ลำดับตอนที่ #44
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #44 : ได้มนต์วิเศษ
ศึกเทพอสูรมหาสงคราม
ตอนที่ ๔๔ ได้มนต์วิเศษ
พยัคฆ์วารี เห็นว่าทั้งสองพระองค์ตกลงกันได้แล้วแต่ตัวเขาเองกลับมีปัญหา
“ เอ้อ... หม่อมฉันขอประทานอภัยด้วยที่ต้องเอ่ยแทรก แล้วเรื่องช่วยเหลือตัวประกันเล่าพระเจ้าข้า ”
ทุกคนต่างลืมเรื่องนี้เสียสนิท
“ จริงสิ... ข้าลืมเสียสนิท หากเจ้าไม่เตือนพวกเราคงลืมกันไปแล้ว ” หัสกัณฐ์ ว่า
“ เจ้ามีแผนการอะไรอยู่ในใจบ้างพยัคฆ์วารี?”  ท้าววัลนุราชทรงตรัสถาม
พยัคฆ์วารี ตอบว่า
“ หม่อมฉัน จะขอความช่วยเหลือจากเสด็จพ่อ ให้ทรงส่งกองรบพยัคฆ์สวรรค์มาช่วยอีกแรงหนึ่งคิดว่าน่าจะช่วยเหลือตัวประกันได้ทั้งหมด เพียงแต่อาจจะต้องให้วิสุทธิการดูแลกองทัพในขณะออกตีขนาบแต่เพียงลำพังชั่วคราวก่อน ”
ชื่อของกองรบพยัคฆ์สวรรค์ หัสกัณฐ์ พอจะได้ยินมาบ้าง
“ กองรบพยัคฆ์สวรรค์ มีฝีมือฉกาจพอตัวและลงมือฉับไว หากได้มาช่วยอีกแรงหนึ่งก็ดีไม่น้อย แม้วิสุทธิการจะดูแลกองทัพแต่เพียงลำพังก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร ”
“ ไม่ได้ วิสุทธิการ ยังเด็กนักลำพังเพียงแค่เขาคนเดียวอาจจะรับมือกองทัพอสูรไม่ได้ ” ท้าววัลนุราช ทรงทักท้วงและคัดค้าน
“ ถ้าเช่นนั้นให้ข้าพระองค์อยู่ช่วยกองทัพของเจ้าชายวิสุทธิการอีกคนหนึ่ง เป็นอย่างไรพระเจ้าข้า ” อำมาตย์สุรชาติ ทูลขันอาสา
“ อำมาตย์สุรชาติ ผ่านสมรภูมิรบมาหลายครั้งแล้ว หม่อมฉันคิดว่า อำมาตย์สุรชาติ คงพอจะช่วยเหลือและให้คำแนะนำกับ วิสุทธิการ ได้ดี ” เหนือหัวเอกสิทธิ์ ทรงแสดงความเห็นของพระองค์
“ ก็พอแทนที่พยัคฆ์วารีได้บ้างแต่ถ้าจะให้ดีควรให้ พยัคฆ์วารี ส่งกองรบพยัคฆ์สวรรค์สัก ๒-๓ คนมาช่วยด้วยจะดีมากกว่านี้ ที่สำคัญ พยัคฆ์วารี เจ้าต้องรีบช่วยเหลือตัวประกันออกมาโดยเร็วที่สุด อย่าให้การศึกของเรายืดเยื้อเป็นอันขาดไม่เช่นนั้นเราจะเป็นฝ่ายเพี้ยงพล้ำได้ ”  รับสั่งของท้าววัลนุราชบ่งบอกอยู่ในตัวแล้วว่าแผนการครั้งนี้จะสำเร็จได้ขึ้นอยู่กับ พยัคฆ์วารี เท่านั้น
“ พระเจ้าข้า ”  พยัคฆ์วารี รับพระบัญชา
“ ที่เหลือก็แค่คอยแต่เพียงว่า วิสุทธิการ จะสืบข่าวอะไรได้บ้าง? ”
“ เพื่อให้ไม่เป็นการเสียเวลาน้องคิดว่าน้องจะคอย วิสุทธิการ อยู่ที่นี้เพื่อรอฟังข่าวคราว รบกวนเจ้าพี่กับ เปมิกา ช่วยจัดกองทัพให้ด้วยพระเจ้าข้า ” หัสกัณฐ์ เริ่มคิดลงมือในทันทีในระหว่างที่รอฟังข่าว
เมื่อได้ยินดังนั้น พยัคฆ์วารี เองก็ไม่รอช้าเช่นกัน
“ ส่วนหม่อมฉันจะขึ้นไปที่อุทยานขอความช่วยเหลือจากเสด็จพ่อพระเจ้าข้า ”
“ ได้ ตกลงตามนี้ เปมิกา เจ้ามากับพ่อ เวลาเรามีไม่มากแล้ว ”
“ เพคะ ”
เปมิกา เดินตามเสด็จพ่อของนางออกไป
“ หม่อมฉันทูลลา ”
พยัคฆ์วารี ตามออกไปอีกคนหนึ่ง
“ ทำไมจู่ๆเจ้าถึงปล่อยเปมิกาไปง่ายๆอย่างนี้ ” เอกสิทธิ์ ถาม
“ บางทีก็ต้องห่างกันบ้าง เอาใจว่าที่พ่อตาข้าหน่อย เพราะข้าอยากจะให้พระองค์เป็นกันชนให้กับพระพี่นาง ข้าขอสู้กับเจ้าพี่อย่างเปิดเผยดีกว่าเผชิญหน้ากับพระพี่นางตรงๆ ” หัสกัณฐ์ ตอบตามความเป็นจริงๆ เขากล้าสู้กับใครหน้าไหนทุกสนามรบโดยไม่หวั่นมีแต่เพียงแต่เสด็จแม่ของเปมิกาเท่านั้น ที่เขาไม่อยากสู้รบตบมือด้วย นางนอกจากจะเป็นแม่ของเปมิกาแล้ว ยังเป็นพี่สาวที่เขาเคารพนับถืออีกด้วย
“ เจ้าเตรียมใจไว้บ้างก็ดี ข้าเองคงจะช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ”
“ ขอบใจที่เจ้าเป็นห่วงข้า คงไม่มีอะไรหนักหนากระมังหากเจ้าพี่ทรงช่วยเหลือข้า ”
ถึงเรื่องคืนนั้นอาจจะทำให้ ท้าววัลนุราช ทรงขุ่นพระทัยอยู่บ้างแต่อย่างไร หัสกัณฐ์ ก็ยังคงเชื่อว่าพระองค์ก็ทรงอยู่ข้างฝ่ายเขาเมื่อในตอนนี้หัวใจครึ่งหนึ่ง เปมิกา ได้ตกอยู่ในห้วงความรักของเขาแล้ว
...... พยัคฆ์วารี เหาะขึ้นไปบนอุทยานสวรรค์ เพื่อพบกับเสด็จพ่อ เวลานี้อุทยานสวรรค์ เต็มไปด้วยเหล่าเทพทหารอารักขาที่วางกำลังอยู่โดยรอบ การจัดกำลังแน่นหนากว่าตอนที่เขาเคยเฝ้าดูแลอยู่เสียอีก
“ กรรรรรร ”
เสียงคำรามของเทพพยัคฆ์ ดังก้องสะท้านทั่วบริเวณ ถึงแม้นั้นจะเป็นเสียงที่เบาที่สุดก็ตาม
“ เจ้าเป็นใครถึงกล้าบุกเข้ามาในเขตอุทยานสวรรค์ ”
เทพที่มาใหม่ต่างไม่รู้จักพยัคฆ์วารี พากันกรูเข้ามาขัดขวางเมื่อพบเห็นคนแปลกหน้า
“ ปล่อยเขาเข้ามา เขาคือลูกชายของข้าเอง ” เสียงของเทพพยัคฆ์ บอกต่อเหล่าเทพที่อารักขา
เมื่อรู้ว่า ชายหนุ่ม ผู้นี้เป็นใครเหล่าเทพอารักขาต่างเปิดทางแต่โดยดี
“ ขออภัยด้วยท่าน พวกข้าเพิ่งมาใหม่ จึงไม่รู้ว่าท่านเป็นบุตรของจ้าวพยัคฆ์ ”
“ ไม่เป็นไร  พวกท่านจงนำทางข้าไปเถอะ ”  พยัคฆ์วารี บอก
ตามกฎการที่จะเข้าไปข้างในต้องมีเทพอารักขาติดตามเข้าไปด้วย ถึงแม้ พยัคฆ์วารี จะมีฐานะที่พิเศษ แต่เขาก็ยังคงปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด พยัคฆ์วารี เดินตามเทพอารักขาจนถึงหน้าประตูอุทยานสวรรค์ ก็แลเห็นบุรุษใหญ่ผู้หนึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกันกับหญิงอีกคนหนึ่ง
“ ถวายบังคม พระเจ้าข้า เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ”
“ ลุกขึ้นเถอะลูกรักของแม่ ”  เจ้าหญิงหิมะยื่นพระหัตถ์ฉุดลูกรักให้ยืนขึ้นมา
“ ลูกพ่อเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมเจ้าถึงขึ้นมาที่นี้ แล้วนี้พวกเจ้าจัดการกับ กัลย์ปาอสูร ได้แล้วอย่างนั้นหรือ? ”
พยัคฆ์วารี ตอบว่า
“ หามิได้พระเจ้าข้าเสด็จพ่อ ที่ลูกขึ้นมาหาเสด็จพ่อก็เพราะลูกต้องการความช่วยเหลือจากเสด็จพ่อพระเจ้าข้า ”
