมาอย่างนี้ ในขณะที่ร่างของทั้งสองร่อนลงยังในป่าแห่งนั้น
“ นางเก่งมากเพคะเสด็จลุง โดยเฉพาะพระเวทย์เพชรมหากาฬ ของนางร้ายกาจมาก ถึงตอนที่สู้กับนาง หม่อมฉันจะเสมอ แต่หม่อมฉันว่า หม่อมฉันน่าจะแพ้นางมากกว่า ถ้านับกันที่บาดแผลหม่อมฉันได้ไปตั้งหลายแห่ง แต่ตัวของนางกลับไม่มีเลยซักนิด “
สุบรรณ หัวเราะออกมาคล้ายพอใจคำตอบของหลานสาวอย่างยิ่ง หากแต่ มยุราเทวี กลับไม่เข้าใจว่าเหตุใดเสด็จลุงของนางถึงหัวเราะออกมาเช่นนั้น ความจริงแล้วน่าจะทรงกริ้วมากกว่าที่ตัวของนางกล่าวออกมาอย่างนี้
“ พูดได้ดี นกยูง สมแล้วเจ้าเป็นหลานของลุง ความจริงแล้วฝีมือของเจ้ากับนางสูสีกันมาก เพียงแต่นางได้เปรียบกว่าเจ้าเท่านั้น “
“ ได้เปรียบ ? นางได้เปรียบหม่อมฉันตรงไหนเพคะ “
สุบรรณ ยังไม่ตอบ เดินไปข้างหน้าอย่างช้า พลางมองดูเหล่าต้นไม้ใบหญ้า และฝูงนกที่กำลังบินอยู่เหมือนกับว่าพาหลานสาวมาเดินเล่นมากกว่าที่จะพานางมาพูดคุยถึงเรื่องของ อัคคีนาคา
“ นางได้เปรียบเจ้าตรงที่นางมีวิชาป้องกันตัวดีกว่าเจ้า เจ้าสังเกตไม่ออกหรือ ว่านางถนัดแนวรับมากกว่าแนวรุก “
ได้ยินเสด็จลุง ตรัสบอกมาดังนั้น มยุราเทวี เองก็เพิ่งจะคิดได้ นับตั้งแต่ต่อสู้ วิชาของ อัคคีนาคา จะเป็นแนวรับเสียมาก แต่วิชาแนวรุกของ มยุราเทวี ต่างหากที่ทำอะไร อัคคีนาคา ไม่ได้
“ เสียดายนะเพคะ เสด็จลุงที่หม่อมฉันไม่มีพระเวทย์เพชรมหากาฬ บ้าง ? ไม่อย่างนั้น หม่อมฉันคงจะต่อสู้กับนางได้ดีกว่านี้ “
“ ถึงเจ้าจะไม่มีพระเวทย์เพชรมหากาฬ แต่ใช่ว่าเจ้าจะเอาชนะนางไม่ได้หรอกนะ “
ดวงตาของสุบรรณ เป็นมันวาว คล้ายกับไม่เห็นด้วยกับคำพูดของหลานสาวตนเอง กลับกันที่ มยุราเทวี สนใจในคำพูดของเสด็จลุง
“ หมายความว่าอย่างไรเพคะเสด็จ ? “
“ ก็หมายความว่า ถึงเจ้าจะไม่มีพระเวทย์เพชรมหากาฬ แต่เจ้าก็สามารถเรียนพระเวทย์อื่นที่มีอนุภาพไม่ด้อยกว่าพระเวทย์เพชรมหากาฬเลยนะสิ “
มยุราเทวี มีสีหน้าตกใจ ไม่คิดว่าในโลกนี้ยังมีพระเวทย์ที่จะมีอานุภาพใกล้เคียงกับพระเวทย์เพชรมหากาฬได้
“ ที่ลุงพาเจ้าออกมาข้างนอกก็เพราะว่าลุงจะสอนพระเวทย์นี้ให้กับเจ้า “
มยุราเทวี เหมือนโดนสะกดไม่เป็นตัวของตัวเองในใจของนางเหมือนมีอะไรบางอย่างกระตุ้น จนอดใจไม่ไหวรีบถามเสด็จลุงในทันที
“ มันคือพระเวทย์อะไรหรือเพคะเสด็จลุง “
สุบรรณ ยิ้มออกมาก่อนเดินเข้ามาใกล้หลานสาวของตนเอง พลางจ้องมองไปในดวงตาของ มยุราเทวี เหมือนกำลังเข้าไปในก้นบึ้งในหัวใจของนาง มองเห็นความกระตือรือร้นและความต้องการที่อยู่ในใจของหลานสาวอย่างชัดเจน ก่อนเอ่ยตอบอย่างช้า ๆ
“ พระเวทย์ผลึกศิลา !!!!!  “
    .............รุ่งขึ้น พระพันปี คีตรนาคราช อานนทนาคราช อินทรนาคราช จามนาคราช พระนางทั้งสี่ และพระธิดาอีกสามพระองค์ ต่างตามขบวนเสด็จออกจากนครบาดาล พร้อมด้วยทหารจำนวนหนึ่ง เพื่อมาส่ง อัคคีนาคา ยังชายฝั่งทะเลตะวันออก เมื่อขบวนเหล่านาคทั้งหมดโผล่พ้นขึ้นจากน้ำ ก็กลับกลายร่างเป็นมนุษย์ ต่างยืนมองไปยังรอบๆ บริเวณนั้น
“ สงสัยเทพมาตุลี ยังไม่มา “
อานนทนาคราช เอ่ยขึ้นในขณะเดียวกันก็สำรวจเหตุการณ์รอบๆ ชายฝั่งไปด้วย
“ อีกเดี๋ยวก็คงจะมาพระเจ้าข้า เจ้าพี่ เทพมาตุลี คงจะรอให้เหล่าเทพคนอื่นๆ มากันครบเสียก่อน “
อินทรนาคราช บอกต่อผู้เป็นพี่ชาย ฝ่ายธิดานาคทั้งสามถึงแม้ว่าจะมีความเศร้าในการออกจากนอกนครบาดาลเพื่อมาส่ง อัคคีนาคา หากแต่เมื่อเห็นโลกภายนอกต่างก็อดจ้องมองสิ่งต่างๆ ไม่ได้จนทำให้ลืมเรื่องของ อัคคีนาคา เสียสนิท
“ นี้พวกเจ้าอย่าเที่ยววิ่งไปไหนไกลล่ะ อย่างไรแถวนี้ก็อาจมีอันตรายอยู่ เข้าใจไหม ? “
พระนางรัญญานาคินี บอกต่อเหล่าธิดานาคทั้งสาม
“ เพคะ เสด็จแม่ หม่อมฉัน กุสุมาวดี และ กรรณิการ์นาคี จะไม่ไปไหนไกลเพคะ “
เมธาวดี บอกต่อเสด็จแม่ แต่ทั้งสามก็อดใจไปวิ่งเล่นบนชายหาดไม่ได้ ขณะที่ยังไม่มีใครสังเกตเห็น กรรณิการ์นาคี เผลอตัวเดินไปไกลจากจุดที่ยืนอยู่กับคนอื่นๆ นาง จ้องมองทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็นซึ่งล้วนตื่นตาแก่นางอย่างยิ่ง นางไม่เคยออกจากนครบาดาลเลย นี้เป็นครั้งแรกที่นางออกมาจากนครบาดาล  นางมองดูท้องฟ้า ดวงอาทิตย์ และแสงแดดที่กระทบกับตัวของนาง เป็นความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย กรรณิการ์นาคี กระโดดขึ้นไปยืนบนโขดหินใหญ่ก้อนหนึ่งและหันหลังให้ทะเล มองสิ่งรอบๆ ที่อยู่เบื้องหน้าของนาง เห็นภูเขาอยู่ไกลลิบ นางพยายามเพ่งมองและขยับก้าวขาไปอีกข้างหนึ่ง แต่นางไม่ทันระวังเหยียบก้อนหินพลาด ทำให้ตัวของนางพลัดตกลงไปในทะเล
“ ว๊าย “
กรรณิการ์นาคี ร้องออกมาด้วยความตกใจ ร่างของตนเองใกล้จะตกถึงพื้นน้ำอยู่แล้ว  อยู่ๆ ร่างของนางกลับลอยอยู่เหนือพื้นน้ำทะเลไม่ตกลงไป มีสายลมกลุ่มหนึ่งพัดพาร่างของนางให้ลอยขึ้นมาและสายลมยังก่อตัวเป็นร่างๆ หนึ่งอยู่ใกล้กับตัวนาง กำลังอุ้มนางไว้ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นชายหนุ่มรูปงามผมยาว ความหล่อเหลาของชายผู้นี้ทำให้หัวใจของกรรณิการ์นาคี เต้นไม่เป็นจังหวะ ใบหน้าแดงซ่านด้วยความอาย ชายหนุ่มรูปงามยังยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ๆ ก่อนเอ่ยถามนางด้วยความห่วงใย
“ เจ้าเจ็บตรงไหนหรือเปล่า ? “
ได้ยินเสียงเหมือนต้องมนต์ กรรณิการ์นาคี เอ่ยตอบกลับไปคล้ายกับคนละเมอ
“ ข้าไม่เป็นไร...... ขอบใจเจ้ามาก “
ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นก็ยิ้มให้กับนาง ในใจนึกนิยมในความน่ารักของนางไม่น้อย
“ เสียงของนางช่างไพเราะน่าฟัง  และตัวของนางมีกลิ่นหอมคล้ายกับดอกไม้อีกด้วย “
คิดแล้วก็รีบพานางลงยังชายหาดและปล่อยตัวนางจากแขนทั้งสองข้างของตนเอง พลางจ้องมองไปรอบๆ คล้ายหาใครอยู่
“ เจ้าอยู่แถวๆ นี้หรือ “
กรรณิการ์นาคี จ้องมองชายหนุ่มผมยาวอย่างลืมตัว หนุ่มรูปงาม ผมยาว ปากนิด จมูกหน่อย พูดจาไพเราะ ยามสัมผัสตัวคราใดคล้ายสายลมที่อบอุ่น
“ ข้าไม่ได้อยู่ แถวนี้หรอก ข้ามาส่งเพื่อนของข้านะ “
“ ส่ง ???  เจ้ามาส่งใคร และทำไมต้องส่งด้วย ? “
หนุ่มรูปงามแกล้งถามนางเพื่อที่จะได้คุยกับนางให้นานขึ้น แต่ กรรณิการ์นาคี เกิดกลัวทุกคนจะตามหา และเป็นเรื่องขึ้น รีบเดินกลับไปรวมยังที่เสด็จแม่ของนางยืนอยู่ ชายหนุ่มเจ้าเล่ห์เห็นนางรีบเดินจากไปก็อดติดตามนางไปไม่ได้ กรรณิการ์นาคีรีบเดินไปหวังจะให้พ้นจากชายหนุ่มคนนี้ หากแต่ยิ่งเดินก็เหมือนยิ่งช้ากว่า เดินมาได้ไม่นาน ก็แลเห็นเสด็จแม่ของนางยืนอยู่พร้อมด้วยคนอื่นๆ รวมทั้งเมธาวดี และ กุสุมาวดี ด้วย ซึ่งต่างพากันจ้องมองหา กรรณิการ์นาคี อยู่
“ เจ้ารีบหนีไปซะ เดี๋ยวถ้าเสด็จแม่ข้าเห็นเข้า เกิดเรื่องแน่ “
ชายหนุ่มได้ใจ ยื่นหน้าเข้ามาเกือบแนบชิดแก้มนางกระซิบเบาๆ
“ เจ้าเป็นห่วงข้าหรือ ? ไม่ต้องห่วงหรอกไม่มีใครทำร้ายข้าได้ง่าย ๆ หรอก ยิ่งมีเจ้าอยู่ด้วยข้ายิ่งมีกำลังใจมากขึ้นรู้ไหม ? “
“ บ้าสิ “
กรรณิการ์นาคี อายหน้าแดง แต่ชายหนุ่มผมยาว ยิ้มทะเล้นออกมาชอบใจในท่าทีของนางที่มีให้แก่เขา ก่อนผละจากตัวนาง เดินไปเข้าไปหาทางกลุ่มของ อินทรนาคราช โดยมีสายตาของทุกคนกำลังยืนตาขวางมองเขาอยู่ ยกเว้น อินทรนาคราช จามนาคราช และ อัคคีนาคา เท่านั้น ทางพระนางกิณยราตี รีบไปดึงตัวของ กรรณิการ์นาคี เข้ามา
“ มานี้เลย กรรณิการ์นาคี เจ้าหายไปไหนมา แม่เป็นห่วงเจ้าเสียแทบแย่ แล้วเจ้าไปรู้จักมักจี๋ กับชายหนุ่มนั้นตอนไหน ? “
“ กรรณิการ์นาคี อย่างงั้นหรือ ช่างงดงามสมกับชื่อเสียจริงๆ “
ชายหนุ่มผมยาวยิ้มกริ่มอยู่ในใจเมื่อได้รู้ชื่อของนาง แต่กรรณิการ์นาคี ไม่รู้จะทำหน้าอย่างไร กลัวเสด็จแม่ก็กลัว ทั้งอายสายตาของ เมธาวดี และ กุสุมาวดี ด้วย
“ ใครหรือ กรรณิการ์นาคี หล่อดีนะ ? “
กุสุมาวดี สนใจชายหนุ่มที่มาด้วยกันกับกรรณิการ์นาคี หากแต่ได้ยินเสียงกระแอมของพระนางอินทราณีเสด็จแม่ของนาง กุสุมาวดี เลยรีบหยุดพูดเพราะกลัวตนเองจะโดนหางเลขเข้าไปด้วย ชายหนุ่มผมยาวรู้สึกขันกับท่าทางหวงลูกสาว ของเสด็จแม่ของนาง หากแต่ไม่กล้าหัวเราะออกมาตรงๆ เพราะกลัวว่าตนเองจะถูกเสด็จแม่ของนางเขม่นเอาเข้า  ทาง อัคคีนาคา ส่ายหน้าด้วยอย่างเบื่อหน่ายเมื่อได้เห็นสิ่งที่ชายหนุ่มทำเลยอดต่อว่าไม่ได้
“ อนันตวาโย ข้าว่าเจ้าจงใจโผล่ผิดที่ไปหน่อยนะ “
อนันตวาโย หัวเราะออกมาเมื่อได้ยินคำพูดของ อัคคีนาคา พลางเดินเข้าไปใกล้ตัวนาง ก่อนจะโยนตัวขึ้นไปนั่งบนก้อนหินก้อนหนึ่งและตอบ อัคคีนาคา กลับไป
“ อัคคีนาคา ข้านะหรือโผล่ผิดที่ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่เคยโผล่ผิดที่เสียหน่อย ข้าเป็นลม ลมย่อมจะสามารถพัดผ่านไปผ่านมาได้เสมอไม่เคยหยุดนิ่ง เจ้าจะหาว่าข้าโผล่ผิดที่ได้อย่างไร ? “
อนันตวาโย แก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ หากแต่การพูดจาของเขาและ อัคคีนาคา ทำให้ทุกคนๆ สนใจต่างสงสัยว่า อนันตวาโย คือใคร ?
“ ท่าน จามนาคราช เจ้านี้เป็นใครกัน ทำไมถึงสนิทสนมกับอัคคีนาคานัก ? “
พระนางรัญญานาคินี รีบตรัสถามจามนาคราช ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ไม่ใช่แค่พระนางเท่านั้นที่สนใจคนอื่นๆ ต่างก็รอคำตอบจากจามนาคราชอยู่ โดยเฉพาะกรรณิการ์นาคี ที่เห็น อัคคีนาคา ยืนคุยกับ อนันตวาโย เหมือนรู้สึกเจ็บปวดที่ใจอย่างไรก็บอกไม่ถูก
“ อนันตวาโย ทายาทเทพแห่งวายุ ๑ ใน ๗ ผู้ผ่านการคัดเลือกปราบกัลย์ปาอสูร “
“ เจ้าหมอนี้นะเหรอ ? ทายาทเทพแห่งวายุ ท่างทางเจ้าชู้อย่างนี้จะไปปราบอสูรหรือไปเกี้ยวอสูรสาวกันแน่ “
พระนางกิณยราตี ตรัสออกมาแบบไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไร ยิ่งเห็นท่าทางกรรณิการ์นาคี ด้วยแล้วยิ่งไม่ค่อยจะพอพระทัยมากขึ้น ฝ่ายอนันตวาโย แม้ได้ยินรับสั่งของพระนางก็แกล้งทำเป็นไม่สนใจ ทำหูทวนลมเสีย พลางหันมาพูดคุยกับ อัคคีนาคา ต่อ
“ ข้านึกว่าข้าจะมาเป็นคนแรกเสียอีก “
อัคคีนาคา เอนตัวไปผิงยังโขดหินใกล้กันก่อนบอกต่อ อนันตวาโย ว่า
“ เจ้าจะมาก่อนข้าได้อย่างไร อนันตวาโย เจ้าลืมไปแล้วเหรอ ? แถวนี้เป็นถิ่นของข้า อย่างไรข้าย่อมมาถึงก่อนคนอื่นเสมอ “
อนันตวาโย พยักหน้าอย่างเห็นด้วยและนึกถึงเพื่อนรักของตนขึ้นมา ไม่รู้ว่าปานนี้ทำไมนางยังถึงไม่มาซักที
“ นี้ นันทาเทพธิดา นางไปทำอะไรอยู่ทำไมถึงไม่มาซักที สงสัยเสียเวลาหาคนดูแลตาชั่งสวรรค์แทนอยู่กระมัง “
ยังไม่ทันขาดคำ อนันตวาโย มีสีหน้าแตกตื่นเขาสัมผัสพลังอะไรบางอย่างได้
“ มีอะไรหรือ อนันตวาโย ทำไมทำหน้าตาแปลกๆ อย่างนั้น “
อนันตวาโย หลับตาลงหน่อยหนึ่ง และลืมตาขึ้นยิ้มออกมา เหมือนรู้แล้วว่าผู้ที่มาคือใคร ?