“ มีเรื่องอะไรรีบบอกพ่อมาสิ ” เทพพยัคฆ์ รู้ว่าคงเป็นเรื่องใหญ่พอดูไม่อย่างนั้นบุตรชายคงไม่ต้องละหน้าที่ที่สำคัญมุ่งหน้ากลับมาหาเขา
“ คือลูกต้องการทูลขอกองรบพยัคฆ์สวรรค์ มาช่วยลูกในการทำศึกกับกองทัพอสูร ที่นครอัญจารี พระเจ้าข้า ”
พระองค์พอจะทราบมาบ้างว่าตอนนี้บุตรชายและเทพคนอื่นๆต่างแยกย้ายกันป้องกัน ๔ นครในโลกมนุษย์แต่ก็ไม่น่าจะมีเหตุการณ์ใดทำให้ต้องถึงกับขอยืมกองรบพยัคฆ์สวรรค์เช่นนี้
“ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เจ้าจงรีบเล่าเรื่องทั้งหมดมาให้พ่อฟังเร็วเข้า ”
พยัคฆ์วารี จึงเล่าเรื่องราวต่างๆให้เสด็จพ่อฟังว่าเหตุใดเขาถึงต้องขึ้นมาที่นี้เพื่อขอกำลังเสริมไปช่วยรบกับกองทัพอสูร
“ ลูกรักศึกที่เจ้าเผชิญอยู่ช่างหนักหนานัก ”  เทพพยัคฆ์ เป็นห่วงบุตรชายเสียนี้กระไร
“ ทำไมหรือพระเจ้าข้าเสด็จพ่อ? ”
พยัคฆ์วารี ไม่เข้าใจว่าทำไมเสด็จพ่อถึงได้ทรงตรัสเช่นนั้น สีพระพักตร์ก็ด้วยกังวลกว่าที่เคยเป็น
“ หากคนที่นำทัพมาเป็นขุนพลมาร อังกลาตู จริงอย่างที่ได้ข่าวมา เจ้าจะประมาทมันไม่ได้เป็นอันขาด มันเป็นคนเจ้าเล่ห์นัก หากเจ้าชะล่าใจแม้แต่น้อยอาจเพี้ยงพล้ำให้แก่มันได้ ”
ลูกพยัคฆ์ถึงกับแปลกใจแต่ไหนแต่ไรมาเสด็จพ่อยังไม่เคยออกสีหน้ากังวลเช่นนี้มาก่อนย่อมแสดงว่าศัตรูที่ใกล้จะต้องเผชิญหน้าด้วยในเร็ววันคงจะร้ายกาจมิใช่น้อย
“ เสด็จพ่อหมายความว่าเจ้าขุนพลมารนั้นมีฝีมือร้ายกาจมากอย่างนั้นหรือพระเจ้าข้า ”
“ นั้นก็ส่วนหนึ่ง แต่ความเจ้าเล่ห์ของมันยังร้ายกาจกว่าฝีมือของมันเสียอีก เมื่อก่อนมันเคยหลอกแม้กระทั่งให้เหล่าเทพรบราฆ่าฟันกันเอง อย่างนี้เจ้าจะยังกล้าประมาทได้หรือ ”
ได้ยินคำยืนยันจากเสด็จพ่อเช่นนี้ทำให้ พยัคฆ์วารี ต้องประเมินความสามารถของอีกฝ่ายใหม่
“ เรื่องกองรบพยัคฆ์สวรรค์ พ่อจะอนุญาตตามที่เจ้าขอ ”
“ ขอบพระทัยพระเจ้าข้าเสด็จพ่อ ”
“ พ่อจะให้กองรบพยัคฆ์สวรรค์จำนวน ๓,๐๐๐ ลงไปช่วยเจ้าชิงตัวประกันกลับคืนมา ”
เจ้าหญิงหิมะเห็นด้วยกับพระสวามีที่ว่าศัตรูของลูกรักนั้นร้ายกาจนักจึงคิดช่วยเหลืออีกแรงหนึ่ง
“ ลูกรักของแม่ ศัตรูของเจ้าครั้งนี้ร้ายกาจกว่าครั้งที่ผ่านๆมา แม่จะให้พรแก่เจ้าขอให้ร่างกายเจ้าจงอยู่ยงคงกระพันศาสตราวุธใดๆหาอาจทำอะไรเจ้าได้ไม่ ทั้งเปลวเพลิงแห่งอัคคีก็มิอาจเผาไหม้อินทรีย์ หากแม้นเจ้าตายไปขอเพียงแค่หยดน้ำต้องร่างเจ้าก็จะฟื้นคืนชีพกลับมา ”
เพียงสิ้นเสียงของเสด็จแม่ร่างทั้งร่างของ พยัคฆ์วารี ถึงกลับสั่นสะท้านทั้งสวรรค์ยังเกิดคลื่นลมที่แปรปรวน
“ ครืนนนนนนนนนนนนนน ”
“ ขอบพระทัยพระเจ้าข้าเสด็จแม่ ” พยัคฆ์วารีก้มลงกราบที่พระบาทของเสด็จแม่ เจ้าหญิงหิมะ ยื่นพระหัตถ์แตะที่เส้นผมของเขาเพียงสัมผัสก็บังเกิดภาพอักขระมนต์อยู่ในห้วงความคิด
“ นี้คือมนต์คืนชีพเก้าชีวิต จงเก็บไว้ชุบชีวิตกองรบพยัคฆ์สวรรค์ ในหนึ่งวันมนต์นี้สามารถช่วยให้พวกเขาฟื้นคืนชีพได้เก้าครั้ง หากเกินกว่านั้นเจ้าต้องรอจนถึงวันใหม่และเมื่อแสงแรกของวันใหม่สาดส่องมาถึงจงใช้มนต์นี้ชุบชีวิตอีกครั้งหนึ่งถึงจะสัมฤทธิ์ผลได้ แต่อย่าให้เวลาล่วงพ้นจนหมดแสงแห่งทิวากรมิเช่นนั้นจะไม่มีทางชุบชีวิตพวกเขาให้ฟื้นคืนชีพได้อีกเลย ”
“ ลูกเข้าใจแล้วพระเจ้าข้า ”
เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว พยัคฆ์วารี จึงคิดที่จะทูลลาทั้งสองพระองค์แต่พลันต้องหยุดชะงักเมื่อสายตาแลเห็นใครคนหนึ่งเดินเข้ามา
“ เกลียวสวรรค์!!!! ”
นานแล้วที่เขาและนางไม่ได้พบกันนับแต่เขาได้ก้าวเดินออกมาจากอุทยานสวรรค์
“ ขอได้โปรดประทานอภัยให้หม่อมฉันด้วยเพคะ หม่อมฉันไม่ทราบว่าเสด็จพ่อกับเสด็จแม่และโอรสกำลังสนทนากันในเรื่องสำคัญอยู่ จึงได้เข้ามารบกวนเช่นนี้ ”
เทพพยัคฆ์ ทรงตรัสว่า
“ ไม่เป็นไรหรอก เกลียวสวรรค์ ไหนๆเจ้าก็มาแล้วอยู่พูดคุยกับพี่เขาก่อนสิ เจ้าคงยังไม่รีบไปไหนใช่ไหมลูกพ่อ? ”
“ พระเจ้าข้า ”  พยัคฆ์วารี ตอบเสด็จพ่อ
“ ดีแล้ว พ่อจะเรียกระดมพลกองรบพยัคฆ์สวรรค์มาให้เจ้า ตามสบายนะ เกลียวสรรค์ ”
“ เพคะ ”
ทั้งสองพระองค์เดินจากไปพร้อมกับเทพอารักขา
“ พระองค์ทรงสบายดีใช่ไหมเพคะ? ”  ไม่รู้ว่านางตั้งใจถามหรือเพียงถามตามมารยาท
“ ก็สบายดี ไม่เจ็บ ไม่ไข้ และก็ยังไม่ตาย ”
คำตอบที่หลุดออกจากปากห้วนเหมือนมะนาวไม่มีน้ำอย่างไรก็อย่างนั้น
“ จริงสิเพคะ ก็เห็นๆกันอยู่ว่าพระองค์ทรงสบายดี หม่อมฉันไม่น่าถามคำถามนี้เลย ” นางพูดจบแล้วก็ทำท่าทางจะเดินจากไป
“ เห็นหน้าพี่แล้วทำให้เจ้ารู้สึกอยากจะอาเจียนหรืออย่างไรถึงได้เดินหนี ”  พยัคฆ์วารี ว่า
นางหันกลับมาตอบว่า
“ หามิได้เพคะ หม่อมฉันเกรงว่าหากหม่อมฉันอยู่นานก็นี้คงทำให้ใครบางคนในที่นี้อึดอัดจนกลั้นใจตายต่างหาก ” 
ได้ฟังแล้วให้น่าโมโหนักรู้จักกันมาตั้งนานแล้วยังไม่เคยได้ยินนางเรียกเขาว่า “ เจ้าพี่ ” แม้แต่ครั้งเดียว
“ งั้นเหรอ? นึกว่าจะรีบกลับไปหาใครบางคนเสียอีก ” น้ำเสียงพูดอย่างประชดประชัน
“ คงจะเป็นเช่นนั้นด้วยแหละเพคะ เพราะที่นี้มีแต่คนที่พูดคำหวานๆไม่เป็น อย่าว่าแม้แต่อึดใจเดียวเลยเพคะ แม้แต่เพียงแค่เสี้ยววินาทีก็ยังแทบจะทนไม่ไหว ”
“ เจ้า...... ”  พยัคฆ์วารี จ้องมองหน้านางตาไม่กระพริบ
“ เจ้าพี่ ... เจ้าพี่พระเจ้าข้า ”  มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อนเห็นบุรุษหนึ่งวิ่งมาแต่ไกลพร้อมกับโผเข้ากอด
“ น้องดีใจจริงที่เจ้าพี่เสด็จกลับมา ”
พยัคฆ์วารีกึ่งดีใจและกึ่งไม่ดีใจที่ได้พบหน้าน้องชาย
“ ไม่ได้พบกันนานแล้วนะ  ..... ดูเจ้ายังเหมือนเดิม..เหมือนเมื่อก่อน ”