“ สายลมกำลังบอกข้าว่า ความหนาวเย็นกำลังมา “
ฉับพลันความเย็นเริ่มแผ่ซ่านเข้ามาใกล้ทุกขณะ หลายๆคนรู้สึกเย็นวูบวาบ อนันตวาโย มองไปที่ท้องทะเลทำให้ทุกคนต่างมองไปในทิศทางที่เข้ามอง แลเห็นพยัคฆ์สีขาวสลับเหลืองแกมริ้วดำเป็นบางแห่งที่ตัว วิ่งอยู่บนน้ำทะเล ก่อนจะกระโจนมายังชายฝั่งหยุดตัวลงยังชายหาดใกล้กับ อนันตวาโย และ อัคคีนาคา กลายร่างเป็นชายหนุ่มผู้สะพายคู่
“ ๑ ใน ๗ ผู้ผ่านการคัดเลือกปราบกัลย์ปาอสูร ทายาทเทพแห่งพยัคฆ์ พยัคฆ์วารี.....มาแล้ว “
ทั้งสามต่างส่งสายตาให้แก่กันเป็นเชิงทักทาย ยังไม่ทันได้พูดคุยกันมีเมฆสีขาวก้อนหนึ่งเคลื่อนตัวเขามาใกล้คนทั้งสามก่อนจะเห็นหญิงสาวคนหนึ่งกระโดนลงจากก้อนเฆม พอนางดีดนิ้วก้อนเฆมก็เคลื่อนตัวหายไป
“  ๑ ใน ๗ ผู้ผ่านการคัดเลือกปราบกัลย์ปาอสูร ทายาทเทพแห่งนารี นันทาเทพธิดา “
พอตัวของ นันทาเทพธิดา ลงถึงพื้นทรายก็เริ่มต่อว่าต่อขาน อนันตวาโย ทันที 
“ อนันตวาโย เจ้าทำอย่างนี้ได้ไง ชิงหนีมาก่อน ปล่อยให้ข้าคนเดียวรับมือกับพวกนาง อยู่คนเดียว “
นันทาเทพธิดา โมโหจนหน้าแดง เหตุที่นางมาช้าก็เพราะว่า นางช่วยรับมือบรรดาสาวๆ ของ อนันตวาโย ที่มาโอดครวญอยู่หน้าวิมานของเขา เมื่อต่างรู้ว่า อนันตวาโย จะไม่กลับมาอยู่ในวิมานอีกนาน
“ ใครบอกเจ้าว่าข้าหนี ตั้งแต่เมื่อวาน แล้วข้ายังไม่ได้เข้าไปในวิมานเลย เจ้าจะหาว่าข้ามาหนีได้ไง “
อนันตวาโย ขบขันกับท่าทีของ นันทาเทพธิดา นับตั้งแต่เขากับนางเป็นเพื่อนกันมาคงจะมีครั้งนี้เท่านั้นที่เขาทำให้นางโกรธอย่างนี้ได้ ฝ่าย นันทาเทพธิดา โมโหกระฟันกระเฟียดเมื่อได้ยินคำตอบจากเพื่อนรัก
“ รู้งี้ ข้าไม่หาเจ้าที่วิมานให้เมื่อยก็ดี “
พยัคฆ์วารี ยืนฟังอยู่นานสุดแสนจะเซ็งในกิติศัพท์ความเจ้าชู้ของ อนันตวาโย หันมามองทาง นันทาเทพธิดา ก็เหนื่อยใจแทน จึงพูดกับ นันทาเทพธิดา ขึ้น
“ เอาน่า ๆ พวกเจ้าสองคนพอได้แล้ว ไหนๆ เรื่องมันก็แล้วไปแล้ว นี้ข้านึกว่าเจ้าชินกับนิสัยของ อนันตวาโย แล้วซะอีก “
นันทาเทพธิดาเอง บ่นกระปอดกระแปดให้ พยัคฆ์วารี ฟัง
“ นิสัย นะชิน แต่ไอ้ที่ผลุบๆโผล่ๆ ที่โน้นทีนี้ที ทำอย่างไง ข้าก็ชินไม่ลง “
พูดคุยกันได้นิดหน่อยทั้งหมดรู้สึกว่าแผ่นดินโคลงเคลง เหมือนมีอะไรหนักๆ กำลังกระแทกแผ่นดินอยู่ พร้อมการปรากฏตัวของยักษ์สองตนชายหนึ่งหญิงหนึ่ง พวกเขาต่างรู้แล้วว่าผู้มาเป็นใคร แต่พวกของ อินทรนาคราช บางส่วนถึงกับแตกตื่น
“ อ..อสูร “
พระนาง มัณนิยา ทรงตกพระทัยห่วงความปลอดภัยของ อัคคีนาคา พลางจะตะโกนบอกให้ อัคคีนาคา หนีไป แต่พระนางมัณนิยา สังเกตเห็นบุตรสาวตนเองยืนนิ่งอยู่กับเหล่าผู้ผ่านการคัดเลือกซึ่งต่างก็มองดูอสูรทั้งสองอยู่ จึงคิดว่าคงไม่ใช่ศัตรูของพวกเขาและ อัคคีนาคา คงจะรู้จัก พระนางจึงไม่คิดจะหลบหนีไปไหน
“ สองคนนี้ก็เหมือนกัน น่าจะหัดมาอย่างปกติธรรมดากะเขาบ้าง โผล่มาแต่ละที ขวัญหนีดีฝ่อกันหมด “
ตัวของ นันทาเทพธิดา โกรธ อนันตวาโย อยู่เริ่มที่จะพาลไปหาคนอื่นบ้าง ทางยักษ์หนุ่มสาวย่อกายลงมาเท่ากับพวกเขาและเดินเข้ามารวมกลุ่มกับทั้งสามคน ยักษ์หนุ่มสาวทั้งสองก็คือ
“๑ ใน ๗  ผู้ผ่านการคัดเลือกปราบกัลย์ปาอสูร ทายาทเทพแห่งยักษา ตรัสสูร และ เปมิกา ดวงใจมาร “
ตรัยสูร และ เปมิกา ได้ยิน นันทาเทพธิดา พูดดังนั้นต่างก็รีบขอโทษ ต่อพวกเขาทันที
“ พวกข้าขอโทษด้วย นะ นันทาเทพธิดา ข้ายังไม่ชินกับการย่อร่างแบบนี้นะ เผลอตัวทีไร ชอบคืนร่างทุกที  “
เปมิกา เอ่ยปากขอโทษต่อ นันทาเทพธิดา อย่างน้อยก็ทำให้ นันทาเทพธิดา อารมณ์ ดีขึ้นบ้าง
“ ไม่เป็นไรหรอก ดวงใจมาร อย่างน้อยเจ้าก็ดีกว่าคนบางคนผิดแล้วยังไม่ยอมรับผิดอีก “
นันทาเทพธิดา พูดแขวะ อนันตวาโย แต่ตัวเขาทำไม่รู้ไม่ชี้ นอนมองท้องฟ้าผิวปากอย่างสบายอารมณ์
“ น่าจะจับมากระทืบซักทีดีไหมเนี้ย ? “
นันทาเทพธิดา เดือดดาลอยู่ในใจ กำลังคิดจะขยับลาก อนันตวาโย ลงมาจากก้อนหิน มีลมพัดมาอย่างแรงเหมือนมีใครสร้างต่างพากันมองขึ้นไปบนท้องฟ้า และได้ยินเสียง อนันตวาโย บอกต่อ อัคคีนาคา
“ คู่หูเจ้ามาแล้ว อัคคีนาคา “
“๑ ใน ๗ ผู้ผ่านการคัดเลือกปราบกัลย์ปาอสูร ทายาทเทพแห่งวิหค มยุราเทวี นกยูง “
บนท้องฟ้ามีร่างนกยักษ์อยู่ ๔ ตัว ได้แก่ สุบรรณ นิลบุตรปักษี  นิลกาฬหัสดายุ และ มยุราเทวี ร่อนลงมายังพื้นหาดทรายข้างล่างก็กลายร่างเป็นมนุษย์ ๔ คน ในขณะเดียวกันสายตาของสุบรรณ ก็ปะทะ ทักทายกับ อินทรนาคราช ก่อนใครอื่น ขณะที่ มยุราเทวี เดินเข้าหา อัคคีนาคา และเข้ามารวมอยู่ในกลุ่มด้วย
“ ข้ารอเจ้าตั้งนานแน๊ะ นกยูง “
“ ขอโทษด้วยนะ อัคคีนาคา ที่ข้าทำให้เจ้ารอข้าเสียนาน “
อัคคีนาคา รู้สึกแปลกใจเพราะเหมือนกับจะสังเกตเห็นว่าตัวของ มยุราเทวี คล้ายจะเปล่งแสงได้และผิวพรรณของนางก็ดูแปลกๆ ผิวของนางเหมือนจะขาวขึ้นมากกว่าตอนที่พบกันครั้งแรกเสียอีก ส่วนสุบรรณเดินเข้าไปหาพระพันปี คีตรนาคราช เอ่ยทักทายคาราวะอย่างนอบน้อม
“ สุบรรณ ขอคาราวะต่อพระพันปี คีตรนาคราช แห่งนครบาดาล “
พระพันปี คีตรนาคราช เองก็ทักทายสุบรรณอย่างเสียไม่ได้
“ ตามสบายเถอะ ท่านสุบรรณ นั้นนะหรือ หลานสาวของท่าน ดูนางหน่วยก้านไม่เบาเลยนี้นา ท่านมีลูกหลานที่มีความสามารถเช่นนี้คงภูมิใจไม่น้อยเลยทีเดียวใช่ไหม ? “
สุบรรณ ตอบพระพันปี คีตรนาคราช กลับไปคล้ายจะถ่อมตัว
“ นกยูง นางยังไม่เก่งกล้าเท่าไรหรอกพระเจ้าข้า ไหนเลยจะสู้ อัคคีนาคา หลานสาวของ อินทรนาคราช ได้ เขาทำให้หม่อมฉันคิดได้เสมอว่าอะไรๆ ในโลกนี้ทุกสิ่งทุกอย่างใช่ว่าจะเป็นอย่างที่เราคิดเสมอไป “
สุบรรณ จงใจพูดคุยถึง อินทรนาคราช โดยผ่านพระพันปี คีตรนาคราช แต่ อินทรนาคราช กลับไม่ยอมพูดจาตอบโต้ด้วย อินทรนาคราช ยืนอยู่เฉย ๆ ทำเป็นไม่สนใจในสิ่งที่สุบรรณพูดเลย ทาง อัคคีนาคา พา มยุราเทวี ไปพบกับพระมารดาของนางซึ่งยืนอยู่ใกล้กับจามนาคราช ผู้เป็นบิดา
“ นกยูง นี้พระนางมัณนิยา เสด็จแม่ของข้าเอง “
มยุราเทวี รีบถวายพระพรต่อพระมารดาของ อัคคีนาคา
“ หม่อมฉัน นกยูง ขอถวายพระพรเพคะ “
พระนางมัณนิยา ทรงทอดพระเนตรมอง มยุราเทวี นึกนิยมในความน่ารักของนางไม่น้อย ถึงแม้พระนางจะไม่ค่อยชอบพวกเผ่าพันธุ์วิหคก็ตาม แต่ สำหรับมยุราเทวี ถือเป็นข้อยกเว้น เพราะนางเป็นเพื่อนของ อัคคีนาคา
“ ตามสบายเถอะ  เจ้าดูไม่เหมือนกับคนอื่นๆ ในหมู่พวกเจ้าเลยนะ  ข้าดีใจที่เจ้าเป็นเพื่อนกับอัคคีนาคา ได้ “
จากนั้น อัคคีนาคา ก็แนะนำคนอื่นๆ ให้มยุราเทวี ได้รู้จักรวมทั้งกุสุมาวดี เมธาวดี และกรรณิการ์นาคี เพื่อนรักของ อัคคีนาคา ด้วย เพื่อนรักทั้งสามยิ้มให้กับ มยุราเทวี อย่างเป็นมิตร ในใจของพวกนางคิดว่า มยุราเทวี และ อัคคีนาคา มีหน้าตาที่งดงาม ไม่ด้อยไปกว่ากันเลย
“ เจ้าเห็นเหมือนที่ข้าเห็นหรือเปล่า ? นิลบุตรปักษี หญิงสาวชาวนครบาดาลนี้หน้าตางดงามกันทุกคนเลยนะ ว่าไหม ? “
“ หึ ข้าว่าพวกนางก็หน้าตาธรรมดา ไม่เห็นจะมีใครพิเศษกว่าตรงไหนเลย “
ตัว นิลบุตรปักษี พูดแย้งความคิดของ นิลกาฬหัสดายุ แต่จริงๆ แล้วในใจของเขาไม่มีแก่ใจจะสนใจผู้หญิงคนไหนมากกว่า จึงมองข้ามความงามของพวกนางไป
“ ก็เพราะว่าเจ้านะมีใครอยู่ในใจแล้วต่างหากเล่า ถึงมองข้ามความงามของพวกนางไป “
นิลบุตรปักษี ตกใจเมื่อได้ยิน นิลกาฬหัสดายุ พูดเช่นนั้นจึงรีบถาม นิลกาฬหัสดายุ ออกมา
“ เจ้าหมายความว่าไง นิลกาฬหัสดายุ พูดออกมาให้ดีๆ นะ “
นิลบุตรทำท่าทีข่มขู่ นิลกาฬหัสดายุ แต่ก็เท่ากับว่าเป็นการยืนยันในสิ่งที่ นิลกาฬหัสดายุ คิดไว้ จึงเข้าไปใกล้ๆ ตัว นิลบุตรปักษี แอบกระซิบกับเขาเพราะกลัวว่าท่านสุบรรณ จะได้ยิน
“ ก็เจ้าชอบนางไม่ใช่หรือ ? นิลบุตรปักษี นี้ท่าท่านสุบรรณ รู้เข้าจะว่าอย่างไรน่า “
“ อย่านะ นิลกาฬหัสดายุ ไม่อย่างนั้นข้าเอาเจ้าตายแน่ “
นิลบุตรปักษี พูดขู่ นิลกาฬหัสดายุ เอาไว้ ทั้งโกรธทั้งอาย จนหน้าแดง นิลกาฬหัสดายุ แอบหัวเราะออกมาเบาๆ เขาไม่ได้กลัว นิลบุตรปักษี เลย เพียงแต่ไม่อยากให้เพื่อนรักต้องเจ็บตัวเพราะฝีมือของ ท่านสุบรรณ เพราะแค่นี้ นิลบุตรปักษี เอง ก็คงช้ำใจพออยู่แล้ว
“ ก็ได้ นี้ถือว่าเจ้าติดบุญคุณข้าอยู่นะ อย่าลืมหาทางชดใช้คืนข้าด้วยล่ะ “
นิลบุตรปักษี โล่งใจที่ความลับนี้จะยังไม่มีใครรู้ ผ่านไปสักครู่หนึ่งมีเทพองค์หนึ่งลอยลงมาจากฟากฟ้า ลงมายืนใกล้กับจุดที่พวก อนันตวาโย ยืนอยู่ เมื่อมองเห็นจนชัดจึงได้รู้ว่า เทพองค์นั้นก็คือ เทพมาตุลี นั้นเอง อัคคีนาคา และ มยุราเทวี จึงรีบเข้าไปรวมกลุ่มกับพวก อนันตวาโย ในทันที
“ พวกเจ้ามากันครบก็ดีแล้ว ข้าจะได้บอกทางที่พวกเจ้าจะต้องออกไปสืบเสาะหาที่อยู่ของ กัลย์ปาอสูรให้ “
ทั้งหมดต่างตั้งใจฟังคำพูดของเทพมาตุลี
“ ตามข่าวที่สายสืบเทพหามาได้นั้น กัลย์ปาอสูร เริ่มขยายกองกำลังของมันมากขึ้น ขณะนี้พวกมันมีกองกำลังหลายแสนและขุนพลอสูรอยู่หลายตน มันได้เริ่มส่งพวกเหล่าอสูรออกมารบกวนในโลกมนุษย์บ้างแล้ว “
ตรัยสูรไม่เข้าใจ ว่าทำไม กัลย์ปาอสูร จึงต้องระดมพลมากเช่นนั้นรีบถามเทพมาตุลี
“ ท่านเทพมาตุลี ข้าไม่เข้าใจ ทำไม กัลย์ปาอสูร จึงต้องรวบรวมสร้างกองกำลังมากขนาดนั้น ความจริงแล้ว กัลย์ปาอสูร เพียงตั้งใจจะบุกสวรรค์เป็นหลักมิใช่หรือ ? เพียงแค่กองกำลังที่มีเท่าในคราวก่อนของจ้าวอสูร ก็น่าจะเพียงพอแล้วนี้ “
เทพมาตุลี พยักหน้าอย่างเห็นด้วยหากแต่ สีหน้าก็เหมือนจะปฏิเสธความคิดของตรัยสูร เช่นกัน
“ ตอนแรกพวกเราก็คิดอย่างที่เจ้าว่า แต่พอสืบเข้าจริงๆ แล้ว มันกลับเป็นไปอีกอย่างหนึ่งนะสิ “
นันทาเทพธิดา แสดงสีหน้าไม่เข้าใจ
“ หมายความว่าอย่างไร ท่านเทพมาตุลี ท่านคงไม่ใช่บอกพวกข้าว่า กัลย์ปาอสูร คิดจะทำสงครามครั้งใหญ่หรอกนะ “
เทพมาตุลี สวนบอก นันทาเทพธิดา แบบไม่ทันขาดคำ
“ ถูกต้องแล้ว นันทาเทพธิดา กัลย์ปาอสูรไม่ใช่แค่ต้องการแค่สวรรค์แต่ต้องการเป็นใหญ่ทั้งสามโลก มันเริ่มแผ่ขยายอิทธิพลของมันเริ่มจากในโลกมนุษย์ก่อน กองกำลังของพวกมันเริ่มบุกโจมตีโลกมนุษย์ โดยเริ่มจากเมืองต่างในโลกมนุษย์ ทั้งสะสมกับกำลังพล เสบียงอาหาร และอาวุธ กัลย์ปาอสูร แบ่งทัพของมันออกเป็น ๓ ทัพใหญ่ ได้แก่ ทัพประตูมนุษย์  ทัพประตูสวรรค์ ทัพประตูนรกภูมิ ต่างมีหน้าที่แยกย้ายกันบุกทั้งสามโลกพร้อมกัน ข่าวแจ้งมาว่า ตัวมันจะนำทัพประตูสวรรค์บุกเข้าเขตแดนสวรรค์ในอีกไม่ช้านี้ “
ทั้งหมดต่างมีสีหน้าตกใจไม่คิดจะได้เจอกับกองทัพอสูรแบบนี้
“ จะบ้าแล้วเหรอ ? บุกทีเดียวสามทัพ แล้วพวกข้าจะเอาปัญญาที่ไหนไปยับยั้งถึงสามทัพได้ นี้มันไม่ใช่การปราบอสูรแล้วนะ แต่เป็นการทำสงครามเพื่อปราบอสูร ต่างหาก “
พยัคฆ์วารี เดือดดาลใจยิ่งนัก ความจริงเขาไม่ได้กลัว กัลย์ปาอสูร หากแต่ต้องเสียเวลาต่อสู้กับทัพอสูรเหล่านี้เกรงว่าใช้เวลาอีกเป็นร้อยปีก็อาจไม่มีทางได้เจอแม้แต่เงาของ กัลย์ปาอสูร
“ ก็ใครบอกเจ้าว่า นี้เป็นการปราบอสูรเท่านั้นเล่า นี้เป็นการทำสงครามครั้งใหญ่ของสามโลกเลยทีเดียว แม้แต่นครบาดาล และประสาทเทพปักษา และเมืองต่างๆ ของพวกเจ้าก็ต้องเตรียมตัวระวังรับศึกที่จะเกิดขึ้นด้วย “
อัคคีนาคา เองนางเป็นห่วงผู้คนในนครบาดาล หากแต่นางเป็นถึง ๑ ใน ๗ ผู้ปราบกัลย์ปาอสูรจะทำท่าทางเหมือนเมื่อก่อนได้อย่างไร นางเก็บความคิดไว้ในใจของตนเอง ก่อนจะถาม เทพมาตุลี ต่อ
“ แล้วพวกข้าจะต้องทำอย่างไร เกี่ยวกับการศึกนี้ “
เทพมาตุลี ชอบใจยิ่งนักที่อัคคีนาคา ถามได้ตรงประเด็นดี รีบตอบกลับในทันที
“ ศึกครั้งนี้อย่างที่ข้าบอกพวกเจ้าแล้ว ว่า กัลย์ปาอสูร จะบุกพร้อมกันทั้งสามโลก ทางสวรรค์และนรกภูมิ ได้ประชุมกันแล้วพวกเราได้จัดกองกำลังขึ้นเพื่อต้านทานการบุกของกัลย์ปาอสูร ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาทางด้าน สวรรค์และนรกภูมิ ส่วนทางด้านนครบาดาล และ ประสาทเทพปักษา และเมืองต่างๆที่เป็นพันธมิตรกับกองกำลังของเหล่าเทพ พวกเราจะส่งกองทัพมาช่วยเป็นทัพหนุนและเป็นกำลังเสริมให้พวกเขาด้วย เพราะฉะนั้นปัญหาจึงมีแต่ ... ”
“ จึงมีแต่ทางด้านโลกมนุษย์เท่านั้นที่ไม่มีกองกำลังเสริมอื่นใดมาช่วย  อีกทั้งเมืองต่างๆ ที่ตั้งในโลกมนุษย์หรือเมืองของเหล่ายักษ์หรือกึ่งเทพตนอื่นๆ ที่ตั้งอยู่ต่างอยู่ไม่เป็นมิตรกันทำให้เวลากองทัพ ประตูมนุษย์ ของ กัลย์ปาอสูร เดินทัพมาไม่สามารถจะหาแนวร่วมในการต่อสู้กับกองทัพ ประตูมนุษย์ ของ กัลย์ปาอสูรได้ และผู้ที่มีพระเวทย์สูงอยู่ในโลกมนุษย์ยังมีไม่มากพอที่จะต่อกรกับขุนพลอสูร ดังนั้นทัพของโลกมนุษย์จึงอาจถูกตีแตกได้ง่ายกว่า ใช่ไหม ? ท่านเทพมาตุลี “
มยุราเทวี วิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้นออกมาให้ทุกคนได้ฟังกัน
“ ใช่แล้ว มยุราเทวี เพราะฉะนั้นหน้าที่หลักของพวกเจ้าจึงมีอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือ พวกเจ้าต้องจัดตั้งรวบรวมกองกำลังสร้างกองทัพขึ้นในโลกมนุษย์ในเมืองต่างๆ เพื่อยับยั้งการเดินทัพประตูมนุษย์ ของ กัลย์ปาอสูร ที่เกิดขึ้นในขณะนี้  และอย่างที่สอง เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ หาทางกำจัด กัลย์ปาอสูรให้ได้ ก่อนที่มันจะชุบหกอาวุธฝ่ายมารสำเร็จและนำกองทัพ ประตูสวรรค์ บุกขึ้นเขตแดนสวรรค์ “
ทั้งเจ็ดคนต่างเข้าใจในคำพูดของเทพมาตุลี เป็นอย่างดี และรับรู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อเทพมาตุลี บอกให้พวกเขาทั้งเจ็ดได้เข้าใจถึงเหตุผลแล้วจึงบอกแหล่งที่กบดานของ กัลย์ปาอสูร ให้ทั้งเจ็ดฟัง
“ ตอนนี้ กัลย์ปาอสูร มันระวังตัวมาก เพราะมันกลัวว่าจะมีใครรู้ที่อยู่ของมันในขณะกำลังทำพิธีชุบหกอาวุธฝ่ายมาร ข่าวที่หาข้าหามาได้มีน้อยมาก เพียงแค่รู้ว่ามันสร้างอาณาจักรของมันอยู่ที่ ภูผาอสูร เท่านั้น แต่ ภูผาอสูร อยู่ที่ไหนนั้นไม่มีใครรู้ “
ทั้งเจ็ดต่างมองหน้ากัน พลางคิดว่าเมื่อเบาะแส น้อยอย่างนี้แล้วพวกเขาทั้งเจ็ดจะติดตามหา กัลย์ปาอสูร ได้จากที่ใด และจะมีใครรู้ว่า ภูผาอสูรอยู่ไหน ?