“ พระเจ้าข้า ”
น้องชายผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายพี่ชายแต่วาจาอ่อนหวานกว่า
“ เพชรพยัคฆ์ ”
“ เสด็จพี่เพคะ หม่อมฉันกำลังจะให้คนไปตามเสด็จพี่อยู่พอดี หม่อมฉันเพิ่งเจอกับโอรสเมื่อตะกี้นี้เอง ว่าจะชวนให้ค้างที่นี้เสด็จพี่กับโอรสจะได้พูดคุยกัน ” นางว่าพลางเข้าไปกอดที่แขนของเขา
“ เอ้อ... น้องพี่ พี่คงต้องขอตัว บังเอิญ พี่มีงานที่จะต้องทำไม่อาจอยู่ช้าได้  เอาไว้คราวหน้าคุยกับเจ้าใหม่นะ ”
พยัคฆ์วารี ตบบ่าน้องชายแล้วเดินจากไป
“ เจ้าพี่ เจ้าพี่พระเจ้าข้า...... ”
พยัคฆ์วารี หันกลับมามอง
“ เจ้ากับเมียดูแลเสด็จพ่อเสด็จแม่แทนพี่ด้วย พี่ต้องไปแล้ว ”
พยัคฆ์วารี เดินจากไปจนหลับสายตาของทั้งสอง นานมากแล้วที่เขาไม่ได้กลับมาที่นี้นับตั้งแต่เกิดเรื่องในครั้งนั้น หากไม่คำนึงถึงความทุกข์ร้อนของผู้คนบนโลกแล้วเขาอาจตัดสินใจไม่มาเหยียบที่นี้อีกเลยก็ได้เป็นได้
ณ ที่ตั้งค่ายกองทัพอสูร ซึ่งเพียงไม่กี่เพลา กองทัพอสูรก็จะยกทัพมาถึงนครอัญจารี แล้ว ขณะนี้ทหารอสูรจำนวนหนึ่งกำลังกวาดต้อนผู้คนที่ถูกจับเป็นเชลยให้แยกออกจากกัน  เชลยที่เป็นผู้ชายแยกขังไว้ที่หนึ่ง  ส่วนเด็กและผู้หญิงแยกขังไว้อีกที่หนึ่ง  คนที่กำกับดูแลงานนี้คือ ผู้บัญชาการใหญ่ของกองทัพอสูรกองนี้ คนๆนั้นก็คือ ขุนพลมารอังกลาตู นั้นเอง
“ เชวา อีกนานไหมที่พวกเราจะเดินทางไปถึงนครอัญจารี? ”
นายกองอสูรเชวา ตอบว่า
“ ประมาณสิบกว่าวันขอรับ ”
เป็นระยะเวลาที่นานเกินไป
“ ช้าเกินไป  เจ้าต้องสั่งให้ทหารของพวกเรารีบเร่งเดินทางให้เร็วกว่านี้ พวกเราจะต้องไปถึงนครอัญจารี ภายในห้าวันให้ได้เจ้าเข้าใจไหม? ”
เวลาที่ร่นลงมาถึงกึ่งหนึ่งเป็นไปได้ยากสำหรับกองทัพใหญ่ที่ต้องเดินทัพทั้งยังต้องคอยดูแลเหล่าเชลยด้วย
“ แต่ว่าหลายวันที่ผ่านมาเรากวาดต้อนผู้คนมามาก ข้าเกรงว่าเวลาห้าวันไม่เพียงพอที่จะเคลื่อนย้ายคนจำนวนมากถึงขนาดนี้ไปพร้อมกับเราได้ ”
สำหรับผู้อื่นนะใช่แต่สำหรับ ขุนพลมาอังกลาตู แล้วมันไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรเลยแม้แต่น้อย
“ ทำไมเจ้าถึงได้เรื่องมากขนาดนี้  มันไม่เห็นจะยากตรงไหนเลย ”
ใบหน้าของ ขุนพลมารอังกลาตู หันมามองนายกองอสูรเชวาพร้อมกับแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย
“ ท่านขุนพลมาร... ” ด้วยนิสัยที่ขึ้นชื่อของ ขุนพลมารอังกลาตู  แม้แต่นายกองอสูรเชวาเองเคยคิดถึงเรื่องนี้เอาไว้แล้ว
“ เชลยมีจำนวนมากก็จริงแต่พวกที่หมดประโยชน์หรือถ่วงความเจริญก็มีไม่น้อย  เราไม่จำเป็นต้องเปลืองเวลากับพวกที่ไร้ค่าอย่างนั้น เจ้าจะฆ่าทิ้งหรือนำพวกมันไปเป็นอาหารให้กับทหารของพวกเราก็ได้แล้วแต่ว่าเจ้าจะเลือก แต่เจ้าจงจำใส่หัวสมองน้อยๆของเจ้าเอาไว้ว่า ภายในห้าวันนี้กองทัพของพวกเราต้องถึงนครอัญจารีและบดขยี้พวกมันให้แลก นี้ไม่ใช่แค่คำสั่งแต่เป็นคำบัญชาที่เจ้าต้องทำให้ได้เข้าใจเอาไว้ด้วย ”
“ ขอรับ ” นายกองอสูรเชวา รับคำสั่งอย่างเลี่ยงไม่ได้
ขุนพลมารอังกลาตู เดินสะบัดหน้ากลับเข้าไปในกระโจมที่พักหลังจากที่สั่งการเรียบร้อยแล้ว แต่กระโจมที่เขาเข้าไปนั้นหาใช่กระโจมของเขาไม่ หากแต่เป็นกระโจมของขุนพลมารอีกผู้หนึ่งต่างหาก
“ ฮะๆฮ่าๆๆๆๆ ”
“ คิกๆๆๆ ”
เสียงหัวเราะชอบอกชอบใจของอสูรหนุ่มตนหนึ่งพร้อมกับบรรดานางอสูรทั้งหลายที่แวดล้อมอยู่ทั้งหน้าและหลังดังอยู่ไม่ขาดสาย อสูรนางหนึ่งกำลังป้อนผลไม้ อีกนางหนึ่งกำลังรินเหล้า อีกนางหนึ่งกำลังนั่งอยู่ที่ตักและถูกโอบกอด นางอสูรที่เหลือตนอื่นๆต่างกำลังบรรจงนวดเฟ้น บรรยากาศคล้ายกับกษัตริย์นครใดนครหนึ่งกำลังมาท่องเที่ยวเปลี่ยนบรรยากาศมากกว่าออกมารบทัพจับศึก
“ หึๆๆ สำเริงสำราญดีจริงๆนะ  แสงฤทธิ์ ”
ผู้ที่ถูกเอ่ยทักยิ้มทอประกายอารมณ์สนุกสนานแต่ไกล
“ แน่นอนอยู่แล้ว อังกลาตู ใครจะทำหน้าตาเหมือนพ่อแม่ตาย ได้ตลอดเวลาอย่างเจ้าเล่า ”
แทนที่ ขุนพลมารอังกลาตู จะโมโหโกรธากับคำพูดนี้เช่นนี้ กลับใจเย็นนั่งลงพูดคุยกับเขาได้อย่างเหลือเชื่อ
“ แล้วใครจะเหมือนเจ้าเล่า แสงฤทธิ์ ทำหน้าตารื่นเริงได้ทั้งวันไม่ทุกข์ไม่โศกเหมือนอย่างคนอื่นเขา ”
ขุนพลมารแสงฤทธิ์ ไม่เห็นสาระสำคัญใดๆในคำพูดของอีกขุนพลเลย
“ ไม่เห็นจำเป็นจะต้องใส่ใจเลย เจ้ากับข้าต่างมีผลประโยชน์ร่วมกันและที่สำคัญผลประโยชน์นี้เจ้าก็พอใจ  ...ส่วนข้าก็ชื่นชอบ ”
หาก ยศถาบรรดาศักดิ์ อำนาจ วาสนา ล้วนคือความต้องการของขุนพลมารอังกลาตู  ความสุขสำราญ  คือสิ่งที่ขุนพลมาแสงฤทธิ์ปรารถนา  หาก อังกลาตู เลือกที่จะทำทุกวิธีทางให้ได้ความสำเร็จมาโดยไม่คำนึงถึงวิธีการ แสงฤทธิ์ ก็พร้อมที่จะตอบสนองให้โดยไม่ลังเลเช่นกันผลประโยชน์ที่สวนทางกันของทั้งสองกลับเป็นการสวนทางที่ตอบสนองความต้องการของทั้งสองฝ่ายได้อย่างลงตัว
“ ท่านขุนพลมารอังกลาตู ดื่มหน่อยสิเจ้าค่ะ ”
หนึ่งในสาวอสูรที่นัวเนียอยู่กับ ขุนพลมาแสงฤทธิ์ รินเหล้าของลงในจอกแก้ว ก่อนทำท่ายั่วยวนป้อนถึงปาก
“ เพลียะ ”
“ โอยยยยยยยย ”
“ เพล้งง ”
อังกลาตู ตบหน้านางอสูรตนนั้น ก่อนที่จะใช้มือจิกเข้าที่ผมของนางและดึงนางอสูรตนนั้นขึ้นมาตบอีกรอบ
“ เพลียะ ”
“ จำใส่กะลาหัวของเจ้าไว้ หากข้าไม่ได้สั่งอย่ามาทำรุ่มร่ามอย่างนี้กับข้าอีกเป็นอันขาด ไสหัวโง่ๆของเจ้าไปให้พ้นหน้าข้าเดียวนี้ ”
นางอสูรคลานรนร่านหนีไปอยู่ที่ด้านหลังของขุนพลมารแสงฤทธิ์ อย่างหวาดกลัว
“ จุ๊ๆๆ  โธ่ๆ ไหนของข้าดูหน่อยสิ  เฮ้อ... อังกลาตู เจ้าไม่น่าลงไม้ลงมือหนักอย่างนี้เลย อย่างนี้ของๆข้าก็ช้ำหมดนะสิ ”
“ ช้ำแล้วก็หาใหม่ได้เจ้าจะกังวลไปทำไม ”
“ อารมณ์ไม่ดีอย่างนี้ แสดงว่ามีใครขัดใจอะไรเจ้ามาอีกละสิ? ”
“ ก็ไม่เชิงหรอก ”  ขุนพลมารอังกลาตู  ว่า
“ ข้าเพิ่งสั่งให้เชวา เคลื่อนทัพให้ถึงนครอัญจารี ภายในห้าวัน แต่มันกลับห่วงโน้นกังวลนี้ ชักช้าไม่ทันใจข้าก็เท่านั้นเอง ”
“ หึๆๆ เจ้าข้าเก่าเต่าเลี้ยงของ พลาสูร มหิงสูร กับ ชาเรกัณฐ์ นี้นิสัยเหมือนกับเจ้านายของมันจริงๆ ซื่อสัตย์ดีแต่ไม่ค่อยฉลาดเท่าไร ”
“ บางทีข้าก็เคยคิดอยากจะสังคยนาให้มันไปไกลๆจากโลกนี้อยู่บ้างเหมือนกัน บอกตรงๆเห็นหน้าตาโง่ๆของมันแล้ว รู้สึกขัดหูขัดตาข้าพิกล ”  พูดแล้วก็ให้อยากออกไปจัดการซะจริงๆ
ขุนพลมาแสงฤทธิ์ยกเหล้าในจอกแก้วขึ้นมาดื่มพลางบอกว่า
“ เก็บมันไว้ใช้งานดีกว่า อย่างน้อยมันก็ไม่เคยคิดทรยศพวกเรา ถือว่าสงสารมันหน่อยก็แล้วกัน เจ้านายเก่าก็เพิ่งตายไปแล้วตั้งสองคน ส่วนอีกคนอาการก็ร่อแร่จะตายวันนี้พรุ่งนี้ก็ยังไม่รู้ ”
ได้ยินที่ขุนพลมาแสงฤทธิ์พูดแล้ว ก็อดคิดไม่ได้
“ คิดไม่ถึงว่า มหิงสูร กับ ชาเรกัณฐ์ จะอายุสั้นถึงขนาดนี้ พวกมันต้องใช้กลอุบายอะไรบางอย่าง ไม่อย่างนั้นไม่มีทางจัดการ มหิงสูร กับ ชาเรกัณฐ์ ได้ ”
หน่วยข่าวกรองของขุนพลมาร อังกลาตู รวดเร็วและแม่นยำอยู่เสมอ เรื่องใหญ่เช่นนี้มิอาจรอดพ้นสายตาไปได้
“ คิดจะมาอาลัยอาวรณ์เพื่อนฝูงตอนนี้มันไม่ช้าไปหน่อยหรือ อังกลาตู? ”  แสงฤทธิ์พูดแกมเยาะน้อยๆ
“ ใครบอกข้าอาลัยอาวรณ์พวกมัน พวกมันตายไปได้นะดีแล้ว ผลประโยชน์จะตกอยู่ในมือเราเพิ่มขึ้นมากอีกหน่อย ” สำหรับขุนพลมาร อังกลาตู แล้วอะไรจะสำคัญเท่าผลประโยชน์ของตัวเอง
“ อย่าเพิ่งดีใจไป อังกลาตู อย่าลืมว่าพวกขุนพลเงามันไม่ชอบขี้หน้าพวกเรามานานแล้ว ยิ่งพวกเราตายถึงสองคนแบบนี้ พวกมันก็ยิ่งได้ใจ ”
อังกลาตู หากลัวไม่
“ หึ ข้าไม่กลัวพวกมันอยู่แล้ว ทมิฬดำอยู่ข้างพวกเรามีหรือพวกมันจะกล้าหือ ยิ่งจ้าวอสูรเก็บตัวบำเพ็ญตนแบบนี้ก็ยิ่งสบาย พวกมันต้องคอยอารักขาไม่ได้เดินทางออกไปมาไหน พวกเรายิ่งทำอะไรสะดวกขึ้น ”
แสงฤทธิ์ รู้ดีว่า อังกลาตู ต้องการยึดอำนาจของพวกขุนพลเงามานานแล้ว
“ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา ถึงแม้ทมิฬดำจะหนุนหลังพวกเราอยู่ แต่พวกขุนพลเงามันก็คอยจ้องหาโอกาสเล่นงานพวกเราอยู่เหมือนกัน ศึกที่ผ่านมาพวกเราเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ตลอด หากสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นข้าเกรงว่าแม้แต่ทมิฬดำก็ช่วยเหลือพวกเราไม่ได้ ”
อังกลาตู ไม่ได้โง่จนไม่รู้อะไรเป็นอะไร
“ ข้าเข้าใจที่เจ้าพูดดี ข้ามีแผนเตรียมเอาไว้แล้ว ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามศึกนี้พวกเราจะต้องชนะ คำว่าพ่ายแพ้จะไม่ถูกบันทึกอยู่ในชีวิตของข้า และเมื่อถึงตอนนั้นข้าจะรวบรวมพวกเราทั้งหมดโค่นพวกขุนพลเงาลงมา ”
“ เจ้าคิดจะจัดการอย่างไรกับพวกเทพ? ”
“ พวกเทพที่ถูกส่งมาอาจจะมีฝีมือร้ายกาจก็จริงอยู่ แต่คิดจะกำจัดพวกมันก็ไม่ยากเช่นกัน ”
“ ทำอย่างไร? ” ขุนพลมาร แสงฤทธิ์ สงสัย
ขุนพลมาร อังกลาตู ตอบเพียงแค่ประโยคเดียวและสั้นๆ
“ ก็ใช้ความเป็นวีรบุรุษผู้กล้าของพวกมันนะสิ ”
ขุนพลมาร แสงฤทธิ์ ขมวดคิ้วก่อนออกอาการเสียดายเล็กน้อย
“ เอาอีกแล้ว อังกลาตู ไอ้วิธีการนี้ของเจ้าอีกแล้ว อย่างนี้ข้าก็อดสนุกหมดนะสิ กะว่าจะมาหาคนประลองฝีมือที่นี้เสียหน่อย ”
“ อย่าทำตัวเป็นพวกมีคุณธรรมหน่อยเลยนา แสงฤทธิ์ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็ต้องเอาด้วยกล การศึกไม่มีใครถูกหรือผิด มีแต่แพ้หรือชนะเท่านั้น เจ้าคงไม่อยากเป็นอย่างแรกกระมัง ”
แสงฤทธิ์ ขี้เกียจเถียงด้วย
“ ตามใจเจ้าก็แล้วกัน เจ้าว่าอย่างไรข้าก็ว่าตามกัน ขอเพียงมีของสนุกๆแบบนี้ให้ข้าทุกวันข้าก็พอใจแล้ว ”  ว่าแล้วก็คว้ากอดนางอสูรเข้ามาซุกไซ้
“ อย่างนี้สิถึงจะคบกันได้ ” ว่าแล้วก็ทำท่าจะเดินออกจากกระโจม
“ อ้าว! ....แล้วนั้นเจ้าจะไปไหนนะไม่มาสนุกกับข้าหรือ? ”
“ เชิญเจ้าตามสบายเถอะ ข้าไม่ได้บ้ากามเหมือนอย่างเจ้าหรอก ”
ขุนพลมาร อังกลาตู ตอบก่อนเดินออกไป
“ ข้านะหรือบ้ากาม? ไม่หรอกเขาเรียกว่าหาความสุขใส่ตัวต่างหากเล่า ” แสงฤทธิ์ เถียงเบาๆก่อนหันมาสนุกกับนางอสูรที่อยู่ข้างๆต่อ
ขุนพลมาร อังกลาตู เดินออกมาจากกระโจมของ ขุนพลมาร แสงฤทธิ์ เดินตัดมาตามทาง เหล่าทหารที่ตรวจการต่างทำความเคารพอย่างนอบน้อมก่อนที่เจ้าตัวจะเดินกลับเข้าไปในยังกระโจมที่พักของตนเอง กระโจมของขุนพลมาร อังกลาตู นอกจากที่นอนแล้ว มีเพียงของตั้งอยู่เพียงไม่กี่ชิ้นมองเผินๆช่างตัดกับนิสัยที่เป็นอยู่ของเขาเสียนี้กระไร  อังกลาตู นั่งลงบนที่นอน ก่อนเอื้อมมือควานหาของที่อยู่ใต้หมอน ซึ่งที่เขาควานหาคือกล่องลายไม้สีดำกล่องหนึ่ง มีอักขระคาถาของโยคีบางพวกปิดผนึกอยู่
“ อังมานี ยามาสา ”
คาถาเพียงสั้นๆพลันเปิดกล่องดำได้อย่างง่ายดาย เมื่อมองลงไปในกล่องใบนั้นแลเห็นคัมภีร์หนังสีดำอยู่ ๒ เล่ม เล่มหนึ่งเต็มไปด้วยตัวอักษร แต่อีกเล่มหนึ่งมีแต่ความว่างเปล่า
“ คัมภีร์อสุรมาร ”
ขุนพลมาร อังกลาตู ทอประกายตาแวววับพร้อมพลังที่เก็บซ่อนอยู่ข้างในเมื่อมองดูคัมภีร์ทั้งสองเล่ม
“ หึๆๆๆ อีกไม่นานอำนาจทุกต้องตกอยู่ในมือของข้า  แต่ก่อนที่จะถึงเวลานั้นข้าจะใช้เลือดของพวกเทพหน้าโง่เป็นเครื่องสังเวยต่อสิ่งนี้ ฮะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ”
เสียงของขุนพลมาร อังกลาตู ยังคงดังก้องไม่หยุดท่ามกลางกลิ่นไอความชั่วร้ายที่ล่องลอยออกมาจากคัมภีร์อสุรมาร