“ รู้เพียงเท่านี้พวกข้าจะติดตามหา กัลย์ปาอสูรได้อย่างไร ล่ะ ท่านเทพมาตุลี “
อนันตวาโย เอ่ยถามเทพมาตุลี ขึ้น
“ พวกเจ้าคงจะต้องติดตาม หาข่าวจากพวกอสูรเท่านั้น พวกเจ้าทั้งหมดจงไปตามทิศนี้ จะพบกำลังกองลาดตระเวนอสูรกลุ่มหนึ่ง ที่ลาดตระเวนหาข่าวและเสบียงอยู่ อาจจะได้เบาะแสของกัลย์ปาอสูรบ้าง ขอให้พวกเจ้าโชคดีก็แล้ว “
เทพมาตุลี ชี้นิ้วไปด้านทิศเหนือ ไปยังทางภูเขาลูกหนึ่ง ก่อนจะลอยตัวขึ้นไปยังบนท้องฟ้า และลอยหายไปจากสายตาของพวกเขาทั้งเจ็ด
“ โอ้โห้ มีประโยชน์มากเลยนะเนี้ย เบาะแสแค่นี้ มีค่าเกือบจะเป็นศูนย์เลย ทำไมไม่บอกพวกข้าด้วยว่าถ้าลมพัดไปทางให้ไปทางนั้นด้วยล่ะ “
นันทาเทพธิดา กระแทกอารมณ์ออกมา ศึกที่พวกนางทั้งหมดจะต้องเจอใหญ่หลวงกว่าที่พวกนางคิดไว้เสียอีก
“ เอาเถอะน่า นันทาเทพธิดา อย่างน้อยก็ยังดีกว่ามีค่าเป็นศูนย์นั้นแหละ “
อนันตวาโย เอ่ยปลอบเพื่อนรักของตนเอง เพราะใช่ว่าจะมีนางคนเดียวเสียเมื่อไรที่แบกรับภาระนี้ พวกเขาทั้งหมดต่างก็แบกรับภาระนี้ไว้ด้วยเช่นกัน อัคคีนาคาเดินเข้าไปทูลลาเหล่าพระญาติคนอื่น เสด็จลุงอินทรนาคราช และทูลลาเสด็จพ่อและเสด็จแม่ของนาง
“ หม่อมฉันทูลลาเสด็จพ่อ และเสด็จแม่ เพคะ พอเรื่องทุกอย่างจบลงแล้วหม่อมฉันจะรีบกลับมาเพคะ “
พระนางมัณนิยา ถึงจะทรงหักห้ามใจไว้แต่แรกแล้วแต่พอถึงเวลาจริงก็ทรงพระกรรณแสงออกมา สวมกอด อัคคีนาคา ไว้ และบอกอัคคีนาคา ว่า
“ จ๊ะ ลูกรักของแม่ ดูแลตัวเองให้ดีนะลูก แม่จะรอลูกกลับมา “
พระนางปล่อยพระวรกายจากลูกรัก ทอดพระเนตรมอง อัคคีนาคา เดินไปกลับรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ของนาง ขณะที่ มยุราเทวี ทูลลาเสด็จลุงของนางอยู่
“ หม่อมฉัน ฝากเสด็จลุงทูลลาเสด็จแม่ด้วยนะเพคะ “
“ เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก นกยูง เสด็จแม่ของเจ้าเข้าใจในเรื่องนี้ดีอยู่แล้ว “
สุบรรณ บอกหลานสาวให้หมดกังวล แต่แววตาบ่งบอกว่าเป็นห่วงหลานรักไม่น้อย
“ มยุราเทวี ระวังตัวด้วยนะ ถ้าเจ้าต้องการความช่วยเหลือก็รีบติดต่อมาหาพวกข้าพวกข้าจะตามไปช่วยเจ้า “
นิลบุตรปักษี บอกลา มยุราเทวี ด้วยความห่วงใย แต่ มยุราเทวี กลับโกรธ นิลบุตรปักษี แทน
“ เจ้านี้อย่างไรนะ ขนาดข้าจะไปแล้วยังพูดอย่างนี้อีก เจ้าไม่เห็นข้าเป็นเพื่อนเจ้าหรือไง ? “
“ อะไรกัน นะ มยุราเทวี ข้าทำอะไรให้เจ้าโกรธเหรอ ? “
นิลบุตรปักษี เหมือนถูกมีดกรีดใจ ตัวแข็งราวกับก้อนหิน แต่ มยุราเทวี แอบขำ ท่าทางของ นิลบุตรปักษี อยู่ในใจ เพราะไม่คิดว่าแค่คำพูดแค่นี้ของนางจะทำให้ นิลบุตรปักษี เป็นแบบนี้ได้
“ ก็ข้าจะไปอยู่แล้ว ยังเรียกข้าว่า มยุราเทวี อยู่ได้ ทำไมถึงไม่เรียกข้า นกยูง ซักที ล่ะ ? “
นิลบุตรปักษี ได้ยิน มยุราเทวี พูดดังนั้น ทั้งตกใจและดีใจ จนพูดผิดพูดถูก
“ ข้าขอโทษ มยุรา เฮ้ย นกยูง เจ้าระวังตัวด้วยนะ “
“ เจ้าก็เหมือนกัน นิลบุตรปักษี แล้วค่อยพบกันใหม่ นิลกาฬหัสดายุ เจ้าดูเพื่อนเจ้าให้ดีล่ะ ช่วงหลังมานี้เขายิ่งทำตัวแปลก ๆ อยู่ด้วย “
นิลกาฬหัสดายุ เห็นท่าทางของ นิลบุตรปักษี เกือบกลั้นหัวเราะไม่อยู่ พลางบอก มยุราเทวี กลับไป
“ ไม่ต้องห่วงหรอก สำหรับเจ้าหมอนี้ข้าจะดูแลมันเอง มยุราเทวี เจ้าไปเถอะ “
“ เจ้าก็เหมือนกันเลิกเรียกข้าว่า มยุราเทวี ได้แล้ว อย่าลืมที่ข้าสั่งด้วยแล้วกัน “
พูดจบนางก็เดินจากไป โดยมีสายตาของ นิลบุตรปักษี มองอย่างอาลัยอาวรณ์ จน นิลกาฬหัสดายุ ต้องสะกิดให้รู้ตัว
“ เก็บอาการหน่อย นิลบุตรปักษี เดี๋ยวท่านสุบรรณก็เห็นเข้าหรอก “
นิลบุตรปักษี เก็บสีหน้าแทบไม่ทัน แอบชำเลียงมองดูท่านสุบรรณ เห็นไม่มีท่าทีสงสัย ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ส่วน มยุราเทวี เดินเข้าไปรวมกลุ่มกับเพื่อน ๆ ซึ่งทั้งหมดต่างพยักหน้าให้แก่กัน
“ ไปกันเถอะ พวกเรา ไปจัดการ กัลย์ปาอสูร ให้สิ้นซาก “
เปมิกาตะโกนบอกเพื่อนๆ ของนาง ทั้งหมดต่างก็พากันลอยตัวขึ้นสู่ท้องฟ้ามุ่งตรงไปยัง ทิศทางที่ท่าน เทพมาตุลี บอก อัคคีนาคา เหลียวกลับมามองดูเสด็จพ่อและเสด็จแม่ของนางรวมทั้งเสด็จลุงอินทรนาคราช ด้วย ในใบหน้ามีคราบน้ำตาเปื้อนอยู่ก่อนหักใจ หันมามองทางข้างหน้าเร่งกำลังของตนเองเหาะตามเพื่อนๆ ไป ส่วนทางด้าน อนันตวาโย แอบส่งยิ้มให้กับ กรรณิการ์นาคี โดยไม่ให้ใครสังเกตเห็นแต่ยังไม่รอดพ้นสายพระเนตรของพระนางอินทราณี ไปได้
“ ไปได้แล้วกรรณิการ์นาคี มั่วมองอะไรอยู่ได้ “
“ เพคะเสด็จแม่ “
กรรณิการ์นาคี ตามเสด็จแม่ของนางกลับลงไปยังนครบาดาล พร้อมด้วยเหล่าบรรดานาคตนอื่นๆ แววตาละห้อยคล้ายกับเป็นห่วง อนันตวาโย ส่วน อินทรนาคราช และสุบรรณ ยังคงอยู่ที่ชายหาดแห่งนั้นยังไม่ยอมไปไหนเลย
“ ถึงเวลาแล้วใช่ไหม ? อินทรนาคราช “
สุบรรณเดินเข้ามาหา อินทรนาคราช และเอ่ยถามเขา
“ ใช่แล้ว สุบรรณ ถึงเวลาที่พวกเราต้องสงบศึกชั่วคราว มาช่วยมาสู้ศึกนี้ด้วยกัน “
“ ข้าจะจัดกองตะเวนของข้าสืบหาข่าวของ กัลย์ปาอสูร ทางท้องฟ้าเอง “
อินทรนาคราช มองสุบรรณ  ต่างก็มุ่งถึงความร่วมมือที่จะเกิดขึ้น
“ ทางน้ำไว้เป็นหน้าที่ของข้าเอง ถ้าใครได้ข่าวก่อนแจ้งให้อีกฝ่ายทราบก็แล้วกัน
“ ตกลง “
พูดจบสุบรรณ ก็พา นิลบุตรปักษี และ นิลกาฬหัสดายุ กลับไปที่เขาไกรลาศ ประสาทเทพปักษาในทันที ส่วน อินทรนาคราช เองก็ลงไปยังในทะเล ดำลึกลงไปยังใต้ทะเลกลับเข้าสู่นครบาดาล นับจากนั้นคนในนครบาดาลต่างฝึกซ้อมการรบอย่างขมักเขม่น เมธาวดี กุสุมาวดี และ กรรณิการ์นาคี พวกนางต่างถูกเคี่ยวเข็ญอย่างหนักเพื่อช่วยรับศึกที่อาจจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