จบตอนที่ ๔๔ ครับ
ตอนที่ ๔๔ ได้มนต์วิเศษ
พยัคฆ์วารี เห็นว่าทั้งสองพระองค์ตกลงกันได้แล้วแต่ตัวเขาเองกลับมีปัญหา
“ เอ้อ... หม่อมฉันขอประทานอภัยด้วยที่ต้องเอ่ยแทรก แล้วเรื่องช่วยเหลือตัวประกันเล่าพระเจ้าข้า ”
ทุกคนต่างลืมเรื่องนี้เสียสนิท
“ จริงสิ... ข้าลืมเสียสนิท หากเจ้าไม่เตือนพวกเราคงลืมกันไปแล้ว ” หัสกัณฐ์ ว่า
“ เจ้ามีแผนการอะไรอยู่ในใจบ้างพยัคฆ์วารี?”  ท้าววัลนุราชทรงตรัสถาม
พยัคฆ์วารี ตอบว่า
“ หม่อมฉัน จะขอความช่วยเหลือจากเสด็จพ่อ ให้ทรงส่งกองรบพยัคฆ์สวรรค์มาช่วยอีกแรงหนึ่งคิดว่าน่าจะช่วยเหลือตัวประกันได้ทั้งหมด เพียงแต่อาจจะต้องให้วิสุทธิการดูแลกองทัพในขณะออกตีขนาบแต่เพียงลำพังชั่วคราวก่อน ”
ชื่อของกองรบพยัคฆ์สวรรค์ หัสกัณฐ์ พอจะได้ยินมาบ้าง
“ กองรบพยัคฆ์สวรรค์ มีฝีมือฉกาจพอตัวและลงมือฉับไว หากได้มาช่วยอีกแรงหนึ่งก็ดีไม่น้อย แม้วิสุทธิการจะดูแลกองทัพแต่เพียงลำพังก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร ”
“ ไม่ได้ วิสุทธิการ ยังเด็กนักลำพังเพียงแค่เขาคนเดียวอาจจะรับมือกองทัพอสูรไม่ได้ ” ท้าววัลนุราช ทรงทักท้วงและคัดค้าน
“ ถ้าเช่นนั้นให้ข้าพระองค์อยู่ช่วยกองทัพของเจ้าชายวิสุทธิการอีกคนหนึ่ง เป็นอย่างไรพระเจ้าข้า ” อำมาตย์สุรชาติ ทูลขันอาสา
“ อำมาตย์สุรชาติ ผ่านสมรภูมิรบมาหลายครั้งแล้ว หม่อมฉันคิดว่า อำมาตย์สุรชาติ คงพอจะช่วยเหลือและให้คำแนะนำกับ วิสุทธิการ ได้ดี ” เหนือหัวเอกสิทธิ์ ทรงแสดงความเห็นของพระองค์
“ ก็พอแทนที่พยัคฆ์วารีได้บ้างแต่ถ้าจะให้ดีควรให้ พยัคฆ์วารี ส่งกองรบพยัคฆ์สวรรค์สัก ๒-๓ คนมาช่วยด้วยจะดีมากกว่านี้ ที่สำคัญ พยัคฆ์วารี เจ้าต้องรีบช่วยเหลือตัวประกันออกมาโดยเร็วที่สุด อย่าให้การศึกของเรายืดเยื้อเป็นอันขาดไม่เช่นนั้นเราจะเป็นฝ่ายเพี้ยงพล้ำได้ ”  รับสั่งของท้าววัลนุราชบ่งบอกอยู่ในตัวแล้วว่าแผนการครั้งนี้จะสำเร็จได้ขึ้นอยู่กับ พยัคฆ์วารี เท่านั้น
“ พระเจ้าข้า ”  พยัคฆ์วารี รับพระบัญชา
“ ที่เหลือก็แค่คอยแต่เพียงว่า วิสุทธิการ จะสืบข่าวอะไรได้บ้าง? ”
“ เพื่อให้ไม่เป็นการเสียเวลาน้องคิดว่าน้องจะคอย วิสุทธิการ อยู่ที่นี้เพื่อรอฟังข่าวคราว รบกวนเจ้าพี่กับ เปมิกา ช่วยจัดกองทัพให้ด้วยพระเจ้าข้า ” หัสกัณฐ์ เริ่มคิดลงมือในทันทีในระหว่างที่รอฟังข่าว
เมื่อได้ยินดังนั้น พยัคฆ์วารี เองก็ไม่รอช้าเช่นกัน
“ ส่วนหม่อมฉันจะขึ้นไปที่อุทยานขอความช่วยเหลือจากเสด็จพ่อพระเจ้าข้า ”
“ ได้ ตกลงตามนี้ เปมิกา เจ้ามากับพ่อ เวลาเรามีไม่มากแล้ว ”
“ เพคะ ”
เปมิกา เดินตามเสด็จพ่อของนางออกไป
“ หม่อมฉันทูลลา ”
พยัคฆ์วารี ตามออกไปอีกคนหนึ่ง
“ ทำไมจู่ๆเจ้าถึงปล่อยเปมิกาไปง่ายๆอย่างนี้ ” เอกสิทธิ์ ถาม
“ บางทีก็ต้องห่างกันบ้าง เอาใจว่าที่พ่อตาข้าหน่อย เพราะข้าอยากจะให้พระองค์เป็นกันชนให้กับพระพี่นาง ข้าขอสู้กับเจ้าพี่อย่างเปิดเผยดีกว่าเผชิญหน้ากับพระพี่นางตรงๆ ” หัสกัณฐ์ ตอบตามความเป็นจริงๆ เขากล้าสู้กับใครหน้าไหนทุกสนามรบโดยไม่หวั่นมีแต่เพียงแต่เสด็จแม่ของเปมิกาเท่านั้น ที่เขาไม่อยากสู้รบตบมือด้วย นางนอกจากจะเป็นแม่ของเปมิกาแล้ว ยังเป็นพี่สาวที่เขาเคารพนับถืออีกด้วย
“ เจ้าเตรียมใจไว้บ้างก็ดี ข้าเองคงจะช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ”
“ ขอบใจที่เจ้าเป็นห่วงข้า คงไม่มีอะไรหนักหนากระมังหากเจ้าพี่ทรงช่วยเหลือข้า ”
ถึงเรื่องคืนนั้นอาจจะทำให้ ท้าววัลนุราช ทรงขุ่นพระทัยอยู่บ้างแต่อย่างไร หัสกัณฐ์ ก็ยังคงเชื่อว่าพระองค์ก็ทรงอยู่ข้างฝ่ายเขาเมื่อในตอนนี้หัวใจครึ่งหนึ่ง เปมิกา ได้ตกอยู่ในห้วงความรักของเขาแล้ว
...... พยัคฆ์วารี เหาะขึ้นไปบนอุทยานสวรรค์ เพื่อพบกับเสด็จพ่อ เวลานี้อุทยานสวรรค์ เต็มไปด้วยเหล่าเทพทหารอารักขาที่วางกำลังอยู่โดยรอบ การจัดกำลังแน่นหนากว่าตอนที่เขาเคยเฝ้าดูแลอยู่เสียอีก
“ กรรรรรร ”
เสียงคำรามของเทพพยัคฆ์ ดังก้องสะท้านทั่วบริเวณ ถึงแม้นั้นจะเป็นเสียงที่เบาที่สุดก็ตาม
“ เจ้าเป็นใครถึงกล้าบุกเข้ามาในเขตอุทยานสวรรค์ ”
เทพที่มาใหม่ต่างไม่รู้จักพยัคฆ์วารี พากันกรูเข้ามาขัดขวางเมื่อพบเห็นคนแปลกหน้า
“ ปล่อยเขาเข้ามา เขาคือลูกชายของข้าเอง ” เสียงของเทพพยัคฆ์ บอกต่อเหล่าเทพที่อารักขา
เมื่อรู้ว่า ชายหนุ่ม ผู้นี้เป็นใครเหล่าเทพอารักขาต่างเปิดทางแต่โดยดี
“ ขออภัยด้วยท่าน พวกข้าเพิ่งมาใหม่ จึงไม่รู้ว่าท่านเป็นบุตรของจ้าวพยัคฆ์ ”
“ ไม่เป็นไร  พวกท่านจงนำทางข้าไปเถอะ ”  พยัคฆ์วารี บอก
ตามกฎการที่จะเข้าไปข้างในต้องมีเทพอารักขาติดตามเข้าไปด้วย ถึงแม้ พยัคฆ์วารี จะมีฐานะที่พิเศษ แต่เขาก็ยังคงปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด พยัคฆ์วารี เดินตามเทพอารักขาจนถึงหน้าประตูอุทยานสวรรค์ ก็แลเห็นบุรุษใหญ่ผู้หนึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกันกับหญิงอีกคนหนึ่ง
“ ถวายบังคม พระเจ้าข้า เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ”
“ ลุกขึ้นเถอะลูกรักของแม่ ”  เจ้าหญิงหิมะยื่นพระหัตถ์ฉุดลูกรักให้ยืนขึ้นมา
“ ลูกพ่อเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมเจ้าถึงขึ้นมาที่นี้ แล้วนี้พวกเจ้าจัดการกับ กัลย์ปาอสูร ได้แล้วอย่างนั้นหรือ? ”
พยัคฆ์วารี ตอบว่า
“ หามิได้พระเจ้าข้าเสด็จพ่อ ที่ลูกขึ้นมาหาเสด็จพ่อก็เพราะลูกต้องการความช่วยเหลือจากเสด็จพ่อพระเจ้าข้า ”
“ มีเรื่องอะไรรีบบอกพ่อมาสิ ” เทพพยัคฆ์ รู้ว่าคงเป็นเรื่องใหญ่พอดูไม่อย่างนั้นบุตรชายคงไม่ต้องละหน้าที่ที่สำคัญมุ่งหน้ากลับมาหาเขา
“ คือลูกต้องการทูลขอกองรบพยัคฆ์สวรรค์ มาช่วยลูกในการทำศึกกับกองทัพอสูร ที่นครอัญจารี พระเจ้าข้า ”
พระองค์พอจะทราบมาบ้างว่าตอนนี้บุตรชายและเทพคนอื่นๆต่างแยกย้ายกันป้องกัน ๔ นครในโลกมนุษย์แต่ก็ไม่น่าจะมีเหตุการณ์ใดทำให้ต้องถึงกับขอยืมกองรบพยัคฆ์สวรรค์เช่นนี้
“ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เจ้าจงรีบเล่าเรื่องทั้งหมดมาให้พ่อฟังเร็วเข้า ”
พยัคฆ์วารี จึงเล่าเรื่องราวต่างๆให้เสด็จพ่อฟังว่าเหตุใดเขาถึงต้องขึ้นมาที่นี้เพื่อขอกำลังเสริมไปช่วยรบกับกองทัพอสูร
“ ลูกรักศึกที่เจ้าเผชิญอยู่ช่างหนักหนานัก ”  เทพพยัคฆ์ เป็นห่วงบุตรชายเสียนี้กระไร
“ ทำไมหรือพระเจ้าข้าเสด็จพ่อ? ”
พยัคฆ์วารี ไม่เข้าใจว่าทำไมเสด็จพ่อถึงได้ทรงตรัสเช่นนั้น สีพระพักตร์ก็ด้วยกังวลกว่าที่เคยเป็น
“ หากคนที่นำทัพมาเป็นขุนพลมาร อังกลาตู จริงอย่างที่ได้ข่าวมา เจ้าจะประมาทมันไม่ได้เป็นอันขาด มันเป็นคนเจ้าเล่ห์นัก หากเจ้าชะล่าใจแม้แต่น้อยอาจเพี้ยงพล้ำให้แก่มันได้ ”
ลูกพยัคฆ์ถึงกับแปลกใจแต่ไหนแต่ไรมาเสด็จพ่อยังไม่เคยออกสีหน้ากังวลเช่นนี้มาก่อนย่อมแสดงว่าศัตรูที่ใกล้จะต้องเผชิญหน้าด้วยในเร็ววันคงจะร้ายกาจมิใช่น้อย
“ เสด็จพ่อหมายความว่าเจ้าขุนพลมารนั้นมีฝีมือร้ายกาจมากอย่างนั้นหรือพระเจ้าข้า ”
“ นั้นก็ส่วนหนึ่ง แต่ความเจ้าเล่ห์ของมันยังร้ายกาจกว่าฝีมือของมันเสียอีก เมื่อก่อนมันเคยหลอกแม้กระทั่งให้เหล่าเทพรบราฆ่าฟันกันเอง อย่างนี้เจ้าจะยังกล้าประมาทได้หรือ ”
ได้ยินคำยืนยันจากเสด็จพ่อเช่นนี้ทำให้ พยัคฆ์วารี ต้องประเมินความสามารถของอีกฝ่ายใหม่
“ เรื่องกองรบพยัคฆ์สวรรค์ พ่อจะอนุญาตตามที่เจ้าขอ ”
“ ขอบพระทัยพระเจ้าข้าเสด็จพ่อ ”
“ พ่อจะให้กองรบพยัคฆ์สวรรค์จำนวน ๓,๐๐๐ ลงไปช่วยเจ้าชิงตัวประกันกลับคืนมา ”
เจ้าหญิงหิมะเห็นด้วยกับพระสวามีที่ว่าศัตรูของลูกรักนั้นร้ายกาจนักจึงคิดช่วยเหลืออีกแรงหนึ่ง
“ ลูกรักของแม่ ศัตรูของเจ้าครั้งนี้ร้ายกาจกว่าครั้งที่ผ่านๆมา แม่จะให้พรแก่เจ้าขอให้ร่างกายเจ้าจงอยู่ยงคงกระพันศาสตราวุธใดๆหาอาจทำอะไรเจ้าได้ไม่ ทั้งเปลวเพลิงแห่งอัคคีก็มิอาจเผาไหม้อินทรีย์ หากแม้นเจ้าตายไปขอเพียงแค่หยดน้ำต้องร่างเจ้าก็จะฟื้นคืนชีพกลับมา ”
เพียงสิ้นเสียงของเสด็จแม่ร่างทั้งร่างของ พยัคฆ์วารี ถึงกลับสั่นสะท้านทั้งสวรรค์ยังเกิดคลื่นลมที่แปรปรวน
“ ครืนนนนนนนนนนนนนน ”
“ ขอบพระทัยพระเจ้าข้าเสด็จแม่ ” พยัคฆ์วารีก้มลงกราบที่พระบาทของเสด็จแม่ เจ้าหญิงหิมะ ยื่นพระหัตถ์แตะที่เส้นผมของเขาเพียงสัมผัสก็บังเกิดภาพอักขระมนต์อยู่ในห้วงความคิด
“ นี้คือมนต์คืนชีพเก้าชีวิต จงเก็บไว้ชุบชีวิตกองรบพยัคฆ์สวรรค์ ในหนึ่งวันมนต์นี้สามารถช่วยให้พวกเขาฟื้นคืนชีพได้เก้าครั้ง หากเกินกว่านั้นเจ้าต้องรอจนถึงวันใหม่และเมื่อแสงแรกของวันใหม่สาดส่องมาถึงจงใช้มนต์นี้ชุบชีวิตอีกครั้งหนึ่งถึงจะสัมฤทธิ์ผลได้ แต่อย่าให้เวลาล่วงพ้นจนหมดแสงแห่งทิวากรมิเช่นนั้นจะไม่มีทางชุบชีวิตพวกเขาให้ฟื้นคืนชีพได้อีกเลย ”
“ ลูกเข้าใจแล้วพระเจ้าข้า ”
เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว พยัคฆ์วารี จึงคิดที่จะทูลลาทั้งสองพระองค์แต่พลันต้องหยุดชะงักเมื่อสายตาแลเห็นใครคนหนึ่งเดินเข้ามา
“ เกลียวสวรรค์!!!! ”
นานแล้วที่เขาและนางไม่ได้พบกันนับแต่เขาได้ก้าวเดินออกมาจากอุทยานสวรรค์
“ ขอได้โปรดประทานอภัยให้หม่อมฉันด้วยเพคะ หม่อมฉันไม่ทราบว่าเสด็จพ่อกับเสด็จแม่และโอรสกำลังสนทนากันในเรื่องสำคัญอยู่ จึงได้เข้ามารบกวนเช่นนี้ ”
เทพพยัคฆ์ ทรงตรัสว่า
“ ไม่เป็นไรหรอก เกลียวสวรรค์ ไหนๆเจ้าก็มาแล้วอยู่พูดคุยกับพี่เขาก่อนสิ เจ้าคงยังไม่รีบไปไหนใช่ไหมลูกพ่อ? ”
“ พระเจ้าข้า ”  พยัคฆ์วารี ตอบเสด็จพ่อ
“ ดีแล้ว พ่อจะเรียกระดมพลกองรบพยัคฆ์สวรรค์มาให้เจ้า ตามสบายนะ เกลียวสรรค์ ”
“ เพคะ ”
ทั้งสองพระองค์เดินจากไปพร้อมกับเทพอารักขา
“ พระองค์ทรงสบายดีใช่ไหมเพคะ? ”  ไม่รู้ว่านางตั้งใจถามหรือเพียงถามตามมารยาท
“ ก็สบายดี ไม่เจ็บ ไม่ไข้ และก็ยังไม่ตาย ”
คำตอบที่หลุดออกจากปากห้วนเหมือนมะนาวไม่มีน้ำอย่างไรก็อย่างนั้น
“ จริงสิเพคะ ก็เห็นๆกันอยู่ว่าพระองค์ทรงสบายดี หม่อมฉันไม่น่าถามคำถามนี้เลย ” นางพูดจบแล้วก็ทำท่าทางจะเดินจากไป
“ เห็นหน้าพี่แล้วทำให้เจ้ารู้สึกอยากจะอาเจียนหรืออย่างไรถึงได้เดินหนี ”  พยัคฆ์วารี ว่า
นางหันกลับมาตอบว่า
“ หามิได้เพคะ หม่อมฉันเกรงว่าหากหม่อมฉันอยู่นานก็นี้คงทำให้ใครบางคนในที่นี้อึดอัดจนกลั้นใจตายต่างหาก ” 
ได้ฟังแล้วให้น่าโมโหนักรู้จักกันมาตั้งนานแล้วยังไม่เคยได้ยินนางเรียกเขาว่า “ เจ้าพี่ ” แม้แต่ครั้งเดียว
“ งั้นเหรอ? นึกว่าจะรีบกลับไปหาใครบางคนเสียอีก ” น้ำเสียงพูดอย่างประชดประชัน
“ คงจะเป็นเช่นนั้นด้วยแหละเพคะ เพราะที่นี้มีแต่คนที่พูดคำหวานๆไม่เป็น อย่าว่าแม้แต่อึดใจเดียวเลยเพคะ แม้แต่เพียงแค่เสี้ยววินาทีก็ยังแทบจะทนไม่ไหว ”
“ เจ้า...... ”  พยัคฆ์วารี จ้องมองหน้านางตาไม่กระพริบ
“ เจ้าพี่ ... เจ้าพี่พระเจ้าข้า ”  มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อนเห็นบุรุษหนึ่งวิ่งมาแต่ไกลพร้อมกับโผเข้ากอด
“ น้องดีใจจริงที่เจ้าพี่เสด็จกลับมา ”
พยัคฆ์วารีกึ่งดีใจและกึ่งไม่ดีใจที่ได้พบหน้าน้องชาย
“ ไม่ได้พบกันนานแล้วนะ  ..... ดูเจ้ายังเหมือนเดิม..เหมือนเมื่อก่อน ”
“ พระเจ้าข้า ”
น้องชายผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายพี่ชายแต่วาจาอ่อนหวานกว่า