    ...........ห้าวันแล้วหลังจากแยกทางกับเทพมาตุลี เหล่าเทพผู้ปราบ กัลย์ปาอสูร ทั้งเจ็ด ต่างยังไม่ได้ข่าวคราวของ กัลย์ปาอสูร เลย แม้แต่ มยุราเทวี ซึ่งลอยตัวขึ้นไปถามข่าวคราวเรื่องเหล่าอสูรจากหมู่ฝูงนกที่บินอยู่บนท้องฟ้า แต่ก็ไม่ได้คราวข่าวแม้แต่นิดเดียว พวกนางรอนแรมมาหลายวันรู้สึกเหนื่อยจึงหยุดนั่งพักที่ริมลำธารแห่งหนึ่งในป่าใหญ่
“ หลายวันแล้วนะที่พวกเราไม่ได้เห็นแม้แต่เงาของพวกอสูรเลย “
ตรัยสูร เป็นคนแรกที่พูดขึ้นหลังจากนั่งพักอยู่นานแล้ว
“ สงสัยจะจริงอย่างที่ ท่านเทพมาตุลี พูด กัลย์ปาอสูร จงใจกลบเกลื่อนร่องรอยของพวกมันไว้ “
เปมิกา ตอบตรัสสูร ออกไปในใจของนางคิดว่า กัลย์ปาอสูร ร้ายกาจนัก เหมือนรู้ว่ามีคนตามหา ถ้ากัลย์ปาอสูร ไม่คิดออกมา ก็คงหาเจอไม่ได้ง่ายๆ
“ เพิ่งไม่กี่วันเองพวกเจ้าก็ท้อแล้วหรือ ?ไม่สมกับเป็นผู้ที่ผ่านการคัดเลือกเลยนะ “
อนันตวาโย พูดให้กับกำลังใจกับเพื่อนๆ หากแต่ได้ยินเสียง เปมิกา พูดขัดหูเข้าให้
“ ข้านะท้อแน่ ไม่เหมือนกับเจ้าหรอก อนันตวาโย ที่มีกำลังใจจีบพวกนางไม้ไปทั่ว ตลอดทางที่ผ่านมา “
“ แหม เจ้าก็พูดออกมาได้ นั้นมันแค่ของแถมระหว่างการเดินทางต่างหาก “
อนันตวาโย พูดแกมหยอกเปมิกา แต่นางทำท่าจะลุกขึ้นมาลงไม้ลงมือกับ อนันตวาโย เพราะโกรธที่อนันตวาโย ดูเหมือนไม่ค่อยสนใจในการติดตามพวกอสูรเลย แต่พยัคฆ์วารี กลับยกมือขึ้นมาห้ามไว้ เหมือนได้ยินอะไรบางอย่าง
“ มีอะไรหรือ พยัคฆ์วารี     ? “
อัคคีนาคา กระซิบถาม พยัคฆ์วารี เบาๆ
“ ข้าได้ยินและได้กลิ่น .............”
พยัคฆ์วารี สูดลมหายใจเข้าเพื่อที่จะจับกลิ่นที่เขาสัมผัสได้ ก่อนที่เขาจะยิ้มออกมา
“ อสูร!!!! “
“ อยู่ที่ไหน ? “
นันทาเทพธิดา รีบถาม พยัคฆ์วารี ฝ่าย พยัคฆ์วารี รีบลุกขึ้นมา พลางบอกให้เหล่าเพื่อนๆ ตามเขาไปด้วย
“ ทางนี้ตามข้ามา “
พยัคฆ์วารี พาพวกเพื่อนๆ อ้อมไปอีกทางด้านหนึ่งของป่า และไปหยุดอยู่ที่เนินเล็กๆ ที่มีก้อนหินใหญ่ ก้อนหนึ่ง แอบมองลงไปข้างล่างเห็นเหล่าทหารอสูรประมาณ ๓๐๐ ตน กำลังรวมกลุ่มกันอยู่มีอสูรดำและอสูรเขียวสองตนกำลังพูดคุยกัน สักครู่ก็พากันแยกจากกันไปคนละทาง
“ ทำอย่างไรดี พวกมันแยกกันไปแล้ว “
มยุราเทวี เอ่ยถามความเห็นพวกเขาโดยเร็วเพราะกลัวว่าเบาะแสที่พวกนางเจอจะจางหายไปหากไม่รีบติดตามพวกเหล่าอสูรกลุ่มนี้
“ พวกเราแยกกันไปสองทาง  อนันตวาโย นันทาเทพธิดา ตรัยสูร พวกเจ้าตามเจ้าอสูรดำนั้นไป ที่เหลือมากับข้า ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นรีบส่งกระแสจิตติดต่อกันทันที “
“ ตกลง “
อนันตวาโย นันทาเทพธิดา และตรัยสูร แยกตัวจากพยัคฆ์วารี รีบติดตามพวกอสูรอีกกลุ่มหนึ่งที่มีอสูรดำเป็นหัวหน้า ทางฝ่าย พยัคฆ์วารี อัคคีนาคา มยุราเทวี และ เปมิกา ติดตามพวกอสูรอีกกลุ่มซึ่งมีอสูรเขียวเป็นผู้นำกลุ่มและระวังไม่ให้พวกมันรู้ตัว ติดตามพวกเหล่าอสูรได้พักใหญ่  อยู่ๆ พวกอสูรเหล่านั้นกลับหยุดอยู่กับที่ไม่เคลื่อนที่ไปไหน ทำให้พวกเขาต้องพากันหลบอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“ เกิดอะไรขึ้น ดวงใจมาร ทำไมพวกมันถึงไม่ไปกันต่อล่ะ “
อัคคีนาคา ถาม เปมิกา ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ตน
“ มีใครก็ไม่รู้ ขวางทางพวกมันอยู่ “
อัคคีนาคา เพ่งมองตามที่ เปมิกา บอกเห็นมีชายท่าทางองอาจ ยืนขวางพวกอสูรอยู่ที่ลำตัวมีสังวาลประดับอัญมณีสีเหลือง ติดอยู่กับตัว ไม่มีท่าทีว่าจะกลัวพวกเหล่าอสูร แม้แต่น้อย พวกเหล่าอสูรต่างแยกเขี้ยวคำรามใส่ชายหนุ่มที่ยืนขวางทางพวกมันอยู่
“ เจ้ามนุษย์น้อย อยากตายหรือไง ? ถึงได้มาขวางทางพวกข้า หรือว่าเบื่อชีวิตมากแล้วใช่ไหมถึงรนหาที่ตาย ? “
ชายหนุ่มจ้องมองดูพวกเหล่าอสูรคล้ายดูถูก แกมสังเวช
“ คนที่รนหาที่ตายคือพวกเจ้ามากกว่า “
ได้ยินดังนั้นบรรดาเหล่าอสูรต่างก็โมโห คิดเข้าเล่นงานชายหนุ่มคนนั้นทันที
“ อสูรเขียว อย่างเสียเวลาพูดคุยกับมันเลย พวกข้ากำลังหิวอยู่พอดี เอามันกินเป็นอาหารระหว่างทางเลยดีกว่า “
พูดจบเหล่าอสูรทั้งหลายต่างกรูเข้ามาทำร้ายชายหนุ่มหมายจะจับกินเป็นอาหารให้ได้ ชายหนุ่มไม่กลัวพร้อมกับตะโกนกลับไป
“ ก่อนพวกเจ้าจะลงไปหาพญามัจจุราชในนรก จงจำชื่อของข้าไว้ให้ดี “
ชายหนุ่มสูดลมหายใจ เข้าอย่างแรงและแผดเสียงจนแสบแก้วหู
“ ชื่อของข้าคือ น้ำทิพย์ที่สาม “
เหล่าอสูรร้ายรุมล้อมเข้าหา น้ำทิพย์ที่สาม ในทันที ทางฝ่าย พยัคฆ์วารี อัคคีนาคา มยุราเทวี และ เปมิกา ในตอนแรกคิดจะเข้าไปช่วย แต่เพียงแค่เสี้ยวช่วงเวลา ไม่ทันสังเกตเห็น เหล่าอสูร ๑๔๙ ตน ถูก น้ำทิพย์ที่สาม ฆ่าตายเรียบ ยังความตื่นตระหนก ให้กับผู้ที่แอบดูอยู่
“ บ้าน่า คนเดียวฆ่าพวกอสูรตายเกือบหมดเลยเหรอ ? แถมยังเป็นมนุษย์อีกด้วย “
เปมิกา ครางออกมา ในขณะที่ น้ำทิพย์ที่สาม ใช้เท้าข้างหนึ่งเหยียบที่อกของอสูรเขียวที่นอกกลิ้งอยู่ พลางจ้องเข้าไปในดวงตาของอสูรเขียว ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามีความหวาดกลัวมนุษย์หนุ่มผู้นี้อยู่ เพียงครู่เดียวแววตาของอสูรเขียวก็เปลี่ยนไป คล้ายเหม่อลอยอย่างไรชอบกล
“ บอกข้ามา กัลย์ปาอสูร อยู่ที่ไหน ? “
น้ำทิพย์ที่สาม มีพลังเกินกว่าจะหยั่งคาดได้เหมือนไม่ใช่มนุษย์ ใช้พลังจิตของตนเองสะกด อสูรเขียวเพื่อล้วงถามความลับเกี่ยวกับ กัลย์ปาอสูร
“ ข้าไม่รู้ว่า จ้าวอสูร กัลย์ปาอสูร อยู่ที่ไหน พวกข้ามีหน้าที่หาเสบียงมาให้กองทัพอสูรเท่านั้น “