“ เพชรพยัคฆ์ ”
“ เสด็จพี่เพคะ หม่อมฉันกำลังจะให้คนไปตามเสด็จพี่อยู่พอดี หม่อมฉันเพิ่งเจอกับโอรสเมื่อตะกี้นี้เอง ว่าจะชวนให้ค้างที่นี้เสด็จพี่กับโอรสจะได้พูดคุยกัน ” นางว่าพลางเข้าไปกอดที่แขนของเขา
“ เอ้อ... น้องพี่ พี่คงต้องขอตัว บังเอิญ พี่มีงานที่จะต้องทำไม่อาจอยู่ช้าได้  เอาไว้คราวหน้าคุยกับเจ้าใหม่นะ ”
พยัคฆ์วารี ตบบ่าน้องชายแล้วเดินจากไป
“ เจ้าพี่ เจ้าพี่พระเจ้าข้า...... ”
พยัคฆ์วารี หันกลับมามอง
“ เจ้ากับเมียดูแลเสด็จพ่อเสด็จแม่แทนพี่ด้วย พี่ต้องไปแล้ว ”
พยัคฆ์วารี เดินจากไปจนหลับสายตาของทั้งสอง นานมากแล้วที่เขาไม่ได้กลับมาที่นี้นับตั้งแต่เกิดเรื่องในครั้งนั้น หากไม่คำนึงถึงความทุกข์ร้อนของผู้คนบนโลกแล้วเขาอาจตัดสินใจไม่มาเหยียบที่นี้อีกเลยก็ได้เป็นได้
ณ ที่ตั้งค่ายกองทัพอสูร ซึ่งเพียงไม่กี่เพลา กองทัพอสูรก็จะยกทัพมาถึงนครอัญจารี แล้ว ขณะนี้ทหารอสูรจำนวนหนึ่งกำลังกวาดต้อนผู้คนที่ถูกจับเป็นเชลยให้แยกออกจากกัน  เชลยที่เป็นผู้ชายแยกขังไว้ที่หนึ่ง  ส่วนเด็กและผู้หญิงแยกขังไว้อีกที่หนึ่ง  คนที่กำกับดูแลงานนี้คือ ผู้บัญชาการใหญ่ของกองทัพอสูรกองนี้ คนๆนั้นก็คือ ขุนพลมารอังกลาตู นั้นเอง
“ เชวา อีกนานไหมที่พวกเราจะเดินทางไปถึงนครอัญจารี? ”
นายกองอสูรเชวา ตอบว่า
“ ประมาณสิบกว่าวันขอรับ ”
เป็นระยะเวลาที่นานเกินไป
“ ช้าเกินไป  เจ้าต้องสั่งให้ทหารของพวกเรารีบเร่งเดินทางให้เร็วกว่านี้ พวกเราจะต้องไปถึงนครอัญจารี ภายในห้าวันให้ได้เจ้าเข้าใจไหม? ”
เวลาที่ร่นลงมาถึงกึ่งหนึ่งเป็นไปได้ยากสำหรับกองทัพใหญ่ที่ต้องเดินทัพทั้งยังต้องคอยดูแลเหล่าเชลยด้วย
“ แต่ว่าหลายวันที่ผ่านมาเรากวาดต้อนผู้คนมามาก ข้าเกรงว่าเวลาห้าวันไม่เพียงพอที่จะเคลื่อนย้ายคนจำนวนมากถึงขนาดนี้ไปพร้อมกับเราได้ ”
สำหรับผู้อื่นนะใช่แต่สำหรับ ขุนพลมาอังกลาตู แล้วมันไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรเลยแม้แต่น้อย
“ ทำไมเจ้าถึงได้เรื่องมากขนาดนี้  มันไม่เห็นจะยากตรงไหนเลย ”
ใบหน้าของ ขุนพลมารอังกลาตู หันมามองนายกองอสูรเชวาพร้อมกับแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย
“ ท่านขุนพลมาร... ” ด้วยนิสัยที่ขึ้นชื่อของ ขุนพลมารอังกลาตู  แม้แต่นายกองอสูรเชวาเองเคยคิดถึงเรื่องนี้เอาไว้แล้ว
“ เชลยมีจำนวนมากก็จริงแต่พวกที่หมดประโยชน์หรือถ่วงความเจริญก็มีไม่น้อย  เราไม่จำเป็นต้องเปลืองเวลากับพวกที่ไร้ค่าอย่างนั้น เจ้าจะฆ่าทิ้งหรือนำพวกมันไปเป็นอาหารให้กับทหารของพวกเราก็ได้แล้วแต่ว่าเจ้าจะเลือก แต่เจ้าจงจำใส่หัวสมองน้อยๆของเจ้าเอาไว้ว่า ภายในห้าวันนี้กองทัพของพวกเราต้องถึงนครอัญจารีและบดขยี้พวกมันให้แลก นี้ไม่ใช่แค่คำสั่งแต่เป็นคำบัญชาที่เจ้าต้องทำให้ได้เข้าใจเอาไว้ด้วย ”
“ ขอรับ ” นายกองอสูรเชวา รับคำสั่งอย่างเลี่ยงไม่ได้
ขุนพลมารอังกลาตู เดินสะบัดหน้ากลับเข้าไปในกระโจมที่พักหลังจากที่สั่งการเรียบร้อยแล้ว แต่กระโจมที่เขาเข้าไปนั้นหาใช่กระโจมของเขาไม่ หากแต่เป็นกระโจมของขุนพลมารอีกผู้หนึ่งต่างหาก
“ ฮะๆฮ่าๆๆๆๆ ”
“ คิกๆๆๆ ”
เสียงหัวเราะชอบอกชอบใจของอสูรหนุ่มตนหนึ่งพร้อมกับบรรดานางอสูรทั้งหลายที่แวดล้อมอยู่ทั้งหน้าและหลังดังอยู่ไม่ขาดสาย อสูรนางหนึ่งกำลังป้อนผลไม้ อีกนางหนึ่งกำลังรินเหล้า อีกนางหนึ่งกำลังนั่งอยู่ที่ตักและถูกโอบกอด นางอสูรที่เหลือตนอื่นๆต่างกำลังบรรจงนวดเฟ้น บรรยากาศคล้ายกับกษัตริย์นครใดนครหนึ่งกำลังมาท่องเที่ยวเปลี่ยนบรรยากาศมากกว่าออกมารบทัพจับศึก
“ หึๆๆ สำเริงสำราญดีจริงๆนะ  แสงฤทธิ์ ”
ผู้ที่ถูกเอ่ยทักยิ้มทอประกายอารมณ์สนุกสนานแต่ไกล
“ แน่นอนอยู่แล้ว อังกลาตู ใครจะทำหน้าตาเหมือนพ่อแม่ตาย ได้ตลอดเวลาอย่างเจ้าเล่า ”
แทนที่ ขุนพลมารอังกลาตู จะโมโหโกรธากับคำพูดนี้เช่นนี้ กลับใจเย็นนั่งลงพูดคุยกับเขาได้อย่างเหลือเชื่อ
“ แล้วใครจะเหมือนเจ้าเล่า แสงฤทธิ์ ทำหน้าตารื่นเริงได้ทั้งวันไม่ทุกข์ไม่โศกเหมือนอย่างคนอื่นเขา ”
ขุนพลมารแสงฤทธิ์ ไม่เห็นสาระสำคัญใดๆในคำพูดของอีกขุนพลเลย
“ ไม่เห็นจำเป็นจะต้องใส่ใจเลย เจ้ากับข้าต่างมีผลประโยชน์ร่วมกันและที่สำคัญผลประโยชน์นี้เจ้าก็พอใจ  ...ส่วนข้าก็ชื่นชอบ ”
หาก ยศถาบรรดาศักดิ์ อำนาจ วาสนา ล้วนคือความต้องการของขุนพลมารอังกลาตู  ความสุขสำราญ  คือสิ่งที่ขุนพลมาแสงฤทธิ์ปรารถนา  หาก อังกลาตู เลือกที่จะทำทุกวิธีทางให้ได้ความสำเร็จมาโดยไม่คำนึงถึงวิธีการ แสงฤทธิ์ ก็พร้อมที่จะตอบสนองให้โดยไม่ลังเลเช่นกันผลประโยชน์ที่สวนทางกันของทั้งสองกลับเป็นการสวนทางที่ตอบสนองความต้องการของทั้งสองฝ่ายได้อย่างลงตัว
“ ท่านขุนพลมารอังกลาตู ดื่มหน่อยสิเจ้าค่ะ ”
หนึ่งในสาวอสูรที่นัวเนียอยู่กับ ขุนพลมาแสงฤทธิ์ รินเหล้าของลงในจอกแก้ว ก่อนทำท่ายั่วยวนป้อนถึงปาก
“ เพลียะ ”
“ โอยยยยยยยย ”
“ เพล้งง ”
อังกลาตู ตบหน้านางอสูรตนนั้น ก่อนที่จะใช้มือจิกเข้าที่ผมของนางและดึงนางอสูรตนนั้นขึ้นมาตบอีกรอบ
“ เพลียะ ”
“ จำใส่กะลาหัวของเจ้าไว้ หากข้าไม่ได้สั่งอย่ามาทำรุ่มร่ามอย่างนี้กับข้าอีกเป็นอันขาด ไสหัวโง่ๆของเจ้าไปให้พ้นหน้าข้าเดียวนี้ ”
นางอสูรคลานรนร่านหนีไปอยู่ที่ด้านหลังของขุนพลมารแสงฤทธิ์ อย่างหวาดกลัว
“ จุ๊ๆๆ  โธ่ๆ ไหนของข้าดูหน่อยสิ  เฮ้อ... อังกลาตู เจ้าไม่น่าลงไม้ลงมือหนักอย่างนี้เลย อย่างนี้ของๆข้าก็ช้ำหมดนะสิ ”
“ ช้ำแล้วก็หาใหม่ได้เจ้าจะกังวลไปทำไม ”
“ อารมณ์ไม่ดีอย่างนี้ แสดงว่ามีใครขัดใจอะไรเจ้ามาอีกละสิ? ”
“ ก็ไม่เชิงหรอก ”  ขุนพลมารอังกลาตู  ว่า
“ ข้าเพิ่งสั่งให้เชวา เคลื่อนทัพให้ถึงนครอัญจารี ภายในห้าวัน แต่มันกลับห่วงโน้นกังวลนี้ ชักช้าไม่ทันใจข้าก็เท่านั้นเอง ”
“ หึๆๆ เจ้าข้าเก่าเต่าเลี้ยงของ พลาสูร มหิงสูร กับ ชาเรกัณฐ์ นี้นิสัยเหมือนกับเจ้านายของมันจริงๆ ซื่อสัตย์ดีแต่ไม่ค่อยฉลาดเท่าไร ”
“ บางทีข้าก็เคยคิดอยากจะสังคยนาให้มันไปไกลๆจากโลกนี้อยู่บ้างเหมือนกัน บอกตรงๆเห็นหน้าตาโง่ๆของมันแล้ว รู้สึกขัดหูขัดตาข้าพิกล ”  พูดแล้วก็ให้อยากออกไปจัดการซะจริงๆ
ขุนพลมาแสงฤทธิ์ยกเหล้าในจอกแก้วขึ้นมาดื่มพลางบอกว่า
“ เก็บมันไว้ใช้งานดีกว่า อย่างน้อยมันก็ไม่เคยคิดทรยศพวกเรา ถือว่าสงสารมันหน่อยก็แล้วกัน เจ้านายเก่าก็เพิ่งตายไปแล้วตั้งสองคน ส่วนอีกคนอาการก็ร่อแร่จะตายวันนี้พรุ่งนี้ก็ยังไม่รู้ ”
ได้ยินที่ขุนพลมาแสงฤทธิ์พูดแล้ว ก็อดคิดไม่ได้
“ คิดไม่ถึงว่า มหิงสูร กับ ชาเรกัณฐ์ จะอายุสั้นถึงขนาดนี้ พวกมันต้องใช้กลอุบายอะไรบางอย่าง ไม่อย่างนั้นไม่มีทางจัดการ มหิงสูร กับ ชาเรกัณฐ์ ได้ ”
หน่วยข่าวกรองของขุนพลมาร อังกลาตู รวดเร็วและแม่นยำอยู่เสมอ เรื่องใหญ่เช่นนี้มิอาจรอดพ้นสายตาไปได้
“ คิดจะมาอาลัยอาวรณ์เพื่อนฝูงตอนนี้มันไม่ช้าไปหน่อยหรือ อังกลาตู? ”  แสงฤทธิ์พูดแกมเยาะน้อยๆ
“ ใครบอกข้าอาลัยอาวรณ์พวกมัน พวกมันตายไปได้นะดีแล้ว ผลประโยชน์จะตกอยู่ในมือเราเพิ่มขึ้นมากอีกหน่อย ” สำหรับขุนพลมาร อังกลาตู แล้วอะไรจะสำคัญเท่าผลประโยชน์ของตัวเอง
“ อย่าเพิ่งดีใจไป อังกลาตู อย่าลืมว่าพวกขุนพลเงามันไม่ชอบขี้หน้าพวกเรามานานแล้ว ยิ่งพวกเราตายถึงสองคนแบบนี้ พวกมันก็ยิ่งได้ใจ ”
อังกลาตู หากลัวไม่
“ หึ ข้าไม่กลัวพวกมันอยู่แล้ว ทมิฬดำอยู่ข้างพวกเรามีหรือพวกมันจะกล้าหือ ยิ่งจ้าวอสูรเก็บตัวบำเพ็ญตนแบบนี้ก็ยิ่งสบาย พวกมันต้องคอยอารักขาไม่ได้เดินทางออกไปมาไหน พวกเรายิ่งทำอะไรสะดวกขึ้น ”
แสงฤทธิ์ รู้ดีว่า อังกลาตู ต้องการยึดอำนาจของพวกขุนพลเงามานานแล้ว
“ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา ถึงแม้ทมิฬดำจะหนุนหลังพวกเราอยู่ แต่พวกขุนพลเงามันก็คอยจ้องหาโอกาสเล่นงานพวกเราอยู่เหมือนกัน ศึกที่ผ่านมาพวกเราเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ตลอด หากสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นข้าเกรงว่าแม้แต่ทมิฬดำก็ช่วยเหลือพวกเราไม่ได้ ”
อังกลาตู ไม่ได้โง่จนไม่รู้อะไรเป็นอะไร
“ ข้าเข้าใจที่เจ้าพูดดี ข้ามีแผนเตรียมเอาไว้แล้ว ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามศึกนี้พวกเราจะต้องชนะ คำว่าพ่ายแพ้จะไม่ถูกบันทึกอยู่ในชีวิตของข้า และเมื่อถึงตอนนั้นข้าจะรวบรวมพวกเราทั้งหมดโค่นพวกขุนพลเงาลงมา ”
“ เจ้าคิดจะจัดการอย่างไรกับพวกเทพ? ”
“ พวกเทพที่ถูกส่งมาอาจจะมีฝีมือร้ายกาจก็จริงอยู่ แต่คิดจะกำจัดพวกมันก็ไม่ยากเช่นกัน ”
“ ทำอย่างไร? ” ขุนพลมาร แสงฤทธิ์ สงสัย
ขุนพลมาร อังกลาตู ตอบเพียงแค่ประโยคเดียวและสั้นๆ
“ ก็ใช้ความเป็นวีรบุรุษผู้กล้าของพวกมันนะสิ ”
ขุนพลมาร แสงฤทธิ์ ขมวดคิ้วก่อนออกอาการเสียดายเล็กน้อย
“ เอาอีกแล้ว อังกลาตู ไอ้วิธีการนี้ของเจ้าอีกแล้ว อย่างนี้ข้าก็อดสนุกหมดนะสิ กะว่าจะมาหาคนประลองฝีมือที่นี้เสียหน่อย ”
“ อย่าทำตัวเป็นพวกมีคุณธรรมหน่อยเลยนา แสงฤทธิ์ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็ต้องเอาด้วยกล การศึกไม่มีใครถูกหรือผิด มีแต่แพ้หรือชนะเท่านั้น เจ้าคงไม่อยากเป็นอย่างแรกกระมัง ”
แสงฤทธิ์ ขี้เกียจเถียงด้วย
“ ตามใจเจ้าก็แล้วกัน เจ้าว่าอย่างไรข้าก็ว่าตามกัน ขอเพียงมีของสนุกๆแบบนี้ให้ข้าทุกวันข้าก็พอใจแล้ว ”  ว่าแล้วก็คว้ากอดนางอสูรเข้ามาซุกไซ้
“ อย่างนี้สิถึงจะคบกันได้ ” ว่าแล้วก็ทำท่าจะเดินออกจากกระโจม
“ อ้าว! ....แล้วนั้นเจ้าจะไปไหนนะไม่มาสนุกกับข้าหรือ? ”
“ เชิญเจ้าตามสบายเถอะ ข้าไม่ได้บ้ากามเหมือนอย่างเจ้าหรอก ”
ขุนพลมาร อังกลาตู ตอบก่อนเดินออกไป
“ ข้านะหรือบ้ากาม? ไม่หรอกเขาเรียกว่าหาความสุขใส่ตัวต่างหากเล่า ” แสงฤทธิ์ เถียงเบาๆก่อนหันมาสนุกกับนางอสูรที่อยู่ข้างๆต่อ
ขุนพลมาร อังกลาตู เดินออกมาจากกระโจมของ ขุนพลมาร แสงฤทธิ์ เดินตัดมาตามทาง เหล่าทหารที่ตรวจการต่างทำความเคารพอย่างนอบน้อมก่อนที่เจ้าตัวจะเดินกลับเข้าไปในยังกระโจมที่พักของตนเอง กระโจมของขุนพลมาร อังกลาตู นอกจากที่นอนแล้ว มีเพียงของตั้งอยู่เพียงไม่กี่ชิ้นมองเผินๆช่างตัดกับนิสัยที่เป็นอยู่ของเขาเสียนี้กระไร  อังกลาตู นั่งลงบนที่นอน ก่อนเอื้อมมือควานหาของที่อยู่ใต้หมอน ซึ่งที่เขาควานหาคือกล่องลายไม้สีดำกล่องหนึ่ง มีอักขระคาถาของโยคีบางพวกปิดผนึกอยู่
“ อังมานี ยามาสา ”
คาถาเพียงสั้นๆพลันเปิดกล่องดำได้อย่างง่ายดาย เมื่อมองลงไปในกล่องใบนั้นแลเห็นคัมภีร์หนังสีดำอยู่ ๒ เล่ม เล่มหนึ่งเต็มไปด้วยตัวอักษร แต่อีกเล่มหนึ่งมีแต่ความว่างเปล่า
“ คัมภีร์อสุรมาร ”
ขุนพลมาร อังกลาตู ทอประกายตาแวววับพร้อมพลังที่เก็บซ่อนอยู่ข้างในเมื่อมองดูคัมภีร์ทั้งสองเล่ม
“ หึๆๆๆ อีกไม่นานอำนาจทุกต้องตกอยู่ในมือของข้า  แต่ก่อนที่จะถึงเวลานั้นข้าจะใช้เลือดของพวกเทพหน้าโง่เป็นเครื่องสังเวยต่อสิ่งนี้ ฮะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ”
เสียงของขุนพลมาร อังกลาตู ยังคงดังก้องไม่หยุดท่ามกลางกลิ่นไอความชั่วร้ายที่ล่องลอยออกมาจากคัมภีร์อสุรมาร
จบตอนที่ ๔๔ ครับ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น