อสูรเขียวพูดอย่าเชื่อช้าคล้ายคนละเมอ แต่แววตาของ น้ำทิพย์ที่สาม สลดลง เป็นเวลาหลายวันแล้วที่เขาออกสืบหาข่าวคราวของ กัลย์ปาอสูร แต่ยังไม่ได้ข่าวคราวที่เป็นประโยชน์กับเขาเลย เกือบจะคลายพลังจิตลง แต่ฉุกคิดขึ้นได้ว่า พวกมันจะต้องมีจุดหมายอยู่ที่ใดที่หนึ่งแน่นอน จึงถามอสูรเขียวต่อไป
“ แล้วพวกเจ้าจะไปรวมตัวกันที่ไหน ? “
“ ที่ป่าโครงกระดูก รวมกำลังกับขุนพลมารพลาสูร “
น้ำทิพย์ที่สาม คลายพลังของตนลง อสูรเขียวได้สติ จ้องมองอย่างไม่แน่ใจว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น น้ำทิพย์ที่สาม ยกเท้าออกจากอก อสูรเขียว พร้อมกับหันหลังเดินจากไป
“ ถือว่าวันนี้เจ้าโชคดีก็แล้วกัน ข้าจะปล่อยเจ้าเอาบุญ “
อสูรเขียว กระหยิ่มยิ้มอยู่ในใจ มนุษย์ผู้นี้ถึงจะเก่งกาจแต่ประมาทศัตรูเช่นนี้ย่อมตกเป็นเหยื่อของศัตรูได้ง่ายๆ คิดแล้วก็หยิบดาบเล่มหนึ่งที่ตกอยู่ใกล้ๆ กับเหล่าลูกสมุนที่ตายหมายจะฆ่า น้ำทิพย์ที่สามให้ได้ แต่ความคิดของอสูรเขียวตื้นเกินไป ขณะที่เงื้อมดาบฟัน น้ำทิพย์ที่สาม ดาบฟันผ่านร่างของ น้ำทิพย์ที่สาม ไป แต่ฟันได้แต่เงาของ น้ำทิพย์ที่สาม เท่านั้น อสูรเขียวตกใจที่อยู่ ๆ ร่างของมนุษย์หนุ่มหายไป และยิ่งตกใจมากขึ้นเมื่อได้ยินเสียงจากทางด้านหลังของตน อสูรเขียว บังเกิดความกลัวอย่างยิ่ง
“ เจ้าทำให้ข้าเปลี่ยนใจเองนะ “
ก่อนที่ อสูรเขียว จะกระโดดหนี ถูกมือของ น้ำทิพย์ที่สาม แทงทะลุจากด้านหลังมายังด้านหน้า อสูรเขียว ดิ้นทุรนทุรายเหมือนคนใกล้ตาย เสียงร้องของ อสูรเขียว ร้องดังก้องป่าอย่างโหยหวน
“ อ๊ากกกกกกกกกกกกกก “
อสูรเขียว ขาดใจตายด้วยความทรมาน น้ำทิพย์ที่สาม ชักมือออกจากตัว อสูรเขียว และคิดจะเดินจากไปแต่สังเกตเห็นคนกลุ่มหนึ่งแอบซ่อนตัวดูเหตุการณ์อยู่ ใช้เท้าข้างหนึ่งเตะ ดาบที่ตกอยู่ลอยไปปักยังต้นไม้ที่พวก พยัคฆ์วารี หลบซ่อน
“ ใครกันออกมาให้ข้าเห็นเดี๋ยวนี้  “
พยัคฆ์วารี อัคคีนาคา มยุราเทวี และ เปมิกา ต่างออกมาเผชิญหน้ากับ น้ำทิพย์ที่สาม ต่างคนต่างก็จดๆ จ้อง ๆ กัน น้ำทิพย์ที่สาม เห็น เปมิกา ซึ่งเป็นอสูรสาว คิดว่าเป็นพวกเดียวกับ อสูรเขียว ที่ถูกเขาฆ่าตายไป และคงมาแก้แค้นให้กับพวกของมัน จึงเร่งพลังตัวเองออกมาในทันที จนต้นไม้ที่อยู่ใกล้เคียงโอนเอียงหักโค่นลงไปหลายต้น
“ พวก กัลย์ปาอสูร งั้นหรือ ? ดี ข้าจะได้ไม่ต้องเสียเวลาตามหาให้เมื่อย “
อัคคีนาคา ตกใจ เพราะไม่คิดว่า น้ำทิพย์ที่สามจะเข้ามาเล่นงานพวกตนรีบอธิบายให้ น้ำทิพย์ที่สาม ฟัง
“ เดี๋ยวก่อนพวกข้า ไม่ใช่พวกเดียวกันกับอสูรเขียวนั้นนะ พวกข้าถูกส่งให้มากำจัดพวก กัลย์ปาอสูร ต่างหาก “
น้ำทิพย์ที่สาม ไม่ฟังอะไรทั้งสิ้นเดินเข้ามาใกล้ ทางพวกอัคคีนาคา  อัคคีนาคา รู้สึกแรงกดดันที่มหาศาลแผ่พุ่งออกจากตัว น้ำทิพย์ที่สาม อยู่ตลอดเวลา
“ ไม่ต้องมาโกหกข้า อสูรจะฆ่าพวกเดียวกันอย่างงั้นหรือ ? น่าขำ บอกข้ามาซะดีๆ ว่า กัลย์ปาอสูร อยู่ที่ไหน อย่าให้ข้าต้องลงไม้ลงมือกับพวกเจ้าก็แล้วกัน ถ้าข้าเผลอฆ่าพวกเจ้าตายจะมาโทษข้าไม่ได้ ถ้ายังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป ก็รีบบอกข้ามาซะดี ๆ “
เปมิกา เริ่มมีน้ำโห อดรนทนไม่ไหว ขู่ น้ำทิพย์สาม กลับไปบ้าง
“ ก็บอกแล้วไงว่า พวกข้าไม่ใช่พวกเดียวกับพวกอสูรนั้น ข้าชักโมโหแล้วนะ คิดจะฆ่าพวกข้าพวกข้างั้นหรือ ? พวกข้าจะฆ่าเจ้าก็ไม่ใช่เรื่องยากเหมือนกัน “
พยัคฆ์วารี เห็นว่า น้ำทิพย์ที่สาม ไม่ฟังพวกเขาแน่รีบเตรียมรับมือในทันที
“ นกยูง อัคคีนาคา ดวงใจมาร ระวังตัวให้ดีนะ “
น้ำทิพย์ที่สาม เห็นว่า กล่อมพวก อัคคีนาคา ไม่ได้ผล จึงเริ่มคิดลงมือ
“ ถ้าข้าไม่ออกแรงแล้ว พวกเจ้าก็คงไม่บอกใช่ไหม ? ดี อย่าหาว่าข้าใจร้ายก็แล้วกัน “
น้ำทิพย์ที่สาม เริ่มบุกเข้าหา พยัคฆ์วารี เปมิกา อัคคีนาคา และ มยุราเทวี ทางฝ่ายพวก อัคคีนาคา ต่างก็กระโจนเข้าหา น้ำทิพย์ที่สาม เหมือนกัน น้ำทิพย์ที่สาม ปักหลักอยู่กับที่หมุนตัวเหวี่ยงหมัดเข้าปะทะกับพวกเขาทั้งสี่ เสียงดังสนั่น ดาบปราบลิขิตฟ้า และ ดาบเขี้ยวพยัคฆ์ ถูกชักออกจากฝักพร้อมกัน พยัคฆ์วารี และ เปมิกา ต่างโถมร่างของตนเองกระหน่ำฟัน น้ำทิพย์ที่สาม ไม่ยั้ง น้ำทิพย์ที่สาม ใช้แขนทั้งสองข้างรับการจู่โจมของ พยัคฆ์วารี และ เปมิกา
“ เคร้ง ๆๆ “
“ อะไรกัน ไม่ระคายผิวเลยเหรอ ? “
พยัคฆ์วารี แทบไม่เชื่อว่า น้ำทิพย์ที่สามจะใช้แขนทั้งสอง รับการจู่โจมของพวกเขา ขณะไม่ทันระวังตัว พยัคฆ์วารี และ เปมิกา ต่างถูก น้ำทิพย์ที่สาม กระแทกกระเด็นออกมา อัคคีนาคา และ มยุราเทวี รีบเข้ามาช่วยอีกแรงสกัดการจู่โจมของ น้ำทิพย์ที่สาม ไว้ ดาบ อัสนียบาต และ บ่วงนาคบาศก์ ปะทะกับหมัดของ น้ำทิพย์ที่สาม อย่างต่อเนื่อง
“ ไม่ไหวแล้ว อัคคีนาคา ร่วมมือกันกำจัดเจ้าหมอนี้เถอะ “
อัคคีนาคา พยักหน้ารับ สลัดตัวออกจากการต่อสู้กลายเป็นนาคอัคคี ตัวน้อยเลื้อยเข้าไปหา มยุราเทวี ฝ่ายมยุราเทวี เรียกพลังสายฟ้าของตนเองมา ร่างของนางหมุนคว้างอยู่กับที่ รอให้นาคอัคคีน้อยเลื้อยเข้ามาหมุนรวมอยู่ด้วยกัน สองพลังเริ่มประสานก่อเกิดพลังหมุนอย่างรุนแรง สายฟ้าและเปลวเพลิงกระจายออกมาเป็นวงกว้าง
“ วิหคนาคาประสาน เพลิงอัสนียบาตทลายบรรพต “
น้ำทิพย์ที่สาม เห็นคู่ต่อสู้มีฝีมือร้ายกาจไม่กล้าประมาทตั้งรับอย่างเต็มที่ มยุราเทวี และ อัคคีนาคา หมุนตัวทะลวงเข้าหา น้ำทิพย์ที่สาม หวังจะแยกร่าง น้ำทิพย์ที่สามให้ได้ พลังที่แผ่ออกมารุนแรงอย่างยิ่ง ทุกสิ่งที่อยู่ใกล้ถูกเผาไหม้เกือบหมด พลังเกือบจะพุ่งทะลุผ่านตัวของ น้ำทิพย์ที่สาม ไปได้ แต่ น้ำทิพย์ที่สาม ยืนนิ่งดุจขุนเขา เร่งพลังที่มีอยู่ในตัวออกต้านทานการจู่โจม หมุนเหวี่ยงมือทั้งสองข้างเหมือนดั่งจันทร์ทรงกลด ใช้วิชาเฉพาะตัวเพื่อหยุดยั้งการบุกของพวกนาง
“ พระเวทย์ จันทราส่องแสงสงบจิตไร้ความคิดอื่นใด “
มยุราเทวี และ อัคคีนาคา ถูกพลังของ น้ำทิพย์ที่สาม จับพวกนางไว้อยู่กับที่ ไม่สามารถเคลื่อนตัวผ่านตัวไปได้ น้ำทิพย์ที่สาม อาศัยความเชื่องช้ารับสู้กับความเร็วของอีกฝ่าย พลังของพวกนางเหมือนหมุนวนอยู่กับที่ตรงหน้าของ น้ำทิพย์ที่สาม ไม่ว่าจะเร่งความเร็วขึ้นเท่าไรก็ไม่สามารถ ทะลวงผ่านไปได้
“ บ้าจริง ทำไมทะลวงไปไม่ได้ ? “
มยุราเทวี โมโหที่ไม่สามารถทะลวงผ่านไปไม่ได้ ฝ่าย น้ำทิพย์ที่สาม หมุนมือทั้งสองอย่างเร็ว ฉับพลันเหมือนปรากฏมืออีกสองข้าง แทงทะลุตรงกลางพระเวทย์ของตนเองใช้มือทั้งสองแยก มยุราเทวี และ อัคคีนาคา ออกจากกัน ร่างของพวกนางทะลวงพุ่งออกไปยังข้าง ๆ น้ำทิพย์ที่สามแทน แลเห็นต้นไม้ทลายล้มลงเป็นทางยาว จนเกือบจะสุดชายป่าอีกด้านหนึ่งพวกนางถึงจะหยุดตัวได้ ฝ่าย พยัคฆ์วารี ใช้ดาบเขี้ยวพยัคฆ์บุกเข้ามาอีกครั้ง น้ำทิพย์ที่สาม ยื่นมือทั้งสองของตนเองรับดาบคู่ของ พยัคฆ์วารี เอาไว้ ฝ่าย พยัคฆ์วารี เห็นเป็นโอกาสบังคับพลังแห่งน้ำล้อม น้ำทิพย์ที่สามสะกดเป็นพลังน้ำแข็งห่อหุ้มร่างของ น้ำทิพย์ที่สาม
“ เย็นเป็นบ้า ขืนให้มันล้อมเราด้วยน้ำแข็งอย่างนี้ไม่ดีแน่ “
คิดดังนั้นแล้ว น้ำทิพย์ที่สาม เร่งพลังตนเองเปลี่ยนใช้พระเวทย์อีกอย่างหนึ่งแทน
“ พระเวทย์ จักรวาลผันแปรสิ่งอื่นใดล้วนเกี่ยวเนื่อง “
น้ำทิพย์ที่สาม หยิบยืมพลังจากธรรมชาติเปลี่ยนเป็นพลังแห่งเพลิงละลายน้ำแข็งที่จับตัวเขาอยู่พร้อมทั้งใช้พลังแห่งเพลิงนั้นกระแทก พยัคฆ์วารี ออกห่างจากตัวเขา พยัคฆ์วารี ถูกพลังเพลิงกระแทกตัว รู้สึกทั้งร้อนและเจ็บปวด รีบกระโดนหลบมา พอตั้งหลักได้บุกเข้าหา น้ำทิพย์ที่สาม อีกครั้ง ดวงตาวาวโรจน์รีบบังคับพลังของตนเองเรียกน้ำออกมา เปลี่ยนสภาพน้ำให้กลายเป็นน้ำแข็งก่อรูปร่างให้เป็นพยัคฆ์ บังคับพยัคฆ์น้ำแข็งให้เข้าทำร้าย น้ำทิพย์ที่สาม พร้อมตวาดกลับไปด้วยความโกรธ
“ คิดว่าวิธีตื้น ๆ ของเจ้าจะชนะข้าได้หรือ ? ดูถูกข้ามากไปหน่อยแล้ว “
น้ำทิพย์ที่สาม ใจนิ่งไม่หวั่นไหว สะบัดมือทั้งสองข้าง บังคับขึ้นลง อย่างแปลกประหลาด รวบรวมน้ำแข็งที่ละลายเป็นน้ำขณะต่อสู้เมื่อกี้ในฉับพลัน เขาคิดทำอะไร ??????
“ หยิบยืมพลังฝ่ายตรงข้าม ก่อรูปเป็นพลัง นอกจากจะต้านทานพลังฝ่ายตรงข้ามได้แล้วยังช่วยข่มพลังเข่นฆ่าให้น้อยลง “
น้ำเริ่มก่อตัวเป็นรูปร่างปรากฏเป็น สิงห์วารี กระโจนเข้าขย้ำ พยัคฆ์น้ำแข็ง ในทันที
“ น้ำ สู้ น้ำ พยัคฆ์น้ำแข็ง ปะทะ สิงห์วารี “
พยัคฆ์น้ำแข็ง ยังไม่ลดความดุดัน น้ำทิพย์ที่สาม จึงจำเป็นต้องเพิ่มพลังขึ้นอีก ๓ ๔ ส่วนเพื่อเอาชนะให้ได้ สิงห์วารี ยิ่งดูยิ่งหยิ่งผยอง ทางฝ่าย มยุราเทวี และ อัคคีนาคา รีบกลับเข้ามาช่วยแต่ก็ยังอยู่ไกลเกินไป
“ ไม่ไหว ขืนยังเป็นอยู่อย่างนี้แย่แน่ ต้องเรียกพวก อนันตวาโย แล้ว “
ทางฝ่ายอนันตวาโย นันทาเทพธิดา และ ตรัยสูร ปักหลักซุ่มดูเหล่าอสูรดำ ที่ชายป่าแห่งหนึ่ง ขณะที่ยังเฝ้าพวกมันอยู่ดี ๆ ได้ยินกระแสจิตของ มยุราเทวี เรียกหา
“ พวกเจ้าอยู่ไหน ? อนันตวาโย นันทาเทพธิดา ตรัยสูร รีบมาช่วยพวกข้าเร็วเข้า “
“ แย่แล้ว พวกมยุราเทวี ตกอยู่ในอันตราย “
ร่างกายไวเท่าความคิดพวกเขาทั้งหมดรีบกระโจนจากที่นั้นในทันที ติดตามกระแสจิตที่ส่งมาขอความช่วยเหลือ  ขณะที่ พยัคฆ์วารี ยังบังคับพลังตนเองต่อสู้กับสิงห์วารีอยู่อย่างเต็มที่  น้ำทิพย์ที่สามกลับบุกเข้าจู่โจม เปมิกา พลังของเขาเหมือนไม่ได้เหือดหายไปจากการต่อสู้เมื่อครู่นี้เลย
“ ทีนี้เจ้าจะหนีไปไหนได้ แม่อสูรสาว “
“ คนอย่างข้าเคยคิดหนีใคร ? เจ้าต่างหากเตรียมรับความตายไว้ไห้ดีก็แล้วกัน “
เปมิกา คำรามใส่ น้ำทิพย์ที่สาม พร้อมบุกฟาดฟัน น้ำทิพย์ที่สาม ไปในตัว น้ำทิพย์ที่สาม ใช้แขนทั้งสองข้างรับการจู่โจมของเปมิกา ร่างปลิวกระเด็นไปติดกับต้นไม้ใหญ่
“ แรงเยอะเป็นบ้า สำหรับยัยนี้ต้องใช้อาวุธซะแล้ว “
น้ำทิพย์ที่สาม รีบถอดสังวาลของตัวเองออกมา สังวาลเปลี่ยนรูปเป็นกระบองยาวในบัดดล น้ำทิพย์ที่สาม ควงกระบอกหมุนไปมาหมุนเหวี่ยงปะทะกับดาบปราบลิขิตฟ้าเสียงดังสนั่น เพียงชั่วเสี้ยวเวลา กระบอกก็ฟาดมาถึงด้านข้างของ เปมิกา แล้ว เปมิกา ตวัดดาบสุดแรงกระแทกกระบอกออกให้พ้นตัว และสบโอกาสกระโจนขึ้นเหนือหัวของน้ำทิพย์ที่สาม ฟาดดาบลงมาอย่างแรง น้ำทิพย์ที่สาม เห็นท่าไม่ดี ยกกระบอกขึ้นต้านรับสองฝ่ายต่างประลองกำลังกันอยู่ครู่หนึ่ง และต่างก็ถูกพลังของอีกฝ่ายกระแทกออกมา
“ พวกข้ามาแล้ว ดวงใจมาร “
ร่างของ อนันตวาโย นันทาเทพธิดา และ ตรัยสูร ปรากฏขึ้นเหนือยอดไม้  พร้อมทั้ง มยุราเทวี และ อัคคีนาคา ก็บุกมาใกล้ถึงตัวน้ำทิพย์ที่สาม ทางฝ่ายพยัคฆ์วารี ที่ กำจัด สิงห์วารี สำเร็จแล้ว ก็เริ่มเข้ามาสมทบกับพวกของตนเอง น้ำทิพย์ที่สาม โกรธถึงขีดสุด ร่างสิงห์ของ น้ำทิพย์ที่สาม ปรากฏออกมาให้ได้เห็น คำรามก้องทั่วป่า ศึกระหว่างผู้ถูกคัดเลือกให้ปราบ กัลย์ปาอสูร ทั้ง ๗ กับ น้ำทิพย์ที่สาม ผู้ลึกลับกำลังจะปะทุอีกขึ้นครั้งหนึ่ง แต่พวกเขาทั้ง ๗ จะสามารถสยบ น้ำทิพย์ที่สามได้หรือไม่ ? และทำไม น้ำทิพย์ที่สาม ต้องติดตามหา กัลย์ปาอสูร เขามีความแค้นใดกับ กัลย์ปาอสูร อย่างงั้นหรือ ? ยังเป็นปริศนาที่ค้างคาใจของ อัคคีนาคา อยู่
จบตอนที่ ๔ ครับ  ^_^  ยิ้มไว้ถึงคิดตอนต่อไปไม่ออกก็ยิ้มไว้ ^_^
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น